เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 30
ศรีแพรเห็นอาการของชาริณีแล้วใจอ่อน ยอมให้พาเข้ามาในบ้าน ทวนกล่าวขอบคุณทุกคน และรีบกลับไปที่บ้านก่อน เพื่อไม่ให้ถูกสงสัย
เช้าวันรุ่งขึ้น...บุญช่วยกับชิงชัยที่รู้ว่าชาริณีหายไปได้ออกตาม ศรีไพรเห็นท่าไม่ดี และไม่อยากให้ที่บ้านเดือดร้อน ตัดสินใจประคองชาริณี หนีไปที่วัดบ้านนา อาการลงแดงของชาริณียิ่งหนักขึ้น
“ถึงแล้ว...คุณรอดตายแล้วคุณชาริณี”
ชาริณีเงยหน้าขึ้น เพ่งสายตามองช่อฟ้าใบระกาโบสถ์วัดบ้านนา
“วัด...วัดใช่มั้ย วัด...”
“ใช่ ที่นี่แหละวัดบ้านนา ที่ที่...เป็นศูนย์รวมความศรัทธาของชาวบ้านนาทุกคน คุณต้องมีความเชื่อ...ศรัทธาถึงจะเกิด ไป...ฉันจะพาคุณไปหาหลวงตา”
ศรีไพรประคองชาริณีเดินตรงไปยังศาลาวัด แล้วขึ้นไปบนศาลา ชาริณีนั้นอ่อนล้า เนื้อตัวสั่นสะท้านไปด้วยความหนาวเยือก เพราะอาการลงแดงของยาเสพติด มหาเฉื่อย ทอกและหมอกรีบเข้ามาช่วยประคองต่างตื่นตกใจ
“ไอ้ศรีไพร นี่มันลูกสาวเศรษฐีบุญช่วยนี่ เห็นว่าเศรษฐีบุญช่วยกำลังตามล่าไปทั้งเมือง มีอะไรกันวะ”
“อย่าเพิ่งถามเลยท่านมหา ช่วยชาริณีก่อน”
“เป็นอะไรมา” ทอกถามอย่างแปลกใจ
หมอกมองอาการแล้วรู้ได้ทันที
“ไม่เห็นต้องถามเลย อยู่กับหลวงตามาจนโตเอ็งยังไม่รู้อีกหรือว่าอาการยังงี้ มันเป็นอาการอะไร”
มหาเฉื่อยหันไปเรียกสองหนุ่ม
“ช่วยกันก่อนไอ้หมอก ไอ้ทอก เรื่องอื่นเอาไว้ทีหลัง หลวงพ่อท่านอยู่โน่น”
หมอกเข้าช่วยประคองชาริณี หลวงตาขยับจีวรเขม้นมองด้วยความแปลกใจ
“นั่นใครกันล่ะ ประคองปีกกันมาเชียว เอ๊ะ...”
ศรีไพรเข้าไปกราบหลวงตา
“หลวงตา ช่วยด้วย...”
“นี่มันลูกสาวเศรษฐีบุญช่วยนี่”
“ลูกใครก็ต้องช่วยก่อนละขอรับหลวงพ่อ อาการกำลังหนัก” มหาเฉื่อยหันไปสั่ง “ไอ้หมอก ไอ้ทอกเอ็งไปต้มน้ำ”
“จ้ะ ลุงมหา...” ทอกรับคำ
“วางลงก่อนเถอะ” หลวงตาน้ำเสียงเนิบนาบมีเมตตา “ไม่เป็นไรแล้วละ ไอ้อาการแบบนี้มันเป็นได้มันก็หายได้ ติดได้...ก็เลิกทุกคน มันอยู่ที่ความตั้งใจจริง”
ชาริณีฟุบหน้าอยู่กับพื้น ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองหลวงตา
เมินได้ไปที่รถบรรทุกของบุญช่วยที่จอดซุ่มอยู่ ที่รถปิดผ้าใบสีดำ ภายในเป็นอาวุธเถื่อนที่จะนำไปส่งที่ชายแดน เมินเหลียวซ้ายแลขวา กำลังจะปีนขึ้นไป ทวนเอื้อมมือมาตบไหล่ เมินสะดุ้ง
“ไอ้ทวน แกนี่เอง ฉันนึกว่าไอ้หลิมมันกลับมาแล้ว”
“แกจะขึ้นไปทำไม อยากรู้ใช่มั้ยว่าในรถบรรทุกคันนี้มีอะไร”
เมินรีบปฏิเสธกลบเกลื่อน
“เปล่า ทำไมฉันต้องอยากรู้เกินหน้าที่ หน้าที่ของฉันเป็นบอดี้การ์ด คอยขับรถให้คุณสไบของบ่าวขา เหมือนหน้าที่แก...เป็น...เป็น...”
เลิศขับรถยนต์เข้ามา บุญช่วยชิงชัยก้าวลงมาหน้าตาเครียดหนัก เพราะตามหาชาริณีไม่พบ
“ผมจะแจ้งจ่าสินให้ปิดด่านทุกด่าน เผื่อชาริณีจะหนีเข้ากรุงเทพฯ” ชิงชัยบอก
บุญช่วยนิ่งเครียด
“ฉันปล่อยมันออกไปประจานฉันไม่ได้ ฉันผิดหวังในตัวชาริณีจริงๆ ทำไมมันต้องติดยา ทำไมลูกของฉันถึงไม่...ไม่...”
ทวนเดินเข้ามา
“ไม่เป็นเด็กดี เหมือนลูกของคนอื่นหรือครับท่านเศรษฐี เรื่องนี้ไม่ต้องไปถามคนอื่นหรอก คนเป็นพ่อแม่ต้องถามตัวเอง ว่าทำไมถึงได้ทำให้ลูกรักพ่อแม่ไม่ได้ แต่กลับไปเคารพนับถือยาพวกนั้น”
เมินตามมาอีกคน
“เสพเข้าไปแล้วสมองเลอะ ลืม...เลือน จำอะไรไม่ได้ เพราะฤทธิ์ยามันเข้าไปทำลายความคิด ทำลายพ่อ...แม่!”
บุญช่วยชะงัก แววตาหวั่นไหว หวาดกลัว ก่อนผลุนผลันขึ้นเรือนไป ชิงชัยก้าวเข้ามายืนจ้องหน้าทวน
“ถ้าฉันรู้ว่าน้องสาวของฉันหนีไปกับใครละก็ ฉันจะตามไปถลกหนังหัวมัน”
ชาริณีนุ่งผ้าขาวค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นใกล้โอ่งน้ำมนต์ของหลวงตา ศรีไพรให้กำลังใจ
“ถ้าคุณตั้งใจจะเลิกก็ต้องตั้งจิตอธิษฐาน ทำจิตใจให้มั่นคงศรัทธาหลวงตาท่านจะได้ขจัดผีร้าย ออกไปจากตัวของคุณ”
ชาริณีชะงักลังเล
“ฉัน...”
“ไล่มันออกไป ขังมันไว้ก็รังแต่มันจะทำลายชีวิตของเรา คุณมีชีวิตอยู่ก็ต้องมีอนาคตที่ดี มันอยู่ที่คุณตั้งใจจริงหรือเปล่า”
ชาริณีบอกอย่างจริงจัง
“ศรีไพร ฉันเกลียดมัน ฉันจะเลิก...”
“ตั้งใจ แล้วตั้งนะโมฯ สามจบ” หลวงตาสั่ง
ชาริณีหน้าสลดลง
“ฉัน...สวดมนต์ไม่เป็น”
ศรีไพรถอนใจ
“ตั้งใจแล้วว่าตามฉัน มะโนตัสสะ...”
ศรีไพรนำชาริณีสวดนะโมฯ หลวงตายื่นกะลาใส่สมุนไพรให้ชาริณีดื่ม มหาเฉื่อยตักน้ำมนต์ในตุ่มส่งให้หลวงตา รดลงบนศีรษะของชาริณี ร่างของเธอสั่นสะท้าน
ทอกกับหมอกเดินกอดคอกัน หิ้วถุงโอเลี้ยงเพิ่งกลับจากร้านเจ๊กตง รถยนต์ของบุญช่วยแล่นตัดด้วยความเร็ว ทอกตกใจ
“ไอ้หมอก นั่นมันเศรษฐีบุญช่วยนี่”
หมอกหน้าตื่นสงสัย
“เศรษฐีบุญช่วยรู้ได้ยังไงวะ ว่าลูกสาวหนีมาพึ่งหลวงตา”
บุญช่วยไ ชิงชัยรีบขึ้นไปบนศาลา โดยมีหลิมและเลิศรีบตามไปพร้อมอาวุธครบมือ
ทางด้าน ชาริณีรดน้ำมนต์ รับยาสมุนไพรมาดื่ม ก่อนวิ่งออกไปส่งเสียงอาเจียน เศรษฐีบุญช่วยก้าวเข้ามา จ้องมองชาริณีที่มีสภาพเหมือนสัตว์ เนื่องจากยาเสพติด บุญช่วยจ้องมองด้วยความรู้สึกเจ็บปวด คั่งแค้นยกปืนขึ้น
“นังลูกสารเลว ทำไมต้องเป็นแก ทำไมไม่ใช่ลูกคนอื่น พ่อมีให้พร้อมทุกอย่างไม่ว่าเงินหรือความรัก ทำไม...ทำกับพ่อแบบนี้”
ศรีไพรเข้ากอดชาริณีไว้อย่างปกป้อง หลวงตามองบุญช่วยด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“ลูกคนอื่นก็เหมือนกัน พอตกเป็นทาสของยาเสพติดแล้ว ก็หมดความเป็นผู้เป็นคน กลายเป็นผีห่าซาตาน ไม่รู้จักพ่อ ไม่รู้จักแม่ ไม่มีผู้มีพระคุณ ไม่มีอนาคต อย่าว่าแต่จะไม่มีใครเลย แม้แต่ท้องฟ้าก็ยังมองไม่เห็นสีฟ้า”
“นิมนต์หลวงตาหยุดเทศน์เดี๋ยวนี้!” ชิงชัยตวาด
ศรีไพรจ้องหน้าชิงชัยอย่างเกลียดชัง
“แกนั่นแหละหยุดเห่า พระท่านกำลังจะเทศน์โปรดคนบาป”
ชิงชัยโกรธ
“ไอ้ศรีไพร แกหาว่าพ่อฉันเป็นคนบาปยังงั้นหรือ แล้วไอ้เงินที่พ่อทอดกฐินไว้ล่ะ เงินใคร ก็ไหนว่าทำบุญแล้วจะได้บุญยังไงล่ะ”
หลวงตาถอนใจ
“ทำบุญแล้วจะได้อะไรมันอยู่ที่เจตนา นะโยม ลูกของโยมติดยาก็ต้องบำบัด ไม่ใช่เอาไปขังไว้ไม่ให้ใครรู้ใครเห็น นั่นน่ะมันไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องหรอก”
“เอาตัวชาริณีไป” บุญช่วยสั่งเสียงเข้ม
ศรีไพรขวาง
“ไปไม่ได้”
“ฉันเป็นพ่อของมัน ทำไมฉันจะเอามันกลับไป...ไม่ได้!” บุญช่วยตวาด
“ท่านเศรษฐี แต่ลูกของท่านเศรษฐีกำลังจะลงแดงตายนะ” มหาเฉื่อยพยายามห้าม
บุญช่วยไม่สนเข้ากระชากร่างของชาริณี
“ไป กลับบ้าน ฉันจะขังแกไว้ในห้องมืด แกจะได้ไม่ออกมาประจานฉันอีก”
ศรีไพรรั้งชาริณีไว้
“ไม่ให้ไป!”
ชาริณีฝืนตัวไม่ยอมไปกับพ่อ
“ศรีไพร ช่วยด้วย”
หลวงตามองชาริณีอย่างสงสาร
“ขออนุโมทนาชีวิตไว้สักชีวิตเถอะ ท่านเศรษฐี เงินก็มี ทองก็มี ชื่อเสียงทรัพยสมบัติมีแล้วทั้งนั้น ปล่อยสัตว์โลกสักตัวจะเป็นไรไป”
ชาริณีกอดศรีไพรไว้แน่น มองไปยังบุญช่วยด้วยความหวาดกลัว บุญช่วยหันหลังกลับ สะเทือนใจก่อนผลุนผลันออกไป ชิงชัยหน้าเหวอ
“อ้าว พ่อ...”
ชิงชัย หลิมและเลิศรีบตามเศรษฐีบุญช่วยออกไป ชาริณีร้องไห้โฮ กอดศรีไพรไว้แน่น แววตาของศรีไพรสลดลง ค่อยๆโอบกอดกระชับชาริณีอย่างปลอบโยน
ทวนและเมินเดินออกมายังลานบ้าน เมื่อเห็นรถยนต์ของบุญช่วยแล่นเข้ามา สไบและแหว่งยืนอยู่ที่ระเบียง ทั้งสองหันมาสบสายตากันอย่างมีเลศนัย ชิงชัยรีบเข้ามาเปิดประตูให้บุญช่วย การเคลื่อนไหวของบุญช่วยช้าลง เพราะสะเทือนใจกับภาพของชาริณีติดยาเสพติดที่ตนเป็นผู้ผลิตและค้า
“คุณสไบของบ่าวขา ท่านเศรษฐีกลับมาแล้วละค่ะ”
บุญช่วยเดินขึ้นบันได ล้มทรุดกลิ้งตกลงมาจากบันได ชิงชัยตกใจ
“พ่อ...”
สไบหน้าตื่น
“ท่านเศรษฐี!”
ทุกคนตื่นตระหนก ทวนและเมินขยับจะก้าวเข้ามา เลิศกับหลิมวิ่งตัดหน้าทั้งสองเข้าประคองบุญช่วย บุญช่วยสลบแน่นิ่งไป ชิงชัยตกใจมาก
เมินและทวนจ้องมองไปยังห้องพักฟื้น ด้วยท่าทีสอดแนม สไบเปิดประตูออกมา เมินและทวนมอง ไปยังเศรษฐีบุญช่วยที่ยังอยู่ในเครื่องช่วยหายใจอยู่ สไบและแหว่งยิ้มแย้มแจ่มใส
“เชิญค่ะคุณสไบของบ่าวขา อยู่ดีดี๊...ราศีจับ จะร่ำรวยทรัพย์สินสมบัติโดยไม่ต้องออกแรง ท่านเศรษฐีช็อค สลบไปสามวันแล้วยังไม่ฟื้น หมอบอกว่าเส้นเลือดในสมองแตกเพราะความเครียด ยังงี้ก็เข้าทางคุณสไบของบ่าวขาน่ะซีคะ”
สไบยิ้มพึงใจ
“ไม่นึกเลย เวลาที่ฉันรอ บทมันจะมาถึงมันก็เกยพรวดซะยิ่งกว่าราชรถ”
“ไม่มีท่านเศรษฐี ไม่มีคุณชาริณี แล้วต่อไปนี้ใครจะเป็นใหญ่ นอกจาก...คุณสไบของบ่าวขา”
“ใช่ ฉันนี่แหละ จะครอบครองทั้งเงิน แล้วก็ธุรกิจของไอ้แก่”
ทวนและเมินเข้าหลบมุม สไบเดินเชิดหน้า แหว่งมองตามยิ้มเหยียดก่อนที่จะเดินนวยนาดเลียนแบบสไบ ทวนและเมินมองตามไปด้วยแววตาเคร่งขรึม
ชาริณีอาเจียนเอาพิษร้ายออกจากร่างกาย หลังได้รับการรักษาด้วยสมุนไพรสูตรของหลวงตาฉุนศรีไพรคอยช่วยเหลืออยู่ใกล้ๆ
“ศรีไพร เธอช่วยฉันทุกอย่าง ไม่โกรธ ไม่เกลียดที่ฉันเคยทำร้ายเธอ เคยแย่งคุณทวนไปจากเธอ เคย...ดูถูกดูหมิ่นว่าชาวนาต่ำต้อย ฉันเลวยังงั้นเธอยังให้โอกาสฉันอีก”
“เพราะเราเป็นคนบ้านนา เราต้องไม่ดูดายกันไง ยาน่ะเลิกยากก็จริงแต่มันเลิกได้ คนที่เขาติดมันแล้วกลับเนื้อกลับตัวใหม่ กลับไปเป็นคนดีของสังคมมีมากมาย คนพวกนั้นได้รับโอกาส เราถึงต้องแจกจ่ายโอกาสที่ดีให้กับคนที่เขาต้องการ”
“ศรีไพร ฉันจะพยายาม ฉันสัญญา...”
ชาริณียื่นมือมาจับมือ ศรีไพรก้มลงมองอย่างลังเล เงยหน้าขึ้นมองสบสายตาของชาริณี ศรีไพรยิ้ม ให้อภัยชาริณี กระชับมือของกันและกัน
ศรีไพรกลับจากวัด อย่างอ่อนเพลีย เหนื่อยล้าชะงักก้าวเมื่อมองเห็นศรีแพรนั่งกอดปืน มองพระจันทร์บนท้องฟ้าอย่างมีความสุข
“พี่ศรีแพร นั่นพี่ยังไม่นอนอีกหรือ”
“นอนไม่หลับ ถ้าไม่ได้อยู่รอบอกข่าวดีกับน้อง”
ศรีไพรแปลกใจ
“ข่าวดีหรือ ข่าวดีอะไร”
ศรีแพรยิ้มหยัน
“กรรมมันตามทันเศรษฐีบุญช่วยแล้ว มัน...เส้นเลือดในสมองแตก นอนแน่นิ่งไม่รู้จะตายหรือจะอยู่ จะฟื้นหรือไม่ฟื้น”
ศรีไพรแปลกใจกับข่าวบุญช่วย ศรีแพรจ้องหน้าศรีไพรเยาะๆ
“จะไปช่วยสงเคราะห์เศรษฐีบุญช่วยอีกคนก็ได้นะ แม่นักสังคมสงเคราะห์”
ศรีแพรสะบัดหน้าเข้าบ้านไป ศรีไพรขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ
ชิงชัยเดินลงมาจากบ้านพร้อมกับจ่าสิน หลิมและเลิศ
“อาการของพ่อไม่ดีขึ้นเลย นอนนิ่งๆ ไม่รู้จะฟื้นเมื่อไหร่ โธ่โว้ย...งานกำลังจะไปดี แล้วไอ้ของที่สั่งเข้ามาล่ะ จะทำยังไง” ชิงชัยเครียดหนัก
“ต้องรีบส่งของเร็วที่สุดนะ ตอนนี้...มีตำรวจเข้ามาเดินเพ่นพ่านในบ้านนานี่เต็มไปหมดจนผมไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ผมถึงต้องระวังตัวแจ นี่ผมก็...กำลังจะถูกสอบสวน”
ชิงชัยตัดสินใจ
“งั้นก็ส่งซะเลย ไอ้เลิศ เอ็งเอาของไปส่งคืนนี้นะ”
“ครับ คุณชิงชัย”
เมินและทวนแอบฟังอยู่คนละมุม ค่อยๆ ขยับก้าวหนีจนหลังแตะกัน ทั้งสองสะดุ้งก่อนหันมามองหน้ากันด้วยความสงสัย
ค่ำคืนนั้น...เลิศขับรถบรรทุกคลุมด้วยผ้าใบวิ่งไปตามถนนเปลี่ยว เพื่อนำอาวุธเถื่อนไปส่งยังจุดนัดหมายเห็นด่านตรวจเฉพาะกิจ แสงไฟวาววับ เลิศชะลอความเร็ว ก่อนที่เบรกจอด ด่านตรวจไฟมืดสลัว ทหารในชุดสนามถือปืนยืนคอยระวังอยู่ห่างๆ เลิศหันไปบอกนายทหาร
“ของๆ เศรษฐีบุญช่วย”
ทวนในเครื่องแบบทหารลายพรางสีเขียว สวมหมวกหรุบศีรษะ เดินตรวจไปรอบๆ รถบรรทุกเลิศยิ้มหยิ่งๆ เพราะไม่รู้ว่าเป็นทวน
“ไม่ต้องตรวจหรอกน่า ของท่านเศรษฐีกี่เที่ยวๆ ก็ไม่เคยตรวจละเอียด อย่าเรื่องมากน่ะ เสียเวลา”
ทวนเดินไปรอบๆ รถบรรทุกอีกรอบหนึ่ง ก่อนเดินมาหยุดตรงหน้าเลิศ
“ไปได้...!”
“ก็แค่นั้น...”
เลิศขับรถบรรทุกออกไป ทวนค่อยๆเปิดหมวกออกมองตามไปด้วยรอยยิ้มขบขัน
เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 30.2
บุญช่วยนอนลืมตานิ่งๆ เพราะมีอาการเส้นเลือดในสมองแตกเป็นอัมพฤกษ์ สไบเปิดประตูออกอย่างช้าๆ ก้าวเข้ามาจ้องมองบุญช่วยด้วยแววตาคั่งแค้น ในมือของสไบถือมีดปลายแหลมเข้ามา ดวงตาของบุญช่วยเปล่งประกายหวาดกลัว แต่ร่างกายไม่ไหวติง
“ฉันยังไม่ฆ่าแกหรอกไอ้แก่ แกทำกับฉันเหมือนสัตว์ เรื่องอะไรฉันจะให้แกตายง่ายตายเร็ว แกต้องชดใช้ที่แกเคยกดขี่ข่มเหงฉัน ฉันจะทรมานแก เหมือนอย่างที่แกเคยทรมานฉัน ลูกของแกจะไม่ได้ใช้เงินที่แกหามาได้บนความทุกข์ของคนอื่น”
ชิงชัยเปิดประตูเข้ามาสไบรีบซ่อนมีดไว้เบื้องหลัง ปรับสีหน้าใหม่ ชิงชัยมองสไบด้วยความแปลกใจ
“เธอน่ะเอง”
“ฉันเข้ามาดูพ่อคุณ ตั้งแต่รับออกมาจากโรงพยาบาล พ่อคุณยังไม่กระดิกตัวเลยนะ”
“พ่อเส้นเลือดในสมองแตก กลายเป็นคนป่วยอัมพฤกษ์ ชาริณีก็ไปเข้าพวกกับไอ้ศรีไพร ไม้พะยูงก็กำลังจะส่ง ฉันจะเป็นบ้าอยู่แล้ว ทำไมอะไรๆ มันต้องถาโถมเข้ามาตอนนี้ด้วย”
“กรรมมันคงจะตามมาทันแล้วละมั้ง” สไบพูดหยันๆ
ชิงชัยไม่พอใจ
“สไบ ที่พูดนี่...เธอจะซ้ำเติมพ่อฉันหรือ”
“ฉันพูดความจริง พ่อคุณฆ่าคนตายเป็นผักปลา พรากลูกพรากแม่ ทำให้ครอบครัวคนอื่นล่มสลาย แล้วทำไมบาปมันจะไม่ตามมาล้างแค้น”
“สไบ...” ชิงชัยปราม
“คุณเองก็เถอะ เหลือเวลาอีกไม่เท่าไหร่หรอก ถ้า...”
ทันใดนั้น เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังขึ้น ชิงชัยกดรับโทรศัพท์
“ฮัลโหล มีอะไรวะ เลิศ”
เลิศยืนพิงรถบรรทุกที่คลุมด้วยผ้าใบสีดำ กำลังพูดโทรศัพท์กับชิงชัย
“ผมมาถึงจุดนัดหมายแล้ว แต่ไม่มีคนมารับของ นี่ผมรออยู่เกือบชั่วโมงแล้วจะให้ผมทำยังไงครับ รอ...หรือว่า...กลับ”
ขณะเดียวกันนั้น ทวนและทหารก้าวเข้ามา ใช้ปืนจี้ที่ศีรษะ เลิศตาเหลือก ค่อยๆ ลดโทรศัพท์ลง
“อย่าเพิ่งกลับเลย ไหนๆ ก็มาแล้ว กลับไปมือเปล่าเดี๋ยจะเสียเที่ยวนะ”
เลิศมองทวนอย่างตกใจ
“ไอ้...ไอ้ทวน”
“ฉันเอง บนรถบรรทุกนี่มีอะไร”
เลิศมองไปยังทหารพรานคนอื่นๆ ก่อนหันกลับมาจ้องทวนด้วยสายตายิ่งตื่นตระหนก
“ไอ้ทวน แก...แกเป็น...”
“ไม่ต้องสนหรอกว่าฉันเป็นใคร”
ทวนหันไปพยักหน้าให้ทหาร ทหารทำความเคารพ ก่อนปีนขึ้นไปเปิดผ้าใบคลุมรถบรรทุก เลิศยิ่งตื่นตระหนก
“แก...แกเป็น...งั้นที่ด่านนั่นก็แกน่ะซี”
“ปีนเอ็มสิบหก กับลังกระสุน ครบตามจำนวนที่ผู้กองรายงานครับ” ทหารตะโกนลงมาจากรถบรรทุก
เลิศอุทานเสียงแผ่วตื่นตระหนก
“ผู้กอง...!”
เลิศหันหลังกลับ วิ่งหนี ทวนวิ่งตาม เลิศชักปืนยิงสวน ทวนกลิ้งตัวหลบ ชักปืนขึ้นมายิงสู้ในที่สุดเลิศก็ถูกยิงตาย
“เอายังไงต่อครับผู้กอง”
“คุณเอาของกลางนี่ไปกองบัญชาการ ผมจะกลับเข้าไปในบ้านเศรษฐีบุญช่วย”
“ครับผม” ทหารทำความเคารพ
ชิงชัยเดินอย่างรีบเร่งลงมาจากบันไดอย่างร้อนใจ หลิมนั่งหลับอยู่ที่แคร่
“ไอ้หลิม ตื่น”
หลิมสะดุ้งตื่น
“ท่านเศรษฐีเป็นอะไรครับ คุณชิงชัย”
“พ่อฉันน่ะไม่เป็นไรหรอก นอนนิ่งๆ แต่ไอ้เลิศน่ะซี ฉันให้มันไปส่งของแต่มันเงียบหายไปเฉยๆ ติดต่อไม่ได้”
“แล้ว...แล้วไงครับ”
“ออกไปดูไอ้เลิศกัน”
หลิมรีบขับรถยนต์พาชิงชัยออกไป เมินค่อยๆ เยี่ยมหน้าออกมาจากมุมที่หลบอยู่ จ้องมองตามไป ขณะที่จะย่องออกไปอีกทางหนึ่ง สไบเข้ามาขวางไว้
“จะไปไหนคะคุณเมิน”
เมินชะงักกึก
“เอ้อ...อ้า...จะ...จะ...จะกลับไปนอนครับ”
สไบยิ้มยั่วยวน
“ไปนอนที่ห้องฉันก็ได้ เรือนแถวคนงานน่ะอุดอู้ ซอมซ่อเหมือนรังหนู ไม่สมเกียรติของคุณ”
“ผมไม่มีเกียรติอะไรหรอกครับ ในเล้าหมูก็นอนได้ อ้า...ผมเป็นคนกินง่ายนอนง่ายแต่ตายยากครับ”
สไบเข้ามาเกาะไหล่ของเมินอย่างยั่วยวน
“แล้วถ้ามีของอร่อยๆ ป้อนให้ถึงปากบนฟูกนี่ สนใจมั้ย”
เมินแสร้งร้องขึ้น
“โอ้ย ปวดท้องกระทันหันอีกแล้วครับ อ้า...คุณสไบขึ้นไปก่อนนะครับ ผมจะไปจัดการธุระส่วนตั๊ว...ส่วนตัว”
“เสร็จธุระส่วนตัว ตามไปนะ ประตูห้องฉันไม่ได้ลงกลอน”
สไบทิ้งสายตาก่อนเดินขึ้นบ้านไป เมินมองตาม ถอนหายใจอย่างโล่งอกค่อยๆย่องออกไปนอกบริเวณบ้านบุญช่วย
ศรีแพรนั่งอยู่ที่หน้าต่าง ทีท่าเหงา เศร้าหมองเมื่อคิดถึงเมิน ศรีไพรเข้ามาโอบไหล่
“พี่ยังคิดถึงพี่เมินอยู่ใช่มั้ย”
ศรีแพรแสร้งทำเย็นชามึนตึง
“เปล่า”
“พี่อย่าโกหกฉันเลย พี่เมินเป็นรักแรกของพี่ พี่ไม่มีวันลืมรักแรกของพี่ได้หรอก ผู้หญิงทุกคนก็เหมือนกัน”
ศรีแพรจ้องหน้าน้องสาว
“แกก็คงยังรักพี่ทวนอยู่ใช่มั้ยล่ะ เพราะพี่ทวนก็เป็นรักแรกของแก”
ศรีไพรอึ้งไป
“ฉัน...”
“ศรีไพร ความรักมันไม่ต้องการเวลา แต่การลืมน่ะ...มันต้องใช้เวลาเยอะ อย่าถามพี่ว่ายังรักเขาอยู่หรือเปล่า เพราะพี่กับพี่เมิน ไม่มีวันได้ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างผัวเมียอีกแล้ว”
ศรีแพรลุกจากหน้าต่างออกไป ศรีไพรมองตาม พึมพำเบาๆ ด้วยความรู้สึกเจ็บปวด
“พี่ศรีแพร...”
จ่าสินเตรียมส่งไม้พะยูง ซึ่งเป็นไม้สงวนออกนอกประเทศ คนงานกำลังลำเลียงไม้พะยูงขึ้นรถบรรทุก เมินคลานเข้ามาหลบอยู่หลังท่อนไม้
“ไม้พะยูงพวกนี้ เป็นไม้มงคลที่มีเหลืออยู่ในป่าอีกไม่กี่ร้อยต้น ราคามันสูงพอๆ กับทองคำ เอาขึ้นรถไปลงเรือข้ามฝั่ง แล้วส่งไป...” จ่าสินสั่งการ
เมินก้าวเข้ามา ท่าทีกวนโทสะ
“นี่ขนาดรู้ว่ามีเหลืออยู่ไม่กี่ต้น ยังตัดลงคออีกหรือ ไม้พะยูงเป็นสมบัติของป่า ใจคอจะไม่เหลือให้ลูกหลานดูเลยหรือว่าไม้พะยูง...มันเป็นยังไง”
“ไอ้...ไอ้เมิน”
จ่าสินควักปืน คนงานต่างควักปืนจ้องมาที่เมิน จ่าสินยิ้มเยาะ
“ไม่ใช่เรื่องของแก นี่เป็นไม้ของเศรษฐีบุญช่วย”
“ตอนนี้เศรษฐีบุญช่วยนอนนิ่งๆ พูดไม่ได้ ขยับตัวไม่ได้ จ่าเลยฉวยโอกาสส่งไม้พวกนี้ข้ามฝั่งก่อนที่นายชิงชัยจะรู้”
“ไอ้เมิน แกจะรู้มากหรือรู้น้อยตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์หรอก เพราะ...แกจะไม่ได้พูด”
จ่าสินหันไปพยักหน้า ให้คนงานเตรียมยิงถล่ม เมินใช้ศิลปะการต่อสู้ที่เหนือชั้น แย่งปืนจากในมือจ่าสิน ใช้ปืนจ่อที่ปลายคางของจ่าสิน
“ใครกันแน่จะไม่ได้พูด แก...หรือฉัน มันอยู่ที่ไอ้พวกนี้”
จ่าสินตาเหลือกด้วยความหวาดกลัว รีบตะโกนสั่งคนงาน
“เฮ้ย อย่ายิงนะโว้ย”
“ทิ้งปืน แล้วถอยออกไป ฉันคนเดียวแต่ฉันกล้าแลก คนละเปรี้ยง...แก...สมองเละ ...ฉัน...พรุนทั้งตัว”
“ทิ้งปืน...”
จ่าสินตะโกนสั่ง ค่อยๆเหลือบมองที่ปืนของเมินอย่างหาจังหวะ เล่นงานคืน คนงานต่างทิ้งปืน
ทันใด จ่าสินสะบัดตัวปัดปืนในมือเมินอย่างเร็ว ผลักร่างของเมินกระเด็นออกไป ปืนกระเด็นจากมือของเมิน ทั้งสองเข้าต่อสู้กัน คนงานรีบเก็บปืน จ้องจะยิง แต่ยิงไม่ได้ เพราะการต่อสู้ของเมินและจ่าสินพัลวันพันตูกันอยู่
จ่าสินถีบเมินกระเด็นออกไป ต่างกระโดดตัวลอยไปล้มลงตรงหน้าปืนที่ตกอยู่ จ่าสินคว้าปืนได้ยิงใส่ แต่เมินกลิ้งหลบได้ทันแล้วยิงใส่จ่าสินถูกที่ไหล่ จ่าสินรีบหลบหนีไป เมินยิงใส่คนงานที่ต่างยิงใส่ ก่อนที่จะวิ่งหลบหนีหายเข้าไปในป่า
หลิมขับรถยนต์พาชิงชัยออกมาตามเลิศ พบเลิศนอนคว่ำหน้า ถูกยิงตายอยู่กลางถนนหลิมหน้าตื่นตกใจ
“นั่นมันไอ้เลิศนี่”
“เฮ้ย หยุด...”
ชิงชัยและหลิมรีบลงมาจากรถยนต์ พลิกศพของเลิศ ชิงชัยกวาดสายตามอง
“แล้วรถบรรทุกล่ะ หายไปไหน”
“มีแต่รอยล้อรถกับรอยเลือดครับ หรือว่าไอ้พวกนั้นมันจะหักหลังคุณชิงชัย เพราะรู้ว่าตอนนี้บารมีของเศรษฐีบุญช่วยกำลังตก”
“มันชิงรถบรรทุก อาวุธสงคราม” ชิงชัยแผดเสียงด้วยความโกรธ “มันหักหลังกู”
เช้าวันใหม่ หลวงตาเดินนำหน้ามหาเฉื่อยมาที่ลานวัดหลังจากไปรับบาตรมา เห็นชาริณีกำลังเดินไปมาอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ด้วยท่าทีเหงาซึม
“คงจะใช้เวลาสักพัก แล้วก็จะดีขึ้น วัดเป็นที่เงียบที่เย็น ทำให้เกิดปัญญาไม่ยากหรอก ดูๆ ไปตามอัตภาพนะ ท่านมหาเฉื่อย”
“ขอรับหลวงพ่อ”
มหาเฉื่อย มองท่าทีของชาริณีที่สงบลงอย่างปลงๆ
ทางด้านศรีไพรหิ้วปิ่นโต กำลังจะเดินลงบันได ศรีแพรส่งเสียงห้วนๆ ไม่พอใจ
“นั่นจะเอาปิ่นโตไปให้ใคร ไหน...เอามาดูซิ มีอะไรบ้าง”
“พี่ศรีแพร ของในปิ่นโตนี่แม่แบ่งจากเหลือใส่บาตร เอ้อ...เอาไป...”
“ทำทานให้คนบาปแล้วจะได้อะไร เอาไปโขกให้หมากินมันยังสำนึกว่าใครให้ข้าวให้น้ำ แกจำไม่ได้หรือว่ามันเคยทำอะไรกับแกไว้”
ศรีไพรมองพี่สาวอย่างหวั่นกลัว
“พี่...พี่ศรีแพร”
“มันเคยดูถูกพวกเราชาวนา ใช้รถไม่เคยเห็นหัวคนเดินถนน ไหนมันจะแย่งพี่
ทวนไปจากแกอีกล่ะ”
“พี่ศรีแพร ถ้าพี่ศรีแพรเห็นชาริณีตอนนี้ พี่คงจะไม่...”
“ฉันไม่มีวันให้อภัยลูกหลานเศรษฐีบุญช่วยหรอก มันฆ่าพ่อ แกน่าจะฆ่ามันทิ้ง”
“แล้วมันได้อะไรขึ้นมา ฆ่ากันไม่จบไม่สิ้นยังงั้นหรือ เศรษฐีบุญช่วยต้องนอนนิ่งๆ พูดไม่ได้ ขยับตัวไม่ได้”
ศรีแพรโกรธพูดเสียงดัง
“ยังน้อยไป ทำบาปมาตั้งเยอะแยะ แล้วมานอนสบายๆ เดินก็ไม่ต้องเดิน นั่งก็ไม่ต้องนั่ง ยังงี้หรือ...ที่เขาเรียกว่ากรรมตามสนองน่ะ”
น้ำเสียงของศรีแพรเต็มไปด้วยความผิดหวัง ชิงชัง ประชดด้วยความรู้สึกขมขื่น
บุญช่วยนอนนิ่งๆ ขยับเขยื้อนร่างกายไม่ได้ เพราะอาการอัมพฤกษ์ ต้องนอนลืมตาทั้งที่หูยังได้ยินชัดเจน สไบเปิดประตูเข้ามา โดยมีแหว่งตามมาติดๆ แหว่งแต่งเนื้อตัวเลียนแบบสไบ แบบเวอร์สุดๆ
“เมื่อคืนนี้คุณเมินเขาปล่อยให้ฉันนอนรอเหมือนแมวหง่าวอยู่ในห้อง ทั้งที่นัดกันดีแล้วว่าเขาจะเข้าไปนอนกับฉัน”
ดวงตาของบุญช่วยเปล่งประกายโกรธแค้น
“เอ๊ะ ทำไมเขาถึงได้ทำยังงั้นล่ะคะ เขาโง่...เซ่อ...หรือว่าเขาเป็น...”
“ฉันไม่เชื่อหรอกว่าคุณเมินเขาจะเป็นเกย์ หนุ่มแน่น ล่ำบึ้กอย่างเขาคงไม่กลายพันธุ์หรอก หล่อๆ ล่ำๆ มีกลิ่นไอของความหนุ่มยังงี้แหละ ที่ฉันต้องการ”
สไบก้าวเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าบุญช่วย
“ฉันเบื่อไอ้แก่...หนังเหนียว...หย่อนยาน จืด...กร่อย ไม่มีรสชาติ เหมือนกินอาหารไม่ได้ปรุงรส ซ้ำเป็นของเก่าเก็บ”
แหว่งถลาเข้ามาทำทีประจบสไบ ปรายตามองบุญช่วย
“แต่เมื่อก่อนคุณสไบของบ่าวขาก็ดิ้นรนแทบตาย ถึงกับเอา...เอ้อ...เอายาพิษใส่ลงไปในอาหารให้เมียท่านเศรษฐีแก่กิน”
ดวงตาของบุญช่วยตื่นตระหนก สไบยิ้มเยาะ
“รู้ตอนนี้ก็สายไปแล้ว ใช่...ฉันเป็นคนวางยายายแก่นั่น ไม่ยังงั้นฉันคงไม่ได้เป็นเมีย...”
“นางบำเรอค่ะ คุณสไบของบ่าวขา”
“แต่ตอนนี้ฉันกำลังจะได้ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างของเศรษฐีบุญช่วย ไม่เสียแรงที่ฉันทน”
ดวงตาของบุญช่วยเปล่งประกายโกรธแค้น ริมฝีปากสั่นระริก ชิงชัยเดินนำหน้าหลิมขึ้นมาอย่างหัวเสียเรื่องที่อาวุธถูกปล้น
“ไปตามจ่าสินมาพบฉัน”
ชิงชัยเดินผ่านบุญช่วย โดยไม่ได้สนใจทั้งสไบ แหว่งและบุญช่วย
“จ่าสินต้องรับผิดชอบเรื่องหักหลัง เพราะจ่าสินเป็นคนวางแผนเรื่องส่งอาวุธ ฉันจะรอจ่าสินในห้องทำงาน”
“ครับ”
ชิงชัยเดินผ่านบุญช่วยไป หลิมแยกไปอีกทางหนึ่ง สไบมองตามไปด้วยความสงสัย
“คุณสไบของบ่าวขา สงสัยจะมีเรื่องไม่ค่อยดีค่ะ” แหว่งสนใจขึ้นมาอย่างมาก
อ่านต่อหน้า 2
เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 30 (ต่อ)
ชาริณีนั่งกอดเข่าพิงเสาศาลาวัด ศรีไพรหิ้วปิ่นโตเข้ามา
“แม่ทำกับข้าวมาให้เผื่อคุณกินข้าวก้นบาตรไม่ได้”
“พ่อฉันเป็นยังไงบ้าง” ชาริณีถามเสียงเศร้า
“เห็นว่ากลับจากโรงพยาบาลแล้ว คุณล่ะ...วันนี้เป็นยังไงบ้าง หน้าตาคุณค่อยเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาแล้วนะ”
“พ่อคงเสียใจที่ฉันเป็นเหยื่อ คนที่พ่อเลี้ยงแล้วก็ขุนมันให้อิ่มมันกลับทำร้ายลูกของพ่อ”
“คุณหมายถึงใคร จ่าสินใช่มั้ย”
“มันโหดเหี้ยมอำมหิต มันขู่บังคับให้ฉันยอมมัน“
ชาริณีร้องไห้ ผวาเข้ามากอดศรีไพรไว้
“ฉันไม่กล้าบอกพ่อเพราะกลัวมัน มันคอยดูแลของผิดกฏหมายให้พ่อ ไม่ว่าจะเป็นยาเสพติด ไม้ หรืออาวุธเถื่อน”
ศรีไพรตกใจ
“นี่พ่อคุณใช้บ้านนา เป็นที่ทำผิดกฎหมายหรือ”
ชาริณีหน้าเศร้าสลดลง
“กรรมกำลังจะสนองพ่อแล้วใช่มั้ย ตอนนี้พ่อต้องนอนนิ่งๆ ไม่ได้ใช้เงินที่พ่อหามาบนความทุกข์ยากของคนอื่น นี่คือกรรมใช่มั้ย ศรีไพร”
“ใช่ แต่เรื่องที่จ่าสินทำกับคุณ คุณต้องแจ้งความนะ เราต้องเอาคนสารเลวออกจากระบบให้ได้ ไม่ยังงั้นมันจะทำให้คนส่วนใหญ่เดือดร้อน”
ชาริณีชะงักนิ่งอึ้ง
“ฉัน...”
“เราต้องร่วมมือกัน เอาจ่าสินออกจากราชการ” ศรีไพรส่งสายตาให้กำลังใจ
จ่าสินที่ถูกยิงบาดเจ็บ ว่ายน้ำขึ้นมาบนฝั่ง ก่อนฉีกเสื้อผ้าขึ้นพันห้ามเลือดของตัวเอง จ่าสินดึงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ น้ำไหลออกมาจากโทรศัพท์
“โธ่โว้ย แล้วฉันจะติดต่อคุณชิงชัยยังไงวะ ไอ้เมิน!” จ่าสินคำรามด้วยความแค้นใจ
ทางด้านเมินเดินผิวปากเข้ามา ขณะที่ทวนเข้ามาอีกทางหนึ่ง ต่างเผชิญหน้ากัน
“แก หายไปไหนมา” เมินถามเสียงเข้ม
“แกก็เหมือนกัน เมื่อคืนนี้ แก...ไม่อยู่”
สไบเดินนำหน้าแหว่งเข้ามา สไบค้อนเมิน
“นั่นซี ใครจะเป็นคนตอบฉันก่อนว่าใครหายไปไหน”
แหว่งสอดขึ้นทันที
“หายไม่หายเปล่า ปล่อยให้คุณสไบของบ่าวขานอนสะบัดร้อนสะบัดหนาวเพราะ...”
“นังแหว่ง...!” สไบตวาด
แหว่งสะดุ้ง
“อุ๊ย ขอโทษค่ะคุณสไบของบ่าวขา ก็บ่าวขาได้ยินเสียงคุณสไบของบ่าวขาตะกายข้างฝาแกรกๆ นี่คะ”
สไบถลึงตาใส่
“นังแหว่ง”
แหว่งจ๋อยไป
“คะ...ขา...ค่ะๆๆๆ”
ทวนมองไปยังเมินอย่างรู้ทัน แววตายิ้มๆ ขบขัน
“แกเป็นคนตอบคุณสไบของบ่าวขาก่อนดีมั้ย เพราะการหายไปของแกนี่น่าจะสำคัญกว่าฉันหายนะ”
ชิงชัยส่งเสียงเข้มดุมาจากเรือน เดินนำหน้าหลิมลงมา
“มันก็สำคัญทั้งสองคน ทั้งเอ็งทั้งไอ้เมิน มีเรื่องคับขันทีไรเอ็งสองคนไม่เคยอยู่เป็นมือเป็นตีนฉันเลยนะ”
“ก็คนง่ะ...ไม่ใช่บาทา!” เมินตอบกวนๆ
ชิงชัยหันไปมองสไบอย่างไม่พอใจ
“เธอมีหน้าที่ดูแลพ่อฉัน ไม่ต้องมาทำระริกระรี้กระดี๊กระด๊ากับไอ้พวกนี้ เห็นผู้ชายไม่ได้หูตั้งเป็นกระต่ายขึ้นคานเชียวนะ นังสไบ”
สไบยิ้มขบขัน เขิดหน้าหยิ่ง
“ก็แค่ผู้ชายบางคน แต่บางคนน่ะเห็นทีไร หูกระต่ายตกทุกที คงรู้นะว่าฉันหมายถึงใคร...ไปนังแหว่ง”
“ค่ะ คุณสไบของบ่าวขา”
สไบเดินนำไป แหว่งเดินนวยนาดดัดจริต ขึ้นเรือนไป ชิงชัยมองตามไปด้วยความโกรธ
“นังสไบนี่มันคางคกจริงๆ”
“ตอนยังไม่ได้ลิ้มรสก็นึกว่าเป็นห่านฟ้า รับประทานเข้าไปแล้วถึงรู้ว่าเป็นคางคก...ตายซาก!” ทวนพูดหยันๆ
เมินมองหน้าชิงชัย
“คุณมีอะไรจะใช้พวกผม”
“ไปตามจ่าสินมาพบฉัน ฉันติดต่อจ่าสินไม่ได้”
เมินอึ้งๆเพราะเพิ่งยิงจ่าสินมา ชิงชัยหันไปสั่งทวน
“ส่วนแก...”
ทวนงงๆ
“ผมหรือ...”
“ไปเก็บศพไอ้เลิศ”
“ครับ ไปเดี๋ยวนี้...”
ทวนจะเดินไป ชิงชัยเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อน...”
ทวนชะงักหันมา
“มีอะไรหรือครับคุณชิงชัย”
“แกรู้หรือว่าศพไอ้เลิศมันอยู่ที่ไหน”
ชิงชัยก้าวเข้ามาจ้องหน้าทวนอย่างจับผิด
ศรีไพรหิ้วปิ่นโตเปล่าเดินกลับบ้าน ขณะที่จ่าสินหลบอยู่ในมุมหนึ่ง จ้องมองไปยังศรีไพรแล้วชักปืนออกมา
“ไอ้ศรีไพร...”
ศรีไพรหยุดก้าว จ้องมองไปยังจ่าสินที่เอาปืนจี้เธออยู่
“มาได้จังหวะ ฉันกำลังลำบาก”
ศรีไพรชำเลืองมองบาดแผลของจ่าสิน ก้มลงมองปิ่นโต แล้วจงใจปล่อยปิ่นโตหลุดจากมือ ปิ่นโตแตกเถากระจายอยู่ที่พื้น
“แกต้องการอะไร” ศรีไพร ถามเสียงเข้ม
“พี่เขยแกทำฉันแสบ!”
ศรีไพรแปลกใจ
“พี่เมิน...!”
“มันอาจจะไม่ใช่ไอ้เมินคนขี้คุก เหมือนที่ชาวบ้านนาเข้าใจ มันอาจจะเป็นใครก็ได้ที่ปลอมตัวเข้ามาโค่นอิทธิพลของเศรษฐีบุญช่วย”
ศรีไพรฟังอย่างแปลกใจ
“พี่เมินน่ะหรือ”
“ถ้ามันเป็นแค่ไอ้เมินคนอันธพาล มันโค่นฉันไม่ได้หรอก มานี่...”
จ่าสินกระชากร่างของศรีไพร เอาปืนจ่อที่ลำคอ ศรีไพรตกใจ
“แก...แกจะพาฉันไปไหน”
“ฉันจะพิสูจน์ให้ได้ว่าไอ้เมินมันเป็นใคร”
ศรีไพรมองจ่าสินอย่างตื่นตระหนก
ค่ำคืนนั้น ศรีแพรและแสนเก็บข้าวของ โดยมีตะเกียงให้แสงสว่าง สดส่งเสียงลงมาจากบ้านด้วยความกังวล
“ศรีไพรกลับมาหรือยัง”
“ยังเลยแม่” แสน บอก
สดชักเป็นห่วง
“ก็ไหนว่าเอาปิ่นโตไปส่งชาริณี ป่านนี้น่าจะกลับมาแล้วนะ”
“ฮึ คงจะสงเคราะห์ป้อนอาหารให้ด้วยละมั้ง นังนั่น...มันเคี้ยวไม่เป็นเพราะเคยอยู่บนกองเงินกองทอง ไม่เคยตกกระป๋อง ไอ้ศรีไพรเลยช่วยเคี้ยวให้ด้วย จากนั้นก็...กลืน” ศรีแพรประชดประชัน
“ฟังพูดเข้า ก็น้องมันสงสารคนตกทุกข์ได้ยาก แม่มาคิดๆ ดูชาริณีกำลังแย่ กลับบ้านก็กลับไม่ได้ อาการติดยาก็ยังไม่หายขาด ต้องอยู่ในกุฏิร้างข้างๆวัด ให้หลวงตากับท่านมหาเฉื่อยดูแล”
“ก็สมกับความผิดของชาริณีแล้วนี่ แม่อย่ามาขอให้ฉันให้อภัยคนพวกนี้เลยฉัน...ไม่ให้”
“แต่พี่ศรีไพรน่าจะกลับถึงบ้านแล้วนะ”
ศรีแพรชะงัก มองหน้าแสน แววตาโกรธแค้นสงบลง กลายเป็นกังวลห่วงน้องสาว
“พี่จะไปตามศรีไพร”
“ฉันไปด้วย”
ศรีแพรคว้าปืนลูกซองเดินลงจากเรือนไป แสนรีบตามออกไป สดตะโกนตามไปด้วยความกังวล
“ไอ้แสน เอาตะเกียงนี่ไปด้วย”
แสนวิ่งกลับมารับตะเกียงจากมือของสด ก่อนวิ่งกลับไป
ศรีแพรถือปืน แสนถือตะเกียง มุ่งเดินไปวัดเพื่อตามศรีไพรกลับบ้าน แสนชะงักเมื่อเห็นปิ่นโตข้าวที่ศรีไพรจงใจทิ้งไว้บอกเหตุ แตกกระจายอยู่ที่พื้น
“พี่ศรีแพร ดูนี่...”
“นี่มันปิ่นโตที่แม่ทำของให้ศรีไพรเอามาส่งชาริณีนี่”
“ทำไมมันร่วงกระจายอยู่ที่พื้นนี่ล่ะ พี่ศรีไพรไปไหน” แสนถามอย่างสงสัย
ศรีแพรใจหายวาบต้องเกิดเรื่องไม่ดีกับศรีไพรแน่
“ยุ่งแล้วไอ้แสน เอาตะเกียงมานี่”
แสนส่งตะเกียงให้ศรีแพร
“เอ็งไปเรียกไอ้ทอกไอ้หมอกมา พี่จะกลับไปส่งข่าวแม่”
“จ้ะ”
แสนรีบวิ่งออกไป ศรีแพรค่อยๆ คุกเข่าลง ใช้ตะเกียงส่องที่พื้นดิน เอื้อมมือไปแตะที่ปิ่นโต มองไปรอบๆ เห็นผ้าเปื้อนเลือดที่จ่าสินฉีกทิ้งไว้เพื่อห้ามเลือดก็ตกใจ
“เลือด...!”
ทอกกับหมอก นอนหลับก่ายกันอยู่หน้าเพิงพักในป่าช้า แสนวิ่งเข้ามาเหยียบลงบนร่างของทอกและหมอก
“พี่ทอก พี่หมอก”
ทอกสะดุ้งลุกขึ้นนั่งพนมมือตัวสั่นคิดว่าผี
“อย่าหลอกหลอนลูกช้างเลยลูกช้างกลัวแล้ว แล้วจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้”
หมอกเขกหัวทอกเข้าให้ เมื่อเห็นว่าเป็นแสน
“ไม่ใช่ผีโว้ย”
“ไอ้แสน ไอ้เด็กเมื่อวานซืน เดี๋ยวพ่อเขกกะโหลกเสียหรอก ไอ้นี่” ทอกฉุนขาด
หมอกมองแสน
“มาทำไมดึกๆ ดื่นๆ แถวนี้ผีดุนะเว้ย หัดหลับหัดนอนให้ตรงเวลาจะได้โตเร็วๆ”
“เป็น...ควาย!” ทอกเสริม
แสนร้อนใจมาก
“พี่หมอก พี่ทอก พี่ศรีแพรให้ฉันมาตามพี่”
ทอกกับหมอกตกใจ
“มีเรื่องอะไรวะ”
“พี่ศรีไพรหายไป”
ทอกกับหมอกหน้าตื่น
“หา...”
“งั้นจะช้าอยู่ทำไมวะ รีบไป” ทอกยอกอย่างร้อนใจ
ทอกและหมอกคว้าไม้หน้าสามวิ่งตามแสนออกไป ชาริณีก้าวออกมาจากมุมที่หลบอยู่หน้าตาตื่นตระหนกเมื่อรู้ว่าศรีไพรหายไป
สดแจกดุ้นฟืนให้กับชาวบ้านเป็นอาวุธ ทุกคนตื่นตกใจที่ศรีไพรหายไป
“เอ้า เอาไป ไม่มีปืนมีไม้ฟืนก็ยังดี หรือใครเอามีดพร้าติดมือมาด้วยก็ได้นะแยกย้ายกันหาลูกข้าให้ได้นะ โธ่...ศรีไพรลูกแม่”
“ฉันจะไปบุกบ้านเศรษฐีบุญช่วย” ศรีแพรบอกอย่างแค้นๆ
“ศรีแพร แล้วข้าสองคนล่ะ” ทอกถามขึ้น
“ไปด้วยโว้ย ปล่อยให้ผู้หญิงกับคนแก่ไปกันตามลำพังได้ยังไง” หมอกหันไปเรียก “เจ๊กตง อาเนี้ยว”
สุมิตร เข้ามา
“อีนี้นมัสเตแขกไปด้วย”
หมอกมองทุกคน
“จับคู่ แล้วแยกย้ายกันหาไอ้ศรีไพร ไอ้พวกนี้ก็แยกย้ายกันหา หาให้ทั่วบ้านนาเลยนะ”
“อีนี้...ใครไม่ดีต้องเจอมวยจีนของเจ๊กตงแน่” เจ๊กตงพูดสำนวนแขก
“แยกย้ายกันไปโว้ย ข้าจะไปกับเจ๊กตง ไอ้พวกนี้ใครจะไปกับข้าก็ตามมา ไอ้แขกไปกับอาม่วยเนี้ยว ไอ้กล่ำเอ็งเอาชาวบ้านไปสักสี่ห้าคน...ไป ไอ้ทอกไอ้หมอกไปกับศรีแพร ไปบ้านเศรษฐีบุญช่วยเผื่อไอ้ชิงชัยมันจะจับตัวไอ้ศรีไพรไป” มหาเฉื่อยสั่งการ
“ไปด้วย...!” แสนบอก
ต่างแยกย้ายกันออกไปเพื่อตามหาศรีไพร
“หาให้เจอนะ โธ่ ลูกแม่ เมื่อไหร่ไอ้พวกเลวๆ มันถึงจะหมดไปจากบ้านนานะ” สดร้องไห้ ตะโกนตามไป
ศรีไพรเดินนำหน้าจ่าสิน สายตาชำเลืองมองไปยังจ่าสินเพื่อสำรวจบาดแผล และท่าทีความเจ็บปวดของจ่าสิน
“มองอะไร” จ่าสินตะคอก
“ไปเสียทีพี่เมินมาใช่มั้ยล่ะ ถึงได้คิดว่าพี่เมินเป็น...เป็นอะไรนะ...พวกที่ปลอมตัวเข้ามาจับของผิดกฎหมายของเศรษฐีบุญช่วยน่ะ”
“อย่ายั่วโทสะฉันนะ”
“จ่ากินเงินภาษีของประชาชน จ่าไม่น่าทรยศต่อคนที่เลี้ยงจ่าให้มีชีวิตเลยนะ จ่ามีเอี่ยวกับเศรษฐีบุญช่วยเรื่องยา เรื่องไม้ เรื่องอาวุธเถื่อน ใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ผิด”
จ่าสินชักโมโห
“บอกแล้วไง อย่าพูดมาก!”
“แล้วคิดว่าจะรอดหรือ ยังไงคนดีๆ เขาต้องเอาคนชั่วออกไปให้พ้นถนนจนได้แล้วที่ๆ เขาจะจัดให้จ่าอยู่ก็คือ...คุก”
“ไอ้ศรีไพร...!”
จ่าสินเงื้อปืน จะฟาดลงบนใบหน้าของศรีไพรแต่เจ็บบาดแผลทรุดตัวลง ศรีไพรก้าวเข้ามาจะยกเท้าขึ้นเตะจ่าสินเงยหน้าขึ้นพร้อมปืน ศรีไพรชะงัก
สุมิตรและเนี้ยวพาพวกชาวบ้านตามหาศรีไพร สุมิตรร้องเพลงแขก เนี้ยวหันมาตวาดแว๊ด
“นี่ แขก มาตามคนหายนะ ไม่ได้มาถ่ายหนังแขก จะร้องจะเต้นไปทำไม”
“อีนี้ฉานกลัวผีจ้ะ มืดๆ ยังงี้ไม่กอดกัน ก็ส่งเสียงร้องเพลง ผีมันได้ยินเสียงคน มันจะได้หนีจ้ะม่วยเนี้ยวคนสวยจ๋า”
“ผีเมืองอินเดียน่ะซี ได้ยินเสียงเพลงแล้วหนี ผีเมืองไทยนี่เห็นคนแล้วหลอกย่ะ”
ทันใดนั้น กิ่งไม้หัก ตกลงมาจากต้นไม้
“ว้าก ช่วยด้วย แขกโดนผีหลอก”
สุมิตรากระโดดกอดเนี้ยว เนี้ยวหลับตาปี๋ ร้องลั่น กอดสุมิตรแน่น
“ว้าย ผีหลอก!”
สไบวิ่งลงมาจากเรือน โดยมีแหว่งกระฟัดกระเฟียดตามมาติดๆโรลม้วนผมยังติดอยู่บนศีรษะ
“ใคร ใครบังอาจเข้ามาในบ้านเศรษฐีบุญช่วย นี่มันเวลากลางคืนนะ ถึงเศรษฐีบุญช่วยจะฟอร์มตก แต่ฉันยังอยู่ ฉันดูแลธุรกิจของเศรษฐีบุญช่วย” สไบโวยวาย
“คุณสไบของบ่าวขา มีอำนาจสิทธิ์ขาดในบ้านนี้ ท่านเศรษฐีนอนหายใจพะงาบๆ คุณชิงชัยไม่อยู่ คุณทวนกับคุณเมินไปทำงาน แกต้องการอะไร”
สไบมองหยัน
“หรือว่า...จะมาตามผัวคืน ผัวนี่เลิกแล้วเลิกเลย เพราะผัวเมียเลิกกัน ผัวก็...”
แหว่งรีบพูดเสริมนาย
“ไปเป็นผัวของคนอื่น”
ศรีแพรท่าทางมึนตึงเอาเรื่อง
“ไม่ได้มาหาผัว แต่มาหาศรีไพร ศรีไพรหายไป สงสัยว่าจะถูกพวกเศรษฐีบุญช่วยจับมาเรียกค่าไถ่”
แหว่งตาโต
“ต๊ายตาย คุณสไบของบ่าวขาถึงจะฟอร์มตก แต่ก็ไม่ยึดอาชีพจับคนเรียกค่าไถ่หรอก ธุรกิจอีกตั้งเยอะแยะทำเงินทั้งนั้น”
ศรีแพรหันไปสั่งชาวบ้าน
“ขึ้นไปค้นบนบ้าน”
สไบเข้าขวาง
“เดี๋ยวก่อน...”
“ห้ามขึ้น!” แหว่ง เสียงแข็งใส่
“เศรษฐีบุญช่วยยังค้นบ้านฉันได้ ตอนที่ลูกสาวหาย ตอนนี้น้องสาวของฉันหาย ทำไมจะขึ้นไปค้นไม่ได้ ไป...ใครมีปัญหาเจอไอ้นี่”
สไบกับแหว่งขยาดๆ เมื่อศรีแพรส่ายปืนไปมาทุกคนกรูกันขึ้นบ้านไปค้นหาตัวศรีไพร สไบและแหว่งถูกชนกระเด็น
หลิมขับรถยนต์เข้ามาจอด ทวนและเมินก้าวลงมา กวาดสายตามองไปรอบๆ ด้วยท่าทีไม่ยี่หระ
“ไม่เห็นมีอะไรเลย” เมินบอกกวนๆ
ชิงชัยแปลกใจ
“ศพไอ้เลิศมันอยู่ตรงนี้ เอ๊ะ...แล้วนี่มันหายไปไหน”
หลิมเข้ามาบอก
“ไม่มีนี่ครับ คุณชิงชัย”
“ค้นดูแถวๆ นี้ ใครจะเอาศพไอ้เลิศไปทำไม”
“ความจริงเราน่าจะเก็บศพไอ้เลิศเสียตั้งแต่ตอนที่เจอมันครั้งแรก” หลิมหน้าตื่น “หรือว่า...”
ทวนสวนขึ้นทันที
“เสือลากไปแทะแล้วละมั้ง”
ชิงชัยจ้องหน้าทวน
“แถวนี้เป็นป่าละเมาะ ไม่มีเสือ ไม่มีสัตว์ใหญ่ ไอ้ทวน...”
“ครับผม”
“ฉันยังสงสัยอยู่ดี ว่าแกรู้ได้ยังไงว่าศพไอ้เลิศอยู่ที่ไหน มันเป็นอะไรตาย”
ทวนหันไปมองหน้าเมิน
“เฮ้ย ไม่เกี่ยว ไม่ต้องมามองหน้าฉัน ไอ้เลิศมันไม่ใช่ญาติผู้ใหญ่ของฉันนะ” เมินโวยวาย
“คุณชิงชัยถามแก เดี๋ยวพัดดด...” หลิมตวาด
ทวนกระทุ้งศอกใส่พุงของหลิม
“โอ้ย...”
“เรื่องแบบนี้ไม่เห็นต้องถาม คุณให้ไอ้เลิศมันไปทำอะไร มันก็ไปตายที่นั่นแหละ ที่ไม่มีศพมันนี่ไม่ใช่เสือลากไปแทะหรอก แต่มีคนสงเคราะห์เก็บศพมันให้...เพื่อทำลาย...หลักฐาน ไม่ก็...”
ทวนยังพูดไม่จบ เมินพูดต่อทันที
“เป็นหลักฐาน”
ชิงชัยใบหน้าซีดเผือดเริ่มระแวงจ่าสิน
“หรือจะเป็น...จ่าสิน มันเป็นคนจับผู้ร้าย มันต้องรู้วิธีทำลายหลักฐาน ไอ้จ่าสิน...หันไปร่วมมือกับพวกนั้นแล้วหักหลังพวกเดียวกันเอง มันได้ไปทั้งไม้พะยุงทั้งปืน ไอ้...”
เมินกับทวนเงี่ยหูฟังด้วยความสนใจ ชิงชัยแผดเสียงด้วยความแค้น
“ไอ้จ่าสิน...!”
ศรีไพรถูกจ่าสินจี้บังคับเป็นตัวประกัน เพราะสงสัยว่าเมินเป็นเจ้าหน้าที่รัฐปลอมตัวมาสืบคดีของเถื่อน ท่าทีจ่าสินเจ็บบาดแผลมาก
“มอบตัวเสียเถอะจ่าสิน ไปชดใช้ความผิดในคุก แกหนีแกก็ต้องตาย เลือดแกยังไม่หยุดเลยนะ” ศรีไพรเกลี้ยกล่อม
“ไป...” จ่าสินตวาด
“แกจะพาฉันไปไหน”
“ฉันจะเอาตัวแกไปต่อรองกับไอ้เมิน”
จ่าสินใช้ปืนกระทุ้งแผ่นหลังของศรีไพร ผลักให้เดินต่อไป ชาริณีซุ่มอยู่หลังต้นไม้ จ้องมองตามจ่าสินไปด้วยความแค้นใจ
ศรีแพรใช้ปืนจี้สไบและแหว่ง ทอก หมอกและแสนลงมาจากบ้านบุญช่วยต่างร้อนใจ
“ยังไง” ศรีแพรถามทันที
หมอกหน้าเครียด
“ไม่มี บนบ้านไม่มีศรีไพร มีแต่เศรษฐีบุญช่วยนอนแน่นิ่ง หายใจพะงาบๆ รอวันตาย ยุงยังงี้กัดเต็มไปหมดเลย”
ศรีแพรหันจ้องหน้าสไบ
“ฮึ ดูแลเศรษฐีบุญช่วยให้ดีๆ หน่อยนังสไบ ไม่มีเศรษฐีบุญช่วยแกคงยังอยู่ในป่า ขุดเผือกขุดมันกิน ไม่ได้แต่งหน้าทาปากยังงี้หรอก”
แหว่งสาระแนทันที
“อุ๊ย คุณสไบของบ่าวขา เล่นกันถึงกำพืดเลยค่ะ มันรู้ได้ยังไงว่าเมื่อก่อนคุณสไบของบ่าวขาแทะเผือกแทะมันอยู่ตามต้นไม้”
สไบฉุนกึก
“นังแหว่ง...”
แหว่งจ๋อยไป
“เอ้อ...อ้า...คุณสไบของบ่าวขา”
“หาทั่วแล้วไม่มีไอ้ศรีไพร” ทอกบอกอย่างกังวล
“ก็ฉันบอกแล้วไงว่าไม่มี...ไม่มี ไม่มีใครอยู่ก็ไม่มีใครเชื่อ ที่นี่เขากำลังยุ่งๆ กัน เขาไม่ยุ่งเรื่องของพวกแกหรอก” สไบบอก
ศรีแพรวิตกกังวล
“แล้วศรีไพรไปไหนนะ”
สไบยิ้มเยาะ
“ไปเดินสะดุดตอที่ไหนละมั้ง ชอบสาระแนเรื่องของคนอื่น แม้แต่เรื่องของนังชาริณี ไปบอกนังศรีไพรด้วยนะ...ว่าท่านเศรษฐีไม่รับนังชาริณีเข้าบ้านอีกแล้ว ไม่มีใครในบ้านนี้ต้อนรับ”
ศรีแพรหันไปหาทุกคน
“กลับกันเถอะ”
“แล้วไม่ต้องมาอีกนะ เพราะพอคุณสไบของบ่าวขาได้ครอบครองสมบัติของเศรษฐีบุญช่วยแล้ว คุณเมินเขาก็เลื่อนฐานะขึ้นเป็น...” แหว่งเยาะเย้ย
ศรีแพรไม่สนใจที่จะฟัง
“ไปเถอะ”
ศรีแพร หมอก ทอกและแสนออกไป ชาวบ้านตามไป สไบยิ้มเยาะตามหลังศรีแพร แหว่งตะโกนไล่หลังศรีแพร
“เป็นว่าที่สามีหนุ่มของ...ของ...ของ...”
สไบรีบเสริม
“ของใครยะ”
“ของคุณสไบของบ่าวขาน่ะซีคะ”
สไบยิ้มด้วยความพอใจ
เจ๊กตง มหาเฉื่อย และชาวบ้าน ช่วยกันตามหาศรีไพรกันจนเช้า
“โอย ฟ้าสางแล้วท่านมหา” เจ๊กตงบอกอย่างเหนื่อยล้า
มหาเฉื่อยคลานไปตามพื้นดิน กวาดสายตามองหาร่องรอยของศรีไพร ทำจมูกดมกลิ่นเหมือนสุนัขดมกลิ่น เจ๊กตงจ้องมองด้วยความสงสัย
“ท่านมหา นั่นทำอะไรน่ะ ทำท่าเหมือนชาติที่แล้วท่านมหาเกิดเป็น...เป็น...”
“ข้ากำลังดมกลิ่นหาเบาะแสไอ้ศรีไพร”
“ดมกลิ่น แล้วได้กลิ่นอะไรมั้ย”
“ได้แต่กลิ่นคาวเลือดว่ะ นี่แสดงว่ามีคนเลือดตกยางออกผ่านมาทางนี้”
เจ๊กตงแปลกใจกวาดสายตามองหา
“ไหน เอ๊ะ...รอยเลือดนี่”
มหาเฉื่อยมองตามเห็นเลือดหยดเป็นทาง
“แกะรอยไปเจ๊กตง”
เจ๊กตงตามรอยเลือดไปได้หน่อย รอยเลือดก็หายไป
“ว้า ไม่มีรอยแล้ว มันหยุดอยู่แค่ดงหญ้านี่ มันชักจะไม่ชอบมาพากลนะ ท่านมหาเฉื่อย”
มหาเฉื่อยครุ่นคิด
“หรือว่า...จะมีคนจับตัวไอ้ศรีไพรไป ไอ้ศรีไพรน่ะมันโจทย์เยอะซะด้วยซี พวกเรา กระจายกันออกหาให้ทั่ว”
ชาวบ้านแยกย้ายกันออกค้นหาบริเวณใกล้เคียง เจ๊กตงนึกถึงเนี้ยว
“ไอ้หย๋า...!”
“อะไรวะ เจ๊กตง”
“อาม่วยเนี้ยวลูกอั๊ว อีไปกับแขก แล้วไอ้แขกน่ะมันไว้ใจได้เสียที่ไหน ไม่ยังงั้น โบราณเขาจะว่าไว้ทำไม ว่าเจองูกับเจอแขก....ให้ตีแขกก่อนตีงู” นัยน์ตาเจ๊กตงเบิกโพลงไปด้วยความหวาดระแวง ไม่ไว้ใจสุมิตร
สุมิตร เนี้ยวและชาวบ้านแยกออกตามหาศรีไพรที่หายไปอีกทางหนึ่ง
“ศรีไพร...ศรีไพร” เนี้ยวตะโกนเรียก
“อีนี้นมัสเตจ้ะนายจ๋า อีนี้อาศรีไพรอยู่ที่ไหนจ๊ะ ได้ยินเสียงจากหน่วยประชาสัมพันธ์ของสุมิตรามั้ยจ๊ะ นายจ๋า สุมิตรามายัน...มีสินค้าทุกประเภท มีทั้งเงินสด เงินผ่อน มีบริการกู้โดยไม่ต้องมีผู้ค้ำ เงินด่วนเงินเด็ด ยึดๆๆๆ ถึงที่”
เนี้ยวมองสุมิตรอย่างหงุดหงิด
“นี่ มาตามหาคนนะ ไม่ได้มาขายของ ไม่งกสักชั่วโมงได้มั้ย ไอ้แขก”
สุมิตร ยิ้มแย้ม
“อีนี้เวลาเป็นของมีค่าจ้ะอาม่วยเนี้ยวคนสวย นาร๊าย...นารายณ์ ตามหาอาศรีไพร ทำประชาสัมพันธ์ไป ไม่เสียเที่ยวจ้ะ”
“แหมงกนัก เดี๋ยวพัดดดดด!”
เนี้ยวเงื้อมือจะตบสุมิตรแต่ดันก้าวพลาดกลิ้งตกลงไปจากที่สูง โดยที่มือเนี้ยวคว้าตัวสุมิตรตกลงไปด้วย ทั้งสองนอนกอดกันแน่น ต่างมองสบสายตากันและกัน
สดกระวนกระวาย ห่วงใยศรีไพร ศรีแพร แสน ทอกและหมอกกลับมาด้วยความผิดหวัง กังวล เพราะต่างไม่พบศรีไพร สดวิ่งถลาเข้ามาเกาะแขนศรีแพร
“เจอมั้ย”
“ไม่เจอน้องเลยแม่ ที่บ้านเศรษฐีบุญช่วยไม่มี หากันทั้งคืนก็ไม่มี”
สดน้ำตาคลอ
“โธ่ ศรีไพรลูกแม่ หายไปทั้งคืนยังงี้ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ แล้วเจอไอ้ทวนกับไอ้เมินมั้ย”
ศรีแพรหน้ามึนตึง ทอกเลยตอบแทน
“ไม่เห็นทั้งสองคน”
ศรีแพรแค้นๆ
“อย่าคิดพึ่งคนพวกนี้เลยแม่ เขาไปเป็นสมุนรับใช้เศรษฐีบุญช่วย พอเศรษฐีบุญช่วยเป็นอัมพฤกษ์ นังสไบเป็นใหญ่ เขาคงจะ...”
ศรีแพรพูดได้แค่นั้น หมอกขัดขึ้น
“ศรีแพร ตอนนี้อย่าเพิ่งคิดเรื่องพี่เมิน พี่ทวนเลย ไอ้ชิงชัยมันไม่อยู่ ไอ้เลิศไอ้หลิมก็ไม่เห็น มันอาจจะไปที่ไหนสักแห่ง”
ศรีแพรหงุดหงิด
“ที่ไหนล่ะ”
หมอกส่ายหน้า
“ไม่รู้เหมือนกันว่ะ ถ้าค้นทั้งบ้านนาแล้วไม่มีไอ้ศรีไพร เราเห็นจะต้องขอความช่วยเหลือจากพี่เมิน พี่ทวน”
สดนิ่งคิด
“มันอาจจะเห็นแก่สิ่งดีๆ ที่คนบ้านนาเคยให้ ถ้าไม่มีทางเลือก แม่นี่แหละจะคุกเข่าขอให้มันช่วย”
ศรีแพรหน้าตื่น
“แม่ ไม่นะ...”
สดร้องไห้ด้วยความห่วงใยศรีไพร
“แม่ทำได้ทุกอย่าง ขอแค่ให้ได้ลูกคืนมา ขืนปล่อยให้เวลามันผ่านไปมันยิ่งอันตรายนะ”
ศรีแพรรู้สึกกังวล เป็นห่วงน้องขึ้นมาเป็นอย่างมาก
จ่าสินนั่งกุมแผลที่บาดเจ็บ มือยังถือปืนจ้องไปที่ศรีไพร
“ทำตามที่ฉันแนะนำเถอะ มอบตัวซะจ่าสิน แผลยังเลือดไหลไม่หยุดแบบนี้ ขืนไปต่อแกตายแน่” ศรีไพรเกลี้ยกล่อม
จ่าสินโมโห
“หุบปาก ฉันถลำเข้ามาลึกยังงี้แล้วฉันสู้ตาย แต่ก่อนตายฉันจะเอาเธอไปต่อรองกับไอ้เมิน ถ้าไอ้เมินมันเป็นพวกเจ้าหน้าที่ มันต้องยอมแลก”
“ฉันไม่เชื่อหรอกว่าพี่เมินจะเป็นอะไร มอบตัวเสียเถอะ แกอาจรอด”
“พูดไม่รู้เรื่อง!”
จ่าสินโกรธ คลั่ง ถลันเข้ามากระชากศรีไพรจ่อปืนที่หน้าผาก
“อยากตายนักใช่มั้ย ไม่อยากรู้หรือว่าไอ้เมินกับไอ้ทวนมันเป็นใคร มันหายไปจากบ้านนาสิบปี ไม่มีใครรู้หรอกว่ามันไปทำอะไรมา ตายแล้วไม่รู้นะ”
“แก...”
ดวงตาของศรีไพรตื่นตระหนก เมื่อเห็นอาการคลั่ง โกรธ จนลืมตัวของจ่าสิน ชาริณีก้าวเข้ามาข้างหลัง ฟาดศีรษะของจ่าสินด้วยท่อนไม้เต็มแรงจ่าสินล้มลง ชาริณีกระหน่ำตีจ่าสินด้วยความแค้น ศรีไพรตื่นตระหนก เมื่อเห็นชาริณีฟาดท่อนไม้ลงบนร่างของจ่าสินอย่างบ้าคลั่ง
“แก ไอ้สารเลว แกทำลายฉัน แกทำกับฉันเหมือนสัตว์ แก...บังคับให้ฉันทำในสิ่งที่แกต้องการเพื่อแลกกับยานรกนั่น แก...ฉันจะฆ่าแก ฉันต้องเอาคืน”
ศรีไพรรีบห้าม
“ชาริณี อย่า...”
“ฉันจะเลิก...ฉันต้องเลิกมันให้ได้ ฉันจะลืม...ลืมสิ่งชั่วร้ายที่แกทำไว้กับชีวิตของฉัน ฉันจะลืม...ว่า...ว่าแกข่มขืนฉัน”
ศรีไพรตะลึง
“ชาริณี...”
ชาริณีฟาดไม่ยั้ง
“ฉันจะฆ่าแก ฉันจะฆ่าแก...โฮ”
ชาริณีร้อไห้ออกมาอย่งเจ็บแค้น ศรีไพรเข้าคว้าตัวไว้
“พอ...พอแล้ว พอที ชาริณี หยุดนะ”
“ฉันจะฆ่ามัน”
“หยุดเถอะ”
“ฉันต้องฆ่ามัน”
ชาริณีสะบัดจากศรีไพร กระหน่ำท่อนไม้ลงบนร่างของจ่าสิน เลือดสาดกระจายมาต้องตามใบหน้า เนื้อตัวของชาริณี ศรีไพรเข้ามากระชากท่อนไม้เปื้อนเลือด โยนลงกับพื้น ก่อนดึงร่างของชาริณีเข้ามากอดไว้
“ชาริณี พอได้แล้ว...”
ชาริณีร้องไห้สะอึกสะอื้น
“โฮ...”
ศรีไพรกอดปลอบ
“มัน...มันตายแล้ว...”
ชาริณีร้องไห้สติแตกอยู่ในอ้อมกอดของศรีไพร
จบตอนที่ 30
อ่านต่อ ตอนอวสาน วันพร่งนี้