xs
xsm
sm
md
lg

สามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 5

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สามหนุ่มเนื้อทอง ตอน 5

เช้าวันรุ่งขึ้น โอบบุญกำลังแต่งตัวเตรียมไปทำงาน เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจึงรีบวิ่งมารับ

“ฮัลโหล”
โอบบุญคุยโทรศัพท์ไป ใส่รองเท้าไป
“พี่โอบ แอ๊วกลับมาหรือ” เสียงของปรานต์นั่นเอง
“ยังไม่เห็นนะ สงสัยเมื่อคืนจะไม่ได้กลับบ้าน”
“ไม่ได้กลับบ้าน แล้วไปไหนบอกไว้หรือเปล่า ผมพยายามจะโทร.เข้ามือถือก็ปิดเครื่องติดต่อไม่ได้เลย พี่โอบรู้หรือเปล่าว่าแอ๊วไปไหน ไปกับใคร”
โอบบุญใส่รองเท้าเสร็จแล้ว เงยหน้าขึ้นตอบด้วยเสียงหงุดหงิดนิดๆ
“ผมเป็นพี่ชายนะครับ ไม่ใช่เครื่องจีพีเอส จะได้รู้การเคลื่อนไหวของน้องสาวตลอดเวลา และที่สำคัญ เรื่องบางเรื่องที่เค้าไม่บอก ผมก็ไม่อยากรู้ เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัว ขอโทษนะครับ ผมต้องรีบไปทำงาน”
โอบบุญวางสายไปเลย พร้อมกับส่ายหน้าด้วยความเอือมระอา
“สมน้ำหน้า เจอยัยแอ๊วแข็งข้อซะบ้างจะได้รู้สึก”
โอบบุญลุกขึ้นหยิบกระเป๋าออกไปทำงานเลย

ปรานต์วางโทรศัพท์ไปด้วยความเคืองสุดๆ
“แอ๊วนะแอ๊ว หายไปไหนของเค้า”
ปรานต์จำใจต้องละจากเรื่องอรุณศรี ปิดเสียงโทรศัพท์ และเดินเข้าไปยังห้องประชุม
เสี่ยนิวเป็นประธาน ในห้องประชุมหุ้นส่วนราว 4-5 คน แต่ละคนแต่งตัวสไตล์คล้ายๆ กันดูดี ภูมิฐาน มีฐานะ หยิบเครื่องมือสื่อสารทั้ง iPad iPhone iMac ออกมาวางราวบนโต๊ะ ปรานต์เห็นแล้วก็ให้รู้สึกว่าตัวเองด้อย จึงค่อยๆเก็บโทรศัพท์เครื่องละหมื่นกว่าบาทเก็บใส่กระเป๋า
“เครื่องเสียงตัวใหม่กำลังจะมาลงเดือนหน้า ผมต้องระดมทุนเพิ่มอีกคนละห้าแสน ใครมีปัญหาหรือเปล่า”
“ห้าแสน” ปรานต์ตกใจกับจำนวนเงินเล็กน้อย
ทุกคนหันมาทางปรานต์ด้วยความแปลกใจ
ปรานต์รีบแก้หน้าและเฉไฉไปว่า
“คือ พอดีผมเพิ่งซื้อกองทุนทองตัวใหม่ไป หลายล้าน ก็เลยช็อตนิดหน่อย แต่ไม่ต้องห่วง ผมจะหมุนทางอื่นมาให้ แล้วคนอื่นมีปัญหาหรือเปล่า”
“ผมโอนให้แล้วนะ เช็คยอดได้เลย” หุ้นส่วนรายหนึ่งกดโอนเงินจากมือถือ
“ของผมด้วย โอนเรียบร้อย” หุ้นส่วนอีกรายกดโอนจากคอมพิวเตอร์
ส่วนอีกคนอยู่ในระหว่างการโอน
“อีก 2 วินาที เชคได้เลย”
“โอเคเรียบร้อย ครบ” เสี่ยนิวบอก พลางเงยหน้ามองปรานต์
“ปรานต์ของคุณ ผมออกให้ก่อนแล้วกัน ถ้ามีเมื่อไหร่ก็โอนคืนให้ผม”
“ได้ๆ ไม่นานหรอก จะรีบโอนคืนให้เลย”
ปรานต์ทำเป็นพูดยิ้มๆ แต่ลึกๆในใจแล้ว แสนที่จะเครียดและยังไม่รู้ว่าจะหาเงินก้อนนี้มาจากไหน

กริชชัยจับลำเภานั่งลงที่เก้าอี้ และตัวเองก็นั่งประจัญหน้า ราวกับตำรวจสอบปากคำ
“บอกมาสิ ไปเจออรุณศรีได้ยังไง แล้วทำไมถึงรู้ว่าเป็นเค้า และรู้ได้ยังไงว่าทำไมพี่ถึงชอบ”
“เภาเจอโดยบังเอิญ รู้ว่าเป็นเค้าเพราะหน้าเหมือนกับผู้หญิงในรูปที่คุณกริชวาด และรู้ว่าชอบเพราะเภาคิดว่าเค้าเป็นคนน่ารักดี” ลำเภาพูดพลางส่งยิ้มให้กริชชัย กริชชัยยิ้มตอบ
“น่ารักจริงๆ นะ ขนาดเค้าไม่รู้ว่าเภาเป็นใคร เค้ายังมีน้ำใจแล้วก็ใจเย็นด้วย เหมาะกับคุณกริช จีบเลย!” ลำเภายุ กริชชัยถึงกับสะดุ้งนิดๆ
“แค่เค้ามีแฟนไม่เห็นต้องกลัวเลย มีได้ ก็เลิกได้” ลำเภาพูดต่อไป
“คิดแบบเรา สังคมถึงได้วุ่นวายแบบนี้”
“คิดแบบคุณกริช เดี๋ยวก็ขึ้นคานกันพอดี อายุก็เยอะขึ้นทุกวัน คนโสดก็น้อยลงทุกที จะมีสักกี่คนที่หลงเข้ามาในชีวิตแบบไม่มีพันธะ”
“ให้พี่ไปแย่งคนอื่นมา พี่ก็ไม่มีความสุข คนเราถ้าคู่กันแล้ว มันก็คงไม่แคล้วกัน”
กริชชัยพูดด้วยความเข้าใจแต่ลึกๆแล้วแอบปลง ลำเภามองแล้วก็คิด
“แล้วถ้าแฟนของอรุณศรีเค้าเป็นคนไม่ดี คุณกริชจะพยายามทำอะไรสักอย่างหรือเปล่า หรือว่าปล่อยไปตามดวง โดยไม่ทำอะไร”
“ไม่ต้องมาสมมติโน่นนี่เลย เรื่องมันยังไม่เกิด พี่ยังไม่อยากคิด แล้วก็ไม่ต้องห่วงเรื่องพี่ ห่วงเรื่องตัวเองเถอะ”ลำเภาขมวดคิ้วนิดๆ “เรื่องอะไร”
“พี่บอกไอ้วัช กับไอ้ธีให้มันสองคนมาขอโทษเราแล้วนะ”
“แล้วนายหมาใหญ่ เอ่อ นายธีธัชเค้าว่ายังไงบ้าง”
ลำเภาถามด้วยความอยากรู้

ธีธัชมาหยุดยืนวางมาดหล่ออยู่หน้าคลินิกรักษาสัตว์ที่ลำเภาทำงานอยู่ ด้วยความขัดข้องใจอย่างแรง
“นี่เราจะต้องมาขอโทษยัยหนูตะเภาบ๊องจริงๆเหรอเนี่ย” ธีธัชพูดคนเดียว
ทันใดนั้นเสียงลำเภาก็ดังขึ้น
“ใช่”
“เฮ้ย” ธีธัชตกใจร้องเสียงดัง
ธีธัชหันมาเห็นลำเภายืนอยู่ข้างหลังในระยะใกล้ ธีธัชผงะอึ้งเพราะลำเภาอยู่ในชุดทำงาน ไม่ใส่แว่น แต่งหน้าเล็กน้อย และแต่งตัวดูน่าเป็นผู้ใหญ่กว่าที่อยู่ที่บ้าน
“อึ้งๆน่ารักหล่ะสิ”
“โธ่ ก็แค่ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาหน่อย เออ เจอก็ดีแล้ว จะได้คุยกันให้รู้เรื่อง เรื่องที่เธอ...”
ลำเภายกมือขึ้นปราม
“หยุด นี่เป็นเวลางานของฉัน ไม่มีเวลามาฟังเรื่องของคุณ ถ้าอยากคุย ก็ต้องต่อคิว”
ธีธัชขมวดคิ้ว
“คิวอะไร”

ครู่ต่อมาในมือของธีธัชก็ถือใบคิวที่ 8 อยู่
“พบคุณหมอลำเภาขอเชิญรอทางด้านนี้เลยค่ะ ของคุณคิวที่ 8 นะคะ” พยาบาลอธิบาย
ธีธัชอึ้ง หันไปมองคนที่นั่งรอ มีทั้งสาวๆ กับป้าๆ นั่งอยู่ ทุกคนอุ้มหมา อุ้มแมว บางคนหิ้วกรงนกมาด้วย บางคนก็เป็นหนู และกิ้งก่าก็มี
ธีธัชอึ้งซ้ำสอง แล้วก็รีบหันมาทางพยาบาลคนสวย
“คุณพยาบาลครับ..คือผมเป็นเพื่อนของพี่ชายเค้านะครับ ผมมีเรื่องสำคัญจะต้องคุย แป๊บเดียวครับ แป๊บเดียวจริงๆ ไม่ถึงห้านาที ผมขอคุยเลยได้มั้ยครับ นะครับ นะ นะ” ธีธัชอ้อน พยาบาลอึกอัก
“ถ้าคุณแทรกคิวให้ เย็นนี้ผมเลี้ยงข้าวตอบแทนเลย” ธีธัชยิ้มหว่านเสน่ห์เช่นเคย
เสียงลำเภาดังแหวกอากาศมาอย่างรู้ทัน
“อย่ามาติดสินบนแถวนี้นะ” เสียงลำเภาจี้ใจดำ ธีธัชชะงัก
“ไม่ว่าใครก็ต้องรอคิว ขนาดหมาป่วย ยังรอได้ ถ้าคนปกติจะรอไม่ได้ก็ต้องอาย...” ลำเภาพูดยังไม่ทันจบประโยค
ธีธัชรีบสวนขึ้นทันใด
“โอเค ฉันรอก็ได้ อีก 8 คิว เจอกัน” น้ำเสียงและแววตาของธีธัชเต็มไปด้วยความแค้น
“เชิญคิวที่หนึ่งเข้ามาได้”
ลำเภาเดินเข้าไปประจำห้องตรวจ ธีธัชจำใจต้องเดินมานั่งรอรวมกับบรรดาสัตว์ที่เจ็บป่วยป่วย นาฬิกาแขวนผนังเวลาประมาณ 9 โมงครึ่ง

วันและเวลาใกล้เคียงกัน วัชระเพิ่งจะตื่นนอน เห็นโทรศัพท์มือถือของตัวเองปิดเครื่องอยู่ วัชระ
หยิบขึ้นมาแล้ว คิดลังเลอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะกดเปิดเครื่อง ทันทีที่เครื่องทำงานเนตรนภัสก็โทร.เข้ามาทันทีวัชระถึงกับส่ายหน้า
“รู้ได้ไงวะ ฮัล...” ยังไม่ทันที่วัชระจะพูดอะไรต่อ
เสียงเนตรนภัสก็ดังขึ้นทันที
“วัชอยู่ไหน ทำไมต้องปิดเครื่องด้วย เมื่อวานแหนมโทร.หาทั้งวันก็ไม่ติด โทร.ไปที่บ้านก็ไม่อยู่ ที่มันอะไรกัน จะหนีแหนมหรือไง”
วัชระพยายามหาจังหวะแทรก
“แหนมๆๆ ใจเย็นๆ ฟังผมก่อน เมื่อวานผมติดงาน”
“โกหก” วัชระสะดุ้งนิดๆ

“แหนมโทร.ไปถามหัวหน้าคุณมาแล้ว เค้าบอกว่าคุณลางาน ที่แผนกก็ไม่มีใครติดต่อได้เหมือนกัน ตกลงวัชอยู่ไหนกันแน่ บอกมาเดี๋ยวนี้นะ”
วัชระอึ้ง
“นี่คุณโทร.ไปหาเจ้านายผมมาเหรอ”
เนตรนภัสบอกอย่างเต็มปากเต็มคำ
“ใช่ และแหนมก็บอกเรื่องงานแต่งงานของเราแล้วด้วย ท่านรับปากว่าจะมาเป็นเถ้าแก่ในวันสู่ขอเรียบร้อยแล้วด้วย”
เนตรนภัสพูดต่อโดยไม่ฟังอะไรทั้งสิ้น
“เย็นนี้วัชมาหาแหนมที่บ้านด้วยหกโมงตรง ห้ามช้าเด็ดขาด เรามีเรื่องสำคัญต้องคุยกัน”
เนตรนภัสวางสายไปด้วยความหงุดหงิด วัชระค่อยๆ วางสายตามด้วยความเหนื่อยใจ
“เรื่องไปถึงเจ้านายแล้วเหรอเนี่ย”

นาฬิกาบนผนังของคลินิกรักษาสัตว์ บอกเวลาว่าอีก 5 นาทีเป็นเวลาเที่ยง ธีธัชนั่งรออยู่ด้วยความเซ็ง
พยาบาลเรียกคิวต่อไป
“เชิญคิวที่ 7 ค่ะ”
ธีธัชหูผึ่ง ยิ้มอย่างมีหวัง เพราะเหลืออีกคิวเดียวเท่านั้น
ป้าเจ้าของบัตรคิวที่ 7 ที่นั่งหน้าห้องจูงน้องหมาเข้าไปในห้องรักษา
ธีธัชมองอย่างมีหวัง
ทันใดนั้นพยาบาลก็หยิบป้าย “พักทานข้าว” มาวางไว้ ธีธัชเห็นป้ายก็อึ้ง รีบเดินมาหา
“เดี๋ยว พักไม่ได้ ผมเป็นคิวต่อไป ขอผมคุยแป๊บเดียวแล้วค่อยพักไม่ได้เหรอ”
“คือ..คุณหมอลำเภาเป็นคนสั่งให้พักน่ะค่ะ” พยาบาลว่า
“ดิฉันทำตามหน้าที่ ต้องขอโทษด้วยนะคะ“ พยาบาลพูดต่อไป
พยาบาลก้มหน้าก้มตากลับไปทำงานต่อ ธีธัชกัดฟันกรอด ขยำบัตรคิวในมือด้วยความแค้น
“ยัยหนูตะเภา”

หน้าคลินิก มีผู้คนเดินผ่านไปมาค่อนข้างคึกคัก เพราะเป็นช่วงพักเที่ยงพอดี ลำเภาเดินออกมาเตรียมจะ
ออกไปกินข้าว ธีธัชวิ่งพรวดตามออกมาด้วยความขุ่นเคืองใจ
“นี่ยัยเด็กบ๊อง ฉันไม่รอคิวแล้วนะ เจอตอนนี้ก็คุยเลยแล้วกัน”
“คนไม่มีความอดทน” ลำเภาเดินไปพูดไป
ธีธัชพยายามรวบรวมอารมณ์
“ฉันไม่อยากเสียเวลาต่อปากต่อคำ เอาเป็นว่า เรื่องที่ฉันแกล้ง ฉัน..ขอโทษก็แล้วกัน เรื่องจะได้จบๆ กันไป ฉันไม่อยากให้ไอ้กริชมันเดือดร้อน”
ลำเภาเดินไปพูดไป ลอยหน้าลอยตา
“ฉันจะรับฟังไว้ก็แล้วกัน แต่จะยกโทษให้หรือเปล่า ขอคิดอีกที”
ธีธัชปรี๊ดเลย เอื้อมมือมาจับแขนลำเภาไว้
“นี่ ฉันไม่มีเวลามาล้อเล่นกับเธอนะ”
ลำเภามองแขนปรายตามองเป็นเชิงว่าให้ปล่อย
“จับมือฉันแบบนี้ได้ยังไง เดี๋ยวคนอื่นเค้าจะเข้าใจผิด” ลำเภาเสียงดุ
“นี่ เธอกลัวว่าคนอื่นเค้าจะคิดว่าฉันกับเธอเป็นแฟนกันเนี่ยนะ ไม่ต้องห่วง ไม่มีใครเค้าคิดว่าคนหน้าตาดีอย่างฉัน จะมาเดินตามจีบเด็กกะโปโลอย่างเธอ”
ลำเภาสะอึกกับคำพูดของธีธัช
“ฉันไม่เอาเธอมาทำแฟนหรอก”
“เด็กอย่างเธอ ลองหัดเป็นแฟนกับหมาสิ เพื่อจะเข้ากันได้ดี” ธีธัชพูดต่อและยิ้มกวน
“เป็นแฟนกับหมา ก็ยังดีกว่าเป็นแฟนกับผู้ชายอย่างคุณ “
“อ๋อ เหรอ” ธีธัชกวนยียวนใส่ลำเภา
“แต่เพื่อเป็นการสั่งสอน ฉันจะยอมลดตัวมาเป็นแฟนกับคุณ”
ธีธัชหยุดขำในทันที
“เธอพูดอะไรนะ” ธีธัชย้ำด้วยความไม่แน่ใจ
“ฉันจะทำให้ผู้ชายหลงตัวเองอย่างคุณ มาสยบที่แทบเท้า และคุณ..จะต้องชอบฉัน”
“บ้า เพ้อ ละเมออะไรเนี่ย”
“ฉันพูดจริง และฉันจะต้องทำให้ได้ คุณจะต้องมาเป็นแฟนฉัน” ลำเภายื่นหน้าพูดเชิดๆ อย่างมั่นใจ
ธีธัชอดคิดในใจไม่ได้ว่า เด็กนี่บ้าจริง หรือว่าแกล้งบ้ากันแน่

หลังจากที่ธีธัชเสร็จสิ้นการเคลียร์กับลำเภา ธีธัชพุ่งไปที่บริษัท M Group เพื่อพบกับกริชชัย
กริชชัยตอบอย่างมั่นใจ
“เภาเค้าไม่ได้บ้า เค้าปกติ ทำไม ไปมีเรื่องกันมาอีกสิ”
“ยายเภานั่นมีแฟนมั๊ย” ธีธัชถามต่อ
“ไม่มี”
“เสร็จ”
กริชชัยมวดคิ้ว
“ใครเสร็จใคร นี่ไอ้ธี .. เภาน่ะน้องฉันนะเว้ย ฉันขอไว้คนแล้วกัน” กริชชัยพูดอย่างรู้สันดานของธีธัช
“เฮ้ย! แกไม่ต้องขอ ฉันก็ไม่อยากยุ่ง แต่น้องแกอยากจะมาเป็นแฟนฉันเอง”
“ถามจริง” กริชชัยย้ำเพื่อความแน่ใจ
“จริง แถมยังบอกว่าจะทำให้ฉันสยบแทบเท้าให้ได้”
“ภาพูดเล่นมั้ง”
“ถ้านายบอกว่าน้องนายสติไม่ดีฉันก็จะคิดว่าพูดเล่น แต่ถ้าเค้าสติดี .. ฉันว่าอาจจะจริงว่ะ “
“ถึงเภาพูดจริง แกก็วางตัวเป็นพี่ชายไปซะ ถ้าแกทำอะไรเภา พ่อแม่เค้าเอาแกตายแน่”
“นี่มันเวรกรรมอะไรของฉันวะเนี่ย" ธีธัชเกาหัวแกรกๆ .ฉันจะพยายามก็แล้วกัน งั้นฉันไปก่อนนะ อยู่ใกล้แกนานๆ เดี๋ยวจะมีคนเข้าใจผิด”
ก่อนไปธีธัชแกล้งทำเป็นขยับเนคไทให้กริชชัย
“ไปก่อนนะจ๊ะฮันหนี” ธีธัชแกล้งยิ้มหวานใส่
ทันใดนั้นอรุณศรีก็เดินโผล่พรวดออกมาเห็นเต็มๆตา กริชชัยหันไปเห็นพอดี กริชชัยรีบดึงมือธีธัชออกทันที ธีธัชแปลกใจหันไป เห็นอรุณศรีก็ตกใจ อรุณศรีรีบหลบตาต่างคนต่างเขิน อรุณศรีกระชับกระเป๋าที่สะพายอยู่ แล้วก็รีบเดินหลบไปทันที
กริชชัยหันขวับมาทางธีธัช ธีธัชยิ้มแห้งๆ กริชชัยชี้หน้าธีธัชด้วยความแค้น
“ตัวใครตัวมันนะ แหะๆ” ธีธัชกล่าวแล้วเดินหนีไปทันที

กริชชัยรีบเดินตามอรุณศรีที่เตรียมกลับบ้าน
“เนี่ยนะ ไม่ได้เป็นเกย์ เรดาร์ไอ้ฝ้ายต้องเสียแน่ๆ” อรุณศรีพูดบ่นพึมพำระหว่างทางเดินในบริษัท กริชชัยเร่งเดินตามอรุณศรีมาอย่างเร็ว
“อรุณศรี” กริชชัยร้องเรียก
อรุณศรีชะงักเท้า หยุดเดิน ทันใดนั้นคำพูดของสุพรรณิการ์ก็ดังแว่บเข้ามาในความคิด
“จากแววตาที่เค้ามองแก ฉันตอบได้ทันทีว่า เค้าชอบแก!! ชอบมาก หรือ ชอบน้อย ยังไม่รู้ รู้แต่ว่า ชอบชัวร์”
“อรุณศรี” เสียงกริชชัยเรียกซ้ำ
อรุณศรีหันหน้ามาตอบกริชชัยที่ยืนอยู่
“คะ”
“เอ่อคือ..เรื่องคุณฝ้ายที่เราคุยกันเมื่อคืน”
“ฝ้าย” อรุณศรีตั้งตัวไม่ทัน งงเล็กน้อย
“เรื่องค่ารักษาพยาบาล”
“อ๋อค่ะ ค่ารักษาพยาบาล” อรุณศรีนึกได้
“คุณฝ้ายต้องการเท่าไหร่ก็บอกมา ผมบอกเบญลี่ไว้แล้ว”
“ค่ะ..ได้ค่ะ”
“เอ่อ..แล้วเย็นนี้”
กริชชัยยังพูดไม่ทันจบประโยค โทรศัพท์มือถืออรุณศรีดังขึ้น
“ขอโทษนะคะ” อรุณศรีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู

กริชชัยปรายตาไปเห็นรูปปรานต์ที่ปรากฏบนจอโทรศัพท์ของอรุณศรี
“ไม่มีอะไรแล้ว เชิญตามสบาย”
กริชชัยพูดจบก็หันหลังเดินไป..
อรุณศรีรอจนกริชชัยเดินคล้อยหลังไปพอควรแล้วค่อยกดรับ
“ฮัลโหล”
กริชชัยทำเป็นเดินไป แต่แอบปรายตามองอรุณศรี

หน้าบริษัท M Group ปรานต์ยืนรออรุณศรีอยู่ ในมือถือช่อดอกไม้สวยงดงาม อรุณศรีเดินออกมาเห็น
“มีดอกไม้มาซะด้วย..ลงทุนนะเนี่ย” อรุณศรีคิดในใจ
เมื่ออรุณศรีเดินมาถึง ปรานต์รีบส่งดอกไม้ให้
“ดีกันนะ “
อรุณศรีรับช่อดอกไม้
“ไม่รู้..ขอคิดดูก่อน”
“โธ่..แอ๊ว อย่าโกรธเลยนะ ผมขอโทษ ต่อไปนี้ผมจะไม่มารับช้า ไม่ผิดเวลา ไม่ลืมสัญญา ไม่ทำให้แอ๊วต้องหงุดหงิด โอเคนะ”
อรุณศรีเห็นปรานต์ง้อก็ใจอ่อน พยักหน้า ปรานต์ยิ้มกว้าง
“ไปกินข้าวกัน ปรานต์เลี้ยงเอง”
ปรานต์เปิดประตูให้อรุณศรีพร้อมกับจูงมือให้ขึ้นรถอรุณศรีขึ้นไปนั่งในรถ ปรานต์เดินไปประจำที่คนขับ
อรุณศรีรู้สึกเหมือนมีคนแอบมอง อรุณศรีหันไปตามสัญชาตญาณ พลันก็สบตากับกริชชัยที่ยืนแอบมองจากในออฟฟิศ อรุณศรีชะงักนิดๆ กริชชัยก็สะดุ้งเล็กน้อยและรีบหลบตาแล้วเดินหนีไป อรุณศรีขมวดคิ้ว
รถของปรานต์ขับออกไปอย่างเร็ว

เย็นวันเดียวกัน รถของวัชระแล่นเข้ามาจอดภายในบ้านของเนตรนภัส เนตรนภัสยืนหน้าบูดบึ้ง วัชระลงจากรถอย่างเตรียมตัว เตรียมใจในการรับศึกที่จะเกิดขึ้นอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
“แหนมจะไม่ถามว่าวัชหายไปไหนมา และจะไม่เซ้าซี้อะไรทั้งนั้น”
วัชระมองแบบไม่ค่อยอยากจะเชื่อ
“แต่วัชจะต้องไปยืนยันกับคุณแม่เรื่องงานแต่งงานของเรา เพราะคุณแม่คิดว่าวัชไม่เต็มใจจะแต่งกับแหนม”
“ดี..ผมก็มีเรื่องจะคุยกับท่านเหมือนกัน”
เนตรนภัสชะงักนิดๆ ..
“วัชจะคุยเรื่องอะไร “
วัชระไม่ตอบ มองเนตรนภัสด้วยแววตาแน่วแน่...กับสิ่งที่จะพูด สายตาของเนตรนภัสเต็มไปด้วยความอยากรู้
“เรื่องสินสอด! .. ผมต้องเรียนตามตรงว่าผมไม่มีเงินมากนัก เพิ่งจะลงเงินตกแต่งคอนโดใหม่กับเพื่อน เงินก้อนหมดแล้ว เหลือแต่เงินเดือนกับเงินในธนาคารอีกไม่มาก”
เนตรนภัสชักสีหน้า สีรุ้งยังนั่งฟังนิ่งๆอยู่ข้างๆ
“วัชพูดเรื่องนี้ทำไม แหนมบอกกับคุณแม่คุณแล้วไงคะว่าเรื่องพวกนี้ แหนมจัดการเอง”
“แต่ผมไม่อยากทำแบบนั้น ผมอยากจะหาสินสอดมาด้วยตัวเอง ทำแบบนั้นมันไม่มีศักดิ์ศรี”
เนตรนภัสชักสีหน้า เอามือกอดอก เบือนหน้าหนีอย่างกระฟัดกระเฟียด
“ไร้สาระ”
วัชระหันมาสีรุ้ง
“คุณแม่..ลดราคาลงมาหน่อยได้มั้ยครับ ถ้าตามที่บอกมาผมสู้ไม่ไหว”
สีรุ้งเชิดหน้า
“นี่เธอคิดว่าฉันขายลูกสาวหรือไง ถึงได้มาต่อรองเหมือนผักเหมือนปลา”
วัชระหน้าเสียรีบบอกกับสายรุ้งว่า
“เปล่านะครับ ผมไม่ได้มีเจตนาแบบนั้น”
“งั้นก็เลิกพูดเรื่องนี้กันได้แล้ว เพราะถ้าจะให้ฉันเรียกสินสอดในระดับที่เธอสู้ไหว คงได้อับอายคนในวงสังคมของฉัน”
เนตรนภัสพยักหน้าเห็นด้วย วัชระจุกอก
“ศักดิ์ศรีเธอไม่หายไปไหนหรอก ฉันจะปิดเรื่องนี้เป็นความลับ ฉันก็ไม่อยากให้คนนอกรู้ เพราะฉันก็อายเค้าเหมือนกัน”
วัชระสุดทนกับประโยคสุดท้ายของสีรุ้ง
“ผมขอโทษนะครับ ที่ทำให้คุณท่านต้องอับอาย ผมหมดธุระที่จะพูดแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ สวัสดีครับ”
วัชระยกมือไหว้และ ลุกขึ้นเดินออกจากห้องรับแขก เนตรนภัสตกใจในเรื่องที่เกิดขึ้น
“อ้าว วัช วัช รอแหนมด้วยสิคะ วัช วัช”

เนตรนภัสรีบเดินตามไปทันที สีรุ้งมองตามแล้วกุมขมับด้วยความกลุ้มใจ

อ่านต่อหน้า 2








สามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 5 (ต่อ)

เนตรนภัสวิ่งตามออกมาอย่างเร็ว  ขณะที่วัชระเดินลื่วออกมา แต่ยังอยู่ภายในบ้านหลังใหญ่โตของเนตรนภัส หน้าตาวัชระนิ่งขรึม แววตาฉายชัดว่าไม่มีความสุข!

“วัช” เนตรนภัสร้องเรียก
วัชระหยุดยืนหายใจลึก พยายามระงับอารมณ์ เนตรนภัสเดินมาประกบ
เนตรนภัสจับมือวัชระและพยายามปลอบใจ
“เรื่องสินสอด วัชอย่าคิดมากเลยนะ แหนมจัดการเอง หน้าที่ของวัชตอนนี้แค่เตรียมตัวเป็นเจ้าบ่าวที่น่ารักของแหนมแค่นั้นก็พอ ตกลงนะ”
เนตรนภัสมองหน้าวัชระเหมือนจะรอให้ตอบรับ จนวัชระจำใจต้องพยักหน้ารับส่งไปอย่างนั้นเอง เนตรนภัสยิ้มพอใจ
“น่ารักมาก..งั้นก็เริ่มปฎิบัติการแรกกันได้เลย พรุ่งนี้เช้าแหนมนัดเวดดิ้งแพลนเนอร์ไว้แล้ว”
“เวดดิ้งแพลนเนอร์” วัชระทวนเบาๆ
“ใช่ เค้าจะเตรียมคอนเซ็ปท์งานมานำเสนอ แล้วก็มีทุกอย่างมาให้เราเลือก ทั้งการ์ด แหวน ของชำร่วย ดอกไม้ อาหาร แล้วก็ชุด แหนมบอกให้เค้าเลือกแบบที่เริ่ดที่สุด ชุดเจ้าสาวของแหนมจะต้องสวยและไม่เหมือนใคร” เนตรนภัสวาดฝันอย่างมีความสุข
วัชระเหนื่อยใจ
“วัชก็ทำตัวให้ว่างแล้วมารับแหนมตั้งแต่ 8 โมงเช้า”
“8 โมงเช้า” วัชระตกใจ
เนตรนภัสยักไหล่อย่างไม่แคร์ วัชระยืนอยู่ที่เดิม อึ้งและมึนกับชีวิตที่ต้องเริ่มต้นจัดเตรียมการแต่งงาน

ปรานต์เลือกพาอรุณศรีไปรับประทานอาหารเกาหลีสุดโปรด บนโต๊ะ เนื้อ หมู ไก่ กุ้ง สารพัดวางอยู่ในจานของอรุณศรี ปรานต์จงใจคีบให้อรุณศรีด้วยความกระตือรือร้น
“นี่เนื้อหมู นุ่มมากเลยนะ ไก่ก็ไม่มีหนัง กุ้งก็สด แอ๊วกินเยอะๆ เลยนะ ถ้าไม่พอปรานต์สั่งมาเพิ่มอีกก็ได้นะ จะเพิ่มเลยมั้ย”
“พอแล้ว นี่ก็จะกินกันไม่หมดอยู่แล้ว” อรุณศรีพูดพลางมองหน้าปรานต์
“แล้วนี่เกิดอะไรขึ้น ทำไมอยู่ๆถึงได้มาเอาใจแอ๊วแบบนี้ ไปทำอะไรผิดมาหรือเปล่า” อรุณศรีอดระแวงไม่ได้
“ไม่มี ปรานต์ไม่เคยทำอะไรผิดอยู่แล้ว แต่ แค่มีเรื่องจะขอความช่วยเหลือ”
อรุณศรีมองหน้าปรานต์ รอฟังด้วยใจจดจ่อ ปรานต์พูดเสียงอ่อนและเบา
“ปรานต์ขอยืมเงินแอ๊วสัก สี่แสนได้หรือเปล่า” ปรานต์เอ่ยปากเรื่องที่อยากขอความช่วยเหลือ
อรุณศรีตกใจขนาดตะเกียบร่วงจากมือ
“สี่แสน”
ปรานต์รีบอธิบาย
“แอ๊วฟังก่อนนะ คือที่บริษัทเค้าจะระดมทุนเพิ่มคนละห้าแสน ปรานต์มีเงินเก็บอยู่ประมาณแสนนึง ขาดอีกสี่แสน”
อรุณศรีนั่งฟังตาปริบๆ
“จริงๆปรานต์ก็ไม่อยากกวนแอ๊ว มันสุดวิสัยจริงๆ แต่ยืมไม่นานนะ แค่สองสามเดือนพอบริษัทปันเงิน ปรานต์ก็เอามาคืนแล้ว ปันผลครั้งนี้ได้ไม่ต่ำว่าสองล้าน”
“ปรานต์ก็กะว่า ถ้าได้เงินปันผลครั้งนี้ ก็จะเอามาดาวน์บ้าน” ปรานต์จับมืออรุณศรี
“บ้านของเราสองคนไงแอ๊ว” ปรานต์พูดต่อ สร้างความหวัง วาดฝันให้กับอรุณศรีเหมือนเคยทุกครั้ง
อรุณศรีมองหน้าปรานต์อย่างคิดหนัก

ในห้องพักของธีธัช กรกนกยืนกอดอกแล้วก็พูดเสียงเข้มๆ นิ่งๆ
“ไม่ต้องมาพูดวกไป วนมา บอกมาตรงๆ เลยดีกว่า ธีไปโดนใครตีหัวมา กรพยายามจะถามหลายวันแล้ว ธีก็เลี่ยงไม่ตอบสักที”
ขณะนั้นธีธัชนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียว ยืนแหวกแผลอยู่หน้ากระจก มองกรกนกที่หน้าตาขึงขังจริงจัง แล้วก็วางมือจากหัวตัวเอง หันมาตอบ
“ก็บอกแล้วไงว่า เด็ก”
“เด็กที่ไหน เด็กใหม่ หรือว่า เด็กเก่า”
“ไม่ใช่เด็กแบบนั้น แต่เนี่ยเด็กจริงๆ เด็กบ๊องส์ น้องไอ้กริช “
กรกนกคลายมือจากการกอดอก
“คุณกริชเป็นลูกคนเดียว มีน้องตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ลูกของป้า แต่อายุน้อยกว่าก็เลยเป็นน้อง เป็นสัตวแพทย์ สติไม่ค่อยดี สงสัยจะอยู่กับหมากับแมวมากไปหน่อย อ้อ แล้วดันบอกว่าจะทำให้ผมยอมสยบแทบเท้า จะเป็นแฟนผมให้ได้ เหอะ! รอให้น้ำท่วมหลังเป็ดซะก่อนเถอะ” ธัชพูดไปแต่งตัวไป
ธีธัชบ่นไปอย่างไม่คิดมาก แต่กรกนกกลับฉุกคิด
“เด็กเนี่ย น่ารักหรือเปล่า”
“ก็น่ารักดี แต่เพี้ยน กรไม่ต้องหึงเลยนะ ผมไม่มีวันจะสนใจยัยเด็กบ๊องนี่หรอก ไม่ต้องห่วง”
ธีธัชพูดด้วยความมั่นใจแล้วก็หันไปแต่งตัวต่อ
กรกนกยืนครุ่นคิด ถึงคำพูดของธีธัชที่บอกว่าไม่ต้องห่วง แต่เธอกลับรู้สึกเป็นห่วงอย่างบอกไม่ถูก

สุพรรณิการ์กำลังคุมเด็กทำความสะอาดเพื่อเตรียมเปิดร้านสาดสุรา รถธีธัชแล่นเข้ามาจอดเทียบ กรกนกลงจากรถ สุพรรณิการ์หันไปเห็นพอดี ธีธัชลดกระจกลง
“คืนนี้ผมมารับนะ”
กรกนกพยักหน้ารับ ธีธัชยิ้มกว้างสดใส
สุพรรณิการ์ชะงัก ทันทีที่เห็นธีธัช

สุพรรณิการ์นึกอยากจะหาคำตอบให้อรุณศรีที่เข้าใจว่า กริชชัยเป็นเกย์ และธีธัชเป็นคู่ขา ทันทีที่สุพรรณิการ์ถาม กรกนกก็ตอบด้วยความแปลกใจเล็กน้อย
“ธีไม่ได้เป็นเกย์ค่ะ กรการันตีได้ล้านเปอร์เซ็นต์”
สุพรรณิการ์ยิ้มโล่งอก
“ที่จริงฝ้ายก็คิดว่าไม่ได้เป็นค่ะ แต่เพื่อนฝ้ายมันคิด”
“แล้วคุณฝ้ายกับเพื่อนรู้จักธีได้ยังไงคะ”
“คือ เพื่อนสนิทฝ้ายทำงานอยู่ที่บริษัทของเพื่อนเค้าน่ะค่ะ คนที่ชื่อ กริชชัยน่ะค่ะ”
“อ๋อ คุณกริช รู้จักค่ะ คุณกริช ธี แล้วก็วัช เป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมต้น”
สุพรรณิการ์สะดุดกับชื่อที่กรกนกเรียก “วัช”
“วัช ใช่นายตำรวจชื่อวัชระ หรือเปล่าคะ”
“ใช่ค่ะ คุณฝ้ายก็รู้จักเหรอคะ”
“จริงๆ ก็ไม่อยากรู้จักหรอกค่ะ แต่มันจำเป็น แล้วก็จำใจ ช่างนายหน้าหนวดเถอะค่ะ เรากลับมาเรื่องคุณ...”
“ธี ธีธัชค่ะ”
“นั่นน่ะค่ะ ตกลงว่าคุณธีธัชไม่ได้เป็นเกย์ แล้วเค้า เป็นแฟนของคุณกรหรือเปล่าคะ”
กรกนก ไม่รู้จะตอบยังไงกับคำถามนี้

อรุณศรีคุยโทรศัพท์อยู่ในห้องนอน รู้สึกงงกับสิ่งที่สุพรรณิการ์กำลังพูดถึงธีธัชผู้ชายของกรกนก
“เป็นเพื่อนผู้ชายที่สนิทที่สุด แปลว่าอะไร”
สุพรรณิการ์คุยโทรศัพท์กับอรุณศรีอยู่ในห้องทำงานชั้นบนร้านสาดสุรา
“ก็เกือบจะเป็นแฟน แต่ยังไม่ใช่ไง ก็เป็นเพื่อนกันไปก่อน แต่อาจจะมีอะไรบางอย่างที่มากกว่าเพื่อนได้ แต่ก็ยังไม่ใช่แฟน”
“โอ้ย..ซับซ้อนอ่ะ เอาเหอะ เค้าจะเป็นอะไรกัน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน แกจะโทร.มาเล่าให้ฉันฟังทำไมเนี่ย”
“ก็แกจะได้เลิกคิดว่าเจ้านายแกเป็นเกย์ไง”
“ฝ้าย ฉันว่าเราเลิกพูดเรื่องนี้เหอะ เค้าจะเป็นเกย์หรือไม่เป็น คุณกริชเค้าไม่ได้คิดอะไรกับฉัน”
“ไม่จริง”
อรุณศรีสวนทันควัน
“จริง แกเจอเค้าแค่ครั้งเดียว แกจะไปรู้อะไร ฉันเจอเค้าทุกวัน มันไม่มีอะไรจริงๆ เลิกพูดเหอะ ฉันจะนอนแล้ว .. อ้อ แล้วเรื่องค่ารักษาพยาบาล แกจะเอาเท่าไหร่ก็รีบบอกมา ฉันจะทำเรื่องเบิกให้ แค่นี้นะเพื่อน พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน”
สุพรรณิการ์จำต้องวางสายตามอรุณศรีไป แต่ยังแอบครุ่นคิดว่า ทำไมคืนนี้อรุณศรีถึงได้เสียงเครียดนัก

อรุณศรีหยิบสมุดบัญชีเงินฝากมาเปิดดูด้วยสีหน้าเครียด เพราะเงินในบัญชีมีอยู่แค่สองแสนกว่าบาท
อรุณศรีคิดถึงคำพูดปรานต์ที่บอกว่า
“จริงๆปรานต์ก็ไม่อยากกวนแอ๊ว มันสุดวิสัยจริงๆ แต่ยืมไม่นานนะ แค่สองสามเดือนพอบริษัทปันเงิน ปรานต์ก็เอามาคืนแล้ว ปันผลครั้งนี้ได้ไม่ต่ำว่าสองล้าน! ปรานต์ก็กะว่า ถ้าได้เงินปันผลครั้งนี้ ก็จะเอามาดาวน์บ้าน บ้านของเราสองคนไงแอ๊ว”
อรุณศรีถอนหายใจเบาๆ พลางพูดกับตัวเอง
“ระหว่างคนดี กับคนโง่ เราจะเลือกเป็นอะไร”

เช้าวันต่อมา ที่ร้านเวดดิ้ง ทั้งวัชระและเนตรนภัสนั่งอยู่ในร้านตกแต่งด้วยดีไซน์สีหวาน แวดล้อมด้วยนักจัดงานแต่งงานมืออาชีพ แต่วัชระกลับโพล่งออกมาตรงๆ หลังจากที่ฟังคอนเซ็ปต์งานแต่งงาน
“ผมไม่เลือกทั้งสองอย่าง”
เนตรนภัสหันมาจ้องหน้าวัชระด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
“ทำไมคะ แหนมว่าคอนเส็ปท์ที่คุณโตโต้บอกมามันก็ดีออก งานกลางวันจัดที่สวนของโรงแรมเป็นสวนแบบอังกฤษ แขกมางานก็เป็นคอนเส็ปท์รอแยล แอสคอต (Royal Ascot) ใส่หมวกเก๋ๆ มาดูม้าแข่ง ผู้ดีมาก”
วัชระทำหน้าเอือม
“งานกลางคืนก็จัดในโรงแรมบรรยากาศเทพนิยาย วัชเป็นเจ้าชาย แหนมก็เป็นเจ้าหญิง น่ารักจะตาย ทำไมวัชไม่ชอบ”
“แต่มันแพง” วัชระเสียงเบา
เนตรนภัสปรายตาไปที่วัชระ
“ก็แหนมมีเงินจ่าย เท่าไหร่แหนมก็จ่ายได้ วัชจะต้องเดือดร้อนทำไม”
วัชระเบือนหน้าหนี เนตรนภัสหันมาพูดกับทีมงาน
“สรุปว่าแหนมชอบทั้งสองแบบนะคะ ทั้งงานกลางวันและงานกลางคืน เอาตามแบบนี้เลย ส่วนเรื่องทำวีทีอาร์ประวัติความรักของเราสองคนก็เริ่มได้เลยนะคะ แหนมขอตรวจบทด้วย”
“เมื่อกี๊แหนมว่าไงนะ จะทำอะไร”
“ก็ทำตำนานความรักของเรา เอาไว้ฉายให้คนในงานดูไง”
“ขนาดนั้นเลยเหรอ เรื่องของเราสองคนทำไมต้องไปโพนทะนาให้คนอื่นรู้ด้วย แหนมไม่เขินเหรอ อยู่ๆ ก็เอาเรื่องส่วนตัวไปโชว์ให้คนอื่นดู ผมไม่เอานะ ผมอาย หน้าผมบาง”
“เราก็ทำให้มันเก๋ๆ ก็ได้ แขกมางานเรา เค้าก็ต้องอยากรู้เรื่องของเรา” เนตรนภัสสวนทันที
“อยากรู้ขนาดนั้นเลย” วัชระเสียงกวน
“แล้วต้องถ่ายตอนที่เรานอนด้วยกันให้เค้าดูด้วยหรือเปล่า เขาก็คงจะอยากรู้เหมือนกัน”
วัชระพูดประชดเนตรนภัสหน้าตึง
“วัชเป็นอะไร แหนมพูดอะไร ชอบอะไร วัชก็ขัดไปหมดทุกอย่าง พอ วันนี้พอแค่นี้ก็แล้วกัน แหนมไม่อยากทะเลาะกับวัชมากไปกว่านี้อีกแล้ว ฤกษ์ไม่ดี”
ว่าที่เจ้าบ่าว เจ้าสาวคิดไปกันคนละทาง มองคนละมุม พนักงานร้านเวดดิ้งเริ่มมองหน้ากัน ก่อนจะค่อยๆทยอยแยกย้ายกันไปคนละทาง
เนตรนภัสคว้ากระเป๋าเดินกระแทกส้นรองเท้าลงกับพื้นอย่างไม่พอใจและออกจากร้านไปทันที วัชระได้แต่นั่งนิ่งอยู่ที่เดิม มองสิ่งต่างๆ ในงานวิวาห์ด้วยความกลัดกลุ้มใจ

สุพรรณิการ์กำลังนอนอย่างมีความสุขในยามกลางวัน เสียงเจาะเพดานทะลุมาเข้ามาในห้องนอนจน สุพรรณิการ์ต้องคว้าหมอนมาปิดหู หลังเสียงเจาะเพดานเงียบไป เสียงตอกตะปูดังสนั่นถี่ยิบก็ตามมาติดๆ สุพรรณิการ์เอาผ้ามาคลุมทับหมอนที่อุดหูอยู่ เสียงเจาะเพดานดังขึ้นมาอีกรอบ
สุพรรณิการ์นอนไม่ได้ ต้องกระเด้งตัวขึ้นมา พร้อมกับโวย
“โอ้ย จะมาเจาะอะไรกันตอนนี้วะ ห้องไหนเนี่ย”

ที่คอนโด “สามเหลี่ยม สามมุม” ของกริชชัย วัชระกำลังเจาะเพดานทำที่ห้อยกระสอบชกมวย
วัชระเจาะเสร็จพอดี ขยับตรวจเช็คความเรียบร้อย
สุพรรณิการ์นั่งหน้าเครียดจนเสียงสว่านเงียบไป ถึงได้ยิ้มออก
“ค่อยยังชั่วหน่อย ไม่งั้นได้เจอกันแน่” สุพรรณิการ์บ่นอุบ
สุพรรณิการ์กำลังล้มตัวลงนอน ทันใดนั้นก็มีเสียงชกกระสอบทรายตุ๊บตุ๊บดังขึ้น
สุพรรณิการ์กระเด้งตัวขึ้นมาอีกรอบ คราวนี้หงุดหงิดอย่างสุดๆ
“โอ้ย อะไรกันวะเนี่ย”
สุพรรณิการ์โกรธจัด เงยหน้ามองขึ้นไปยังตำแหน่งของเสียง

สุพรรณิการ์ยืนกดออดหน้าห้องต้นเสียงอย่างกระหน่ำ เสียงออดดังสนั่นแข่งกับเสียงชกกระสอบของวัชระ สักพักประตูห้องก็เปิดออก
วัชระเดินออกมาเปิดประตูห้องในสภาพเหงื่อโซมกาย ไม่ใส่เสื้อ ใส่แต่กางเกงยืดขอบเอวต่ำ
สุพรรณิการ์ถึงกับยืนมองด้วยความอึ้งไปชั่วขณะ อ้าปากจะด่า แต่ไม่มีอะไรหลุดออกมา
วัชระมองหน้าแล้วก็ถามขึ้น
“มีอะไร”
เสียงดังห้าว แห้ง แล้งน้ำใจของวัชระ ทำให้สุพรรณิการ์ถึงกับหมดอารมณ์ตื่นเต้น
“นี่พูดจากับผู้หญิงให้มันดีๆหน่อย”
“อ้าว ผู้หญิงเหรอ นึกว่าทอม”
“ฉันไม่ได้เป็นทอมย่ะ”
“ไม่ใช่ก็ควรจะทำตัวให้มันนุ่มนวลหน่อย ตกลงมากดกริ่ง มีอะไร”
“ฉันจะนอน เงียบๆ หน่อยไม่ได้หรือไง”
“นี่มันเที่ยงนะคุณ จะนอนไปถึงไหน”
“ฉันเพิ่งจะเข้านอน เมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี้เอง ฉันคนทำงานกลางคืน ไม่ได้นอนเหมือนคุณนี่”
“ทำงานกลางคืน” วัชระมองสุพรรณิการ์ตั้งแต่หัวจรดเท้า
“สารรูปแบบนี้มีคนมาใช้บริการด้วยเหรอ “ วัชระพูดต่อ
สุพรรณิการ์โมโห
“ไอ้นายหน้าหนวด นายคิดว่าฉันทำงานอะไรหะ ฉันเป็นเจ้าของร้านเหล้าย่ะ ไม่ได้ทำงานอย่างว่า ทุเรศ สกปรก ต่ำ”
“โห มาเป็นชุด หูแทบรับไม่ได้ ทีหลังไม่อยากให้เข้าใจผิด ก็พูดให้มันกระจ่างหน่อย แล้วจะบอกให้นะว่าผมทำเสียงเบากว่านี้ไม่ได้หรอก เพราะมันเป็นสิทธิส่วนบุคคล”
“แต่มันรบกวนสิทธิส่วนบุคคลของฉัน”
“ก็ช่วยไม่ได้”
วัชระปิดประตูห้องไปไม่สนใจ สุพรรณิการ์รีบตะโกนสวนออกไป
“นี่คุณ นายหน้าหนวด นายวัชระ ออกมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน นายวัชระ”
วัชระไม่สน ล็อคประตูใส่กลอนทันที ตามมาด้วยเสียงชกมวยชุดใหญ่ สุพรรณิการ์สุดจะแค้นเคืองใจ ได้แต่กัดฟันกรอด ทำอะไรไม่ได้

สุพรรณิการ์เดินเข้ามาในห้องอย่างหงุดหงุด เสียงชกมวยยังดังต่อเนื่อง
“คอยดูนะ ฉันจะต้องแก้แค้นนายให้ได้ นายหน้าหนวด”

วัชระกระหน่ำต่อยกระสอบต่ออย่างบ้าคลั่ง สุพรรณิการ์แค้นใจที่ทำอะไรไม่ได้ นอกจากเอาไม้เบสบอลกระทุ้งผนังสู้
วัชระต่อยกระสอบกลับไป ทั้งสองคนด่ากันด้วยเสียงกระทุ้งผนังและ เสียงต่อยกระสอบ วัชระต่อยไปต่อยมาแล้วก็ชักจะฮากับการกระทำของตัวเอง
“บ้าพอกันทั้งคู่”
สุดท้ายวัชระก็ระเบิดหัวเราะออกมา ราวกับได้ปลดปล่อยความเครียดที่คั่งค้างมาตลอดเวลาหลายวัน
วัชระหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ แล้วก็เอน็จอนาจกับชีวิตตัวเอง
สุพรรณิการ์โยนไม้เบสบอลทิ้ง ด้วยความเซ็ง แล้วก็กระโดดลงบนเตียงด้วยความแค้น หยิบเอาหมอนมาอุดหูแล้วมุดหัวลงไปในกองผ้าห่ม

ตอนเที่ยงที่หน้าบริษัท M Group พนักงานทยอยเดินออกมาเพราะเป็นช่วงพักกลางวัน เจ้าหน้าที่เงินกู้กำลังแจกใบปลิวให้กับอรุณศรี พลางบอกว่า
“ถ้าน้องต้องการเงินกู้แบบด่วนจี๋ มีที่นี่ที่เดียวนะครับ ไม่ต้องมีหลักประกัน ไม่ต้องมีคนค้ำ มีแค่ใบรับรองเงินเดือนอย่างเดียวทำได้เลย น้องทำงานที่นี่หรือเปล่าครับ”
“ใช่ค่ะ”
“งั้นพี่ให้สิบเท่าของเงินเดือน เงินเดือนสองหมื่นเอาไปเลยสองแสน แค่เอาสลิปเงินเดือนมาให้พี่ เซ็นเอกสารอีก 5 นาที เงินโอนเข้าแบงค์ทันที เร็ว ง่าย สบาย น้องสนใจมั้ยครับ” พนักงานเงินกู้พูดต่อ
อรุณศรีมองดูใบปลิวอย่างลังเล

กริชชัยกำลังจะเดินออกไปหาของกินเหมือนกัน แต่เหลือบไปเห็นอรุณศรียืนอยู่ กริชชัยมองด้วยความแปลกใจเห็นอรุณศรียืนอ่านใบปลิวอยู่ มีพนักงานพยายามจะขายของ และป้ายตัวโตเขียนว่า “เงินด่วน” กริชชัยคิดแล้วก็เดินเข้าไปหา

อรุณศรียังยืนอ่านเอกสารด้วยความลังเล
“น้องสนใจมั้ยครับ” พนักงานถามย้ำอีกครั้ง
อรุณศรีคิด เสียงกริชชัยก็ดังขึ้น
“อรุณศรี”
อรุณศรีสะดุ้งนิดๆ รีบเก็บเอกสารใส่กระเป๋ากางเกง ก่อนจะหันมาและเดินเลี่ยงๆออกจากพนักงานขายเล็กน้อย
“คะ”
“ทำอะไร”
“อ๋อ คือ กำลังจะออกไปทานข้าวค่ะ”
“ผมก็กำลังจะไปเหมือนกัน เอ่อ...ไป...” กริชชัยจะออกปากชวนแต่พูดยังไม่จบ
อรุณศรีแทรกอย่างนุ่มนวล
“ฉันมีนัดแล้วค่ะ”
“แฟนเหรอ”
อรุณศรียังไม่ทันตอบ เสียงเบญลี่ก็ดังเข้ามา
“แอ๊ว..ขอโทษทีพี่มาช้าไปหน่อย พอดีติดคุยกับลูกค้า”
เบญลี่หันมาเห็นกริชชัยเข้าพอดี
“อ้าว คุณกริช”
เบญลี่มองหน้ากริชชัยแล้วก็หันมามองหน้าอรุณศรี ด้วยความอยากรู้ กริชชัยจึงรีบบอก
“ผมเห็นอรุณศรียืนรออยู่คนเดียว ก็เลยเดินมาทัก แล้วนี่กำลังจะออกไปทานข้าวกันเหรอ”
อรุณศรียังไม่ทันจะได้ตอบ เบญลี่ก็แทรกอย่างรู้งาน
“ใช่ค่ะ คุณกริชทานหรือยังคะ ไปทานด้วยกันมั้ยคะ”

อรุณศรีตกใจนิดๆ ที่เบญลี่ออกปากชวนกริชชัยและลุ้นรอฟังคำตอบอยู่ ขณะที่กริชชัยกำลังคิดหนักภายในใจว่า “ถ้าไปด้วยจะดีไหมหนอ?”

โปรดติดตามอ่านต่อตอนที่ 6 







กำลังโหลดความคิดเห็น