เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 22
ศรีแพรก้าวเข้ามาเขย่าตัวแสนด้วยความร้อนใจ
“งอนใช่มั้ย พี่เมินเขางอนเรื่องที่พี่เอาสินสอดทองหมั้นขว้างใส่หน้าเขา หรือเรื่องที่พี่ไล่ยิงเขา...ใช่มั้ย”
ศรีไพรถอนใจ
“มันก็น่าให้พี่เมินเขางอนพี่หรอก นึกถึงตอนนี้แล้ว ฉันว่าพี่ทำเกินไปนะ”
ศรีแพรหันขวับมาดุ
“นี่ ก็ตอนนั้นแกเป็นคนยุพี่ให้เลิกกับพี่เมิน”
ศรีไพรจ๋อยไป
“ก็ตอนนั้นฉัน...ฉัน...”
ศรีแพรนิ่งคิดแล้วสลดลง
“พี่มาคิดๆ ดู ที่แม่พูดก็ถูก พี่กับพี่เมินรักกันมา พี่ต้องรอเขาตั้งสิบปีตอนที่เขาหายไป ถึงชาวบ้านนาจะพูดถึงเขายังไง พี่ก็ยังรักเขาอยู่ พี่ควรจะให้อภัยเขาไม่ใช่หรือ”
“พี่ศรีแพรทำถูกแล้วละ ถึงชีวิตฉันจะเป็นยังไง แต่ฉันก็อยากให้พี่สาวของฉันมีความสุข ฉันกับแม่อยากอุ้มหลานเล็กๆ แล้วละ”
“จะทำลูกให้เลี้ยงให้เบื่อเลย ว่าแต่...ทำไมพี่เมินเขาไม่รีบมาเข้าหอล่ะ แสน”
แสนอึกอัก
“เอ้อ...เขา...เขา...”
ศรีแพรใจเสีย
“เขา...ทำไม”
“ฮึ...ทำไมพี่เมินไม่มา” ศรีไพรถามเสียงเข้ม
แสนหน้าสดลง
“เขาบอกว่า...เขามาไม่ได้”
ศรีไพรแปลกใจ
“อะไรนะ”
“มาไม่ได้เหรอ” ศรีแพรอุทานด้วยความรู้สึกหวาดระแวง
วันต่อมา เจ๊กตงยืนดูมหาเฉื่อยและกล่ำเล่นหมากรุกอยู่ เนี้ยวทำงานอยู่หลังหม้อกาแฟ เมินเดินนำหน้าหมอกเข้ามาทรุดตัวลงนั่ง เมินหน้าตาเป็นกังวลอย่างหนักขณะที่หมอกร้อนใจ
“พี่เมิน ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพี่ถึงถึงไม่ฉวยโอกาสนี้...ย้ายไปนอนบนฟูก แล้วรับประทานอาหารให้ครบหกหมู่ เมื่อคืนนี้พี่ยังบ่นเบื่อบ่นเหม็นสาปมุ้งฉันอยู่เลย แต่ตอนนี้...ศรีแพรให้อภัยพี่แล้ว”
มหาเฉื่อยดีใจ
“จริงหรือวะไอ้เมิน งั้นจะช้าอยู่ทำไม”
เนี้ยวรีบแล่นถลาออกมาด้วยความตื่นเต้น
“รีบไปเข้าหอเร็วๆ คนบ้านนารอลุ้นว่าพี่จะมีลูกหัวปีท้ายปีมั้ย”
เจ๊กตงยิ้มแย้มพอใจ
“ใช่ นี่คงเป็นเพราะแม่ยายเอ็ง รีบไปเถอะ พวกเราจะได้หายห่วง บ้านนั้นน่ะมีแต่ผู้หญิงกับเด็ก”
มหาเฉื่อยถอนหายใจอย่างโล่งอก
“เฮ้อ...ส่งตัวกันมาหลายรอบแล้วคราวนี้ละไอ้หลานข้าจะได้มีเมียจริงๆ เสียที”
เมินนิ่ง หมอกมองหน้า
“พี่...พี่เมิน”
“ไปซิ มานั่งอยู่ทำไมวะ นึกเสียว่ามีเมียน่ะเหมือนมีแม่” กล่ำ ยุ
เมินหน้าเศร้าสลด
“ฉัน...ไปไม่ได้”
ทุกคนต่างแปลกใจ หมอกหน้ายุ่งกลุ้มๆ เจ๊กตงมองเมินอย่างไม่เข้าใจ
“ไปไม่ได้”
“เพราะอะไรวะ” มหาเฉื่อยถามอย่างสงสัย
“เอ้อ...ฉัน...ฉันจะบวช” เมินมองสบสายตาทุกคนก่อนยิ้มเจื่อนๆ
สดยกมือขึ้นท่วมศีรษะ อนุโมทนาบุญกุศลที่เมินตั้งใจจะบวช ขณะที่ศรีแพรและศรีไพรต่างงงงัน
“สาธุ อนุโมทนาบุญไปกับไอ้เมินมันด้วย ที่มันยังอุตส่าห์จำได้ว่าโตมาเพราะข้าวก้นบาตร มันจะบวชให้หลวงตาเพื่อทดแทนพระคุณท่าน ก็เป็นกุศลจิตที่เราต้องอนุโมทนาบุญด้วย”
ศรีไพรหันมาสบสายตาศรีแพร ต่างแปลกใจ
“พี่เมินเขาบอกว่าเขาจะบวชนานแค่ไหนแม่” ศรีไพรถามอย่างสงสัย
ศรีแพรผลุนผลันลงเรือนไป
“ศรีแพร”
สดขยับจะตามแต่ศรีไพรรั้งไว้ ทั้งสามคน มองตามไปด้วยความห่วงใย เมื่อศรีแพรลงมาจากเรือนก็พบเมินมาถึงพอดี...
“ศรีแพร”
“พี่เมิน” ศรีแพรฝืนยิ้ม “ฉันอนุโมทนากับความตั้งใจของพี่ด้วยนะ ที่พี่จะบวช”
เมินหน้าสลดลง
“เอ้อ...พี่...พี่...”
ศรีแพรเข้ามาจับมือเมินไว้ บีบเบาๆ อย่างปลอบโยน
“บวชแล้วพี่ค่อยเบียด ฉันจะรอพี่จ้ะ”
เมินมองมือของศรีแพร ก่อนเงยหน้าขึ้นสบสายตา แต่แล้วเขาก็ต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาเพราะโกหก ที่จริงแล้ว เมินมีภารกิจต้องเข้าไปอยู่ในบ้านของบุญช่วยเพื่อสืบคดี
“เอ้อ...”
ศรีแพรมองหน้าเมินอย่างสงสัย
“มีอะไรหรือพี่เมิน ฉันหายโกรธพี่แล้ว ฉันขอโทษที่ทำกับพี่เกินไป ถ้าพี่จะบวชฉันก็ดีใจด้วย ฉันจะรอพี่จ้ะ”
“อ้า...”
เมินมีท่าทีลำบากใจ
ชาริณีมีอาการสั่นสะท้านเพราะกระหายยาเสพติดเหงื่อโทรม รุกลี้รุกลน สไบก้าวเข้ามาพร้อมแหว่ง ยื่นซองยาเสพติดให้
“เอ้า...เอาไป เดี๋ยวจะตายซะ”
ชาริณียื่นมือที่สั่นสะท้านไปรับ ทวนเข้ามาปัดยาออกไป
“อย่านะ...”
สไบมองหยัน
“คิดว่าตัวเองเป็นพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยหรือยังไง ถึงจะเป็นพระเอกก็มาไม่ทันการแล้ว”
“ชาริณี มานี่...”
ทวนกระชากตัวชาริณีออกไป แหว่งตกใจ
“อุ๊ย คุณสไบของบ่าวขา นั่นนายทวนจะทำอะไรน่ะ”
ทั้งสองมองตามไปด้วยความแปลกใจ
ทวนกระชากลากร่างของชาริณี ลงมาจากเรือนตรงมายังอ่างน้ำ ชาริณีพยายามดิ้นรน ปลดมือออกจากมือของทวน
“ปล่อย...ปล่อยฉัน อย่ายุ่งกับฉัน ปล่อยนะ เป็นแค่บอดี้การ์ด คุณไม่มีสิทธิ์มาทำกับฉันยังงี้นะ นี่คุณจะทำอะไรนี่”
“มานี่...”
“ปล่อย ไม่ยังงั้นฉันจะร้องดังๆ”
“ก็ร้องซิ คุณไม่กล้าร้องหรอก คุณอยากให้พ่อคุณรู้หรือว่าคุณกำลัง...”
“ปล่อย...”
ทวนจับชาริณีกดน้ำ ครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อให้ทุเลาจากอาการเสี้ยนยาอย่างรุนแรง แหว่งวิ่งนำหน้าสไบลงมาจากเรือน ต่างตื่นตระหนก
“ว้าย คุณสไบของบ่าวขา ดูนั่น...”
ทวนจับชาริณีกดน้ำ สไบตื่นตระหนก
“นั่นนายทวนจะทำอะไรน่ะ”
ทวนประคองชาริณี ที่อ่อนแรง สะบักสะบอม เปียกชุ่มโชกเข้ามาในห้องนอน เขาวางร่างของเธอลงแต่ชาริณีกอดคอเขาไว้ ใบหน้าชนใบหน้า ชาริณีร้องไห้ เว้าวอน
“แต่งงานกับฉันนะ แล้วฉันจะเลิก ฉันอยู่คนเดียวไม่ได้ ฉันกลัว...”
ทวนมองสบสายตาของชาริณี เริ่มสงสารปนสังเวช ปลดมือเธอออกแล้วเดินออกจากห้อง พบสไบที่ดักรออยู่
“คุณจะเดือดร้อนทำไม เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็ติดยาเสพติดกันทั้งนั้น ไม่ว่าลูกคนจนหรือลูกคนรวย มีหรือไม่มี พ่อแม่ให้ความอบอุ่นพอหรือขาด มันไม่ใช่ปัญหาครอบครัวอีกต่อไปแล้ว”
ทวนจ้องหน้าสไบ
“คุณทำแบบนี้ เท่ากับคุณฆ่าชาริณี”
“คุณไม่เข้าใจหรอก เอาตัวของคุณให้รอดก่อนก็แล้วกัน แล้วค่อยช่วยคนอื่นให้รอด”
สไบยิ้มเยาะก่อนผละไป ทวนมองตามไป เริ่มสงสัยในพฤติกรรมของสไบ
ค่ำคืนนั้น ฝนตกลงมาอย่างหนัก ศรีไพร ศรีแพร สดและแสนออกมายังชานเรือน มองท้องฟ้าด้วยความกังวล
“ฝนเทลงมายังกับฟ้ารั่ว เหนือน้ำท่วมแล้ว แม่ว่า...”
ศรีไพรกับศรีแพรหวั่นๆ
“โอย แม่ นี่ถ้าน้ำหลากมาก่อนฤดูละก็ ข้าวท่านต้องแย่แน่ๆ เลย ท่านแก่ยังไม่ได้ที่ ทำยังไงถึงจะเกี่ยวทันล่ะ” ศรีไพรบอกอย่างกังวล
ศรีแพรยกมือพนม
“ฝนจ๋า หยุดตกทีเถิ๊ดดดด”
ทั้งหมดต่างมองไปยังสายฝนด้วยความกังวล
เช้าวันใหม่ ศรีไพรเดินนำหน้าแสน ศรีไพรแต่งตัวมะมัดทะแมงหอบแฟ้มเอกสาร เพื่อไปธนาคาร ธกส.
“เมื่อคืนฝนตกทั้งคืนเลยนะพี่ เพิ่งจะขาดเม็ดตอนเช้านี่เอง”
“รีบไปเถอะ พี่นัดกับ ธกส. ไว้ จะพาชาวนาไปเจรจาเรื่องกู้เงิน”
ทันใดนั้น กล่ำวิ่งส่งเสียงเข้ามาอย่างตื่นตระหนก
“ไอ้ศรีไพร...ไอ้ศรีไพรโว้ย”
แสนหันไปมอง กล่ำเข้ามาตรงหน้าทั้งสอง
“น้ากล่ำ”
“มีอะไร” ศรีไพรถาม
กล่ำหน้าตาตื่น
“น้ำ...น้ำพัดฝายพังตั้งแต่เมื่อคืน ไปช่วยกันเร็ว”
ศรีไพรส่งแฟ้มให้แสน วิ่งตามกล่ำออกไป สดละศรีแพรวิ่งลงมา แสนยื่นแฟ้มให้ศรีแพร ก่อนวิ่งตามศรีไพรออกไป
“มีเรื่องอะไรกันแม่”
สดตื่นตระหนก
“หรือว่า...ฝายกั้นน้ำพัง”
สายน้ำทะลักไหลอย่างรุนแรง หลังฝายรับน้ำของชนบทพังเพราะฝนที่กระหน่ำตกมาทั้งคืนผสมกับน้ำที่ไหลลงมาจากทางเหนือ ชาวบ้าน เจ๊กตง เนี้ยว ช้อย ต่างช่วยกันอุดฝายกั้นน้ำไม่ให้น้ำทะลักเข้าผืนนา ศรีไพรวิ่งนำหน้ากล่ำและแสนเข้ามา กระโดดลงไปช่วยชาวบ้าน
“เร็ว น้ากล่ำ ทางนี้...เอาดินมาถมไว้ตรงนี้ก่อน ไอ้แสน ไปเอาท่อนไม้มากั้นน้ำไว้”
เนี้ยวหันไปเร่งเจ๊กตง
“เร็วๆ เข้าซีเตี่ย ขืนน้ำทะลักเข้านา ข้าวท่านจะเสียหายนะ”
“เตี่ยก็เร็วเต็มกำลังแล้วละเว้ย ไม่มีข้าว เตี่ยจะเซ็งลี้ได้ยังไง”
มหาเฉื่อยวิ่งนำหน้าหมอกเข้ามา พร้อมจอบเสียม
“เฮ้ย มันอะไรกันวะ ใครพังฝาย”
“ฝนน่ะลุงมหา เร็ว...ทางนี้” ศรีไพรบอก
“ฝนนะฝน ตกไม่พอดีเลย ข้าวกำลังจะเกี่ยวใครเขาอยากได้น้ำล่ะ โธ่ๆๆๆ” หมอกบ่นอุบ
สุมิตราขับรถขายสินค้าเข้ามาจอด ตกใจเมื่อเห็นฝายน้ำพัง
“หา...อีนี้นมัสเตท่านผู้มีอุปการะคุณ ฝายพัง...อีนี้ไม่ต้องห่วงแขกมีบริการทั้งทรายทั้งถุงไว้บริการ”
มหาเฉื่อย มองสุมิตรอย่างไม่พอใจ
“ไอ้แขกหนอยแน่ะ...น้ำจะท่วมบ้านนาอยู่แล้วยังมีกะใจทำธุรกิจอีก เดี๋ยวพ่อก็ตีแขกก่อนตีงูซะหรอก”
“ลงมาช่วยกัน ไอ้แขก” หมอกเรียก
สุมิตรโบกไม้โบกมือ
“อีนี้มนัสเต แขกช่วยเป็นกำลังใจได้มั้ยจ้ะ แขกว่ายน้ำไม่เป็นจ้ะ”
“เป็นไม่เป็นก็ต้องมาช่วยกัน เร็วๆ น้ำมาอีกแล้ว” ศรีไพรตะโกนลั่น
ทุกคนช่วยกันอุดทางน้ำไหลอย่างโกลาหล ร่วมมือร่วมใจเพื่อไม่ให้น้ำไหลเข้ามาในท้องนา
หลิมวิ่งหน้าตื่นเข้ามาส่งข่าวเรื่องฝายน้ำแตก
“ท่านเศรษฐี คุณชิงชัยครับ”
“เออ ว่าไงวะ” ชิงชัยถามอย่างสงสัย
“ฝายน้ำแตกครับ น้ำไหลทะลักเข้ามาในบ้านนา สงสัยจะเป็นเพราะฝนตกหนักเมื่อคืน”
ทวนชะงักไป
“ฝายแตกหรือ”
เศรษฐีมองหน้าหลิม
“แล้วไง”
ทวนตื่นตระหนก ขณะที่บุญช่วยกับชิงชัยเย้ยหยัน
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเราด้วย เราไม่เดือดร้อนอะไรด้วยนี่ เดือดร้อนแต่พวก ชาวนา” บุญช่วยยิ้มพอใจ
“ตอนนี้พวกมันกำลังช่วยกันซ่อมฝายน้ำอยู่ครับ” หลิมบอก
ทวนขยับตัว ชาริณีคว้าแขนทวนไว้
“จะไปไหน...”
“เอ้อ...จะไปดูน้ำ”
“ไม่ต้องไป ปล่อยให้พวกชาวนาหัวแข็งมันเดือดร้อนซะบ้าง น้ำล้นฝายท่วมนาข้าวยังไม่ได้เกี่ยว” บุญช่วยบอกอย่างพอใจ
“บานตะไทละ ไอ้ศรีไพรเอ๊ย ฮ่าๆๆๆ” ชิงชัย สะใจสุดๆ
ชาริณีเบ้หน้ายิ้มหยัน
“สมน้ำหน้ามันอยากโอหังกับพ่อนัก ข้าวเกี่ยวไม่ได้ ชาวนาไม่มีจะกินเดี๋ยวก็ซมซานกลับมาง้อนายทุน”
ทวนสะบัดแขนออกจากชาริณี สไบเข้าขวางไว้
“ไปไหนไม่ได้ อยู่ช่วยกันสมน้ำหน้าชาวนาที่นี่แหละ คุณไม่ได้เป็นพวกไอ้ศรีไพรแล้ว”
“ใช่ มารวมหัวกันหัวเราะเยาะชาวนากันดีกว่า หัวเราะให้ดังที่มันถูกน้ำท่วมวอดวายไปทั้งบาง แต่เรา...ฮ่าๆๆๆ” บุญช่วยหัวเราะเริงร่า
ทันใดนั้น เลิศวิ่งส่งเสียงตะโกนเข้ามาด้วยความตื่นตระหนก บุญช่วยกับชิงชัยหยุดหัวเราะ
“คุณชิงชัยครับ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
“เรื่องอะไรวะ” ชิงชัยถามงงๆ
“น้ำครับ...น้ำ น้ำทะลักเข้าไปพังกระท่อม...เอ้อ...กระท่อมที่ไอ้ส่างลองอยู่น่ะครับ วอดวายไม่มีอะไรเหลือ แม้แต่...”
ทวนตั้งใจฟัง เลิศหันมาสบสายตาทวนก่อนที่จะไปกระซิบที่ริมหูของชิงชัย
“หา ไม่เหลือเลยเรอะ...” ชิงชัยตาเหลือกด้วยความตื่นตระหนก
(อ่านต่อ หน้า 2)
เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 22 (ต่อ)
ศรีไพรและชาวบ้านนาช่วยกันชะลอความเร็วของสายน้ำไม่ให้ไหลเข้าลงสู่ท้องนา ทุกคนเปียกโชก มอมแมมไปด้วยโคลน แต่ร่วมใจกันสู้กับภัยธรรมชาติอย่างสาหัส ศรีแพรกับสด วิ่งเข้ามาสมทบ
“แม่ เร็ว ทางโน้น”
“โอย เกิดมาไม่เคยเห็น ทำไมมันถึงได้มาเร็วมาแรงยังงี้ นี่ถ้า...”
ศรีแพรกวาดตามองไม่เห็นเมิน ก็หันไปถามหมอก
“พี่เมิน ทำไมพี่เมินไม่มาช่วย”
หมอกส่ายหน้า
“ฉันไม่รู้พี่เมินหายไปไหน”
ศรีแพรแปลกใจ
“พี่เมินหายหรือ”
“พี่ศรีแพร อย่าเพิ่งห่วงพี่เมินตอนนี้เลย ห่วงน้ำก่อน มาช่วยกันทางนี้เร็ว” ศรีไพรตะโกนเรียก
ทุกคนรีบเร่งช่วยกันกันน้ำ
เช้าวันใหม่ ท้องนาเต็มไปด้วยน้ำ ต้นข้าวจมอยู่ใต้น้ำ ศรีไพรก้าวเข้ามา กวาดสายตามองไปรอบๆก่อนที่จะเปล่งเสียงร้องไห้โฮ
“ข้าว หมดแล้ว ไม่มีเหลือเลย ข้าวท่านเพิ่งจะแก่ จะเกี่ยวอยู่อาทิตย์หน้านี่แล้ว หมดกัน...แล้วทีนี้ชาวนาจะทำยังไง”
สดส่งเสียงมาแต่ไกลด้วยความร้อนใจ
“เกี่ยวซิ เกี่ยว...”
ศรีแพร แสนวิ่งตามมา
“แม่...เกี่ยวทั้งที่ข้าวท่านอยู่ใต้น้ำยังงี้หรือ”
“ใช่...ไม่ใช่นาไม่เคยโดนน้ำท่วมเสียเมื่อไหร่ล่ะ พ่อเอ็งเขาก็ใช้วิธีเกี่ยวขึ้น”
“เกี่ยวยังไงล่ะแม่” ศรีไพรถามอย่างไม่เข้าใจ
“ก็ลงไปเกี่ยวใต้น้ำ”
ศรีไพร ศรีแพร สดและแสน ลุยลงท้องนา รีบมุดลงไปเกี่ยวข้าวที่จมอยู่ใต้น้ำ...กลุ่มชาวนาจึงพากันทำตามสด โดยลงไปเกี่ยวข้าวที่จมน้ำ ขึ้นมาไว้บนเรือ
ชิงชัยเดินลุยน้ำนำหน้าหลิมและเลิศ เข้าไปยังเนินดินที่ส่างลองอยู่ เนื้อตัวเปียกโชกพยายามเก็บข้าวของที่เหลือจากกระท่อมที่ถูกพัดไปตามแรงน้ำ ชิงชัยกวาดสายตา หน้าตาตื่นตระหนก
“เฮ้ย หมดเลยเหรอ กระท่อมทั้งหลัง ข้าวของที่เราใช้ปรุงยา ไม่มีเหลือเลยหรือวะส่างลอง”
ส่างลองหน้าจ๋อย
“ไม่มีเหลือเลยนาย น้ำมันมาเร็วเรียกใครก็ไม่ทัน”
“แล้วไอ้ยาตั้งต้นตัวที่ซื้อมาแพงๆ ล่ะ”
“ไปกับน้ำตั้งแต่เมื่อคืน”
ทวนโผล่หน้าออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ มองไปยังชิงชัยและส่างลอง
“หา...ไม่...ไม่เหลือเลยเรอะ”
ส่างลอง ส่ายหน้าเครียด
“เอาชีวิตยังแทบจะไม่รอดเลย นาย”
ทวนซุ่มดูอยู่ไกลๆอย่างเก็บข้อมูล
ทางด้านบุญช่วยเมื่อกลับขึ้นเรือน ค่อยๆทรุดตัวลงนั่งหน้าซีดเผือด เมื่อรู้ว่า ยาตั้งต้น ซึ่งเป็นเครื่องปรุงยาเสพติดหายไปกับสายน้ำ
“หมด วอดวายไปกับน้ำอีกเท่าไหร่ โธ่โว้ย...ทำไมมันไม่เดือดร้อนแต่พวกชาวนาวะ ทำไมต้องมาเดือนร้อนเราด้วย”
“ถ้าฟ้าจะลงโทษชาวนา ฟ้าคงจะไม่ละเว้นท่านเศรษฐีละมั้ง ฮึ...พักนี้ทำบาปไม่ค่อยขึ้นเลยนะ ท่านเศรษฐี” สไบพูดเยาะๆ
บุญช่วยค่อยๆ เหลือบสายตามองสไบที่ยิ้มเยาะขบขัน แล้วเริ่มหวาดระแวง
ศรีแพรเข็นเรือที่เต็มไปด้วยต้นข้าวที่เกี่ยวขึ้นจากน้ำ บ่นกระฟัดกระเฟียดด้วยความโกรธ
“พี่เมินเขาไปไหนนะ ทำไมเขาไม่มาช่วยเกี่ยวข้าว นาตั้งเยอะแยะ เราจะเกี่ยวกันยังไงไหวล่ะแม่”
“ตอนนี้ใครๆ ก็เดือดร้อน ช่วยตัวเองก่อน ก่อนจะร้องให้คนอื่นเขาช่วย รัฐท่านก็มีหน้าที่ช่วยท่านต้องช่วย แต่คนเดือดร้อนตั้งเยอะแยะ ให้ท่านไปช่วยคนที่เดือดร้อนกว่าเราก่อนเถอะ”
“แม่พูดถูกแล้วละพี่ศรีแพร มา...มานี่ ฉันทำเอง”
ศรีแพรกระแทกเสียง
“พี่เมินนะพี่เมิน พี่เมินหายไปไหน”
วันต่อมา หลวงตาสั่งให้หมอกและมหาเฉื่อย ขนเอาเครื่องสังฆทานมากมายที่ชาวบ้านมาถวายสังฆทานไว้ นำมาแจกจ่ายให้กับชาวบ้าน หมอกบ่นอุบเมื่อไม่เห็นหน้าของทอกเลย
“ไอ้ทอก...นะไอ้ทอก คับขันต้องออกแรงเหนื่อยละก็...หาเหตุมีธุระขึ้นมาเชียว ไอ้เพื่อนที่เคารพคบไม่ไหวจริงๆ”
“เร็วๆ เร่งมือเข้า สังฆทานพวกนี้ชาวบ้านเอามาถวายพระ พระเจ้าท่านเก็บเอาไว้เพราะเกินจะใช้สอย เอาไปแบ่งปันกันพอทุเลาเดือดร้อน ใส่เรือไปแจกจ่ายกันให้ทั่ว” หลวงตาสั่งอย่างร้อนใจ
เมินเพิ่งกลับมาจากในเมือง มหาเฉื่อยหันไปเห็น
“ไอ้เมิน...”
“ลุงมหา”
“พี่เมิน พี่หายไปไหนมา รู้มั้ยว่าชาวบ้านนากำลังเดือดร้อน” หมอกถามอย่างไม่ต่อยชอบใจนัก
เมินหน้าสลดลง
“พี่เห็นข่าวก็รีบกลับมา”
มหาเฉื่อยมองหน้าเมิน
“เอ็งหายหัวไปไหนมาวะตั้งสองสามวัน”
เมินหลบตา
“เอ้อ...ธุระ มา...ลุงมหาฉันแบกเอง”
“เอาของนี่ไปลงเรือ เดี๋ยวข้าจะไปโปรดสัตว์ พระฉันของโยมมามากแล้ว ตอนนี้...ถึงทีโยมต้องฉันของพระละวะ”
ทุกคนต่างช่วยกันจัดข้าวของไปแจกจ่ายช่วยชาวนา
สไบเชิดหน้าทะนง วางท่า ปรายตาเย้ยหยันผ่านชาริณี
“นี่เป็นโอกาสที่ท่านเศรษฐีจะทำคะแนนกับชาวนา ชาวนากำลังเดือดร้อน มีคนยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือก็ขี้คร้านจะสำนึกในบุญคุณ อะไรที่ต่อไม่ติดอาจจะต่อกันติดงานนี้แหละ”
ชาริณีมองสไบอย่างไม่พอใจ
“อยู่ดีๆ ก็ยุให้พ่อเสียเงิน ชาวนาทั้งบ้านนาแกต้องใช้เงินอีกเท่าไหร่ช่วยพวกมัน”
“ข้าวสารที่เก็บตุนไว้ ก็เอาออกไปแจกชาวบ้านซิ ที่ฉันพูดนี่เพราะฉันหวังดี ปีหน้าจะได้ขายปุ๋ยขายยาได้ เหลือเบะ...ฮึ”
บุญช่วย เห็นด้วย
“ก็เข้าที...”
ชิงชัยไม่พอใจมากเพราะไม่อยากช่วยชาวนา
“ผมไม่ไปนะพ่อ พ่ออยากจะเอาของไปแจกชาวบ้านเอาหน้าละก็ ให้คนอื่นไปเถอะ”
“ให้คุณทวนเขาไปนะ...พ่อ” ชาริณีเสนอ
ทวนหันมามองหน้าชาริณี ด้วยความรู้สึกลำบากใจ
กล่ำโยนถุงของแจกมาตรงหน้าของทวนและชาริณี แตกกระจายแผดเสียงด้วยความโกรธ
“เอาของพวกเอ็งคืนไป ไม่ต้องมาทำดีกับชาวบ้านหรอก ข้าวของเอ็งมันขุนยางมากไป กินแล้วกลัวมีสำนึกว่ะ”
กล่ำเดินออกไป เนี้ยวมองทวนกับชาริณีอย่างรังเกลียด
“พวกเราก็ไม่มีใครต้องการเศษอาหารหรอก” เนี้ยวหันไปหาเจ๊กตง “ไป...เตี่ย ไปเอาข้าวสารในร้านออกมาแจกชาวบ้าน”
“ไอ้หย๋า...เจ๊กตงเสียทั้งแรงเสียทั้งเงิน” เจ๊กตงบ่นงึมงำ
“อีนี้ฉานสุมิตรามายันก็ไม่เอาด้วยจ้ะ แขกไปด้วยคนนะจ้ะม่วยเนี้ยวจ๋า”
สุมิตรตามเนี้ยวไป ชาวบ้านต่างมองทวนด้วยแววตาชิงชัง ก่อนแยกย้ายกันออกไป ชาริณีตะโกนตามหลังด้วยความโกรธ
“ไอ้พวกบ้า ทำเป็นโอหังนัก ดี...พวกแกจะต้องอดตาย ขอให้พวกแกอดตาย”
ศรีไพรก้าวเข้ามา มองสบสายตาของทวน น้ำเสียงของศรีไพรห่างเหิน
“เอาของๆ คุณกลับไปเสียเถอะ เรายังช่วยตัวเองได้ เราต้องช่วยตัวเองก่อน...ก่อนที่จะยอมให้...คนอื่น...ช่วย”
ศรีไพรกับแสนเดินออกไป ชาริณีโกรธขึง
“ไอ้ศรีไพร ฉันจะรอดูตอนที่แกกับพวกชาวนา...อดตาย”
ทวนมองตามศรีไพรด้วยความไม่สบายใจ
ค่ำคืนนั้น หมอกเดินตามเมินเข้ามายังเพิงท้ายป่าช้า พยายามบีบคั้นเอาความจริง ขณะที่เมินเครียดหนัก หยิบปืนพกออกมาสำรวจกระสุน
“พี่หายไปไหนมา ชาวบ้านเดือดร้อนกันจะตายอยู่แล้วแต่พี่กลับหายหน้า พี่จะให้ฉันคิดยังไงพี่เมิน”
“ก็ไม่ต้องคิดยังไง”
“ศรีแพรถามฉันว่าพี่หายไปไหน จะให้ฉันตอบศรีแพรยังไง”
“ก็ไม่ต้องตอบ”
หมอกเห็นปืนก็ตกใจ
“นั่น...นั่นพี่เอาปืนออกมาทำไม มีปืนตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมฉัน...”
“ก็ไม่ต้องรู้”
“จะไม่ให้น้องพี่คนนี้รู้เรื่องพี่ทั้งสองคนเลยหรือ ทั้งพี่ทวน พี่เมิน ทั้งเรื่องที่พี่สองคนหายไปตั้งสิบปี เรื่องที่ชาวบ้านนาลืมไปหมดแล้ว”
เมินชะงัก มองหน้าหมอก ท่าทีหมอกเริ่มโกรธ น้อยใจ เมินตบไหล่ของหมอกอย่างปลอบโยน เหน็บปืนไว้ที่เอว
“งั้นก็ลืมซะ...”
ทั้งสองหันไปทางเบื้องหลัง เห็นเงาในแสงสลัวของหลวงตายืนอยู่ไกลๆ หลวงตามองทวนสงบนิ่งน้ำเสียงเนิบนาบ
“ตามข้าไปที่ศาลาเดี๋ยวนี้ ไอ้เมิน”
“ขอรับ หลวงตา”
เมินเดินตามหลวงตาออกไปจากป่าช้า หมอกมองตามไปอย่างสับสนและสงสัย
“หลวงตาเรียกพี่เมินไปหาเรื่องอะไร”
วันต่อมา ทวนกังวล ครุ่นคิดถึงความเย็นชาชิงชังของศรีไพรด้วยความรู้สึกเจ็บปวด ชาริณีเข้ามากอดเอวของทวน
“เสียใจไปทำไมกัน กะอีแค่...ชาวบ้านเกลียด คุณไม่มีชาวบ้านแต่คุณมีเงิน ชาวนาทำอะไรได้ แต่เงินทำได้ทุกอย่าง แต่งงานกับฉันนะ”
“ชาริณี คุณควรจะพูดความจริงกับพ่อคุณ ยังไม่สายที่คุณจะเข้าบำบัด”
“ฉันพูดไม่ได้ พ่อต้องฆ่าฉันแน่ พ่อรักฉัน พ่อรับไม่ได้หรอกว่าฉัน...”
“คุณยังมีอนาคต คุณต้องเลิกมัน ถ้าคุณไม่เลิกมันจะฆ่าคุณ”
ทวนจับตัวชาริณี เขย่าเบาๆ ชาริณีจ้องหน้าเขาเริ่มมีความผูกพัน
ศรีไพรนั่งทำงานอยู่ภายใต้แสงตะเกียง สดเข้ามานั่งลงใกล้ๆ ศรีไพรนั้นเคร่งเครียด ทุกข์หนักทั้งเรื่องทวน และเรื่องข้าวในนาเสียหาย
“คิดถึงไอ้ทวนมันหรือลูก”
“เปล่า คิดเรื่องข้าวที่เสียหายน่ะแม่ เกี่ยวขึ้นมาแล้วก็ไม่รู้จะตากที่ไหนในเมื่อน้ำยังไม่ลด”
“เดี๋ยวน้ำก็คงจะลด ถ้าไม่มีฝนซ้ำ ฝนฟ้าเดี๋ยวนี้ไม่ตกต้องตามฤดูกาลอีกแล้ว โลกมันแปรปรวนไปหมด”
ศรีไพรร้องไห้ด้วยความคับแค้นใจ
“แม่ เสียดายข้าวท่าน สู้ลงแรงทั้งหว่านทั้งไถทั้งดำ จนต้นข้าวกำลังจะแก่ได้ที่ก็มาเสียไปกับน้ำยังงี้ แล้วปีนี้เราจะกินอะไรกัน”
สดดึงศรีไพรเข้ามากอดไว้อย่างปลอบโยน
“อย่ายอมแพ้ซิลูก ลูกของแม่จะต้องไม่ยอมแพ้ เราทำร้ายธรรมชาติมามาก ถ้าธรรมชาติท่านจะเอาคืน เราก็ต้องยอม อย่างน้อยภัยพิบัติก็สอนให้เรารู้ว่า...ธรรมชาติยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์”
“แม่...”
“มา...กอดกันให้หายเหนื่อย พรุ่งนี้ยังมี...ต้องมีอะไรดีๆ เกิดขึ้นซิน่ะ”
ศรีไพรและสดกอดกันและกัน
เช้าวันใหม่ ตะวันขึ้นเหนือท้องนาที่น้ำลดลงแล้ว ศรีไพรและแสนเดินสำรวจความเสียหายของท้องนา แสนมองเห็นถังบรรจุสารเคมีที่เป็น ยาตั้งต้นในการผลิตยาเสพติดค้างอยู่บนคันนา
“พี่ศรีไพร นั่นอะไรน่ะ”
ศรีไพรมองอย่างสงสัย
“ถัง...คงเป็นถังน้ำบ้านใคร ถูกน้ำพัดมาคืนฝนตกละมั้ง”
“ข้างในมีอะไรน่ะ ดูถังมันแปลกๆ”
“พี่จะรู้มั้ยเว้ย แสนแสบ”
“เอาไปเปิดดูที่บ้านนะพี่นะ”
“จะดีหรือ”
“หรือพี่ไม่อยากรู้ว่าข้างในมีอะไร”
“ก็อยากรู้...”
ขณะเดียวกันนั้น หลิม เลิศและส่างลองขับเรือยนต์เข้ามา หลิมส่งเสียงตวาดเข้ม
“อย่าแตะต้องถังนั่นนะโว้ย มันเป็นสมบัติของท่านเศรษฐี”
“ประเภทเพชรนิลจินดา หรือธนบัตรหุ้น...” ศรีไพรถามกวนๆ
ส่างลองส่งสายตาดุ
“ไม่ต้องพูดมาก” ส่างลองหันไปสั่งเลิศกับหิม “เอาของขึ้น...”
ศรีไพรไม่ยอมให้
“ไม่ให้ ชักจะอยากรู้ว่าข้างในมีอะไร”
“พี่ รับ!”
แสนโยนขวานที่เสียบหลังอยู่ให้ ศรีไพรฟาดลงบนถังแตกกระจาย สารเคมีทะลักออกมาจากถัง หลิม เลิศ ส่างลองต่างตาเหลือกไปด้วยความตื่นตระหนก
“ไอ้...ไอ้ศรีไพร เอ็ง...เอ็งรู้มั้ยเอ็งทำอะไร” หลิมโวยวาย
“ทำไม...”
ศรีไพรก้าวเข้ามา ยกเท้าขึ้นเหยียบลงบนถัง กวาดสายตามองหน้าทั้งสามด้วยความสงสัย
“ไอ้น้ำที่ไหลออกมากลิ่นเหม็นหึ่งนี่...อะไร”
ทวนซ่อนตัวอยู่ในมุมหนึ่งพยายามสืบหาข้อมูลแหล่งผลิตยาเสพติด บุญช่วยกุมขมับ ขณะที่ชิงชัยแผดเสียงด้วยความโกรธ
“หา ไอ้ศรีไพรน่ะหรือ มันทุบถังใส่ยาตั้งต้น โธ่...ไม่มีไอ้สารเคมีตัวนี้แล้วเราจะผลิตยาเองได้ยังไง”
หลิมหน้าเสีย
“ผมห้ามมันไม่ทันครับ มันคว้าขวานได้ก็ทุบเปรี้ยงเลย”
เลิศจ๋อยๆ
“จริงๆ ครับคุณชิงชัย พอถังแตกน้ำยาก็...ก็...”
ส่างลองลุกขึ้นยืน
“นายได้ยาตั้งต้นมาเมื่อ่ไหร่ค่อยเรียกผมก็แล้วกัน”
ส่างลองเดินออกไป บุญช่วยหงุดหงิดมาก
“โอย...ไอ้ศรีไพรอีกแล้ว ทำความชิบหายวายวอดให้ข้าอีกแล้ว แล้วนี่เราต้องใช้เงินอีกเท่าไหร่ ไหนจะต้องรออีกล่ะ แล้วเมื่อไหร่จะได้ทำธุรกิจเสียที เราเห็นจะต้องคิดใหม่”
“คิดยังไง พ่อ” ชิงชัยถามอย่างไม่เข้าใจ
บุญช่วยแววตาเจ้าเล่ห์
“เราต้องตัดกำลังไอ้ศรีไพร ด้วยการเอาไอ้เมินมาเป็นพวก...”
จบตอนที่ 22
อ่านตอนที่ 23 วันพรุ่งนี้