สามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 7
เช้าวันรุ่งขึ้น เสียงออดดังที่บ้านลำเภา เธอกำลังอาบน้ำให้น้องหมาทั้งสามแสบ เป็นต่อ พอใจ และล่ำ เสียงออดดังอีกครั้ง
“เป็นต่อ พอใจ ล่ำ เล่นน้ำกันไปก่อนนะ เดี๋ยวหม่ามี๊มา”
เสียงออดดังรัว ลำเภาชักสีหน้า
“ใครสั่งสอนให้กดออดแบบนี้เนี่ย”
ลำเภาชะโงกหน้าจากพุ่มไม้ออกมา เห็นว่าคนกดออดคือ ธีธัช ลำเภาเชิดหน้าด้วยความไม่พอใจ
ลำเภาเดินออกมา ในมือยังถืออุปกรณ์อาบน้ำหมามาด้วย
“มาหาแต่เช้าเลย คิดถึงกันขนาดนั้น“ ลำเภาเปิดประตูให้
“คิดถึง? ยัยหนูตะเภาอย่างเธอเนี่ยนะ นี่ ฉันมีเวลาไม่มาก รีบคุยให้รู้เรื่อง แล้วฉันก็จะรีบกลับ”
ลำเภายัดอุปกรณ์อาบน้ำหมาใส่มือธีธัช ธีธัชรับไว้อย่างงงๆ
“มาก็ดีแล้ว อยากได้คนช่วยอยู่พอดี”
สีหน้าธีธัชบ่งบอกถึงความมึนงงหนักกว่าเดิม ลำเภาเดินนำกลับเข้าบ้านไป ธีธัชโยนอุปกรณ์นั้นลงพื้นอย่างไม่สนใจ
“ฉันไม่ได้จะมาช่วยอะไรเธอ ฉันจะมาเคลียร์เรื่อง” ธีธัชยังพูดไม่ทันจบ
ลำเภาไม่สนใจพูดสวนขึ้น
“ถ้าอยากเคลียร์ก็เก็บสายยางแล้วเดินตามมา”
ธีธัชเดินเลี้ยวตามลำเภาอย่างสุดแค้น
“บ้าจริงๆ”
เป็นต่อ พอใจ และล่ำ หันขวับมาทางธีธัชที่เพิ่งเดินเข้ามาพร้อมกับลำเภา น้องหมาทั้ง 3 เห่าขึ้นพร้อมกัน ลำเภาหันมาเอ็ด
“ไม่ต้องโวยวาย เค้าจะมาช่วยหม่ามี๊อาบน้ำให้ไง”
“ใครบอกว่าฉันจะช่วยเธอ”
“ส่งแชมพูมาให้หน่อยสิ”
ธีธัชหันไปหยิบมาให้แต่โดยดี ลำเภารับแชมพูมา
“ขอบใจ”
“เธอมาใช้ให้ฉันทำโน่นทำนี่ได้ไง ฉันเป็นเพื่อนของพี่เธอนะ ไม่ใช่เด็กรับใช้ แล้วก็ไม่ใช่คนอาบน้ำหมาด้วย” ธีธัชพูด
“มีเรื่องอยากจะเคลียร์กับฉันไม่ใช่เหรอ”
“ใช่“
“งั้นก็รีบช่วยกันสิ”
“ฉันไม่ช่วย”
“ส่งผ้าเช็ดตัวมาให้หน่อยสิ “
ธีธัชหยิบผ้าเช็ดตัวให้อย่างลืมตัว
“ก็ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ช่วย”
ลำเภามองหน้าอย่างดุ
“ถ้าไม่ช่วยก็ไม่ต้องคุย ถ้าอยากคุยก็ต้องช่วย”
ลำเภาหันไปเปิดน้ำทันที แรงน้ำในสายยาง พุ่งออกมาใส่หน้าธีธัชและเป้าอย่างแรง ธีธัชตกใจร้องลั่น
“ยัยหนูตะเภาปิดน้ำ ฉันเปียกหมดแล้ว..เห็นมั้ย ปิดน้ำเดี๋ยวนี้”
ธีธัชโวยวาย ความตกใจทำให้เขาหมุนตัวหลบน้ำกระทันหันจนเสียหลัก เซตกลงไปในสระน้ำของน้องหมา
สภาพธีธัชตอนนี้เสื้อผ้าเปียกชุ่มไปทั้งตัว เป็นต่อ พอใจ ล่ำ ส่งเสียงเห่ากันอย่างสนั่นหวั่นไหว
“อยากจะเล่นน้ำกับลูกๆฉันก็ไม่บอก”
ธีธัชมองหน้าด้วยความแค้น
“ขำนักใช่มั้ย ลองเปียกดูบ้างมั๊ยจะได้รู้สึก”
ธีธัชตั้งท่าจะลุกมาถึงตัวลำเภา เป็นต่อก็วิ่งมาหยุดหน้าธีธัช แล้วก็สะบัดน้ำจากตัวใส่อย่างแรงธีธัชเสียหลักล้มลงไปอีกสระอีกรอบ
“อารายกันวะเนี่ย แสบทั้งคนทั้งหมา”
ลำเภาลุกขึ้นกอดอกมองสภาพธีธัช พร้อมกับยิ้มอย่างสะใจ
ธีธัชถอดเสื้อที่เปียกชุ่มออก แล้วโยนเข้าไปในไมโครเวฟ ฝาตู้ถูกปิดเรียบร้อย เตรียมจะกด
“ทำอะไร” เสียงลำเภาดังขึ้น
ธีธัชหันมาเห็นลำเภายืนถือเสื้อผ้าอยู่ในมือ ลำเภามองธีธัชที่อยู่ในสภาพเปลือยอกด้วยแววตานิ่ง
“ทำให้เสื้อแห้ง”
“ด้วยการใส่ไมโครเวฟเนี่ยนะ มักง่ายกับทุกเรื่องจริงๆ” ลำเภาส่ายหน้า
ธีธัชชักสีหน้าทันที
“นี่ พูดจาให้มันดีๆ หน่อย คำว่า “สัมมาคารวะ” น่ะ รู้จักหรือเปล่า”
ลำเภาจ้องหน้าธีธัชขไม่กระพริบตาแล้วเดินเข้ามาใกล้
“คำว่า “สุภาพบุรุษ” น่ะ รู้จักหรือเปล่า ยืนโชว์หน้าอกต่อหน้าผู้หญิงแบบนี้ มันสมควรนักหรือไง”
“เฮ้ย” ธีธัชเพิ่งนึกได้ รีบยกมือมาปิดหน้าอกทันที
ลำเภายัดเสื้อกางเกงใส่มือธีธัช
“นี่เป็นชุดของคุณกริช ฉันขออนุญาตให้เรียบร้อยแล้ว รีบใส่ซะก่อนที่ฉันจะเป็นตากุ้งยิง”
ธีธัชรับมาแล้วก็รีบใส่
“ก็เพราะเธอนั่นแหละ ถ้าคุยกันดีๆ เหมือนมนุษย์คนอื่น ป่านนี้ฉันก็กลับบ้านไปแล้ว”
ธีธัชทำท่าจะถอดกางเกงด้วยความลืมตัว ลำเภายืนจ้อง มองตาเขม็งแบบไม่อายไม่เขิน ธีธัชเงยหน้ามาเห็นลำเภาจ้องอยู่ก็สะดุ้งจึงรีบดึงกางเกงขึ้นเหมือนเดิม
“มายืนจ้องอะไรเนี่ย”
“แล้วมาถอดอะไรตรงนี้เนี่ย ไหนๆกล้าถอดโดยไม่เกรงใจ ก็จำใจต้องดูสักหน่อย เห็นของหมา ของแมว ของหมู ของวัวมาเยอะแล้ว เห็นของคนสักทีก็ดีเหมือนกัน” ลำเภาพูดกวนด้วยสีหน้านิ่ง
“ยัยเด็กบ๊อง พูดออกมาได้ยังไงไม่อายปาก นี่ถ้าไม่เห็นว่าเป็นน้องไอ้กริช จัดหนักไปแล้ว” ธีธัชชี้หน้า
ธีธัชพูดจบดินหลบไปที่หลังตู้เปลี่ยนกางเกงด้วยความรวดเร็ว
ลับหลังธีธัช ลำเภาขำคิกคัก
“โธ่..นึกว่าจะแน่”
ลำเภาเดินนำ ธีธัชเดินตามออกมาหน้าบ้าน ขณะเดินธีธัชเดินไปจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ไปด้วย
“ยัยหนูตะเภา ฉันไม่มีเวลามาล้อเล่นกับเธอแล้วนะ”
ลำเภาไม่พูดไม่ตอบโต้
“เรื่องที่เธอจะมาเป็นแฟนฉัน หรือฉันไปเป็นแฟนเธอ มันเป็นไปไม่ได้”
ลำเภาหน้านิ่ง
ธีธัชเดินไปพูดไป
“ฉันไม่มีวันจะมาเป็นแฟนเธออยู่แล้ว เธอก็รู้”
ลำเภาเชิดหน้าน้อยๆอย่างหมั่นไส้
“แล้วต่อจากนี้ไปห้ามเธอไปที่คอนโดฉันอีก ที่สำคัญเธอเป็นผู้หญิงยิงเรือเที่ยวบุกไปห้องผู้ชาย”
ธีธัชเดินไปพูดไปโจนถึงหน้าบ้าน ลำเภาก็พาธีธัชเดินออกไปนอกบริเวณรั้ว ลำเภาหยุดเดิน
ธีธัชหยุดเดินตามแล้วก็พูดต่อ
“ทั้งที่ไม่ได้เป็นอะไรกัน มันน่าเกลียดรู้หรือเปล่า”
“ฉันรู้”
ธีธัชยิ้มโล่งอก ลำเภาเดินเบี่ยงตัวกลับเข้ามาอยู่ในบริเวณบ้านโดยที่ธีธัชไม่ทันสังเกต
“แต่ตอนนี้เราเป็นแฟน กัน เพราะฉะนั้น ฉันก็ไปห้องของคุณได้ เหมือนที่คุณก็มาบ้านฉันได้ แถมยังมาซะเช้าตรู่ นี่ถ้าไม่รักกันจริง ก็คงจะไม่ทำ” ลำเภายิ้มแฉ่ง
ธีธัชถึงขั้นสะอึกจุกอก
“เฮ้ย ไม่ใช่นะ ฉันไม่ได้จะมาหาเธอเพราะความพิศวาสหรือความคิดถึงแต่ฉัน...”
ธีธัชยังพูดไม่จบ ลำเภาไม่ฟังต่อแต่เลื่อนประตูรั้วปิดใส่หน้าธีธัชทันที
“หมดเวลาสำหรับแฟนแล้ว ตอนนี้ฉันต้องการเวลาเป็นส่วนตัว”
ลำเภาพูดจบก็เดินหันหลังเข้าบ้านไป ธีธัชได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่
“อะไรนะ เวลาของแฟน นี่..ยัยหนูตะเภาเธอจะมาโมเมว่าฉันเป็นแฟนเธอไม่ได้นะ ฉันไม่ยอมเป็นแฟนกับเธอ ยัยหนูตะเภา ยัยหนูตะเภา” ธีธัชตะโกนโวยวายอยู่หน้าบ้านลำเภา
ลำเภายักไหล่ไม่สน เดินนิ่งๆ เข้าบ้านไป
“ยัยเด็กบ้า คิดเหรอว่าทำแบบนี้แล้วฉันจะยอมแพ้”
ธีธัชครุ่นคิดหาทางเอาชนะลำเภาให้ได้
เช้าวันเดียวกัน ในห้องสุพรรณิการ์ อรุณศรีวิ่งพล่านแต่งตัวด้วยความรีบร้อน
“โอ้ย นาฬิกาอยู่ไหน โทรศัพท์ กระเป๋า รองเท้า” อรุณศรีพูดพลางวิ่งหยิบมาที่กระจัดกระจายอยู่เต็มห้องมารวมกัน
“เมื่อคืนเราเบลอขนาดนี้เลยเหรอ”
อรุณศรีหันไปที่นาฬิกา แล้วก็ตกใจ รีบใส่รองเท้าด้วยความรีบร้อน
เสียงออดดังที่หน้าห้อง อรุณศรีชะงักด้วยความแปลกใจ
“ใครมา”
อรุณศรีรีบเดินไปเปิดประตู กริชชัยยืนอยู่หน้าห้อง
“ผมจะมาถามว่า จะไปทำงานหรือยัง”
“เอ่อ..กำลังจะไปค่ะ”
กริชชัยรวบรวมความกล้า
“ผมก็กำลังจะไป จะไปด้วยกันหรือเปล่า”
อรุณศรีเหลือบไปดูนาฬิกาก่อนจะตัดสินใจ
“ก็..ดีค่ะ”
กริชชัยใจเต้นตูมตาม ทำหน้านิ่ง ไม่ให้เสียมารยาท
“รอสักครู่นะคะ ฉันขอไปหยิบกระเป๋าแล้วเขียนโน้ตบอกฝ้ายก่อนนะคะ”
กริชชัยพยักหน้า ก่อนจะหันหลังให้พ้นสายตาอรุณศรี แล้วเปล่งเสียงออกมาเบาๆ แต่หนักๆ “เยส !” แล้วจึงหันกลับมาทำหน้าเคร่งขรึม นิ่งเหมือนเดิม
อรุณศรีเขียนข้อความเรียบร้อยแล้วก็รีบวิ่งมาที่ประตู
“เรียบร้อยค่ะ ไปได้เลยค่ะ”
ประตูห้องปิดลง กริชชัยเดินนำ อรุณศรีรีบเดินตามไป
บนถนนระหว่างทางไปบริษัท M Group อรุณศรีนั่งอยู่กับกริชชัย อรุณศรีแอบเกร็งๆนิดๆ พยายามไม่มองหน้า แต่กริชชัยแอบมองตลอดเวลา มองแล้วก็อมยิ้มคนเดียวอย่างมีความสุข ทั้งที่ในใจก็รู้ว่า เป็นความสุขแค่ชั่วครู่ชั่วคราวก็ยังดี
รถของกริชชัยกำลังจะแล่นเข้าไปในลานจอดรถบริษัท
อรุณศรีรีบหันมาบอก
“คุณกริชคะ จอดตรงนี้แหละค่ะ”
กริชชัยหันมามองด้วยความแปลกใจ
“ทำไม อีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว”
“คือ ฉันไม่อยากเป็นจุดเด่นน่ะค่ะ ขอโทษนะคะ”
กริชชัยเข้าใจ
“ผมเข้าใจ งั้นผมส่งตรงนี้นะ”
“ขอบคุณมากค่ะ”
กริชชัยจอดเทียบข้างทางก่อนถึงบริษัท อรุณศรีลงจากรถ ที่ด้านหลังรถกริชชัยเป็นรถของปรานต์กำลังแล่นมาพอดี
ปรานต์เห็นอรุณศรีลงจากรถสปอร์ตหรูราคาแพงระยับ อรุณศรีหันมายิ้มให้กริชชัยเป็นการขอบคุณและปิดประตูรถให้อย่างสุภาพ อรุณศรีรีบเดินเข้าที่ทำงานไป ปรานต์เห็นภาพตรงหน้าเกิดความรู้สึกว่า เสียหน้า และเสียฟอร์มอย่างหนัก จึงเร่งเครื่องอย่างแรง ปาดหน้ารถของกริชชัยอย่างแรง จนกริชชัยเบรกตัวโก่ง
รถปรานต์ปาดหน้ากริชชัย แล้วรีบบึ่งเข้าไปในออฟฟิศด้วยเสียงเครื่องดังกระหึ่ม กริชชัยเพ่งมองตามรถไปด้วยความแปลกใจ
“จะรีบไปไหน”
กริชชัยเริ่มคุ้นๆกับรถของปรานต์ แววตาของกริชชัยเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
ขณะที่อรุณศรีกำลังจะรีบเดินเข้าบริษัท ทันใดนั้นรถของปรานต์ก็ปาดเข้ามาจอดเทียบ พร้อมกับบีบแตรอย่างดัง อรุณศรีตกใจหันไปเห็นรถปรานต์
“ปรานต์”
ปรานต์ลงจากรถมาหาอรุณศรีด้วยสีหน้าที่โกรธอย่างชัเดเจน
“พี่โอบบอกแอ๊วไม่ได้กลับบ้าน เมื่อคืนไปไหนมา”
“ไปนอนกับฝ้าย” อรุณศรีน้ำเสียงเซ็งๆ
“นอนกับฝ้าย หรือนอนกับผู้ชายกันแน่”
อรุณศรีชักสีหน้า เสียงเข้มขึ้น
“พูดบ้าอะไรน่ะปรานต์”
“ก็พูดในสิ่งที่เห็นไง ปรานต์เห็นแอ๊วลงจากรถไอ้ผู้ชายคนนั้น มันเป็นใคร บอกมาเดี๋ยวนี้นะว่ามันเป็นใคร”
“เค้าเป็น “เจ้านาย” ของแอ๊ว”
กริชชัยขับรถมาจอดในที่จอดรถประจำตำแหน่ง ที่อยู่ไม่ห่างจากอรุณศรี และมองอรุณศรีกับปรานต์ด้วยความเป็นห่วง แต่ไม่อยากเข้าไปยุ่ง เพราะไม่แน่ใจว่าเค้าคุยอะไรกัน
เมื่อได้ยินอรุณศรีพูดดังนั้น ปรานต์ยิ่งเข้าใจผิดไปใหญ่โต
“อ๋อ..เป็นเจ้านาย รวยแบบนี้นี่เอง ถึงมีปัญหาขับรถราคาตั้งเกือบสิบล้าน เพราะมันรวยใช่มั๊ย แอ๊วถึงยอมไปกับมัน”
อรุณศรีสุดจะทน
“ปรานต์ ถ้าสติแตก ควบคุมตัวเองไม่ได้ก็กลับไปซะ ไม่อยากทะเลาะด้วย”
“ไม่อยากทะเลาะ ก็ยอมรับมาสิ เมื่อคืนแอ๊วไปอยู่กับมันมาใช่มั๊ย “
“ซ้ำซากนะเนี่ย แอ๊วบอกแล้วไงว่าอยู่กับฝ้าย โทร.ไปถามได้เลย”
“นี่คงจะวางแผนโกหกกันไว้แล้วหล่ะสิ ถึงได้กล้ายุให้โทร. ถ้าไปนอนกับนังทอมฝ้าย แล้วมากับเจ้านายได้ยังไง ถ้าเชื่อ ปรานต์ก็เป็นควายไปแล้ว”
อรุณศรีอารมณ์เริ่มขึ้น
“จะหยาบคายมากไปแล้วนะ มาเรียกเพื่อนแอ๊วแบบนั้นได้ยังไง ที่แอ๊วมากับเจ้านายเราเจอกันโดยบังเอิญ”
“ถ้าปรานต์ไม่เชื่อ ก็ไปสืบหาความจริงเอาเอง แล้วก็กลับไปได้แล้ว แอ๊วจะทำงาน ถ้ายังโวยวายไม่เลิก จะให้รปภ.มาลากตัวออกไป อย่าคิดว่าแอ๊วไม่กล้า เป็นคนรักไม่ได้เป็นพ่อ อย่าทำให้เหลืออด แอ๊วเอาจริงแน่ “
“นี่แอ๊วขู่ปรานต์เหรอ”
“ไม่ได้ขู่ แต่ทำจริง”
หลังพูดจบ อรุณศรีเดินเข้าออฟฟิศไปอย่างหงุดหงิด ครั้นพอปรานต์เห็นว่าอรุณศรีเอาจริงก็เงียบ ไม่กล้าหือ ได้แต่เก็บความแค้นแล้วก็ระบายออกด้วยการทุบรถตัวเอง พลันสายตาของปรานต์ ก็เหลือบไปเห็นรถของกริชชัยจอดอยู่ที่หน้าบริษัท ปรานต์จิกหางตาเตรียมหาเรื่องเต็มที่
กริชชัยนั่งมองเหตุการณ์อยู่ในรถ เห็นว่าอรุณศรีเดินแยกจากปรานต์มาอย่างปลอดภัยก็ถอนหายใจเบาๆ ด้วยความโล่งอก
กริชชัยค่อยหันมาหยิบของแล้วเปิดประตูรถเดินลงมา และทันทีที่เดินห่างจากตัวรถได้ 3-4ก้าวเสียงปรานต์ก็ดังขึ้น
“คุณเป็นใคร”
กริชชัยแปลกใจ ปรานต์ เตรียมมีเรื่องเต็มที่ ปรานต์ถลกแขนเสื้อขึ้น
“แล้วคุณรู้หรือเปล่าว่าผมเป็นอะไรกับแอ๊ว”
กริชชัยตอบกลับด้วยเสียงนิ่งสงบ คุมอารมณ์ได้เป็นอย่างดีและไม่กลัว
“ถ้าคุณกำลังกังวลเรื่องระหว่างผมกับอรุณศรี ผมขอบอกว่า คุณกำลังเข้าใจผิด ผมเพียงแค่รับเธอนั่งรถมาด้วยกัน มันก็แค่นั้นเอง”
“แล้วไปรับกันที่ไหน”
“ที่คอนโด” กริชชัยพูดยังไม่จบ
ปรานต์แทรกขึ้นทันที
“คอนโดใคร นี่ขนาดแอบซื้อคอนโดให้กันแล้วเหรอ”
“คอนโดของผมกับคอนโดของเพื่อนอรุณศรีอยู่ที่เดียวกัน และเมื่อคืนผมก็เจอเค้าโดยบังเอิญ ตอนเช้าก็เลยชวนนั่งรถมาทำงานด้วยกัน เพื่อนเค้าชื่อสุพรรณิการ์ หรือคุณฝ้าย ไม่ทราบว่าคุณรู้จักหรือเปล่า ถ้าคุณไม่เชื่อคำพูดผม ก็สอบถามไปทางคุณฝ้ายได้”
ความมีเหตุผลของกริชชัยทำให้ปรานต์เริ่มมีสติขึ้นเล็กน้อย ค่อยๆเย็นลง มองหน้ากริชชัยอีกที กริชชัยสู้ตามองกลับอย่างบริสุทธิ์ใจ
อรุณศรีเดินอยู่ในตึก กำลังจะไปขึ้นลิฟท์พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นปรานต์ยืนคุยกับกริชชัย
ปรานต์ยอมแพ้ต่อเหตุผลของกริชชัย
“โอเค..ผมเข้าใจผิดไปเอง อย่าถือก็แล้วกัน อยู่ๆก็เห็นมาด้วยกัน เป็นใครก็ต้องคิด”
“ผมว่าคุณระแวงเกินไป แฟนคุณเป็นคนดีมาก ไม่มีอะไรที่คุณต้องคิดมาก”
ปรานต์ชะงักเล็กน้อยที่ได้ยินกริชชัยพูดถึงอรุณศรีอย่างให้เกียรติ ปรานต์พูดข่ม
“ผมกับแอ๊วรักกันมานานมาก ตั้งแต่อยู่มหาลัย ความสัมพันธ์ของเรามันลึกซึ้งมากกว่าคำว่า แฟน อาจจะมีทะเลาะกันบ้างเล็กๆน้อยๆ เพราะแอ๊วเค้าขี้น้อยใจ ผมไม่มีเวลาให้หน่อยก็งอน หนีไปนอนเพื่อน ผมคงต้องหาเวลาอยู่กับเค้าให้มากกว่านี้”
กริชชัยฝืนยิ้มกลบความเศร้าของตัวเอง
“ผมก็ต้องขอบคุณคุณด้วยที่มาส่ง “แฟนผม” แต่คราวหน้าผมคงไม่รบกวน แฟนผมผมดูแลเองได้“
รอยยิ้มของปรานต์ กริชชัยเห็นแววของความร้ายกาจแทรกอยู่ ในใจสุดแสนจะเสียดายที่อรุณศรีต้องมีแฟนแบบนี้
อรุณศรียืนรอกริชชัยอยู่หน้าลิฟท์ด้วยความร้อนใจ กริชชัยเดินมาเห็นอรุณศรีที่รออยู่ก็ถามด้วยความแปลกใจ
“อ้าว ยังไม่ขึ้นไปอีกเหรอ”
“ฉันรอคุณ....เอ่อ..คือ ปรานต์เค้าพูดอะไรกับคุณ เค้าพูดไม่ดีกับคุณหรือเปล่า”
“เปล่า..เค้าก็แค่หึงคุณ ผมเข้าใจ”
“แล้ว..เค้าพูดอะไรกับคุณบ้าง”
กริชชัยมองหน้าอรุณศรีด้วยแววตาแสนเสียดาย อรุณศรีมองตอบรอฟังคำตอบด้วยความอยากรู้
โทรศัพท์มือถือวัชระมีเสียงข้อความเข้าตั้งแต่เช้า วัชระเดินออกจากห้องน้ำ แต่งตัวเรียบร้อย และเปิดอ่านข้อความ
“สิบโมงมารับแหนมไปเลือกแหวนด้วย ห้ามช้า”
วัชระส่ายหน้า..คิด แล้วก็กดโทรศัพท์โทร.หากริชชัย
“ไอ้กริช ตกลงเรื่องกุญแจรถคุณหนูโรงงานน้ำปลาแกได้มาหรือยัง”
วัชระจึงต้องแก้ปัญหา ด้วยการไปที่บ้านของลำเภา ลำเภาหยิบกุญแจรถมอเตอร์ไซต์ส่งให้วัชระ
“กุญแจรถมอเตอร์ไซด์คุณกริช รถจอดอยู่ด้านหลัง คุณวัชรู้ใช่มั้ยว่าอยู่ตรงไหน” วัชระรับมาพร้อมกับพยักหน้า
“ถ้าขี่มอเตอร์ไซด์ไอ้กริชไปหาแหนม รับรองเรื่องยาวแน่” วัชระพึมพำ
“บ่นอะไร” ลำเภาถาม
“ก็เรื่องส่วนตัวนิดหน่อย”
วัชระหันไปเห็นจานใส่อาหารที่วางอยู่
“เภาทำเหรอ?น่ากินจัง กินด้วยนะกำลังหิวเลย”
“นั่นน่ะ อาหารหมา”
ขนมจีบกับซาลาเปาคำราม..วัชระสะดุ้งเล็กน้อย
“ขี้หวงซะด้วย”
“คุณวัชเค้าไม่แย่งหรอกน่า. คุณวัชจะกินอะไรหรือเปล่า เดี๋ยวเภาทำให้”
วัชระคิด หยิบนาฬิกามาดูแล้วตัดสินใจปิดมือถือไปเลย
“ขอบใจ..งั้นผมขอกินแล้วกัน”
“งั้นรอแป๊บ”
ลำเภาเดินหยิบอาหารของขนมจีบ ซาลาเปาวางไว้ที่พื้น แล้วก็เดินเข้าครัวไป
วัชระหันมามองขนมจีบ ซาลาเปา ขณะที่ขนมจีบ ซาละเปามองหน้าพร้อมกับคำรามใส่เพราะกลัวโดนแย่ง วัชระสะดุ้งพร้อมส่ายหน้าขำๆ ก่อนจะหันไปทางลำเภา
“ผมช่วย”
วัชระเดินตามไปลำเภาเข้าไปในครัว
ลำเภาส่งมะเขือเทศกับหัวหอมใหญ่ให้วัชระ
“หั่นเป็นลูกเต๋านะ ทำกับข้าวเป็นมั๊ย”
“เป็น แม่ผมสอนไว้หลายอย่าง”
“ค่อยยังชั่ว อีกหน่อยพอคุณเข้าไปอยู่กับคุณกริชจะได้มั่นใจว่าไม่อดตาย”
วัชระพูดไปหั่นไป
“ไอ้กริชมันทำกับข้าวเป็น มันไม่อดตายหรอกเป็นห่วงมันหรือไง”
“ห่วงสิ คุณกริชเป็นคนแปลก เห็นเงียบๆ เฉยๆ คิดอะไรก็ไม่พูด เหมือนจะสบายๆ แต่จริงๆ คิดมากสุดๆ แถมยังรักเดียวใจเดียว ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงไม่ชอบก็ไม่รู้”
“หัวใจคนเรา มันบังคับกันไม่ได้ จะบังคับได้ก็แต่ตัว จะบังคับจะข่มเหงยังไงก็ได้ แต่ใจถ้ามันไม่ยอม ยังไงมันก็ไม่ยอม”
ลำเภาชะโงกมามองหน้าวัชระ
“พูดถึงอะไร งง”
“ก็..เรื่องไอ้กริชไง มันเป็นคนขี้อาย จะให้ไปตามจีบอรุณศรีมันก็ไม่ทำ ส่วนอรุณศรีเค้าเป็นมีแฟนแล้ว เค้าอาจจะไม่ชอบไอ้กริช จะบังคับเค้าก็ไม่ได้ เรื่องแบบนี้มันละเอียดอ่อน เภามีแฟนหรือเปล่า” วัชระพูดแก้เก้อ
“ไม่มี แต่กำลังจะเป็นแฟนกับคุณธีธัช พนันกันไว้ ฉันจะต้องสยบเค้าให้ได้”
“นี่..เภาจะเอาจริงเหรอ ตอนไอ้ธีบอก ผมนึกว่าเภาพูดเล่น”
“ใครพูดเล่น..เภาเป็นคนจริง พูดจริง ทำจริง อีกไม่นานนายธีธัชต้องมาเป็นแฟนเภา มาเป็นหมาใหญ่ประจำบ้านนี้” ลำเภาพูดด้วยความภูมิใจ
“กรี๊ดดด”
เนตรนภัสกรีดเสียงร้องจากในบ้าน สีรุ้งและนรีวรรณวิ่งพรวดพราดเข้ามาในห้องรับแขกด้วยความตกใจ
“แหนม เป็นอะไรลูก”
“พี่แหนมม..เป็นอะไร”
เนตรนภัสหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ ในมือกำโทรศัพท์ไว้แน่น
“วัชปิดมือถือ”
สีรุ้งถอนหายใจ นรีวรรณกรอกตาด้วยความเซ็งกับเรื่องเดิมๆ
“แค่นี้เอง ทำไมต้องกรี๊ดซะลั่นบ้านแบบนี้ แม่นึกว่าเราเป็นอะไรซะอีก”
นรีวรรณ กดบีบีเม้าท์กับเพื่อนเหมือนเดิม เนตรนภัสหันขวับมาไปหาสีรุ้ง
“มันไม่ใช่แค่นี้นะคะแม่ แต่มันแสดงให้เห็นว่าวัชเค้าไม่ให้เกียรติแหนม เรานัดกันไปดูแหวนแต่งงาน แหนมนัดที่ร้านไว้แล้ว แต่วัชไม่มา แล้วยังจะปิดเครื่องอีก นี่มันมากเกินไปแล้วนะคะ”
สีรุ้งมองเนตรนภัสด้วยความเป็นห่วง
“แหนม..แม่ขอถามเป็นครั้งสุดท้าย เราแน่ใจว่าจะแต่งงานกับวัชจริงๆเหรอ”
นรีวรรณเงยหน้าจากบีบีขึ้นมาฟังคำตอบจากพี่สาวด้วยความอยากรู้
“แน่ใจค่ะ !! แหนมถอยไม่ได้ เพื่อนๆ รู้เรื่องงานแต่งงานหมดแล้ว ถ้าแหนมยกเลิก เพราะเหตุผลว่าวัชไม่ยอมแต่ง แหนมทนไม่ได้ และแหนมก็ยอมไม่ได้ค่ะแม่”
เนตรนภัสพูดจบก็หันไปคว้ากระเป๋าเดินฉับๆๆๆ ออกจากบ้านไปด้วยความหงุดหงิด
สีรุ้งได้แต่ถอนใจ นรีวรรณมองสีรุ้งด้วยความสงสาร ค่อยๆ เอาหัวมาซบที่ไหล่แม่ แล้วก็กอดเบาๆ
“นุ้ยขอโทษค่ะ นุ้ยไม่น่าไปแหย่เรื่องที่พี่แหนมเป็นคนเดียวในกลุ่มที่ยังไม่ได้แต่งงาน เค้าก็เลยสติแตกแบบนี้”
“ไม่ใช่ความผิดของนุ้ยหรอกลูก พี่เค้าเป็นแบบนี้ ก็เพราะตัวเค้าเอง เรารู้ว่าพี่เค้าเครียด ก็อย่าไปชวนทะเลาะ เพิ่มความเครียดให้เค้าก็แล้วกัน”
นรีวรรณคิด แต่ไม่รับปาก แล้วก็ถอนกอดออกมา หันมาถามสีรุ้งด้วยความสงสัยตามประสาเด็กๆ
“แม่ว่า..ที่พี่วัชเค้าหนีพี่แหนมแบบนี้ เพราะเค้าไม่อยากแต่ง หรือเพราะว่าเค้ามีคนอื่น”
สีรุ้งฉุกคิดและแอบกังวลขึ้นมาเหมือนกัน
อ่านต่อหน้าที่ 2
สามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 7 (ต่อ)
โทรศัพท์มือถือของวัชระถูกเปิดเอาซิมออก วัชระใส่ซิมแบบเติมเงินอันใหม่เข้าไป แล้วก็เปิดเครื่อง
เวลานั้นวัชระนั่งอยู่ในคอนโดที่ยังตกแต่งไม่เสร็จ วัชระกดโทร.ออกไปหาลูกน้อง
“นี่ผมเองนะ เบอร์นี้เป็นเบอร์เฉพาะกิจ มีงานอะไรด่วนติดต่อผมที่เบอร์นี้ ส่วนเรื่องประชุมตอนบ่าย เตรียมเอกสารไว้ให้ผมด้วย ผมทำธุระเรียบร้อยแล้วจะรีบเข้าไป อ้อ...แล้วห้ามบอกเบอร์นี้กับคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ห้ามบอกเด็ดขาด”
วัชระพูดจบก็วางสายไป แอบถอนใจด้วยความกังวลเล็กๆ แล้วก็ตัดทิ้ง หันไปที่โต๊ะกลางห้อง มีกระดาษวางอยู่พร้อมกับกล่องโคมไฟ กล่องอุปกรณ์แต่งหน้า และกล่องสว่านชุดใหญ่
วัชระหยิบกระดาษมาอ่าน กริชชัยเขียนรายการของที่จะต้องติดตั้ง เสียงกริชชัยที่พูดฝากงานไว้ทางโทรศัพท์
ดังซ้อนเข้ามา
“ไอ้วัช ถ้าแกเข้าคอนโดฉันฝากติดของที่วางไว้ด้วย ฉันกำหนดจุดไว้หมดแล้ว แกติดตามที่ฉันทำสัญลักษณ์ไว้ได้เลย”
บนผนังมีกระดาษกาวสีแดงแปะเป็นรูปกากบาทเล็กๆเป็นสัญลักษณ์ที่กริชชัยกำหนดไว้ให้ วัชระถือสว่านอยู่ในมือ วัชระเล็งเข้าไปที่กากบาทที่แปะไว้ แล้วก็เจาะเสียดังสนั่น
สุพรรณิการ์สะดุ้งตื่นลุกขึ้นมานั่งด้วยความตกใจเพราะเสียงเจาะสว่านทะลวงไส้
“จะจองล้าง จองผลาญฉันไปถึงไหน นายหน้าหนวด”
เสียงเจาะผนังยังดังต่อเนื่อง วัชระเจาะผนังอย่างตั้งใจ ครั้งนี้ไม่ได้ตั้งใจจะกวน แต่ตั้งใจทำจริง
สุพรรณิการ์นอนไม่ลง
“โอ้ย...คนยิ่งแฮ้งค์ๆ อยู่”
สุพรรณิการ์ทนไม่ไหว ลุกพรวดขึ้นจากเตียง แล้วก็เดินดุ่ม ออกจากห้องไปด้วยอารมณ์โกรธปนแฮ้งค์
เสียงทุบประตูดังปังๆ วัชระหันไป
“ยัยคุณหนูโรงน้ำปลาแหงๆ” วัชระส่ายหน้าด้วยความเซ็ง
สุพรรณิการ์กระหน่ำทุบประตูอีกหนึ่งยก ทันใดนั้นประตูก็ถูกเปิด มือสุพรรณิการ์ยั้งไม่อยู่ฟาดลงบนหน้าของวัชระอย่างเต็มแรง
“โอ้ย”
สุพรรณิการ์ตกใจพอๆกับวัชระ แต่ลึกๆแล้วสะใจไม่น้อย
“เอ้ย”
“นี่คุณมาตบผมทำไมเนี่ย”
สุพรรณิการ์เชิดหน้าอย่างสะใจ
“มันเป็นอุบัติเหตุจ้ะ ถ้าฉันตั้งใจแรงกว่านี้แน่”
“นี่คุณอันธพาล ทั้งทุบรถ ทั้งเอารถมาจอดขวาง แล้วนี่ยังจะมาตบหน้าผมอีก จะระรานชีวิตผมไปถึงไหน”
“โห..พูดซะตัวเองดูน่าสงสารเลยนะ แล้วที่ฉันโดนนายขับรถชนก้น มือซ้นเพราะทุบรถ แล้วก็ไม่ได้นอนเพราะโดนนายแกล้ง ฉันไม่น่าสงสารหรือไง”
วัชระส่ายหน้าในความหาเรื่องของสุพรรณิการ์แล้วก็เดินกลับเข้าห้องไป
“เอ้ย..นี่คุณจะหนีเหรอ”
สุพรรณิการ์เดินตามเข้ามาในห้องอย่างไม่กลัว
วัชระเดินไปดึงกระดาษที่ติดด้วยเทปกาวบนผนังออกมา วัชระแปะกระดาษเข้าที่หน้าผากของสุพรรณิการ์ อย่างกับผีดิบจีนที่ถูกหมอผีติดยันต์ไว้
“เฮ้ย” สุพรรณิการ์โวยวายแล้วดึงเอากระดาษออก
“อะไรเนี่ย”
“ระเบียบการเข้าตกแต่งห้องชุด เค้าบอกว่า...ทุกคนมีสิทธิ์เข้าตกแต่งห้องชุดได้ตั้งแต่ 10 โมงเช้า ถึง 4 โมงเย็น วันจันทร์ถึงวันศุกร์ และตอนนี้มันก็เป็นเวลาเที่ยงของวันพุธ”
สุพรรณิการ์ฟังวัชระและอ่านระเบียบ
“เพราะฉะนั้นผมก็มีสิทธิ์จะเจาะผนังได้อย่างเต็มที่”
สุพรรณิการ์ไม่ยอม เงยหน้าสู้วัชระ
“นี่นายตั้งใจจะกวนฉันใช่มั๊ย”
วัชระส่ายหน้า
“คุณต่างหากที่ตั้งใจจะหาเรื่องผม ถ้าเป็นคนอื่น นอนไม่ได้ เค้าก็ตื่นออกไปข้างนอกกันหมดแล้ว มีแต่คุณนี่แหละ โวยวายอยู่ได้ หรือว่า..หาเรื่องอยากเจอผม”
“โฮะๆๆ ถ้าฉันรสนิยมแย่ขนาดนี้”
สุพรรณิการ์ชี้หน้าวัชระ
“ฉันคงไม่ครองตัวเป็นโสดมาจนถึงทุกวันนี้หรอกย่ะ อย่างนาย... “ต่ำ” กว่ามาตราฐาน”
วัชระยิ่งหมั่นไส้สุพรรณิการ์หนักขึ้น วัชระมองเหยียด พูดกวน
“คุณน่ะ.… สวยตาย อะไรๆ ก็ไม่มี หุ่นยังกะเสาไฟฟ้า”
“ยังกะตัวเองดีนักนี่ หน้าก็รกรุงรัง แววตายังอมทุกข์อีกต่างหาก เครียดที่จับผู้ร้ายไม่ได้เลยมาเจาะกำแพงแกล้งคนอื่นเค้าหรือไง”
วัชระแววตาเครียดขึ้นเล็กน้อยเพราะโดนสุพรรณิการ์จี้ใจดำ
“ผมจะเครียดเรื่องอะไรมันก็เรื่องของผม ถ้าคุณอยากจะนอนอย่างสงบ ก็ไปเลื่อนรถ”
ถ้าอยากให้ฉันเลื่อนรถ ก็ต้องเลิกเจาะ ถ้าไม่เลิกเจาะก็ไม่เลื่อน”
สุพรรณิการ์เชิดหน้าโชว์ไพ่ที่เหนือกว่า
วัชระไม่สน สวนกลับสุพรรณิการ์ทันที
“ถ้าไม่เลื่อน..ก็ไม่ต้องนอน”
วัชระพูดจบก็หันไปหยิบสว่าน แล้วก็เริ่มต้นเจาะอีกครั้ง สุพรรณิการ์เอามืออุดหู
วัชระหยุดเจาะแล้วก็หันมายักคิ้วใส่สุพรรณิการ์อย่างกวน แถมบางขณะยังเจาะต่อเป็นจังหวะซะด้วย สุพรรณิการ์ถึงกับทนไม่ไหวกรีดร้องออกมา
“โอ้ย...ไม่นอนก็ได้โว้ย”
สุพรรณิการ์กระทืบเท้าใส่แล้วก็เดินกระฟัดกระเฟียดออกไปจากห้อง
วัชระยิ้มชอบใจ แล้วก็ขำตัวเองที่เอาชนะสุพรรณิการ์ได้ เป็นความสุขเล็กๆน้อยๆที่สะสมอยู่ในใจโดยที่ไม่รู้ตัว
วัชระหยิบรูปมอเตอร์ไซค์ของกริชชัยมาติดบนผนังตามคำสั่งอย่างสวยงาม วัชระมองด้วยความพอใจ
บ่ายวันเดียวกันเสียงกริชชัยดำเนินการประชุม ภายในห้องประชุมของบริษัท M Group มีพนักงานบริษัท 2-3 คนพร้อมด้วยเบญลี่และอรุณศรี
“ทริปลูกค้าวีไอพีสุดสัปดาห์นี้ เตรียมงานกันไปถึงไหนแล้ว”
“ตอนนี้มีลูกค้าวีไอพีติดต่อกลับมาเพื่อร่วมเดินทางไปกับเราทั้งหมด 15 ท่านค่ะ มีแต่ระดับครีมๆทั้งนั้นเลยนะคะ ห้องพักจองเรียบร้อย ส่วนอาหารเบญลี่ส่งรายการไปให้ทางโรงแรมจัดเตรียมตามที่คุณกริชต้องการแล้วค่ะ”
เบญลี่รายงาน กริชชัยพยักหน้ารับทราบ
“ผมจัดเตรียมช่างเครื่องไว้ ๒ คนเป็นคนที่รู้จักรถของลูกค้าเป็นอย่างดี จะนำหน้าขบวนและปิดท้ายอย่างละคน” หัวหน้าฝ่ายเครื่องรายงาน
“ทางด้านความปลอดภัยดิฉันประสานงานไปกับทางตำรวจ ขอรถนำ และจ้างพยาบาล 1 คน บุรุษพยาบาล 1 คน แล้วก็เช่ารถพยาบาลที่มีอุปกรณ์ช่วยชีวิตครบไว้อีกหนึ่งคัน ทั้งรถและเจ้าหน้าที่จะอยู่กับเราตลอดทริปค่ะ” หัวหน้าฝ่ายความปลอดภัยรายงาน
กริชชัยพยักหน้ารับด้วยความพอใจ
“ส่วนเรื่องกิจกรรมเพื่อความบันเทิง ดิฉันติดต่อนักดนตรี และแจ้งให้ทางโรงแรมเตรียมสถานที่และอุปกรณ์สำหรับการเล่นเกมส์ไว้แล้วค่ะ” อรุณศรีว่า
“ดี...ทริปนี้ถึงจะเป็นทริปเล็กๆ แต่ลูกค้าทุกท่านมีความสำคัญมาก ขอให้ทำงานกันอย่างเต็มที่ และเพื่อเป็นการขอบคุณที่ทุกคนช่วยกันจัดงานเปิดตัวผมออกมาได้อย่างดีเยี่ยม ผมอนุญาตให้พาคู่สมรสและลูกๆไปได้ ถือเป็นรางวัล” พนักงานทุกคนยิ้มรับ ยกเว้นอรุณศรีที่เริ่มคิด
“ยังไม่ได้สมรส แต่มีกิ๊ก..พาไปได้มั๊ยคะ” เบญลี่ถาม
“ได้ แต่แค่คนเดียวนะ” กริชชัยว่า เบญลี่ยิ้มกว้าง
“คุณกริชอ่ะ..รู้ทันเรื่อยเลย”
กริชชัยยิ้มๆก่อนปิดประชุม
“ขอให้ทุกคนทำงานให้เต็มที่ เพื่อความพอใจอย่างสูงสุดของลูกค้าของเรา”
พนักงานพยักหน้ารับ “ค่ะ" / "ครับ”
ทุกคนทยอยลุกออกไป รวมทั้งอรุณศรีและเบญลี่
“อรุณศรี” กริชชัยเรียกขึ้น
ทั้งอรุณศรี และ เบญลี่หันมาพร้อมกัน แต่เบญลี่ดันส่งเสียงออกไปก่อน
“คะ”
กริชชัยมองหน้าเบญลี่
“ผมเรียกอรุณศรี”
“อุ้ย..เหรอคะ...ขอโทษค่ะ..หูไม่ค่อยดี แหะๆ”
เบญลี่ทำขำแก้เก้อแล้วก็เดินออกไป อรุณศรีนั่งลงที่เดิม..รอฟัง
เบญลี่เดินออกมาที่หน้าห้อง แล้วก็หยุดยืนอยู่หน้าประตูครุ่นคิดด้วยความสาระแนอยากรู้อย่างแรง
“เสาร์อาทิตย์นี้ คุณจะพา แฟนคุณไปด้วยก็ได้นะ... ผมอนุญาต” กริชชัยว่า
อรุณศรีหลบตาวูบหนึ่ง ก่อนจะกลับมาสู้สายตาของกริชชัยและตอบอย่างมั่นใจ
“ขอบคุณค่ะ ฉันจะลองถามปรานต์ดูค่ะ”
“ปรานต์... ชื่อแปลกดีนะ”
“ค่ะ ฉันก็สะดุดกับชื่อเค้าตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกัน” อรุณศรียิ้มรับ
กริชชัยรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ แอบคิดว่า ชื่อกริชชัย คงจะไม่สะดุดพอ
“คุณก็...ลองถามแฟนคุณดู ถ้าเค้าไปได้ด้วย เค้าจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องระหว่างคุณ..กับผม”
“ค่ะ... ฉันก็คิดแบบนั้น”
“คุณกริชมีอะไรอีกมั้ยคะ ถ้าไม่มีฉันจะขอตัวไปทำงานต่อ”
“ไม่มีแล้ว..เชิญ”
อรุณศรีลุกขึ้นแล้วก็เดินออกไปที่หน้าห้องประชุมแล้วก็หยุดคิด ด้วยความแปลกใจ
“อย่างนี้เนี่ยนะที่เขาเรียกว่าแอบชอบ”
กริชชัยส่ายหน้าด้วยความเซ็งตัวเอง
“แมนไปมั้ยวะเนี่ย” กริชชัยเฝ้าถามตัวเอง
โทรศัพท์มือถือของกริชชัยดังขึ้น แต่พอเห็นชื่อถึงกับชะงัก ที่หน้าจอขึ้นชื่อ “แหนม”
“ไอ้วัชไปทำเรื่องอะไรไว้อีกเนี่ย” กริชชัยพึมพำ
วัชระขี่มอเตอร์ไซค์ของกริชชัยเข้ามายังบริษัท M Group แล้วก็ต้องชะงัก วัชระต้องเบรกรถกระทันหัน เพ่งมองไปที่ลานจอดรถด้านหน้าเห็นรถเนตรนภัสจอดอยู่ วัชระตัดสินใจหยิบมือถือออกมาแล้วกดโทร.หาลูกน้อง
“ผมเปลี่ยนใจแล้ว เดี๋ยวคุณเอาเอกสารรายงานไปเจอกับผมที่เกิดเหตุ ผมจะไปรออยู่ที่นั่น แล้วก็ต้องไม่บอกคนอื่นนะ ว่าผมอยู่ที่ไหน”
“ครับผู้กอง” ลูกน้องรับคำผ่านโทรศัพท์
นตรนภัสระเบิดอารมณ์ใส่กริชชัยทางโทรศัพท์
“คุณกริชบอกมาตรงๆดีกว่า ว่าวัชอยู่ไหน”
“ผมก็บอกตรงๆอยู่นี่ไงครับ ว่าผมไม่รู้ ผมคุยกับมันครั้งสุดท้ายเมื่อเช้าเรื่องกุญแจรถ แล้วก็เรื่องตกแต่งคอนโด หลังจากนั้นก็ยังไม่ได้คุยกันเลย”
เนตรนภัสขมวดคิ้ว
“กุญแจรถอะไร”
“รถมอเตอร์ไซค์ของผมเอง เอางี้ดีกว่า..ถ้าผมติดต่อมันได้ ผมจะรีบบอกว่าแหนมกำลังตามหาอยู่ จะให้มันรีบติดต่อกลับไป” กริชชัยว่า
“โดยเร็วที่สุด” เนตรนภัสสวนทันที
เนตรนภัสกดวางสายไปเลยด้วยความหงุดหงิด กริชชัยส่ายหน้าหนักใจแทนเพื่อน
“ไอ้วัช...ท่าทางจะโคม่าว่ะ”
เนตรนภัสนั่งตาขวางอยู่ที่โต๊ะทำงานวัชระ แล้วเริ่มคิดประติดประต่อคำพูดของกริชชัย เนตรนภัสเอะใจ
“คอนโด”
เนตรนภัสคิดแล้วก็รีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
กรกนกออกมาจากห้องน้ำ อยู่ในชุดคลุมเซ็กซี่ มีเสียงโทรทัศน์ดังออกมาจากห้องรับแขก ธีธัชนั่งหันหลังให้โทรทัศน์ ด้วยใบหน้าครุ่นคิด กรกนกเดินเข้ามาก่อนจะหยิบรีโมทมาปิดโทรทัศน์ และเดินมากอดธีธัชจากข้างหลัง
“ธี...นั่งคิดอะไรอยู่คะ”
ธีธัชตอบเสียงเครียด
“คิดเรื่องยัยลำเภา”
กรกนกหุบยิ้ม หมดอารมณ์หวามทันที แต่ก็ยังฝืนคุยต่อ
“แล้วทำไมอยู่ๆ ถึงนั่งคิดถึงเด็กนั่นคะ “
“ก็เมื่อเช้า ผมอุตส่าห์บุกไปหาตั้งแต่ยังไม่เคารพธงชาติ กะจะคุยกันให้รู้เรื่อง ยัยเด็กนั่นก็ทำเป็นหูทวนลม พูดอย่างตอบอย่าง กวนประสาท”
“ถ้าเค้ากวนประสาทธีมากนัก ก็อย่าไปยุ่งสิคะ”
“ไม่ยุ่งไม่ได้”
กรกนกเริ่มจะหมดความอดทน คลายมือออกจากธีธัช
“ถ้าผมทำเป็นนิ่ง ไม่ตอบโต้ ยัยเด็กนั่นก็จะยิ่งได้ใจเข้ามาคุกคามชีวิตผม ผมไม่ยอมหรอก ผมต้องหาทาง ทำให้ยัยลำเภาหยุดมายุ่งกับผมให้ได้”
“ขอให้คุณคิดออกก็แล้วกัน... กรไปทำงานนะคะ” กรกนกประชด
กรกนกเดินเข้าห้องนอนไปแต่งตัว ธีธัชยังนั่งหมกหมุ่นเรื่องลำเภาอยู่เหมือนเดิม
กรกนกค่อยๆ โผล่หน้าออกมาจากห้องนอน แล้วก็มองธีธัชด้วยแววตาหวาดหวั่น กรกนกเริ่มคิดหนัก
ธีธัชก็ยังนั่งอยู่ในท่าเดิม ไม่ได้รับรู้ถึงความกังวลของคนข้างๆ
กรกนกเดินเข้ามาในห้อง นั่งลงที่หน้ากระจกมองตัวเอง แล้วก็หยิบโทรศัพท์มากดขึ้นสเตตัสเฟซบุค
“คนที่ทำให้เราเสียความรู้สึกโดยเค้าไม่รู้ตัว เราควรจะกลัว..หรือเราควรจะโกรธ”
หลังขึ้นสเตตัส ไม่นานก็มีเพื่อนเข้ามากด Like ทันที
กรกนกมองตัวเองในกระจกแล้วก็ครุ่นคิด จำนวนคนกด like เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่คนเศร้าก็ยังนั่งอยู่คนเดียวอย่างเหงาๆ
เย็นวันนั้น เนตรนภัสยืนอยู่ที่หน้าคอนโด คุยโทรศัพท์ด้วยความหงุดหงิด
“ธีมีกุญแจคอนโดใหม่ของคุณกริชหรือเปล่า ? เดี๋ยวแหนมจะไปเอา” เนตรนภัสถาม
“มี.. แต่.. แหนมจะเอาไปทำอะไร” ธีธัชถาม
เนตรนภัสตอบเสียงสุดอารมณ์เสีย
“จะไขเข้าไปดู ว่าวัชแอบอยู่ข้างในหรือเปล่า”
ธีธัชตกใจ
“เฮ้ย เดี๋ยวก่อนนะแหนม เกิดอะไรขึ้น ทะเลาะกันมาอีกแล้วสิ”
“วัชเค้าหนีไปไหนไม่รู้ มือถือก็ติดต่อไม่ได้”
ธีธัชฟังแล้วก็เครียดตาม เนตรนภัสยังคงโวยวายไม่หยุด
“แหนมไปที่ทำงานก็ไม่อยู่ ถามใครก็ไม่มีใครรู้ โทร.ไปที่บ้านแม่ก็บอกว่าติดต่อไม่ได้ คุณกริชบอกว่าวัชมาคอนโด แหนมกดออดจนจะพังอยู่แล้ว ก็ไม่เห็นจะมีใครออกมาสักคน”
“วัชต้องอยู่ในห้องแน่ๆ แต่ไม่ยอมเปิดประตูให้แหนม” เนตรนภัสตอบอย่างมั่นใจ
“ทำไมแหนมคิดว่ามันอยู่ ตอนนี้เวลางาน มันคงไม่มีเวลามาซ่อนในห้องหรอกมั้ง”
“แต่แหนมเห็นรถวัชจอดอยู่ที่หน้าคอนโด ถ้าวัชไม่อยู่ แล้วรถจะอยู่ได้ไง”
ธีธัชนึกออก แล้วก็ค่อยๆตะล่อมเนตรนภัส
“แหนมใจเย็นๆนะ ฟังทีละเรื่อง เรื่องแรก รถไอ้วัชจอดอยู่ที่คอนโดเพราะมันเอาออกมาไม่ได้ เพราะมีรถมาจอดขวางอยู่ มันก็เลยเอารถมอเตอร์ไซด์ของไอ้กริชมาใช้ก่อน เพราะฉะนั้นรถอยู่ แต่ตัวมันไม่อยู่แน่นอน”
เนตรนภัสชะเง้อไปดู เห็นรถกะบะโรงงานน้ำปลาจอดขวางอยู่จริงๆ เนตรนภัสยอมรับ..และใจเริ่มเย็นลงนิดนึง
“ผมว่าแหนมอย่าไปรอที่คอนโดเลยเสียเวลา กลับไปรอที่บ้าน แล้วผมจะช่วยตามหามันเอง ถ้าหาเจอ จะให้มันรีบติดต่อกลับแหนม” ธีธัชว่า
“ทันที” เนตรนภัสว่า
ธีธัชสะดุ้ง เนตรนภัสวางสายไป
“แรงอ่ะ”
เนตรนภัสตาขวางยืนอารมณ์เสีย มองไปที่หน้าห้องกริชชัยก่อนจะกระทืบเท้าเดินออกไป ด้วยความหงุดหงิด
ประตูห้องสุพรรณิการ์ค่อยๆเปิดออกมา สุพรรริการ์สวมหมวกคลุมผม ใส่เสื้อคลุม ในมือถือแปรงสีฟันอยู่ สุพรรณิการ์ค่อยๆโผล่หน้าออกมามองตามเนตรนภัส
ก่อนหน้านี้...ไม่กี่นาที ขณะที่สุพรรณิการ์กำลังแปรงฟันอยู่ในห้องน้ำ เสียงออดกระหน่ำดังสนั่นมาจากข้างห้อง สุพรรณิการ์ชะงักขนาดต้องโผล่หน้าจากห้องน้ำมาเงี่ยหูฟัง
“ห้องเจ้านายไอ้แอ๊วนี่หว่า... ทำไมกดกระหน่ำขนาดนี้วะเนี่ย”
“วัชต้องอยู่ในห้องแน่ๆ แต่ไม่ยอมเปิดประตูให้แหนม แต่แหนมเห็นรถวัชจอดอยู่ที่หน้าคอนโด ถ้าวัชไม่อยู่ แล้วรถจะอยู่ได้ไง” เนตรนภัสเสียงดังทะลุห้องขณะที่ยืนโทรศัพท์หาธีธัช สุพรรณิการ์เดินไปที่ประตูเอาหูแนบฟังด้วยความอยากรู้อยากเห็น สุพรรณิการ์คิดๆ และแอบมองผ่านตาแมวที่ประตู
“วัชที่ผู้หญิงคนนี้พูดถึงคือ นายวัชระหน้าหนวดหรือเปล่า”
สุพรรณิการ์คิดถึงคำพูดของกริชชัยในวันแรกที่เจอกัน
“พอได้แล้วไอ้วัช ถ้าแกไม่หุบปาก ฉันจะโทร.ตามแหนมมาเดี๋ยวนี้”
“แหนม...แหนมเดียวกันหรือเปล่า” สุพรรณิการ์ยิ่งคิดยิ่งอยากรู้
รถมอเตอร์ไซค์ของวัชระมาจอดเทียบที่หน้าบ้านในคืนนั้น แล้วก็เดินหน้าเหนื่อยๆเข้าไปในบริเวณบ้าน
“แม่ค้าบ... กลับมาแล้วค้าบ”
ทันทีที่วัชระถอดรองเท้าแล้วก็เดินเข้ามาในบ้าน กริชชัย และ ธีธัชนั่งรอหน้านิ่งขรึมนั่งอยู่กลางบ้าน แววเดินถือจานผลไม้ออกมารับแขก เพื่อนๆ ของลูกชาย
“อ้าว วัชมาก็ดีแล้ว กริชกับธีเค้ามารอตั้งแต่หัวค่ำ มาจนกินข้าวอิ่มกันไปรอบนึง กำลังจะหิวกันอีกรอบแล้วเนี่ย” แววพูดอารมณ์ดี
“พวกแกมาหาฉัน..มีอะไร”
กริชชัยเริ่มเปิดบทสนทนา ทั้งสามคนนั่งคุยกันที่หน้าสวนเล็กๆ ในบ้าน บรรยากาศความเป็นเพื่อนและมิตรภาพอบอวลเต็มสวน วัชระทรุดนั่งที่เก้าอี้หินอีกตัวหนึ่ง
“แกปิดเครื่องทำไม แหนมโทร.จิกฉันกับไอ้ธีให้วุ่นไปหมด”
“ใช่... ฉันว่าแกหนีแบบนี้ไม่ดีว่ะ ถ้าไม่อยากแต่ง ก็เลิกไปซะ” ธีธัชพูดสมทบ
กริชชัยหันมา
“เฮ้ย แรงไป เรื่องของมัน ให้มันคิดเอง”
“เพราะจริงๆ ฉันก็ไม่อยากจะหนี แต่ตอนนี้ยังไม่พร้อมจะเผชิญหน้าจริงๆว่ะ ตั้งแต่แหนมคิดจะแต่งงาน เค้าก็ยุ่งวุ่นวายกับชีวิตฉันไปหมด ทั้งเรื่องเงิน เรื่องงาน”
“เมื่อก่อนแหนมเค้าไม่เป็นแบบนี้เหรอ”
วัชระส่ายหน้าพลางว่า
“ไม่เลย ทุกครั้งที่เจอกัน ก็กินข้าว ชอปปิ้ง ดูหนัง แล้วก็เข้าโรงแรม”
กริชชัยสะดุ้งนิดๆ ธีธัชส่ายหน้า
“ตื่นมาก็แยกย้ายกันไปใช้ชีวิตของตัวเอง แต่พอจะแต่งงานกัน ... เค้าโทร.จิกฉันตลอด เดี๋ยวก็ต้องไปทำโน่น ไปทำนี่ เยอะแยะวุ่นวายไปหมด แล้วนี่ยังจะมาก้าวก่ายเรื่องงาน ไปขอให้เจ้านายย้ายฉันไปอยู่แผนกอื่น ฉันว่า..มันมากไป”
“ก็บอกแล้วว่าให้เลิก แล้วล้างสมอง ตั้งกฎใหม่ ผู้หญิงนะเว้ย พอมีคำว่าแต่งงานในสมองเมื่อไหร่ พฤติกรรมเปลี่ยนทุกคน!!" ธีธัชโพล่ง
กริชชัยส่ายหน้า
“นี่ไอ้ธี ไอ้วัชมันเครียดจนหัวจะหงอกแล้ว แกจะซ้ำมันทำไมวะ “
“แต่มันก็พูดถูกนะเว้ย แหนมเปลี่ยนไปเยอะมาก จนฉันลืมไปแล้วว่าเมื่อก่อนฉันอยู่กับเค้าได้ยังไง และเอาเข้าจริงๆ... เค้าก็ไม่รู้จักฉันเลยสักนิด ไม่รู้ว่าฉันเป็นคนยังไง ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร... เค้ากำลังจะ “เปลี่ยน” ให้ฉันเป็น “สามี” ในแบบที่เค้าต้องการ”
กริชชัยพยักหน้ารับด้วยความเข้าใจ
“ถ้าไม่มีเรื่องแต่งงาน แล้วอยู่เป็นแฟนกันไปเรื่อยๆแบบเมื่อก่อน มันก็ไม่มีปัญหา ฉันก็ไม่เข้าใจ แค่เปลี่ยนจากคำว่า “แฟน” เป็น “สามี” ทำไมแหนมถึงต้องทำให้มันวุ่นวายใหญ่โตขนาดนี้ด้วย”
ธีธัชมองด้วยความเข้าใจ และสงสารเพื่อนเดินเข้ามาแล้วก็จับไหล่วัชระ ปลอบใจ
“เพราะอย่างนี้ไง..ฉันถึงไม่เคยคิดจะแต่งงาน”
ธีธัชพูดด้วยความมั่นใจอย่างมากวัชระคิดหนัก
“ผู้หญิงแต่งงานกับผู้ชายด้วยความหวังว่าพวกเขาจะเปลี่ยน ผู้ชายแต่งงานกับผู้หญิงด้วยความหวังว่าพวกเธอจะไม่เปลี่ยน ดังนั้นทุกคนจึงพบกับความผิดหวัง” โดย...อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
ทั้งสามหนุ่มกับความรักที่ยังไม่ลงตัว..สักกะคนเดียว
จบตอนที่ 7
ติดตามอ่าน 3 หนุ่มเนื้อทอง ตอนต่อไปพรุ่งนี้ เวลา 9.30 น.