xs
xsm
sm
md
lg

สามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 2

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 2

กริชชัยคุยโทรศัพท์ไปด้วย ขณะที่เขานั่งรถตู้เบนซ์อยู่บนท้องถนน

“พี่ใกล้จะถึงบ้านแล้วนะเภา อีกประมาณ 5 นาที แล้วเจอกัน”

กริชชัยวางสายแล้วถอนหายใจเล็กน้อย และหันกลับมามองรูปอรุณศรีอีกครั้ง พร้อมกับถอนหายใจอีกครั้ง พูดพึมพำเบาๆ กับตัวเองขึ้นว่า “เฮ่อ..ไม่กล้าโทรอยู่ดี”
ขณะเดียวกันนั้นอรุณศรีก็ยังยืนอยู่บริเวณป้ายรถเมล์ที่เดิม ชะเง้อมองรถราที่สัญจรผ่านไปมาบนท้องถนน ข้างๆ เธอมีคนยืนรอรถเมล์อยู่ด้วย 3-4 คน สักพักก็มีรถสปอร์ตคันหนึ่งสาดไฟเข้ามายังจุดที่อรุณศรียืนอยู่ ไฟแรงสูงที่สาดมานั้นทำให้อรุณศรีต้องหรี่สายตาลงเล็กน้อย
รถสปอร์ตคันนั้นเปิดไฟขอทางเทียบจอดบริเวณป้ายรถเมล์ สุพรรณิการ์เปิดประตูฝั่งคนขับและก้าวลงจากรถ ด้วยใบหน้าที่ไม่ค่อยสบอารมณ์ในตัวอรุณศรีนัก
“ไงยะ คุณอรุณศรี โดนแฟนทิ้งให้โหนรถเมล์กลับบ้านอีกตามเคย นี่ถามจริง ถ้าฉันไม่บังเอิญโทร.หาแก แกจะต้องถ่อกลับบ้านเองจริงๆ ใช่มั้ยเนี่ย ?”

อรุณศรีส่ายหน้าเล็กน้อยกับความเป็นคนตรง เจ้าอารมณ์ แต่ปากกับใจตรงกันของเพื่อนรักอย่างสุพรรณิการ์ อรุณศรีก้าวเท้าพาตัวเองมาที่รถ
“คุณนายฝ้าย รอให้เพื่อนขึ้นรถ แล้วค่อยประชดไม่ได้หรือไง จอดปุ๊บเป็นต้องโผล่หน้ามาเหวี่ยงก่อนเลย”
“ก็จริงนี่ มีอย่างที่ไหน หอบแฟนมากินข้าว จ่ายตังค์ แล้วก็ปล่อยกลับบ้านเอง เจอฉันหน่อยไม่ได้ จะด่าให้กระเจิงเลย!!”

เสียงดังฟังชัดแบบไม่เกรงใจใครของสุพรรณิการ์ทำให้ผู้โดยสารซึ่งรอรถเมล์อยู่หันมามองอรุณศรีเป็นตาเดียว กัน อรุณศรีถึงกับหน้าแดงด้วยความอาย
“ฝ้ายพอได้แล้ว มีอะไรค่อยคุยบนรถ..ไป อายเค้า”

พยักพเยิดให้เพื่อนซี้ขึ้นรถแล้ว อรุณศรีเปิดประตูรถพาตัวเองเข้าไปนั่งข้างคนขับ และรีบปิดประตูรถทันที สุพรรณิการ์ส่ายหน้าไม่พอใจนักที่อรุณศรีชอบใจอ่อน ยอมปรานต์ไปเสียทุกเรื่อง สุพรรณิการ์กลับเข้าไปนั่งในรถสปอร์ตแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว

เพียง 5 นาที...รถตู้แล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้านสวนลำเภา ทันทีที่รถจอดสนิท คนขับรถรีบวิ่งเข้ามาทำหน้าที่เปิดประตูรถให้โดยทันที
“คุณลำเภาฝากกุญแจไว้ให้ครับ” คนรถกล่าวกับกริชชัยอย่างสุภาพ นอบน้อม
กริชชัยรับกุญแจแล้วก้าวลงจากรถมาพร้อมกับไอแพดในมือ
“ขอบใจ กลับไปได้เลยนะ คืนนี้ฉันค้างที่นี่”
“ครับ” คนรถขับรถรับคำ จากนั้นก็รีบกุลีกุจอขึ้นไปขับรถนำรถตู้ของกริชชัยไปเก็บที่โรงจอดรถ

บ้านสวนลำเภาเป็นบ้านที่มีบริเวณพอสมควร แวดล้อมไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ บรรยากาศร่มรื่น รั้วรอบบ้านมีพุ่มไม้ต้นไม่สูงนักปลูกคลุมรั้วไว้อีกชั้นหนึ่ง กริชชัยถือกุญแจพวงที่ลำเภาฝากไว้ให้ไขเข้าไปในบ้านอย่างไม่ค่อยคุ้นเคยนัก

ทันทีที่กริชชัยเดินก้าวเข้ามาในบริเวณบ้าน สุนัขที่ลำเภาเลี้ยงไว้และไม่คุ้นเคยกับกริชชัยมาก่อน ก็เห่าขึ้นมา โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

“โฮ่งๆ โฮ่งๆ โฮ่งๆ” น้องหมาถึง 2 ตัวเห่าประสานเสียง เสียงแหลมๆ ของมันกรีดก้องเข้าไปในรูหูของกริชชัย เขาตกใจเล็กน้อยที่เห็น “ขนมจีน” และ “ซาลาเปา” ยืนจังก้าพร้อมกับแยกเขี้ยวขู่ และทำท่าจะวิ่งพุ่งเข้ามาหมายจะทำร้ายเขา
“เฮ้ยย!!” กริชชัยถึงกับผงะ

ขนมจีบ กับ ซาละเปายังคงเห่า “โฮ่งๆ” ไม่ยอมหยุด
กริชชัยถอยกราวกรูดอย่างลืมตัวตัวจนล้มลงกับพื้น ขนมจีบ ซาลาเปา หมายกระโจนพุ่งมาสู่เป้าหมายทันที

ทันใดนั้นเสียงลำเภาก็ดังขึ้น
“ขนมจีบ ซาลาเปา หยุด !!” ลำเภาสั่งเสียงเข้ม

ขนมจีบกับซาลาเปาถึงกับหยุดกึก แต่อาการที่จะพุ่งตัวเข้าหากริชชัยกะทันหัน จึงทำให้ลื่นไถลไปกับพื้น ก่อนที่จะวิ่งกลับไปกระดิกหางหาลำเภาผู้เป็นเจ้าของในทันทีอย่างว่านอนสอนง่าย
“นั่ง!!” ลำเภาสั่งอย่างเฉียบขาด น้องหมาต่างแสดงกิริยา “นั่ง” อย่างว่าง่าย
“ฟัง!! ” ลำเภาก้มหน้าพูดกึ่งออกคำสั่ง
เดอะแก๊งของลำเภาต่างกระดิกหูแสดงอาการรับรู้ นิ่งฟังลำเภาอย่างตั้งใจ ลำเภาชี้มาที่กริชชัยแล้วพูดกับขนมจีบ ซาละเปาว่า
“นี่คือคุณกริช”

กริชชัยสังเกตเห็นว่า เดอะแก๊งหันหน้ามามองเขาตามนิ้วของลำเภา
“ลูกของคุณน้าพวงแข ถ้านับตามศักดิ์แล้วคุณกริชเป็นน้องของหม่ามี๊” ขณะพูดคำว่าหม่ามี้ ลำเภาชี้มาที่ตัวเอง บรรดาน้องหมาหันกลับมามองลำเภาเป็นตาเดียว
“แต่คุณกริชอายุมากกว่าก็เลยเป็นพี่หม่ามี๊ เราเป็นญาติกัน ทีหลังห้ามเห่าคุณกริชอีกรู้หรือเปล่า”
บรรดาน้องหมาทั้งหลายถึงกับทำหน้าจ๋อยๆ ส่งเสียงงื้ดๆ ไปตามๆ กัน เมื่อได้ยินความจริงจากปากของลำเภา
“ดีมาก !!”

กริชชัยมองลำเภาแล้วก็กระพริบตาปริบๆ
“น้องฉันคุยกับหมา” กริชชัยว่า
ทันใดนั้น ลำเภาหันขวับมาทางกริชชัย แล้วเผลอใช้น้ำเสียงเดียวกับที่คุยกับน้องหมากับกริชชัย
“คุณกริช !!”
กริชชัยเผลอตัวลุกขึ้นยืนตัวตรงพรวดพราดอย่างเชื่อฟัง
“ครับผม”
“นี่ขนมจีบ กับ ซาลาเปา เมื่อก่อนเภาเลี้ยงไว้ที่บ้านโน้น แต่พ่อกับแม่กลัวเหงาก็เลยส่งมาอยู่เป็นเพื่อน “
“ถึงว่าเมื่อก่อนมาไม่มี”
“เพราะฉะนั้นทั้งคุณกริช ขนมจีบ และซาลาเปา เป็นสมาชิกใหม่ของบ้านนี้ ขอให้ทุกคนอยู่ด้วยกันอย่างปรองดอง”
“ครับ” กริชชัยรับคำ
“โฮ่ง” ขนมจีบ ซาลาเปาเห่ารับขึ้นพร้อมกันกับกริชชัยรับปากลำเภา
กริชชัยมองน้องหมาด้วยความงง..พลางคิดในใจและอดสังสัยไม่ได้ว่า “มันฟังรู้เรื่องเหรอวะ”

ลำเภาเดินนำกริชชัยเข้ามาในบ้าน เพื่อให้เกิดความคุ้นเคย ขณะที่ลำเภาเดินนำอยู่นั้น ก็สนทนากับกริชชัยไปพลางๆ
“พอคุณแม่บอกว่าคุณกริชจะมาอยู่สักพัก เภาก็ให้ช่างมาตกแต่งเพิ่ม แล้วก็แยกห้องคุณกริชออกไปเป็นสัดส่วน เภาไม่เข้าใจจริงๆ คุณกริชจะขายบ้านคุณน้าแล้วย้ายไปอยู่คอนโดทำไม”
ลำเภารินน้ำเย็นและยื่นแก้วน้ำนั้นให้กับกริชชัย
“บ้านมันใหญ่ไป คุณพ่อคุณแม่อยู่อังกฤษ ไม่ค่อยกลับ อยู่คนเดียว เหงา”
“เหงาก็หาแฟนสิ อย่างคุณกริชกระดิกนิ้วนิดเดียว ผู้หญิงก็มาเป็นแถว”
กริชชัยรู้สึกขำกับความเห็นของลำเภา

“ผู้หญิงนะ ไม่ใช่หมา เราเองก็ไม่ต่างจากพี่ ทั้งหน้าตา หน้าที่การงาน กระดิกนิ้วทีเดียวผู้ชายก็มา ทำไมยังหาแฟนไม่ได้” กริชชัยใช้คำพูดของลำเภาย้อนเธออีกทีหนึ่ง ลำเภาอึ้งเล็กน้อย ก่อนจะบอกว่า
“ไม่ใช่หาไม่ได้ แต่ที่พอหาได้ ยังไม่ดีพอต่างหาก ..”
“โห” กริชชัยส่ายหน้าขำๆคารมของน้องสาว
“ อ้อ..แล้วที่คอนโดใหม่ของคุณกริชจะมีเพื่อนไปอยู่ด้วยเหรอ ?” ลำเภาซักฟอกด้วยความสงสัย
“อืมม์...” กริชชัยยอมรับและส่งเสียงเบาๆในลำคอ
“ผู้หญิง ผู้ชาย ?” ลำเภาถาม
“ผู้ชาย”
“ชายแท้ หรือ ชายเทียม ?” ลำเภาสวนกลับพี่ชายอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย..ชายแท้ๆสิ นี่..พี่ไม่ใช่เกย์นะ” กริชชัยรีบพูดดักคอก่อนที่ลำเภาจะขยายประเด็นต่อ
“ไม่ใช่ก็ดี มีพี่ชายอยู่คนเดียว เภาไม่ยอมให้ผิดเพศนะ อยากอุ้มหลาน” ลำเภาบอก

กริชชัยถึงกับส่ายหน้าเอือมกับความช่างคิด ช่างสงสัยของลำเภา แต่ก็อดที่จะพูดทีเล่น ทีจริงไปว่า
“ เออ..แต่มันก็ไม่แน่นะ ถ้าเกิดอกหักขึ้นมา .. บางทีอาจจะเข็ดผู้หญิง หนีไปมีแฟนเป็นผู้ชายให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย”
“หะ ?” ลำเภาหันขวับอย่างรวดเร็วดวงตาเต็มไปด้วยความฉงนและอดสงสัยในตัวกริชชัยไม่ได้
“พี่ไปนอนก่อนนะ พรุ่งนี้ต้องไปต่างจังหวัดแต่เช้า .. ขอบใจมากที่จัดห้องไว้ให้” กริชชัยพูดหน้าตาเฉยก่อนจะเดินไปยังห้องนอน ทิ้งให้ลำเภายืนอยู่กับความสงสัย จนต้องหันมาถามน้องหมาที่นอนอยู่ข้างๆ
“ขนมจีบ ซาลาเปา” น้องหมาทั้ง 2 ตัวกระดิกหู ค่อยๆหันหน้าหันมาลำเภา ผู้เป็นเจ้าของ
“แกว่าคุณกริชเค้าพูดเล่นใช่ป่ะ ? เค้าไม่ได้จะเป็นเกย์จริงๆใช่มั๊ย ?”
“เดี๊ยนไม่รู้ .. เดี๊ยนเป็นหมา..” น้องหมาทำหน้าหน่ายๆ พลางตอบในใจ ว่าแล้วหมอบลงไปนอน
ตามเดิม
ลำเภายังคงครุ่นคิดถึงคำพูดของกริชชัยด้วยความไม่สบายใจ.... มันยังไงกันนะ ?

ที่บ้านอันแสนอลังการของเนตรนภัส รถของวัชระแล่นเข้ามาในสภาพกระโปรงหน้ายุบ ท้ายโดนชน ไฟท้ายห้อยต่องแต่ง แล่นเข้ามาจอดเทียบที่บริเวณสวนด้านหน้าภายในบริเวณบ้าน เเนตรนภัสยืนกอดอกใบหน้าแสดงความไมาพอใจอย่างแรง วัชระลงจากรถอย่างหน่ายๆ อย่างรู้ชะตากรรม ทันทีที่เห็นหน้าวัชระ เนตรนภัสเปิดฉากทันที
“วัช ! แหนมโทร.ไปทำไมไม่รับสาย ? แล้วทำไมไม่โทร.กลับ ? ทำไมต้องให้ธีโกหก ? ทำไมมารับช้า ? แวะที่ไหนก่อนหรือเปล่า ? แล้ว...” เนตรนภัสถามวัชระแบบไม่เว้นวรรคให้หายใจ
แล้วสายตาของเนตรนภัสก็เหลือบไปเห็นสภาพรถอันยับเยิน
“ทำไมกระโปรงรถบุบแบบนี้ ? อธิบายมาอย่างละเอียด Now!!” เนตรนภัสกล่าาว
วัชระส่ายหน้านิดๆก่อนจะพูดกับเนตรนภัสไปว่า
“แหนมใจเย็นๆก่อนได้มั๊ย ? อย่าเพิ่งใส่อารมณ์ เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังอย่างละเอียดเลยนะ.. เรื่องมันมีอยู่ว่า...” วัชระตั้งท่าจะเล่า แต่เนตรนภัสกลับสวนขึ้นในทันที
“พอๆๆๆ ไม่ต้องแก้ตัวอะไรทั้งนั้น ! แหนม ไม่อยากฟัง !!”
วัชระทั้งอึ้งและงง ไหน...ตอนแรกกลับถามแบบไม่หายใจอยากรู้ แต่พอจะเล่า เนตรนภัสกลับไม่ฟัง
“ผมยังไม่ได้แก้ตัวเลยนะ ผมแค่จะบอกเฉยๆ แล้วตกลงจะให้อธิบายหรือเปล่า ?” วัชระถามเพื่อความแน่ใจ
“ไม่ต้องแล้ว ไม่อยากฟัง แหนมหิวข้าว !!!” เนตรนภัสบอก
วัชระแสดงสีหน้าเซ็งๆ กับน้ำเสียงแสดงความเบื่อหน่ายกับพฤติกรรมของเนตรนภัสที่เอาแต่ใจตัวเองไม่เคยเปลี่ยนแปลง
“โอเคๆ..ไปกินข้าวก็ไปกินข้าว แล้วจะกินอะไร”
“ไม่รู้ !!” ตอบแบบไม่มีหางเสียง
“งั้นตามใจผมนะ ผมเลือกเอง”
“แต่แหนมเป็นคนหิว จะตามใจวัชได้ยังไง”
“งั้นแหนมก็บอกมาสิคร้าบ .. ว่าอยากจะรับประทานอะไร ไม่รู้แล้วผมจะจัดให้ถูกหรือไง ?”
“ก็คนมันไม่รู้ จะคาดคั้นหาอะไรหะ ? ไม่รู้หล่ะ ขับรถออกไปก่อน นึกได้แล้วจะบอกเอง”
วัชระถอนหายใจแสดงอาการเหนื่อยใจ เนตรนภัสหันมาพูดเชิดๆใส่วัชระอีก
“ไปรถแหนมนะ รถวัชนั่งไม่สบาย แถมกระโปรงหน้าก็ยุบ ไฟท้ายก็ห้อยต่องแต่ง แหนมนั่งไม่ได้หรอกอายเค้า !!!”
เนตรนภัสพูดจบก็เดินตรงไปที่รถสปอร์ตของตัวเองที่จอดอยู่ข้างๆ แล้วหันหลับมาทางวัชระอีกครั้งและออกคำสั่ง
“วัชขับนะ แหนมขี้เกียจ !!”
เนตรนภัสเปิดประตูก้าวขึ้นรถ วัชระถอนหายใจยืนเหนื่อยหน่าย หันมามองกระโปรงหน้ารถของตัวเองพาลนึกไปถึงที่สุพรรณิการ์ทุบหน้ารถ และ ท้ายรถคันอื่นชน
“ทำไมวันนี้มันถึงได้ซวย..แบบนี้วะ .. เฮ่อออออ...”
ทันใดนั้นเสียงแตรรถของแหนมก็ดังเร่งมา ปิ๊นๆๆ
“คร้าบ..คุณผู้หญิง !!!” วัชระร้องบอกและเดินไปที่หาเนตรนภัสที่รถด้วยแววตาครุ่นคิด

“ทำไมคนเราก่อนเป็นแฟน กับหลังเป็นแฟนกันแล้ว มันถึงได้เปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้..” .เสียงของอรุณศรีก็ดังแทรกเข้ามา คำพูดประโยคนี้ ถ้าวัชระได้ยินคงจะเห็นด้วยเพราะเขาก็กำลังเผชิญหน้ากับภาวะเช่นนี้อยู่
อรุณศรีพูดขึ้นอย่างลอยๆอย่างไม่เข้าใจในร้านเหล้าของสุพรรณิการ์ ร้านเหล้า “สาดสุรา หวานนารี” ในบรรยากาศชายหาดริมทะเล ผนังเป็นปูนเปลือย บริกรทั้งหนุ่มและสาวที่เดินเสิร์ฟอาหารและมิกเซอร์ตามโต๊ะต่างๆอยู่ในชุดบิกินี่เก๋ๆ ไม่โป๊แต่แอบเซ็กซี่เล็กๆ
“ฉันไม่เข้าใจจริงๆ” อรุณศรีพึมพำกับตัวเอง
สุพรรณิการ์ยื่นหน้าเข้ามาตอบ..
“เค้าเรียกว่าหมดโปรไงแก แต่ฉันว่า..จริงๆแล้ว คนเราก็เปลี่ยนกันทั้งนั้น ฉันรู้จักแกมาตั้งแต่ป. หนึ่ง ถ้าแกยังเหมือนเดิมก็แย่แล้ว แต่อย่างไอ้ปรานต์ เค้าเรียกว่าเลวเสมอต้นเสมอปลาย”
อรุณศรีสะอึกเมื่อโดนเพื่อนแทงใจดำอย่างจัง
“ฉันไม่เข้าใจจริงๆ แกทนคบกับมันได้ยังไง” สุพรรณิการ์พูดต่อ
“ปรานต์เค้าเพิ่งจะเปลี่ยนไป ตอนเริ่มทำธุรกิจกับเพื่อนกลุ่มไฮโซ เมื่อก่อนเค้าก็ดูแลฉันดี ตอนพ่อแม่ฉันเสีย เค้าก็คอยช่วยงานศพ เป็นกำลังใจให้ฉัน เรื่องดีของเค้าก็มี” อรุณศรีว่า
“แต่เรื่องเลวมันก็เยอะ” สุพรรณิการ์พูดตรงๆอย่างไม่อ้อมค้อม จนอรุณศรีสะอึกอีกรอบ
“ไอ้ปรานต์มันไม่ได้ “เปลี่ยน” แต่มันเผยนิสัยที่แท้จริงออกมาต่างหาก เงินเดือนยังไม่พอใช้ เชอะ ทำเป็นคบไฮโซ “
อรุณศรีฟังแล้วก็คิดหนัก..สุพรรณิการ์ใส่ต่อ ด้วยหวังว่า อรุณศรีจะตาสว่างขึ้นมาบ้าง
“ฉันอยากให้มีอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วยทำให้แกตาสว่างสักที อย่างแกหาดีกว่าไอ้ปรานต์ได้สบายมาก”
“ถ้าผู้ชายดีๆหาได้ง่ายๆ ฉันว่าแกก็คงมีแฟนไปนานแล้ว แกดู..ผู้ชายดีๆ มีอนาคต มีชาติตระกูล เค้าก็ไปคบกันเอง อย่างพวกโน้นไง” อรุณศรีว่า
อรุณศรีโบ้ยปากไปทางกลุ่มเกย์ผู้ดีที่นั่งคุยกันกระหนุงกระหนิงอย่างสุภาพและมีชาติตระกูลอยู่มุมหนึ่งของร้าน สุพรรณิการ์มองตาม .. ในใจคิดว่า “เออ ก็จริง”
“ส่วนผู้ชายแท้ๆ ที่เหลือ ก็อยู่โน่นไง..”
อรุณศรีบุ้ยโบ้ยปากไปอีกมุมหนึ่งของร้าน สุพรรณิการ์มองตามไปเห็นชายหนุ่มอาการหื่นๆ ยืนอยู่ที่หน้า
บาร์ ซึ่งหลังเคาท์เตอร์เห็น กรกนก อยู่ในชุดเซ็กซี่ ดูดี มีรสนิยม กำลังทำหน้าที่บาร์เทนดี้ ได้อย่างมืออาชีพ จังหวะการเชคไป เต้นไป ยั่วยวนได้ใจจนหนุ่มๆที่ยืนดูด้วยแววตาที่แฝงด้วยหื่นกระหาย บางคนใช้มือถือมาถ่ายคลิป ถ่ายภาพนิ่ง
กรกนกทำหน้าที่เชคอย่างมืออาชีพที่รุ่มรวยไปด้วยเสน่ห์ และโดดเด่นมากท่ามกลางแสงไฟ เมื่อกรกนกหันมาเห็นสุพรรณิการ์ก็ยิ้มรับให้อย่างเป็นกันเอง พร้อมกับยกนิ้วโป้งให้ด้วยความชื่นชน
“คุณกร..ผู้จัดการร้านฉันเอง” สุพรรณิการ์บอกกับอรุณศรี
“ฉันรู้แล้วว่าทำไมร้านแกถึงได้คนเยอะ”
“ถึงฉันไม่เคยมีแฟน แต่ฉันก็รู้ว่าผู้ชายต้องการอะไร แล้วฉันก็แบ่งหุ้นในร้านให้คุณกรเรียบร้อยแล้ว”
อรุณศรีพยักหน้ารับด้วยความชื่นชม
“แกนี่สมกับเป็นเถ้าแก่เนี้ยจริงๆ”
สุพรรณิการ์ยักไหล่รับอย่างภูมิใจ อรุณศรีหันกลับไปมองกรกนกที่กำลังตกเป็นเป้าสายตาของชายหนุ่มที่รายล้อมอยู่ แล้วก็ถามขึ้น
“แกว่า..สวยเลือกได้อย่างคุณกร..จะมีแฟนหรือเปล่า ?” อรุณศรีสงสัย

กรกนกนอนอยู่บนเตียง ข้างที่เธอนอนอยู่มีร่องรอยของคนที่เพิ่งลุกไป ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของร่องรอยนั้นเดินออกมาจากห้องน้ำ ยังไม่ได้ใส่เสื้อ และกำลังพยายามจะใส่กางเกงยีนส์อย่างรีบร้อน ด้วยความไม่ระวังชายหนุ่มชนเข้ากับเก้าอี้ล้มลงที่พื้น โครม !! กรกนกลืมตาด้วยความงัวเงีย
“ธี... “
ชายหนุ่มก้มลงเก็บเก้าอี้ขึ้นเมื่อเงยหน้าขึ้น เขาคือธีธัชนั่นเอง .. ธีธัชใส่กางเกงเรียบร้อยและกำลังหันไปใส่เสื้อ
“มอร์นิ่งจ้ะ “
ภายในอาพาร์ทเม้าท์ของธัช กรกนกหันไปดูนาฬิกา .. เวลาตี 3 พอดีเป๊ะ ข้างๆ นาฬิกาเห็นรูปคู่ของกรกนกและธีธีชแขวนอยู่เป็นรูปเล็กๆ แต่ข้างๆ เป็นรูปขาวดำของธีธัช วัชระ และกริชชัยถ่ายคู่กันสามคนอย่างเท่ใส่กรอบอย่างเก๋ติดอยู่ ทั้ง 2 รูป เห็นแล้วคงไม่ต้องอธิบายอะไรมากเพราะเพื่อนสำคัญกว่าผู้หญิง
กรกนกหันมาทางธีธัช พร้อมกับยันตัวลุกขึ้น
“มอร์นิ่งตอนตี 3 เนี่ยนะ ? แล้วนี่จะรีบไปไหน” กรกนกถาม
ธีธัชพูดไปแต่งตัวไป
“ไปช่วยได้กริชมันสำรวจเส้นทาง มันจะพาลูกค้าวีไอพีไปลองรถ”
“กรไปด้วยได้หรือเปล่า ?” กรกนกหยั่งเชิงไปงั้นเอง
“ไม่ได้หรอก ไปกันแบบชายล้วน แล้วก็ขี่มอเตอร์ไซด์ไป กรไปด้วยลำบากเปล่าๆ”
“ใครลำบาก .. กร หรือ ธี”
ธีธัชยิ้มอ้อนแล้วบอกว่า
“เอาน่า..ไว้ถ้าผมพร้อมเมื่อไหร่ ผมจะพาคุณเปิดตัวเต็มที่ แต่ตอนนี้เราก็เป็นเพื่อนกันแบบนี้ไปก่อน ผมไม่อยากปิดโอกาสกร เผื่อกรเจอคนที่ดีกว่าผมไง แต่ถ้าอีกสักสิบ..ยี่สิบปีข้างหน้า เราสองคนไม่มีใคร..ผมอาจจะ “หยุด” ที่กรก็ได้”
ธีธัชยิ้มสดใส กรกนกยิ้มและพยักหน้าอย่างนั้นเอง
“ผมไปก่อนนะ” ธีธัชชะโงกหน้าเข้ามาหอมแก้มกรกนกอย่างแรง
“คืนนี้เจอกันจ้ะ”
ธีธัชลุกเดินออกจากห้องไป..ประตูปิด ห้องเงียบกริบ กรกนกมองรอบๆห้อง เห็นแต่ความว่างเปล่า กรกนกคิดๆแล้วก็หันไปหยิบโทรศัพท์มากดขึ้นสเตตัสเฟซบุคผ่านบีบี
ผู้หญิงแบบไหน ที่ทำให้ผู้ชายอยากหยุดอยู่ด้วยตลอดชีวิต ??
“โดยเฉพาะผู้ชายอย่างคุณ..ธีธัช .. ผู้หญิงแบบไหนที่หยุดคนอย่างคุณได้” กรกนกพึงพำกับตัวเอง ด้วยความสงสัย

ธีธัชขับรถออกจากอพาร์ทเม้นท์มาที่หน้าบ้านลำเภา จอดรถอยู่ห่างๆ ธีธัชชะเง้อๆที่หน้ารั้วและกำลังจะเอื้อมมือกดออด ทันใดนั้นก็มีเสียงข้อความเข้า ธีธัชเปิดอ่าน
“ไม่ต้องกดออด ข้างรั้วมีทางมุดเข้ามาได้เลย”
ธีธัชหันไปดูที่รั้วเห็นรูโหว่จริงๆ ธีธัชเก็บโทรศัพท์ และเดินมาที่ช่องโหว่พร้อมกับก้มตัวลงแหวกต้นไม้และเตรียมมุดผ่านต้นไม้เข้าไปในรั้วบ้าน

ที่ด้านหน้าของตัวบ้าน ลำเภากำลังรำไทชิ ออกกำลังกายอยู่ที่สวน ลำเภาถึงกับชะงักกึก เงี่ยหูฟังเสียงแกรกกรากอีกที ธีธัชพยายามจะแหวกเข้ามาในช่องโหว่อย่างยากลำบาก
ลำเภาหันขวับไปมองด้วยแววตาพิฆาต
“ใครฟะ?”
ลำเภาหันไปหยิบเศษไม้จากกองไม้ที่อยู่ไม่ไกล ขยับแว่นให้เข้าที่ค่อยและค่อยๆย่างสามขุมเข้าไปใกล้เป้าหมาย
ธีธัชมุดผ่านช่องเข้ามาได้สำเร็จ หัวธีธัชโผล่พ้นรั้วเข้ามาเต็มหัว
“ลำบากจริงเว้ย” ธีธัชบ่นอุบ
ทันใดนั้นเสียงลำเภาก็ดังสวนเข้ามา
“ลำบากแล้วเข้ามาทำไมหะ ? ไอ้หัวขโมย !!!!”
ธีธัชผงะด้วยความตกใจ แต่ยังไม่ทันจะตั้งตัว ไม้ในมือลำเภาก็ฝาดลงที่หัวของธีธัชอย่างแรงผั้วะ !! ตามมาด้วยเสียงร้องดังลั่น
“โอ้ย !!!”
ลำเภากระหน่ำตีต่อแบบไม่ยั้งมือ พร้อมกับตะโกนลั่น
“ช่วยด้วยขโมย !! คุณกริช !!! ขโมยเข้าบ้าน!!! รีบมาช่วยหน่อยเร็ว !!”
ธีธัชร้องไปหลบไป
“เฮ้ย ..โอ้ย..โอ้ยยย”
ธีธัชทั้งตกใจ ทั้งงง ทั้งพยายามหลบ ยังไม่ทันจะได้อธิบาย ลำเภาก็เล่นตีจนจุกพูดไม่ออก

กริชชัยวิ่งออกมาจากตัวบ้านพร้อมกับปืนพกประจำตัว
“เภา !! เภาอยู่ไหน”
กริชชัยพยายามมองหาฝ่าความมืดในช่วงเช้ามืดที่ท้องฟ้ายังไม่สว่างดี
ลำเภายังคงกระหน่ำตีธีธัชไม่หยุด พร้อมๆกับตะโกนบอกกริชชัย
“คุณกริช!! เภาอยู่นี่ มาช่วยกันเร็ว”
“โอ้ย โอ้ย เอ้ย หยุดก่อนฉันไม่ใช่ขโมย ไอ้กริช..ช่วยด้วย”

กริชชัยชะงักกึก หันขวับไปตามเสียง
“เฮ้ย นั่นมัน ไอ้ธี !!! เภาหยุดก่อน มันไม่ใช่ขโมย มันเป็นเพื่อนพี่เอง!!!”

ลำเภากำลังจะง้างมือฟาดอีกทีถึงกับชะงักกึก ถือไม้ค้างไว้
“เพื่อนคุณกริช ...” ลำเภาพูดเสียงเบาในลำคอ
ธีธัชหันมามองหน้าลำเภาเต็มๆ ตา
ลำเภาอยู่ในสภาพผมเผ้ารุงรัง สวมแว่นกรอบเนิร์ดที่เข้ากับใบหน้าดูเก๋ไปอีกแบบ ลำเภาหน้าใสเหมือนเด็กมัธยม แต่งตัวในชุดออกกำลังกาย หลังธีธัชปรายสายตาพิจารณา ก็โพล่งออกมาว่า
“เด็กบ้า !! จะตีใคร ทำไมไม่หัดดูตาม้าตาเรือบ้างหะ? นี่ช่วยดูให้เต็มๆตา หล่อขนาดนี้ จะเป็นขโมยได้ยังไง? มีตาสองข้าง แถมยังใส่แว่นซะหนาเตอะ ยังมองไม่ชัดอีกหรือไง? สายตาไม่ดี หรือสมองไม่ดีกันแน่!!”
“ใครกันแน่สมองไม่ดี บ้านเค้ามีออดก็ไม่กด มามุดรั้วเป็นหมาไปได้” ลำเภาใส่กลับธีธัช
“เฮ้ย ยัยเด็กบ้า เธอนี่มันทั้งตาไม่ดี สมองเสื่อม แล้วยังจะปากเสียอีกนะเนี่ย”
“แล้วตัวเอง ปากดีนักหรือไง ตั้งแต่สำรากมาไม่เข้าหูสักคำ”
“ย้อน ๆ นี่ทำผิดแล้วยังมีหน้ามาย้อนอีกเหรอ หะ?”

กริชชัยวิ่งเข้ามาแทรกด้วยความงง
“เฮ้ย ไอ้ธี เป็นไงบ้าง?”
ธีธัชหันขวับมาที่กริชชัย
“ไอ้กริช เด็กคนใช้...”
ลำเภาถึงกับสะอึกเมื่อได้ยินธีธัชพูดถึงตัวเธอ
“บ้านญาติแกนี่มันไม่ได้เรื่องจริงๆ ปากเสีย ตาไม่มีแวว แล้วยังไม่มีสัมมาคารวะอีกต่างหาก ดูดิ ฟาดหัวฉันซะน่วมไปหมดเลย ขอโทษสักคำก็ไม่มี แบบนี้มันต้องแจ้งความข้อหาทำร้ายร่างกาย” ธีธัชพูดต่อ
ขณะที่ธีธีชพูดเลือดก็ค่อยๆไหลเป็นทางออกมาบริเวณหน้าผากโดยไม่รู้ตัว กริชชัยเห็นรอยเลือดนั้นเพราะฟ้าเริ่มสว่างบ้างแล้ว กริชชัยชี้ไปที่ธีธัช
“เอ่อ...อะ..ไอ้ธี..” กริชชัยกำลังจะบอกธีธัชว่า เลือดไหล
“ก็ลองสิ ฉันจะได้ฟ้องกลับโทษฐานบุกรุกบ้านฉัน” ลำเภาพูดสวนแทรกขึ้นก่อนที่กริชชัยจะพูดอะไรต่อ
ธีธัชเลิกคิ้วด้วยความสงสัย เพราะคิดว่า ลำเภาแอบอ้าง
“บ้านเธอ?” ธีธัชหันมาทางกริชชัยพร้อมๆ กับพูดต่อว่า
“อย่าบอกนะว่ายัยเด็กบ้านี่เป็นญาติแก”
“เอ่อ.. ไอ้ธี.. แกมี..” กริชชัยยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ
ลำเภาเชิดหน้า พูดแทรกขึ้นอีก
“ใช่ ฉันเป็นญาติคุณกริช ฉันไม่ใช่คนใช้ แล้วฉันก็ไม่ใช่เด็ก และถ้าไม่อยากเสียเลือดตายอยู่ตรงนี้ก็รีบไปทำแผลได้แล้ว” ลำเภาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ทว่าอย่างสะใจ
“เสียเลือด? .. เลือดอะไร?” ธีธัชซึ่งไม่รู้ตัวเพราะมัวแต่โต้เถียงกับลำเภา ถามออกไปด้วยความสงสัย
กริชชัยที่พยายามจะพูดเรื่องนี้หลายครั้ง ถึงเวลาได้พูดสักที
“ก็เลือดแกนั่นแหละ.. หัวแกแตกเลือดออกเต็มเลย”
ธีธัชรีบเอามือจับหัวตัวเอง แล้วก็ชะงักกึก..เพราะรู้สึกถึงความเหนียวๆ เยิ้มๆ ธีธัชค่อยดึงมือมาดู ทันทีที่เห็นเลือด ธีธัชถึงกับตาค้าง
“หะ? หัวฉัน? อ๊าก... เลือด...เฮ่อ”
ธีธัชเป็นลมล้มตึงไปลงไปกับพื้น
กริชชัยตกใจร้องเรียก “ไอ้ธี !!”

กริชชัยวางธีธัชลงบนโซฟา..ธีธัชพยายามจะดึงสติกลับมา เมื่อธีธัชปรือตาขึ้น เห็นกระเป๋าพยาบาลของลำเภาวางอยู่ข้างตัวลำเภาก็รู้สึกไม่ไว้วางใจ
“นี่กระเป๋าอะไร” ธีธีชถาม
“กระเป๋าพยาบาล แกอยู่เฉยๆ เดี๋ยวเภาทำแผลให้ เภาเค้าเรียนหมอ” กริชชัยกล่าวยืนยัน
“เรียนหมอ” ธีธัช ย้ำราวกับไม่แน่ใจ
“ฉันเป็นหมอแล้วด้วย ขอให้รู้ไม่ใช่กำลังเรียนอย่างที่คุณเข้าใจ” ลำเภากล่าว
“ยัยเด็กบ้าเนี่ยนะเป็นหมอ !!” ธีธัชว่า
ลำเภาหัวเราะกลั้วอยู่ในลำคอ เสียงฮึๆๆ
“ใช่..และฉันนี่แหละ กำลังจะเย็บแผลให้คุณ” ลำเภาตอบ
“อ้าก...เย็บแผล ไม่นะ..ฉันกลัวเข็ม ไม่เอา ฉันไม่เย็บ” ธีธัชร้องเสียงหลง
“คุณกริช..จับเพื่อนไว้หน่อย เภาจะโกนผมรอบๆ แผลออกก่อน แล้วค่อยเย็บ”
กริชชัยกำลังจะจับตัวธีธัช ธีธัชร้องลั่นอีก
“โกนผม..โอ้ย..ไม่เอา ไม่โกน เดี๋ยวโกนแล้วไม่ขึ้น ฉันไม่โกนนะ ฉันกลัวหัวล้าน”
“โอ้ย..กลัวหลายอย่างจริง กลัวเลือด กลัวเข็ม ยังจะกลัวหัวล้านอีก จะบอกให้นะถ้าไม่เย็บ ได้เป็นบาดทะยักแน่ เพราะไม้ที่ฉันฝาดหัวคุณมีตะปูขึ้นสนิทด้วย” ลำเภาโวยกลับ
ธีธัชผวา ลำเภาขู่ต่อ
“ฉันรู้จักคนนึง เดินเหยียบเศษกระเบื้อง แล้วไม่ยอมทำแผล อาทิตย์ต่อมาก็มีไข้ แผลก็เริ่มเขียวอื๋อ แล้วก็ชัก แล้วก็ตาย ไปเลย”
“เฮ้ย” ธีธัชได้ยินถึงกับหน้าเสีย ลำเภายิ้มกวนอย่างสะใจ

ทางด้านกริชชัยถึงกับส่ายหน้ากับน้องสาวที่ไม่ยอมลดราวาศอกให้กับธีธัช
“เภา..ไม่เอาน่า” กริชชัยปรามลำเภา
“มีอีกคน เป็นสิวเม็ดนิดเดียว ไม่ยอมทำความสะอาด พอไปทำกับข้าว โดนเศษอาหารกระเด็นเข้าแผล ก็ตายเพราะบาดทะยัก อย่างคุณโดนตะปูสนิมเกรอะเจาะเข้าไปแบบนี้ ถ้าไม่รีบทำแผล รับรองบาดทะยักกินชัวร์” ลำเภาไม่ยอมหยุดขู่ธีธัชอีก
“นี่ยัยเด็กบ้า..มาขู่ฉันทำไมเนี่ย” ธีธัชโวยวาย
“ภาหยุดแกล้งไอ้ธี แล้วรีบทำแผลได้แล้ว” กริชชัยบอก
“คุณกริชจับเพื่อนไว้ให้แน่นๆ เภาไม่มียาชา โกนผมเสร็จแล้วเย็บเลย” ลำเภาบอก
กริชชัยจับกดตัวของธีธัชไว้แน่น ธีธัชถึงกับร้องจ๊าก...ตามประสาคนใจเสาะ
“เฮ้ย..ไม่มียาชาก็เจ็บดิ ไม่เอานะ..ฉันไม่เย็บ ฉันจะไปโรงพยาบาล ไม่ให้ยัยเด็กบ้ามาทำแผลให้หรอก..ไอ้กริชปล่อยฉันเลย ปล่อยเว้ย..ปล่อย” ธีธัชพูดพลางดิ้นไปมา
“ฤทธิ์เยอะจัง หมาไข้ที่ฉันเย็บแผลขาหักไปเมื่อวานยังไม่ดิ้นเท่านี้เลย”
ธีธัชตาค้างเมื่อได้ยินคำว่า “หมาไข้”
“เภาเค้าเป็นหมอหมาน่ะ” กริชชัยอธิบาย
ธีธัชผงะร้อง “เฮ้ย !!”
“บ้าสิคุณกริช เรียนสัตวแพทย์ ไม่ได้รักษาหมาอย่างเดียวสักหน่อย ทำคลอดวัวก็เคย คีมอันนี้”
ลำเภาชูคีมขึ้น น้ำเสียงแสดงความภาคภูมิใจ
“ก็เพิ่งจะใช้ดึงหนังหมาขี้เรือนออกจากแผลน้องแมวมาหยกๆ” ลำเภาพูดพลางเลิกคิ้วอย่างกวนๆและปรายตามาทางธีธัช
“แค่ทำแผลให้คน..สบายมาก !!” ลำเภาพูดต่อ
ธีธัชถึงกับทนไม่ได้ ถึงกับลุกพรวดพราดขึ้นมาจากโซฟา
“ไม่ !!! ไม่มีทาง ฉันไม่ให้ยัยหมอหมาหน้าตาไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมมาทำแผลให้ฉันเด็ดขาด ไม่เอา !!”
ธีธัชพูดจบก็วิ่งพรวดออกไปจากห้องรับแขก กริชชัยถึงกับงง
“อ้าว..ไอ้ธี .. เฮ้ย...”
“อ้าว จะไปไหนหล่ะคุณ ไม่รีบทำแผล เดี๋ยวเป็นบาดทะยักนะ เครื่องมือพวกนี้ฉันทำความสะอาดแล้วย่ะ ทำเป็นสะดิ้งไปได้” ลำเภาอดขำไม่ได้
“เภาเดี๋ยวพี่พาไอ้ธีไปหาหมอที่โรงพยาบาลแล้วไปทำงานเลยนะ แล้วก็ขอโทษด้วย พี่เป็นคนบอกให้มันมุดรั้วเข้ามาเอง”
“เรื่องนั้นเภาไม่เคืองหรอก แต่ฝากบอกเพื่อนคุณกริชด้วยว่า…ทีหน้าทีหลังมุดรั้วเข้าบ้านคนอื่น ก็อย่ามาทำปากเสีย ไม่งั้นจะโดนมากกว่านี้”

กริชชัยได้แต่ส่ายหน้า แล้วก็เดินตามธีธัชออกไปด้วย ลำเภายิ้มด้วยความสะใจและรู้สึกสมน้ำหน้า

อ่านต่อหน้า 2








สามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 2 (ต่อ)

วัชระสวมแว่นตาดำยืนพิงข้างกระโปรงรถที่ยังคงอยู่ในสภาพบุบบี้เหมือนเดิม ในมือของเขาถือแก้วกาแฟกระดาษที่ยกขึ้นดื่มอยู่ตลอดเวลา ที่กระโปรงรถมีถ้วยกาแฟที่ถูกดื่มไปแล้วถึง 3 ใบ ดูเหมือนว่าที่วัชระยืนประคองตัวเองอยู่ได้ด้วยฤทธิ์คาเฟอีนโดยแท้
 
กริชชัย และธีธัชในสภาพที่ศีรษะมีสำลีปิดอยู่ ทั้งสองคนเดินเข้ามาหาวัชระ
“เฮ้ย..โดนใครฟาดหัวแบะมาวะ?” วัชระถามขึ้น
“เด็ก ตัวเท่าลูกหมา” ธีธัชบอก
“เด็ก? นี่แกพรากผู้เยาว์หรือไงหะ?” วัชระอยากรู้
กริชชัยรีบพูดแทรกว่า
“เด็กที่ว่า ลูกพี่ลูกน้องฉันเอง มีเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อย”
“นิดหน่อยเล่นเอาหัวแตก ถ้าเข้าใจผิดเยอะกว่านี้จะถึงกับตายมั้ยวะ?”
“ฉันคงไม่ แต่ยัยเด็กบ้านั่นไม่แน่ ฉันแค่มุดรั้วเข้าไปในบ้าน เล่นฟาดไม่ยั้ง แล้วยังจะเอาเครื่องมือทำแผลหมา แมว มาทำให้ฉันอีก บ้าที่สุด”

วัชระได้ฟังก็ทำหน้าสงสัย กริชชัยอธิบายเพิ่มเติม
“คือ ญาติฉันชื่อลำเภา เป็นสัตวแพทย์”
“ชื่อก็แปลกแถมนิสัยยังประหลาดอีกต่างหาก หน้ายังกะเด็กมัธยม ท่าทางติ๊งต๊องๆ ไม่มีความเป็นผู้หญิงแม้แต่นิดเดียว” ธีธัชบ่นเพราะยังแค้นไม่หาย
“น้องแกแย่ขนาดนั้นเลยเหรอวะ? ปกติเห็นผู้หญิง ไอ้ธีมันก็บอกน่ารักหมด”
“ถือว่าเป็นโชคดีของน้องสาวฉัน ที่ไม่น่ารักในสายตาแก” กริชชัยบอก
“แกไม่ต้องห่วง ยัยเด็กลำเภาไม่ใช่สเปคฉันแม้แต่นิดเดียว ยิ่งบ๊องๆแบบนี้ ฉันขอลา อย่าได้เจอกันอีกเลย”
ธีธัชบอก วัชระหัวเราะ
“ทำให้คาสโนว่าธีส่ายหน้าได้ ไม่ธรรมดา อยากเห็นตัวจริงว่ะ!!” วัชระบอกพลางหัวเราะชอบใจ
กริชชัยส่ายหน้า
“พอๆ เลย พวกแกเลิกนินทาน้องฉันแล้วไปช่วยฉันทำงานได้แล้ว ฉันให้คนเตรียมรถของพวกแกไว้ให้แล้ว” กริชชัยว่า
“รถของพวกฉัน?” วัชระกับธีธัชพูดขึ้นพร้อมกันอย่างงๆ
กริชชัยยักคิ้วแทนคำตอบ...พร้อมรอยยิ้มนิดๆที่มุมปาก

ตลอดเส้นทางบนถนนทางไปวังน้ำเขียวที่แสนจะเขียวขจี ชุ่มฉ่ำ รถมอเตอร์ไซค์คันโตสุดเท่ของสามหนุ่มเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างเร็ว รถแต่ละคันบ่งบอกถึงบุคลิกของชายหนุ่มแต่ละคนได้เป็นอย่างดี

รถของกริชชัยเป็นแบบประกอบเองตามสั่ง คันของวัชระบึกบึน ออกแนวบู๊ ส่วนของธีธัชสีสดใสจี๊ดจ๊าด และมีเบาะท้ายสำหรับให้สาวนั่งซ้อน ทั้งสามหนุ่มขับขี่รถทะยานไปข้างหน้าด้วยความสุข อิสระ และปลดปล่อยจากปัญหาทั้งปวง

เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มยิ่งทำให้ฮึกเหิม ทั้งสามคนขี่มาถึงถนนที่ค่อนข้างโล่ง ธีธัชแกล้งบิดเร่ง ทำเป็นท้าแข่ง วัชระไม่ยอม ไล่ตามมา กริชชัยรีบเร่งเครื่องสู้ ทั้งสามคนแข่งกันไปมาอย่างสนุกสนาน สุดท้ายวัชระนำหน้า วัชระหัวเราะอย่างมีความสุข
“ฮ่าๆๆๆ”

ภายในบ้านหลังใหญ่โต บรรยากาศเคร่งขรึม เนตรนภัสอยู่ในชุดอยู่กับบ้าน แต่เสื้อผ้า หน้า ผมของเนตรนภัสจัดจ้านประหนึ่งถอดแบบถอดออกมาจากไฮแมกกาซีน เนตรนภัสนั่งพลิกอ่านหนังสือแฟชั่นอยู่ที่โซฟา พร้อมกับถ่ายรูปเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้าที่ตัวเองอยากซื้อเก็บไว้ แต่สิ่งที่เธออยากได้นั้น มากมายซะเหลือเกิน

นรีวรรณเดินเข้ามาพร้อมกับบีบีในมือ หยุดยืนไม่ห่างไปจากเนตรนภัส แล้วพูดขึ้นทั้งที่ตาก็ยังมองบีบีและมือก็ยังพิมพ์ข้อความอยู่
“พี่แหนมรู้หรือเปล่าว่าพี่มดเพื่อนพี่กำลังจะหมั้นอาทิตย์หน้า?” นรีวรรณพูดกับเนตรนภัส
เนตรนภัสปรายตามามองติดๆ แอบหงุดหงิดเล็กน้อย
“ไม่รู้” เนตรนภัสตอบห้วนๆ พร้อมกับดูหนังสือแฟชั่นต่อ
นรีวรรณพูดต่อ สายตาและนิ้วมือยังคงจดจ่อกับการพิมพ์บีบี ไม่หยุด
“เพื่อนพี่อีกคน พี่แซนดี้จะแต่งเดือนหน้ารู้หรือยัง?”
เนตรนภัสกัดริมฝีปากนิดๆ
“ฉันไม่รู้!!” เนตรนภัสจากที่ค่อยๆเปิดหนังสือทีละหน้าอย่างแผ่วเบาหันมาพลิกหน้าหนังสือแรงขึ้น
“แล้วพี่เจ เพื่อนพี่เค้าคลอดลูกแล้วนะ พี่รู้บ้างหรือเปล่าเนี่ย? อ้อแล้วพี่ธัญญ่าที่เพิ่งหย่ากับสามีจะได้แต่งงานใหม่กับมหาเศรษฐีบ่อน้ำมันนะ รู้หรือเปล่า?” นรีวรรณยังคงอัพเดตข่าวสารให้เนตรนภัสฟัง
เนตรนภัสหมดความอดทนปิดหนังสือผัวะ!
“ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น ใครจะหมั้น ใครจะแต่ง จะมีลูกกี่คน ไม่ใช่ธุระของฉันสักหน่อย”
เนตรนภัสลุกขึ้นจากโซฟาอย่างเสียอารมณ์ในทันที
“ถ้าจะมาเยาะเย้ย เพราะฉันเป็นคนเดียวในกลุ่มที่ยังไม่ได้แต่งงานก็เสียใจด้วยย่ะ เพราะฉันกับวัชกำลังจะแต่งงานกัน!!” เนตรนภัสพูดชัดถ้อย ชัดคำ นรีวรรณถึงกับเงยหน้าขึ้นจากบีบีด้วยคิดไม่ถึง
“หะ? พี่แหนมว่าไงนะ?”
“เธอไปป่าวประกาศในทวิตเตอร์ เฟสบุค บีบี บ้าบอของเธอได้เลย บอกให้รู้โดยทั่วกันว่า ฉันกำลังจะแต่งงานกับวัช และงานแต่งงานของฉันจะต้องเริดที่สุด!!” เนตรนภัสพูดขึ้นอย่างเชิดๆ
เนตรนภัสเดินกระแทกไหล่นรีวรรณแล้วก็เดินออกไปเลยนรีวรรณเซเล็กน้อย พึงพำกับตัวเองด้วยความงง
“พี่แหนมเนี่ยนะจะแต่งงาน...?”

เวลาเดียวกันนั้นจู่ๆ วัชระก็จามออกมาอย่างแรง
“ฮัดเช้ย!!”
กริชชัยและธีธัชถอดหมวกกันน็อคแล้วหันมาถามวัชระด้วยความแปลกใจ
“แค่กรุงเทพ วังน้ำเขียว หวัดกินหรือไง” กริชชัยถาม
วัชระขยี้จมูกเล็กน้อย
“ไม่น่านะ คงจะแค่แพ้อากาศ” วัชระว่า
“ยัยแหนมคิดถึงหรือเปล่า? คอยดูดิ ไม่ถึงห้านาที โทร.ตามชัวร์” ธีธัชพูดดักคอ
วัชระลงจากรถมาสมทบกับเพื่อน
“อย่าพูดเป็นลางดิเว้ย เมื่อคืนกว่าจะเคลียร์กันจบก็เกือบเช้าได้เวลานัดพวกแกพอดี ยังไม่ได้นอนเลยเนี่ย ไอ้กริชแกก็ทำงานไปนะ ฉันขอไปนอนก่อน จะกลับเมื่อไหร่ก็ปลุกด้วยแล้วกัน”
วัชระพูดจบก็เดินไปที่ล็อบบี้ของโรงแรม ธีธัชกับกริชชัยมองตามด้วยความเห็นใจ
“ท่าทางเมื่อคืนจะเคลียร์กัน ‘หนัก’ จริงๆ เล่นซะไอ้วัชเปลี้ยเลย” ธีธัชสันนิษฐานจากอาการของเพื่อน
“แล้วเมื่อคืนแกกับคุณกรเคลียร์กัน ‘ไม่หนัก’ หรือไง” กริชชัยหยอกธีธัช เขาหมายถึง กรกนก ที่ธีธัชกำลังคั่วอยู่
ธีธัชหันขวับมามองหน้ากริชชัยที่ยิ้มกวน ธีธัชหลิ่วตา
“โห.. เดี๋ยวนี้ท่านประธานยิงมุกเว้ย”
“อ่ะนะ..นิดนึง” กริชชัยยิ้มขำๆ
“แล้วกับคนนั้นหล่ะครับ เมื่อไหร่ท่านประธานจะได้เคลียร์กันสักที”
กริชชัยชะงักเมื่อเจอธีธัชสวนกลับ

ในชุดลำลองใส่สบายๆ แต่ดูเก๋ไก๋ อรุณศรีเดินมากับเบญลี่ กริชชัยมองไปที่อรุณศรีและจับจ้องเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น อรุณศรีเดินมองไปรอบๆ แล้วก็หันมาสบตากับกริชชัย
กริชชัยรีบหลบตา หน้าแดง อายขึ้นมาซะงั้น ธีธัชเข้ามากระซิบเพราะกลัวเพื่อนเสียฟอร์ม
“ท่านประธานเลิกหน้าแดงได้แล้วนะครับ มันไม่แมน!!”
กริชชัยยิ่งอาย จนต้องผลักไหล่ธีธัชแก้เขิน อรุณศรีเห็นแล้วก็แอบอมยิ้มนิดๆ นึกว่าทั้งคู่กำลังหยอกล้อกันตามประสาคนรัก
ธีธัชเข้ามากระซิบต่อ
“เชิญท่านประธานเต็มที่ ผมขอตัวก่อนนะครับ ไม่อยากอยู่เป็นกอขอคอ” ธีธัชกลั้วหัวเราะในลำคอ
ธีธัชหัวเราะคิกคัก กริชชัยยิ้มๆ พยายามรักษาฟอร์มไว้ อรุณศรีเห็นแล้วก็แอบอมยิ้ม เบญลี่เดินพุ่งเข้ามารีบรายงาน
“คุณกริชคะ ตอนนี้ผู้จัดการโรงแรมรออยู่ที่ห้องประชุมแล้วค่ะ คุณกริชต้องการให้ทางโรงแรมจัดการอะไรบอกได้เลยค่ะ ทางนี้ยินดีซัพพอร์ทเราทุกอย่าง อ้อ เบญลี่ชวนแอ๊วมาช่วยงานนี้ด้วยนะคะ”
“ดีครับ ผมก็อยากให้มาช่วยอยู่พอดี”
กริชชัยหันมาทางอรุณศรีแล้วกล่าวชม
“เมื่อคืนคุณทำได้ดีมาก”
“ขอบคุณค่ะ” อรุณศรียิ้มรับ
กริชชัยมองหน้าอรุณศรีแล้วพูดอะไรไม่ออก อรุณศรีอดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมกริชชัยมองเธอนานจัง จังหวะนั้นเบญลี่พูดแทรกขึ้น
“ราไปประชุมกันเลยดีมั้ยคะ”
“เอ่อ...ครับ”
กริชชัยถอนสายตาจากอรุณศรีและเดินตามเบญลี่ไปที่ห้องประชุม อรุณศรีโล่งอกหายจากความอึดอัดที่กริชชัยมองเธอ และเดินตามทั้งคู่ไป

พลันสายตาดันไปสะดุดกับสายตาของธีธัชที่แอบมองอยู่ อรุณศรีถึงกับชะงักเล็กน้อย แต่เมื่ออรุณศรีสบสายตาเข้า ธีธัชกลับแกล้งทำเป็นหยิบหนังสือแถวนั้นมาอ่านกลบเกลื่อนในทันที
อรุณศรีขมวดคิ้วนิดๆ รู้สึกแปลกๆ แต่ก็รีบเดินตามเบญลี่ไป ธีธัชค่อยๆ ลดหนังสือลงแล้วก็ส่ายหน้า ในความไม่ได้ดั่งใจของเพื่อน

คุ้กกี้ในมือสีรุ้งหล่นกระทบชุดน้ำชาราคาแพง เมื่อได้ยินถ้อยคำจากปากของลูกสาว
“แหนมพูดว่าอะไรนะลูก”
“แหนมจะแต่งงานกับวัชค่ะแม่” เนตรนภัสตอบเสียงดังฟังชัด
“แม่เห็นแหนมยังไปกับคนโน้นที คนนี้ที สับรางกันให้วุ่นไปหมด แม่ว่า..ไหนๆ แหนมยังเลือกได้ ลองเลือกดูอีกสักพักมั้ยลูก” สีรุ้งไม่มั่นใจในความรักของเนตรนภัส ผู้เป็นลูกสาวนัก
“ถึงแหนมจะคบหลายคน แต่คนที่แหนมไปไหนมาไหนมากที่สุดก็คือวัช แหนมชอบเค้ามากที่สุด แหนมจะแต่งกับเค้าค่ะ”
“แล้วเค้ารู้ตัวหรือยัง? เค้าอยากจะแต่งกับเราหรือเปล่า”
“ต้องอยากสิคะแม่ แหนมกับวัชทดลองอยู่กันมาพักนึงแล้วนะคะ”
สีรุ้งทรุดหลังพิงกับเก้าอี้ แทบเป็นลมทั้งที่นั่งอยู่
“ตายแล้ว ลูกสาวฉัน”
“ถึงวัชจะไม่รวย แต่ตอนนี้ก็เป็นร้อยตำรวจเอก อีกหน่อยก็สารวัตร แล้วก็ผู้กำกับ จากนั้นก็นายพล ตำรวจตงฉินไม่โกงไม่กิน พอเริ่มมีบารมี แหนมจะให้ลาออก มาเล่นการเมือง เลือกพรรคดีๆก็ได้เป็นรัฐบาล อยู่ไปนานๆ แหนมก็จะได้เป็นคุณหญิง” เนตรนภัสพูดต่อ
สีรุ้งฟังเนตรนภัสแล้วเริ่มเครียดในทันที
“บงการชีวิตเค้าแบบนี้ มันจะดีเหรอลูก ชีวิตคู่มันต้องเดินไปด้วยกันถึงจะถูก”
“แต่วัชเค้าไม่ใช่คนฉลาดขนาดจะคิดเองได้นะคะแม่ ถ้าเค้าไม่ได้เมียอย่างแหนมไม่มีทางเจริญหรอกค่ะ” สีรุ้งมือทาบที่หน้าอกจะเป็นลมอีกรอบ
“เค้าต้องดีใจที่แหนมอยากแต่งงานด้วย”
“และคุณแม่จะต้องบังคับให้เค้าแต่งงานกับแหนมให้ได้”
“หะ? แม่เนี่ยนะ”
สีรุ้งไม่คาดคิดว่า นอกจากเนตรนภัสจะบงการชีวิตของว่าที่สามีแล้ว ยังบังคับเพื่อให้เธอสมรู้ร่วมคิดที่จะเอาวัชระมาเป็นลูกเขยอีก

วัชระยังนอนหลับอยู่ที่โซฟาล็อบบี้โรงแรม หลับสนิทอย่างมีความสุข โดยไม่รู้เลยว่า ความบรรลัยกำลังจะมาเยือนชีวิต ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างๆก็สั่นมีสายเรียกเข้า เป็นเบอร์พิเศษ
วัชระยังคงหลับสนิทไม่รู้เรื่องรู้ราว เสียงเรียกเข้ายังสั่นอยู่ต่อไป

ที่แท้เป็นสุพรรณิการ์โทร.เข้ามา และกดวางสายด้วยความหงุดหงิด แล้วหันมามองนามบัตรของวัชระอย่างฉุนๆ
“ไงยะ คุณตำรวจ ไหนบอกว่าโทร.หาได้ตลอดเวลา ไม่หนี!! โทร.ไปทำไมไม่รับ !!”
สุพรรณิการ์วางนามบัตรลงบนโต๊ะอย่างแรง
“โอ้ย เจ็บมือ”
สุพรรณิการ์หงุดหงิด กระแทกตัวนั่งลงบนโซฟา
และเมื่อสุพรรณิการ์นึกถึงวันที่รถของเธอประสบอุบัติเหตุก็ยิ่งหงุดหงิดขึ้นเป็นสองเท่า
“อีตาตำรวจบ้า ทำให้ฉันต้องเจ็บตัว คอยดูนะ ถ้าตามตัวเจอเมื่อไหร่ เจอชุดใหญ่แน่”
สุพรรณิการ์กัดเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความไม่พอใจ

กริชชัยยืนมองจากหน้าต่างในห้องประชุมออกไปเห็นวิวข้างนอก คนอื่นๆ นั่งฟังอย่างตั้งใจ
“เดือนหน้าผมจะจัดทริปพิเศษพาลูกค้าวีไอพีมาลองรถใหม่ เมื่อเช้าผมลองเส้นทางจากกรุงเทพมาที่นี่แล้วพอใจมาก เราจะใช้เส้นทางนี้ และให้ลูกค้ามาพักที่นี่หนึ่งคืน ลูกค้าของเราชุดนี้เป็นระดับวีไอพี ผมขอการต้อนรับที่ดีที่สุดในทุกๆด้าน”
“ทางโรงแรมยินดีอำนวยความสะดวกทุกอย่างครับ”
“ขอบคุณครับ”
“ส่วนเรื่องกิจกรรมสันทนาการตอนกลางคืน คุณอรุณศรีจะเป็นฝ่ายประสานงานกับทางโรงแรมนะคะ” เบญลี่กล่าว
อรุณศรียิ้มให้ พนักงานคนอื่นๆ ยิ้มรับ
“หลังจากประชุมแล้ว แอ๊วจะขอสำรวจรอบโรงแรม ดูว่าเราจะทำกิจกรรมอะไรได้บ้าง” อรุณศรีบอก
“ผมไปด้วย” กริชชัยพูดแทรกขึ้นด้วยความลืมตัว
ทุกคนหันมาทางกริชชัย กริชชัยชะงักนิดๆ มองทุกคนที่มองมาแล้วก็เขินๆ แต่พยายามเก๊กไว้
“คือ..ผมก็อยากสำรวจรอบๆโรงแรมอยู่พอดี จะได้ไปพร้อมกันทีเดียว”
“งั้นเบญลี่ไปด้วยนะคะ เผื่อคุณกริชต้องการอะไรจะได้คอยจดไว้ให้”
“เดี๋ยวให้อรุณศรีจดแทน ผม..ไปกับอรุณศรีแค่สองคนได้..ไม่เป็นไร”
“โอเคค่ะ งั้นถ้ามีอะไรแอ๊วจดแทนพี่หน่อยนะจ้ะ” เบญลี่บอก
“ค่ะ”
อรุณศรีตอบออกไปทั้งที่ใจจริงแล้ว ค่อนข้างจะอึดอัดใจ

กริชชัยมองอรุณศรีด้วยความพอใจ แล้วค่อยๆ หันหลังให้คนที่ประชุมทำเป็นมองออกไปนอกหน้าต่าง พอ
แน่ใจว่าพ้นสายตาคนอื่น กริชชัยค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมาด้วยความตื่นเต้น

ภายในบ้านลำเภา ประตูห้องนอนของกริชชัยถูกเปิดออก ลำเภาเดินนำเข้ามา ป้าเจียมเดินตามมาพร้อมกับอุปกรณ์ทำความสะอาด
“คุณกริชเริ่มมานอนตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เดี๋ยวป้าเจียมก็เริ่มทำความสะอาดห้องให้คุณกริชตามที่ฉันบอกนะ เสื้อผ้าก็เก็บไปซักแล้วมาวางไว้เหมือนเดิม”
“ค่ะ” ป้าเจียมรับคำ และเดินแยกไปทำความสะอาด
ลำเภามองไปรอบๆห้อง เธอสะดุดสายตาเข้ากับรูปถ่ายของกริชชัยกับวัชระ และธีธัช ลำเภาขยับแว่นแล้วเพ่งดูใกล้ๆ
“นี่มันอีตาหมาใหญ่ใจเสาะที่มุดรั้วเข้ามาเมื่อเช้านี่นา”
ลำเภามองอย่างพิจารณา
“หน้าตาปกติก็ดูไม่เลวเหมือนกันนะเนี่ย แต่ใจเสาะเป็นบ้า ไม่รู้ป่านนี้ช็อคตายไปหรือยัง?”
ลำเภาละสายตาจากหน้าธีธัช กำลังจะหันเดินกลับออกไป แล้วก็หยุดชะงักกึก หันมามองเฟรมวาดรูปที่วางอยู่ข้างๆ ลำเภาค่อยๆ หันมาเพ่งมองรูปที่วางอยู่บนขาตั้งด้วยความแปลกใจ
“ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร?”
ลำเภานิ่ง ครุ่นคิดด้วยความอยากรู้

อรุณศรีเดินออกมาจากโรงแรมมาหยุดยืนอยู่มุมหนึ่งที่ร่มรื่น พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าปอดด้วยความสดชื่นโดยลืมไปว่า กริชชัยยืนอยู่ข้างๆ
“สดชื่นจังเลย”
กริชชัยเดินตามเข้ามาใกล้แล้วก็มองอรุณศรี เธอรีบเก็บอาการ
อรุณศรีรีบก้มหน้าทำเป็นหยิบแฟ้มงานมาจด
กริชชัยปรายตามามองอย่างรู้ทัน
“จดอะไร?”
อรุณศรีชะงักและตอบด้วยไหวพริบ
“ก็..จดว่า..อากาศดีไงคะ ตอนนี้เกือบเที่ยง แต่ก็ยังไม่ร้อนมาก และบริเวณนี้ก็มีร่มไม้ อาจจะทำเป็นซุ้มเล็กๆ มีบาร์บีคิวมื้อกลางวัน”
กริชชัยพยักหน้ารับ
“อืมม์..น่าสนใจ ผมจะรับไว้พิจารณา”
“ขอบคุณค่ะ” อรุณศรีหันหลังให้กริชชัย พร้อมกับถอนหายใจโล่งอก
อรุณศรีเดินนำไปสำรวจต่อ กริชชัยอมยิ้มแล้วก็เดินสำรวจตาม อย่างมีความสุข

ในขณะที่อรุณศรีเดินไปตามมุมต่างๆ ของโรงแรม โดยมีกริชชัยเดินตาม อรุณศรีต้องทำเป็นจดโน่นนี่ด้วยความแข็งขันตลอดเวลา กริชชัยคอยปรายๆตาสังเกตว่าจดอะไร อรุณศรีคอยแอบๆจดไม่ให้กริชชัยเห็น เพราะอรุณศรีรู้สึกเหมือนโดนกริชชัยจับผิด

ธีธัชแอบมองอยู่ทั้งคู่อยู่ เมื่ออรุณศรีปรายตาไปเห็น พออรุณศรีหันไปมอง ธีธัชก็หลบสายตาในทันที อรุณศรีขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
อรุณศรีและกริชชัยสำรวจโรงแรมอีกมุมหนึ่ง เป็นมุมสวยริมน้ำ อรุณศรีหันไปเห็นธีธัชแอบมองอยู่อีก อรุณศรีเริ่มไม่ไว้วางใจ
พออรุณศรีกับกริชชัยเดินมาอีกมุม อรุณศรีหันขวับไป ธีธัชยังยืนมองอยู่อีก ถึงจะทำเป็นชมนกชมไม้ แต่ก็ผิดสังเกต อรุณศรีคิดหนัก

อรุณศรีเดินนำมาอีกมุม กริชชัยยืนอยู่ไม่ห่าง อรุณศรีหันขวับไป ธีธัชหลบวูบแทบไม่ทัน กริชชัยเริ่มสงสัย
“มีอะไรหรือเปล่า?”
“ เอ่อ...ขอพูดพูดตรงๆนะคะ ฉันน่ะไม่มีอะไรหรอกค่ะ แต่ฉันว่าเพื่อนคุณมีแน่”
“เพื่อนผม?”
อรุณศรีเสียงเบาราวกระซิบ
“คุณธีธัช ฉัน..ว่าเค้าไม่พอใจที่ฉันอยู่ใกล้คุณมากเกินไป”
กริชชัยเลิกคิ้ว
“หะ?”
อรุณศรีทำเป็นหันหลังให้ธีธัช แล้วพูดกับกริชชัย
“คุณอย่าเพิ่งหันตอนนี้นะ รอให้ฉันพูดจบแล้วค่อยๆหันไปทางล็อบบี้ เพื่อนคุณแอบมองเราอยู่ แล้วเค้าก็แอบมองตลอดเวลาที่คุณเดินสำรวจพื้นที่กับฉัน”
กริชชัยขมวดคิ้ว แล้วค่อยๆ หันไปตามที่อรุณศรีบอก กริชชัยเห็นธีธัชยืนอยู่ที่หน้าต่างล็อบบี้จริงๆ ด้วย ธีธัชทำเป็นอ่านหนังสือ กริชชัยเม้มปาก
อรุณศรีพูดต่อทั้งที่กริชชัยหันหลังอยู่
“ฉันรู้ว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ฉันกลัวว่าเพื่อนคุณจะเข้าใจผิด คือ.. ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วนะคะ ตรงๆ เลยแล้วกัน ฉันไม่อยากโดนตบ”
กริชชัยหันขวับมามาทันที
“โดนตบ?”
“ก็พวกคุณรักแรง หึงแรงนี่คะ”
กริชชัยออกจะงงกับคำพูดคำจาของอรุณศรี
“เอ่อ...ฉันรู้ว่าไม่สมควรพูด เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวของคุณ แต่ฉันก็ต้องปกป้องตัวเองไว้ก่อน แฟนคุณ ..” กริชชัยผงะร้องเสียงหลง “เฮ้ย!”
“เค้าคงไม่พอใจ... ฉันไม่อยากมีปัญหาน่ะค่ะ เอาเป็นว่า ถ้าคุณไม่ชวนเค้ามาสำรวจด้วยกัน คุณก็ปล่อยฉันสำรวจคนเดียวดีกว่านะคะ”
กริชชัยอึ้งไป หลังพูดจบ อรุณศรีค่อยๆ เดินเลี่ยงไป ทิ้งให้กริชชัยยืนเคืองอยู่ที่เดิม กริชชัยค่อยๆ หันมาทางธีธัช

“ไอ้ธี!!”

กริชชัยคำรามในลำคอ

อ่านต่อตอนที่ 3







กำลังโหลดความคิดเห็น