สามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 23 อวสาน
เกียวเลือดขึ้นหน้าหันกระบอกปืนมาหาอรุณศรีกะจะยิงให้ตายทั้งสองคน อรุณศรียังสะลึมสะลืออยู่อย่างนั้น เกียวกำลังจะเหนี่ยวไก
ทันใดนั้นกริชชัยก็พุ่งเข้าประกบตัวเกียวอย่างแรง ปืนในมือเกียวกระเด็นไป ธีธัชรีบวิ่งเข้าไปเก็บปืน วัชระรีบเข้ามาช่วยกริชชัยรวบตัวเกียวไว้
“ปล่อยฉัน ปล่อย ฉันบอกให้ปล่อย พวกแกเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรมาจับฉัน”
“ฉันดูแลทางนี้เอง”
กริชชัยปล่อยเกียวให้วัชระ วัชระพยายามจะลากตัวเกียวออกไป
“ปล่อยฉัน ปล่อย ฉันบอกให้ปล่อย ปรานต์ ปรานต์ ทำไมปรานต์ทำกับพี่แบบนี้..ทำไม...ทำมาย” เกียวเสียงลั่นและร้องไห้อย่างเสียสติ
กริชชัยรีบพุ่งไปหาอรุณศรี ในขณะที่ธีธัชเดินมาดูปรานต์ที่นอนอยู่ข้างๆเตียง
“อรุณศรี อรุณศรี อรุณศรี”
อรุณศรีสะลึมสะลือมึนๆ กริชชัยจับหน้า และจับศรีษะถึงได้เห็นว่ามีเลือดไหลซึมๆออกมา
กริชชัยหันมาทางธีธัชที่นั่งอยู่ข้างๆ เตียง ติดกับร่างของปรานต์
“ฉันรีบพาอรุณศรีไปโรงพยาบาลก่อน”
“เออ เรียกรถเก็บศพมาด้วยก็ดี”
กริชชัยตกใจ..เหลือบไปเห็นปรานต์นอนอยู่ ธีธัชส่ายหน้า
“คาที่ว่ะ”
ธีธัชค่อยๆลุกขึ้น และเดินออกไป กริชชัยลุกจากเตียงมายืนข้างๆปรานต์และค่อยๆทรุดตัวลงนั่งและเอื้อมมือมาปิดตาที่เบิกโพลง ก่อนจะลุกขึ้นและอุ้มอรุณศรีเดินออกไป
ปรานต์นอนแน่นิ่ง..จบสิ้นแล้วซึ่งความโลภและความริษยาทั้งปวง
อรุณศรีนอนหลับอยู่บนเตียงในห้องพักคนไข้ของโรงพยาบาล อรุณศรีค่อยๆ ตาลืมขึ้น มองเห็นสุพรรณิการ์และกริชชัยที่ยืนอยู่ข้างเตียง อรุณศรียันตัวขึ้นมองด้วยความงุนงง กริชชัยรีบปรับเบาะให้สูงมารองรับหลังอรุณศรี
“เกิดอะไรขึ้น..มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
สุพรรณิการ์กับกริชชัยมมองหน้ากัน สุพรรณิการ์พยักหน้าเป็นทำนองว่าจะเป็นคนเล่าเอง กริชชัยหันมาทางอรุณศรี
“คุณฝ้ายจะเล่าทุกอย่างให้คุณฟัง ผมขอตัวไปบอกคุณหมอว่าคุณรู้สึกตัวแล้ว”
กริชชัยเดินออกไป อรุณศรีหันมาทางสุพรรณิการ์ด้วยความงุนงง
“ฝ้าย...มันเกิดอะไรขึ้น”
สุพรรณิการ์เริ่มต้นเล่าเรื่องให้อรุณศรีฟังจนถึงเหตุการณ์สุดท้าย ปากของสุพรรณิการ์ขยับ แต่ไม่มีเสียง
“ปรานต์ตายแล้ว”
อรุณศรีช็อก อึ้ง พูดไม่ออก ก่อนจะค่อยๆ ถอนหายใจออกมาเบาๆ
บริเวณเมรุเผาศพภายในวัดแห่งนั้น อรุณศรี สุพรรณิการ์ กริชชัย และโอบบุญยืนอยู่ที่หน้าเมรุ มีรูปปรานต์วางอยู่ ทุกคนอยู่ในอาการสงบ อรุณศรีเป็นคนแรกทีเดินไปวางดอกไม้จันทน์
“ไปดีนะปรานต์ .. เราไม่มีอะไรติดค้างกัน แอ๊วอโหสิกรรมให้ทุกอย่าง”
สุพรรณิการ์เดินมาเป็นคนที่สอง
“สี่แสนของฉัน..ฉันยกให้”
ปิดท้ายด้วยโอบบุญ และกริชชัย ทั้งสองคนไม่พูดอะไร ได้แต่มองอย่างสงบ สำรวม และโล่งใจ
เจ้าหน้าที่ปิดที่วางดอกไม้จันทน์และเผาอย่างรวดเร็ว เรียบง่าย ควันลอยพวยพุ่งจากกล่องเมรุออกมาอย่างช้าๆ...เป็นการจากลาที่เงียบงัน ....
หลายวัดถัดมา ที่บริเวณหน้าวัด สุพรรณิการ์ยืนรอที่รถอยู่กับโอบบุญ อรุณศรีเดินคุยมากับกริชชัย
“ตลอดเวลาที่รู้จักกับปรานต์ ฉันไม่เคยรู้เลยว่าจริงๆ เค้าเป็นคนยังไง เค้าพูดอะไรฉันก็เชื่อไปหมด .. แม้แต่วันสุดท้ายที่เค้าบอกว่าจะเอามาคืนฝ้าย ฉันก็ยังเชื่อ ฉันนี่โง่จริงๆ”
“มันเป็นเรื่องธรรมดาครับ .. ง. งู มักจะมาก่อน ฉ.ฉิ่งเสมอ” กริชชัยปลอบใจ
อรุณศรีหยุดเดินและหันมาถามด้วยความสงสัย
“อะไรคะ ง.งูมาก่อน ฉ.ฉิ่ง”
“คนเราก็ต้อง “โง่” มาก่อน แล้วความ “ฉลาด” จะตามมา” กริชชัยตอบยิ้มๆ
“โห..แอบมีมุกกับด้วยนะคะเนี่ย” อรุณศรีหัวเราะขำ
“ก็จำเค้ามาอีกที” กริชชัยขำตาม
“ฮ่าๆ นึกว่าคิดเอง” อรุณศรีหัวเราะเสียงดังกว่าเดิม
โอบบุญมองกริชชัยและอรุณศรีที่กำลังคุยกันอย่างอารมณ์ดีแล้วก็ยิ้มตาม สุพรรณิการ์หันมาโอบบุญ
“ฝ้ายว่า..พี่โอบไม่ต้องห่วงแอ๊วแล้วหล่ะค่ะ .. บอกเรื่องนั้นได้เลย”
โอบบุญพยักหน้านิดๆเห็นด้วย
“พี่ตั้งใจว่า..จะบอกวันพรุ่งนี้”
สุพรรณิการ์พยักหน้ารับ
“ไอ้แอ๊วมันคงรับได้อยู่แล้วค่ะ..ไม่ต้องห่วง”
สุพรรณิการ์พูดด้วยความมั่นใจ
วันต่อมา อรุณศรีกับโอบบุญคุยกันอยู่ในบ้าน อรุณศรีถึงกับขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ
“พี่โอบจะไปญี่ปุ่น”
โอบบุญตอบไปและเริ่มเก็บของเอาหนังสือทำอาหารใส่กล่อง
“ใช่ ร้านสาขาที่ญี่ปุ่นเค้าขาดเชฟอาหารไทย เจ้านายก็เลยส่งพี่ไปประจำสี่ปี”
อรุณศรีตาโต
“สี่ปี แล้วพี่โอบจะไปเมื่อไหร่”
“จันทร์หน้า”
“จันทร์หน้า นี่มันอีกไม่กี่วันเองนะ”
“ใช่”
“ทำไมมันเร็วนักล่ะ แล้วพี่โอบก็ตัดสินใจไปแบบไม่ปรึกษาน้องเนี่ยนะ”
“ก็น้องไม่ใช่แม่นี่เว้ย แล้วน้องก็โตจนจะมี .. สามี ได้แล้ว ฉันก็เลยไม่มีอะไรต้องห่วง”
“อ้าว ทิ้งกันง่ายๆเนี่ยนะ”
“ไม่ได้ทิ้ง แต่ที่ตัดสินใจไปง่ายๆก็เพราะเห็นว่า.. มีคนที่พร้อมจะดูแลน้องสาวได้เป็นอย่างดี ก็เลยคิดว่า..ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง” โอบบุญพูดแล้วยิ้มให้กับอรุณศรี
อรุณศรียังยืนอยู่ที่เดิม..มองดูชั้นหนังสือที่ว่างเปล่า แล้วก็ใจหาย...
“พี่โอบจะไปจริงๆเหรอเนี่ย”
อรุณศรีหน้าจ๋อยๆ
ภายในบ้านเนตรนภัส นรีวรรณอยู่ในชุดราตรีหรู นรีวรรณกึ่งๆ ออกคำสั่ง
“พี่แหนม...ต้องไปกับนุ้ย”
เนตรนภัสยังคงอยู่ในชุดอยู่บ้าน หน้าตาไม่ได้แต่ง
“ปงานผู้ปกครองเนี่ยนะ ไม่เอาอ่ะ พี่ไม่อยากไป”
“แต่พี่แหนมไม่ได้ออกจากบ้านมาเป็นเดือนแล้วนะ อยู่แต่ในบ้านจนตัวจะเหลืองหมดแล้ว”
“แล้วงานเลี้ยงผู้ปกครองมันน่าไปตรงไหน น่าเบื่อจะได้ ทำไมไม่ให้คุณแม่ไป”
สีรุ้งเดินเข้ามาในชุดราตรีหรูอีกเช่นกัน
“แม่ก็ต้องไปงานเลี้ยงรุ่นของสมาคมนักเรียนเก่าอังกฤษ ช่วงต้นปีงานสังคมชุกมาก แม่สลับร่างออกงานแทบไม่ทัน แหนมไปแทนแม่หน่อยแล้วกันนะลูกนะ ไปเป็นเพื่อนน้อง เพื่อนน้องๆ แหนมก็รู้จัก จะได้สนุกกับน้องๆไงลูก”
เนตรนภัสคิดหนัก
“ไปเถอะนะพี่แหนม..นุ้ยควงพี่แหนมไปงานต้องมีแต่คนสนใจแน่ๆ เพราะนุ้ยมีพี่สาวสวย ควงไปด้วย น้องก็ภูมิใจ นะๆพี่แหนมนะ แต่งตัวสวยๆแล้วไปกับนุ้ยนะ”
นรีวรรณออดอ้อนอย่างน่ารัก เนตรนภัสมองแล้วก็ใจอ่อน ยิ้มนิดๆ
“ก็ได้..แต่พี่แต่งตัวนานนะ สองชั่วโมงรอได้หรือเปล่า”
“สบายมาก แต่งให้สวยๆเลยนะ นานแค่ไหนก็รอ”
เนตรนภัสลุกขึ้นพลางยิ้มตอบ
“โอเค ได้เวลาสวยแล้ว”
“เย้ๆ พี่แหนมสู้ๆ”
สีรุ้งมองแล้วก็ยิ้มๆตาม
เนตรนภัสกำลังจะลุกเดินออกไปแต่งตัว ได้หันกลับมาพูดกับนรีวรรณอีกครั้ง
“นุ้ย ขอบใจมากนะ”
เนตรนภัสขอบใจจากใจจริง น้ำตาซึมๆด้วยความซึ้งใจ นรีวรรณยิ้มรับ เนตรนภัสเดินออกไป สีรุ้งเดินมาโอบไหล่นรีวรรณ สีรุ้งยิ้มมีความสุข
ในงานเลี้ยงของโรงเรียนอินเตอร์ จัดขึ้นในห้องประชุมเล็กๆ มีเด็กจับกลุ่มคุยกันอยู่หนึ่งกลุ่ม อีกกลุ่มเป็นผู้ปกครองและครูยืนคุยกันอยู่ เนตรนภัสและนรีวรรณยืนอยู่กลางห้อง เนตรนภัสแต่งตัวสวยเก๋
“พี่แหนมรอตรงนี้แป๊บนะ เดี๋ยวนุ้ยไปสำรวจของกินก่อน”
เนตรนภัสพยักหน้า นรีวรรณรีบเดินไป เนตรนภัสเดินมาที่นั่งที่โต๊ะในมุมหนึ่งที่ค่อนข้างสงบ ไม่วุ่นวาย
เนตรนภัสนั่งมองผู้คนไปรอบๆ หน้าตาเบื่อๆเล็กน้อย สักพัก “มาร์ค” ชาวต่างชาติหน้าตาดี อายุมากกว่าเนตรนภัสบุคลิกดูภูมิฐาน ก็เดินเข้ามาทักทายชวนเนตรนภัสพูดคุย
“เบื่อมั้ยครับ”
เนตรนภัสหันไป แล้วก็ตอบตรงๆ
“นิดหน่อยค่ะ ยังไม่มาก”
“มาเป็นเพื่อนน้องสาวเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ”
“คุณใจดีจัง ทนเบื่อ เพื่อน้องสาว”
“ครั้งแรกในชีวิตเหมือนกันค่ะ เมื่อก่อนเกลียดกันจะตาย ด่ากันทุกวัน ถ้าเป็นเมื่อก่อนชวนให้ตายก็อย่าหวังเลยว่าจะมาเป็นเพื่อน” เนตรนภัสยิ้ม
มาร์คทำหน้าเหวอ เนตรนภัสหันมาเห็นพอดี
“ขอโทษนะคะที่พูดตรงไปหน่อย แค่ไม่อยากสร้างภาพน่ะค่ะ”
มาร์คคิดแล้วจึงยื่นมือมาแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ
“ โอเค๊…ก็ดีครับ ผมชื่อ มาร์ค”
“แหนมค่ะ”
“ผมรู้จัก “แหนม” เปรี้ยวๆ อร่อยดีครับ ผมชอบ”
เนตรนภัสยิ้มรับนิดๆ มาร์คมองเนตรนภัสแล้วก็ตัดสินใจพูดขึ้น
“ถ้ามีโอกาสเราคงจะได้ไปทานอาหารด้วยกันสักครั้ง นี่เป็นเบอร์ส่วนตัวของผมครับ .. ยินดีที่ได้รู้จักครับ” มาร์คพูดแล้วยื่นนามบัตรให้
เนตรนภัสมองนามบัตรแล้วก็รับไว้ด้วยความแปลกใจ
นรีวรรณรีบวิ่งเข้ามาหาเนตรนภัสพร้อมกับแก้วน้ำในมือ
“พี่แหนมๆ...พี่มาร์คเค้ามาคุยกับพี่แหนมเหรอ”
“นุ้ยรู้จักเค้าด้วยเหรอ”
“รู้จักสิ พี่มาร์คดังจะตาย เป็นพี่ชายของเพื่อนนุ้ยเอง ทั้งหล่อ ทั้งรวย แถมยังเก่งอีกต่างหาก สาวๆไฮโซรุมจับตรึม แต่พี่มาร์คไม่ค่อยสนใจ แล้วเมื่อกี้เค้าเข้ามาคุยอะไรกับพี่แหนมมั่ง”
“ก็ให้เบอร์ แล้วก็ชวนไปกินข้าว”
“ถามจริง! แจ๋วอ่ะพี่แหนม พี่มาร์คเค้าไม่เคยทำแบบนี้เลยนะ เพื่อนนุ้ยบอกผู้หญิงมาอ่อยถึงบ้าน ยังไม่สนเลย แสดงว่าเค้าต้องชอบพี่แหนมจริงๆเลยอ่ะ..โทร.เลยๆๆ คนนี้นุ้ยเชียร์”
เนตรนภัสฟังแล้วก็คิด ก้มลงดูนามบัตร แล้วก็ตัดสินใจเดินไปหามาร์ค นรีวรรณยิ้มกว้าง ร้อง “เยส”
มาร์คกำลังคุยกับอาจารย์ในโรงเรียน เนตรนภัสเดินเข้ามาและพูดกับมาร์คอย่างสุภาพ
“ขอโทษนะคะ ขอเวลาสักครู่ได้มั้ยคะ”
มาร์คยิ้มรับ และหันไปขอตัวกับอาจารย์ ก่อนจะหันมาทางเนตรนภัส
เนตรนภัสพูดยิ้มๆตรงๆ
“ฉันขอบคุณที่คุณมีน้ำใจชวนไปทานข้าวด้วยกัน แต่ฉัน คิดว่า..มันจะดีกว่าถ้าคุณเป็นฝ่ายโทร.มาหาเอง ฉันขอคืน และต้องขอโทษด้วยนะคะ” เนตรนภัสพูดพลางคืนนามบัตรให้
“แล้วเบอร์ของคุณคืออะไร”
“ลองใช้ความพยายามหาดูนะคะ ถ้าคุณอยากเจอกับฉันจริงๆ มันคงไม่ยากเกินไปสำหรับคุณ”
เนตรนภัสยิ้มท้าทาย มาร์คยิ้มรับ ชอบใจ
“ได้ครับ..ผมจะลองดู”
“อ้อ..แล้วถ้าเราได้ไปทานข้าวกันจริงๆ ฉันต้องพาน้องสาวกับแม่ฉันไปด้วยนะคะ .. ฉันต้องบอกไว้ก่อน เผื่อคุณจะเปลี่ยนใจ”
เนตรนภัสพูดอย่างสุภาพ มาร์คยิ้มรับและตอบอย่างสุภาพเช่นกัน
“ผมไม่เปลี่ยนใจแน่นอน..และผมจะทำทุกอย่างเพื่อเราจะได้รู้จักกันมากขึ้น”
เนตรนภัสฟังแล้ยิ้มออกมา ทว่าป็นรอยยิ้มที่สงบ มีสติ และไม่คาดหวัง ชีวิตของเนตรนภัสกำลังจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
เนตรนภัสนึกถึงคำคมของนักเขียนฝรั่งเศส วิคเตอร์ ฮิวโก้
“Le bonheur suprême de la vie est la conviction d'être aimé pour soi-même, ou plus exactement, d'être aimé en dépit de soi-même."
“ความสุขสูงสุดของชีวิต คือ การได้รับความรัก และการถูกรักโดยไม่มีเงื่อนไข”
บนโต๊ะอาหารมื้อเย็นวันนั้น ธีธัชนั่งเหงื่อตกจนต้องแอบปาดเหงื่อเป็นระยะอยู่ในบ้านจามจุรี เสียงจามจุรีดังขึ้น
“รอนิดรอหน่อย เหงื่อตกเลยหรือไง”
ธีธัชสะดุ้งโหยง ลุกพรวดขึ้น
“ปละ..ปละ..เปล่าครับ”
จามจุรีเดินมากับลำเภา จามจุรีมองหน้าธีธัช ลำเภารีบแนะนำ
“แม่ฉันเอง”
“สวัสดีครับ” ธีธัชรีบยกมือไหว้ จามจุรีรับไหว้
“แม่คะ..นี่..ธีธัชค่ะ”
“ชื่อเพราะดี แปลว่าอะไร”
จามจุรี กับลำเภา นั่งประจำที่บนโต๊ะอาหาร ธีธัชยังยืนรายงานเหมือนคุยกับครู
“แปลว่า..ผู้มีปัญญาเป็นธงชัยครับ”
“เหรอ..แล้วจริงๆ น่ะ มีมั้ย ปัญญา..สมองน่ะ มีหรือเปล่า”
ธีธัชถึงกับหน้าเสียเล็กน้อย
“ก็...ไม่เยอะมาก แต่ก็พอมีอยู่บ้างครับ” ธีธัชพูดแล้วยิ้มแห้งๆ
ลำเภาพยักหน้าบอกให้นั่ง ธีธัชมองหน้าแล้วก็รีบนั่งลง จามจุรีพยักหน้าให้ลำเภา ตักข้าว ลำเภาหันไปหยิบหม้อข้าวจะมาตัก ธีธัชรีบเสนอตัว
“ผมตักให้เอง”
เสียงจามจุรีแทรกขึ้น
“ไม่ต้อง..เธอเป็นแขกอยู่เฉยๆ ให้เภาเค้าทำ เธอ..ต้องคุยกับฉัน”
ธีธัชรีบหดมือกลับแล้วก็ตอบอย่างเจียมตัว
“ครับ”
ธีธัชทำหน้าเจี๋ยมเจี๊ยม ตัวลีบ ถอดลายเสือไปอย่างราบคาบ ลำเภาตักข้าวไปแอบมองไปแล้วก็อมยิ้มนิดๆ
เป็นต่อกับพอใจนั่งเฝ้าให้กำลังใจอยู่หน้าห้อง มองแล้วก็ส่ายหน้าประมาณว่า “ไม่น่ารอด” เป็นต่อถึงกับเอามือปิดหน้า..ไม่กล้ามองเพราะเรื่องนี้มันหวาดเสียว
ลำเภาตักข้าวใส่จานให้ธีธัช ธีธัชเงยหน้ามองแล้วยิ้มให้
“ขอบใจจ้ะ”
ลำเภายังไม่ทันจะทำอะไร เสียงจามจุรีก็ดังเข้ามา
“พ่อแม่ของเธอเป็นใคร ทำงานอะไร อยู่ที่ไหน”
ธีธัชสะดุ้งนิดๆ หันมาทางจามจุรี แล้วก็ตอบทีละคำถาม
“คุณพ่อคุณแม่ผมเคยมีร้านขายอะไหล่รถอยู่ในเวิ้ง แถวบ้านหม้อ แต่ตอนนี้ท่านเสียแล้ว ผมก็เลยขายกิจการให้น้าๆที่เค้าอยากทำต่อน่ะครับ”
“ขายทำไม ทำไมไม่ทำต่อ” จามจุรีคุยไปกินไป
ลำเภาหันมามองหน้าจามจุรี แล้วก็หันมาฟังคำตอบจากธีธัช
“คือ..ผมไม่ชอบทำงานค้าขายพวกอะไหล่น่ะครับ”
“แล้วชอบทำงานอะไร ตอนนี้ทำอะไรอยู่”
ธีธัชอึดอัดนิดๆกับคำถามจามจุรี
“คือ .. ตอนนี้ผมก็มีลงทุนทำร้านอาหารกับเพื่อนๆบ้าง แต่งานหลักๆคือ ดูแลพวกอพาร์ทเม้นท์ ห้องพัก คอนโด บ้านเช่า ที่พ่อแม่เคยซื้อไว้น่ะครับ”
“กินสมบัติเก่าของพ่อแม่ว่าอย่างนั้นเถอะ”
ธีธัชสะอึกขณะที่กำลังจะตักอาหารเข้าปาก
“ก็..ทำนองนั้นน่ะครับ”
ธีธัชหน้าจ๋อยอย่างแรงที่หน้าที่การงานไม่น่าอวดเอาซะเลย ลำเภามองด้วยความสงสาร
เป็นต่อกับพอใจถึงกับคอตกเมื่อเห็นธีธัช “โดนชุดใหญ่”
จามจุรีมองหน้าธีธัชแล้วก็ซักต่อ
“เธอนี่..หน้าตาดีนะ”
“ขอบคุ...” ธีธัชยังพูดไม่ทันจบ
“ในชีวิต มีแฟนมากี่คนแล้ว”
ธีธัชสะอึกเพราะนับไม่ถูกเลย ลำเภามองหน้า..
“เยอะจนนับไม่ถูกเลยล่ะสิ”
“ก็.. ทำนองนั้นล่ะครับ” ธีธัชยิ้มแห้งอีกครั้ง
“แล้วคิดยังไง ถึงได้มาคบกับลำเภา”
“คิดอยากจะหยุดน่ะครับ” ธีธัชมองหน้าลำเภาแล้วก็ตอบอย่างจริงใจ
ลำเภาถึงกับอึ้ง..สองคนมองหน้ากัน เหมือนบรรยากาศจะหวาน ทว่าจามจุรีก็โพล่งแทรกขึ้นอีก
“ขี้โม้”
จามจุรีพูดต่อ
“ปากทำเป็นพูดว่าหยุด .. หยุดได้จริงหรือเปล่า ไม่ใช่ง่ายๆนะ”
“เมื่อก่อนใช่ครับ..แต่ตอนนี้ไม่ยากแล้ว”
“มั่นใจ”
“ครับ” ธีธัชตอบอย่างมั่นใจ
“ทำไม”
“ผมชอบของแปลกครับ”
ลำเภาหันขวับมาทางธีธัช
“แปลกๆ อยู่ด้วยแล้วไม่เบื่อ ผมว่าเภาเนี่ยแปลกสุดแล้ว ผมคงหาแปลกกว่านี้ไม่ได้แล้วครับ”
“ชมใช่ป่ะเนี่ย” ลำเภาพูด
“ชมจ้ะ” ธีธัชยิ้มทะเล้น
“แล้วไป”
ธีธัชกับลำเภายิ้มให้กัน จามจุรีมองเห็นก็เข้าใจได้ทันทีว่าคงไม่รอดแน่ จามจุรีจึงพูดขึ้น
“ถ้ามั่นใจแบบนั้นก็ฟังเอาไว้ ฉันมีลูกคนเดียว คงไม่ต้องให้บอก..ว่าฉันรักเค้ามากแค่ไหน”
ลำเภามองหน้าจามจุรีด้วยความซาบซึ้ง ธีธัชตั้งใจฟัง
“แค่กินข้าวกันวันเดียวมันยังดูไม่ออกหรอก.. ถ้าคุณจริงใจ ก็ต้องพิสูจน์ตัวเอง แต่ถ้าคิดจะมาเล่นๆ ก็ไปซะ มาทางไหน ก็ไปทางนั้น เข้าใจหรือเปล่า”
ลำเภาหันมาทางธีธัช รอฟังคำตอบ
“เข้าใจครับ” ธีธัชตอบอย่างหนักแน่น
ลำเภาอมยิ้มนิดๆ ด้วยความโล่งอก ถ้าจามจุรีพูดแบบนี้แสดงว่าให้โอกาส ธีธัชและลำเภามองตากัน
อย่างมีความสุข
เป็นต่อกับพอใจถอนหายใจเบาๆ แล้วก็หันมาเห่าใส่กันคิกคัก
อ่านต่อหน้า 2
สามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 23 อวสาน (ต่อ)
“ก่อนจะไป..หันไปทักคุณพ่อ ที่โน่นหน่อย” จามจุรีชี้มาที่กล้องวิดีโอที่แอบตั้งไว้ ธีธีชมองตามอย่างงงๆ
“คุณพ่อ” ธีธัชหันมาเห็นกล้องวิดีโอ แล้วถามเภาเบาๆ
“พ่อเธอ..เป็นกล้องวิดีโอเหรอ”
“บ้าเหรอ..พอดีตอนนี้พ่อไปประชุมที่เมืองนอก แม่เค้าก็เลยถ่ายวิดีโอไว้ให้พ่อดูน่ะ”
“ถามจริง”
“ตอบตรง กล้องอยู่ทางโน้น ยิ้มทักทายหน่อย”
จามจุรียิ้มแฉ่ง ลำเภายิ้มตามและโบกมืออีกต่างหาก
“สวัสดีค่ะคุณพ่อ”
ธีธัชพึมพำแล้วยิ้มๆขำๆ บ้าจี้ยกมือไหว้ตาม
“สรุป แปลกทั้งบ้าน สวัสดีครับคุณพ่อ”
ทั้งลำเภา ธีธัช และจามจุรี ทักทายโบกมืออย่างสนุกสนาน
ลำเภาและธีธัชเดินออกมาที่หน้าบ้าน
“สรุปว่า..ฉันสอบผ่านหรือเปล่า”
ลำเภาหันมาแล้วก็พยักหน้า “อื้อ”
ธีธัชดีใจอย่างแรง
“จริงนะ งั้นก็แสดงว่า..เราสองคนเป็นแฟนกันได้แล้วใช่ป่ะ”
“อื้อ” ลำเภาพยักหน้าอีกที
“ไชโย” ธีธัชพุ่งเข้ามาหอมแก้มลำเภาเลยหนึ่งฟอดใหญ่
ลำเภาตกใจรีบหันมาด่า
“นี่ น้อยๆหน่อยย่ะ แค่แฟน ไม่ได้แปลว่าจะทำอะไรกับร่างกายฉันก็ได้ ทำลุ่มล่ามอีกที จะโดนลดระดับความน่าเชื่อถือ”
“โอ๋...ขอโทษน้า..ก็มันดีใจนี่..มันแบบเก็บกด กดดัน อัดอั้นมานาน มันก็เลยต้องระบายออกมาบ้าง โอเค..ต่อไปฉันจะไม่ได้ทำถ้าเภายังไม่อนุญาต แต่ถ้าอนุญาตเมื่อไหร่ จัดเต็ม” ธีธัชยิ้มทะเล้น
“ลามกไปใหญ่แล้ว รีบๆกลับไปเลย ก่อนจะเปลี่ยนใจ เดี๋ยวก็ไม่เป็นแฟนด้วยซะเลยนี่”
“โอเคๆ กลับก็ได้ อย่าเพิ่งเปลี่ยนใจนะ” ธีธัชยิ้มอ้อน
“อื้อ”
“พรุ่งนี้ไปทำงานหรือเปล่า” / “อื้อ”
“ฉันมารับไปส่งที่ทำงานนะ” / “อื้อ”
“นอนหลับฝันดีนะ” / “อื้อ”
“อย่าลืมฝันถึงแฟนล่ะ”
ลำเภาทั้งเขินทั้งรำคาญ ถึงกับผลักหลังธีธัชไป
“โอ้ย กลับไปได้แล้ว ร่ำลาอยู่ได้...ปาย” ลำเภาดันหลังธีธัชออกไปจากรั้วบ้าน
“โอเคๆๆ ไปแล้วๆ อะไรเนี่ย เขินแล้วทำไมต้องไล่กลับบ้านด้วย”
ลำเภาไม่ตอบ..แต่พยายามเก๊กไม่ให้หลุดเขินมากไป
“ขับรถดีๆหล่ะ ถึงคอนโดแล้วก็..ส่งข้อความมาบอกด้วย”
ธีธัชและลำเภา ยืนอยู่คนละด้านของประตู แต่ต่างคนต่างยิ้มอย่างมีความสุข
ค่ำคืนที่ร้านสาดสุราบรรยากาศกลับมาคึกคัก กรกนกกำลังยุ่งกับการรับออเดอร์ที่เด็กเดินมาส่งให้เป็นระยะอยู่ที่เคาน์เตอร์
“พี่กรโต๊ะหก - โต๊ะสิบครับพี่”
กรกนกอ่านออร์เดอร์แล้วหยิบเครื่องดื่มส่งให้เด็กในร้าน เสียงโอบบุญดังเข้ามา
“โต๊ะพิเศษแถวหน้าครับ”
กรกนกรับมาไม่ทันสังเกตว่าเป็นโอบบุญแต่พออ่านโน้ตแล้วชะงัก ที่กระดาษใบออเดอร์ในมือกรกนกเขียนว่า “แต่งงานกันนะครับ”
กรกนกเงยหน้าเห็นโอบบุญยืนอยู่พร้อมกับรอยยิ้มจริงใจ
“เมาหรือเปล่าคะ”
“ผมไม่ดื่มเลยนะ ตอนนี้สติครบถ้วน ผมขอคุณแต่งงานจริงๆ”
กรกนกส่ายหน้า
“เร็วไปนะคะ”
“ผมก็ว่างั้น”
ข้างๆกรกนกเริ่มมีเด็กพนักงานคนอื่นมารับออร์เดอร์แทน โอบบุญรีบอธิบายต่อ
“แต่..ที่ผมต้องรีบขอเพราะผมคิดว่าสี่ปีที่ผมจะไม่อยู่ประเทศไทย คุณเสร็จคนอื่นแน่ ผมก็เลยตัดสินใจขอแต่งงานแล้วพาไปด้วยกัน ปลอดภัยสุด”
“เดี๋ยวค่ะ สี่ปีที่จะไม่อยู่ คุณจะไปไหน”
“คือ..ทางโรงแรมส่งผมไปเป็นเชฟที่โตเกียวสี่ปี สวัสดิการอย่างดี มีบ้านพักให้พร้อม ถ้าผมพาภรรยาไปด้วย ภรรยาก็จะได้สวัสดิการเหมือนผมทุกอย่าง ทั้งตั๋วเครื่องบิน กิน อยู่ รักษาพยาบาล ฟรีหมด..ผมก็เลยอยากจะชวนคุณกรแต่งงานแล้วไปอยู่ด้วยกัน”
กรกนกฟังแล้วก็คิด
“นะครับคุณกร..แค่จดทะเบียนเพื่อจะไปด้วยกัน แต่เรายังไม่ต้องเป็นสามีภรรยากันจริงก็ได้ ระหว่างอยู่ที่โน่นเราก็ค่อยๆเรียนรู้กันไป.. ถ้าวันหนึ่งคุณพบว่ามันไม่ใช่ เราก็ค่อยว่ากัน” โอบบุญโน้มน้าว
“แล้วกรจะไปทำอะไรกินคะ? ภาษาญี่ปุ่นก็พูดไม่ได้”
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมเลี้ยงคุณเอง คุณแค่ไปกับผมในฐานะภรรยาที่เหลือผมจะดูแลอย่างดี”
โอบบุญพูดด้วยความหนักแน่น กรกนกคิด
“ฉันขอคิดก่อนนะคะ”
กรกนกหันหลังให้โอบบุญ ครุ่นคิดอยู่หนึ่งอึดใจ แล้วก็หันมา
“โอเคค่ะ..กรจะไปกับคุณ”
“เยส!! โอเคครับ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราจดทะเบียนกันพรุ่งนี้เลยนะครับ อ้อ..ผมเชิญแขกไปร่วมเป็นสักขีพยานการจดทะเบียนสามคนนะครับ”
“ใครเหรอคะ”
กรกนกถามด้วยความอยากรู้
เช้าวันต่อมา อรุณศรี กริชชัย และสุพรรณิการ์ยืนเรียงหน้ากระดานอยู่ด้านหลังกรกนก และโอบบุญที่กำลังนั่งจดทะเบียนกันอยู่ อรุณศรีถือช่อดอกไม้น่ารักๆไว้หนึ่งช่อ สุพรรณิการ์เตรียมกรวยกระดาษสำหรับดึงแล้วมีริบบิ้นกระเด็นออกมา
ส่วนกริชชัยก็ถืออยู่ด้วยเหมือนกันโดยซุกไว้ข้างหลังไม่ได้เห็น
กรกนกอยู่ในชุดสีขาวน่ารัก โอบบุญอยู่ในชุดสูทกึ่งลำลอง เท่ๆ ทันทีที่จดทะเบียนสมรสเสร็จ สุพรรณิการ์กับกริชชัยก็ดึงกรวยกระดาษส่งเสียง โป๊งๆๆ ริบบิ้นโบว์กระจายออกมา
“เย้ๆๆๆ ดีใจด้วยค่ะ”
กรกนก โอบบุญตกใจแล้วก็ยิ้มๆขำๆ อรุณศรีส่งดอกไม้ให้โอบบุญ โอบบุญรับมาและส่งให้กรกนก พร้อมกับหอมแก้มหนึ่งทีอย่างน่ารัก
“ผมจะดูแลคุณให้ดีที่สุด”
“อย่าผูกมัดตัวเองด้วยคำพูดดีกว่าค่ะ”
“ผมไม่ผูกมัด แต่จะรับผิดชอบทุกคำพูดของตัวเอง”
“แล้วฉันจะรอดู”
กรกนกยิ้ม โอบบุญยิ้มตาม บรรยากาศเต็มไปด้วยความรัก อรุณศรี สุพรรณิการ์ และกริชชัยมองแล้วก็ยิ้มตามไปด้วย
ที่ซุ้มดอกไม้มุมหนึ่งของสำนักงานเขต กรกนก สุพรรณิการ์ และอรุณศรีถ่ายรูปกันด้วยความสนุกสนาน ที่มุมหนึ่งเห็นกริชชัยยืนคุยกับโอบบุญ
“ขอบคุณมากที่สละเวลามาเป็นแขกให้วันนี้”
“เล็กน้อยครับพี่..ผมมาด้วยความยินดี”
“นี่คุณ..ของผม มาทีหลังจบก่อนนะ แล้วคุณหน่ะ เห็นวางแผนกับฝ้ายไว้ เมื่อไหร่จะได้ฤกษ์ขอสักที”
“จริงๆก็อยากจะรีบๆขอ..พอดีมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นซะก่อน แต่ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ผมจะรีบดำเนินการโดยเร็วที่สุดครับ”
โอบบุญจับไหล่กริชชัย
“ขอให้โชคดีนะ”
“ขอบคุณครับ”
กริชชัยหันไปดูอรุณศรีที่ถ่ายรูปให้กรกนกกับสุพรรณิการ์อย่างสนุกสนาน
สุพรรณิการ์หันมาทางกรกนก
“คุณกรคะ วันนี้ฝ้ายให้เด็กปิดร้านเลี้ยงฉลองให้คุณกรกับพี่โอบนะคะ กิน ดื่ม เต็มที่ ทุกอย่างฟรี ไม่มีชาร์จค่ะ”
“ขอบคุณมากค่ะ”
“ด้วยความยินดีค่ะ แต่คุณกรอย่าลืมนะคะ เบื่อญี่ปุ่นเมื่อไหร่ กลับมาช่วยฝ้ายเหมือนเดิมนะคะ”
“ได้ค่ะเลย กรจะคิดถึงคุณฝ้ายเป็นคนแรก”
สุพรรณิการ์ยิ้มรับ โอบบุญเดินมาหา กรกนกหันไปยิ้มให้ สุพรรณิการ์เห็นว่าโอบบุญมาก็เลี่ยงเดินไปหาอรุณศรีที่กำลังเชคภาพที่ถ่ายไปแล้วอยู่อย่างตั้งใจ
“แอ๊ว..ปาร์ตี้คืนนี้ฉันฝากแกดูแลด้วยนะ เพราะฉันคงอยู่ดึกมากไม่ได้”
“ปกติปาร์ตี้ทีไร คุณสุพรรณิการ์โต้รุ่งตลอด ทำไมคืนนี้ถึงจะรีบกลับ”
“พอดีพรุ่งนี้.. ฉันมีนัดเดท”
อรุณศรีตาโต
“แกเนี่ยนะ..มีเดท”
สุพรรณิการ์ยิ้มพร้อมกับพยักหน้า อย่างมั่นใจ
ภายในคอนโดของสุพรรณิการ์ สุพรรณิการ์ยืนใส่เสื้อคลุมอยู่หน้ากระจกคิดว่าจะแต่งตัวยังไงดี สุพรรณิการ์แหวกตู้เสื้อผ้าหาๆ แล้วก็หาชุดที่จะใส่ แล้วก็หยิบชุดเซ็กซี่มา 4-5 ชุดออกมาเลือก สุพรรณิการ์มองแล้วก็คิดถึงเหตุการณ์เมื่อเย็นวานนี้
วัชระกับสุพรรณิการ์ยืนคุยอยู่ที่หน้าคอนโด
“อยากจะออกเดทเนี่ยนะ” วัชระถามย้ำ สุพรรณิการ์ลอยหน้า พูดหน้าตาเฉย
“ใช่ ก็เหมือนคู่อื่นๆไง ที่เค้าออกไปเที่ยวเล่น ก่อนจะเป็นแฟนกัน”
วัชระยักไหล่
“ได้ เดี๋ยวผมพาไปกินข้าว ดูหนัง แล้วก็. ถ้าไม่มีอะไรทำ กินข้าวอีกรอบก็ได้”
“เฮ่อออ..ไม่เอา แบบนั้นมันน่าเบื่อ” สุพรรณิการ์ส่ายหน้า
“อ้าว ไม่กินข้าว ดูหนัง แล้วจะทำอะไร”
“ทำอะไรที่คุณชอบทำ ฉันจะทำด้วย เพราะฉันอยากรู้...ว่าฉันจะชอบสิ่งที่คุณชอบหรือเปล่า”
“จะรู้ไปทำไม”
“คนเราจะใช้ชีวิตด้วยกัน มันมีอะไรตั้งหลายอย่างต้องทำด้วยกัน ถ้ามันไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย มันจะอยู่ด้วยกันได้ยังไง”
วัชระคิด..แล้วก็พยักหน้ารับ
“เออ..ก็จริง”
“ฉันให้เวลาคุณครึ่งเช้า ส่วนครึ่งบ่าย..คุณก็ต้องทำในสิ่งที่ฉันชอบ โอไม่โอ”
สุพรรณิการ์ยักคิ้วรอ วัชระยักคิ้วรับ
“โอเค.. ได้ แปดโมงเจอกัน”
วัชระสรุปอย่างมั่นใจ
สุพรรณิการ์มองชุดที่แขวนอยู่ข้างหน้าอีกครั้ง ตัดสินใจหันไปหยิบอีกชุด
สุพรรณิการ์เดินมาที่กระจกอยู่ในชุดเก่งที่ใส่ตอนเจอกับวัชระครั้งแรก เป็นชุดปอนๆ ลุยๆ ห้าวๆ ตามสไตล์แบบเดิม สุพรรณิการ์ยิ้มกับตัวเองด้วยความพอใจ
ในห้องพักของกริชชัย วัชระยืนหน้ากระจก..ใส่เสื้อกล้าม เตรียมแต่งตัว ข้างๆ มีชุดหล่อแขวนอยู่ เสื้อเชิ้ร์ตดำอย่างเท่ วัชระมองหน้าตัวเอง หันไปหยิบครีมและใบมีดโกนหนวดมาทา ยังไม่ทันได้จัดการกับหนวดเครา ก็เกิดเปลี่ยนใจ วัชระมองหน้าตัวเองแล้วคิด ก่อนจะเหลือบไปดูชุดหล่อที่แขวนอยู่ แล้วก็ลังเล วัชระค่อยๆ วางมือลงบนอ่างล้างหน้า คิดก่อนจะตัดสินใจ หันมาวางมีดโกนไว้ที่เดิมและล้างครีมโกนหนวดที่ใส่ไว้ออก
วัชระเดินเข้ามาที่กระจกอยู่ในชุดมอมแมม ลุยๆ เหมือนเดิม หนวดเคราครึ้มตามปกติ วัชระมองหน้าตัวเอง ก่อนจะเอามือขยี้ๆ ผม จัดทรงแบบลวกๆ แล้วก็ยิ้มพอใจ ก่อนจะเดินออกไปจากห้องน้ำ
ประตูห้องสุพรรณิการ์เปิดออก สุพรรณิการ์เดินออกมาในชุดห้าวๆ
ประตูห้องกริชชัยเปิดออก วัชระเดินออกมาในชุดลุยๆ
ทั้งสองคนหันมาเจอกัน ต่างคนต่างมองเสื้อผ้าของอีกฝ่าย แล้วก็ขำ วัชระและสุพรรณิการ์เดินมาหากัน ต่างคนต่างยิ้มให้กัน
“ที่จริงแต่งตัวแบบนี้ก็น่ารักดีนะ”
สุพรรณิการ์ยักไหล่ รับคำชม แล้วพูดกลับ
“คุณก็...เป็นตัวของตัวเองดี ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกจนถึงตอนนี้ เหมือนเดิมเป๊ะ”
“เมื่อกี้ก็เกือบพลาดไปเหมือนกัน กลัวเดทแรกไม่ประทับใจ กะจะจัดเต็ม แต่คิดไปคิดมาขอเป็นตัวของตัวเองดีกว่า ซกมกมาตั้งนาน อยู่ๆ จะมาแต่งหล่อ เขิน”
“แบบนี้ก็ไม่เห็นจะขี้เหร่เลย”
“หะ ว่าไงนะ พูดอีกทีสิ อีกทีๆ อยากฟังอีกรอบ.. นะนะ” วัชระอ้อนสุดๆ
“ไม่เอา พูดทีเดียว ไม่ได้ยินก็ช่วยไม่ได้ รีบไปได้แล้ว ครึ่งเช้าเป็นของคุณ รู้หรือยังว่าจะพาฉันไปไหน”
สุพรรณิการ์เตรียมพร้อมเต็มที่ วัชระยิ้มกริ่ม
ที่ยิมฯสนามมวยแห่งหนึ่ง นักมวยชายฉกรรจ์ซ้อมมวยอย่างหนักหน่วง เสียงดังสนั่น วัชระอยู่ในชุดซ้อม อัดกระสอบทรายอย่างเมามัน ตุ๊บๆ ตั๊บๆ อัดจนหอบแล้วก็หันมาทางสุพรรณิการ์ที่ยืนอยู่ห่างออกไป สุพรรณิการ์อยู่ในชุดเสื้อกล้ามของโรงยิม รวบผม ใส่นวม เตรียมพร้อมลุย
“ฝ้าย..พร้อมมั้ย” วัชระพูดไปหอบไป
สุพรรณิการ์พยักหน้า แล้วก็เดินมา
วัชระสอนไป หอบไป
“เดี๋ยวจะสอนให้ก่อน ในการชกมวยเรามีการชกหลายแบบ แบบแรกที่เป็นพื้นฐานสำคัญคือ...” วัชระยังพูดไม่ทันจบ สุพรรณิการ์ซัดหมัดตรง ทั้งหมัดฮุค เข้าที่กระสอบทรายอย่างหนักแน่น ช่ำชอง รุนแรง และรวดเร็ว
“เฮ้ย” วัชระตกใจ
สุพรรณิการ์ยังรัวกระสอบทรายอย่างเมามัน วัชระมองด้วยความอึ้ง สุพรรณิการ์จบไปหนึ่งชุด แล้วก็หยุดหันมาหอบใส่
“เป็นไง..พอใช้ได้ปะ”
วัชระทึ่ง...แล้วยิ้ม
“ใช้ได้เลย ใช่เลย แบบนี้เลย สุดยอด”
วัชระยิ้มกว้างด้วยความชอบใจ สุพรรณิการ์หอบไปยิ้มไป
สุพรรณิการ์และวัชระปีนหน้าผา ยิงปืน และชกมวยด้วยกันอย่างสนุกสนาน
บริเวณหน้าผาจำลอง สุพรรณิการ์และวัชระต่างคนต่างปีนด้วยความสนุกสนาน สุพรรณิการ์ปีนด้วยความ
ชำนาญ วัชระคล่องแคล่วไม่แพ้กัน ต่างคนต่างปีนไม่มีใครยอมใคร และขึ้นไปถึงด้านบนสุดของกำแพง
พร้อมๆกัน ก่อนจะหย่อนตัวกระโดดลงมาอย่างชำนาญ
ที่สนามยิงปืน สุพรรณิการ์หัดยิงโดยมีวัชระสอนอย่างใกล้ชิด จากนัดแรกที่ห่างเป้ามากมาย จนสุดท้ายก็เกือบจะเข้ากลางเป้า สุพรรณิการ์หยิบมาดูด้วยความตื่นเต้น
วัชระยิ้มด้วยความพอใจแววตาบอกว่า “โคตรใช่เลย”
ข้าวหมูแดง 2 จานยักษ์ ถูกนำมาวางบนโต๊ะ ต่อหน้าสุพรรณิการ์และวัชระที่เวลานี้อยู่ในร้านข้าวหมูแดง
“หมูกรอบมันเยอะ ใครครับ” เฮียคนขายถาม
“ทางนี้เลยเฮีย” สุพรรณิการ์บอก
คนขายวางจานที่หมูเน้นมันไว้ตรงหน้า สุพรรณิการ์ตั้งท่าจะกินอย่างหิว วัชระมองแล้วก็ถาม
“กินมันๆ ไม่กลัวอ้วนเหรอ”
“กลัวทำไม กินได้ ก็ออกกำลังได้ กินแค่นี้ ไปวิ่งสักสองชั่วโมงก็หมดแล้ว”
“โห วิ่งสองชั่วโมง อึดนะเนี่ย ถึงว่าทั้งชกมวย ยิงปืน ปีนหน้าผา ไม่บ่นสักคำ”
“แน่นอน ฉันชอบออกกำลังกาย และฉันก็ชอบกิน ฉันไม่มีวันยอมให้ความกลัวอ้วนมาเป็นอุปสรรคต่อการกินเด็ดขาด”
สุพรรณิการ์พูดจบก็ตักข้าวหมูแดงกินอย่างเอร็ดอร่อย วัชระมองด้วยความเอ็นดูแล้วก็นึกได้
“เออ..คุณยังไม่บอกเลย ตอนบ่ายจะพาผมไปทำอะไร ที่ไหน”
ช่วงบ่าย สุพรรณิการ์พาวัชระมาที่โรงเรียนสอนลีลาศ วัชระหันขวับมาทางสุพรรณิการ์ที่ยืนอยู่ข้างๆ
“พาผมมาโรงเรียนลีลาศเนี่ยนะ อย่าบอกนะว่าจะให้ผมเรียนเต้นรำ”
“ถูกต้องที่สุด !! และฉันก็นัดคุณครูเอาไว้แล้ว ไป”
สุพรรณิการ์ลากวัชระเข้าไป วัชระขืนตัวไว้
“เดี๋ยว!! เอาจริงเหรอ”
สุพรรณิการ์หันมากรอกตา
“อย่ามาทำใจเสาะ ฉันให้ครูเค้าเตรียมสอนเพลงของสุนทราภรณ์ไว้ด้วยนะ ต่อไปตอนฟังเพลง เราจะได้เต้นรำตามไปด้วยไง”
วัชระชะงักฟังแล้วก็คิดเห็นด้วย
“เออ น่าสนใจ”
“สิ่งที่ฉันคิดว่ามันก็ต้องน่าสนใจอยู่แล้ว ไป”
วัชระเดินตามไปแต่โดยดี
สุพรรณิการ์และวัชระอยู่ในห้องเรียนเต้นรำโดยมีอาจารย์คอยสอนอยู่หนึ่งคน ภายในห้องเปิดเพลง “เริงลีลาศ” ของวงสุนทราภรณ์ ทั้งสองคนอยู่ในอาการเก้อๆ เขินๆ และเริ่มเต้นตาม เต้นผิด เต้นถูก เต้นไปเหยียบขากันไป เต้นไปหัวชนกันไป หันผิดหันถูก ทุลักทุเลมาก จากนั้นก็ค่อยๆดีขึ้น เริ่มเข้ากันได้มากขึ้น และก็ดีขึ้น ดีขึ้น ดีขึ้น จนพอจะหมุนตัว หมุนเข้า หมุนออก หมุนไป หมุนมา อย่างคล่องแคล่ว สนุกสนาน และเข้ากันได้เป็นอย่างดี
จังหวะหนึ่งสุพรรณิการ์หมุนตัวเข้ามา อยู่ในอ้อมกอดของวัชระอย่างสวยงาม
อ่านต่อหน้า 3 วันนี้ เวลา 13.00 น.
สามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 23 อวสาน (ต่อ)
ภายในบ้านของจามจุรี ลำเภาเดินถือเอาหม้ออาหารน้องหมามาวางลงบนโต๊ะ ธีธัชยื่นหน้าเข้ามาดม
“น่ากินจัง”
ธีธัชพูดพลางหันไปหยิบช้อนจะจ้วงตักกิน ลำเภาดึงช้อนออก
“ของน้องหมา อย่ามาแย่งสิ อยากกินเดี๋ยวทำให้”
ธีธัชหันมาซบไหล่อ้อน
“แฟนใครน้า น่ารักที่สุด ขอบคุณค้าบ”
ลำเภาเอาช้อนเคาะหัวดังโป๊ก ธีธัชร้องโอ้ย
“แฟนใครน้า ขี้อ้อนที่สุดเลย” ลำเภาย้อน
“ก็แฟนน่ารัก น่าอ้อน ก็เลยอยากอ้อนอ่ะ”
ลำเภาส่ายหน้าทำเป็นเลี่ยนๆ แต่ก็อมยิ้ม ลำเภาตักอาหารหมาให้เป็นต่อ และพอใจแล้วก็เรียกมาหม่ำ
“เป็นต่อ พอใจ หม่ำๆลูก”
น้องหมา 2 ตัววิ่งดุกๆเข้ามากินอย่างเอร็ดอร่อย ลำเภายืนมองแล้วก็ยิ้ม ธีธัชมองเภาแล้วก็ยิ้มตามในความ
น่ารัก แล้วก็พูดขึ้น..เหมือนมันลอยออกมาจากจิตใต้สำนึก
“เภา...ฉันอยากทำงาน”
ลำเภาหันขวับมา
“ว่าไงนะ”
“ฉันอยากทำงาน .. อยากมีอาชีพที่มันมั่นคงมากกว่าเก็บค่าเช่า กินสมบัติเก่าของพ่อแม่”
“แน่ใจนะว่าไม่ได้ละเมอ”
“พูดจริงๆ แล้ว ฉันก็รู้แล้วด้วยว่าฉันอยากทำอะไร” ธีธัชหน้าตาจริงจัง
“ทำอะไร” ลำเภาขมวดคิ้ว
แบบแปลนบ้านน้องหมาที่ธีธัชร่างขึ้นคร่าวๆ ถูกวางไว้บนโต๊ะ 3-4 แบบ ลำเภาหยิบมาดูด้วยความแปลกใจ ลำเภาดูภาพไปด้วยความทึ่ง ธีธัชอธิบาย
“นี่คือบ้านสำหรับน้องหมา เป็นบ้านที่ทำขึ้นมาเพื่อเค้าโดยเฉพาะ เราจะต้องทำการวัดขนาด และศึกษาพฤติกรรมของเค้าก่อนแล้วจึงจะออกแบบเพื่อให้เข้ากับนิสัย และที่สำคัญ..เรามีบ้านลอยน้ำ สำหรับผู้ที่อยู่ในพื้นที่ต่ำ เสี่ยงต่อน้ำท่วม ถ้าน้ำมาเมื่อไหร่ บ้านจะกลายเป็นเรือสำหรับน้องหมาทันที”
“ออกแบบเองทั้งหมดเลยเหรอเนี่ย”
“ใช่..เก่งปะล่ะ จริงๆ เรียนจบสถาปัตย์นะเนี่ย ไม่คิดล่ะสิว่าจะมีปัญญาเรียน”
“มีฝีมือขนาดนี้ ทำไมไม่ไปทำงานทำการ”
“ไม่มีแรงบันดาลใจมั้ง”
ลำเภามองหน้าธีธัช
“ไม่ต้องทำงานก็มีเงินใช้ ก็ไม่รู้จะทำงานไปทำไม แต่พอคบกับเภา อยู่ๆ มันก็อยากทำอะไรที่มันเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา อยากทำให้เภามั่นใจว่าเราจะดูแลเภาได้”
ลำเภามองหน้าธีธัชด้วยความซาบซึ้งใจ
“ซึ้งอ่ะดิ พูดเองยังซึ้งเองเลย” ธีธัชได้ที
ลำเภายิ้มตาม
“ถ้าทำแล้วไม่รู้สึกว่าฝืนก็ทำ เภาจะเป็นที่ปรึกษาและเป็นกำลังใจให้เอง”
เป็นต่อกับพอใจส่งเสียงเห่าขึ้น
“เป็นต่อกับพอใจก็เป็นกำลังใจให้ด้วยนะ”
“ขอบใจมากนะเภา ขอบใจจริงๆ ที่ทำให้เราอยากเป็นผู้เป็นคนกับเค้าสักที ขอบใจมาก”
ธีธัชยิ้มอย่างจริงใจ ลำเภายิ้มรับเขินๆ บรรยากาศในบ้านอบอวลไปด้วยความรัก
ธีธัชหันมาหยิบแบบบ้านหมาที่ตัวเองร่างไว้ขึ้นมาดูด้วยแววตามุ่งมั่น... เอาวะ ลุยดูสักที !
สุพรรณิการ์และวัชระนั่งอยู่ที่โต๊ะริมระเบียงของร้านสาดสุรา ทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้อย่างหมดแรง ยังหัวค่ำคนไม่พลุกพล่าน
“โอ้ย...เมื่อยขามาก ขาจะหลุดมั้ยเนี่ย”
“เป็นไงล่ะ ตอนเช้าปีนเขา ต่อยมวย ตอนบ่ายลีลาศเข็ดหรือยัง”
“คนอย่างนังฝ้าย ไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอกน่า...แค่เมื่อยขา นวดน้ำมัน เดี๋ยวก็หาย ว่าแต่ผู้กองเหอะ กล้าไปรอบสองหรือเปล่า”
“สบายมากอยู่แล้ว แค่เต้นรำ ชิลล์ ขำๆ ไม่ต้องใช้ความกล้าแม้แต่นิดเดียว ดูซะก่อน เป๊ะทุกสเต็ป หนึ่งสอง หนึ่งสองสาม” วัชระพูดตามที่ไปเรียนมาพร้อมเต้นตาม
สุพรรณิการ์เห็นแล้วก็ขำ วัชระเต้นอย่างมั่นใจ สุพรรณิการ์ก็หัวเราะอย่างมีความสุข
ทันใดนั้นเองเสียงเนตรนภัสก็ดังขึ้น
“ขอโทษที่เข้ามาขัดจังหวะ”
วัชระหยุดเต้นทันที สุพรรณิการ์หยุดหัวเราะหันขวับมาทางเนตรนภัส
“แหนม”
เนตรนภัสเดินเข้ามา
“ขาหายแล้วเหรอ”
“หายแล้ว เอ่อ...บังเอิญจัง แหนมมาเที่ยวเหรอ”
“เปล่า...แหนมตั้งใจจะมาหาวัช”
วัชระชะงัก สุพรรณิการ์ยืนขึ้น
“เชิญคุณสองคนคุยกันตามสบาย”
สุพรรณิการ์จะเดินไป วัชระเรียกไว้
“ฝ้าย”
เสียงเนตรนภัสแทรก
“ฉันขอคุยกับ “แฟนคุณ” ไม่นานค่ะ คุยจบแล้ว ฉันจะคืนให้”
สุพรรณิการ์และวัชระชะงักหันมามองหน้ากัน สุพรรณิการ์พยักหน้าทำนองว่าไม่เป็นไร แล้วก็เดินไป เนตรนภัสมองหน้าวัชระ สุพรรณิการ์เดินเข้าไปในร้านแต่แอบกังวลอยู่ในใจ
เนตรนภัสเดินมาหาวัชระ
“ดูวัชมีความสุขมากนะคะ ไม่เหมือนกับตอนอยู่กับแหนม”
“แหนมเอง ก็ดูดี มีราศี ใบหน้าไม่คร่ำเครียด เหมือนตอนที่อยู่ กับผม บางที การที่เราสองคนแยกกัน มันอาจจะดีกับเราทั้งคู่”
เนตรนภัสยิ้มรับ
“แหนมคิดนานเหมือนกันว่าจะมาหรือไม่มาดี สุดท้ายก็ตัดสินใจมา เพราะต้องการจะให้โอกาสตัวเอง”
วัชระขมวดคิ้วแปลกใจ
“แหนมไม่อยากมีชีวิตอยู่โดยมีความเกลียดชังอยู่ในใจ แหนมมาเพื่อจะบอกว่า..ถึงเราจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้ แต่เราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้”
“ใช่..เรามีความทรงจำดีๆด้วยกัน ถึงวันนี้ไม่ได้เป็นแฟนกัน เราก็ไม่จำเป็นต้องเกลียดกัน ผมเองก็อยากเห็นแหนมมีความสุข อยากให้แหนมได้เจอคนดีๆ ผมแน่ใจว่าเค้าต้องดี และเหมาะสมกับแหนมมากกว่าผม”
“เค้าชื่อมาร์คค่ะ”
“หือ”
“ผู้ชายที่เข้ามาจีบแหนมน่ะ เค้าชื่อมาร์ค..เราไปกินข้าวกันครั้งสองครั้งแล้ว คุณแม่กับนุ้ยก็ไปด้วย เค้าก็น่ารักดีนะ”
“แล้วเค้าดีกับแหนมหรือเปล่า” วัชระถามอย่างห่วงใย
“ก็ดีนะ ทุ่มเทดี”
“ดีแล้ว..ผมเอาใจช่วยนะแหนม”
เนตรนภัสกับวัชระยิ้มให้กันด้วยความจริงใจ
“ขอบใจมาก ตลกดีนะ ตอนคบกันทะเลาะกันจะเป็นจะตาย แต่พอเลิกกัน กลับพูดกันดีกว่าเดิม”
วัชระพยักหน้าเห็นด้วย แล้วก็พูดด้วยความเสียงจริงจัง
“ผมเสียใจที่เราต้องจากกัน แต่ชีวิตเรายังต้องดำเนินต่อไป และอาจจะดีกว่าเดิม โดยเฉพาะ ชีวิตแหนม” วัชระยิ้มให้กำลังใจ
เนตรนภัสยิ้มรับ สองคนยิ้มให้กันด้วยมิตรภาพที่สวยงาม
สุพรรณิการ์นั่งลุ้น ๆ อยู่ในร้าน ในใจยังแอบกังวล และทันใดนั้นเนตรนภัสก็เดินมาหา
“ฉันคุยธุระเรียบร้อยแล้ว”
สุพรรณิการ์หันมา
“เธอทำให้วัชมีความสุขขึ้นมาก..ฉันไม่เห็นเค้ามีความสุขแบบนี้มานานแล้ว”
เนตรนภัสพูดหน้านิ่งๆ สุพรรณิการ์มองหน้าไม่แน่ใจว่าเนตรนภัสมาด้วยอารมณ์ไหน และเนตรนภัสก็ยิ้มออกมา
“ขอให้โชคดี”
สุพรรณิการ์ยิ้มตาม เนตรนภัสพูดจบแล้วก็เดินไป สุพรรณิการ์ยังยืนงงๆอยู่ที่เดิม..สักพักวัชระก็เดินมายืนข้างๆ สุพรรณิการ์หันมามองหน้า..แล้วก็ยิ้ม วัชระถามด้วยความแปลกใจ
“ไม่อยากรู้เหรอว่าแหนมมาคุยอะไร”
“ถ้าอยากเล่า ก็จะฟัง แต่ถ้าไม่อยากเล่า ก็ไม่เป็นไร เพราะฉันไว้ใจคุณ”
วัชระยิ้มชอบใจ แล้วค่อยๆดึงมือสุพรรณิการ์มากุมไว้อย่างอุ่นใจ ทั้งคู่..อยู่ท่ามกลางผู้คน แสงไฟ และความวุ่นวายในความมืดเป็นความสวยงามที่แทรกอยู่อย่างลงตัว ยิ่งรู้จักสุพรรณิการ์ วัชระยิ่งมั่นใจว่าเค้าเลือกคนไม่ผิด
เช้าวันสองวันต่อมา กรกนกเก็บของใส่กระเป๋า หันมาหยิบพาสปอร์ตเตรียมตัวเดินทาง
ทันใดนั้นธีธัชก็วิ่งพรวดพราดเข้ามา
“กร”
กรกนกหันมา ธีธัชรีบเดินเข้ามาหา
“ไอ้กริชมันเพิ่งบอกผมเรื่องที่กรจดทะเบียน แล้วก็กำลังจะไปญี่ปุ่น ทำไมกรไม่โทร.บอกผมสักคำ”
“ไม่คิดว่าธีจะสนใจนี่คะ”
“โธ่...เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ผมต้องสนใจสิ แล้วนี่ทำไมตัดสินใจรวดเร็วแบบนี้ ท้องเหรอ” ธีธัชพูดพลางยื่นหน้าเข้ามาถาม
“บ้าเหรอ กรยังไม่เคยนอนกับเค้า ธีธัชตัวจริง คิดแต่เรื่องแบบนี้”
“อ้าว...ก็มันจะมีเหตุผลอะไรอีกล่ะ”
“โอบเค้าถูกส่งไปทำงานที่ญี่ปุ่น เอาภรรยาตามไปได้ พอจดทะเบียนปุ๊บ ก็มีคนทำวีซ่าให้ได้เลย กรก็เลยตัดสินใจไปแบบไม่ต้องคิดมาก”
“แล้วงาน แล้วชีวิตที่นี่ กรไม่เสียดายเหรอ”
“ธี มีใครบ้างได้ทุกอย่าง มันก็ต้องสละไปบ้าง”
“เค้าต้องเป็นคนดีมากๆ กรถึงได้ยอมสละมากขนาดนี้”
“เค้าดี...ที่เค้ารักกรมาก เค้าดี..ที่เค้าไม่สนใจอดีตของกร เท่านี้มันก็ดีมากพอแล้วล่ะค่ะ”
ธีธัชมองกรกนกแล้วก็ยิ้มออกมานิดๆ
“ดีใจด้วยนะกร ถ้าคุณคิดดีแล้ว ผมก็ขอให้คุณมีความสุขกับทุกสิ่งที่คุณได้เลือกแล้ว”
“ธีก็เหมือนกัน ขอให้มีความสุขมากๆกับ “คน” ที่ธีได้เลือกแล้ว..โชคดี”
กรกนกยิ้มลา และหันมาลากกระเป๋าไป ธีธัชรีบเข้ามาช่วย
“ผมช่วย”
กรกนกยิ้มและส่งกระเป๋าให้ ทั้งสองคนเดินออกจากห้องไป .ธีธัชยกกระเป๋าไปส่งในฐานะเพื่อนที่แสนดี..
โอบบุญยืนอยู่พร้อมสัมภาระพร้อมโหลดขึ้นเครื่องภายในสนามบินสุวรรณภูมิ อรุณศรียืนหน้าทำหน้าจ๋อยๆ
“แกอย่าบอกนะว่าจะร้องไห้”
อรุณศรีน้ำตาร่วงทันทีหลังจากโดนทัก โอบบุญรีบดึงน้องสาวเข้ามากอด
“ไอ้บ้า อย่าร้องสิเว้ย เดี๋ยวฉันก็ร้องด้วยเลย ร้องไห้ตอนนี้เดี๋ยวคุณกรมาเห็น เสียแมนหมด”
“โอเค..ไม่ร้องก็ได้” อรุณศรีขำแล้วรีบปาดน้ำตา พยายามยิ้ม
โอบบุญคลายกอด แล้วก็มองหน้าอรุณศรี
“ฉันอยู่ญี่ปุ่น บินแค่หกชั่วโมงก็เจอกันแล้วเร็วกว่าขับรถขึ้นแม่ฮ่องสอนอีก แกจะไปหาฉันเมื่อไหร่ก็ได้ ร้องไห้ทำไมเนี่ย”
“ก็มันใจหายนี่..ต่อไปนี้ ฉันก็ต้องอยู่บ้านคนเดียว ไม่มีพี่ทำกับข้าวให้กินด้วย”
“ไม่อยากอยู่คนเดียวก็..หาคนมาอยู่ด้วยดิ”
โอบบุญพูดเป็นนัยๆ อรุณศรีมองหน้า ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร
“เออ ตอนนี้เรื่องปรานต์ก็เรียบร้อยไปแล้ว อย่าลืมเอารถไปคืนเจ้านายด้วยล่ะ เกรงใจเค้า” โอบบุญทำเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง
“รู้แล้วน่า..ว่าจะเอาไปคืนวันนี้แหละ ภารกิจสุดท้ายก็ขับรถมาส่งพี่โอบไง ออกจากสนามบินก็ว่าจะไปหาคุณกริช เอารถคืนเลย”
“ดีมาก! ทำถูกต้องแล้ว รีบไปเลยนะ ไม่ต้องแวะที่อื่น” โอบบุญหน้าตาดีใจสุดๆ
“ขนาดนั้นเลย มีอะไรในใจหรือเปล่าเนี่ย”
โอบบุญชะงักรีบเปลี่ยนเรื่อง
“ไม่มี ก็แค่เป็นห่วงแค่นั้นเอง”
ทันใดนั้นเสียงข้อความเข้ามือถือโอบบุญดังขึ้น โอบบุญรีบหยิบมาอ่าน
โอบบุญเงยหน้าบอกอรุณศรี
“คุณกรมาแล้ว เดี๋ยวพี่ไปรับเค้าก่อนนะ ส่วนเรา..กลับไปได้เลย ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพี่ดูแลเอง”
“อ้าว.ไล่เลยงี้”
“เออดิ หญิงมาแล้ว น้องก็กลับไปได้”
“โห..คนเรา”
“แล้วอย่าลืมรีบเอารถไปคืนเจ้าของเค้าด้วยรู้เปล่า”
“รู้น่า”
“ไปล่ะ” โอบบุญยกมือลาอรุณศรี
อรุณศรียกมือไหว้
“สวัสดีค่ะ เดินทางปลอดภัยนะพี่โอบ”
โอบบุญยิ้มรับ แล้วก็รีบเข็นรถไปอย่างรวดเร็ว อรุณศรีมองตามพี่ชาย ใจหายแว่บ โอบบุญแอบหันมามองเห็นว่าอรุณศรีเดินไปแล้ว ก็รีบกดโทรศัทพ์โทร.ออก
“ทุกอย่างเรียบร้อย .. ขอให้โชคดี ผมฝากน้องสาวด้วย”
โอบบุญวางสายไปพร้อมกับรอยยิ้มอย่างมีความสุข
เสียงออดดังขึ้นที่หน้าห้องของกริชชัย อรุณศรียืนรออยู่ข้างนอก ในมือถือกุญแจรถเตรียมจะคืน..อรุณศรีเห็นไม่มีเสียงตอบ สักพักก็กดออดอีกที เงียบอีก..
อรุณศรีกำลังจะกดอีกครั้ง แต่เหลือบไปเห็นว่าประตูถูกเปิดค้างไว้อยู่ ขณะนิ่งคิด..จู่ๆก็มีข้อความเข้า อรุณศรีกดอ่าน ข้อความที่มือถือขึ้นว่า “เข้าไปเลย”
อรุณศรีค่อยๆ เปิดประตูเดินเข้ามา..ตกตะลึงไปกับห้องที่เปลี่ยนไป ที่เหมือนกับที่เธอเคยเข้ามาในห้องนี้เมื่อครั้งที่มีปาร์ตี้ บัดนี้ห้องถูกเนรมิตกลายเป็นแกลลอรี่เล็กๆ มีภาพวาดของกริชชัยแสดงโชว์อยู่
รูปทั้งหมดเป็นภาพอรุณศรีในอิริยาบถต่างๆ ที่ถ่ายทอดผ่านมุมมองของกริชชัย เริ่มตั้งแต่เจอกันวันแรกที่เธอวิ่งไล่เก็บภาพวาดของเขาในสวน อรุณศรีเดินเข้ามาดูแล้วถึงกับอึ้งไป ไล่มองไปทีละภาพ
ภาพที่นอรุณศรีวิ่งเก็บภาพ ภาพตอนฝนตก และกริชชัยเข้ามาพร้อมร่ม ภาพเธอกินก๋วยเตี๋ยว
อรุณศรีเดินตามมาดูรูปต่อไป ราวกับโดนสะกด ทุกภาพล้วนมาจากเหตุการณ์จริงๆ จนมาถึงรูปสุดท้ายคือ รูปเธอใส่ชุดสวยและออกงานพร้อมกับเขา ในงานเปิดตัวนาฬิกาเมื่อไม่นาน
ระหว่างที่อรุณศรีตะลึงค้างอยู่ด้วยความตื่นเต้น ทันใดนั้นเสียงกริชชัยก็ดังขึ้น
“ต้องขอโทษด้วย ถ้าบางรูป ผมวาดได้ไม่สวยเท่าตัวจริง”
อรุณศรีค่อยๆหันมา....กริชชัยยืนอย่างหล่ออยู่ข้างหลัง
“เอ่อ..” อรุณศณีอึกอักด้วยความอาย
“ฉันเอากุญแจรถมาคืนค่ะ” อรุณศรีบอกต่อ
“ขอบคุณครับ”
กริชชัยรับกุญแจมาแล้วถามอรุณศรีต่อ
“คุณชอบรูปพวกนี้หรือเปล่า”
“ชอบค่ะ..ชอบมาก.. ฉันเพิ่งรู้ว่าคุณชอบวาดรูป คุณวาดรูปตอนฉันเก็บภาพที่มันปลิวลงมาจากตึก หรือว่า .. รูปที่ปลิวลงมา”
“ผมเป็นคนวาดเอง”
อรุณศรีร้อง “อ๋อ” ออกมา
“วันนั้นเป็นวันที่ผมเจอคุณครั้งแรก และผมก็ตกหลุมรักคุณตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา” กริชชัยพูดตรงๆ ซื่อๆ
“ขนาดนั้นเลยเหรอคะ “
“ผมว่าอาจจะมากกว่านั้นนิดหน่อย ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมอยากอยู่ใกล้ๆคุณ คอยดูแล คอยปกป้อง และทำให้คุณมีความสุข”
อรุณศรียิ่งฟังกริชชัยก็ยิ่งอึ้ง
“คุณคงพอจะรู้ว่าผมเป็นคนทื่อๆ ตรงๆ ประดิษฐ์คำพูดไม่ค่อยเป็น ผมพยายามจะหาคำเก๋ๆ เท่ๆ แล้ว แต่มันไม่มีคำไหนที่มันจะดีไปกว่าคำว่าผมรักคุณ”
อรุณศรีถึงกับน้ำตาซึมด้วยความซาบซึ้ง
“มันเป็นคำที่ปรากฎขึ้นมาในสมอง ทุกครั้งที่คิดถึงคุณ คุณคือผู้หญิงที่ผมอยากดูแลไปตลอดชีวิต ถ้าคุณไม่รังเกียจที่จะมีผมเป็นคนดูแล”
กริชชัยจับมืออรุณศรีและพูดออกมาจากใจ
“แต่งงานกับผมนะ” กริชชัยพูดต่อจนจบประโยค
อรุณศรีน้ำตาซึมๆด้วยความประทับใจ อรุณศรีตอบพร้อมรอยยิ้ม
“ถ้าคุณคิดว่าฉันมีค่ามากขนาดนั้น...ฉันก็ไม่รังเกียจค่ะ”
“คุณมีค่าสำหรับผมเสมอ” กริชชัยพูดพลางยิ้มกว้างและค่อยๆดึงอรุณศรีเข้ามากอด...สองคนยืนกอดกันอยู่ท่ามกลางภาพชีวิตของอรุณศรีที่กริชชัยใช้ใจวาดขึ้นมามากมาย
และไม่นานหลังจากนั้นภายในคอนโดเดียวกัน ธีธัชกับวัชระถึงกับร้องขึ้นพร้อมกันอย่างตกใจกับข่าวดีของเพื่อน
“อรุณศรียอมแต่งงาน”
กริชชัยนั่งเลือกแหวนอยู่ ข้างหน้ามีกล่องแหวนวางอยู่ เกือบ 10 กล่อง กริชชัยเงยหน้ามาตอบ
“เออ ฉันกำลังเลือกแหวนแล้วก็เตรียมงาน ป้าจามจุรีหาฤกษ์ให้ได้เดือนหน้า”
สองหนุ่มตกใจหนักขึ้นไปอีก
“เดือนหน้า”
“ทำไมเร็วแบบนี้วะ”
“ไม่กลัวคนอื่นคิดว่าท้องก่อนแต่งเหรอ”
กริชชัยส่ายหน้าในความไร้สาระแล้วก็เลือกแหวนต่อ
“ถ้าฉันจะขอฝ้ายแต่งงานตอนนี้จะทันมั้ยวะ” วัชระโพล่งออกมา
ธีธัชหันขวับมาทางวัชระ
“แล้วทำไมแกต้องแต่งพร้อมไอ้กริชด้วย”
“ก็ฝ้ายกับแอ๊วเค้าเป็นเพื่อนสนิทกัน จิตวิทยาหมู่น่ะ พอเพื่อนแต่ง เค้าอาจจะอยากแต่งด้วย ถ้าฉันขอตอนนี้มีสิทธิ์ตอบตกลงสูงมาก ฉันรีบหาวิธีขอแต่งงานดีกว่า ไอ้กริช ทำไว้ซะหวานเลย น้อยหน้าไม่ได้” วัชระบอก
“ฉันคิดออกแล้ว” ธีธัชเริ่มหวั่นใจและโพล่งออกมา
วัชระกับกริชชัยหันขวับมา
“แกคิดอะไรออก”
“วิธีขอแต่งงานกับเภา”
“เฮ้ย แกเนี่ยนะจะแต่งงานกับเภา” วัชระโพล่งออกมา
“เออดิเว้ย ฉันบอกแล้วว่าฉันจริงจัง แล้วฉันก็เห็นด้วยกับแก เภากับไอ้กริชสนิทกัน เภาเห็นไอ้กริชแต่งงานอาจจะอยากแต่งด้วย ฉันขอตอนนี้ดีที่สุด”
กริชชัยส่ายหน้าอีก
“แกสองคนนี่มันบ้าจริงๆ ลอกกันเห็นๆ”
“เออ แล้วแกจะขอเภายังไง บอกมาดิ เผื่อฉันจะลอกบ้าง” วัชระบอก
“ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ แต่รับรองว่า....เซอร์ไพรส์”
ธีธัชว่า และเริ่มหัวเราะเจ้าเล่ห์เหมือนลำเภา “หึหึหึ”
อ่านต่อหน้า 4 เวลา วันนี้ เวลา 18.00 น.
สามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 23 อวสาน (ต่อ)
เช้าวันต่อมาที่บ้านจามจุรีบรรยากาศแสนสดใส ลำเภายังคงตื่นแต่เช้า อาบน้ำแต่งตัวอย่างสบายอารมณ์ ระหว่างแต่งตัวลำเภาจามติดๆ กัน 2 ที
“มีใครนินทาอยู่หรือเปล่าเนี่ย”
ลำเภารู้สึกเหมือนผิดกลิ่น ทำจมูกฟุดฟิด แล้วก็เดินมาที่ระเบียงเพื่อเปิดม่าน ทันใดนั้นเองลำเภาก็ต้องตื่นตะลึงเพราะสนามหน้าบ้านถูกเนรมิตให้กลายเป็นละครสัตว์ขนาดย่อมๆ มีน้องหมาวิ่งเล่นไปมา กระโดดลอดห่วง มีคนแต่งชุดตัวตลกเล่นกับสัตว์ดูบรรยากาศสนุกสนานสุดๆ เสียงดนตรีคาลนิวัล ลำเภามองด้วยความตื่นตะลึง
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
ลำเภายิ้มอย่างมีความสุข เดินเข้ามาในสนามที่เต็มไปด้วยน้องหมาที่แต่งตัวแฟนซี ลำเภาเดินมาถามคนที่แต่งตัวชุดตลก
“คุณคะ…นี่มันอะไรกันคะ”
ตัวตลกไม่คุยด้วยเอาแต่เดินหนี ลำเภางงร้อง “อ้าว”
ลำเภาจะเดินไปถามอีกคน ทันใดนั้นดนตรีคาลนิวัลก็หยุด เปลี่ยนแนวเพลง ดนตรีถูกบรรเลงด้วยท่วงทำนองแสนหวานก็ดังขึ้นมาแทน ลำเภาชะงัก บรรดาเหล่าน้องหมาเริ่มมาตั้งแถว..และเปิดตัว เป็นต่อกับพอใจในชุดราตรี และชุดสูทเท่ซะไม่มี ลำเภาหันมาเห็นก็ยิ้มตื่นเต้น
“เป็นต่อ พอใจ”
เป็นต่อกับพอใจเดินเข้ามาหาลำเภา ตัวหนึ่งมีช่อดอกไม้เอามาให้ อีกตัวหนึ่งมีกล่องแหวนมัดไว้ที่หัว
ตัวที่มีดอกไม้เดินมาถึงก็เห่าให้หยิบ ลำเภาหยิบดอกไม้มาดู
ช่อดอกไม้มีการ์ดเขียนไว้ว่า
“แต่งงานกับผมนะเภา ถ้าคุณโอเคหยิบแหวนที่อยู่บนหัวพอใจมาใส่ ผมจะได้รู้ว่าเราใจตรงกัน”
ลำเภายิ้มตื่นเต้น
“ฝีมือนายหมาใหญ่เหรอเนี่ย ทำซะหวานเลี่ยนเลยนะ”
ลำเภาทำเป็นประชด แต่แอบอมยิ้มชอบใจ ลำเภามองหาธีธัช แต่ไม่เห็น
ธีธัชแอบลุ้นอยู่ที่มุมหนึ่งของบ้าน จู่ๆจามจุรีก็โผล่มาแล้วก็โพล่งขึ้น
“ระวังจะแห้วนะ ลงทุนไปตั้งเยอะ เสียดายตังค์แย่” จามจุรีบอก
ธีธัชสะอึก หันขวับมาจามจุรี
“โธ่ คุณแม่คร้าบ..ไม่ให้กำลังใจกันเลย”
จามจุรียักไหล่ทำหน้ามึนใส่
“ก็พูดความจริง อารมณ์ลำเภาเหมือนคนธรรมดาซะที่ไหน ชีวิตนี้จะอยากแต่งงานหรือเปล่าหรอก”
จามจุรีพูดจนธีธัชหน้าเสีย ธีธัชรีบหันไปลุ้นต่อ
ลำเภาอ่านการ์ดแล้วก็คิดๆ ก่อนจะตัดสินใจเอื้อมมือจะหยิบแหวน ที่มัดอยู่กับตัวเป็นต่อ ระหว่างที่ลุ้นจะเข้าด้ายเข้าเข็มอยู่นั้น ทันใดนั้นเป็นต่อก็เกิดเปรี้ยววิ่งหนีขึ้นมาซะงั้น ธีธัชตกใจร้องออกมา
“เฮ้ย”
ลำเภาชะงักค้างไป
“เป็นต่อจะไปไหนลูก”
เป็นต่อวิ่งเปรี้ยวอย่างร่าเริง พอใจนึกสนุกก็วิ่งด้วย หมาตัวอื่นก็สนุกตามวิ่งกันให้พล่านเต็มไปหมด ธีธัชถึงกับหน้าเสียทันที
“เวรแล้วกู”
ธีธัชรีบวิ่งออกมาจากที่ซ่อนทันที
“เป็นต่อกลับมาก่อน...ไอ้เป็นต่อ”
ธีธัชวิ่งไล่จับหมาหน้าตาเลิกลัก
จามจุรีมองหน้านิ่งๆ แล้วก็ยกมือถือมาถ่ายคลิป
“ถ่ายส่งไปให้พ่อดูดีกว่า… อิอิ” จามจุรีทำหน้ากวนนิ่งๆ เหมือนลำเภา
ทั้งธีธัชและลำเภาวิ่งไล่จับเป็นต่อ เป็นต่อก็วิ่งหนีไปอย่างสนุกสนาน สองคนวิ่งไล่จับไปจนหัวชนกัน
“โอ้ย” ลำเภาและธีธัชร้องขึ้นพร้อมกัน
เป็นต่อหันมาเห่า ทั้งสองคนก็วิ่งตามต่ออีก
“ซาลาเปาหยุดก่อน แหวนแพงนะเว้ย .. กลับมา”
“แพงน่ะเท่าไหร่” ลำเภาวิ่งไปถามไป
“ล้านสอง”
“หะ แหวนแต่งงานเนี่ยนะล้านสอง เป็นต่อกลับมาหาหม่ามี๊เดี๋ยวนี้”
ทั้งสองคนยังคงวิ่งไล่จับเป็นต่ออย่างไม่คิดชีวิต ามจุรีถ่ายคลิปไป แล้วก็ส่ายหน้า
“เฮ่อ...เด็กสมัยนี้ ง่ายๆ ไม่เป็น” จามจุรีกดหยุดอัดวิดีโอแล้วก็เดินเข้าบ้านไป
ธีธัชกระโดดมับจับตัวเป็นต่อไว้ได้
“หยุดเลย ไอ้ตัวแสบ....เอาแหวนมานี่เลย”
ลำเภาวิ่งตามมาทรุดตัวลงข้างๆ หอบแห่ก
“เฮ่อ เป็นต่อทำไมเปรี้ยวยังเงี้ยหล่ะลูก”
ธีธัชถือจังหวะชุลมุนรีบหยิบแหวนออกมาแล้วก็จับมือลำเภามาสวมที่นิ้วนางข้างซ้าย
“เฮ้ย ใส่เลยเหรอ ฉันยังไม่โอเคเลยนะ”
“วิ่งตามแหวนซะขนาดนั้นก็ถือว่าเป็นคำตอบล่ะกันนะ..เนียนๆกันไปนะ”
“แหวนสวยดี...แต่งก็ได้”
“เย้”
ธีธัชร้องแล้วโผเข้ากอดลำเภาอย่างแน่น หอมแก้มอีกหนึ่งทีท่ามกลางเหล่าน้องหมาที่วิ่งไปมาอย่างสนุกสนาน ดนตรีบรรเลงดังกระหึ่มขึ้นมาอีกครั้ง
โทรศัพท์วัชระมีข้อความเข้า วัชระหยิบมากดอ่าน เป็นข้อความมาจากธีธัชความว่า
“เภาโอเค..เหลือแกคนเดียวทั่นผู้กอง”
“เวรแล้ว คนสุดท้าย กดดันเว้ย แล้วจะขอยังไงวะเนี่ย”
วัชระคิด..คิด..คิด
สวนดอกไม้สีสวยซึ่งมีลานน้ำพุในสวนธารณะแห่งหนึ่ง สุพรรณิการ์เดินมามองซ้ายมองขวา ก่อนจะกดโทรศัพท์โทร.หาวัชระ
“ฉันมาถึงแล้วนะ อยู่ไหนแล้ว”
“เกือบจะถึงแล้ว ยืนรอตรงน้ำพุนะ จะได้เห็นชัดๆ”
“โอเค”
สุพรรณิการ์วางสายจากวัชระและเดินไปที่บริเวณกลางลานน้ำพุ
ทันใดนั้นก็มีเสียง วงดนตรีของวงดุริยางค์บรรเลงเพลงขึ้นอย่างอึกทึกครึกครื้น สุพรรณิการ์หันไปมองนิดๆ แต่ไม่ได้ใส่ใจมาก คนที่เดินไปมาหันไปมองด้วยความสนใจ ขบวนดุริยางค์เดินตรงมาที่สุพรรณการ์ยืนอยู่ สุพรรณิการ์หันไปมอง และรู้สึกว่าตัวเองคงจะขวางทางก็เลยเดินขยับหนีมาอีกทาง ขบวนก็เดินตามมาอีก จนสุพรรณิการ์เริ่มจะสงสัย ยืนท้าวเอวมองด้วยความงง
“จะเอายังไงกันแน่เนี่ย”
นักดนตรีวงดุริยางค์ก็แปรขบวนล้อมรอบตัวสุพรรณิการ์ และบรรเลงเพลง “พรหมลิขิต” ของสุนทราภรณ์ท
สุพรรณิการ์เริ่มเอะใจ เพลงพรหมลิขิตดังไปทั้งสวน ผู้คนหันมามองด้วยความสนใจมากมาย
“นี่มันอะไรกันแน่”
ทันใดนั้นวงดุริยางค์ก็ค่อยแปรขบวนอีกครั้ง แถวค่อยๆคลี่ออก ขยายออก จนเห็นวัชระยืนยืนอยู่ในชุดเครื่องแบบเต็มยศอย่างเท่ ในมือถือช่อดอกไม้น่ารักๆ สุพรรณิการ์ถึงกับอึ้ง
วัชระเดินเข้ามาหาดนตรียังคงบรรเลงอยู่ วัชระมาหยุดตรงหน้า สุพรรณิการ์น้ำตาเริ่มซึมๆ
“ฝ้าย..ผมรู้ว่าคุณต้องการให้เราเริ่มต้นเรียนรู้กันใหม่ และผมก็รู้ว่าเวลาที่เราเรียนรู้กันมันอาจจะไม่ได้นานมาก แต่มันทำให้ผมรู้ว่าคุณคือคนที่ผมอยากใช้ชีวิตอยู่ด้วยตลอดไป”
ชระคุกเข่าต่อหน้า...เสียงดนตรีแผ่วลง
“ฝ้าย..คุณจะ”
“แต่งค่ะ” สุพรรณิการ์สวนขึ้น
“เฮ้ย”
“แต่งก่อนแล้วค่อยไปเรียนรู้กันหลังแต่งก็ได้ คนเราเรียนรู้กันได้ตลอดชีวิต” สุพรรณิการ์ว่า
“โอเค งั้นก็ตามนั้น” วัชระยื่นช่อดอกกุหลาบสีขาวช่อเล็กสวยให้สุพรรณิการ์
วัชระยืนขึ้นและดึงสุพรรณิการ์มากอด ทั้งสองคนก็กอดกันมีดนตรีบรรเลงเพลงพรหมลิขิตขึ้นมาอีกรอบ คนในสวนมองแล้วก็ยิ้มๆ บางคนถ่ายรูป บางคนถ่ายคลิป บรรยากาศชื่นมื่นมากมาย
วงดนตรีจากร้านสาดสุรากำลังเล่นเพลง “พรหมลิขิต” ในแบบทันสมัยอยู่ในสวนดอกไม้ นักดนตรีใส่ชุดย้อนยุคสมัยสุนทราภรณ์
เบญลี่ในชุดสวยเก๋ เปรี้ยว ปรี๊ด ยืนอยู่ที่เวทีกลางที่ถูกรายล้อมด้วยงานแต่งงานถึงสามบรรยากาศ
งานแต่งงานทั้งสามคู่ - สามงานอยู่ในลานเดียวกัน ส่วนหนึ่งเป็นบรรยากาศย้อนยุคและวงดนตรีเล่นเพลงสุนทราภรณ์ มีรุ่นใหญ่มาเต้นรำ อีกส่วนเหมือนสวนสัตว์ขนาดย่อม มีหมาวิ่งไปมา บรรยากาศสบายๆ น่ารักๆ อีกส่วนเป็นแบบหรูหรา ไฮโซ มีรถเท่ๆจอดคู่กันอยู่สองคัน เหมือนผู้หญิงและผู้ชาย บริเวณรอบๆจัดเหมือนถนนที่มีดอกไม้ และภาพวาดของกริชชัยวางประดับอยู่อย่างสวยงาม
“สวัสดีค่ะทุกๆ ท่าน ..ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่งานแต่งงานในรูปแบบบูรณาการ วัน สต๊อป เวดดิ้ง มาที่เดียว ได้ถึงสามงาน ครบทั้งสามคู่ประหยัดเวลา ประหยัดน้ำมัน และประหยัดงบในการจัดงานมากๆค่ะ”
คนในงานยิ้มขำกับมุกของเบญลี่
เนตรนภัสแต่ตัวสวยเดินเข้ามากับมาร์คในชุดหล่อ
“ทุกท่านจะสังเกตเห็นได้ว่า...ในงานนี้เรามีสามคอนเซปท์ที่บ่งบอกถึงความเป็นตัวตนของเจ้าบ่าวเจ้าสาวแต่ละคู่ หลายคนอาจจะคิดว่า..ตายแล้ว..เก๋จัง คิดได้ยังไง แต่จริงๆแล้ว..กว่าจะมาลงตัวในแบบนี้ มันไม่ง่ายเลยค่ะ”
เบญลี่ยิ้มกว้าง
พื้นที่ในบริเวณแต่งงานแต่เดิมเป็นเป็นพื้นสนามหญ้าโล่งๆ กว้างขวางที่ธีธัช กริชชัย วัชระ มายืนเถียงกันเกี่ยวกับงานแต่งงาน
“ในงานแต่งงาน ฉันอยากเอารถรุ่นใหม่มาโชว์ด้วย” กริชชัยบอก
ธีธัชกับวัชระหันขวับ
“งานแต่งงานนะเว้ย ไม่ใช่มอเตอร์โชว์” วัชระบอก
“นั่นดิ ทั่นประธาน ขายของตลอด” ธีธัชหยอก
“ฉันไม่ได้จะขายรถ แต่รถที่เอามาโชว์เป็นรถที่ฉันสั่งมาเป็นของขวัญให้อรุณศรี เพื่อนๆในแกงค์เค้าอยากเห็น แล้วยังจะรูปที่ฉันวาดให้อรุณศรีอีก ฉันก็อยากเอามาประกอบในงานด้วย แขกที่มาจะได้รู้ที่มาที่ไปของฉันกับเค้า” กริชชัยอธิบาย
ธีธัชเอามั่ง
“ในส่วนของฉันกับเภาก็ต้องมีบริเวณให้ล่ำ เป็นต่อ พอใจ มาวิ่งเล่นด้วย เนี่ยแขกสำคัญนะเว้ย แล้วยังจะเพื่อนๆเค้าอีก”
“เพื่อน “เค้า” เนี่ย เพื่อน ใคร” วัชระถาม
“อ้าว..เพื่อนล่ำ เป็นต่อ พอใจไง” ธีธัชพูดอย่างภูมิใจ
“แกเชิญหมามางานแต่งงานด้วยเนี่ยนะ”
“เออดิ ถ้าไม่เชิญมีงอนแน่”
กริชชัยอึ้ง วัชระพูดขึ้น
“ฉันลืมบอก..ฝ้ายจะให้วงที่ร้านมาเล่นเพลงสุนทราภรณ์ด้วยนะ”
“เออดี..ทั้งหมาทั้งเพลง เดี๋ยวก็ตีกันตาย แล้วไงวะ เปิดฟลอร์ลีลาศด้วยหรือเปล่า” กริชชัยว่า
“แกรู้ได้ไงวะ ญาติๆฝ้ายที่ระยองเตรียมมาแดนซ์กระจายเลยนะเว้ย” วัชระคุยโว
“โห...แล้วมันจะเข้ากันมั้ยวะเนี่ย ทั้งลีลาศ ทั้งหมา”
วัชระหันขวับมาสวน
“โหย..แล้วรถมอเตอร์ไซค์กับภาพวาดของแก เข้ากันตายเลย”
“เออจริง เฮ้ย..ถ้าเกิดล่ำกับเพื่อนวิ่งร่าเริงไปชนรถแกล้ม หรือไปชนภาพวาดแกพังขึ้นมาแกจะทำยังไงวะ” ธีธัชถาม
“เฮ้ย ไม่ได้ แกต้องคอยจับคุณหมาๆของแกอย่ามาเข้าใกล้รถกับภาพวาดของฉันนะเว้ย” กริชชัยบอก
“ไอ้บ้า แล้วฉันจะไปจับยังไงวะ ฉันกับเภาก็ต้องคอยดูแลแขก แล้วหมาก็ไม่ใช่ตัวเดียว มาเป็นฝูง จับไม่ไหวหรอก”
แล้ววัชระก็บรรเจิดไอเดียออกมา
“แกจับไม่ได้ ก็กั้นรั้วไว้เลย ให้คุณหมารับเชิญอยู่ในรั้ว แยกไปเป็นที่เป็นทาง เป็นสัดเป็นส่วนไป”
“เออ ไอ้วัชพูดน่าคิดเว้ย ฉันว่า..จริงๆไม่ใช่แค่น้องหมาที่ต้องกั้น งานเราสามคนกั้นรั้วไปเลย แบ่งเป็นโซนนิ่ง” ไปเดียของวัชระ ทำให้กริชชัยเริ่มหาทางออกกับการจัดงาน
วัชระกับธีธัชหันมางงๆ
“แกอยากจะย้อนยุคเรโทรก็กั้นไป ส่วนแกอยากจะรักสัตว์ก็จัดเต็มไป ส่วนฉันอยากโชว์อะไรก็โชว์ แล้วเราก็ทำเวทีไว้ตรงกลางหนึ่งอัน เอาไว้จัดงาน .. แค่นี้เป็นอันครบจบพิธี”
วัชระกับธีธัชพยักหน้าเห็นด้วย... “เออจริงเว้ย”
เสียงเบญลี่ดังเข้ามาอีก
“หลังจากถกเถียงกันอย่างหนัก ทั้งสามหนุ่มของเราก็ได้งานแต่งงานแบบเมดเลย์อย่างที่ทุกคนได้เห็นกันในวันนี้ “
เบญลี่ยิ้มกว้างและพูดต่อ
“เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ขอเชิญเจ้าบ่าวเจ้าสาวของเราทั้งสามคู่ขึ้นมาบนเวทีเลยดีกว่าค่ะ ขอเชิญค่า”
เบญลี่ตบมือนำ...คนในงานตบมือตาม
คู่ของกริชชัยและอรุณศรีเดินออกมาในชุดแต่งงานแนวหรูหราไฮโซทั้งคู่ ดูสวยสง่าราวกับเจ้าชายและเจ้าหญิง
ธีธัชและลำเภาเดินออกมาในชุดแต่งงานน่ารักน่าชัง มีกลิ่นอายของเฟอร์ ขนๆ ฟูๆ ดูลำลองๆนิดๆ แต่รักเก๋ไก๋สมวัย ธีธัชลำเภาเดินมา ล่ำ เป็นต่อ พอใจ เห่ารับอย่างมีความสุข พร้อมกับกลิ้งไปมา จามจุรียืนยิ้มกริ่ม..ถ่ายคลิปเก็บไว้อีกตามเคย ข้างๆมีพ่อของลำเภายืนอยู่ด้วย
วัชระและสุพรรณิการ์ออกมาในลีลาแทงโก้ที่ไม่เหมือนใคร เสียงเพลงของวงดนตรีดังรับอย่างสนุกสนาน สองคนอยู่ในชุดแต่งงานสุดเท่ ไม่หรูไป ไม่หวานไป เท่ๆ เก๋ๆ เหมาะกับการเต้นรำ เมื่อวัชระ สุพรรณิการ์ออกมาปุ๊บ เสียงกรี๊ดของคนในงานก็ดังสนั่น ลีลาการเต้นของสองคนยังเรียกเสียงฮาจากคนในงานได้อย่างน่ารักน่าชัง
เนตรนภัส และมาร์คยืนอยู่ในงาน เนตรนภัสตบมือแล้วก็ขำในความกล้าของวัชระ คนในงานเต็มไปด้วยความสุข ชื่นมื่น ....
“ต่อไปจะเป็นการสร้างความร้าวฉาน เพราะเราอิจฉา”
บนเวทีเห็นเบญลี่ยืนอยู่ บ่าวสาวทั้งสามคู่ นั่งเป็นคู่ๆ แต่ละคู่หันหลังชนกัน
“เราจะให้ทั้งสามคู่มาเล่นเกมเล็กๆน้อยๆ เป็นการเช็คว่าแต่ละคู่เค้ารักกันมากแค่ไหน แล้ว..รักกันจริงป่ะ ? ด้วยคำถามที่แสนง๊าย...ง่าย พอเบญลี่ถามแล้วแต่ละคนจะตอบด้วยป้ายที่ถืออยู่ ห้ามแอบดูกันนะคะ ถ้าตอบตรงกันก็ถือว่าใจตรงกัน ถ้าตอบไม่ตรงกันก็ต้องไปเคลียร์กันเอง”
ป้ายในมือของแต่ละคน ฝ่ายหญิงถือ “ฉันเอง” อีกด้านหรือ “เขาคนเดียว” ส่วนฝ่ายชายถือป้าย “ผมครับ” และ “เธอเท่านั้น”
“เบญลี่จะถามคำถามเดียวกันทั้งสามคู่ แต่ละถามทีละคู่ เริ่มจากคู่นี้ก่อนเลยนะคะ คู่เล็กกระทัดรัด คุณธีธัชและน้องลำเภา คำถามมีอยู่ว่า...ระหว่างสองคน...ใครเป็นฝ่ายเริ่มรักก่อน ตอบค่ะ”
ธีธัชยกป้าย “เธอเท่านั้น” ลำเภายกป้าย “เขาคนเดียว” สองคนหันมาดูป้ายแล้วก็โวย
“ไม่จริงเลย ฉันไม่ได้เริ่มต้นรักก่อนสักหน่อย ตัวเองนั่นแหละเริ่มก่อน”
“แต่ที่เค้าเริ่มก่อน เพราะตัวเองนั่นแหละแสดงออกมาก่อนว่าชอบ แต่ไม่ยอมรับต่างหาก”
“ที่ไม่ยอมรับ เพราะไม่ได้ชอบต่างหาก ตัวเองนั่นแหละมาตามตื้อเค้า ขอเป็นแฟน”
“แต่ตัวเองเป็นฝ่ายมาตามตื้อโมเม เป็นแฟนเค้าก่อนนะ”
ทันใดนั้นเบญลี่ก็แทรกเข้ามา
“เราข้ามไปคู่ต่อไปเลยดีกว่าค่ะ”
ลำเภายังไม่ยอม
“ตัวเองนั่นแหละ” / “ตัวเองนั่นแหละ”
ทั้งธีธัชและลำเภาแง้วๆ ใส่กัน ไม่มีใครยอมใครอีกตามเคย
วัชระและสุพรรณิการ์นั่งหันหลังให้กัน เบญลี่เดินเข้ามา
“แล้วคู่นี้ล่ะคะ ระหว่างคุณวัชระ ผู้กองหน้าเข้ม กับน้องฝ้าย สุพรรณิการ์ อยากรู้จังว่า ใครเป็นฝ่ายเริ่มรักก่อนคะ ตอบค่ะ”
วัชระชูป้าย “ผมครับ” สุพรรณิการ์ชูป้าย “ฉันเอง” สองคนหันมาดูแล้วยิ้มอายทำหวานใส่กัน ข้ามหัวเบญลี่ที่ยืนอยู่ตรงกลาง
“ฝ้ายชอบผมก่อนจริงๆ เหรอ ทำไมไม่เคยรู้เลย”
“ก็จะบอกได้ไง มีแฟนอยู่ไม่ใช่เหรอ แล้ววัชน่ะ ชอบฝ้ายจริงๆ เหรอ ไม่เห็นจะรู้เหมือนกัน”
“มันก็ชอบอ่ะนะ แต่เหมือนแบบไม่แน่ใจ รู้แค่ว่าอยากเจอทุกวัน อยากอยู่ใกล้ๆ อยากทำอะไรๆ ด้วย”
สาวๆ ในงานกรี๊ดด้วยความอิจฉา สุพรรณิการ์ยิ้มอายๆ
“จริงเหรอ”
“จริงสิ”
เบญลี่ทนไม่ได้แทรกขึ้นมา
“บทจะหวานก็หวานขึ้นมาซะงั้น อิจฉาค่ะ ขอไปคู่สุดท้ายเลยแล้วกันนะคะ”
วัชระกับสุพรรณิการ์ยังมองกันอย่างหวานฉ่ำ สมกับที่ฝ่าอุปสรรคกันมาอย่างโชกโชน เบญลี่เดินไปที่คู่ของกริชชัยและอรุณศรี
คู่ของกริชชัยและอรุณศรี..นั่งรออยู่ด้วยความตื่นเต้น
“คู่สุดท้ายเป็นคู่ที่เบญลี่เชียร์จนแทบจะขาดใจ สุดท้ายก็ได้กัน”
กริชชัยกับอรุณศรียิ้มอายๆ
“คู่ของทั่นบอส และ น้องอรุณศรีค่ะ”
กริชชัยและอรุณศรีนั่งหันหลังให้กัน
“อยากรู้จริงๆ เลยว่า ระหว่างบอสกริชชัยและน้องอรุณ ใครเป็นฝ่ายเริ่มรักก่อน ตอบค่ะ”
กริชชัยชูป้าย “ผมครับ” อรุณศรีชูป้าย “เขาคนเดียว” เบญลี่และคนในงานกรี๊ดถูกใจ ทั้งสองคนหันมาดูคำตอบแล้วก็ยิ้ม กริชชัยยิ้มพอใจ อรุณศรียิ้มอายๆ
“มันยังไงคะทั่นประธาน”
“ผมเริ่มก่อนเลยครับ แอบรักมานานแล้ว รักโดยที่ไม่รู้ด้วยว่าเค้ารักหรือเปล่า แต่ผมแน่ใจว่าผมรักอรุณศรีแน่ๆ และจะรักตลอดไป”
สาวๆ ในงานเพิ่มกำลังกรี๊ดด้วยความอิจฉา อรุณศรียิ้มอาย น้ำตาซึม กริชชัยเช็ดน้ำตาให้อรุณศรีอย่างอ่อนโยนและหอมแก้มอย่างน่ารัก คนในงานกรี๊ดและตบมือดังกึกก้อง
เสียงวัชระดังขึ้น
“ทั่นประธานอย่าขโมยซีนสิครับ แบบนี้มันต้องแชร์”
วัชระพูดจบก็พุ่งไปหอมแก้มสุพรรณิการ์แบบไม่ให้ทันตั้งตัวจนอีกฝ่ายร้อง “ว้าย”
“เค้าหอมกันหมดเลย ขอมั่งดิ” ธีธัชบ่น
ธีธัชก็พุ่งมาหอมแก้มลำเภาทันที ลำเภาสะดุ้งนิดๆ แล้วก็ยิ้มโหดๆ
“เนียนนะ...แบบนี้ต้องเอาคืน”
แล้วลำเภาก็จับหน้าธีธัชล็อคแล้วก็กระหน่ำหอมอย่างบ้าคลั่งเป็นการแกล้ง ธีธัชขำคิกคักชอบใจ
“โอ้ย…หอมทีเดียว เอาคืนเยอะจัง”
ทั้งสามคู่ค่อยๆลุกขึ้นยืน และหันมาทางแขก เสียงของอรุณศรีดังแทรกเข้ามา
“If so many men, so many minds, certainly so many hearts, so many kinds of love.”
คำคมประโยคนี้เป็นของ เลโอ ตอลสตอย นักคิดนักเขียนผู้ทรงอิทธิพลแห่งรัสเซีย
กริชชัยถอดความว่า
“ถ้าคนยิ่งมาก ความรู้สึกยิ่งหลากหลาย หัวใจยิ่งมากมาย ความรักยิ่งหลากหลายรูปแบบ”
วันนี้...กริชชัย อรุณศรี วัชระ สุพรรณิการ์ ธีธัชและลำเภา ยืนอยู่ในชุดแต่งงาน ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความรักที่แสนอบอุ่นและสวยงาม ซึ่งพวกเขาจะบันทึกและจารจำช่วงเวลานี้ไว้ในใจไปตราบนานเท่านาน
จบบริบูรณ์