xs
xsm
sm
md
lg

เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 23

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 23

สไบสั่งให้แหว่งไปตามเมินมาพบ โดยเธอนั่งรออยู่ที่รถจี๊ป ไม่นานนัก เมินเดินลุยน้ำเข้ามาหา โดยมีแหว่งวิ่งตามมาติดๆ ด้วยท่าทีใส่จริต เมินมองหน้าสไบด้วยความแปลกใจ
 

“คุณต้องการพบผมเรื่องอะไร”
“พวกชาวนากำลังลำบาก ตอนนี้น้ำท่วมทุ่ง ข้าวในนาเสียหาย คุณจะอยู่อดตายกับชาวบ้าน หรือว่าจะไปอยู่สุขสบายกับท่านเศรษฐี”
เมินนิ่งๆแต่ครุ่นคิด
“เศรษฐีบุญช่วยส่งคุณมาเจรจากับผมหรือ”
“ฉันเป็นคนออกความคิดให้ท่านเศรษฐีดึงคุณมาเป็นพวก คุณกำลังถูกเมียทิ้งศรีแพรไม่ดูดำดูดีคุณแล้ว คุณจะรออะไรอีก”
“เอ้อ...ถ้าผมไปอยู่กับเศรษฐีบุญช่วย ผมจะได้อะไร”
“ทุกอย่างที่คุณต้องการ”
“แล้วหน้าที่ของผมล่ะ”
แหว่งส่งสายตาลุ้นๆ สไบเชิดหน้าตอบด้วยสีหน้ากระหยิ่ม
“เป็นคนคุ้มกันฉัน !”

ศรีไพรและแสนสำรวจความเสียหายของนาที่ถูกน้ำท่วม แสนเห็นสภาพแล้วอยากร้องไห้
“พี่ศรีไพรดูซิ เพิ่งจะหว่านจะดำ เพิ่งจะลงแรงช่วยกันทำนาจนได้ที่ เสียหายยังงี้ถึงจะเกี่ยวได้บ้างก็ไม่คุ้มแรงที่ลงไป”
“ทำยังไงล่ะแสน มันเป็นเรื่องภัยธรรมชาติ ไม่ใช่เราเสียหายคนเดียว ชาวนาทั้งบ้านนาก็เสียหาย”
“แล้วพี่จะทำยังไงล่ะ”
“พี่ก็ยังไม่รู้เลย ไป...กลับบ้านกันเถอะ”
ศรีไพรและแสนเดินไปด้วยกัน แล้วชะงักเมื่อเห็นเมินอยู่กับสไบ ขณะที่สไบพยายามหว่านล้อมเต็มที่
“เชื่อฉันเถอะ เศรษฐีบุญช่วยต้องการตัวคุณ นี่เป็นโอกาสที่คุณจะทำงานสบายๆ มีเงินไม่อั้น คุณกับศรีแพรเลิกกันแล้วจะลังเลอะไรอีก”
“ผมจะคิดดู”
“ฉันจะรอ ไป นังแหว่ง กลับ...”
“ค่ะ คุณสไบของบ่าวขา”
สไบและแหว่งขับรถยนต์เฉียดศรีไพรและแสน น้ำสาดกระจายทั้งสองกระโดดหลบ ก่อนมองไปยังเมิน ศรีไพรหันมาสบสายตาแสนด้วยความแปลกใจ
“ก็ไหนว่าพี่เมินเขาจะบวชไงล่ะ”

ค่ำคืนนั้น ศรีแพรและสดต่างมีความสุข จัดเตรียมหมอน อุปกรณ์สำหรับงานบวช
“พี่เมินเขาจะบวช เขาคงจะเพิ่งคิดได้ว่าเขาโตมาเพราะข้าวก้นบาตร แม่...หมอนใบนี้ฉันจะปักไหมเพิ่ม ฉันถือหมอนนะแม่นะ”
สดยิ้มให้ลูกสาว
“ก็เป็นใครไปได้ล่ะ เฮ้อ...ไอ้เมินมันได้บวช แม่ก็ปลื้มเหมือนลูกชายตัวเองบวชให้ ถึงจะโกนหัวเข้าวัดแต่ชาวนาก็พร้อมใจจะช่วยกัน”
ศรีไพรที่นั่งมองอยู่กับแสน รู้สึกไม่สบายใจ เพราะเห็นเมินและสไบนัดพบกัน
“แต่ตอนนี้น้ำยังไม่ลดเลยนะแม่”
“ก็บวชทั้งที่น้ำท่วมยังงี้แหละ ชาวบ้านนาจะได้อิ่มบุญ พรุ่งนี้หลวงพ่อท่านออกโปรดสัตว์ ท่านคงจะบอกบุญเรื่องไอ้เมินด้วย”
“แม่จ๋า ฉันมีความสุขจังเลย พอพี่เมินบวชแล้ว จะได้เบียดละ”
ศรีแพรและสดต่างหัวเราะต่อกระซิก ช่วยกันจัดข้าวของอย่างมีความสุข แสนขยับปากจะพูดแต่ศรีไพรปิดปากไว้แล้วลากแสนออกไป แสนพยายามดิ้นรน
“ปล่อยนะ ฉันจะฟ้องพี่ศรีแพรว่า...”
“อย่านะ...”
“ฉันจะพูด”
“พูดแล้วได้อะไรขึ้นมา”
“พี่ศรีแพรจะได้รู้ไงว่าถูกหลอก พี่เมินกับนังสไบนัดพบกัน”
“แสน น้องอยากเห็นพี่ศรีแพรร้องไห้หรือ น้ำกำลังท่วมก็ทุกข์พอแล้ว ยังจะเอาทุกข์ไปถมทับพี่ศรีแพรทำไม”
“แล้วพี่จะปล่อยให้มันเป็นยังงี้หรือ”
“มองโลกในแง่ดีเข้าไว้แสนเอ๋ย มีอยู่ทางเดียวจริงๆ เราต้องมองโลกในแง่ดี...เฮ้อ!”
ศรีไพรถอนหายใจอย่างหนักใจ

เช้าวันใหม่ หมอกและมหาเฉื่อยพายเรือให้หลวงตา บนเรือมีถังสังฆทานมากมาย เรือลอยลำมาถึงหน้าบ้านกล่ำ มหาเฉื่อยตะโกนเรียก
“ไอ้กล่ำ นังช้อย ไอ้กล่ำโว้ย”
ช้อยส่งเสียงมาจากในบ้าน
“นิมนต์ข้างหน้าก่อนเถอะท่านมหา ไม่มีข้าวจะใส่บาตร น้ำท่วมข้าวหมดแล้ว จนใจจริงๆจ้ะ”
“หลวงตาท่านไม่ได้มาบิณฑบาตรหรอก แต่ท่านจะมาโปรดสัตว์ กล่ำ ช้อย อุ้มลูกออกมานั่งพับเพียบที่ชานเรือน” หมอกตะโกนกลับไป
ช้อยกับกล่ำออกมากราบหลวงตา
“ข้าเอาถังสังฆทานมาแจกจ่ายให้ ก็ของที่พวกเอ็งเอาไปถวายสังฑทานกับพระที่วัดนั่นแหละ มีข้าวสารอาหารแห้ง คงพอช่วยได้บ้างก่อนที่น้ำจะลด”
กล่ำกราบหลวงตาอีกครั้ง
“หลวง...หลวงตา”
“สู้ๆ โว้ย” หลวงตาให้กำลังใจ
หมอกทำมือเป็นรูปหัวใจส่งให้กล่ำและช้อย ทั้งสองน้ำตาคลอ ก้มลงกราบ
“ไปกันได้แล้วท่านมหา”
มหาเฉื่อยยิ้มให้กล่ำกับช้อย
“ไปละพุทธบริษัทจำกัด น้ำท่วมก็หาปลาซิวะ อยู่แต่บนเรือนทำลูก เดี๋ยวก็ออกมาให้เลี้ยงอีก ลูกน่ะมีให้มันพอประมาณมันจะได้มีคุณภาพดีๆ”
หลวงตาส่งเสียงกระแอม
“ไปได้แล้วท่านมหา อย่ามัวแต่เทศน์อยู่เลย หน้าที่เทศน์โปรดสัตว์น่ะยกให้พระเถอะ”
หมอกสอดขึ้นทันที
“มหา...ไม่ต้องสะ...สะ...”
มหาเฉื่อยส่งสายตาดุ
“ไอ้หมอก หนอย...ท่านมหาหวังดีโว้ย หาว่าท่านมหาสะ...”
“สะเออะ!” หมอกพูดต่อให้
มหาเฉื่อยชักฉุน
“ไอ้หมอก!”
หลวงตาส่ายหน้าเอือมๆอีกรอบ
“ไปกันได้หรือยังล่ะ หรือจะให้พระเจ้าจำวัดที่นี่”
มหาเฉื่อยยิ้มแหยๆ
“ไปเดี๋ยวนี้แหละขอรับ”
หมอกกับมหาถอยเรือออก
“ไอ้เมินมันบวชเมื่อไหร่ผมจะไปช่วยครับหลวงตา” กล่ำส่งเสียงตะโกนตามหลัง

ศรีแพรและสดช่วยกันเก็บกวาดขยะหลังน้ำลด ขณะที่แสนและศรีไพรเพิ่งกลับจากท้องนา...
“แม่ น้องกลับมาแล้ว”
“เป็นยังไงบ้าง น้ำฝั่งโน่นลดหรือยัง” สดถามอย่างเป็นห่วง
“น้ำลดแล้วละแม่ ตอนนี้ทุกคนกำลังเก็บข้าวของที่จมน้ำขึ้นบก พรุ่งนี้ฉันจะไปพบนายอำเภอ เผื่อทางราชการจะมีมาตรการช่วยเหลือช่วยนา”
“ข้าว...” สดเสียงสั่นสะเทือนใจ
ศรีไพรเข้ามากอดแม่อย่างปลอบโยน
“แม่ อย่าคิดมากเลย ข้าวท่านเสียหายปีนี้ น้ำลดแล้วเราก็ทำกันใหม่ ถึงจะขาดแรงงานไปบ้าง เราก็ช่วยกันลงแขกได้”
“แม่ไม่ต้องห่วงหรอก พี่เมินเขาคงจะบวชไม่นาน พอสึกออกมาแล้วเขาต้อง มาช่วยเราแน่ๆ” ศรีแพรบอกอย่างมั่นใจ
ศรีไพรและแสนต่างมองหน้ากัน มองไปยังศรีแพรเห็นพี่สาวเต็มไปด้วยความหวัง ศรีไพรสะเทือนใจ
“ถึงจะไม่มีใครช่วยเราก็ต้องทำ”
“ทำไมพูดยังงั้นล่ะศรีไพร เรายังมีพี่เมินอีกคน...ไง”
ศรีไพรนิ่งอึ้งไป

ชาวบ้านพากันจัดขบวนแห่นาค ร้องรำกันเข้ามาในบริเวณวัดโดยมีศรีแพรถือหมอน สด มหาเฉื่อย หมอก เจ๊กตง เนี๊ยว สุมิตรา กล่ำ ช้อย ชาวบ้าน ต่างมีความสุขกับการบวชของเมิน
ศรีไพร แสน เดินตามเงียบๆ ท่าทีเคร่งเครียด มหาเฉื่อยยกมือขึ้นปรามทุกคนให้เงียบเสียงเมื่อมองเห็นสไบและแหว่งนั่งอยู่บนรถจี๊ปเปิดประทุน ขวางทางอยู่ ศรีไพรกับแสนรีบแซงคนอื่นๆ ออกมายืนหน้ากลุ่ม มองไปยังสไบอย่างกังวล มหาเฉื่อยยกมือโบกห้ามขบวน

“หยุด...หยุดก่อนพุทธบริษัทจำกัดของมหาเฉื่อย เรามีแขกที่ไม่ได้รับเชิญด้วยหรือวะ”
“นังสไบ...!” ศรีแพรอุทานเสียงแผ่ว แต่นัยน์ตากร้าวขึ้น
“นั่นเมียเศรษฐีบุญช่วยนี่ มาทำไมน่ะ ก็เศรษฐีบุญช่วยกับพวกเราไม่ถูกกัน คงไม่ได้มาอนุโมทนาบุญหรอกท่านมหา” หมอกบอกอย่างไม่สบายใจ
“ไอ้หย๋า เมียเศรษฐีบุญช่วยมีอะไร ทำไมต้องมาขวางถนน” เจ๊กตงถามสไบ
ศรีแพรหันมาบอกขบวน
“ไม่ต้องสนอะไรทั้งนั้น ถนนในบ้านนานี่ไม่มีใครจองดาวน์ บุก...”
ขบวนเริ่มร้องรำทำเพลง ตะลุยผ่านรถจี๊ป สไบและแหว่งต่างปัดป้องวุ่นวาย
“ว้าย คุณสไบของบ่าวขา ไม่ฟังเลย มันบุกตะลุยเข้าไปในวัดแล้วล่ะค่ะ”
“ตามเข้าไป”
“แต่ถ้าพ่อนาคโกนหัวเข้าวัดแล้ว คุณสไบจะทำยังไงคะ”
“ฉันก็...”
สไบยิ้มเจ้าเล่ห์

ทวนเดินเร็วๆ ลงมาจากบ้านบุญช่วย ชาริณีวิ่งตามมาเกาะแขนไว้
“รู้มั้ยคุณทวนว่าวันนี้วันอะไร”
“วันอะไร”
“เพื่อน...เอ๊ย...อดีตเพื่อนของคุณ นายเมินเขาบวชค่ะ”
ทวนชะงักอึ้ง
“บวช...!”
“หมั่นไส้พวกชาวบ้านพอน้ำลด ท้องยังหิวอยู่เลย ไปช่วยกันลงขันบวชนายเมิน รวมทั้งไอ้ศรีไพรด้วย ไม่รู้จะบวชได้หรือเปล่า”
“คุณหมายความว่ายังไง”
“มารค่ะ”
ชาริณียื่นหน้าเข้ามากระซิบกับทวน น้ำเสียงชัดเจน
“งานบวชของนายเมินกำลังจะมี...มารผจญ”
เมินนุ่งขาวห่มขาวนั่งอยู่ที่เก้าอี้ หลวงตารดน้ำมนต์ให้ก่อนทำพืธีโกนผม แววตาของเมินเต็มไปด้วยความร้อนรน ไม่สงบนิ่งเพราะเมินมีหน้าที่ต้องไปสืบคดีในบ้านเศรษฐีบุญช่วย สดมองเมินแล้วยิ้มพึงใจ
“เดี๋ยวพอโกนผมแล้วก็จะได้เป็นนาค แม่ไม่มีลูกก็จะได้พ่อนาคนี่แหละบวชให้ ขอให้อยู่ในศาสนาด้วยความร่มเย็นนะลูกนะ”
เมินอึ้งไป
“แม่...”
เมินหันไปมอง เห็นศรีแพรยิ้มให้กำลังใจ...
“ฉันจะรอพี่”
ศรีไพรหันไปสบสายตาแสน ต่างเป็นกังวล สดขยับกรรไกรจะตัดผมของเมิน สไบและแหว่งส่งเสียงเข้ามา
“เดี๋ยว...หยุดเดี๋ยวนี้ คุณเมินยังบวชไม่ได้”
สดตกใจ
“นังสไบ”
ศรีแพรจ้องหน้าสไบ
“นังสไบ นี่แก...แก...”
สไบมองหยัน
“หรือจะให้ฉันเข้าไปค้านตอนที่คุณเมินเข้าโบสถ์”
ศรีไพรเข้ามาตวาดไล่
“ออกไป...อย่าทำตัวเป็นมารศาสนา บาปที่ใช้อยู่น่ะยังไม่พอหรือยังไง”
เมินก้มหน้านิ่ง เงียบ และเสียใจ มหาเฉื่อยเข้าไปหาสไบ
“นังสไบ ข้าขอร้องละ อย่าเข้ามาก่อกวนในวัดวานี่เลยวะ นี่มันงานบวชนะ”
สไบไม่สนใจพูดเสียงแข็ง
“คุณเมินยังบวชไม่ได้”
“ทำไม” ศรีแพรถามเสียงเข้ม
“เขาต้องไปกับฉัน”
ศรีแพรหันขวับไปหาเมิน
“พี่เมิน นี่มันอะไรกันนี่ พี่เมินกับนังสไบ...”
สไบยิ้มเยาะ
“ไปกันเถอะค่ะคุณเมิน คุณตัดสินใจแล้วว่าจะไปอยู่กับเศรษฐีบุญช่วย แล้วจะมาบวชให้เสียเวลาทำไม หลวงพ่อท่านเลี้ยงคุณ ท่านก็ไม่ได้หวังจะให้คุณบวชทดแทนข้าวก้นบาตรหรอก ไปกัน”
ศรีไพรตกใจ
“พี่เมิน...”
ศรีแพรน้ำตารื้น
“อย่าไปนะ ฉันเป็นเมียพี่ เราแต่งงานกันแล้ว พี่บวชเรียน ทำหน้าที่ของลูกผู้ชายแล้วเราจะใช้ชีวิตร่วมกัน”
สดมองหน้าเมินอย่างเสียใจ
“เมิน”
เมินลุกขึ้นยืน หมอกเข้ามารั้งเมินไว้
“พี่เมิน พี่เป็นบ้าไปแล้วหรือ นี่พี่กำลังจะบวชนะ”
“พี่ร้อน ผ้าเหลืองห่มให้พี่เย็นไม่ได้หรอก”
เมินปลดผ้าขาวออกจากตัว ศรีแพรตกใจ
“พี่เมิน...”
“พี่ต้องไป”

เมินเดินออกไป ทุกคนต่างตะลึงยืนนิ่ง จ้องมองเมิน สไบและแหว่งหันมายิ้มเยาะก่อนที่จะเดินตามเมินออกไป เนี้ยวกรีดเสียงเกรี้ยวกราด
“พี่เมิน...!”
เจ๊กตงไม่พอใจมาก
“เฮ้ย อาเมิน ทำไมอาเมินอีทำยังงี้วะ ไปเอาตัวอาเมินกลับมา”
หลวงตาเข้าห้าม
“อย่า...ปล่อยไอ้เมินมันไปเถอะ”
มหาเฉื่อยชะงักอึ้ง
“หลวงพ่อ แต่ว่า...”
“บุญมันจะไม่ได้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ปล่อยมันไป”
ศรีแพรโผเข้ากอดสด ร้องไห้โฮ

สดและศรีไพรประคองศรีแพร ที่ร้องไห้ด้วยความเสียใจคั่งแค้นใจ กลับมาบ้าน ศรีไพรนิ่งเงียบทั้งที่รู้สึกไม่ต่างกัน
“พี่เมิน ชาตินี้เราอย่าเจอกันอีกเลย สิ้นชาติวาสนา...ไม่ต้องมาเป็นผัวเมียกันแล้ว ฉันไม่คิดเลยว่าคนอย่างพี่เมินจะซื้อได้เหมือน...”
“เหมือนนายทวน” ศรีไพร พูดต่อแค้นๆ
“เศรษฐีบุญช่วยคงซี้อพี่เมินด้วยเงิน เหมือนที่ซื้อพี่ทวนไป มันต้องการจะตัดกำลังเรา”
“ตั้งสติไว้ลูก ไอ้เมินมันเป็นบ้าอะไร ร้อยวันพันปีแม่ไม่เห็นมันงกเงิน นี่มันเห็นเงินเป็นพระเจ้าไปตั้งแต่เมื่อไหร่” สดครุ่นคิดอย่างสงสัย
“แม่ พาพี่ศรีแพรขึ้นบ้านก่อนเถอะ”
“ฉันจะฆ่าพี่เมิน!” ศรีแพรโพล่งออกมาอย่างเจ็บแค้น
สด ถอนใจปลอบลูกสาว
“ศรีแพร...ฆ่าแกงมันไปทำไม ผู้ชายคนเดียว ปล่อยมันไปเถอะ มันจะไปตกนรกหมกไหม้ที่ไหนก็ไป แม่เกลียดมัน ไปลูก...ขึ้นเรือนเถอะ”
ศรีแพรสะอื้น
“แม่...”
สดพาศรีแพรขึ้นเรือนไป ศรีไพรมองตามแม่และพี่สาวด้วยความสลดใจ แสนมองไปยังขวานที่สับไว้ที่ต้นเสา

(อ่านต่อ หน้า 2)










เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 23 (ต่อ)

สไบขับมา โดยมีเมินนั่งทางเบาะหน้า แหว่งนั่งทางเบาะหลัง แหว่งรีบร้องตะโกนเมื่อเห็นแสนยืนขวางถนนอยู่
“คุณสไบของบ่าวขา ดูนั่น...”
สไบรีบเหยียบเบรค ร้องตะโกนด่า
“ไอ้แสน ไอ้เด็กเมื่อวานซืน อยากตายนักหรือยังไง เดี๋ยวก็ไม่ได้โตหรอก”
“แสน...” เมินพึมพำเบาๆ
สไบถลาจะก้าวลง แต่เมินยึดต้นแขนของสไบไว้ แล้วตนเองก็ก้าวลงมาเดินเข้าไปหาแสน มองแสนด้วยแววตาเจ็บปวด แสนมองเมินดัวยความชิงชัง
“แสน กลับไป ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น นี่ไม่ใช่เรื่องของเด็ก”
ทันใดนั้น แสนดึงขวานที่เหน็บหลัง กระโดดเข้าฟัน เมินเบี่ยงตัวหลบจับมือแสนไพล่หลัง สไบตกใจร้องลั่น
“ว้าย ไอ้แสน จับตัวมันไว้แน่น ฉันจะยิงมันทิ้ง”
แหว่งส่งปืนให้สไบ ศรีไพรก้าวเข้ามาทางเบื้องหลังของสไบ จ่อปืนยาวที่หัว สไบตาเหลือกไปด้วยความหวาดกลัว
“ก็ลองดู จะได้รู้กันว่าสมองของใครจะกระจายก่อน ปล่อยแสนแสบเดี๋ยวนี้”
เมินปล่อยตัวแสน แสนถ่มน้ำลายลงกับพื้น มองเมินด้วยความเกลียดชังก่อนที่จะผละไปสมทบกับศรีไพร
“แล้วจะไปไหนก็...ไป” ศรีไพรตวาดไล่
เมินอึ้งไป
“ศรีไพร”
ศรีไพรหันไปดุแสน
“พี่บอกแล้วใช่มั้ยว่านี่ไม่ใช่เรื่องของเด็ก ไม่ต้องทำตัวฉลาดหรือดีหรอก เดี๋ยวนี้ไม่มีใครเขาทำยังงั้นกันแล้ว ไป...กลับบ้าน”
ศรีไพรกระชากตัวแสนออกไป เมินมองตาม แววตาสลดลง สไบก้าวเข้ามา
“ไม่ต้องเสียใจหรอกค่ะคุณเมิน เมื่อก่อนพวกชาวบ้านก็ถ่มน้ำลายใส่หน้าคุณทวนเพื่อนคุณ แล้วเดี๋ยวนี้เป็นยังไง เพื่อนคุณสบายแถมมีเงินใช้ไม่อั้น ไปค่ะ”
สไบดึงเมินขึ้นรถ ก่อนขับออกไป เมินยังหันมามองศรีไพรและแสนด้วยแววตาเจ็บปวด

ศรีไพรกระชากตัวแสนกลับมาที่บ้านอย่างโกรธๆ ชี้หน้าแสน
“ทำอะไรไม่คิด ทำไมแสนไม่เชื่อพี่ ทำแบบนี้แล้วได้ประโยชน์อะไร”
“ฉันเกลียดพี่เมิน” แสนร้องไห้โฮ “ทำไมเขาต้องทำแบบพี่ทวนด้วย ฉันรักเขาเหมือนพี่ชายนะ ทำไมต้องทำยังงี้กับฉัน”
ศรีไพรอึ้งไป
“แสน...”
“พี่เมิน ไอ้คนทรยศ!”
ศรีไพรนิ่งอึ้งค่อยๆ ดึงตัวแสนเข้ามากอดไว้อย่างปลอบโยน

สไบขับรถจี๊ปเข้ามาจอด เมินมองไปรอบๆบริเวณบ้านเศรษฐีบุญช่วย สไบมีท่าทีอ่อนหวานกับเมิน
“ไปค่ะคุณเมิน เศรษฐีบุญช่วยรอคุณอยู่ในห้องทำงาน ทางนี้ค่ะ”
“เชิญค่ะคุณสไบของบ่าวขา”
สไบเดินนำเมินขึ้นเรือน สวนทางกับทวนที่บันได ทวนและเมินต่างสบสายตากันและกัน เมินทำเฉยๆ ไม่แสดงความรู้สึก ทวนมองตามแววตาตื่นตระหนก
“ไอ้เมิน!”

บุญช่วยลุกชึ้นยืน กวาดสายตามองด้วยความพอใจ เมื่อสไบและแหว่งพาเมินเข้ามาในห้อง ชิงชัยหันไปยิ้มเยาะกับเลิศและหลิม
“ดีมาก พูดกันเข้าใจง่ายๆ ยังงี้ฉันชอบ ฉันต้องการตัวนายเมินมาเป็นพวกเพราะเราได้นายทวนมาเป็นกำลังแล้ว”
“เป็นกำลัง หรือตัดกำลังครับท่านเศรษฐี” เมินพูดด้วยท่าทีกวนๆ
ชิงชัยจ้องหน้าเมิน
“ก็ทั้งสองอย่าง แล้วแต่แกจะทำงานได้แค่ไหน แต่ฉันกับพ่อก็ไม่เชื่อใจแกง่ายๆ หรอก แกเคยเป็นตัวตั้งตัวตีให้พวกชาวนาแต่จู่ๆ ก็กลับใจมาเป็นพวกเรา แกต้องพิสูจน์ตัวเอง”
สไบร้อนใจ
“คุณจะให้เขาสู้กับคุณทวนหรือ”
ชิงชัยยิ้มหยัน
“หรือว่า...แกขัดข้อง”
“ผมน่ะไม่ขัดข้องร๊อก แต่ผมกับไอ้ทวนชกกันมาตั้งแต่เด็ก เบื่อ...เบี๊อ...เบื่อ”
เมินก้าวผ่านหลิมกับเลิศ มองหน้าทั้งสอง ก่อนก้าวมาหยุดตรงหน้าชิงชัย เมินจ้องหน้าชิงชัย
“กับคุณ เป็นไง...”
เมินมองสบสายตาชิงชัยอย่างท้าทาย
 
ทวน ชาริณี บุญช่วยและสไบ มองลงมายังชิงชัยและเมินที่กำลังต่อสู้กันอยู่บนลานกว้างหน้าบ้าน เมินเอาชนะชิงชัยด้วยศิลปะการต่อสู้ประเภทไม้กระบอง ชิงชัยสลบเหมือด หลิมกับเลิศรีบวิ่งลงไปประคองร่างของชิงชัย บุญช่วยผุดลุกขึ้นยืน
“ไม่ได้เรื่อง...”
บุญช่วยผลุนผลันเข้าห้องไปด้วยความโกรธ เพราะชิงชัยเป็นฝ่ายแพ้เมิน ชาริณีมองชิงชัยหยันๆ
“ไม่เอาไหน ไปกันเถอะค่ะคุณทวน”
ชาริณีดึงมือทวนออกไป สไบชำเลืองมองตาม ยิ้มอย่างอาฆาตแค้น

ค่ำคืนนั้น ศรีแพรนอนร้องไห้ เสียใจเพราะเมินไปอยู่กับเศรษฐีบุญช่วย ศรีไพรค่อยๆ เปิดประตู แอบดูศรีแพรพี่สาวก่อนตัดใจปิดประตูลง ศรีไพรหันกลับมา พบสด ท่าทีสดเศร้าหมอง
“ร้องไห้ทั้งวันทั้งคืน แม่ก็เห็นใจศรีแพร มีใครบ้างไม่เสียใจที่ไอ้เมินทำแบบนี้”
“แม่ ฉันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพี่เมินเขาถึงได้ตัดสินใจไปอยู่กับเศรษฐีบุญช่วย เขาไม่ใช่คนที่เห็นเงินเป็นใหญ่ เขา...”
“ถ้าไม่ใช่เรื่องเงิน งั้นก็เป็นเรื่องผู้หญิง”
“พี่เมินเขาจะกินของเหลือเดนคนอื่นหรือ”
“ไม่ก็ผีห่าซาตานมันเข้าสิงไอ้เมิน มันทิ้งพวกเราไปแบบนี้จะให้แม่กับคนบ้านนาคิดยังไง คนบ้านนาฝากความหวังเอาไว้กับไอ้เมิน ไม่มีไอ้ทวนไอ้เมิน แล้วคนบ้านนาจะทำยังไง”
“เราต้องสู้ พวกเราทั้งหมดนี่แหละ ต้องร่วมพลังกันสู้...ต่อไป”
น้ำเสียงแววตาของศรีไพรขมขื่น เจ็บปวด แต่มีพลังสู้

วันต่อมา หมอกส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญ ทุกคนต่างตกอยู่ในภาวะเศร้าหมองบ้างโกรธ บ้างเกลียด บ้างเจ็บแค้น ผิดหวังในตัวเมิน แต่หมอกรวมเอาทุกอาการไว้ในความรู้สึก
“เจ็บใจ...แค้นใจ...ขมขื่นใจ มันต๊อแต๊ใจ เสียพี่ไปอีกคนนึงแล้ว ไม่มีอะไรเหลือแล้วไอ้ทอก ไอ้หมอก”
“หักอกหักใจเสียบ้างเถอะวะไอ้หมอก พุทธบริษัทจำกัดมหาชนทั้งหลายฟัง ข้ามหาเฉื่อย เราต้องตัดอกตัดใจ ถือเสียว่าความเปลี่ยนแปลงในมนุษย์ล้วนเป็นอนิจจัง”
“จะอนิจจัง...อนิจจายังไง เนี้ยวก็ตัดใจไม่ลงหรอกมันแค้น...แค้น...แค้นจนแทบจะ...”
ทันใดนั้น เสียงสุมิตรร้องเพลงแขกมาแต่ไกล
“อีนี้มนัสเตท่านมหาเฉื่อย เจ๊กตง อาหมอก อาม่วยยเนี้ยวคนสวย แขกมียาแก้แค้น อาเนี้ยวจะแค้นแน่นทรวงอก เอายานี่ไปกิน”
เจ๊กตงมองอย่างไม่พอใจ
“นี่ ไอ้แขก เขาเศร้าโศกเคืองแค้นไอ้เมิน เอ็งยังมีกะใจจะทำธุรกิจอีกหรือ เดี๋ยวอั๊วก็ตีหัวแขกเสียหรอก”
กล่ำถอนใจ
“ใครๆ ก็ต้องแค้น ไอ้เมินเป็นความหวังเดียวแล้วตอนนี้ชาวนากำลังลำบาก ข้าวถูกน้ำพัดไปหมดแล้วมันยังมาทิ้งเราอีก”
หมอกร้องไห้
“โฮ...”
“เอาเถอะวะ ข้าก็ไม่รู้จะพูดยังไง ข้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมไอ้เมินมันถึงได้ทำหมาๆยังงี้ พวกเราไปหาหลวงพ่อกันเถอะ” มหาเฉื่อยแนะ
หมอกสะอื้น
“ไปหาตอนนี้หลวงตาท่านจะทำอะไรได้ล่ะ พี่เมินเขาไปแล้ว”
มหาเฉื่อยเบะหน้าจะร้องไห้
“อย่างน้อยท่านจะได้เทศน์โปรดสัตว์ผู้ยากว่า...ว่า...ว่า...”

มหาเฉื่อยพาชาวบ้านมาหาหลวงตาที่บนศาลา หลวงตาพับบทสวดมนต์เก็บก่อนหันมาส่งเสียงกระแอมกระไอ ทุกคนต่างนั่งพับเพียบก้มหน้าเสียใจ กับการจากไปของเมิน
“ปลงเสียเถิ้ดดด โย้มมมมม อะไรที่ไม่ใช่ของเรามันก็ไม่ใช่ของเรา แต่อะไรที่มันเป็นของเรามันก็ต้องเป็นของเราอยู่วันยังค่ำคืนยังรุ่ง เอ้อ...ไม่มีอะไรจะดีเท่ากับการรู้จักปลง...”
“เถิ๊ดดด โย้มมมม โธ่ๆๆ หลวงตาครับ ไอ้ทอกก็ไม่อยู่ พี่ทวนก็ไม่อยู่ พี่เมินยังอีกคน แล้วทีนี้ไอ้หมอกจะนอนกับใคร” หมอกคร่ำครวญ
เจ๊กตงถอนใจ
“ไอ้เมินมันไม่น่าทำยังงี้เลย มันทิ้งเมียทิ้งเพื่อน ไปเข้าพวกกับเศรษฐีบุญช่วย”
“มันหนีบวช โธ่...พุทธบริษัทจำกัด มหาเฉื่อยไม่เข้าใจ”
“ก็ไม่มีใครเข้าใจหรอกว่าทำไมมันต้องทำยังงั้น เย็นไว้...โย้มมมม” หลวงตาเตือนสติ
“เย็นยังไงไหวล่ะโย้มมมม เอ๊ย...หลวงตาขอรับ เศรษฐีบุญช่วยได้ไอ้ทวนไอ้เมินไปเป็นพวกแล้ว แล้วพวกเราจะทำยังไง” กล่ำบอกอย่างไม่สบายใจ
หมอกนึกบางอย่างได้รีบถามขึ้น
“แล้วถ้ามันต้องการหลวงตาไปเป็นพวกล่ะขอรับ”
มหาเฉื่อยถอนใจ
“พุทธบริษัทจำกัดมหาชน หลวงพ่อจะตัดสินใจยังไงละขอรับ”
“เอ้อ...อ้า...” หลวงตามีท่าทีลำบากใจ เมื่อทุกคนจ้องมองมายังหลวงตา “ข้าก็...”
หลวงมัวแต่อึกอัก ทุกคนเลยพูดพร้อมกัน
“ปลงเถิ๊ดดด โย้มมมมม!”
หลวงตากระอักกระอ่วน มองหน้าคนอื่นๆ ด้วยความลำบากใจ

ทวนดึงหูเมินลงมาจากบ้านอย่างร้อนใจ ที่เมินยอมเป็นพวกของบุญช่วย ตัวเขาเองนั้น เป็นห่วงพวกชาวนาที่กำลังเดือดร้อน และห่วงใยศรีแพรกับศรีไพรด้วย
“มานี่...ไอ้ตัวดี...มาซะดีๆ”
“ปล่อยฉันนะไอ้ทวน ฉันไม่ใช่เด็กนะโว้ย แกจะมาดึงหูจูงจมูกฉันไม่ได้ ปล่อยฉัน”
ทวนปล่อยมือจากหูของเมิน มองซ้ายขวาง ขู่นัยน์ตาเข้ม เสียงเข้ม
“ทำไมแกทำแบบนี้”
“ก็ทำไมแกทำแบบนี้”
“นี่ อย่ายั่วโทสะฉัน นี่เรื่องของฉัน”
“นี่ก็เรื่องของฉัน แกยุ่งอะไรด้วย แกทำได้ ฉันก็ทำได้ ก็แค่นั้น”
“มันไม่ใช่แค่นั้น แต่แกมีเมียแล้ว แกทิ้งศรีแพร ทิ้งงานบวชมาได้ยังไง”
“แกก็มีศรีไพร แกยังทิ้งมาได้ แกทิ้งศรีไพรให้ต่อสู้อยู่คนเดียวทั้งที่สู้มาด้วยกัน”
ทวนหน้าเครียด
“แก...แกไม่ควรมาที่นี่”
เมินมองหน้าทวนอย่างสงสัย
“แล้วแกล่ะ แกมาทำไม”
“ฉันมาเพราะว่า...”
ทวนลังเล เมินมองจ้อง
“เพราะอะไร”
ทวนอึกอัก
“เอ้อ...”
“แกก็ตอบไม่ได้”
“นี่เรื่องส่วนตัวของฉัน แต่แกต้องกลับไป แกต้องอยู่กับศรีแพรกับศรีไพรกับพวกชาวนา” ทวนโวยวายกลบเกลื่อน
“แล้วแกล่ะ ทำไมแกไม่กลับ” เมินย้อนถามเสียงแข็ง
ทวนชะงักอึ้ง
“ฉัน...”
“ในเมื่อแกไม่กลับฉันก็จะอยู่ ฉันชอบเสื้อผ้าใหม่ รองเท้าใหม่ ปืนกระบอกใหม่ แถมยังมีเงินในกระเป๋า กินอยู่อุดมสมบูรณ์ แถมยังมี...”
เมินยั่วโทสะ มองไปยังชาริณีที่เดินเข้ามาคล้องแขนทวน
“เข้าเมืองกันดีกว่าค่ะคุณทวน พ่อฉันจะเข้าเมือง พ่อต้องการคนคุ้มกัน”
ชาริณีลากแขนทวนออกไป เมินมองตามไปแล้วถอนใจ

ส่างลองกับคนงาน ช่วยกันสร้างกระท่อมใหม่เพื่อใช้เป็นที่ผลิตยาเสพติด หลังจากที่กระท่อมหลังเก่าถูกน้ำพัดพัง เมินย่องเข้ามาซุ่มแอบดู สะดุ้งเบาๆ เมื่อสไบยื่นมือเข้ามาจับไหล่ของเมินไว้
“มาทำอะไรแถวๆ นี้คะคุณเมิน”
“เอ้อ...อ้า...ผมเดินสำรวจรอบๆ เขตที่ดินของเศรษฐีบุญช่วยน่ะครับ”
“ระวังหน่อย นี่เป็นเขตหวงห้าม คุณเพิ่งมาอยู่ใหม่ เรายังไม่ไว้ใจคุณ”
เมินมองหน้าสไบ
“พูดเหมือนเศรษฐีบุญช่วย มีความลับซ่อนไว้ที่นี่”
“มีหรือไม่มี คุณก็ต้องทำให้ฉันไว้ใจคุณเสียก่อน”
เมินงงๆ
“ไว้ใจ...”
“อยากรู้มั้ยว่าต้องทำยังไง”
“โอ้ย...”
เมินสะดุ้ง ร้องลั่น เมื่อสไบก้าวเข้ามายั่วยวน
“เป็นอะไรคุณเมิน”
“มดน่ะครับ...แฮ่ะๆ...มดกัด กัดเข้าที่สำคัญซะด้วย อ้า...ผมต้องไปจับเจ้ามดคันไฟออกจากจั๊กกะแร้ก่อนนะครับคุณสไบ โอย...คันจริงๆ”
เมินรีบเลี่ยงหลบออกไป สไบมองตาม ค้อนเมินด้วยความโกรธ

ศรีแพรนั่งมองออกไปยังท้องนา หลังน้ำท่วมด้วยความรู้สึกเศร้าหมอง ศรีไพรเข้ามานั่งลงใกล้ๆ
“ฉันรู้ว่าพี่รู้สึกยังไง พี่ศรีแพร”
“เสียดายวันเวลาที่พี่รักพี่เมิน พี่น่าจะเอาเวลานั้นไปทำอะไรดีๆ ให้พ่อแม่ นี่คำสอนของพ่อจะเป็นความจริงทุกคำเลยหรือ พี่เสียใจที่พี่ไม่เชื่อพ่อ”
ศรีแพรเมินหน้าไป พยายามกลั้นน้ำตาด้วยความเข้มแข็ง ศรีไพรมองอย่างเห็นใจ
“พี่ร้องไห้เถอะ ร้องไห้แล้วพี่จะดีขึ้น มันไม่ใช่เรื่องที่พี่ร้องไห้ไม่ได้ แต่หลังจากร้องไห้แล้วฉันเชื่อว่าพี่จะต้องเข้มแข็ง”
“พี่เกลียดพี่เมิน...พี่จะเกลียดพี่เมินไปจนวันตาย!” ศรีแพรน้ำตาร่วงพราว

ทวนขับรถยนต์เข้ามาจอดหน้าที่ว่าการอำเภอ บุญช่วยเดินขึ้นอำเภอ พร้อมกับชาริณี หลิมและเลิศ ขณะเดียวกันนั้น ศรีไพรเดินลงมา สวนทางกัน
ชาริณีเชิดหน้ายิ้มเยาะ แล้วเดินชนไหล่ศรีไพรขึ้นบันไดไป ศรีไพรมองตาม กัดริมฝีปากอดกลั้น ก่อนเดินลงมา ทันใดนั้น ทวนเข้ามาขวางไว้
“ศรีไพร...”
“ไปเป็นสุนัขรับใช้ของเศรษฐีใหญ่ ท่าทางคงจะสบายดีนะ”
“ศรีไพร พี่...พี่...”
“เราไม่ได้เป็นพี่น้องกัน ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับนาย ไม่ได้คลานออกมาจากท้องพ่อท้องแม่คนเดียวกัน ไม่ต้องมานับญาติ”
ทวนหน้าเศร้าสลดลง
“ศรีไพร สักวันหนึ่งศรีไพรจะเข้าใจพี่”
“ไม่เห็นอยากจะเข้าใจใคร คนสมัยนี้เข้าใจยากซะไม่มี ใจคนน่ะ...ทะเลว่าลึกแล้วยังตื้นกว่าตั้งเยอะ ถอยไป”
ทวนไม่ถอย
“ศรีไพร...”
“จะยอมถอยดีๆ หรือว่า...จะให้ใช้กำลัง”
ศรีไพรสบสายตาทวนแน่วแน่ เข้มแข็งและไม่หวั่นไหว ทวนค่อยๆ ถอยก้าว ศรีไพรเดินเชิดหน้าลงบันไดไป ทวนมองตามไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวด

เมินด้อมๆ มองๆ แอบดูศรีแพรอยู่นอกบริเวณบ้านด้วยท่าทีร้อนใจ ศรีแพรเพิ่งกลับจากท้องนา เมินรีบเรียกไว้
“ศรีแพร...”
ศรีแพรชะงักก้าว พยายามไม่หันไปมอง เมินก้าวออกมาจากหลังพุ่มไม้ ศรีแพรแตะปืน
“ศรีแพรจะโกรธพี่ก็ช่างเถอะ แต่อย่าเพิ่งด่วนเกลียดพี่ ที่พี่ทำลงไปก็เพราะพี่มีเหตุผล ศรีแพรเคยเข้าใจพี่ พี่ขอแค่ความเข้าใจ อย่าเกลียดพี่เลยนะ พี่ขอร้อง พี่...ขอ...”
ศรีแพรกัดริมฝีปาก น้ำตาคลอดวงตาด้วยความแค้นใจค่อยๆ หันกลับมา นัยน์ตาเปล่งประกายกร้าว
“ขอหรือ ได้ จัดไป”
ศรีแพรยกปืนขึ้น ยิงเฉียดใบหู...เมินตะลึงงัน

 

ค่ำคืนนั้น ชิงชัยเดินนำหน้าหลิมกับเลิศ ลงมาจากบ้านแล้วเดินออกไปด้วยท่าทีรีบเร่ง ทวนและเมิน ต่างค่อยๆ ย่องออกมาจากมุมที่หลบอยู่ เมินมองทวนอย่างแปลกใจ
“ไอ้ทวน...”
ทวนตกใจเมื่อเห็นเมิน
“ไอ้เมิน”
“แกจะไปไหน”
“แล้วแกล่ะ แกจะไปไหน”
“ฉันก็...”
“ฉันก็...”

ทันใดนั้น ชาริณีวิ่งลงมาจากบ้าน คลื่นไส้อาเจียนอย่างรุนแรง เพราะอาการติดยาเสพติดวิ่งผ่านทั้งสองไปยังอ่างบัว เอาศีรษะแช่ลงไปในน้ำเพื่อให้อาการเสี้ยนยาทุเลาลง เธอพยายามจะเลิกยาให้ได้
“เลิก...ต้องเลิกให้ได้ ฉันต้องเลิกแกให้ได้ ไอ้ยาเพชรฆาต!”
ชาริณีพยายามกดศีรษะตนเองในน้ำ ก่อนเงยหน้าขึ้นมาสำลัก เมินและทวนจ้องมองก่อนหันมาสบสายตากัน

จบตอนที่ 23

อ่านต่อตอนที่ 24 วันพรุ่งนี้









กำลังโหลดความคิดเห็น