สามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 20
คำพูดเมื่อสักครู่นี้ของอรุณศรียังดังก้องอยู่ในหู แม้ว่ากริชชัยจะเดินออกมาจากร้านอาหารแล้ว
“เพื่อน” กริชชัยพึมพำกับตัวเองเบาๆ
ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือกริชชัยก็ดังขึ้น กริชชัยหยิบโทรศัพท์และกดรับ
“ไอ้ธีว่าไง? เฮ้ย..ถามจริง” น้ำเสียงกริชชัยฟังดูร้อนรนขณะคุยมือถือกับธีธัช
กริชชัยพุ่งไปที่คอนโดของธีธัชทันที กระดาษโน้ตของกรกนกอยู่ในมือของกริชชัย
“เวลาของเราคงจะหมดลงแล้ว ของที่เหลือจะเข้ามาเก็บอาทิตย์หน้า โชคดี... กรกนก”
กริชชัยเงยหน้ามองธีธัช ที่กำลังเก็บของใส่กระเป๋าเดินทางอยู่
“ไปจริง หรือ แค่งอน”
“คนอย่างกรไม่เคยงอน” ธีธัชตอบเสียงนิ่ง
“แล้วแกจะง้อเค้าหรือเปล่า”
“ไม่มีประโยชน์ เค้าคงจะทิ้งฉันไปจริงๆ”
“ดูท่าทางแกไม่ค่อยเสียใจ”
“ฉันทำใจมาตั้งนานแล้ว ไม่ช้าก็เร็วมันต้องมีวันนี้... ฉันกับกรไปไม่ได้ไกลกว่านี้”
“ทำไมวะ คุณกรเค้าก็เป็นคนดี ยอมแกทุกอย่าง”
“แต่บางที... เราก็ไม่ได้ต้องการคนที่ยอมเราทุกอย่าง ขัดๆ กันบ้าง บางทีก็ทำให้เราได้เห็นมุมมองใหม่ๆ ที่เราคิดไม่ถึง”
กริชชัยขมวดคิ้ว แอบคิดถึงลำเภาขึ้นมา
“ฉันจะขนของย้ายไปอยู่ที่คอนโดแก ตอนที่กรมาเก็บของ เค้าจะได้ไม่ลำบากใจ”
กริชชัยพยักหน้ารับรู้ และเห็นด้วย ธีธัชมองรอบๆห้องอีกครั้ง แล้วก็พูดขึ้น
“ฉันเพิ่งรู้..การเลิกทั้งที่ไม่ได้เกลียดกัน..มันยากจริงๆ”
กริชชัยเอื้อมมือมาตบไหล่ธีธัชด้วยความเห็นใจ...ธีธัชพยักหน้ารับนิดๆ แล้วก็ทอดสายตามองไปข้างหน้า
ด้วยความลำบากใจ
วัชระเดินเข้ามาที่หน้าบ้านอันใหญ่โตของเนตรนภัส หยุดและยืนสูดลมหายใจลึกๆ เพื่อทำใจ แววตานิ่ง พร้อมเผชิญกับความจริง
นรีวรรณโผล่หน้ามาดูโพยเบอร์โทรศัพท์เกือบ10 เบอร์ที่เนตรนภัสวางลงบนโต๊ะพร้อมๆ กับคว้าโทรศัพท์มือถือมาเตรียมจะกดโทร.ออก
“เบอร์ใครเนี่ย”
“เบอร์โทร.วัช ฉันไปตามล่าหามาจากแม่เค้า แล้วก็เพื่อนๆ ตอนนี้ได้มาแปด เดี๋ยวจะโทร.ไล่ทุกเบอร์เลย มันต้องใช่สักอันสิ”
เนตรนภัสกำลังจะกดโทรออก ทันใดนั้นเสียงสีรุ้งก็ดังขึ้น
“ไม่ต้องโทร.”
สีรุ้งเดินเข้ามาที่ห้องรับแขกและพูดต่อ
“เจ้าตัวเค้ามาแล้ว”
“วัชมาเหรอคะแม่” เนตรนภัสเงยหน้าทันที
สีรุ้งพยักหน้าเอือมๆ
“รออยู่ที่สวนทหน้าบ้าน “
เนตรนภัสปัดกระดาษเบอร์โทรศัพท์ทิ้งอย่างไม่ใยดี ก่อนจะลุกเดินพุ่งออกไปหน้าบ้านด้วยความโกรธ เม้มปากด้วยความแค้นทันที สีรุ้งมองตามด้วยความเป็นห่วง นรีวรรณรีบวิ่งมาหาสีรุ้งพลางถาม
“คุณแม่คะ..เราควรเรียกรถตำรวจหรือรถพยาบาลเตรียมไว้มั้ยคะ”
สีรุ้งถึงกับผงะ
ทันทีที่เนตรนภัสเห็นหน้าวัชระก็เปิดฉากใส่แบบไม่ไว้หน้าทันที
“วัชไปดูคอนเสิร์ตกับนังนั่นได้ยังไง ถ้ามีคนรู้จักแหนมไปเห็น แหนมจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน แล้วโทรศัพท์เป็นอะไรทำไมไม่เปิด เปลี่ยนเบอร์ก็ไม่บอก คิดจะหนีหรือไงหะ แล้วเรื่องการ์ดแต่งงานอีก แหนมส่งให้ดูเป็นชาติแล้ว ตกลงวัชจะเอายังไง แหนมจะสั่งเค้าพิมพ์แล้วนะ”
วัชระ ฟัง..ฟัง..ฟัง และสุดท้ายก็พูดออกมา
“แหนม...ผมมีคนใหม่แล้ว”
เนตรนภัสช็อก คาดไม่ถึง
“งานแต่งงานของเรา..คงต้องยกเลิก”
เนตรนภัสหน้าแดงกล่ำ บันดาลโทสะส่งเสียงดังสนั่น
“นังผู้หญิงคนนั้นมันเป็นใคร บอกมานะ..มันเป็นใคร” เนตรนภัสเข้าไปเขย่าตัวคาดคั้งความจริงจากวัชระ
“ฝ้าย...ผมกำลังจะคบกับเค้า”
“ไม่จริง..เป็นไปไม่ได้ วัชโกหก แหนมไม่เชื่อ”
“มันเป็นความจริง.. ที่ผมบอก เพราะแหนมจะได้ไม่ต้องหวัง”
“ไม่!! แหนมไม่ยอมเลิก ถ้าเลิกกันแหนมจะเอาหน้าไปไว้ไหน”
“แหนม..เค้าจะคิดยังไงก็เรื่องของเค้า คุณรู้ตัวหรือเปล่า ตั้งแต่คุณหมกหมุ่นเรื่องการแต่งงาน คุณไม่มีความสุขเลย ถ้าการแต่งงานทำให้คุณทุกข์แบบนี้ คุณจะแต่งไปทำไม”
“ถึงไม่มีความสุข แหนมก็จะแต่ง” เนตรนภัสเถียงเสียงดังลั่น
วัชระถึงกับส่ายหน้าที่เนตรนภัสไม่พยายามรับรู้เรื่องใดๆ
นรีวรรณชะเง้อมองจากในบ้านด้วยความอยากรู้และเป็นห่วง สีรุ้งนั่งหันหลังให้หน้าต่าง แต่หูผึ่ง
ตลอดเวลา นั่งไม่ค่อยจะติดเพราะเป็นห่วงพอกัน
“พี่แหนมกรี๊ดๆ ใหญ่เลยค่ะคุณแม่”
สีรุ้งอดทนต่อไปไม่ไหวลุกขึ้นยืนพรวด!
เนตรนภัสใส่วัชระต่อ
“เรื่องการแต่งงานไม่ใช่เรื่องของคนแค่สองคน แต่มันเป็นเรื่องของการเข้าสังคม มีตั้งหลายคู่ที่เค้าแต่งกันทั้งที่ไม่ได้รัก แต่เค้าอยู่ด้วยกันได้เพราะความเหมาะสม”
“แล้วคุณกับผม..เหมาะสมกันตรงไหน ฐานะคุณก็ดีกว่าผม รสนิยมคุณกับผมก็ไม่เหมือนกัน แถมรูปร่างหน้าตาการแต่งตัว... คุณก็ดูหรูหรา ต่างกับผมราวฟ้ากับเหว ผมไม่เห็นว่าเราจะเหมาะสมกันตรงไหน” วัชระสวน
“ใช่สิ!! คุณกำลังจะทิ้งแหนม อะไรๆ มันก็พาลแย่ไปหมด”
วัชระพยายามใช้สติอธิบายอย่างหนักแน่น
“ผมไม่ได้พาล ผมพูดด้วยเหตุผล คุณอาจจะแต่งงานทั้งที่ไม่รักได้..แต่ผมทำไม่ได้ .. ผมแต่งงานกับคุณไม่ได้จริงๆ”
“วัช”
“หยุดตามหาผม... ถ้าเราห่างกันสักพัก คุณจะรู้ว่าสิ่งที่ผมพูดมันเป็นความจริง”
วัชระพูดจบก็เดินออกไปจากบ้านเนตรนภัสทันที เนตรนภัสมองตามแล้วก็ส่งเสียงกรี๊ด
“ไม่จริง วัช กลับมาเดี๋ยวนี้นะ แหนมบอกให้กลับมา วัช! วัช! แหนมบอกให้กลับมา วัชทิ้งแหนมไปแบบนี้ไม่ได้นะ...วัช วัช...วัช” เนตรนภัสน้ำตาร่วงปล่อยโฮ วัชระยังคงเดินไปข้างหน้า
เนตรนภัสจะออกวิ่งตามไป แต่สีรุ้งและนรีวรรณรีบวิ่งมาจับตัวไว้
“แหนม...อย่าไปลูก แหนม...ปล่อยเค้าไปลูก...ปล่อยเค้าไปนะ”
“พี่แหนม..ผู้ชายห่วยๆแบบนี้ จะเอามาทำสามีทำไม พอได้แล้ว”
เนตรนภัสร้องไห้ฟูมฟาย
“ไม่..ฉันไม่ยอม ฉันไม่ยอมเป็นคนโดนทิ้ง ได้ยินมั้ย ฉันไม่ยอม ทำไมต้องเป็นฉัน...ทำไม...ทำมาย”
นรีวรรณมองเนตรนภัสด้วยความสงสาร สีรุ้งมองลูกแล้วน้ำตาพาลจะไหลตาม ทุกข์ไม่น้อยไปกว่ากัน
วัชระเดินมาที่หน้าบ้านของเนตรนภัสแล้วก็หยุด...ค่อยๆหันหลังกลับไปมอง แววตาเต็มไปด้วยความเศร้าและรู้สึกผิด ในใจลึกๆ ยังเป็นห่วง แต่ก็ต้องตัดใจ วัชระค่อยๆ หันหลังให้บ้านเนตรนภัส และไม่คิดว่าจะได้กลับมาอีก
รถสุพรรณิการ์เข้ามาจอดที่หน้าปากซอยบ้านอรุณศรี
“ไม่ให้ฉันไปส่งที่บ้านจริงๆเหรอ”
“ไม่ต้องหรอก..วันนี้พี่โอบบอกว่าปรานต์จะมาหาที่บ้าน จะมาคุยเรื่องฉัน ฉันอยากรู้ว่าตอแหลอะไรอีก ถ้าแกขับไปจอดที่หน้าบ้าน เดี๋ยวมันไหวตัว”
“ฉะ...ฉันไปด้วย เดี๋ยวจอดรถไว้แถวนี้แหละ”
“อย่าเลยฝ้าย...ฉันอยากจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง”
อรุณศรีพูดด้วยแววตาเข้มแข็ง และมุ่งมั่น
รถสปอร์ตของเกียวคันที่อรุณศรีเห็นเมื่อบ่ายนี้จอดอยู่ที่หน้าบ้าน อรุณศรีหน้านิ่งเครียด..ใจเต้นระส่ำด้วยความโกรธ แต่พยายามระงับไว้ใจเย็นๆ..ใจเย็นๆ
ปรานต์นั่งหน้าซึมอยู่ในห้องรับแขกในบ้านของอรุณศรีคุยอยู่กับโอบบุญ ปรานต์เริ่มบทบาทการแสดงอีกครั้ง
“ผมขอบคุณพี่โอบ ที่ยอมเสียเวลามาคุยกับผม ผมจนปัญญาไม่รู้จะหันไปปรึกษาใครแล้วจริงๆ”
โอบบุญปรายตาไปที่หน้าบ้านเห็นรถสปอร์ตคันหรู
“แล้วนี่ไปเอารถใครเค้ามา หรือว่าเปลี่ยนรถใหม่”
“รถผมเอง...พอดีที่ร้านเพิ่งจะปันผลครึ่งปี ก็เลยได้มานิดหน่อย” ปรานต์ยิ้มอย่างภูมิใจ
โอบบุญพยักหน้ารับรู้ แอบคิดในใจว่า มีเงินขนาดนี้ ทำไมต้องมายืมเงินอรุณศรีเมื่อครั้งที่แล้ว
อรุณศรีเดินเข้ามาอย่างเงียบกริบ แอบฟังปรานต์คุยอยู่กับโอบบุญ
“ผมเห็นกิ๊กแอ๊ว เอารถสปอร์ตมารับมาส่ง ผมไม่อยากน้อยหน้า อยากทำให้แอ๊วเห็นว่าผมก็มีเหมือนกัน แค่รถสปอร์ตสักคัน ไม่เห็นจะยาก”
โอบบุญเบือนๆหน้าหนีอย่างเอือมๆ อรุณศรีส่ายหน้าด้วยความเซ็ง ปรานต์ยังพูดต่อโดยไม่รู้ตัว
“ผมไม่เข้าใจริงๆ แอ๊วสนใจมันได้ยังไง หน้าตาก็บื้อๆ เก๊กๆ บุคลิกก็เหมือนเกย์ ถ้ามันไม่รวย มันไม่มีอะไรดีสักอย่าง”
โอบบุญเริ่มรำคาญนิดๆ จึงตัดบท
“ตกลง..จะปรึกษาเรื่องอะไร เข้าเรื่องเลยแล้วกัน จะได้ไม่เสียเวลา”
“ก็เรื่องแอ๊วนี่แหละครับ..พูดตรงๆนะพี่โอบ..ผมว่า..แอ๊วกำลังโดนหลอก ไอ้กริชชัยมันไม่ได้คิดจะจริงจังกับแอ๊ว มันก็คงเห็นเป็นแค่พนักงานในบริษัท พอได้แล้วก็คงทิ้ง”
ปรานต์ใส่ไฟต่อ
“และตอนนี้..ผมว่าแอ๊วกับมันคงมีอะไรกันแล้ว”
อรุณศรีอึ้งหนักกว่าเดิม.. โอบบุญทำหน้าเบื่อๆ ปรานต์ยังไม่รู้สึกตัวยังคงใส่ไฟต่อไป
“ผมพยายามเตือนแล้วแต่แอ๊วไม่ฟัง ถ้าพี่โอบเป็นห่วงแอ๊ว ต้องบอกให้เค้าระวังตัว อยู่ห่างไอ้กริชชัยได้มากเท่าไหร่ยิ่งดี หรือถ้าพี่ไม่อยากให้แอ๊วต้องเสียตัวฟรี ก็ให้ลาออกมาซะ ก่อนที่จะเสียไปมากกว่านี้”
เสียงอรุณศรีดังแทรกขึ้นอย่างเหลืออด
“พอได้แล้วปรานต์ หยุดโกหก เอาดีใส่ตัว โยนความชั่วให้คนอื่นได้แล้ว”
ปรานต์ถึงกับหน้าเสียในทันที ไม่คิดว่าอรุณศรีจะแอบฟังอยู่
“แอ๊ว”
อรุณศรียืนหน้าแดงกล่ำด้วยความโกรธ โอบบุญลุกขึ้นยืน
“พี่ไปรอข้างนอกนะ มีอะไรก็เรียกแล้วกัน”
โอบบุญปรายตามามองปรานต์นิดๆอย่างไม่ไว้ใจ ก่อนจะตัดสินใจเดินออกไป โอบบุญเดินออกมานั่งรอที่หน้าบ้าน ในใจก็ยังกังวลด้วยความเป็นห่วง
ทันทีที่ปรานต์เจอหน้าอรุณศรีก็รีบทำเสียงออดอ้อนทันที
“แอ๊ว...แอ๊ว..อย่าโกรธปรานต์เลยนะ ที่ปรานต์พูดทุกอย่างเพราะปรานต์หวังดี ปรานต์ไม่อยากให้แอ๊วต้องเสียใจ”
อรุณศรีมองหน้าด้วยความหมั่นไส้
“ถ้าไม่อยากให้เสียใจ แล้วโกหกทำไม”
“โกหกอะไร” ปรานต์ทำหน้าซื่อตาใสไม่รู้เรื่อง
“โกหกเยอะมาก โกหกต่อหน้าอื่นว่าเรามีอะไรกัน โกหกพี่โอบว่าแอ๊วมีอะไรกับคุณกริช แล้วก็โกหกแอ๊วว่าไม่มีอะไรกับผู้หญิงคนนั้น”
“ผู้หญิงคนไหน ปรานต์ไม่รู้เรื่อง”
“คนที่เป็นเจ้าของเบนซ์ที่จอดอยู่หน้าบ้าน คนที่ออกไปกินข้าวด้วยกันเมื่อกลางวัน” อรุณศรีพูดเสียงดัง
เสียงอรุณศรีดังมาจากในบ้านถึงภายนอกมุมที่โอบบุญนั่งอยู่ หัวอกพี่ชายสุดจะแค้นแทน
“รู้หรือยังว่าผู้หญิงคนไหน”
ปรานต์ยังพยายามจะแก้ตัว
“แอ๊ว...เอ่อ..แอ๊วกำลังเข้าใจผิด”
อรุณศรีโบกมือ
“พอเหอะปรานต์ หยุดโกหกสักที มันไม่ทำให้อะไรดีขึ้น มีแต่จะแย่ลง”
ปรานต์สะอึก..น้ำเสียงเริ่มแข็งขึ้น
“แอ๊วไปเอาเรื่องนี้มาจากไหน ต้องมีคนตั้งใจจะใส่ร้ายปรานต์แน่ๆ ไอ้กริชชัย หรือว่านังฝ้าย หรือทั้งสองคน”
“ไม่มีใครใส่ร้ายทั้งนั้น แอ๊วเห็นเองกับตา ผู้หญิงคนนั้นใส่เสื้อสีชมพู กระโปรงสีดำ ขับรถคันนั้น” อรุณศรีชี้ไปที่หน้าบ้าน
“แล้วปรานต์กับเค้าก็ออกไปด้วยกันชัดมั้ย” อรุณศรีพูดต่อน้ำตาซึมด้วยความโกรธ
ปรานต์อึ้ง...คิดไม่ถึง เถียงไม่ออก
“คยบอกแล้วไง เรื่องอื่นพอทนได้ แต่เรื่องมีคนอื่น..รับไม่ได้จริงๆ”
“แอ๊ว...ผมขอโทษ..ผม”
“ไม่ได้รู้สึกผิด จะขอโทษทำไม ถ้ารู้สึกผิดสักนิด มันไม่คิดจะทำตั้งแต่แรกแล้ว”
ปรานต์อึกอัก พยายามคิดทางออก
อรุณศรีสูดลมหายใจลึกๆ พร้อมกับตัดสินใจ
“มันถึงเวลาแล้ว.. เราควรจะเลิกกันได้สักที”
ปรานต์ช็อก นึกไม่ถึงว่าอรุณศรีจะบอกเลิกอย่างกระทันหันชนิดที่ไม่ทันตั้งตัว อรุณศรีเชิดหน้าอย่างหนักแน่น ปรานต์ตะโกนกลับทันทีที่ได้สติ
“ไม่ ไม่มีทางหรอก เราคบกันมาตั้งหลายปี ปรานต์ดีกับแอ๊วมาตลอด อยู่ๆมาเลิกกันง่ายๆแบบนี้เนี่ยเหรอ ปรานต์ไม่ยอม”
โอบบุญยืนอยู่หน้าบ้าน ได้ยินเสียงเอะอะ ก็หันมามองด้วยความเป็นห่วง โอบบุญลุกขึ้นยืนดูท่าที
“ไม่ว่ายังไงปรานต์ก็ไม่เลิก” ปรานต์ย้ำ
ปรานต์พูดหน้าตาถมึงทึง โทสะพุ่งพรวด ทั้งโกรธ แค้น และเสียหน้า
อรุณศรียังย้ำอย่างหนักแน่น
“ยอมรับความจริงซะเถอะ เราสองคนเดินมาถึงทางตันแล้ว อย่าทนอยู่เพื่อจะเกลียดกันไปมากกว่านี้เลย”
“ไม่..ปรานต์ไม่มีวันจะเกลียดแอ๊วอยู่แล้ว..ปรานต์เคยรักแอ๊วยังไง ทุกวันนี้ก็ยังรักเหมือนเดิม”
“พอเหอะ..ไม่อยากฟังเพราะมันไม่จริง จากนี้ เราไม่มีอะไรต่อกันแล้ว ต่างคนต่างมีชีวิตของตัวเอง .. มีแค่เรื่องเดียวที่อยากจะให้รับผิดชอบ... เงินของฝ้าย” อรุณศรีเสียงเข้มเด็ดขาด
ปรานต์ชะงักเหมือนโดนมีดกรีดกลางต่อมยะโส
“สี่แสนที่ยืมไป อยากให้จ่ายคืนให้ครบ ถึงเราจะเลิกกันแต่หนี้ก้อนนี้ก็ยังคงอยู่”
“หน้าเงิน ตั้งแต่มีเศรษฐีมาจีบ หายใจเข้าออกเป็นเงินไปหมด ขนาดเลิกกันก็ยังทวงเงิน อยากได้คืนนักใช่มั้ย..ไปบอกไอ้บื้อมันสิ ให้มันจ่ายมาสี่แสน เป็นค่าตัวที่มันแย่งแอ๊วไปได้สำเร็จ”
“ปรานต์อย่าพาล เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณกริช”
“มันน่ะเกี่ยวเต็มๆ ถ้าไม่มีมันเข้ามา แอ๊วก็ไม่เป็นแบบนี้ บอกไว้ก่อนเลยนะ ถึงจะเลิกกัน ก็อย่าหวังว่าจะมีความสุข แอ๊วทำปรานต์เจ็บ แอ๊วจะต้องเจ็บกว่า” ปรานต์พูดพลางเดินเข้ามาหาและมองอรุณศรีอย่างคุกคาม
เสียงโอบบุญดังขึ้น
“ออกจากบ้านนี้ไปได้แล้ว”
ปรานต์ยังมองหน้าอรุณศรี
“จำไว้”
ปรานต์ข่มขู่ทิ้งท้ายแล้วก็เดินออกไปด้วยความโกรธ โอบบุญมองตามด้วยความไม่พอใจอย่างแรง
อรุณศรีทรุดลงนั่งอย่างหมดแรง...แล้วน้ำตาที่กลั้นไว้ก็ซึมๆ ออกมา
“นึกไม่ถึง...ว่าปรานต์จะเป็นคนแบบนี้..นึกไม่ถึงเลยจริงๆ”
โอบบุญเดินมานั่งข้างๆ พยายามปลอบใจด้วยความเห็นใจ โอบบุญโอบไหล่น้องสาว
“เอาน่า..ถือซะว่าโชคยังดีที่ได้เห็นตอนนี้ ดีกว่าไปเห็นหลังจากแต่งงานกันไปแล้ว ถ้าไปรู้ตอนนั้น...กรรมหนักกว่านี้แน่”
อรุณศรีพยักหน้าเห็นด้วย แต่ก็อดน้ำตาร่วงไม่ได้ โอบบุญโอบเอาร่างอรุณศรีมากอดไว้ ให้กำลังใจผ่านอ้อมกอดของพี่ชาย
อรุณศรีร้องไห้ออกมาระบายความเก็บกด เป็นคืนเศร้าที่เจือไว้ด้วยความสุขระหว่างสองพี่น้อง
อ่าน 3 หนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 20 (ต่อ) หน้า 2
สามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 20 (ต่อ)
อรุณศรีแยกจากโอบบุญเดินเข้ามานั่งอยู่ภายในห้องนอน หยิบภาพถ่ายคู่ของเธอกับปรานต์ที่ใส่กรอบวางอยู่มาดู แล้วก็ถอนใจด้วยความผิดหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้น
อรุณศรีค่อยๆ หันมาวางกรอบรูปไว้ในกล่องที่เตรียมไว้สำหรับเก็บความทรงจำเก่าๆ โอบบุญยืนอยู่ที่หน้าห้อง มองเข้ามาในห้องน้องสาวด้วยความเป็นห่วง ได้แต่ถอนใจเบาๆ
“การจากลา...เป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์”
โอบบุญคิดถึงคำคมของนักเขียนนิรนามท่านหนึ่ง
“ถ้าคิดจะเริ่มต้นรัก ควรเผื่อใจสำหรับการเลิก และทำทุกวันให้เป็นวันที่ดีที่สุด อย่างน้อยเมื่อต้องแยกทาง ยังมีสิ่งดีๆ หลงเหลืออยู่ในความทรงจำ”
โอบบุญค่อยๆ เดินออกไปจากหน้าห้อง..ปล่อยให้อรุณศรีอยู่เพียงลำพัง
ในเวลาเดียวกัน ธีธัชนั่งซึมอยู่ในรถโดยมีกริชชัยเป็นคนขับ บนตักมีโคมไฟที่ธีธัชอุ้มอยู่ด้วยว่ากลัวแตก ท้ายรถมีของมากมายที่ขนออกจากคอนโดเก่ามุ่งหน้ากลับคอนโดกริชชัย กล่องของซึ่งวางอยู่ที่เบาะหลังมีภาพของธีธัชและกรกนกวางอยู่ กริชชัยหันมามองด้วยความเห็นใจ แล้วก็ขับรถต่อไป
ธีธัชมองเหม่อลอยไปนอกหน้าต่าง คิดถึงช่วงเวลาดีๆ แห่งความสุขตอนที่อยู่กับกรกนก
ในขณะที่กรกนกนั่งเศร้าอยู่ในร้านสาดสุรา...กรกนกเปิดดูรูปที่ถ่ายคู่กับธีธัชในโทรศัพท์แล้วก็ยิ่งเศร้า
ส่วนวัชระกำลังขับมอเตอร์ไซค์ฝ่าแสงไฟของกรุงเทพฯราตรีอยู่บนถนนด้วยความเหงา นึกถึงตอนที่วัชระตอนมีความสุขกับเนตรนภัส
ข้างฝ่ายเนตรนภัสหยิบรูปวัชระมาดูแล้วก็ปาทิ้ง พร้อมกับกวาดทุกสิ่งที่เตรียมไว้ทั้งของชำร่วย การ์ดแต่งงาน ชุดแต่งงาน เนตรนภัสดื่มอย่างหนักอย่างไร้สติและทรุดลงร้องไห้กลางห้อง
ทั้ง 6 ชีวิตในค่ำคืนนี้กับเรื่องราวของความรักแตกต่างกันไป
เนตรนภัสยังคงร้องไห้อย่างหนัก
วัชระขี่มอเตอร์ไซค์ฝ่าแสงไฟไปอย่างเหงาๆ
ธีธัชนั่งซึมๆ อยู่บนรถข้างกริชชัย
กรกนกขึ้นสเตตัสเป็นรูปหน้าคนร้องไห้ - T_T โอบบุญเข้ามาและกดเม้นท์เป็นรูปหน้าเป็นห่วง OB one : -_-!!
อรุณศรีหย่อนกรอบรูปอันสุดท้ายใส่กล่อง และปิดกล่องด้วยเทปกาว..ไม่คิดจะเปิดมันขึ้นมาอีก อรุณศรีเชิดหน้าขึ้น..สูดลมหายใจด้วยความเข้มแข็ง
เช้าวันต่อมา บรรยากาศสดใสภายในคอนโดของกริชชัย ธีธัชยังคงนอนคว่ำเปลือยกายอยู่บนเตียง มีผ้าห่มคลุมกายไว้หลวมๆ ลำเภายืนอยู่ในห้องนอนธีธัชในมือถือด้ามไม้กวาดพลางเขี่ยไปที่ตัวของธีธัช
ธีธัชขยับตัวงัวเงีย ลำเภาเอาไม้กวาดจิ้มต่อ ธีธัชพลิกตัวหันมาด้วยความงัวเงียและรำคาญ และจังหวะนั้นเองที่ส่วนสำคัญของธีธัช ถือโอกาสเคลื่อนตัวออกจากผ้าห่มที่คลุมอยู่ ลำเภาถึงกับตะลึง...ตาโตขึ้นเล็กน้อย
‘คุณพระช่วย หวยออก’ ลำเภารีบเอามือปิดปากด้วยความตื่นเต้น
ลำเภาใช้ไม้เขี่ยอีกที คราวนี้ธีธัชรู้สึกตัวด้วยอาการสะลึมสะลือ
“อาราย” เสียงธีธัชพูดขึ้นทั้งที่ตายังปิดเอยู่
ธีธัชค่อยๆ ลืมตาขึ้น พอเห็นลำเภายืนอยู่เบื้องหน้า ธีธัชถึงกับสะดุ้งสุดตัว ร้องลั่น!!
“เฮ้ย”
ธีธัชเด้งตัวพรวดพราดขึ้น แล้วก็นึกได้ว่ากำลังโป๊อยู่ รีบคว้าผ้ามาปิดส่วนลับ แล้วก็โวยวาย
“ยัยหนูตะเภา เข้ามาได้ยังไง เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่หะ ละ...แล้วเธอเห็นอะไรบ้าง”
“ฉันเดินเข้ามา ตั้งแต่สิบนาทีที่แล้ว และฉันก็...เห็นหมดเลย” ลำเภาตอบหน้านิ่ง
ธีธัชถึงกับหน้าเหวอ
“หะ...ยัย..เด็กบ้า หน้าไม่อาย เห็นแล้วยังยืนมองอยู่ได้เนี่ยนะ”
“ถ้าฉันหน้าไม่อาย นายก็หน้าด้าน นอนแก้ผ้าในบ้านคนอื่น แถมประตูห้องก็ไม่ปิด น่าเกลียดจริงๆ”
“รู้ว่าน่าเกลียด แล้วมองทำไม แล้วนี่เป็นผู้หญิงยังไงเข้าห้องผู้ชายโดยไม่ได้รับอนุญาต”
“ก็ฉันจะมาปลุกให้ตื่นมาทำหน้าที่ตัวเองได้แล้ว”
“หน้าที่อะไร”
ลำเภายิ้ม
“หน้าที่แฟนไง...ฉันเตรียมอาหารเช้าไว้ให้แล้ว กินเสร็จแล้วก็ไปส่งฉันที่ทำงานด้วย”
“หะ” ธีธัชอ้าปากค้าง
ลำเภาพูดต่อทันที
“ไม่ต้องหะ รีบๆ ลุกเลย ก่อนที่ฉันจะเอาคลิปที่แอบถ่ายตอนนายนอนโป๊ไปโพสต์ในยูทูป”
ธีธัชหน้าเหวออย่างแรง
“หะ ธะ..เธอ” เสียงธีธัชตะกุกตะกัก
ลำเภาไม่สนใจหันหลังแล้วก็เดินออกมาจากห้องพร้อมไม้กวาดอย่างสบายอารมณ์ ปล่อยให้ธีธัชอึ้งอยู่
“ยัยเด็กบ๊อง..ยัยหนูตะเภามาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน อย่าเพิ่งไป”
ธีธัชลุกพรวดจะตามออกไปด้วยโดยลืมตัวว่ายังโป๊อยู่ พอนึกได้ก็รีบเอามือกุมไว้และหันไปหยิบกางเกงมาใส่ และรีบเดินตามออกไป
“ยัยหนูตะเภาเอาคลิปมาให้ฉันดูเดี๋ยวนี้เลยนะ ถ่ายอะไรไปบ้างหะ”
กริชชัยเดินออกมาจากห้องนอนอยู่ในชุดเตรียมไปทำงาน เจอกับลำเภาที่เดินยิ้มกริ่มออกมาพร้อมกับไม้กวาดในมือ โดยมีธีธัชที่เดินโวยวายตามมาในชุดกางเกงนอนเปลือยอก
บนโต๊ะอาหารในคอนโดของกริชชัยไส้กรอกหลายขนาด ทั้งเล็ก กลาง ใหญ่ วางอยู่ในจานสวยงาม ข้างๆ มีมันบด มีขนมปังปิ้งอยู่ด้วย
“นี่..ฉันถามว่าถ่ายอะไรไว้บ้าง..เอามาให้ดูเดี๋ยวนี้เลย” ธีธัชยังคงโวยวายลั่น
“เภาไปแกล้งอะไรได้ธีมันอีกหะ ป่วนกันแต่เช้าเลย” กริชชัยถามพลางเดินมานั่งที่โต๊ะกินข้าว ตักไส้กรอกใส่จาน
ธีธัชรีบอ้าปากฟ้องก่อน
“ก็น้องนาย...”
ธีธัชยังพูดไม่ทันจบ
ลำเภาหันมาเอาด้ามไม้กวาดชี้ให้หยุด ธีธัชหยุดจริงๆ ลำเภาพูดแทรกขึ้น
“เพื่อนพี่กริชนั่นแหละอุบาทว์ นอนแก้ผ้า ไม่อายฟ้าดิน ดีนะที่เภาเรียนอนาโตมี่มาบ้างก็เลยไม่ตกใจ คนอะไรไม่มียางอาย ของตัวเองก็ไม่ได้จะใหญ่โตพออวดได้ เล็กกว่าพวกนี้อีก” ลำเภาพูดแล้วหันมาทางไส้กรอกที่กริชชัยตักมาวางไว้ในจาน กำลังหั่นเตรียมกิน
“ไม่จริง” ธีธัชผงะที่โดนสบประมาท
กริชชัยถึงกับวางมีด ส้อม และเลื่อนจานออกห่างตัว พร้อมบ่นพึมพำ ‘ไม่กินดีกว่า แสลง’ แล้วก็หันไปหยิบขนมปังมากินแทน พร้อมกับเอ็ดลำเภา
“เภา..พี่เตือนแล้วใช่มั้ย ไอ้ธีกับไอ้วัชมันไม่เหมือนพี่ เภาจะทำกับมันเหมือนกับที่ทำกับพี่ไม่ได้”
“ใช่ แล้วที่บอกถ่ายคลิปไว้..เอามาให้ดูเดี๋ยวนี้เลย ถ่ายอะไรไว้บ้าง” ธีธํชพูดพลางแบมือขอมือถือจากลำเภา
“อยากดูก็รีบอาบน้ำ แล้วไปส่งที่ทำงาน ถึงจะให้ดู” ลำเภาพูดพร้อมกับลอยหน้ากวน
“คลิปอะไร” กริชชัยถามด้วยความสงสัย
“ถามน้องแกเอาเองแล้วกัน ฉันจะรีบไปอาบน้ำ แล้วไปส่งน้องแกที่ทำงาน ก่อนจะ..ทะเลาะกันมากไปกว่านี้” ธีธัชทำเสียงฉุน
ธีธัชเดินกลับเข้าไปในห้องนอน ประตูห้องปิดลง กริชชัยหันมาทางลำเภาที่กำลังยิ้มกริ่ม..ทันทีที่เห็นว่ากริชชัยยืนมองอยู่ ลำเภารีบปั้นหน้านิ่งเหมือนเดิม แล้วก็เฉไฉทำเป็นหันหลังเดินเอาไม้กวาดไปเก็บ
วัชระเดินงัวเงียเดินออกมาจากห้อง ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวแล้วก็ถามขึ้น
“เภากับไอ้ธีทะเลาะกันอีกแล้วดิ..เสียงดังลั่นห้องเลย”
วัชระเหลือบมาเห็นไส้กรอกที่วางอยู่บนโต๊ะ พร้อมกับพูดขึ้นด้วยความหิว
“ไส้กรอกใครวะ..น่ากินอ่ะ..ขอนะ”
วัชระหยิบไส้กรอกไปกัดกินอย่างเอร็ดอร่อย
กริชชัยปลายตามามองวัชระนิดๆแอบคิดในใจว่า ‘ถ้ามรึงอยู่ในเหตุการณ์จะกินไม่ลง’ วัชระยังคงกินต่อไม่ได้รู้เรื่องรู้ราว
กริชชัยหันหน้าหนี ค่อยๆ หันไปมองลำเภาอีกครั้ง…พร้อมกับใช้ความคิด
รถของธีธัชมาจอดที่คลินิครักษาสัตว์ขนาดย่อมแห่งหนึ่งซึ่งไม่ใช่โรงพยาบาลสัตว์ที่ลำเภาเคยทำงานอยู่ ธีธัชมองไปรอบๆ คลินิกแห่งนั้นแล้วถาม
“ทำไมมาทำงานที่นี่ ไม่ทำที่โรงพยาบาลแล้วเหรอ”
“พอดีเพื่อนเปิดคลีนิคใหม่ เค้าขอให้มาช่วยอยู่ประจำสามเดือนแรก นั่นไง.. มาแล้ว”
ลำเภาเปิดกระจกลงแล้วเรียกเพื่อนหนุ่ม“วินนี่”
ลำเภาโบกมือทักทาย “วินนี่” เพื่อนเจ้าของคลีนิคสุดหล่อ วินนี่โบกมือทักทายกลับพร้อมส่งยิ้มให้ลำเภา
“เดี๋ยวตามไป” ลำเภายิ้มรับอย่างร่าเริง
ธีธัชชะงักที่เห็นหห้าเพื่อนเจ้าของคลินิคหน้าหล่อ อาการหึงลำเภาเริ่มออกมาอาละวาดอีกแล้ว
“ไปก่อนนะ ขอบใจมากที่มาส่ง” ลำเภาบอก
ลำเภากำลังจะลงจากรถ ธีธัชแทรกขึ้นทันที
“เดี๋ยว”
ลำเภาหยุด หันมามองอย่างแปลกใจ
“วันนี้เลิกงานกี่โมง” ธีธัชเสียงเข้ม
“สามทุ่ม..ถามทำไม”
“เดี๋ยวมารับ”
“มารับทำไม”
“ก็..เราเป็นแฟนกันไม่ใช่เหรอ” ธีธัชพูดพลางยิ้ม
“มาส่ง แล้วก็ต้องมารับด้วยสิ ถึงจะเป็นแฟนที่ดี”
ลำเภาหลิ่วตามองหน้าธีธัช พูดไม่ออก ธีธัชมองหน้าลำเภาแล้วก็ตัดสินใจบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"เภา ฉันกับกรกนก..เราเลิกกันแล้ว”
ลำเภาอึ้ง
“แล้วมาบอกฉันทำไม”
“ก็..บอกให้เธอรับผิดชอบไง”
“รับผิดชอบอะไร”
“ก็..รับผิดชอบด้วยการเป็น “แฟนฉัน” ตามที่เธอต้องการไง”
ลำเภาถึงกับหน้าซีด ในขณะที่ธีธัชยิ้มเปิดเผยอย่างมีความสุข ลำเภาอึ้งไม่พูดไม่จา เปิดประตูลงจากรถของธีธัชพร้อมกับปิดประตูใส่หน้าธีธัช ธีธัชสะดุ้งรีบเปิดประตูรถตามไปทันที
“อ้าว...เฮ้ย.เภา...เภา”
ลำเภาก้าวเดินไปอย่างรวดเร็ว ธีธัชรีบวิ่งตามมา
“เภา..หยุดก่อน..เภาคุยกันก่อนเดินหนีทำไม” ธีธัชวิ่งมาดักที่หน้าลำเภา
ลำเภายังไม่ยอมหยุด เดินไปพูดไป
“ฉันไม่ได้อยากได้นายมาแฟนจริงๆ สักหน่อย ฉันก็แค่เล่นๆ แกล้งให้มันสะใจ นายไปกับคุณกรเค้าทำไม ไม่สงสารเค้าหรือไงหะ”
ธีธัชดินตามลำเภาและพูดไปเช่นเดียวกัน
“ก็สงสาร แต่เค้าเองก็อยากเลิกกับฉันอยู่แล้ว เราเลิกกันด้วยดี... ไม่มีปัญหา”
ลำเภาหยุดเดินแล้วเริ่มโวยวายใส่
“ถึงไม่มีปัญหา...ฉันก็เป็นแฟนกับนายจริงๆไม่ได้ ฉันแค่อยากเป็นแฟนเล่นๆ แค่เอาชนะเฉยๆ ตอนนี้ฉันก็ชนะแล้ว..เพราะฉะนั้นฉัน..ขอยกเลิกการท้าทายทั้งหมด..จบเกม”
“เฮ้ย...จบไม่ได้นะ เพราะฉันอยากเป็นแฟนกับเธอจริงๆ...เภาฉันชอบ”
ธีธัชพูดยังไม่ทันจบ ลำเภางัดเอาหูฟังอันใหญ่มากออกมาจากกระเป๋ามาครอบหูไว้ ลำเภากดเปิดเพลงอย่างดัง “เพลง ยาพิษ ของ บอดี้สแลม” ดังสนั่นกลบเสียงธีธัช
“เภา ฉันชอบเธอจริงๆนะ ฉันไม่ได้พูดเล่น แล้วฉันก็ไม่ได้เล่นเกมส์ ฉันชอบเธอ มันคือความจริง”
ลำเภาทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่สนใจธีธัช เดินเลี่ยงตัวไปอีกทางเพื่อเดินเข้าคลีนิค ธีธัชยังตะโกนไล่หลังไป
“เภา..เภา..ฉันไม่ได้พูดเล่นนะ ฉันชอบเธอจริงๆ”
ธีธัชตะโกนจบหอบและเพิ่งจะรู้ตัวว่า คนแถวนั้นหันมามองธีธัชเป็นตาเดียว ธีธัชยิ้มอายก่อนจะรีบเดินก้มหน้างุดๆกลับไปที่รถด้วยความเขิน
เมื่อเข้าสู่คลินิกลำเภาค่อยๆ ดึงหูฟังออก หน้าตายังตระหนกกับสิ่งที่เกิดขึ้น ลำเภายืนใจเต้นตูมตามอยู่ที่มุมหนึ่งของคลินิค คำพูดธีธัชดังแทรกเข้ามาย้ำ เสียงหัวใจของลำเภาใจเต้นระส่ำ
ปรานต์เปลือยท่อนบนซิทอัพอย่างมืออาชีพ เหงื่อแตกซิกๆ ปรานต์ยืนหอบด้วยความเหนื่อย ระหว่างที่ปรานต์
ออกกำลังกายไป ภาพของอรุณศรีที่บอกเลิกแทรกเข้ามาในความคิดเป็นระยะๆ
“มันถึงเวลาแล้ว.. เราควรจะเลิกกันได้สักที”
“ยอมรับความจริงซะเถอะ เราสองคนเดินมาถึงทางตันแล้ว อย่าทนอยู่เพื่อจะเกลียดกันไปมากกว่านี้เลย”
ปรานต์ซิทอัพด้วยหน้าตาเคร่งเครียด เสียงลมหายใจหอบดังเป็นระยะต่อเนื่อง
ภาพตอนปรานต์ซื้อแหวน และให้แหวนขอแต่งงาน แต่อรุณศรีปฎิเสธ ภาพอรุณศรีอยู่กับกริชชัย ตอนมาส่งที่บ้าน ตอนมาส่งที่ทำงาน ตอนอยู่ด้วยกันที่ รีสอร์ท ภาพเหตุการณ์ตอนกริชชัยชกหน้าปรานต์ และอรุณศรีไล่กลับไป แวบเข้ามาในความทรงจำ จนถึงตอนที่อรุณศรีพูดเรื่องเงิน
“ต่อจากนี้ เราไม่มีอะไรต่อกันแล้ว ต่างคนต่างมีชีวิตของตัวเอง มีแค่เรื่องเดียวที่อยากจะให้รับผิดชอบ.. เงินของฝ้าย”
ปรานต์ถึงกับบันดาลโทสะ หยุดซิทอัพและหันไปปัดขวดน้ำที่วางอยู่ใกล้ๆกระเด็นกระดอนไปด้วยความ
หงุดหงิด
“โธ่เว๊ย” ปรานต์กัดฟันกรอดคิดถึงอรุณศรีและกริชชัยด้วยความแค้น
“คิดจะทิ้งกัน...มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก”
ภายในห้องที่คอนโดของปรานต์ เกียวเปิดประตูห้องน้ำออกมาในชุดเสื้อคลุมเซ็กซี่ เกียวมองไปรอบๆ ห้องและร้องเรียก
“ปรานต์...ปรานต์...ปรานต์”
เกียวมองไม่เจอปรานต์ แต่เหลือบไปเห็นกระดาษโน้ตแปะไว้ที่ประตู เกียวเดินมาหยิบดู
“ผมไปลงฟิตเนสข้างล่างนะครับ”
เกียวยิ้มรับ
“เมื่อคืนก็เกือบเช้า..ตื่นมายังมีแรงไปออกกำลังกาย..ฟิตดีจริงๆ แบบนี้ต้องให้รางวัล”
เกียวยิ้มกริ่มด้วยความลุ่มหลง แล้วก็หันไปหยิบกระเป๋าสะพายตัวเองมาเปิดและหยิบกล่องนาฬิกาหรูออกมา เกียวยิ้มพอใจแล้วก็คิด
“หาอะไรมาห่อหน่อยดีกว่า”
เกียววางกล่องนาฬิกาไว้แล้วก็หันซ้ายหันขวา รื้อหากระดาษและอุปกรณ์ห่อของขวัญ ที่ลิ้นชักในห้องถูกเปิดออกมา มีทั้งลิ้นชักเสื้อผ้า ลิ้นชักเก็บของ เก็บซีดี เก็บของใช้ส่วนตัว และมาหยุดที่ลิ้นชักที่ใส่อุปกรณ์ช่างต่างๆ ทั้งคีม สายไฟ ค้อน ไฟฉาย ของผู้ชายๆ ที่เธอคงไม่มีวันจะสนใจเปิดดู เกียวรื้อๆหากรรไกร และคัตเตอร์ แล้วก็เหลือบไปเห็นกล่องพลาสติกที่ซุกอยู่ในมุมลิ้นชัก ในกล่องมีผ้าด้วยผ้ากำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มห่ออะไรบางอย่างอยู่ เกียวคิด
“ไม่มีกระดาษ เอาผ้าห่อก็ได้”
เกียวยิ้มและหยิบห่อผ้าออกมา ทันใดนั้น...กล่องแหวนที่อยู่ในห่อผ้าก็ล่วงลงพื้น
เกียวเหลือบไปดูด้วยความแปลกใจ เกียวมองแล้วขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจก่อนจะก้มลงหยิบมาเปิดดู กล่องใบนั้นมีแหวนแต่งงานวางอยู่อย่างสง่า น้ำเพชรส่องประกายเจิดจ้า เกียวถึงกับยิ้มด้วยความตื่นเต้น..ตาโตวาวด้วยความดีใจมากถึงมากที่สุด
ปรานต์ออกจากฟิตเนสชั้นล่างของคอนโด ขึ้นลิฟต์และเดินมาหยุดที่หน้าห้อง และเคาะประตู ปรานต์ยืนรอด้วยความเหนื่อย และเครียด เกียวเดินมาเปิดประตูห้อง
ประตูถูกเปิดออก..เกียวยืนหน้าเด้ง แต่งหน้า แต่งตัวเซ็กซี่สวยงามอยู่ตรงหน้าปรานต์ เกียวยื่นกล่องของขวัญที่ห่อด้วยผ้ากำมะหยี่ให้ปรานต์ พร้อมกับส่งเสียงอย่างน่ารัก
“เซอร์ไพร์ส”
ปรานต์แปลกใจ ยิ้มนิดๆที่ริมฝีปาก
“อะไรครับพี่”
“ของขวัญพิเศษ เนื่องในวัน...อยากให้”
ปรานต์ยิ้มและรับกล่องมาพร้อมกับเดินเข้ามาในห้อง ประตูห้องปิดลง
ปรานต์พิจารณาดูกล่องนาฬิกาที่อยู่ในมือแล้วก็ชะงัก เพราะจำผ้ากำมะหยี่ได้ รอยยิ้มหายไปจากริมฝีปาก ปรานต์ทันที ปรานต์รีบแกะผ้าออกเห็นว่าเป็นกล่องนาฬิกา
“ชอบมั้ย” เกียวถามพลางยิ้มรอคำพูดจากปากปรานต์
ปรานต์เงยหน้ามองเกียว แล้วถามว่า
“พี่เอาผ้านี้มาจากไหน”
เกียวแอบยิ้มนิดๆ ทำเป็นซื่อๆ
“เอามาจากในลิ้นชักโน่น”
เกียวพูดแล้วเอามือข้างที่มีแหวนขึ้นชี้ ปรานต์มองตามนิ้วไปที่ลิ้นชักที่ตัวเองเก็บแหวน แล้วพบว่า แหวนที่ตั้งใจซื้อให้อรุณศรี บัดนี้อยู่ในนิ้วของเกียวเสียแล้ว
ปรานต์ถึงกับฉุนกึกขึ้นมาทันที
“พี่ไปเอาแหวนมาใส่ได้ยังไง”
กียวตกใจหันขวับมา รอยยิ้มหายไป สวนปรานต์กลับทันที
“แล้วทำไมพี่จะใส่ไม่ได้”
ปรานต์ชะงัก เกียวพูดต่อ
“ทำไมหะ หรือว่า..มันไม่สมควรจะเป็นของพี่”
ปรานต์อึกอัก เกียวไล่รุกปรานต์ต่อ
“และถ้ามันไม่ใช่..มันเป็นของใคร”
ปรานต์รู้สึกตัวรีบแถไปแบบเนียนๆ
“คือ..มันเป็นแหวนของเพื่อนผมน่ะพี่..มันแอบซื้อจะเอาไปขอแฟนแต่งงาน แต่พอดีแฟนมันไปต่างประเทศ บ้านมันก็โดนน้ำท่วมก็เลยต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น มันไม่อยากเอาแหวนไปด้วย ก็เลยเอาฝากผมไว้”
เกียวมองหน้าปรานต์ด้วยแววตาที่ไม่ค่อยอยากจะเชื่อ
“ถ้าพี่ไม่เชื่อ ผมจะเรียกมันมาให้พี่สัมภาษณ์เลย จะให้มันมาตอนนี้เลยมั้ย” ปรานต์ทำเป็นหยิบมือถือทำท่าจะกดโทร.
เกียวเห็นปรานต์เอาจริงเลยพูดแทรกขึ้น
“ไม่เป็นไร ไม่ต้อง พี่เชื่อ มันก็แค่เสียใจและเสียดายที่มันไม่ใช่ของพี่..ก็แค่นั้นเอง” เกียวถอดแหวนออกจากนิ้วมือและวางไว้บนโต๊ะ
ปรานต์เก็บแหวนมาอย่างไม่สนใจความรู้สึกเกียวที่อยู่ในอาการเศร้า
“พี่ไม่ต้องเสียดายหรอก..เอาไว้ถ้าผมรวยเมื่อไหร่ ผมจะซื้อให้..เอาให้วงใหญ่กว่านี้ แพงกว่านี้ด้วย”
“พี่ไม่ต้องการของแพงๆ เพราะพี่มีปัญญาซื้อเองได้ สิ่งที่พี่ต้องการคือ ความรัก ความจริงใจ ต่อให้มันเป็นแค่ห่วงฝาโซดาพี่ก็ดีใจแล้ว”
ปรานต์ยิ้มเจื่อนๆ
“แหะ..ครับพี่”
ปรานต์ยิ้มรับแล้วหันหลังไปหยิบแหวนบนโต๊ะและเดินไปเก็บที่ลิ้นชักตามเดิม เกียวมองตามด้วยความเสียใจ และเสียดายพลางมองนิ้วนางข้างซ้ายมือที่ตอนนี้ว่างเปล่า...ด้วยความหวังว่า สักวันจะมีวันที่เธอคงจะได้ใส่แหวนของตัวเองจริงๆ
ภายในห้องพักที่คอนโด สุพรรณิการ์วางอุปกรณ์ตรวจครรภ์บนเคาน์เตอร์หน้าห้องน้ำ ผลตรวจเป็นลบ..ไม่ท้อง สุพรรณิการ์ถึงกับโล่งอก ครั้นเมื่อปรายสายตาไปเห็นขวดเหล้ายี่ห้อต่างๆซึ่งวางอยู่ตามชั้นวางของ สุพรรณิการ์เดินไปหยิบทิ้งลงถังขยะด้วยความแค้น
“มันจะต้องไม่มีครั้งที่สอง”
สุพรรณิการ์เงยหน้าขึ้นด้วยความเด็ดเดี่ยว
เสียงออดดังขึ้น เมื่อประตูห้องเปิดออก วัชระยืนอยู่ตรงหน้า สุพรรณิการ์ชะงักเล็กน้อย ต่างคนต่างมองหน้ากัน เก้อๆ เขินๆ ทำตัวกันไม่ค่อยถูก
“ขอเข้าไปคุยหน่อยได้มั้ย”
สุพรรณิการ์คิดแล้วก็พูดกลับ
“ได้..แต่ถ้าคิดจะลวนลาม ฉันฆ่านายแน่”
วัชระส่ายหน้า
“ผมไม่ใช่ไอ้บ้ากามสักหน่อย ตกลงเข้าไปได้หรือเปล่า”
สุพรรณิการ์คิดแล้วก็ดันประตูออกให้กว้างขึ้น แล้วเดินนำเข้ามาในห้อง วัชระเดินตามเข้าไปประตูห้องปิดลง
สุพรรณิการ์เดินไปเปิดตู้เย็น หยิบน้ำผลไม้ออกมา วัชระเดินเข้ามาเห็นขวดเหล้าที่กองอยู่ในถังขยะก็รู้สึกสะท้อนใจ พลันสายตาไปเห็นแผ่นทดสอบครรภ์ สุพรรณิการ์หันมาเห็นพอดี..รีบเดินไปกวาดทิ้งลงถังขยะ วัชระมองตามแล้วก็พูดขึ้น
“เพิ่งมีอะไรกันแค่วันเดียว ตรวจไม่รู้หรอก ต้องรอให้ประจำเดือนไม่มาสักวันสองวันแล้วค่อยตรวจ”
“เหรอ.แหมรู้ดีจังนะ เมาแล้วปล้ำผู้หญิงบ่อยหรือไง”
“ที่รู้เพราะแหนมเค้าใช้”
สุพรรณิการ์ชะงัก วัชระรู้ตัว จึงรีบอ้อน
“แต่...เมาแล้วทำอย่างนั้น..ผมเป็นกับคุณคนเดียวนะ”
สุพรรณิการ์ปรายตามาเหล่ๆ แล้วเบ้ปากใส่
“ช้าไปแล้ว ฉันอารมณ์เสีย ตั้งแต่ประโยคแรกแล้วย่ะ”
สุพรรณิการ์หันหลังเดินด้วยความหงุดหงิด วัชระเห็นท่าไม่ดีจึงพูดขึ้น
“ถ้าคุณท้องจริงๆ ผมพร้อมจะรับผิดชอบทุกอย่าง คุณไม่ต้องกังวล”
“ก่อนจะคิดไกลไปถึงรับผิดชอบลูกฉัน รับผิดชอบฉันคนเดียวให้รอดเหอะ”
“ฝ้าย” วัชระหน้าตาจริงจัง
“อะไร”
“ผมเลิกกับแหนมแล้ว งานแต่งงานทุกอย่างก็ยกเลิกไปแล้ว และผมก็บอกเค้าว่า ผมจะเริ่มต้นคบกับคุณ”
สุพรรณิการ์ชะงัก สีหน้าจริงจังขึ้น แต่ไม่แน่ใจว่า ควรจะดีใจหรือว่าเสียใจ .. วัชระมองหน้าสุพรรณิการ์ ส่งสายตาแอบอ้อน
“คุณรู้ตัวหรือเปล่า คุณเป็นแฟนผมแล้วนะ”
สุพรรณิการ์เงยหน้ามองวัชระแล้วเฉไฉเบือนหน้าหนีด้วยความอายพลางบ่น
“ได้แฟนแบบไม่ตั้งใจแท้ๆ นังฝ้าย”
“ถึงคุณไม่ตั้งใจ แต่ผมตั้งใจ”
วัชระเอื้อมมือมาจับมือสุพรรณิการ์ สุพรรณิการ์มองลงมาที่มือวัชระซึ่งกุมอยู่แล้วตีมือวัชระดังเพี้ยะ !
“เอ๊ะๆๆ อย่ามาเนียน”
“โอ้ย ตีผมทำไม..แค่จับมือเองนะ ยิ่งกว่านี้..ยังเคยมาแล้ว” วัชระยื่นหน้ามาหาสุพรรณิการ์ สุพรรณิการ์ดึงหนวดวัชระอย่างแรง
“โอ้ย” วัชระร้อง
“ครั้งนั้นฉันพลาด ถ้ายังไม่ได้อยู่กินกันเป็นเรื่องราว อย่าหวังเลยว่าจะได้แอ้ม”
“โหด” วัชระพึมพำทำหน้าเสียดาย
“บ่นอะไร”
“เปล่าจ้ะ”
“นี่ฉันถามจริงๆ...การที่คุณไปบอกคุณแหนมแบบนั้น...คิดว่าเรื่องมันจะจบจริงเหรอ”
สุพรรณิการ์ถามด้วยความอยากรู้จริงๆ วัชระนิ่ง...คิด..ไม่รู้จะตอบยังไง เพราะลึกๆก็คิดว่า..ไม่จบแน่
เวลาต่อมา ทันทีที่ไฟในร้านสาดสุราเปิดเพื่อนับหนึ่งของยามราตรี เนตรนภัสก็ก้าวอย่างมั่นใจเข้ามาในร้าน กรกนกกำลังจัดร้านปรายตามาเห็นลูกค้าคนแรกของร้านถึงกับชะงักด้วยความประหลาดใจ เนตรนภัสรี่มาที่เคาน์เตอร์และวางกระเป๋าลงอย่างเสียงดัง
“มันอยู่หรือเปล่า”
“มัน..คือใครคะ”
“นังผู้หญิงหน้าด้านที่ไม่มีปัญญาหาผู้ชายโสดๆมาทำแฟน ต้องแย่งของคนอื่นไปเป็นของตัวเอง” เนตรนภัสเสียงดังขึ้น
เด็กในร้านหันมามองด้วยความแปลกใจ..กรกนกยังนิ่งคุมสถานการณ์
“ฉันพูดแบบนี้ คุณคงรู้ว่าฉันหมายถึงใคร”
“ที่จริง..ผู้หญิงลักษณะที่คุณบอกก็มีอยู่ค่อนข้างเยอะในสังคม ฉันว่าคุณพูดชื่อมาดีกว่าค่ะ จะได้ไม่ผิดคน” กรกนกพยามเลี่ยงอย่างฉลาด
“นังฝ้ายไง เจ้านายของพวกแก มันแย่งแฟนฉัน มันแย่งวัชไปจากฉัน” เนตรนภัสเสียงแหวขึ้นทันที
เด็กในร้านมองหน้ากันเลิกลั่ก กรนกมองรอบๆแล้วพยายามทำให้เหตุการณ์เบาลง
“ตอนนี้คุณฝ้ายยังไม่เข้ามาค่ะ”
“มันจะมาเมื่อไหร่”
“ปกติก็ประมาณสองถึงสามทุ่ม”
เนตรนภัสนั่งลงและหันมาสั่งกรกนก
“ฉันจะรอ รอจนกว่ามันจะมา ขออย่างเดิม ๒ ที่ แรง ๆ”
“ค่ะ”
กรกนกรับคำอย่างสุภาพและหันหลังให้เนตรนภัสสาตาไปเจอกับพนักงานที่ยืนรอดูเหตุการณ์ กรกนกพยักหน้าส่งสายตาดุให้กลับไปทำงาน ทุกคนรู้สึกตัวรีบกระจายกลุ่มกลับไปทำงานตามปกติ
กรกนกเดินมายังมุมชงเหล้า กรกนกทำเป็นจะชงเหล้า แต่ค่อยๆหยิบมือถือออกมาและส่งข้อความให้สุพรรรณิการ์ทันที
“คุณแหนมรออยู่ที่ร้านนะคะ สถานการณ์ไม่ค่อยดี”
กรกนกค่อยเก็บมือถือไม่ให้มีพิรุธและเริ่มต้นชงเหล้าอย่างมืออาชีพ
เนตรนภัสนั่งหูตาขวางอยู่ที่เคาน์เตอร์ เนตรนภัสเอามือจับกระเป๋าถือที่วางอยู่ใกล้ตัวบนเคาท์เตอร์ตลอดเวลา
มือถือของสุพรรณิการ์มีสัญญาณกระพริบข้อความเข้า สุพรรณิการ์กดอ่านถึงกับหน้าเสียอย่างฉับพลัน วัชระยืนมองขวดเหล้าที่อยู่ในถังขยะด้วยความเสียดาย..วัชระกำลังก้มจะเก็บขึ้นมา สุพรรณิการ์โพล่งขึ้น
“คุณแหนมรอฉันอยู่ที่ร้าน”
วัชระได้ยินดังนั้นถึงกับปล่อยขวดเหล้าหล่นจากมือ ตกลงในถังขยะเหมือนเดิม
“อย่าไป”
“ทำไม ไหนคุณบอกว่าเคลียร์แล้วไง ทำไมฉันจะไปเจอเค้าไม่ได้”
“ก็แหนมเค้าคิดว่าคุณแย่งผมไปจากเค้า”
“แต่ฉันไม่ได้แย่ง คุณมาของคุณเอง” สุพรรณิการ์สวน
“ก็เค้าไม่เข้าใจไง และเค้าก็ยอมรับไม่ได้ว่าเราเลิกกันเพราะเราไปกันไม่ได้ มันง่ายกว่าถ้าจะโยนความผิดให้..มือที่สาม”
สุพรรณิการ์ผงะ
“เอ๊า สรุปฉันซวย โอเค ฉันจะไปบอกให้เค้าเข้าใจเอง “ สุพรรณิการ์พูดแล้วหยิบกระเป๋าจะเดินออกไป
วัชระรีบเอาตัวมากันและห้ามไว้
“ไม่ได้..แหนมไม่มีวันเข้าใจ และเค้าก็ไม่ฟังด้วย ขนาดผมพูด..แม่เค้าพูด..เค้ายังไม่ฟังเลย”
“แล้วคุณจะให้ฉันทำยังไง หลบหน้าเหมือนฉันทำผิดงั้นเหรอ”
“มันก็ไม่ถึงขนาดนั้น แต่ขอแค่วันนี้อย่าเพิ่งไปเผชิญหน้า รอให้แหนมเย็นลงกว่านี้ ถ้าเจอกันอีกที..สถานการณ์มันอาจจะดีขึ้น”
สุพรรณิการ์ยังไม่ยอม.. วัชระมองด้วยความเป็นห่วง
“นะ..ฝ้าย..ผมขอร้อง..อย่าไปเลยนะ..ผมเป็นห่วงคุณ”
สุพรรณิการ์มองหน้าวัชระแล้วก็ยอม วางกระเป๋าลง
“ฉันไม่ไปก็ได้” สุพรรณฺการ์ว่า วัชระถอนใจเบาๆโล่งอก
สุพรรณิการ์อดคิดตามคำพูดของวัชระแล้วถาม
“ถ้าฉันเจอกับคุณแหนมจริงๆ คุณคิดว่าอะไรจะเกิดขึ้น .. เค้าจะเข้ามาตบฉันเหมือนในละครหรือเปล่า”
วัชระคิดเล็กน้อยแล้วตอบเสียงเครียด
“มันอาจจะมากกว่านั้น”
สุพรรณิการ์ขมวดคิ้วแปลกใจ มากกว่านั้นของวัชระมันคืออะไร ?
ภายในร้านสาดสุรายังไม่มีลูกค้า เนตรนภัสมองไปที่ประตูร้านอยู่ตลอดเวลา แต่ยังไม่มีวี่แววของสุพรรณิการ์ เนตรนภัสหันกลับมาที่กระเป๋า และเปิดออก ภายในกระเป๋าใบนั้นมีปืนอยู่กระบอกหนึ่งที่วางนิ่งอยู่ เนตรนภัสมองด้วยความพอใจ....สะใจ และไม่กลัวที่จะต้องใช้มัน
เนตรนภัสยังคงรอสุพรรณิการ์ต่อไป
ประตูห้องสุพรรณิการ์เปิดออก วัชระเดินออกมา สุพรรณิการ์เดินตามมาส่ง
“แน่ใจนะว่าอยู่คนเดียวได้” วัชระถาม
“ฉันอยู่คนเดียวมาเป็นสิบปี ทำไมฉันจะอยู่ไม่ได้ รีบไปทำงานได้แล้ว ได้ข่าวว่ากินเงินเดือนหลวงไม่ใช่เหรอ ภาษีฉันทั้งนั้น ทำงานให้มันเต็มที่ เต็มเวลาหน่อย”
“ครับผม” วัชระตะเบ๊ะยิ้มๆ ให้สุพรรณิการ์
สุพรรณิการ์เผลอยิ้มรับ วัชระได้จังหวะหอมแก้มหนึ่งฟอด สุพรรณิการ์ตกใจฟาดฝ่ามือลงที่ใบหน้าเพี้ยะ !
“โอ้ย แค่หอมแก้ม ตบเลยเหรอเนี่ย ทีเมื่อคืนทำมากกว่านี้ ไม่เห็นจะ” วัชระทำหน้ายิ้มล้อกวนๆ
สุพรรณิการ์ดึงหนวดวัชระอย่างแรง
“นี่แน่ะ”
“โอ้ย เจ็บนะฝ้าย” วัชระร้องอีก
“รู้ว่าเจ็บไงถึงได้ทำ”
วัชระมองค้อนๆ สุพรรณิการ์พูดประชดต่อ
“แหม...เดี๋ยวนี้มีความสุขนะ ลูกเล่นแพรวพราว ทะลึ่งตึงตัง ไม่เห็นหน้าอมทุกข์เหมือนเมื่อก่อน”
“ก็เพราะคุณไง..คุณทำให้ผมเป็นแบบนี้” วัชระยิ้มรับ
สุพรรณิการ์สะดุดกับรอยยิ้มของวัชระ
วัชระพูดต่อ
“ขอบคุณนะฝ้าย...ขอบคุณที่ทำให้ผมกลับมาหัวเราะได้อีกครั้ง”
“หัวเราะให้มันได้ตลอดก็แล้วกัน..ไปทำงานได้แล้ว ต้องไปจับผู้ร้ายไม่ใช่เหรอ หมกหมุ่นแบบนี้ เดี๋ยวก็โดนยิงตายกันพอดี ไปเลย”
สุพรรณิการ์ดันหลังวัชระให้รีบไป..
วัชระไปตามแรงดัน
“ค้าบ ไปแล้วค้าบ เฮ่อ..ไล่จริงๆ”
วัชระเดินไปแต่โดยดี ก่อนจะไปยังหันมายิ้มให้สุพรรณิการ์อย่างมีความสุข พร้อมกับทำมือเหมือนโทรศัพท์แนบไว้ที่หู
“เสร็จงานแล้วผมโทร.หา”
สุพรรณิการ์ยิ้มรับเขินๆ
สุพรรณิการ์ปิดประตูห้องแล้วยืนยิ้มอยู่คนเดียว ทันใดนั้นโทรศัพท์ก็ดังขึ้น สุพรรณิการ์หยิบมาดูชื่อ แล้วก็กดรับ
“ฉันกำลังโทรหาแกอยู่พอดี”
อรุณศรีโทร.คุยกับสุพรรณิการ์ ขณะที่กำลังเดินไปปิดหน้าต่างและประตูบ้าน เตรียมออกไปข้างนอก
“ฉันก็คิดถึงแกเหมือนกัน แกอยู่คอนโดหรือเปล่า ตอนนี้ฉันอยู่บ้านกำลังจะไปหา”
สุพรรณิการ์เดินไปคุยไป
“อยู่บ้าน ทำไมแกไม่ไปทำงาน มีอะไรหรือเปล่า”
อรุณศรีหยุดเดินแล้วก็พูดตรงๆ
“ฉันเลิกกับปรานต์แล้ว”
สุพรรณิการ์กำหมัดชกเข้าหาตัว พร้อมกับทำปากร้อง “เยส” แต่ไม่มีเสียง ดีใจแทนเพื่อนจนออกนอกหน้า
“เลิกกันเมื่อวาน วันนี้ก็เลยเซ็งๆ ขอลาป่วยหนึ่งวัน .. ตกลงแกอยู่คอนโดหรือเปล่า”
“อยู่ๆ แกรีบมาเลย จะได้ฉลอง” สุพรรณิการ์รีบบอกด้วยความดีใจ
อรุณศรีส่ายหน้าด้วยความเข้าใจ..รู้ว่าเพื่อนคงจะเตรียมจุดพลุรอ
“เอ๊ย!! เลี้ยงปลอบใจ.. แกรีบมาเลยนะ เจอกัน”
“อืม เจอกันจ้ะ”
อรุณศรีวางสายไปและเดินออกจากบ้านด้วยความรู้สึกในใจยังมีอารมณ์แบบค้างคา เซ็ง เบื่อ งงกับชีวิต ต่างจากสุพรรณิการ์ที่วางสายไปด้วยความดีใจ
“เยส! ในที่สุด..ไอ้แอ๊วก็ตาสว่าง”
สุพรรณิการ์คิดถึงกริชชัย แล้วก็รีบจิ้มกดโทรศัพท์ โทร.หาทันที
หน้าคลินิคลำเภาตอนเย็น รถธีธัชเข้ามาจอดเทียบและเดินลงจากรถอย่างมีความสุข
ลำเภายืนอยู่ริมหน้าต่าง..หน้านิ่ง เห็นห็นธีธัชกำลังเดินมา
ธีธัชเดินเปิดประตูเข้ามาในคลีนิค มองซ้ายมองขวา แล้วก็เดินยิ้มเข้าไปหาเจ้าหน้าที่ต้อนรับ ธีธัชถามเจ้าหน้าที่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ลำเภากลับไปหรือยังครับ”
เจ้าหน้าที่มองซ้ายมองขวาพลางตอบ
“เอ..เมื่อกี้เห็นแว่บๆ .. นั่นไงคะ...หมอเภาเดินออกไปโน่นแล้วค่ะ”
เจ้าหน้าที่ชี้ไปที่หน้าคลีนิค ธีธัชรีบหันไปทันที เห็นลำเภากำลังจะรีบเดินหนี
“เฮ้ย ยัยหนูตะเภา”
ธีธัชรีบวิ่งตามออกไปทันที ระหว่างที่กำลังจะออกไปพลันนึกได้จึงหันมาทางเจ้าหน้าที่อีกครั้ง
“ขอบคุณครับ”
ที่ริมถนนหน้าคลินิค ลำเภากำลังเปิดประตูรถแท็กซี่และเข้าไปนั่งในทันที
“รังสิตคลองหกค่ะ” ลำเภาบอกโชเฟอร์
ธีธัชรีบวิ่งมาที่รถ แล้วร้องเรียก
“เภา รอด้วยเภา เภา เภา”
ลำเภาไม่หันมามอง แต่กลับรีบเร่งคนขับ
“รีบไปเลยค่ะ”
คนขับรถออกตัวไปตามสั่ง รถแท๊กซี่แล่นออกไป ธีธัชพยายามจะรีบวิ่งตาม
“เภา เภา เภา อย่าเพิ่งไป เภา”
รถแท๊กซี่ห่างออกไปไกลแล้ว ธีธัชวิ่งตามจนเหนื่อยพลางครุ่นคิดปล่อยไว้แบบนี้ไม่ดีแน่
“แฮ่กๆ ยัยเด็กบ๊อง”
ลำเภานั่งอยู่บนรถแท๊กซี่หน้านิ่งๆ แต่หัวใจกำลังตื่นเต้นอย่างที่ไม่เป็นเป็นมาก่อน
วงดนตรีกำลังเล่นดนตรีสดอยู่บนเวที ในร้านสาดสุราลูกค้าเริ่มมากขึ้น บรรยากาศกำลังคึกคัก เนตรนภัสเริ่มเมามายจนได้ที่ เพลงหวานบนเวที ทำให้เนตรนภัสเกิดอาการเลี่ยนขึ้นมาโดยฉับพลัน จนต้องตะโกนดังก้องไปทั่วร้าน
“อีนังหน้าด้าน ทำไมมันยังไม่มา หะ มันอยู่ไหน โทร.ไปตามมันมาเดี๋ยวนี้เลย ไปเรียกมันมาหาฉันเดี๋ยวนี้”
ลูกค้าในร้านหันมามองด้วยความงุนงง นักดนตรีบนเวที มองหน้ากัน นักร้องยังพยายามร้องต่อ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เนตรนภัสเมาอาละวาดต่อ
“โอ้ย...ร้องอยู่ได้หนวกหูเว้ย หนวกหู”
นักร้องยังร้องต่อ บอดี้การ์ดคุมร้านกำลังจะเดินมาทางเนตรนภัส กรกนกหันมาเห็นพอดี กรกนกรีบเดินเข้ามาแล้วพยักหน้าบอกการ์ดเป็นทำนองว่าจะดูแลเอง การ์ดหยุดดูท่าที อยู่ไม่ไกล
“คุณแหนมคะ...กรว่า คุณแหนมรอไปก็จะเสียเวลาเปล่านะคะ ดึกขนาดนี้ คุณฝ้ายคงไม่มาแล้วล่ะคะ” กรกนกบอก
“ทำมาย ทำมาย มันไม่มา” เสียงเนตรนภัสดังอ้อแอ้
“กรก็ไม่ทราบเหมือนกัน..คุณแหนมอย่ารอเลยค่ะ”
“มันไม่มา แสดงว่ามันคงจะกกอยู่กับวัชแน่ๆ วัชต้องอยู่กับมันแน่ๆ” พูดแล้วเนตรนภัสก็พรวดพราดลุกขึ้นจนเซเกือบจะล้ม
“คุณแหนมระวังค่ะ” กรกนกช่วยจับไว้
เนตรนภัสพยายามยันตัวยืนให้อยู่แล้วพูดต่อ
“มันต้องอยู่ด้วยกัน..มันต้องอยู่วัชแน่ๆ ฉันจะไปตามหามัน..ฉันจะต้องตามหามันให้เจอ”
เนตรนภัสยันตัวยืนแล้วก็เดินไปอย่างเซๆตามประสาคนเมา แต่นึกได้ว่ายังไม่ได้จ่ายเงิน จึงล้วงแบงค์พันมา
สองใบแล้วก็ยัดใส่มือกรกนก
“ไม่ต้องทอน”
กรกนกรับเงินไว้ คนในร้านมองตามเนตรนภัสแล้วเริ่มซุบซิบกันไปต่างๆนานา กรกนกมองตามไปด้วยความเห็นใจ
ที่หน้าร้านสาดสุรา เนตรนภัสเดินเป๋ออกมาจนเกือบจะล้ม ดีที่จับเสาไว้ วูบนั้น เนตรนภัสก็นึกถึงคอนโดของกริชชัยขึ้นมาทันที
เสียงออดดังขึ้นที่หน้าห้องสุพรรณิการ์
“มาแล้วค่ะ” สุพรรณิการ์เสียงใส
ประตูห้องสุพรรณิการ์เปิดออก แขกที่มาเยือนทำให้สุพรรรณิการ์ต้องแปลกใจเพราะคิดไม่ถึง!?!
อ่านต่อหน้า 3
สามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 20 (ต่อ)
เป็นกริชชัยที่ยืนยิ้มให้สุพรรณิการ์อยู่หน้าห้อง สุพรรณิการ์ถามออกมาด้วยความแปลกใจ
“ทำไมคุณกริชมาถึงเร็วจัง แอ๊วยังไม่มาเลยค่ะ”
“งั้นผมไปรอที่ห้องผมก่อนก็ได้ครับ” พูดจบกริชชัยทำท่าจะเดินกลับไปที่ห้อง
“ไม่เป็นไรค่ะ รอที่นี่แหละ ฝ้ายมีข่าวดีจะบอกคุณกริชด้วยนะคะ”
กริชชัยขมวดคิ้ว ด้วยความอยากรู้
“ข่าวอะไรครับ”
“แอ๊วเลิกกับไอ้ปรานต์แล้วค่ะ”
กริชชัยใจระทึกทั้งดีใจและเป็นห่วง
สุพรรณิการ์วางแก้วกาแฟไว้ตรงหน้ากริชชัยที่เวลานี้นั่งอยู่ภายในห้องรับแขก
“ขอบคุณครับ” กริชชัยยกกาแฟขึ้นจิบ
กริชชัยหน้านิ่งเหมือนคิดอะไรอยู่ สุพรรณิการ์มองแล้วถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
“คุณกริช ไม่ดีใจเหรอคะ”
“ผมคงใช้คำว่าดีใจไม่ได้ เพราะการที่คนเราเลิกกัน ไม่ใช่เรื่องน่ายินดี..แต่ผมก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกดี อย่างน้อยผมก็สบายใจที่จะจีบอรุณศรีอย่างเต็มที่”
สุพรรณิการ์ยิ้มรับ
“เพราะผมไม่ได้เป็นมือที่สาม หรือแย่งคนรักของคนอื่น” กริชชัยพูดต่อ
สุพรรณิการ์หุบยิ้มทันทีเหมือนโดนจี้ใจดำ
“เหมือนที่บางคนคิดว่าฝ้ายทำใช่มั้ยคะ”
กริชชัยรีบหันมาตอบ
“ผมไม่ได้หมายถึงคุณฝ้ายนะครับ กรณีของคุณมันไม่เหมือนกัน คุณไม่ได้แย่ง แต่ไอ้วัชมันเต็มใจมาเอง มันสารภาพกับพวกผมว่ามันชอบคุณ”
สุพรรณิการ์หลุดอมยิ้มออกมานิดๆ ที่มุมปาก แล้วกลับมาหนักใจเหมือนเดิม
“ถ้าคุณแหนมคิดเหมือนคุณก็คงดี”
สุพรรณิการ์พูดด้วยแววตาไม่สบายใจ กริชชัยมองด้วยความเห็นใจ
หลังจากเนตรนภัสออกจากร้านสาดสุราก็มุ่งมาที่คอนโดฯของกริชชัย รถเนตรนภัสปาดเข้ามาจอดที่หน้าคอนโด แล้วหันไปหยิบกระเป๋าถือที่มีปืนอยู่ข้างใน
ระหว่างที่เนตรนภัสก้มอยู่นั้น รถแท็กซี่คันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดอยู่ไม่ห่างนัก อรุณศรีก้าวลงจากแท็กซี่และเดินเข้าตึก เนตรนภัสหันไปเห็นพอดี เนตรนภัสพยายามเพ่งมองแบบเมาๆ ก็จำได้
“เด็กคุณกริชนี่”
เนตรนภัสรีบลงจากรถแล้วก็เดินเซตามไป
อรุณศรียืนอยู่ที่หน้าห้องสุพรรณิการ์แล้วกดออด สักพักประตูเปิดออก
กริชชัยเป็นคนเปืดประตู และยืนอยู่ตรงหน้า อรุณศรีเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ
“คุณกริช”
กริชชัยยิ้มรับนิดๆ “เชิญครับ”
อรุณศรีเดินเข้าไปด้วยความแปลกใจ
ประตูห้องอรุณศรีปิดลง ขณะที่เนตรนภัสเดินอย่างเมาๆ เข้ามาเห็นพอดี
“ทำไมคุณกริช ไปอยู่ห้องนั้น ทำไมไม่อยู่ห้องตัวเอง” เนตรนภัสอ้อแอ้พลางชี้มาที่ห้องกริชชัยที่เคยเธอมา ฉับพลันก็คิดได้
“นังฝ้าย”
เนตรนภัสตาโตวาวด้วยความแค้นใจ
สุพรรณิการ์เปิดประตูห้องน้ำออกมา มีเสียงกดชักโครกดังไล่หลัง สุพรรณิการ์เห็นอรุณศรีเดินเข้ามาในห้องก็
ยิ้มทักทาย
“ไงแอ๊ว...ไล่ราหูออกไปได้ หน้าตาสดใสเชียวนะ”
อรุณศรีเดินตรงดิ่งมาหา
“ไม่ต้องมาทำขำกลบเกลื่อน อะไร ยังไงหะ” อรุณศรีแอบชี้ไปทางกริชชัย ไม่ให้กริชชัยเห็น
สุพรรณิการ์มองตามไปที่กริชชัยแล้วก็ยิ้ม
“ก็ฉันเห็นแกเซ็งๆที่เลิกกับแฟน ฉันก็เลยชวนคุณกริชมาทานข้าวด้วยกัน แกจะได้มีเพื่อนคุย ไม่เหงา”
กริชชัยยืนเก้อเขินๆ ทำตัวไม่ถูก..
อรุณศรียิ้มกับสุพรรณิการ์ ยิ้มประชดๆ
“อ๋อเหรอ” อรุณศรียิ้มแต่แววตาดุ จากนั้นเสียงอรุณศรีก็เบาลงโดยพูดแบบไม่ขยับปาก
“สาระแนจริงๆ”
สุพรรณิการ์ขยับเข้ามาซุบซิบ
“โดนด่าว่าสาระแนแต่เพื่อนได้คนดีๆ มาเป็นแฟน ฉันยอม” สุพรรณิการ์ยิ้มใส่อรุณศรี
อรุณศรีจะเถียงต่อแต่สุพรรณิการ์ตัดบท
“คุณกริชเชิญตามสบายนะคะ เดี๋ยวฝ้ายกับแอ๊วทำอาหารให้ทานค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
“ไปแอ๊ว” สุพรรณิการ์หันมาลากอรุณศรีไปห้องครัว
อรุณศรีจำใจไปตามแรงลาก อรุณศรีหันมาสบตากริชชัยนิดๆ แล้วก็หันกลับ ต่างคนต่างทำหน้าไม่ถูก
ทันใดนั้นออดดังขึ้นอีกครั้ง สุพรรณิการ์หันกลับไปที่ประตูเป็นคนแรกและพูดขึ้น
“ฝ้ายเปิดเองค่ะ”
สุพรรณิการ์ก้าวเดินไปได้แค่สองก้าว เสียงจากข้างนอกก็ดังเข้ามา
“นังฝ้าย นังหน้าด้าน ออกมาเดี๋ยวนี้นะ ออกมา”
สุพรรณิการ์ชะงักเท้า กริชชัยหันขวับไปที่ประตู แล้วก็พูดขึ้นเพราะรู้ทันทีว่าเจ้าของเสียงไม่เป็นมิตรคือใคร
“แหนม”
อรุณศรีหันมามองหน้าสุพรรณิการ์ สุพรรณิการ์คิดและตัดสินใจ
ออดหน้าห้อง ถูกกดกระหน่ำอย่างแรงและถี่ เนตรนภัสหน้าแดงกล่ำด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์และความแค้น
“นังฝ้าย ออกมาเดี๋ยวนี้นะ ฉันรู้ว่าแกอยู่ข้างใน ออกมา ฉันบอกให้ออกมา”
คราวนี้ทั้งเสียงออดและทุบประตูรัวดังขึ้น
สุพรรณิการ์ยืน แววตานิ่ง มั่นคง และก้าวขาจะไปเปิดประตู
“ฝ้าย” อรุณศรีรีบจับตัวไว้
กริชชัยรีบเดินมาขวาง
“คุณฝ้าย..ผมว่าคุณอย่าเพิ่งเผชิญหน้ากับแหนมตอนนี้เลยนะครับ”
เสียงเนตรนภัสยังคงร้องดังที่หน้าห้อง
“นังฝ้าย ออกมาเดี๋ยวนี้นะ ออกมา”
สุพรรณิการ์ยืนยัน
“ไม่ค่ะ…ฝ้ายไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมฝ้ายต้องหลบหน้าด้วย”
“ถึงคุณไม่ผิด แต่แหนมคงไม่เชื่อ ฟังจากเสียงผมว่าแหนมคงเมามา ถ้าเจอกันตอนนี้ ไม่ดีแน่”
“จริง...คุณกริชพูดถูก ฉันว่า...แกอย่าเพิ่งเจอกับคุณแหนมตอนนี้เลยนะ คุยไปก็ไม่รู้เรื่อง”
สุพรรณิการ์เริ่มลังเล เสียงทุบประตูยังดังสนั่น
“เปิดออกมาสิเว้ย นังฝ้าย นังหมาลอบกัด ทีแย่งแฟนคนอื่นล่ะไม่กลัว แล้วจะมากลัวฉันทำไม? แน่จริงเปิดประตูมาสิเว้ย”
สุพรรณิการ์ใจร้อนรุ่ม..อรุณศรีมองด้วยความเป็นห่วง และสงสารเพื่อน กริชชัยมองไปที่ประตูแล้วคิด
เนตรนภัสกดออดจนเหนื่อย
“นังฝ้าย...นังหน้าด้าน...แกไม่ยอมออกมาใช่มั้ย ได้...”
เนตรนภัสล้วงมือลงไปในกระเป๋าถือ และหยิบปืนพกออกมา
“ถ้าแกไม่ยอมเปิดประตูให้ฉัน ฉันจะยิงประตูห้องแกให้กระจุยไปเลย และถ้าฉันเจอแก...ลูกกระสุนที่เหลือมันจะเป็นของแก...นังฝ้าย”
เนตรนภัสควักปืนออกมาแบบเมาๆ แล้วพยายามจะเล็งไปที่ประตู เนตรนภัสมือสั่นเทา พยายามจะเล็งยิง แต่มือไม่นิ่ง เนตรนภัสพยายามเพ่ง และเหนี่ยวไกปืน
ทันใดนั้น...ประตูก็เปิดออก เนตรนภัสตกใจ เงยหน้าขึ้น เห็นกริชชัยพุ่งเข้ามา
กริชชัยเข้าประกบอย่างรู้จังหวะ ยื่นมือเข้าเข้าจับปืนและหันออกห่างจากตัว ก่อนจะเข้ามารวบตัวเนตรนภัสจากทางด้านหลัง อรุณศรีโผล่หน้าออกมาจากหลังประตู ทั้งลุ้น ทั้งเป็นห่วงกริชชัยโดยไม่รู้ตัว กริชชัยหันมาเห็นรีบสั่ง
“อรุณศรีปิดประตู” อรุณศรีรีบหลบหลังประตู และเปิดแค่แง้มๆ ไว้
เนตรนภัสดิ้นไปมา
“ปล่อยนะ...แหนมบอกให้ปล่อย” เนตรนภัสโวยวาย
กริชชัยไม่ฟังเสียง พยายามกระชากปืนออกมาจากมือแหนมได้สำเร็จ กริชชัยรีบเก็บใส่กระเป๋าหลังทันที
“แหนม...พอได้แล้ว...ใจเย็นๆ มีอะไรค่อยๆ จาพูดกัน”
เนตรนภัสสะบัดตัวหลุดจากกริชชัย
“ปล่อยนะ ใจเย็นแล้วโดนแย่งแฟนไปต่อหน้าต่อตา จะเย็นไปทำไม นังฝ้ายมันอยู่ไหน ไปเรียกมันออกมาเคลียร์กับแหนมเดี๋ยวนี้เลย นังฝ้าย นังหน้าด้าน ออกมาเดี๋ยวนี้นะ นังฝ้าย”
เนตรนภัสกำลังจะพุ่งเข้าไปในห้อง กริชชัยเข้ามาห้ามไว้
“แหนม...คุณฝ้ายไม่อยู่”
“ไม่เชื่อ แหนมรู้ว่าห้องนี้เป็นห้องของมัน มันต้องอยู่ ที่มันไม่ยอมออกมาเพราะมันเอาวัชมาซ่อนไว้ใช่มั้ย คงจะกำลังกกกันอยู่ใช่มั้ยหะ”
น้ำตาเนตรนภัสกำลังจะไหล ทั้งโกรธ ทั้งแค้น ทั้งเสียใจ กริชชัยมองอย่างเห็นใจ
“ทั้งวัช ทั้งคุณฝ้ายไม่ได้อยู่ที่นี่ คุณฝ้ายคงออกไปทำงานตั้งแต่เย็น”
“แหนมเพิ่งมาจากร้านมัน ไม่เห็นแม้แต่เงาหัว”
“คงจะคลาดกัน”
“คุณกริชพยายามจะปิดบัง ช่วยมันใช่มั้ย คุณกริชอยู่ฝั่งไหนกันแน่”
เนตรนภัสถามกริชชัยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
อรุณศรียืนแอบอยู่หลังประตูที่ไม่ได้ถูกปิด เสียงเนตรนภัสคุยกับกริชชัยดังเข้ามา อรุณศรียืนฟังด้วย
ความเห็นใจ และระมัดระวัง
“ผมไม่ได้อยู่ฝั่งไหนทั้งนั้น ทำไมถึงถามแบบนี้”
เนตรนภัสยังระบายความในใจออกมาด้วยความเสียใจ
“เพราะแหนมไม่เหลือใครแล้ว แหนมเหมือนตัวคนเดียวถอยมาจนหลังชิดกำแพง แหนมต้องลุกขึ้นสู้ วัชทำกับแหนมเกินไป ทำเหมือนแหนมไม่ใช่คน นึกอยากจะเลิกก็เลิก อยากจะทิ้งก็ทิ้ง เค้าเห็นแหนมเป็นอะไร ทำไม..ทำไม ทำแบบนี้”
กริชชัยเห็นแล้วก็สงสาร..เนตรนภัสร้องไห้โหออกมา กริชชัยค่อยๆ ดึงแหนมเข้ามากอดปลอบใจด้วยความเป็น
มิตร เนตรนภัสยิ่งร้องไห้หนัก
“วัชใจร้าย วัชนอกใจแหนม...วัชหักหลัง ทรยศ”
“แหนม ถ้าร้องแล้วมันสบายใจ ก็ร้องออกมา”
เนตรนภัสยิ่งร้องไห้หนักขึ้นและกอดกริชชัยไว้แน่นราวกับเป็นที่พึ่งสุดท้ายด้วยทั้งเมา ทั้งเสียใจ
อรุณศรีค่อยแง้มประตูแล้วแอบดูสถานการณ์หน้าห้อง เห็นเนตรนภัสกอดกับกริชชัยอยู่ อรุณศรีค่อยๆ ปิดประตูลง ใจเต้นอย่างบอกไม่ถูก เนตรนภัสยังคงฟูมฟายต่อ
“แหนมดีกับวัช ทำไมเค้าตอบแทนด้วยการทำร้ายแหนม เค้าทำแบบนี้ แหนมจะมองหน้าใครได้ แหนมไม่อยากเป็นคนเดียวที่ต้องเสียใจ ไม่ มันต้องไม่เป็นแบบนี้”
เนตรนภัสฟูมฟายใหญ่โต จนกริชชัยต้องคลายกอด แล้วจับไหล่หันมาพูด พยายามดึงสติกลับมา
“แหนม...ผมว่าคุณกลับบ้านดีกว่า...กลับไปพักผ่อน ตอนนี้คุณทั้งเมา ทั้งเหนื่อยถ้าร้องไห้มากไปกว่านี้ ไม่ดีแน่ กลับบ้านนะ เดี๋ยวผมขับรถไปส่ง”
เนตรนภัสปาดน้ำตาไม่ตอบและไม่ได้ปฎิเสธ เนตรนภัสปาดน้ำตาไป ร้องไห้ไป กริชชัยมองเนตรนภัสแล้วก็ถอนใจเบาๆ ก่อนจะหันไปมองที่ประตูห้องสุพรรณิการ์ เหมือนจะบอกกับอรุณศรีว่าเดี๋ยวมา หลังประตูอรุณศรียืนนิ่งยังไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเองอยู่ดี
กริชชัยเปิดประตูรถด้านคนนั่งให้ เนตรนภัสเดินเข้าไปนั่งในรถ อาการยังเบลอๆ มึนๆ กริชชัยเปิดประตูด้านคนนั่ง หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาสะบัดและเช็ดลายมือตัวเองที่ผืนพก ก่อนจะวางเสียบไว้ที่ช่องหนึ่งด้านเบาะหลังที่ค่อนข้างปลอดภัย ระหว่างที่เนตรนภัสนั่งซึมอยู่ กริชชัยขับรถไปอย่างระหว่างระวัง และใช้ช่องว่างนั้นส่งข้อความ
อรุณศรีหยิบโทรศัพท์มาอ่านข้อความ ด้านหลังเห็นสุพรรณิการ์เดินออกมาด้วยใบหน้าหน้าซึมๆ
“ฝ้าย”
“แกคิดว่า มันเป็นความผิดของฉันหรือเปล่า” สุพรรณิการ์เสียงเครียดนิ่งทว่าแฝงไว้ด้วยความรู้สึกผิด อรุณศรีอึ้งไป..ไม่รู้จะตอบสุพรรณิการ์อย่างไร
ในรถของเนตรนภัสซึ่งมีกริชชัยเป็นคนขับวิ่งอยู่บนถนนยามค่ำคืน เนตรนภัสหันมาทางกริชชัย แล้วก็ถามขึ้น
“แหนมขอถามอีกครั้ง..คุณกริชอยู่ฝั่งไหนกันแน่ ระหว่างนังฝ้ายกับแหนม คุณกริชเลือกข้างไหน”
“ผมเป็นกลาง ไม่เข้าข้างใครทั้งนั้น” กริชชัยตอบนิ่งๆ
“ไม่ได้ คุณกริชต้องเลือก จะทำตัวเป็นนกสองหัวไม่ได้ แหนมไม่ยอม คุณกริชต้องเลือกแหนมนะ คุณกริชต้องช่วยแหนม” เนตรนภัสพูดพลางเขย่าแขนกริชชัย
“แหนม…ผมขับรถอยู่”
“งั้นก็จอดเลย..จอด..จอด..จอด”
เร็วเท่าความคิด นตรนภัสหักพวงมาลัยที่กริชถืออยู่เข้าข้างทาง กริชชัยร้องลั่น
“เฮ้ย”
กริชชัยพยายามจะยื้อพวงมาลัยไว้ และชะลอความเร็ว ก่อนจะเหยียบเบรกในระยะกระชั้นชิด รถเนตรนภัสจอดเอี๊ยดทันที
เนตรนภัสตัวเอียงตามแรงเบรกกะทันหัน เซมาเบียดซบเข้าที่ไหล่ของกริชชัย เนตรนภัสร้อง “โอ้ย” ด้วยความเจ็บๆ กริชชัยปล่อยมือจากพวงมาลัยมาประคอง
“จ็บหรือเปล่า”
เนตรนภัสเงยหน้าขึ้นเห็นกริชชัยมองมาด้วยความเป็นห่วง แววตาอบอุ่นและแสนดีของกริชชัยทำให้
เนตรนภัสยิ้มออกมา
“จะว่าไป...คุณกริชนี่ก็หล่อเหมือนกันนะ”
กริชชัยผงะ
“นิสัยก็ดี... รวยก็รวย ดีกว่าวัชทุกอย่าง... แถมก็ยังโสดอีกต่างหาก แหนมว่า คุณกริชตัดใจจากนังพนักงานระดับล่างจะดีกว่า มันไม่คู่ควรกับคุณสักนิด” เนตรนภัสพูดแล้วก็ค่อยไล่ๆมือไปตามแขนของกริชชัย
กริชชัยมองหน้าเนตรนภัสด้วยแววตาไม่วางใจ และแอบดูแคลนในคำพูดที่เนตรนภัสดูถูกอรุณศรี
เนตรนภัสไล่นิ้วมาที่ริมฝีปากของกริชชัย
“ผู้ชายอย่างคุณ ต้องได้ผู้หญิงที่ดีกว่ามัน อย่างแหนมเป็นต้น เราสองคนเหมาะสมกันที่สุด แหนมอยากรู้จริงๆ ถ้าวัชรู้ว่าเราสองคน มีอะไรกัน จะเจ็บปวดมากแค่ไหน” เนตรนภัสพูดแล้วก็ โน้มตัวมาหากริชชัยแบบเมาๆ
เนตรนภัสโน้มศรีษะของกริชชัยมา เนตรนภัสเผยอริมฝีปากรับ เตรียมจะประกบปากเต็มที่ แต่แล้วกริชชัยก็
เบี่ยงหน้าหนี พร้อมกับปัดมือเนตรนภัสออกมาจากโน้มนำ
“พอได้แล้วแหนม...อย่าทำให้ตัวเองตกต่ำมากไปกว่านี้เลย”
คำพูดของกริชชัยถึงกับทำให้เนตรนภัสกรีดร้องออกมาลั่นรถ จนกริชชัยถึงกับยกมือปิดหูข้างที่โดนไปเต็มๆ
“กรี๊ด”
“คุณกริชพูดแบบนี้หมายความว่ายังไงหะ ถ้าสิ่งที่แหนมทำมันต่ำ แล้วสิ่งที่วัชทำมันสูงส่งนักหรือไง ทำไมไม่ไปด่าเพื่อนตัวเองบ้าง สันดานผู้ชายมันเลวเหมือนกันหมด ถ้าไม่เลว มันก็โง่ ให้ฟรีๆยังไม่เอา ไอ้โง่ ไอ้บื้อ”
กริชชัยได้แต่ส่ายหน้ารับอาการของกริชชัยรับไหว
“อีกไม่ไกลก็จะถึงบ้านแล้ว...ขับเข้าไปเองแล้วกัน ผมส่งคุณได้แค่นี้”
กริชชัยตัดบท และเปิดประตูลงจากรถทันที เนตรนภัสอึ้ง
“เดี๋ยว อย่าเพิ่งไป คุณกริช หยุดเดี๋ยวนี้นะ คุณกริช”
กริชชัยลงจากรถและเดินไปอย่างไม่คิดจะหันกลับ เนตรนภัสถึงกับกรีดร้องออกมา
“อ๊าย..ไอ้โง่ ไอ้..ไอ้..ไอ้...ไอ้ซื่อบื้อ”
เนตรนภัสกรีดร้องจนสาใจแล้วก็หยุดหายใจหอบเหนื่อย หัวใจเต้นแรง สมองหมุนติ้ว สติสัมปัญชัญญะแตก
กระเจิง เนตรนภัสสะบัดหน้าหันไปมองกริชชัยที่เดินไปทางหลังรถอีกครั้ง พลันสายตาก็ไปสะดุดหยุดอยู่ที่ปืนที่
กริชชัยซ่อนไว้ เนตรนภัสรีบพุ่งไปหยิบปืนด้วยแววตาเคียดแค้น ก่อนจะเก็บใส่กระเป๋าไว้เหมือนเดิม เนตรนภัสเชิดหน้าขึ้น แววตายังมุ่งมั่นในการใช้ปืน
อรุณศรีนอนอยู่บนเตียงสุพรรณิการ์ที่คอนโด นาฬิกาปลุกจากมือถือดังตอน 8 โมงเช้า อรุณศรีคลำๆ หามือถือบนเตียงแล้วก็กดปิด ก่อนจะค่อยๆ หยีตาลืมสู้แสงแดดอ่อนยามเช้า ทันทีที่รู้สึกตัวก็พลิกตัวมาดูข้างๆ แต่พบกับความว่างเปล่า สุพรรณิการ์ไม่อยู่ อรุณศรีแปลกใจ
“ฝ้าย ไอ้ฝ้าย”
อรุณศรีรีบลุกจากเตียง และเดินออกไปจากห้องนอนทันที
“ฝ้าย”
สุพรรณิการ์นั่งอยู่กลางห้องนั่งเล่น หน้าตาทรุดโทรม เหมือนคนอดนอน อรุณศรีค่อยๆเดินมาหา
“เมื่อคืนแกได้นอนหรือเปล่าเนี่ย”
“นอนไม่หลับ” สุพรรณิการ์พูดพลางส่ายหน้า
อรุณศรีจับไหล่เพื่อนด้วยความสงสาร)
“แกหยุดคิดบ้างเถอะ คิดมากไปก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้น”
“แต่ถ้าฉันไม่คิดเลย แกว่า…อะไรๆมันดีขึ้นเหรอ”
อรุณศรีอึ้ง ไม่รู้จะตอบสุพรรณิการ์อย่างใด
สุพรรณิการ์ละสายตาจากอรุณศรี มองออกไปข้างนอกด้วยแววตามุ่งมั่น
“ฉันจะไม่ยอมปล่อยให้เหตุการณ์แบบเมื่อคืนมันเกิดขึ้นอีก ผู้หญิงสองคนไม่ควรมาทะเลาะกัน เพราะผู้ชายเพียงคนเดียว” สุพรรณิการ์พูดด้วยความหนักแน่น
“คนที่ทำให้เกิดปัญหา...จะต้องแก้ปัญหานี้ให้ได้”
สุพรรณิการ์คิดถึงวัชระ
เช้าวันเดียวกัน ทั้งกริชชัย วัชระ ธีธัช คุยกันอยู่ในห้องรับแขก โดยทั้งกริชชัยและธีธัชขนาบข้างวัชระ เมื่อกริชชัยเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง วัชระถึงกับหน้าเสีย
“แหนมมาหาฝ้าย พร้อมกับปืน”
“เออ ฉันต้องเสี่ยงชีวิต เข้าชาร์จ แล้วก็ลากออกจากคอนโดไป ดีนะที่ไม่มีใครโทร.เรียกรปภ. ไม่งั้น ได้ซวยกันหมดแน่”
วัชระกุมขมับทันทีด้วยความเครียด ธีธัชสงสัย
“แหนมเอาปืนมาจากไหนวะ”
กริชชัยชะงักคิด วัชระเงยหน้าขึ้น แล้วก็ตอบแบบเซ็งๆ
“ปืนฉันเอง”
“หะ” กริชชัยและธีธัชร้องขึ้นพร้อมกัน
“ปืนแกไปอยู่กับแหนมได้ยังไง” ธีธัชถาม
“นั่นดิ ปกติแกไม่พลาดเรื่องแบบนี้ มันเกิดอะไรขึ้น แล้วแหนมเอาไปตั้งแต่เมื่อไหร่” กริชชัยถามบ้าง
วัชระถอนหายใจด้วยความหนักใจ แล้วก็คิดถึงเหตุการณ์ในอดีต
“ประมาณ 2 อาทิตย์ก่อน” วัชระบอก
เหตุการณ์เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่วัชระเดินเข้ามาในห้องทำงาน ลูกน้องคนหนึ่งเดินเข้ามาตาม
“ผู้กองครับ...ท่านรองให้มาตามไปพบครับ”
“ขอบใจมาก” วัชระตอบพลางพยักหน้า
ลูกน้องเดินออกไปจากห้อง วัชระล้วงปืนพกออกมาจากที่เก็บ วางไว้ในลิ้นชักปิด แต่ยังไม่ทันเก็บเข้าที่เข้าทางให้เรียบร้อย ลูกน้องคนเดิมก็วิ่งพรวดพราดเข้ามา
“ผู้กองครับ แฟนผู้กองกำลังเดินมาครับ”
“เฮ้ย...จริงเหรอ” วัชระตกใจ
ลูกน้องโผล่หน้าออกไปดูให้อีกทีเพื่อความแน่ใจ
“จริงครับ ใกล้จะถึงแล้วครับผู้กอง”
“ถ้าแหนมถามบอกว่าฉันไม่อยู่นะ”
“ครับผม”
วัชระรีบวิ่งมาที่หน้าต่างแล้วปีนหนีออกไปชำนาญ เนตรนภัสเดินพรวดพราดเข้ามา เห็นลูกน้องยืนหน้าเด๋อๆอยู่ เนตรนภัสกวาดสายตาแล้วหันมาถาม
“วัชหายไปไหน”
“ผู้กองยังไม่มาครับ”
“ไม่จริง ก็ฉันเห็นรถจอดอยู่ข้างหน้า”
“อ๋อ...รถนั่นจอดไว้นานแล้วครับ แต่วันนี้ผู้กองยังไม่มาเลยครับ ผม...ขอตัวก่อนนะครับ”
ลูกน้องวัชระรีบเลี่ยงไปอย่างฉลาด นตรนภัสยืนหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่ภายในห้องทำงานของวัชระคนเดียว
“บ้าจริงๆ หายไปไหนนะ”
เนตรนภัสเดินมาที่โต๊ะแล้วก็วางกระเป๋าบนโต๊ะอย่างแรง พลางกระแทกตัวลงนั่งที่เก้าอี้ ก่อนจะปราย
ตามาเห็นปืนที่วางอยู่ในลิ้นชัก…เนตรนภัสคิด
นึกถึงตอนนี้วัชระหน้าเครียด แล้วก็เล่าด้วยเสียงกลุ้มใจ
“พอฉันประชุมกับเจ้านายเสร็จ กลับมาที่ห้อง ปืนก็หายไปแล้ว”
ธีธัชกับกริชชัยส่ายหน้า
“แกนี่มัน..กลัวแหนมจนเสียสติจริงๆ” ธีธัชว่า
“ก็ตอนนั้นฉันยังไม่พร้อมจะเผชิญหน้านี่หว่า มันก็ต้องรีบหนีไปก่อน”
“ถ้าแหนมเอาปืนไปยิงคนอื่นตาย แกซวยแน่” ธีธัชบอก
“รู้เว้ย ไม่ต้องย้ำ”
“ถ้าฉันรู้ว่าปืนกระบอกนั้นเป็นของแก เมื่อคืนจะได้เก็บไว้ให้ แต่ฉันไม่รู้ว่าเป็นของใครก็เลยวางไว้ในรถ ไม่อยากโดนข้อหาพกพาอาวุธปืน โดยไม่ได้รับอนุญาต” กริชชัยบอก
“ฉันเข้าใจ...ถ้าไม่จำเป็นฉันก็ไม่อยากหยิบปืนคนอื่นเหมือนกัน” วัชระบอก
“แต่ฉันว่าแหนมไม่คิดแบบนั้นแน่ และตอนนี้เค้าก็รู้แล้วว่าคุณฝ้ายทำงานอยู่ที่ไหน พักอยู่ที่ไหน เกิดแหนมบ้าเลือดขึ้นมาไล่ยิงคุณฝ้าย แล้วก็พาลมาไล่ยิงพวกฉันต่อ แกจะว่าไงหะ” กริชชัยว่า
วัชระสะอึก หน้าเครียดขึ้นทันที
ทันใดนั้นเสียงออดหน้าห้องก็ดังขึ้น สามหนุ่มหันขวับมาจ้องหน้ากัน ในใจหวาดหวั่นคิดไปต่างๆนานา
สุพรรณิการ์และอรุณศรียืนอยู่หน้าห้องเมื่อประตูถูกเปิดออกโดยวัชระ
“ฝ้าย”
“เราต้องคุยกัน...จะคุยที่นี่ หรือจะคุยที่ห้องฉัน เลือกมา” เสียงสุพรรณิการ์เข้มและจริงจังมาก
วัชระอึกอัก กริชชัยเดินมาตอบให้แทน
“คุยที่นี่แหละครับ เดี๋ยวพวกผมออกไปข้างนอกเอง เชิญครับ”
กริชชัยพูดแล้วก็เดินจะออกนอกห้องไป แต่ธีธัชยังนั่งอยู่ที่เดิมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ จนกริชชัยหันมาเรียก
“ไอ้ธี”
กริชชัยพยักเพยิดให้ธีธัชออกมา
“อ้อ...ตามสบายครับ” ธีธัชรีบลุกเดินตามกริชชัยออกไป
อรุณศรียังยืนอยู่หน้าห้อง สุพรรณิการ์เดินเข้าไปในห้อง
“ฝ้าย...ใจเย็นๆ ค่อยคุย รู้เรื่องเปล่า”
อรุณศรีเตือน สุพรรณิการ์พยักหน้ารับ
“ฝากฝ้ายด้วยนะคะคุณวัช” อรุณศรีบอกวัชระ
“ครับ”
สุพรรณิการ์แอบปรายสายตามาที่อรุณศรี ก่อนหันไปทางกริชชัยที่ยืนอยู่หน้าห้องกับธีธัชแล้วพูดขึ้น
“คุณกริชคะ พอดีแอ๊วกำลังจะกลับบ้าน ฝากแอ๊วด้วยนะคะ”
อรุณศรีเจอสุพรรณิการ์ย้อนศรเข้าให้
“ครับ” กริชชัยยิ้มรับ
ประตูห้องปิดลง กริชชัยและอรุณศรีต่างคนต่างมองหน้ากัน อรุณศรีเดินนำไปกริชชัยเดินตาม ธีธัชยังยืนอยู่
ที่เดิมมองตามกริชชัยที่เดินไปกับอรุณศรี
“อ้าว ไรวะ ทำไมเหลือฉันอยู่คนเดียวเนี่ย”
ธีธัชมองซ้ายมองขวาเห็นเพื่อนๆมีคู่กันหมดก็เกิดอาการว้าเหว่ คิดแล้วก็หยิบมือถือขึ้นมาพร้อมกับกดข้อความ “ว่างหรือเปล่า อยากเจอ” ไปยังเครื่องของกรกนก
ธีธัชนิ่งคิด..อยากรู้ว่ากรจะมาหรือเปล่า
ภายในห้องพักของกริชชัยในคอนโด สุพรรณิการ์ตบโต๊ะเสียงดังและเริ่มยิงคำถามใส่วัชระทันที
“ฉันไม่ยอมตายด้วยเรื่องไร้สาระหรอกนะ”
วัชระอึ้งแล้วรีบพูด “ผมก็ไม่อยากคุณตาย”
“แต่เมื่อคืน ถ้าคุณกริชกับแอ๊วไม่อยู่กับฉัน ฉันอาจจะตายไปแล้ว”
“ผมขอโทษ...ผมขอโทษจริงๆ นะฝ้าย ผมไม่คิดว่าแหนมจะทำแบบนี้”
“แล้วไงต่อ”
“แล้วไง อะไร” วัชระงง
“ก็ขอโทษแล้วยังไงต่อ ที่ฉันมาคุยไม่ได้อยากได้ยินคำว่าขอโทษ อยากรู้ว่าคุณจะแก้ปัญหานี้ยังไง ฉันไม่ยอมอยู่อย่างขวัญผวาแบบนี้หรอกนะ”
“ผมบอกตรงๆ นะ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”
สุพรรณิการ์ถึงกับผงะ
“อ้าว คุณไม่รู้ แล้วใครจะรู้ แล้วชีวิตฉันต้องแขวนอยู่บนความไม่รู้ของคุณเนี่ยนะ “
วัชระพูดไม่ออก แม้หน้าและแววตาจะรู้สึกผิดมากๆ แต่วัชระก็ยังคิดอะไรไม่ออกจริงๆ อย่างที่บอกสุพรรณิการ์จริงๆ สุพรรณิการ์ส่ายหน้าแล้วก็พูดเสียงสั่นๆ พยายามจะกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล
“ฉันไม่ได้อยากเป็นผู้หญิงร้ายๆ ที่จะลุกขึ้นมาตบตีกับใครเพื่อแย่งผู้ชาย แต่ถ้าคนกลาง มันไม่ทำอะไร ผู้หญิงอย่างฉันก็ต้องลุกขึ้นมาป้องกันตัว”
“ฝ้าย” วัชระเอื้อมมาจับมือ สุพรรณิการ์ดึงมือออกทันที
“ฉันไม่ต้องการความเห็นใจ แต่ฉันต้องการความมั่นใจ ที่ผ่านมาคุณวิ่งหนี จนปัญหามันทับถมมากเกินกว่าจะแก้ไขด้วยการบอกเลิกเพียงคำเดียว ถ้าฉันเป็นคุณแหนม..ฉันก็ไม่ยอมเหมือนกัน”
วัชระกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก
“ฉันหวังว่าคุณจะรู้ว่าควรทำอะไร ก่อนที่ฉันหรือใครสักคนต้องตาย”
สุพรรณิการ์พูดจบก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป
“ฝ้าย ฝ้าย”
วัชระร้องเรียก แต่สุพรรณิการ์ไม่หยุด เดินออกจากห้องแล้วปิดประตูลง ปล่อยให้วัชระยืนถอนหายใจอย่างหนักหน่วงอยู่คนเดียวภายในห้อง
สุพรรณิการ์เดินพรวดเข้ามาในห้องแล้วรีบปิดประตูห้องตัวเองลง ยืนพิงประตูอย่างหมดแรง..น้ำตาร่วง ความรู้สึกผิด ความสับสน ถาโถมเข้ามาอย่างมากมาย
วัชระนั่งอยู่ที่เดิม...คิดหนัก เครียดและไร้ทางออก
“แล้วกูจะรู้มั้ยเนี่ย โอ้ย...กลุ้มเว้ย”
สุพรรณิการ์ทรุดตัวลงนั่งที่ประตู ปาดน้ำตา เพียงสักพักเดียวก็เชิดหน้าขึ้น ยืนยันกับตัวเองว่า จะไม่หนีอีกต่อไปแล้ว
รถกริชชัยแล่นเข้ามาจอดตรงหน้าบ้าน อรุณศรีหันมาทางกริชชัย
“ขอบคุณมากนะคะที่มาส่ง”
อรุณศรีเดินลงจากรถไปแล้ว กริชชัยคิดอยู่ไม่กี่วินาที ก็ตัดสินใจเปิดประตูรถตามและเรียกไว้
“อรุณศรี”
อรุณศรีหันมา กริชชัยกำลังเดินมาหา มองหน้าอรุณศรีแล้วก็พูดขึ้นด้วยความเขินๆ
“ผม..มีเรื่องอยากจะบอก คุณจะได้…เตรียมตัว”
อรุณศรีมองหน้ากริชชัยอย่างงงๆ
“เรื่องอะไรเหรอคะ เรื่องงานหรือเปล่า”
“ไม่ใช่...เรื่องส่วนตัว”
อรุณศรีแอบตื่นเต้น
“ผม...จะจีบคุณอย่างจริงจังนะ” กริชชัยพูดน้ำเสียงจริงจัง
อรุณศรีมองหน้ากริชชัย แล้วขำ
“ตลก...เหรอ” กริชชัยแอบเสียความมั่นใจเล็กน้อย
อรุณศรีพยายามหยุดขำ
“มันก็...ไม่ตลกหรอกค่ะ”
“แล้วขำทำไม” กริชชัยถามประสาซื่อๆ
“ก็คุณพูดยังกะมันเป็นแถลงการณ์ระดับชาติ จริงจังไปหรือเปล่าคะ”
“ใช่..ก็ผมจริงจัง ผมก็ต้องพูดจริงจังสิ เดี๋ยวคุณจะคิดว่าผมจีบคุณเล่นๆ”
อรุณศรีมองหน้ากริชชัย
“ฝ้ายบอกคุณเรื่องฉันกับปรานต์แล้วใช่มั้ยคะ”
“ใช่ เพราะคุณเลิกกับเค้า ผมถึงกล้าจีบคุณ”
“แล้วคุณไม่กลัวว่าฉันจะกลับไปคืนดีกับเค้าเหรอคะ”
“ไม่กลัว ผมรับได้ทุกอย่าง”
กริชชัยจริงจังจนอรุณศรีแอบใจหวั่นไหว อรุณศรีหันหน้าหนีและเดินไปพูดไป กริชชัยเดินตามจนถึงรั้วบ้าน
“ตอนนี้ชีวิตฉันเหมือนเพิ่งผ่านช่วงฝุ่นตลบ อะไรๆ ที่ฉันเห็น มันก็ฟุ้งๆ ยังไม่ชัดเจน ฉันอยากรอให้ฝุ่นมันหายไปซะก่อน ก่อนจะเริ่มต้นใหม่” อรุณศรีพูดพลางมองหน้ากริชชัย
กริชชัยตอบอย่างมั่นใจ ด้วยประโยคติดปาก
“ไม่เป็นไร ผมรอได้ ผมไม่รีบ ถ้าฝุ่นมันหายไปเมื่อไหร่ เดี๋ยวคุณก็เห็นผมเอง”
กริชชัยยิ้มและเดินกลับไปที่รถ อรุณศรีมองตามแล้วก็ยิ้ม กริชชัยหันมาเห็นพอดี อรุณศรีตกใจรีบหุบยิ้มทันทีแล้วรีบหันหน้าหนีเดินอายๆเข้าบ้านไป กริชชัยยิ้มมีความสุข หัวใจพองโตอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก
กรกนกกำลังเก็บของที่เหลือใส่กระเป๋าใบเล็กภายในคอนโด ห้องที่เคยมีความสุขกับธีธัช
ธีธัชเปิดประตูเข้ามาพอดี กรกนกชะงักเล็กน้อย ธีธัชมองเข้ามาในห้องอย่างซีเรียส
“นึกว่ากรจะไม่มา”
“ถ้าคิดว่าจะไม่มา แล้วนัดมาทำไมคะ” กรกนกย้อน
“กรอ่ะ” ธีธัชเดินเข้ามาอ้อน
กรกนกยิ้มแล้วเอากระเป๋ามาขวางไว้
“อย่ามาทำเสียงออดอ้อนเลยค่ะ มันไม่ได้ผลหรอก..นัดมามีอะไรคะ”
“ผมก็แค่...เป็นห่วง มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่า”
“ไม่มีค่ะ ขอบคุณที่เป็นห่วง แต่กร...สบายดีค่ะ” กรกนกยิ้ม
กรกนกตอบอย่างเข้มแข็ง จนธีธัชพูดไม่ออก ธีธัชตัดสินใจพูดออกมาตรงๆ
“กร...บอกตรงๆ นะ ยิ่งคุณนิ่ง ผมยิ่งรู้สึกแย่ คุณไม่คิดจะตบ หรือ ถีบ ผมบ้างเลยเหรอ ถ้าคุณอยากทำ ก็ทำได้เลยนะ ผมพร้อม”
“อย่าเลยค่ะ ทำแบบนั้น คนอย่างคุณ ไม่รู้สึกหรอก เปลืองแรงเปล่าๆ” กรกนกยิ้มขำๆ
“โห...เจ็บอ่ะ” ธีธัชสะอึก
“ต้องปล่อยให้...คุณเภาเป็นคนดัดนิสัย มันถึงจะสมน้ำสมเนื้อ” กรกนกว่าโดยไม่มีความริษยาเจือในน้ำเสียง
ธีธัชสะอึกถึงขั้นจุกเลยทีเดียว
“คุณรู้ได้ยังไง” ธีธัชถามด้วยความอยากรู้
กรกนกยิ้ม แล้วก็หันมารูดซิปกระเป๋า
“ฉลาดไงคะ” กรกนกยิ้มกวน
“คุณเภาเธอเป็นคนดี เป็นคนน่ารัก แล้วก็หายากมาก ฉันพูดแค่นี้ คุณคงรู้ว่าต้องทำยังไงต่อไป” กรกนกพูดต่อ
ธีธัชอึ้งกับคำพูดและความใจกว้างของกรกนก...กรกนกยิ้มให้นิดๆ แล้วก็หันมาหิ้วกระเป๋าเดินออกจากห้องไป
“กร” ธีธัชเรียกไว้
กรกนกหันมา ธีธัชเดินเข้ามา และสวมกอดกรกนกไว้ กรกนกซบหน้าลงที่ไหล่กว้างอย่างคุ้นเคย น้ำตาแอบซึมๆ ทั้งสองคนกอดเพื่อบอกลาเป็นครั้งสุดท้ายเพียงครู่เดียว กรกนกยันตัวเองออกมา ธีธัชยอมคลายอ้อมแขน
“โชคดีนะคะ” กรกนกมองหน้าธีธัช
“คุณก็เหมือนกัน”
กรกนกยิ้มรับและเดินออกไป ธีธัชถอนหายใจเบาๆ ทว่ามีความสบายใจที่เกิดขึ้นปะปนไปกับความเหงารวมอยู่ด้วย
กระเป๋าเดินทางถูกวางบนพื้นในบ้านของจามจุรี จามจุรีมองกระเป๋าลูกสาวแล้วก็เงยหน้ามองถามลำเภา
“เภาจะย้ายมาอยู่กับแม่เหรอลูก”
นอกจากกระเป๋าเดินทางแล้ว ลำเภายังสะพายกระเป๋าใส่เป็นต่อกับพอใจไว้ข้างๆ
“ค่ะแม่” ลำเภาพยักหน้ารับ พร้อมๆเป็นต่อกับพอใจที่เห่าขานรับ
“น้..นังพอใจ เป็นต่อเห่ารับเลยนะ จะมาอยู่กับยายหรือไงหะ”
เป็นต่อกับพอใจเห่าอีกตอบรับคำพูดของจามจุรี จามจุรีถึงกับส่ายหน้าในความดัดจริตของหมาสองตัวนี้
ลำเภาหย่อนเป็นต่อพอใจลงที่พื้น หมาทั้งสองตัววิ่งดุ๊กๆ ไปอย่างร่าเริง จามจุรีหันมาถามลำเภาอีกที
“ทำไมอยู่ๆถึงเปลี่ยนใจกลับมาอยู่กับแม่ เมื่อก่อนห้ามไม่ให้ไปอยู่ที่บ้านสวนก็ไม่ยอมเชื่อ จะไปอยู่ให้ได้ .. หนีใครมาหรือเปล่า” จามจุรีถามประสาซื่อ ลำเภาถึงกับสะอึกรีบเฉไฉทันที
“เภาก็แค่ไม่อยากอยู่คนเดียว คุณกริชก็ย้ายออกไปแล้ว อยู่คนเดียวเซ็งๆ อีกอย่าง..เป็นต่อ พอใจ ก็บ่นคิดถึงคุณแม่ด้วย เภาก็เลยย้ายกันออกมาซะเลย จะได้หายคิดถึง”
“จริงเหรอ เหตุผลฟังดูแปลกนะ ไม่ค่อยน่าเชื่อถือ” จามจุรีหลิ่วตา
“จริ๊ง ไม่เชื่อถามเป็นต่อกับพอใจก็ได้นะคะ” ลำเภาเสียงสูง
จามจุรีชะงักนิดๆ ลำเภารีบกลบเกลื่อน
“เภาเอาของไปเก็บก่อนนะคะ”
ลำเภาลากกระเป๋าเดินหนีไปทันทีจะโดนจามจุรีซักต่อ จามจุรีได้แต่มองตามลำเภาด้วยความแปลกใจ
“ลูกฉันวันนี้แปลกๆ ต้องมีอะไรแน่”
จามจุรีคิดด้วยความสงสัยและอยากรู้
ภายในบ้านของเนตรนภัส พอสีรุ้งไปเปิดประตูห้องนอนเนตรนภัส ก็ต้องร้องขึ้นด้วยความตกใจ และรีบพุ่งเข้ามาหาเนตรนภัสคว้าแก้วเหล้าออกจากมือ เนตรนภัสในสภาพเมามายไร้สติ ขวดเหล้าวางระเกะระกะไปหมด
“แหนม แหนมพอได้แล้วลูก หยุดดื่มได้แล้ว พอ พอ พอกันที”
สีรุ้งหันไปหยิบถังมาเก็บขวดและแก้วทิ้งด้วยความหงุดหงิด
“คุณแม่ ทิ้งทำไม ทิ้งทำมาย” เนตรนภัสแผดเสียงอ้อแอ้
“แล้วเราจะกินมันทำไม เหล้าพวกนี้ มันไม่ได้ช่วยอะไรเลยนะลูก มันยิ่งทำให้แหนมแย่ลง แม่ขอร้อง พอเถอะนะลูกนะ “
สีรุ้งน้ำตาคลอๆ ปิ่มจะขาดใจ
“แค่เหล้า มันไม่ทำให้แหนมแย่ไปกว่านี้หรอกค่ะแม่..แหนมไม่เหลืออะไรอีกแล้ว” เนตรนภัสพูดน้ำตาซึม
“ทำไมจะไม่เหลือ...แหนมยังเหลือแม่..เหลือน้อง..แหนมยังเหลือครอบครัวที่เป็นห่วงแหนมนะลูก..แค่ผู้ชายคนเดียว ตัดใจให้ได้ อย่าปล่อยให้เค้าทำลายชีวิตลูกแบบนี้”
“ไม่! แหนมไม่ยอมปล่อยง่ายๆ ถ้าแหนมไม่มีความสุข อย่าหวังว่าใครจะมีความสุข ทั้งวัช ทั้งนังฝ้าย มันจะต้องตายให้หมด”
“แหนม...พูดอะไรออกมาน่ะลูก”
“พูดความจริงไงคะแม่ วัชกล้าหักหลังแหนม เค้าทำให้แหนมเจ็บ..เค้าก็ต้องเจ็บเหมือนกัน”
เนตรนภัสสาปส่งด้วยความอาฆาตมาดร้าย
สีรุ้งมองเนตรนภัสด้วยความเป็นห่วง ทั้งร้อนรุ่มในใจ ทั้งเจ็บปวด สีรุ้งคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่าง
สีรุ้งกดโทรศัพท์เพื่อโทร.ออก รอสายด้วยใบหน้าเคร่งเครียด เมื่อมีคนรับ สีรุ้งก็พูดขึ้น ในน้ำเสียงนั้นทั้งหยิ่ง ถือตัว และไม่พอใจซึ่งรับรู้ได้อย่างชัดเจน
“ฉันเอง...ฉันมีเรื่องสำคัญจะต้องคุยกับเธอโดยเร็วที่สุด”
อ่านต่อตอนที่ 21