เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 4
กลางดึกคืนนั้น ท่ามกลางผิวน้ำในลำคลองที่เงียบสงบ เมินและทวน ค่อยๆ โผล่หัวขึ้นมาเหนือผิวน้ำ ต่างหันมามองหน้ากันด้วยความแปลกใจ
“ไอ้ทวน”
“ไอ้เมิน”
“แกมาทำอะไรที่นี่”
“แล้วแกล่ะ แกมาทำอะไรที่นี่”
ทั้งสองมองสบสายตากันอย่างงงงัน
ช่วงเวลาเดียวกันนั้น รองเท้าผ้าใบเก่าเปื่อย เหยียบลงบนใบไม้แห้งบังเกิดเสียงดังกรอบแกรบ ย่ำก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆระมัดระวัง
หลิมและเลิศสะพายปืนยาวอยู่หน้าโรงนา ซึ่งเป็นที่เก็บยาบ้า ชะงักเมื่อได้ยินเสียงใบไม้
“เฮ้ย เสียงอะไรวะ” หลิมถามอย่างสงสัย
เลิศเงี่ยหูฟัง
“เสียงเหมือนมีคนเดินอยู่หลังโรงนาว่ะ ไปดูซิ”
“ไป...”
หลิมกับเลิศย่องตามไป เห็นเงาดำๆ ผ่านวูบไป
“เฮ้ย นั่นใครวะ...ตามไปเร็ว”
สองคนวิ่งตามเงาดำออกไป...ทวนกับเมินค่อยๆ โผล่หน้าออกมาจากมุมหลบ มองตามไปด้วยความสงสัย
“ไอ้เงาดำๆ เมื่อกี้นี้แกใช่มั้ยวะ” ทวนกระซิบถาม
เมินส่ายหน้า
“ฮึ เปล่า ไม่ใช่ฉัน หรือว่า...แก”
“ไม่ใช่แก ไม่ใช่ฉัน...”
“เฮ้ย แล้วใครวะ”
ทวนกับเมิน หันมาสบสายตากันด้วยความสงสัย
เงาดำวิ่งหนีลูกปืนของเลิศกับหลิม กระโดดลงไปในน้ำแล้วดำหายไป หลิมกับเลิศวิ่งตามไล่ยิงลงไปในน้ำ
“เฮ้ย หยุดก่อนไอ้เลิศ ดูซิว่าใคร”
“ไม่เห็นมีใครเลย”
“ก็เราวิ่งตามไอ้เงานั่นมันมาติดๆ หรือว่ามันโดนปืนแต่ดูซี น้ำไม่กระเพื่อมเลยว่ะ”
“คนโดนปืนมันต้องโผล่ขึ้นมาสำลักน้ำก่อนซีวะ นี่มันหายไปเลย”
เลิศกับ หลิมกวาดสายตามองไปรอบๆ น้ำในลำคลองเงียบสงบ สองคนหันมาสบสายตากัน
“หรือว่ามันจะเป็น...”
หลิมหน้าตื่นเริ่มหวาดกลัว
+ + + + + + + + + + + +
เมินเดินนำหน้าทวนผ่านป่าช้าเพื่อกลับเพิงพัก ทั้งสองยังสงสัยเรื่องเงาสีดำ ที่พบที่โรงนาของบุญช่วย
“ผี...” ทวนพูดขึ้นก่อน
ทั้งสองชะงักหยุดเดิน เมินเริ่มมีอาการหวาดๆเพราะกลัวผี
“เฮ้ย เป็นไปไม่ได้หรอก ผีเผอที่ไหนกันวะ ผีมีอยู่ในป่าช้าเท่านั้นแหละ ที่โรงนาของเศรษฐีบุญช่วยไม่น่ามี”
“ถ้าไม่ใช่ผี แล้วเงาดำๆ ที่เราเห็นวิ่งผ่านหน้าเราไปมันเป็นอะไรล่ะ ขนาดไอ้เลิศกับไอ้หลิมตามไปติดๆ ยังยิงไม่ทันเลย”
“อาจจะเป็นผี พวกที่มีรัศมีการหลอกนอกป่าช้าก็ได้”
“ฉันว่าแทนที่เราจะมาสงสัยว่ามีผีหรือไม่มี เราน่าจะสงสัยว่าในโรงนาของเศรษฐีบุญช่วยมีอะไร ทำไมต้องคุ้มกันแข็งแรงยังงั้น”
“นั่นน่ะซี แต่แกจะรู้ไปทำไม”
“แล้วแกล่ะ แกอยากรู้มั้ย”
เมินหลบตา อึกอัก
“เอ้อ...ฉัน...”
ทวนมองหน้าเพื่อนอย่างสงสัย
“แกเองก็อยากรู้ใช่มั้ยล่ะ แก...อยากรู้ไปทำไม”
“ฉันอยากรู้ก็เพราะว่า...”
“เพราะ...อะไร”
“เอ้อ...ไม่รู้ก็ได้วะ ฉันก็แค่ว่ายน้ำเล่นไกลไปหน่อย”เมินเฉไฉไป
“ตีหนึ่งยังงี้น่ะนะ”
“ฉันก็จะกลับไปนอนเดี๋ยวนี้ไง”
ทันใดนั้น เสียงหมาหอนดังวิเวกเยือกเย็น ทั้งสองเริ่มหวั่นๆ มองไปรอบๆ
“ฉันว่ารีบกลับไปนอนดีกว่าว่ะ ชักจะมีสัญญานบอกเหตุแล้วว่า ในป่าช้านี่มีผี”
“ไปก่อนละโว้ย...”
เมินออกวิ่งนำหน้าไปเลย ทวนวิ่งตามออกไปทันที โดยไม่เห็นว่า บนต้นไม้มีรองเท้าผ้าใบเปียกน้ำ แกว่งเบาๆอยู่
+ + + + + + + + + + + +
เช้าวันใหม่...
สดและศรีแพร เตรียมข้าวของสัมภาระจัดเสบียงให้ศรีไพร แสนและพรไปไถนา
“เอ้า กระบุงตะกร้า ผ้าโพกหัวเตรียมไปพร้อมหรือยัง สายนักแดดมันร้อนเปรี้ยง เดี๋ยวจะไม่สบายนะเอ็ง” พรเตือนลูกสาว
ศรีไพรยิ้มให้พ่อ
“พ่อ กระหม่อมฉันหนาเพราะฉันเป็นลูกชาวนา พ่อไม่ต้องเตือนฉันหรอก เตือนพี่ศรีแพรดีกว่า สายๆ พี่ศรีแพรต้องออกไปส่งข้าวพวกเรา”
“พูดจาละเถียงคำไม่ตกฟาก เรียนหนังสือเยอะไป เลยไม่รู้ว่าทางไหนไปนรก ทางไหนไปสวรรค์” พรประชดประชัน
สดถอนใจ
“แกก็อย่าเอาแต่บ่นนักเลยตาพร ลูกมันกลับมาช่วยแกทำนาแกก็ได้แรงมันอยากให้มันไปทำงานกรุงเทพฯ ปีๆ เห็นกันอยู่วันเดียววันสงกรานต์หรือยังไง”
“แตะต้องเป็นไม่ได้หรอก ลูกแกน่ะมันลูกเทวดา”
“แกพูดยังงี้ แกหาว่าฉันเป็นชู้กับท่านเทวดาใช่มั้ย”
ศรีไพรรีบเข้าห้ามศึก
“แม่...พ่อจ๋า เช้าๆ ยังงี้อย่าทะเลาะกันเลย รีบออกไปไถนาเถอะ เดี๋ยวฉันกับไอ้แสนจะเอาไอ้ไฉไลเฉิดไปเทียมไถรอไอ้พวกนั้น”
ศรีไพรปลดเชือกควายโดยมีแสนช่วย พรหันไปสั่งศรีแพรด้วยความห่วงใย
“อยู่บ้านปิดประตูลงกลอนให้ดี เวลาเอาข้าวไปส่งที่นาน่ะ อย่าลืมพกปืนไปด้วยนะ มีใครเข้ามาเกาะแกะละก็ ยิงก่อน แล้วค่อยถามมันทีหลังว่ามันมาทำอะไร เข้าใจมั้ย”
“แล้วมันจะทันหรือ พ่อ” แสนถามอย่างสงสัย
“ทันหรือไม่ทัน ต้องยิงไว้ก่อนโว้ย อ้างว่าป้องกันตัว”
ศรีแพรพยักหน้ารับ
“จ้ะ พ่อ”
“ไป...ไปโว้ย”
พรเดินนำหน้าออกไปยังท้องนา ศรีแพรมองตามไปด้วยรอยยิ้มขบขัน
+ + + + + + + + + + + +
กล่ำ ช้อยและชาวนาต่างนั่งจับกลุ่มกันว่างงาน อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ทางออกไปยังท้องนา ขณะเดียวกัน พรสด เดินมาด้วยกัน โดยมีศรีไพรนั่งอยู่บนหลังควายที่แสนจูงมา
สไบซึ่งยืนอยู่กับกลุ่มชาวยา เดินนำหน้าแหว่ง หลิมและเลิศเข้ามาขวางทาง
“นี่ถ้าเชื่อท่านเศรษฐีก็ไม่ต้องเหนื่อยไถนาด้วยควาย ดูซิ...ชาวบ้านพวกนั้นใช้รถไถ ไถนากันเสร็จแล้ว มีเวลามานั่งนินทากัน แสนจะสบาย”
แหว่งยื่นหน้าเข้ามาสอด
“คนนั้นพูดถึงคนนี้ คนนี้พูดถึงคนนั้น หวังดี๊หวังดีต่อกัน ใช่มั้ยคะคุณสไบของบ่าวขา สะ...บ๊าย สะ...บาย”
“สบายยังไง” ศรีไพรถามเสียงเข้ม
สไบยิ้มเยาะ
“ไม่ต้องตากแดด ไม่ต้องอาบเหงื่อ ไม่ต้องเหนื่อย เดี๋ยวพอถึงตอนหว่านก็มีรถมาหว่านให้ มีปุ๋ยเร่งปุ๋ยเคมี มียาฆ่าแมลง ถึงตอนข้าวท่านแก่ก็มีรถเกี่ยวมาบริการ ไม่สบายตอนนี้แล้วจะไปสบายตอนไหน”
“ไปเถอะ อย่ามัวแต่เสียเวลาอิจฉา ความสุขสบายของใครอยู่เลยวะ ไอ้ศรีไพรเดี๋ยวแดดจะร้อน” พรตัดบท
สไบส่งเสียงหัวเราะเยาะ เลิศกับหลิมหัวเราะตาม ศรีไพรมองไปยังกลุ่มของชาวนาที่นั่งจับกลุ่มกันอยู่ ทุกคนมองมายังศรีไพรด้วยแววตาห่างเหินรวมทั้งกล่ำและช้อย ซึ่งศรีไพรเคยช่วยเหลือ ศรีไพรถอนหายใจก่อนที่จะขี่ควายเดินผ่านไป สไบตะโกนไล่หลังอย่างเย้ยหยัน
“เห็นหรือยัง เห็นตัวอย่างคนที่รนหาที่เหนื่อยหรือยัง เชื่อท่านเศรษฐีกับคุณชิงชัยน่ะดีแล้ว จะลำบากไปทำไม ในเมื่อวิธีสบายๆ มี”
“ไฉไลเฉิด หยุด...” ศรีไพรสั่งควายเสียงเข้ม
พรตกใจ
“ไอ้ศรีไพร”
“จ๋า พ่อ”
“พ่อบอกแล้วไง ใครเขาจะสบายให้เขาสบายไป อีกหน่อยเขาก็รู้เองนั่นแหละว่า...มันจะสบายใคร”
“ที่พูดนี่ ประชดท่านเศรษฐีใช่มั้ย ไอ้พวกโง่ โง่เหมือนควายแล้วยังจะชวนชาวบ้านให้โง่ด้วย” สไบหันไปหาชาวบ้าน “ใครอยากจะโง่เหมือนควายบ้าง ยกมือขึ้น”
“ไม่มีเลยค่ะ คุณสไบของบ่าวขา” แหว่งบอก
สไบยิ้มเยาะ
“เห็นมั้ยว่าชาวนาเขาฉลาดขึ้น ใครว่าสารเคมีทำให้สมองชาวนาตื้อ ควายของแกต่างหากล่ะ ที่มันโง่ลงๆ เหมือน...แก...เอ๊ะ หรือว่าใครโง่เหมือนใครนะ”
ศรีไพรโกรธจัด ตะโกนสั่ง
“ไอ้ไฉไลเฉิด ประจำการ...”
ควายทำท่าฟึดฟัดร้องลั่น
“มอๆๆๆ”
ศรีไพรชักเชือกเร่ง ควายไล่ขวิด สไบ หลิมและเลิศ วิ่งหนีออกไป แหว่งร้องลั่นวิ่งตามไป
“ว้าย คุณสไบของบ่าวขา รอด้วยยยยยย”
สดร้องตะโกนสะใจ
“นั่น มันต้องยังงั้น ลูกแม่”
“ขวิดมันเลย พี่ศรีไพร” แสนเชียร์สุดฤทธิ์
“ยายสด...ไอ้แสน” พรปรามเสียงแข็ง
“อุ๋ย...”
สดสลดลง พรทำตาดุ ก่อนมองตามศรีไพรแล้วส่ายหน้าอย่างเอือมระอาในความใจร้อนของศรีไพร
อ่านต่อหน้า 2
เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 4 (ต่อ)
รถยนต์สปอร์ตคันหนึ่ง วิ่งมาบนถนนลูกรังสีแดงจัดของทางเข้าบ้านนาแล้วหยุดกึก ชาริณีลูกสาวของบุญช่วย สวมรองเท้าส้นสูงปรี๊ดก้าวลงมาจากรถ
“เป็นบ้าอะไรอีกล่ะ วิ่งอยู่ดีๆ เครื่องดับ นี่แน่ะ ไอ้รถไม่รักดี...นี่ๆๆๆ นี่แน่ะ”
ชาริณีเตะรถยนต์ด้วยความโกรธ
ขณะเดียวกัน เมิน ทวน ทอก และหมอก เดินเรียงแถวกันร้องเพลงอย่างสนุกสนาน เพื่อไปลงแรงไถนาของศรีไพร
“ฉันต้องทำให้ศรีแพรเปลี่ยนใจมารักฉันให้ได้ ชายแท้พันธุ์ดั้งเดิม มีรหัสพันธุกรรมแข็งแกร่ง ไม่กลายพันธุ์แบบฉัน มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นผู้ดูแลปกป้องศรีแพรได้” ทวนคุยโอ่ เกทับเพื่อน
“แต่ศรีแพรรักฉัน ความรักของศรีแพร ไม่มีวันกลายพันธุ์ ถึงแม้ว่าพันธุกรรมของฉันจะไม่แข็งแรงเหมือนแก แต่ฉันอบอุ่น...น่ารัก...นิสัยดี...มีเวลาให้” เมินเถียงอย่างไม่ยอม
ทอกมองสองคนขำๆ
“พี่จ๋า...พี่ทั้งสองของไอ้ทอกก็หล่อพอฟัดพอเหวี่ยง ฉันนึกไม่ออกจริงๆ ว่าใครจะฟัดกับใคร”
“แต่พี่ไม่ต้องห่วง ถึงพี่คนใดคนหนึ่งจะเป็นฝ่ายแพ้ แต่...พี่ก็ยังมีคนคอยเช็ดน้ำตาให้ด้วย” หมอกทำท่าแม่ไม้มวยไทย “คชสารเสยงา...ท่านี้”
เมิน กับทวนทำหน้าแหยๆ เมื่อนึกถึงท่าแม่ไม้มวยไทยของศรีไพร
“ฉันยกยายมู่ทู่ให้แก” เมินยัดเยียด
ทวนไม่ยอม
“ฉันก็ยกยายมู่ทู่ให้แก”
“พี่ ดูนั่น...”
ทอก สกิดให้เมินและทวนมองไปด้านหน้า เห็นชาริณีเตะรถยนต์ด้วยความโกรธ ทั้งเหนื่อยและร้อน รถดันมาเสียอยู่กลางแสงแดดร้อนเปรี้ยง
“นี่แน่ะ ไอ้รถไม่รักดี มาได้ตั้งนาน พอจะถึงบ้านนา ทำไมแกต้องเสียด้วยแล้วดูซี บ้านนามีแต่ฝุ่นๆๆๆ หัวหูฉันแดงไปหมดแล้ว ทั้งเหม็น ทั้งร้อน ทาง ด่วนก็ไม่มี รถไฟฟ้าก็ไม่ใช้ บ้านน๊อก...บ้านนอก” ชาริณีบ่นอย่างหงุดหงิด
ทั้งสี่หนุ่ม เดินมาถึงก็รีบเข้าไปแสดงความเป็นสุภาพบุรุษ
“มีอะไรให้ช่วยมั้ยครับ” เมินถามอย่างยิ้มแย้ม
ทวนมองชารณีที่กำลังเตะรถอย่างแปลกใจ
“รถมันทำความผิดอะไร ทำไมถึงได้เตะมันยังงั้นล่ะครับ”
“ผิดซี มันทำความผิดโทษฐานที่มันเสีย ฉันขับมันมาจากกรุงเทพฯ จะถึงบ้านอยู่แล้วมันดันดับ ซะนี่” ชาริณีหันไปเตะรถต่อ “...นี่แน่ะ...”
“แม่โว้ย เกิดมาเพิ่งเคยเห็นคนเตะรถ ยังงี้มันน่าให้ขี่ควายนัก” ทอกแดกดัน
ชาริณีหยุดกึกหันมาจ้องหน้าทอก
“แกว่าอะไรนะ”
ทวนส่งยิ้มให้
“น้องชายของผมบอกว่าคุณไม่น่าใช้รถแพงๆ เลยครับ ใช้ควายดีกว่า”
ชาริณีโกรธ เชิดหน้าอย่างหยิ่งผยอง
“แก...แกรู้มั้ยว่าฉันเป็นใคร”
“โธ่ ใครจะไปรู้ล่ะครับว่าใครเป็นใคร” เมินหันไปมองทวนยิ้มเจ้าเล่ห์ “ผมว่าให้พี่ชายของผมคนนี้ช่วยคุณดีกว่า ส่วนผมกับไอ้พวกนี้จะไปไถนาครับ ไปโว้ย พวกเรา”
ทวนหน้าตื่นที่ถูกทิ้ง
“เฮ้ยๆๆๆ เดี๋ยวก่อน...”
เมินยิ้มขำ
“แกอยู่ทำหน้าที่สุภาพบุรุษดีกว่า ฉันจะไปไถนากับควาย”
ทวนแค้นๆ
“แต่แก...แกอบอุ่น...น่ารัก...นิสัยดี...มีเวลาให้ไง...ไอ้เมิน...”
เมิน ทอก หมอกรีบเดินออกไป ทวนขยับจะตามไป ชาริณีรีบเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อน ซ่อมรถเป็นมั้ยนายน่ะ ซ่อมรถให้ฉันหน่อยแล้วฉันจะจ่ายให้อย่างงาม ฉันเป็นลูกสาวของเศรษฐีบุญช่วย ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะไม่มีเงินให้นาย...นาย...ชาวนา”
ทวนชะงัก หันกลับมามองหน้าชาริณี แล้วอุทานออกมาด้วยความแปลกใจ
“คุณน่ะหรือ เป็นลูกสาวของเศรษฐีบุญช่วย”
+ + + + + + + + + + + +
บุญช่วยแผดเสียงใส่โทรศัพท์มือถือด้วยความโกรธ
“อะไรนะ ลูกสาวของผมลาออก...ถูกไล่ออกหรือ...เมื่อไหร่ แล้วทำไม อาจารย์ไม่รีบแจ้งให้ผมทราบ เป็นอาจารย์ผู้ปกครองได้ยังไง นี่คงจะปกครองลูกสาวผมเข้มงวดจนเด็กมันอยู่ไม่ไหวละซี...นี่...อย่ามาหาว่าผมไม่ อบรมลูกนะ ก็หน้าที่อบรมลูก ผมจ้างอาจารย์แล้วไง เป็นครูบาอาจารย์มีหน้าที่ทำอะไร ขายของผ่อนส่งเรอะ ทำไมไม่อบรมสั่งสอนลูกสาวของผมให้ดี...อยากรู้มั้ยว่าผมจะทำยังไง ซื้อมหาวิทยาลัยของคุณแล้วไล่อาจารย์ออก...ทุกคน”
บุญช่วยกดวางสาย ชิงชัยมองพ่ออย่างสงสัย
“มีอะไร พ่อ”
“น้องสาวของแกน่ะซี ถูกไล่ออกอีกแล้ว”
“ปีนี้ ออกมาหกหรือเจ็ดมหาวิทยาลัยแล้วนะคะ พี่ขา” สไบสอดขึ้น
“ออกแล้วเป็นยังไง ก็หาที่เรียนใหม่ ก็แค่นั้น” ชิงชัยพูดอย่างไม่แคร์
บุญช่วยกังวลใจ
“มันไม่ยังงั้นน่ะซี มันออกแล้วหายตัวไปเลย”
ชิงชัยตกใจ
“หายตัว”
“ฮึ คงไม่ไปไหนไกลหรอก เด็กยังแบมือขอเงินพ่อแม่ใช้ มันจะไปไหนรอด เดี๋ยวก็ซมซานกลับบ้าน” สไบ น้ำเสียง แววตาชิงชังชาริณี
“แล้วตอนนี้มันอยู่ไหนล่ะ อาจารย์เขาบอกว่าถูกไล่ออกเกือบอาทิตย์นึงแล้ว ถ้าชาริณีไม่กลับบ้านนา มัน...ไปไหน”บุญช่วยถอนใจเป็นห่วงลูกสาว
+ + + + + + + + + + + +
ทวนนอนอยู่ใต้ท้องรถ พยายามซ่อมรถ ชาริณีนั่งไขว่ห้าง กางร่มอยู่บนฝากระโปรงหน้ารถ ส่งเสียงวางอำนาจ
“นี่ เสร็จหรือยังนายชาวนา ฉันร้อนนะ แล้วดูซีบ้านนามีแต่ฝุ่น ซุปเปอร์มาเก็ตก็ไม่มี คอฟฟี่เฮ้าส์ก็ไม่มี ร้านเบเกอรี่ก็ไม่มี ผิวฉันยิ่งแพ้แดดอยู่ด้วย”
ทวนเซ็งๆ
“เร็วไม่ได้หรอกคุณ ผมเป็นเครื่องยนต์ซะที่ไหนล่ะ กำลังหาสาเหตุอยู่นี่”
“ปั๊มน้ำมันก็ไม่เห็น อู่ซ่อมรถมีหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไม่รู้ฉันคิดผิดหรือคิดถูกนะ ที่กลับมาบ้านนา เมืองอื่นเจริญรุ่งเรืองไปถึงไหนต่อไหนแล้ว แต่บ้านนาก็ยัง เป็นบ้านนอก”
ขณะเดียวกันนั้น ศรีไพรเดินเข้ามา เนื้อตัวมอมแมมไปด้วยโคลน มีผ้าขาวม้าโพกศีรษะ
“ทำอะไรกัน”
ชาริณีมองศรีไพรหัวจรดเท้าอย่างเหยียดๆ
“ที่ถามนี่แค่อยากรู้ หรืออยากจะช่วย ถ้าแค่อยากรู้ก็ไปข้างหน้าฉันไม่มีอารมณ์จะตอบ รู้ยังงี้ให้คนไปตามบริวารของพ่อฉันท่านเศรษฐีบุญช่วยมาลากรถไปเข้าอู่เสียก็ดีหรอก”
“เศรษฐีบุญช่วยหรือ”
ศรีไพรอุทานด้วยความแปลกใจ มองชาริณี ทวนดีใจเมื่อเห็นศรีไพรรีบออกจากใต้ท้องรถ
“ศรีไพร เอ้อ...ผมมัวแต่ช่วยคุณคนนี้ซ่อมรถ ก็เลย...ไม่ได้ไปไถนา ศรีแพรมาส่งข้าวหรือยัง”
“ยัง ฉันเห็นนายหายไปเลยออกมาดู รถเป็นอะไร”
ชาริณีมองหยัน
“ตอบแล้วจะรู้เรื่องมั้ย”
ศรีไพรเข้ามาชะโงกมองไปที่แผงหน้าปัดหน้ารถ หันไปตอบชาริณี
“รถคุณน้ำมันหมด”
ชาริณีแปลกใจ
“อะไรนะ รถฉันน้ำมันหมดเหรอ”
ทวนเข้าไปดูอีกคน
“จริงด้วย ผมลืมดูเกจ์น้ำมันน่ะ รถน้ำมันหมดจริงๆ ด้วย”
ศรีไพรยิ้มหยัน
“รถมันแพ้ควายตรงนี้แหละ ตรงที่มันต้องใช้น้ำมัน แต่ควายไม่ต้องใช้” ศรีไพรหันไปสั่งทวน “เดี๋ยวนายไปเอาน้ำมันที่ร้านเจ๊กตงมาเติมรถให้คุณคนนี้นะ แล้วรีบกลับไปไถนา...ด่วน”
ศรีไพรเดินออกไป ชาริณีมองตามไปด้วยความไม่พอใจ
“ใครน่ะ ท่าทางยะโสโอหัง ซ้ำหน้าตาก็ขี้ริ้วขี้เหร่ สงสัยจะเป็นพวกลูกชาวนา”
ชาริณียิ้มเยาะ ดูถูกดูหมิ่นศรีไพร
+ + + + + + + + + + + +
เมินไถนากับควาย ส่งเสียงร้องเพลงจีบศรีแพร เมื่อเห็นศรีแพรเดินคอนกระจาดใส่ข้าวกลางวันมาตามคันนา พร สดและแสนกำลังขุดแต่งคันนาอยู่อีกฟากหนึ่ง เมินถือโอกาสเข้าไปร้องเพลงเกี้ยวศรีแพรใกล้ๆ พอร้องเพลงจบก็จะยื่นหน้าเข้าไปจูบ ศรีแพรหลบ ศรีไพรก้าวออกมาจากหลังต้นไม้ ต่อยเปรี้ยงเข้าที่ใบหน้าของเมินหงายหลังก้นจ้ำเบ้ากับโคลน
“จำไว้ ห้ามแตะต้องพี่สาวของฉัน ใครก็ตามที่จะแต่งงานกับพี่สาวของฉันได้ต้องไถ หว่าน เก็บเกี่ยว นวด สี แล้วก็...เก็บข้าวท่านขึ้นยุ้ง”
เมินหน้าจ๋อย
“โห ครบทุกขั้นตอนเลยหรือครับคุณมู่ทู่”
“จะมู่ทู่หรือมู่มี่ เชิญเรียกได้ตามใจชอบ แต่ห้ามไม่ให้แตะต้องพี่ศรีแพรอีก ไม่ยังงั้น...เลือกเอา คชสารหักงา บาทาพิโรธ หรือว่า...โอษฐ์อ้อนหัตถา”
หมอกมองศรีไพรอย่างไม่เข้าใจ
“โอษฐ์อ้อนหัตถา เอ๊ะ...แม่ไม้มวยไทยท่านี้เป็นยังไง ไม่เคยได้ยินว่ะ”
ศรีไพรยิ้มๆ
“อยากจะสัมผัสด้วยตัวเองมั้ย”
“เอาเลย ไอ้หมอก ไม่ยังงั้นไม่สำนึก” ทอกยุ
หมอกสั่นหน้าด้วยความหวั่นกลัว
“ไม่เอาโว้ยข้าไม่เสี่ยง มันต้องมาเต็มๆแน่ ไอ้ท่าโอษฐ์อ้อนหัตถานี่น่ะ”
“แหง ไปเต็ม...”
ศรีไพรทำท่าไขว้มือเป็นรูปตัวเอ็กซ์ เป็นท่ามวยไทยที่คิดขึ้นมาเอง โดยใช้สันมือทั้งสองข้างเป็นอาวุธสับใส่ใบหน้าคู่ต่อสู้ แล้วทำหน้าแยกเขี้ยวดุเหมือนยักษ์ เมิน ทอก หมอกกรูเข้าหากัน ต่างกอดกันแน่นด้วยความหวั่นกลัว
+ + + + + + + + + + + +
ทวนเติมน้ำมันใส่รถยนต์ให้ ชาริณีขึ้นไปสตาร์ท เครื่องติด
“ติดแล้ว โธ่เอ๊ย...น้ำมันหมดก็ไม่บอกไอ้รถบ้า”
ชาริณีหันตวาดทวนที่ยืนขวางรถอยู่
“ถอยไป...”
ทวนหน้าเหวอ
“อ้าว คุณ แล้วค่าน้ำมันนี่ล่ะ ผมอุตส่าห์ไปตึ๊งมาจากร้านเจ๊กตงนะ”
“ใครใช้ให้นายยุ่งเองล่ะ จะอวดว่าเป็นสุภาพบุรุษฉันก็ให้โอกาสนายทำหน้าที่สุภาพบุรุษแล้วไง ฉันไม่คิดเงินด้วยน่ะดีเท่าไหร่แล้ว จะถอยหรือไม่ถอย...ไม่ถอยงั้นฉันชนนะ”
ชาริณีขับรถยนต์พุ่งเข้าใส่ ทวนกระโดดหนี
“นี่น่ะหรือลูกสาวเศรษฐีบุญช่วย นิสัยเหมือนกันทั้งโคตรเลยแฮะ”
ทวนสำลักฝุ่นมองตามรถยนต์ของชาริณีไปอย่างโมโห
+ + + + + + + + + + +
เมิน ทอก หมอก นั่งล้อมวงกันกินข้าวกลางวันอยู่ที่ใต้ต้นไม้ มองไปยังศรีแพรซึ่งกำลังจัดปิ่นโตให้พร สดและแสนอยู่อีกวงหนึ่ง พรส่งสายตาดุๆ มายังเมินเพราะความหวงลูกสาว
“เฮ้ย จะกินข้าวก็กินเข้าไป กับมีไม่ต้องมองลูกสาวข้าแกล้มข้าวหรอก”
“โธ่...พ่อจ๋า พี่เมินเขาแค่มอง ไม่สึกหรอกจ้ะ” ทอกแย้ง
“ไม่สึกก็ไม่ได้โว้ย ข้าถือ จะกินหรือไม่กิน ไม่กินจะได้ให้ไอ้แสนมันเอาไปเททิ้ง”
“กินจ้ะพ่อ โธ่ๆๆๆ” หมอกรีบบอกแล้วบ่นเบาๆ “หวงจริงๆ ให้ดิ้นตาย”
ทวนเดินผิวปากมายังท้องนาด้วยท่าทีรื่นเริง หลังเติมน้ำมันรถยนต์ให้ชาริณีเรียบร้อนแล้ว ศรีไพรยืนดักอยู่ใต้ต้นไม้ ขณะที่คนอื่นๆ นั่งล้อมวงกันกินข้าวกลางวันอยู่
“ลูกสาวเศรษฐีบุญช่วยกลับมาบ้านนาคราวนี้ พวกสุนัขเดือนห้าทั้งหลายคงไปส่งเสียงเห่าเสียงหอนกันที่นั่น รั้วไม้มะขามเทศบ้านฉันจะได้สงบสันติเสียที”
ทวนเหล่มอง
“พูดเหมือนเสียดายสุนัขทั้งฝูงเลยนะ ก็ถ้าจะมีสุนัขพันธ์แท้ไปเดินเลาะรั้วแกรกๆ ศรีไพรจะกรุณา...”
“ฉันจะสงเคราะห์เอาน้ำมาสาดให้ ไป...ไปทำงานได้แล้ว”
“แต่ผมยังไม่ได้กินข้าวเลยนะ”
“ยังไม่ได้ทำงาน จะกินข้าวได้ยังไง”
“แต่ไอ้พวกนั้น...”
“เขาทำงานกันมาตั้งครึ่งค่อนวัน นายเพิ่งมาถึงก็จะกิน ไม่เอาเปรียบคนอื่นไปหน่อยหรือ ไป...ไปไถนา”
ศรีไพรผละออกไป ทวนมองตาม หน้าเข่นเขี้ยว เกาศีรษะ คำรามอยู่ในลำคอ
“ฮึ รู้ยังงี้กลับไปกินข้าวก้นบาตรหลวงตาดีกว่า ผู้หญิงอะไร้...เหี้ยม...โหด...อำมหิต...มิน่าถึงได้ขึ้นคานค้างปีไม่มีใครมาจีบ ฮึ ยายมู่ทู่”
อ่านต่อหน้า 3-4
วันเสาร์ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2554
เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 4 (ต่อ)
ชาริณีเดินดูรอบๆ บ้าน ตอนเช้าวันนั้น เห็นสไบยืนคุมให้หลิมและเลิศช่วยกันย้ายโอ่ง ท่าทีของสไบวางอำนาจ ชาริณีหยุดมองอยู่ไกลๆ แล้วเดินเข้าไปหา สไบทำท่าปั้นปึ่งใส่ แหว่งพลอยปั้นปึ่งไปด้วย เพราะตั้งตัวเป็นพวกของสไบ
ชาริณีมองสไบอย่างเหยียดๆ
“ถูกยกฐานะขึ้นมาเป็นนางบำเรอตั้งแต่เมื่อไหร่ นังสไบ เมื่อก่อนนี้แม่ฉันเอาแกมาเป็นคนใช้ไม่ใช่หรือ”
สไบยิ้มหยัน
“ก็ตั้งแต่แม่คุณตาย ฉันเข้าไปบีบๆ นวดๆ พ่อคุณ ท่านเศรษฐีก็เลยตอบสนองความพยายามของฉันด้วยการเลื่อนฐานะฉันจากคนใช้ ขึ้นมาเป็นเมีย...” สไบย้ำคำ “เมีย...ไม่ใช่นางบำเรอ”
ชาริณีโมโห
“เมียหรือ นั่นน่ะมันตำแหน่งของแม่ฉันนะ”
“แม่คุณตายไปแล้วไม่ได้เอาตำแหน่งเมียท่านเศรษฐีไปด้วยนี่ ตำแหน่งนี้ก็เลยตกทอดถึงคนรู้ใจของท่านเศรษฐี” สไบเยาะเย้ย
ชาริณีโกรธ
“แก...”
“ตอนนี้ฉันทำหน้าที่ดูแลบ้าน กับดูแลทรัพย์สินของท่านเศรษฐี จะมานั่งๆ นอนๆ ใช้เงินเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้นะ เงินทองหายากขึ้นทุกวัน ใช้เงินต้องนึกถึงคนหาบ้าง”
“นังสไบ”
ชาริณีเงื้อมือขึ้นจะตบหน้า แต่สไบคว้ามือไว้
“เดี๋ยวนี้ฉันไม่ใช่คนรับใช้ ที่คุณจะสับโขกฉันได้เหมือนเมื่อก่อนนะ แต่ฉันเป็นเมียท่านเศรษฐี มีฐานะเป็นแม่เลี้ยงของคุณ หัดเคารพนับถือคนอื่นให้เป็นนะ”
“วุ้ย แร๊งแรง คุณสไบของบ่าวขา”แหว่งเสริม
“นังสไบ”
“ไป ไอ้หลิม ไอ้เลิศ เอารถออก ฉันจะไปตลาด”
สไบเชิดหน้าออกคำสั่ง หลิมกับเลิศค้อมตัวลงเมื่อเดินผ่านหน้าชาริณี ท่าทีทั้งสองหวั่นกลัวทั้งชาริณี และสไบ แหว่งเชิดหน้าเดินตามสไบไป ชาริณีมองตามไปด้วยความโกรธ แผดเสียงดังลั่น
“นังสไบ...อี...ขี้ข้า...”
+ + + + + + + + + +
ศรีไพรกับแสนอยู่บนต้นสะเดา โยนลูกและใบสะเดาลงมาจากต้น ขณะเดียวกัน ทวนเดินผิวปาก เสยผมทำหล่อเพราะจะไปบ้านของศรีแพร ทวนพยายามฝึกพูดปรับสุ้มเสียงให้หล่อ มีเสน่ห์ เพื่อเอาชนะใจศรีแพร
“สวัสดีครับศรีแพร...ฮะแอ้ม...ไม่ได้ เสียงโทนนี้ยังไม่นิ่ม สวัสดีครับ อ้า...วันนี้น้องสาวของศรีแพรยายมู่ทู่อยู่หรือปล่าครับ อ้า...ไม่อยู่ ท้องเสีย โจ๊กๆๆๆ ไปนอนโรงพยาบาล คาดว่าอาการหนักเป็นตายเท่ากัน อ้า...ไม่เป็นไรครับ ในฐานะสุภาพบุรุษ ผมจะไปจองศาลาให้”
ศรีไพรและแสนฟังอยู่บนต้นสะเดา ต่างมองหน้ากัน ศรีไพรนึกได้เด็ดรังมดแดงโยนลงมา
“เฮ้ย อะไรวะ มดแดง...ใครเอารังมดแดงโยนลงมา” ทวนร้องลั่นอย่างตกใจ
ศรีไพรยิ้มเยาะ
“ฉันเอง...”
ทวนเงยหน้ามองไปบนต้นสะเดา
“ยายมู่ทู่ ขึ้นไปทำอะไรบนต้นสะเดา”
“ขึ้นมาเก็บลูกสะเดาแก่เอาไปทำยาฆ่าแมลง” แสนตะโกนลงมา
ศรีไพรกับแสน กระโดดลงมา
“มาก็ดีแล้ว ขนสะเดานี่ไปใส่เกวียน ทำงานให้หนักเข้าไว้จะได้ละลายไขมันส่วนเกิน คนมีไขมันในสมองเยอะ คิดเป็นแต่เรื่องสกปรก”
“แต่นี่ไม่ใช่เวลาไถนานะ ข้อตกลงของเราจำกัดแค่ในท้องนา...เท่านั้น”
“รักจะเป็นชาวนา ข้อจำกัดในเรื่องความขยันต้องไม่มี อยากเป็นพี่เขยฉันใช่มั้ย”
“ใคร...ไม่อยากเป็น”
แสนมองหน้าทวน
“ถ้าอยากเป็นก็ต้องทำตามคำสั่งของพี่ศรีไพรเขา ขนสะเดานี่ไปใส่เกวียน พี่ศรีไพรจะเอาไปทำยาฆ่าแมลง”
“เอ๊ะ สะเดาแก่พวกนี้ เอาไปทำยาฆ่าแมลงได้ด้วยหรือ”ทวนขมวดคิ้วสงสัย
+ + + + + + + + + + + +
ศรีไพรและแสน ช่วยกับตำลูกสะเดาก่อนเทใส่โอ่งใบใหญ่ แล้วใส่กากน้ำตาล และใบสะเดาแก่ที่สับทั้งกิ่ง ตามลงไป
“เราต้องเตรียมการหมักสะเดาไว้ในกากน้ำตาลกับหัวเชื้อ มันมีคุณสมบัติเร่งให้ย่อยสลายเร็ว นี่เป็นวิธีการทำปุ๋ยชีวภาพที่มีฤทธิ์ฆ่าแมลงได้ อาจจะไม่ทั้งหมดถ้าเทียบกับยาฆ่าแมลง แต่มันดีต่อสุขภาพกับสิ่งแวดล้อมของชาวนา สารสะเดาพวกนี้มีฤทธ์ฆ่าแมลงศัตรูพืชได้” ศรีไพรอธิบาย
“มีวิธีธรรมชาติแบบนี้ ทำไมต้องเสียเงินซื้อสารเคมีให้เสียค่าใช้จ่าย” ทวนถามอย่างสงสัย
“วิธีนั้นมันเร็ว มันได้ผลทันตาเห็น แต่มันก็ทำร้ายดินทำร้ายวงจรชีวิตสัตว์”
ทวน นิ่งไปนิดก่อนจะเลียบๆเคียงๆถาม
“เอ้อ แล้ววันนี้ศรีแพรไม่อยู่หรือครับ”
ศรีไพรชะงัก
“นายถามทำไม”
“เอ้อ คือว่า...ถ้าเราช่วยกันหลายๆ คน ผมหมายถึง...ถ้าศรีแพรลงมาช่วยทำสารสะเดานี่ด้วย งานก็คงจะเสร็จเร็ว”
“ถ้านายเร่งมือ ไม่เอาแต่สงสัยนั่นสงสัยนี่ ป่านนี้เสร็จไปแล้ว”
“โธ่ มู่ทู่ ก็ไหนว่าชาวนาต้องร่วมมือร่วมแรงกัน ถึงจะสู้กับอิทธิพลของเศรษฐีบุญช่วยได้ยังไงล่ะ ใจคอจะใช้แรงงานอย่างเดียว ไม่ใช้แรงใจช่วยเลยหรือยังไง”
ศรีไพรจ้องหน้า
“ฉันรู้นะ...ว่าที่นายช่วยฉันทำสารสะเดานี่ เพราะนายอยากจะพบพี่สาวฉัน”
“ไม่ได้เห็นหน้า เห็นหลังคาบ้านก็ยังดี น่า นะ”
“ไม่ได้”
“อ้าว...แล้วกัน”
“พี่ศรีแพรไม่อยู่หรอก ไปรดน้ำผัก” แสนโพล่งขึ้น
ศรีไพรรีบกระโดดปิดปากแสนแต่ไม่ทัน
“อ้าว เฮ้ย ไปบอกเขาทำไมว่าพี่ศรีแพรอยู่ในสวนผัก อุ๊บ...” ศรีไพรนึกได้ว่าหลุดรีบปิดปากตัวเอง “ว้า...”
“ศรีแพรอยู่ในสวนผัก...”ดวงตาของทวนเริงโรจน์ขึ้นด้วยความดีใจ
+ + + + + + + + + + + +
เมินคลานนำหน้าทอก ด้อมๆ มองๆ เพื่อแอบดูศรีแพรซึ่งกำลังเก็บผักใส่ตะกร้า ทวนคลานนำหน้าหมอกมาอีกทางหนึ่งชนเข้ากับเมิน ทั้งสองมองหน้ากันอย่างตกใจ
“แกรู้ได้ยังไงว่าศรีแพรอยู่ในสวนผัก” เมินถามอย่างสงสัย
“ฉันรู้ก็แล้วกันน่า แกคิดจะจีบศรีแพร โดยไม่ชวนเพื่อน ยังงี้มันเอาเปรียบกันนี่หว่า”
“อย่ามัวทะเลาะกันอยู่เลย เดี๋ยวแม่ศรีแพรเก็บผักเสร็จเลยไม่ต้องวางหาบขนมจีบกัน” ทอกเตือน
“ใครดี คนนั้นได้ ของยังงี้มันอยู่ที่ฝีปากล้วนๆ โบราณว่าคารมเป็นต่อ รูปหล่อเป็นรอง พี่ทวน...ใช้คารมอันคมกริบ” หมอกเชียร์ทวนออกหน้าออกตา
“คมเท่าดาบเล่มนี้มั้ย”
ศรีไพรก้าวเข้ามาพร้อมดาบยาวในมือ ทุกคนต่างร้องขึ้นพร้อมๆ กันด้วยความตื่นตระหนก
“เหวอๆๆๆ”
ศรีไพรชูดาบ
“หรือว่าใครอยากจะพิสูจน์ความคมของไอ้นี่”
สี่หนุ่มถอยกรูดด้วยความหวาดกลัว
“ยังอีก...ยังไม่ไปอีกแน่ะ เผลอไม่ได้เลยไอ้พวกเจ้าชู้ไก่แจ้นี่ มาทางไหนกลับไปทางนั้นเลยนะ ไม่ยังงั้น...สับเละ”
ศรีไพรใช้ดาบไล่ฟันเมิน ทวนและพวก วิ่งหนีเตลิดออกไป
+ + + + + + + + + + + +
ชาริณีเกรี้ยวกราดใส่บุญช่วย ที่บุญช่วยยกย่องสไบเป็นเมียออกหน้าออกตา
“พ่อ ทำไมพ่อทำยังงี้ล่ะ แม่ตายได้ไม่ถึงครึ่งปี พ่อมีเมียใหม่ ซ้ำยังเอาขี้ข้าขึ้นมานั่งแท่นเมีย”
“ไม่ใช่เรื่องของแก หน้าที่ของแกคือเรียนหนังสือ นี่มันเป็นแค่ความสุขเล็กๆน้อยๆ ของพ่อ” บุญช่วยพูดเสียงแข็ง
สไบเมินหน้าไปยิ้มเยาะชาริณี ชิงชัยพยามเข้าไปปรามน้อง
“พี่ว่า...”
ชาริณีจ้องหน้าพี่ชาย
“พี่ชิงชัยไม่ต้องพูด นี่เป็นเรื่องของฉันกับพ่อ นังสไบมันเป็นแค่ผู้หญิงที่พ่อแม่มันเอามาขัดดอกใช้หนี้ แต่ตอนนี้มันขึ้นมานั่งท้าวแขนเป็นเมียของพ่อ พี่จะให้ฉันคิดยังไง”
ชิงชัยถอนใจ
“แม่ก็ตายไปแล้ว ทรัพย์สินสมบัติยังอยู่ครบ ให้พ่อแกหาความสุขบ้างไม่ได้หรือไง ยังไงพ่อกับพี่ชายของแกก็เป็นผู้ชายนะ แล้วไอ้บ้านนานี่ค่ำลงก็มืด จะให้ผู้ชายทำอะไรล่ะ”
“พี่ชิงชัยพูดเหมือนเข้าข้างนังนี่”
บุญช่วยยกมือปราม
“เอาละ เลิกทะเลาะกันที เรื่องของพ่อไม่สำคัญหรอก ยังไงพ่อก็เก็บสมบัติไว้ให้ลูกทุกชิ้น ไม่มีใครสำคัญมากไปกว่าลูกของพ่อหรอก”
บุญช่วยเข้ามากอดชาริณีไว้ด้วยความรัก สไบชำเลืองมองมาด้วยแววตาขุ่นเคือง
“ความสุขเล็กๆ น้อยๆ ของพ่อ มันเป็นแค่กำไรชีวิต”
แววตาของสไบวาวโรจน์ขึ้นมา ชาริณีหันไปยิ้มเหยียดใส่สไบ
“ได้ยินมั้ย นังสไบ แกเป็นแค่กำไรชีวิตของพ่อฉัน เพราะฉะนั้น อย่ามาทำยะโสกับฉัน ไม่ยังงั้นแกจะไม่มีแม้แต่ที่ซุกหัวนอน”
สไบนิ่ง ตวัดสายตามองไปยังชาริณีเงียบๆ ดวงตาเปล่งประกายความเกลียดชังอย่างชัดเจน ชาริณีไม่ทันเห็นมัวแต่ยิ้มเย้ยหยัน
อ่านต่อหน้า 4
เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 4 (ต่อ)
แหว่งหุงข้าวด้วยหม้อดินอยู่ในครัว ข้าวของเครื่องใช้ภายในเรือนครัวบ้านบุญช่วยมีแต่หม้อดิน เตาก็เป็นแบบโบราณ ซึ่งบ่งบอกถึงนิสัยที่ขี้เหนียวของบุญช่วยเป็นอย่างดี
สไบก้าวเข้ามาในครัว โยนข้าวของลงกับพื้นแตกกระจายด้วยอารมณ์โกรธ แหว่งสะดุ้งตกใจ
“เป็นอะไรไปคะคุณสไบของบ่าวขา ใครทำให้คุณสไบของบ่าวมีน้ำมะโห”
“จะมีอะไร ก็นังชาริณีลูกสาวท่านเศรษฐีน่ะซี พอกลับมาถึงก็อวดศักดาเดช ทำเป็นวางก้ามว่าข้าใหญ่”
“แน้ๆๆๆ ไม่รู้ซะแล้วว่าไผ๋เป็นไผ๋ ใครนอนใครนั่ง”
“หมั่นไส้ท่านเศรษฐี เห็นไส้ดีกว่าขี้ดีนัก คอยดู...แม่จะกวาดสมบัติให้เรียบเชียว”
“นอกจากกวาดสมบัติแล้ว กวาดไอ้พรรค์อย่างว่า ให้สมกับฉายา นางพระยาเทครัวเลยนะคะ คุณสไบของบ่าวขา”
“นังแหว่ง...” สไบหันไปตวาดเสียงเข้ม
แหว่งสลดลง
“อ้า...”
“รู้ดีเกินหน้าที่แล้วนะเอ็งน่ะ แล้วไม่ต้องมาทำเลียนแบบข้าล่ะ คนอย่างคุณสไบ ไม่ยอมให้ใครมาหยามได้ง่ายๆ หรอก”
สไบเชิดหน้า วางท่าคุณนาย แหว่งยืนอยู่ข้างหลัง พยายามวางท่าเลียนแบบสไบ
“ข้าจะเป็นเศรษฐีนี เจ้าของที่ดินในบ้านนานี่...ให้ได้”
สไบบอกอย่างมุ่งมั่น
+ + + + + + + + + + + +
วันต่อมา...
ท้องนากว้างถูกไถคราดเรียบร้อยแล้ว เมิน ทวน ทอกและหมอก เดินลุยโคลนขึ้นมาจากท้องนาอย่างเหน็ดเหนื่อย เนื้อตัวเปื้อนไปด้วยโคลน
“เออ เสร็จจนได้ นี่ถ้าเราไม่ร่วมแรงร่วมใจกันเห็นทีจะไม่สำเร็จหรอกวะ” พรบอกอย่างภูมิใจ
“ก็เพราะ...”
เมินพูดได้แค่นั้น ทวนพูดแทรกทันที
“ความขยันขันแข็งของผม กับไอ้พวกนี้ครับคุณพ่อ ที่นาร้อยไร่ไถไม่กี่วันก็หว่านได้”
สดมองหนุ่มๆอย่างชื่นชม
“ถึงคราวหว่าน ต้องมาช่วยกันนะ ไอ้ทวน ไอ้เมิน”
เมินยิ้มรับ
“ครับ แม่”
สดมีท่าทีเริ่มชอบเมินและทวน พรส่งเสียงดุ
“ยายสด แกไม่ต้องไปทำเสียงอ่อนเสียงหวานกับมันหรอก ถึงมันจะไถนาเสร็จ ข้าก็ไม่ยอมยกลูกสาวให้มันหรอก”
ศรีไพรเห็นด้วยกับพ่อ
“ใช่ นี่เป็นแค่บททดสอบบทแรก กว่าข้าวท่านจะเป็นข้าวสารให้เราใช้เป็นอาหาร ยังต้องมีอีกหลายขั้นตอน”
ทวนเซ็งเลย
“ว้า...”
เมินหน้าเหวอ
“โธ่ นี่ยังสอบไม่เสร็จอีกหรือ กว่าจะเสร็จนาก็ตายน่ะซี”
“งานหนักไม่เคยทำให้คนตายหรอก คนรุ่นปู่ย่าตายายยังอยู่กันมา ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง” ศรีไพรแย้ง
พรหันไปเห็นใครบางคน กระโดดคว้าปืนยาว ตั้งท่ายิง
“เฮ้ยนั่นใครวะ ใครด้อมๆ มองๆ อยู่ที่นั่น ออกมาเดี๋ยวนี้นะ ไม่ยังงั้น...ตาย”
หลิมโผล่ออกมายกสองมือ หน้าจ๋อยๆ
“ข้าเอง อย่ายิง...”
“ไอ้หลิม...” ทอกอุทาน
ศรีไพรปราดเข้ามาคว้าคอเสื้อของหลิม
“มาทำไม ใครอนุญาตให้เอ็งเข้ามาในที่นาของข้า”
หลิมตื่นกลัว
“เอ้อ...อ้า คือว่า...ท่าน...ท่านเศรษฐีให้มาสอดแนมว่าไถนาด้วยควายไปได้กี่ไร่แล้ว”
“กลับไปบอกเศรษฐีบุญช่วยว่า...ข้า...ไถนาเสร็จแล้ว แล้วไอ้นี่ ข้าฝากไปให้ไอ้ชิงชัยไว้ดูต่างหน้าว่ะ ลูกปืน”
พรไล่ยิง หลิมวิ่งส่ายไปมาหลบลูกปืนหนีสุดชีวิต
+ + + + + + + + + + +
บุญช่วยอุทานด้วยความแปลกใจ ที่พรไถนาด้วยควายสำเร็จ
“ไม่น่าเชื่อ ว่ามันจะไถนาด้วยควายจนเสร็จ นี่มันก็คงจะเตรียมลงหว่านแล้วละซี”
ชิงชัยหันไปถามหลิม
“รู้มั้ย ว่ามันไปเอาข้าวปลูกมาจากไหน”
“ได้ยินมาว่าตาพรเก็บพันธุ์ข้าวปลูกไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว”
บุญช่วยแปลกใจสงสัย
“เก็บพันธุ์ข้าวปลูกเองหรือ ก็พันธุ์ข้าวปลูกส่วนใหญ่ชาวนาต้องซื้อจากเรานี่นา”
ชิงชัยหน้าเครียด
“ตาพรกับไอ้ศรีไพร มันจงใจจะทำให้ชาวบ้านเห็นว่ามันไม่ต้องลงทุนซื้ออะไรเลย ผักก็ปลูกกินเอง หมู ไก่ ปลามันก็เลี้ยงเอง เชื้อเพลิงมันก็หมักขี้ควาย ไม่ต้องซื้อแก๊สใช้”
ชาริณีนั่งฟังอย่างเซ็งๆ
“คุยอะไรกันก็ไม่รู้ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย เบื่อ ฉันจะออกไปเดินเล่น”
สไบมองเหยียด
“เดินให้มันถูกที่ล่ะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน”
ชาริณีจ้องหน้าอย่างเกลียดชัง
“ถ้าฉันต้องการคำแนะนำจะบอก ไม่ต้องมาทำสาระแน ฉันไม่ชอบ”
สไบโกรธจะเล่นงานชาริณี แหว่งรีบห้าม
“ใจเย็นๆ คุณสไบของบ่าวขา ใจเย็นๆ”
ชาริณีสะบัดหน้าออกไป สไบมองตามไปด้วยแววตาแค้นเคือง...ชิงชัยหันไปสั่งลูกน้อง
“ไอ้หลิม ไอ้เลิศ คืนนี้เอ็งเอาของไปส่งที่ท่าน้ำ คนแพจะล่องแพลงมารับไปขึ้นที่กรุงเทพฯ ระวังให้ดีของคราวนี้เป็นแสนๆเม็ด”
“จ้ะ พี่” หลิมรับคำ
บุญช่วยหันมาหาชิงชัย
“เรื่องตาพรกับศรีไพร คอยจับตาดูมันไว้ ให้มันหว่านเสียก่อน รอข้าวออกรวงเมื่อไหร่...” บุญช่วยน้ำเสียงอาฆาตแค้น “ข้าจะเผาให้ราบเป็นหน้ากลอง”
+ + + + + + + + + + +
แสนกับศรีไพร ช่วยกันแบกกระสอบข้าวปลูกออกมากลางลานบ้าน ศรีไพรชะงัก มองไปรอบๆ ก่อนทำหน้ามึนตึง
“มาก็ดีแล้ว มาขนข้าวปลูกนี่ไปแช่น้ำ”
ทวนที่แอบอยู่ก้าวออกมาหน้าตาเบื่อๆ
“อีกแล้ว โธ่ นึกว่าจะรอดแต่เจอเข้าจนได้ รู้ยังงี้นอนผึ่งพุงอยู่ในเพิงท้ายป่าช้ารอผีหลอกดีกว่า”
“ฉันรู้ว่านายมาเลาะริมรั้วแอบดูพี่สาวของฉัน”
แสนยิ้มให้ทวน
“มาได้จังหวะเลยพี่ทวน พี่ศรีไพรเขากำลังต้องการคนแบกข้าวปลูกไปแช่อยู่พอดี”
“แช่ทำไมล่ะ” ทวนถามอย่างไม่เข้าใจ
“นายนี่เสียแรงกินข้าวก้นบาตรมาจนโต ยังไม่รู้วิธีการทำนาอีก จะหว่านก็ต้องเอาข้าวปลูกไปแช่ไว้ก่อน เมล็ดข้าวท่านจะได้งอก หว่านลงไปแล้วท่านจะได้โตเร็วๆ ถึงตอนนั้นเราค่อยถอนกล้าไปดำในนา” ศรีไพรอธิบาย
ทวนถอนหายใจ
“เฮ้อ ไม่น่าเล้ย แล้วนี่จะให้แบกไปไหนล่ะ”
“โน่น ในหนองน้ำโน่น...”
ทวนและแสน ช่วยกับแบกกระสอบข้าวปลูกออกไปด้วยความจำใจ ศรีไพรมองตาม ยิ้มอย่างขบขันที่หาทางกลั่นแกล้งทวนได้
+ + + + + + + + + + + +
ทวนและแสนแบกกระสอบข้าวปลูกมายังหนองน้ำ โดยมีศรีไพรเดินตามมา
“โอย ถ้ารู้ว่าหนองน้ำไกลยังงี้ เอาเกวียนบรรทุกมาดีกว่าไม่เสียแรงดี” ทวนบ่นอุบ
ศรีไพรเบ้หน้าดูถูก
“ผู้ชายสมัยนี้ไม่มีน้ำอดน้ำทนเลยนะ เป็นพวกหยิบโหย่งสำอางค์กันไปหมด กะอีแค่แบกกระสอบข้าวปลูกสองสามกิโลทำเป็นบ่น”
“ก็แน่ละซี มู่ทู่ไม่ได้แบกน้ำหนักกระสอบใบนี้นี่ รู้ยังงี้ไม่หนีไอ้เมินมาตอนที่มันหลับหรอก”
“นายกับเพื่อนของนายนี่ ไม่สมกับที่กินข้าวก้นบาตรพระมาด้วยกันเลยนะ ฉันมีพี่สาวสองคนก็ไปอย่าง ถ้าพวกนายผ่านการทดสอบจะได้ยกให้นายคนละคน แต่นี่ฉัน...”
ศรีไพรยังพูดไม่จบ ทวนรีบขัด
“โอ อย่า...อย่าบังอาจทำตัวเป็นของแถม ไม่รับ”
ศรีไพรชักฉุน
“นายทวน...”
ทวนส่ายหน้า
“รับไม่ได้จริงๆ บอกแล้วไง...ว่าผมไม่ใช่ผู้อำนวยการสวนสัตว์”
“นาย...”
ศรีไพรโกรธง้างหมัดจะชก ทันใดนั้นเสียงชาริณีดังขึ้นก่อนจะก้าวเข้ามา
“นายนี่เอง นายชาวนา จำฉันได้มั้ย ฉันเป็นเจ้าของรถคันที่น้ำมันหมดไง”
ทวนชะงัก
“คุณ...”
“ลูกสาวเศรษฐีบุญช่วย” ศรีไพรอุทาน
ชาริณีมองหน้าศรีไพร
“ใช่ ฉันคลับคล้ายคลับคลาว่าตอนเป็นเด็กน่ะ เราตีกันบ่อยๆ จากนั้นก็ต่างคนต่างหายหน้า”
“หายหน้าไปนาน อะไรๆ ก็คงจะเปลี่ยนไปบ้างนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...นิสัย”
“ทำไมต้องเปลี่ยน พ่อรวยซะอย่างจะต้องเปลี่ยนไปเป็นใครล่ะ” ชาริณีส่งยิ้มหวานให้ทวน “นายชาวนาคน
นี้หล่อนะ ฉันชอบ”
ชาริณีเข้าควงแขน ทวนสะดุ้ง
“เรื่องค่าน้ำมันวันนั้นฉันขอโทษ ไป...ฉันจะไปจ่ายค่าน้ำมันรถให้ ไป...ไปกับฉัน”
ชาริณีลากทวนออกไป แสนมองตามไปอย่างตื่นตระหนก
“นี่น่ะหรือพี่ศรีไพร ลูกสาวเศรษฐีบุญช่วยน่ะ”
“นี่แหละ ลูกสาวของท่านเศรษฐีแห่งบ้านนาละ”
ศรีไพรถอนหายใจหนักๆ เริ่มกังวลว่าชาริณีจะมาสร้างปัญหาให้
+ + + + + + + + + + + +
มหาเฉื่อยนั่งเล่นหมากรุกอยู่กับเจ๊กตง เนี้ยวชงกาแฟอยู่ สักครู่ก็รีบวิ่งออกมาด้วยความดีใจ เมื่อเห็นทวน ชาริณีควงแขนของทวนไว้แน่น มองกิริยาของเนี้ยวด้วยความไม่พอใจ ทวนลำบากใจ
“พี่ทวน วันนี้พี่ทวนมาถึงที่นี่ นั่งก่อนซีจ๊ะพี่ทวนจ๋า” เนี้ยวหันไปสั่งเจ๊กตง “เตี่ย...เตี่ย เปิดน้ำอัดลม
มาให้พี่ทวนขวดนึง พี่ทวนเขามาเหนื่อยๆ เขาจะได้ชื่นใจ”
ทวนรีบหันไปบอกเจ๊กตง
“เอ้อ เจ๊กตงครับ คุณคนนี้จะมาจ่ายค่าน้ำมันวันก่อน”
“ไม่สน...สนแต่พี่ทวนคนเดียว พี่ทวนหิวหรือเปล่า เนี้ยวจะไปอุ่นซาลาเปามาให้พี่ทวนนะ”
ชาริณีไม่พอใจ
“คุณทวนเขากินเป็นคนเดียวหรือยังไง ไม่มีมารยาทเลยนะ เตี่ยมัวทำอะไรอยู่ถึงไม่อบรมลูกสาว”
“ไอ้หย๋า เจ๊กตงงานยุ่ง ค้าขายจนมือไม่ว่าง” เจ๊กตงสะดุ้งเมื่อนึกได้ “หา...เมื่อกี้นี้ลื้อว่าอะไรนะ ลื้อด่า
เจ๊กตง”
“ใช่...คนยืนอยู่นี่อีกคนทำเป็นไม่เห็น เห็นแต่ผู้ชายคนเดียว”
เนี้ยวมองหน้าชาริณีอย่างไม่พอใจ
“เอ๊ะ แม่คนนี้ใครน่ะพี่ทวน เนี้ยวไม่เคยเห็นหน้ามาถึงก็พูดจาเหมือนเป็นเจ้าของพี่ทวน”
ทวนอึกอักพูดไม่ออกบอกไม่ถูก
“เอ้อ คือว่า...”
ชาริณียิ้มเย้ยหยัน
“อย่าว่าแต่คุณทวนเลย คนทั้งบ้านนา ฉันจะยึดมาเป็นของฉันเมื่อไหร่ก็ได้”
“แม่โว้ย ยึดกันเป็นเชลยเลยเรอะ นี่มันหมดสมัยมีศึกสงครามแล้วนะคุณ ไอ้ทวนนี่คุณก็ไม่มีสิทธิ์มายึดมันไว้ในครอบครองซะคนเดียว” มหาเฉื่อยแย้ง
เนี้ยวรีบปราดเข้ามาควงแขนอีกข้างหนึ่งของทวน ยื้อกันไปมา
“ใช่ อาเนี้ยวตีตราจองพี่ทวนไว้ตั้งแต่พี่ทวนเพิ่งจะเป็นหนุ่มแตกพาน”
ชาริณีไม่พอใจ
“ปล่อยคุณทวนของฉันนะ”
“ไม่ปล่อย”
เจ๊กตง มองชาริณีอย่างแปลกใจ
“เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อน อาคุณคนนี้เป็นใคร ทำไมถึงได้มาวางอำนาจยึดไอ้นั่นไอ้นี่ ไม่ยกเว้นแม้แต่คนบ้านนา”
ชาริณีเชิดหน้าเย่อหยิ่ง
“รู้ไว้ซะด้วย ฉันเป็นลูกสาวของเศรษฐีบุญช่วย เจ้าของที่ไร่ที่นาส่วนใหญ่ในบ้านนานี่ ใคร...มีปัญหา”
ทุกคนต่างตื่นตะลึง เมื่อรู้ว่าชาริณีเป็นลูกสาวของบุญช่วย
+ + + + + + + + + + + +
ช่วงที่ทวนไปกับชาริณีนั้น เมินแอบมาหาศรีแพร ค่อยๆโผล่หน้าออกมาจากหลังพุ่มไม้ โดยมีทอกตามมาด้วย เมินส่งเสียงร้องเพลงเบาๆ อยู่ใต้หน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ โดยมีทอกเป็นลูกคู่รับเสียง ทันใด ศรีไพรยกถังน้ำออกมาสาดโครมลงบนศรีษะของเมินและทอก ทั้งสองวิ่งหนีออกไป ศรีไพรตะโกนตามไล่หลัง
“ไป...ไปผุดไปเกิดได้แล้ว แล้วจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้”
ศรีแพรเข้ามามองแล้วตกใจ
“ศรีไพร นั่นมันพี่เมินนี่ ทำไมทำกับพี่เมินยังงั้น”
“ถ้าพี่เมินของพี่เขารักพี่จริง เรื่องแค่นี้เขาทนไม่ได้ จะไปทนลูกปืนได้ยังไง”
ศรีแพรรีบห้าม
“อย่านะ อย่ายิงพี่เมินทิ้งนะ”
“ถ้านายเมินยังทำตัวเป็นพวกแมวโขมยอีกละก็ ไม่แน่” ศรีไพรส่งเสียงคำราม “ฮึ่ม...”
+ + + + + + + + + + + +
ชาริณีเดินขึ้นบันไดด้วยท่าทีรื่นเริง หลังจากไปหาเรื่องที่ร้านเจ๊กตงมาแล้ว สไบเดินสวนทางลงมา โดยมีแหว่งตามมาติดๆ แหว่งตวัดค้อนชาริณี
“ถอยไป...” ชาริณีตวาด
สไบยืนขวางไม่แยแส
“ไม่ถอย”
“แกต้องถอย เพราะยังไงแกก็ยังเป็นขี้ข้าของแม่ฉัน เท่ากับแกเป็นสาวใช้ของฉันด้วย”
“นี่จะให้บอกสักกี่ครั้ง ว่าเดี๋ยวนี้ฉันเป็นแม่เลี้ยงของคุณแล้ว พ่อคุณกับพี่ชายคุณจะพูดถึงฐานะของฉันยังไง แต่ไอ้ตอนที่ท่านเศรษฐีนอนพูดแล้วฉันนอนฟังน่ะ มันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณได้ยิน”
ชาริณีโกรธจนตัวสั่น
“นังสไบ นี่แกกล้าอวดดีกับฉันหรือ”
สไบจ้องหน้าไม่แคร์
“ต้องรู้จักยอมรับฐานะใหม่ๆ ของคนอื่นเสียบ้าง ฉันพัฒนาตัวเองจากสาวใช้ ขึ้นมาเป็นเมียท่านเศรษฐี แล้วคุณล่ะ...จากเด็กใจแตก เรียนที่ไหนก็ไม่จบคบใครก็ไม่มีคนเขาทนนิสัยเลวๆ ของคุณได้ เมื่อก่อนเป็นยังไง เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นยังงั้น”
ชาริณีตบหน้า สไบตบสวน ทั้งสองตบตีกันจนตกไปจากบันไดทั้งสองคน
“เอาเข้าไป ตบเลยค่ะ ตบ จิกผม กัดหู จิ้มลูกตา น่าน...มันต้องยังงั้นค่ะ...คุณสไบของบ่าวขา”แหว่งส่งเสียงเชียร์สนุกสนาน
+ + + + + + + + + + + + +
กลางดึก ซึ่งเป็นคืนที่เดือนมืด หลิมและเลิศนำยาบ้ามาลงเรือพายข้ามฟาก บรรยากาศในคลองยามกลางคืนเงียบสงัด เปลี่ยววังเวงน่ากลัว ทันใดนั้นมีเสียงหมาหอนเยือกเย็นดังขึ้น หลิมชักหวาดๆ
“เฮ้ย ไอ้เลิศ ทำไมหมาถึงได้หอนวะ นี่มันไม่ใช่ป่าช้า หมามันจะหอนทำไม”
“นั่นน่ะซี มันจะหอนทำไม จะว่ามันเห็นผี ผีมันต้องอยู่ในป่าช้าซี มาอยู่ตามลำคลองนี่ทำไม ไป พายเร็วๆ จะได้เอาของไปส่งขึ้นแพตามนัด”
ทันใดนั้นมีมือสองข้างโผล่ขึ้นมา ข้างละด้าน หลิมมองเห็นก็สะดุ้งชี้ให้เลิศดู
“เฮ้ย ไอ้เลิศ ดูนั่น”
เลิศมองอย่างตกใจ
“มือ...มือใครวะ เฮ้ย...มันโยกเรือ หรือ...หรือว่าผี...ผีพรายน้ำ”
มือทั้งสองข้าง ข้างละฝั่งของลำเรือเริ่มโยกเรือจนล่ม
“เฮ้ย โว้ย ผีหลอก...”
หลิมกับเลิศส่งเสียงร้องเอะอะเพราะคิดว่าผีหลอก ว่ายน้ำเข้าฝั่งไป ยาบ้าที่อยู่ในเรือร่วงจมน้ำหายวับไป มือทั้งสองคว้าไม่ทัน สักครู่ ทวนและเมินก็โผล่ขึ้นมาจากน้ำ ต่างตะลึงเมื่อเผชิญหน้ากัน
“แก...”
ทวนมองเมินอย่างแปลกใจ
“แก...อีกแล้ว...หรือ...”
ทั้งสองต่างมองหน้ากันและกัน
โปรดติดตามตอนต่อไป วันพรุ่งนี้
วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2554