สุภาษิตจีนบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า
“บนโลกมีผู้ชายที่เพียบพร้อมและแสนดีอยู่เพียงสองคน...คนนึงตายไปแล้ว และอีกคน...ยังไม่เกิด”
...................................................................................................
สามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 17
ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวข้างถนนแห่งหนึ่งในเวลากลางคืน กริชชัยและอรุณศรีเข้ามานั่งที่โต๊ะ เด็กเสิร์ฟเข้ามารับออเดอร์รายการอาหาร
“แห้ง ซุป เหลา อย่างละหนึ่ง” เด็กเสิร์ฟจดรายการกันความผิดพลาดเพื่อไปที่คนขายที่กำลังลวกก๋วยเตี๋ยวอย่างว่องไว
“ขอกากหมูเจียว และผักบุ้งลวกเพิ่มด้วยนะครับ” กริชชัยสั่ง
บะหมี่แห้งหนึ่งชาม พร้อมน้ำซุปหนึ่งถ้วย ถูกยกมาวางตรงหน้ากริชชัย ส่วนของอรุณศรีเป็นเกาเหลาหนึ่งชามวางตรงหน้าเธอ อรุณศรีมองแล้วก็ทักขึ้น
“กินเยอะขนาดนี้ไม่กลัวอ้วนเหรอ”
“ผมเป็นคนชอบออกกำลังกาย” กริชชัยตอบยิ้มๆ
อรุณศรีมองกวนๆ แล้วพูดต่อ
“ตอบไม่ตรงคำถาม”
กริชชัยกำลังจะคีบก๋วยเตี๋ยวเข้าปากถึงกับชะงักคิด
“เออจริงด้วย โอเค งั้นตอบใหม่..ผมไม่กลัวอ้วน เพราะผมเป็นชอบออกกำลังกาย คิดว่าตรงแล้วนะ” กริชชัยพูดพลางยิ้มให้อรุณศรี
อรุณศรีหลบตาไม่กล้ามองตอนกริชชัยยิ้มนานแค่นร้องรับ “อืมม์..” แล้วก้มหน้าเตรียมจะกิน
ระหว่างที่กริชชัยกำลังกินและคิดบางอย่างในใจ หลังคิดออกแล้วก็ถามขึ้นด้วยความอยากรู้ โดยปูพื้นคำถามกับอรุณศรีว่า
“แล้วคุณตอบตรงคำถามหรือเปล่า”
“ค่อนข้าง ..” ว่าแล้วอรุณศรีก็ตักเกาเหลากำลังจะเข้าปาก
“งั้นผมมีคำถาม…”
อรุณศรีมองหน้า
“เมื่อตอนเย็น คุณทะเลาะกับแฟนอีกแล้วเหรอ”
อรุณศรีชะงัก ถือช้อนคาอยู่ที่มือ
“ใช่”
“ ทะเลาะกันเรื่องอะไร”
อรุณศรีเงยหน้ามองกริชชัย เห็นสายตากริชชัยที่กำลังรอคำตอบด้วยความอยากรู้ อรุณศรีคิดแล้วก็ตอบ
“เค้าขอฉันแต่งงาน”
กริชชัยใจหายวาบและอึ้งไป มองอรุณศรี ต่างคนต่างมองกันซึ่งกันและกัน
ในช่วงเวลาเดียวกัน วัชระกำลังตีลังกาท่าพิสดารกับเครื่องพิลาทิสที่อยู่ในห้องส่วนตัวของพิลาทิสสตูดิโอ โดยมีเทรนเนอร์คอยดูแลอย่างใกล้ชิด วัชระเปลือยท่อนบน เผยกล้ามอกและมัดกล้ามแข็งเกร็งแกร่ง ธีธัชเดินพรวดพราดเข้ามา
“Hi Mike” ธีธัชทักเทรนเนอร์
“Hi!” Mikeทักกลับมา แล้วหันไปสนใจวัชระต่อ
ธีธัชดินมาหาวัชระและก้มหน้าลงมาถาม
“ไอ้วัช วันนี้ไอ้กริชมาหรือเปล่า”
วัชระตอบอย่างลำบากเพราะกำลังติดพันอยู่กับเครื่องพิลาทิส
“มา...กินข้าวกับแอ๊วเรียบร้อยแล้วมันจะรีบตามมา”
ธีธัชเงยหัวขึ้นเพิ่งจะนึกตามในสิ่งที่วัชระพูดได้
“ไอ้กริชไปกินข้าวกับแอ๊ว... แบบนี้ก็มีลุ้นดิ ถึงว่าโทร.ไม่รับสายสงสัยจะกำลังหวีตกันแหงๆ”
ธีธัชยิ้มกริ่มพลางคิดว่ากริชชัยต้องแฮปปี้สุดๆ แน่งานนี้
ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวข้างถนน กริชัยอึกอักเล็กน้อยไม่ได้มีความสุขตามที่เพื่อนคิดแม้แต่น้อย กริชชัยตัดสินใจถามย้ำอีกที
“เค้าขอคุณแต่งงาน…แล้วทำไมทะเลาะกัน” กริชชัยน้ำเสียงจริงจัง
อรุณศรีคิดและตัดสินใจตอบ
“พราะฉันไม่อยากแต่ง เค้าก็เลยโมโห ไม่พอใจ”
กริชชัยเผลอตัวยิ้มโดยไม่รู้ตัว
“คุณไม่อยากแต่งงาน” กริชชัยน้ำเสียงตื่นเต้น
อรุณศรีมองหน้ากริชชัยแปลกใจนิดๆ
“ใช่... ทำไมต้องทำเสียงตื่นเต้นด้วย”
“เอ่อ..ก็..แค่แปลกใจ” กริชชัยเฉไฉแล้วรีบถามต่อทันที
“แล้วทำไมคุณไม่อยากแต่ง”
“เหตุผลชาวบ้านๆ น่ะ คนรวยอย่างคุณไม่เข้าหรอก” อรุณศรีบอก
“ปัญหาเรื่องเงิน เรื่องผู้หญิงอื่น” กริชชัยสวนขึ้นมาทันที
อรุณศรีมองหน้าแปลกใจที่กริชชัยรู้ กริชชัยยักคิ้วเล็กน้อย อรุณศรีจำต้องพยักหน้ายอมรับ
“อือ... ทำนองนั้น ฉันก็เลยบอกให้เค้าไปแก้ปัญหามาก่อน ค่อยคุยกันใหม่”
“แล้วถ้าเค้าแก้ปัญหาได้...คุณจะเปลี่ยนใจอยากแต่งงานหรือเปล่า” กริชชัยรีบถามต่อ
อรุณศรีเงียบและคิด กริชชัยรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
“ฉันยังไม่รู้..”
กริชชัยแปลกใจ
“ทำไม”
อรุณศรีน้ำเสียงเริ่มจริงจัง
“เรื่องแต่งงานมันเรื่องใหญ่นะคะ ฉันไม่อยากแต่งด้วยอารมณ์ชั่ววูบ ฉันยืนอยู่บนความจริง ความรักของฉันไม่ได้เป็นสีชมพูเหมือนตอนเด็กๆ และการแต่งงานก็ไม่ใช่ทางออกที่จะทำให้พ้นจากคำว่าขึ้นคาน”
กริชชัยฟังแล้วอมยิ้มนิดๆ ด้วยความชื่นชม
“แต่มันหมายถึงเราพร้อมแล้วที่จะใช้ชีวิตอยู่กับเค้า อยู่อย่างเข้าใจและแบ่งปัน ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์... ถ้าฉันคิดจะแต่งงานกับใคร ฉันก็อยากอยู่กับเค้าไปตลอดชีวิต ถ้าไม่มั่นใจ... ขอไม่แต่งดีกว่า”
กริชชัยฟังแล้วถึงกับยิ้มตาม..เห็นด้วยสุดๆ อรุณศรีเงยหน้ามองกริชชัย กริชชัยรีบหุบยิ้มทำหน้านิ่ง อย่างฉับพลัน
“ฉันตอบจริงจังไปหรือเปล่าคะ”
“ก็มันเป็นเรื่องจริงจังนี่ครับ…ผมเห็นด้วยเรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ ต้องคิดให้ดีๆ แล้วก็เห็นด้วยว่า…ถ้าไม่ดี ไม่พร้อมก็ไม่ควรแต่ง แต่ถ้าเห็นว่าดีแล้ว..พร้อมแล้ว..ก็แต่งไปเลยครับ”
อรุณศรีมองหน้ากริชชัยอย่างไม่เข้าใจ เมื่อพูดออกไปแล้ว กริชชัยเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าเหมือนยุให้อรุณศรีไปแต่งงานกับแฟน จึงพูดอะไรต่อไปไม่ถูก อรุณศรีก็พูดไม่ออกเหมือนกัน
“ค่ะ…ฉันก็เห็นด้วย” อรุณศรีตอบไปตามมารยาท
กริชชัยได้แต่ลูบปาก คิดด่าตัวเองในใจ
หลังจากทานอาหารเรียบร้อยแล้ว กริชชัยตามมาสมทบกับสองเพื่อนที่ พิลาทิสสตูดิโอ กริชชัย ธีธัชและวัชระออกกำลังกายไปด้วย คุยไปด้วย
“แล้วแกสะเออะไปให้คำปรึกษาแบบนั้นทำไมวะ” ธีธัชถาม
“มันหลุดปากออกไปแบบไม่รู้ตัว ฉันก็แค่พูดออกไปตามความเป็นจริง” กริชชัยบอก
“ถ้าเค้าเกิดแต่งไปจริงๆ แกจะทำไง”
“ฉันก็ได้แต่ภาวนาว่าเค้าจะไม่แต่ง แต่จังหวะนั้น จะให้ฉันฉวยโอกาสแทงข้างหลัง ใส่ไฟให้เค้าเลิกกับแฟน ฉันก็ทำไม่ได้ว่ะ” กริชชัยน้ำเสียงจริงจัง
วัชระกับธีธัชส่ายหน้าพร้อมกัน
“เฮ้ยขอร้องล่ะ เลิกทำตัวเป็นคนดีได้แล้ว เดี๋ยวผู้หญิงสับสน” ธีธัชบอก
“สับสนอะไร” กริชชัยถาม
“เอ๊า! ก็แกไปเดินตามเค้า แอบมอง เป็นห่วงเป็นใยสารพัด แล้วอยู่ๆ ก็บอกให้เค้าไปแต่งงานกับแฟนถ้าคิดดีแล้ว..เป็นใครก็ต้องงง” ธีธัชบอก
วัชระหันไปหยิบผ้าเช็ดตัว ก่อนจะเดินพูด
“ใช่ ขนาดฉันสองคน ยังงงเลย”
ธีธัชพยักหน้ารับ
“ตกลงแกจะเอายังไง จะ “จีบ” หรือว่าจะ “เป็นโรคจิต” ถ้าแกไม่รีบทำตัวให้ชัดเจนตามที่แกได้ประกาศไว้ว่าจะจีบอรุณศรี แกก็เตรียมตัววืดได้เลย... อดแน่ๆ” วัชระพูดต่อ หลังพูดจบก็เดินออกไปเตรียมตัวอาบน้ำ
“ถูก” ธีธัชย้ำผสมโรง
เจอสองหนุ่มสวดยับกริชชัยคิดหนักจนเริ่มเครียด
ประตูล็อคเกอร์ของวัชระเปิดออก ตอนหยิบเสื้อออกจากกระเป๋าเพื่อเตรียมตัวไปอาบน้ำ บังเอิญมือไปเกี่ยวเอาบัตรคอนเสิร์ตสุนทราภรณ์จำนวน 2 ใบหล่นร่วงลงมาที่พื้น วัชระกำลังจะก้มลงเก็บ แต่ทันใดนั้นก็มีมือของธีธัชเข้ามาหยิบก่อน ธีธัชหลิ่วตาเริ่มไม่ไว้วางใจวัชระ
“บัตรคอนเสิร์ตสุนทราภรณ์... ของแกเหรอ”
วัชระเอื้อมมือยื่นมาหยิบบัตร ธีธัชหยิบบัตรคอนเสิร์ตหลบทันที
“ทำไมมี 2 ใบ แกจะไปดูกับใคร... ไปดูกับแม่เหรอ” ธีธัชจอมกะล่อนพูดหยั่งเชิง
“ไม่ใช่ แล้วก็...ไม่บอกเว้ย” วัชระมองธีธัชอย่างกวนๆ
ธีธัชหลิ่วตาคิดถึงลำเภา วัชระเห็นว่ามีจังหวะรีบดึงบัตรคืนมา ยัดใส่กระเป๋าพร้อมกับปิดประตูล็อค
เกอร์ทันที แล้วก็เดินไปอาบน้ำ ธีธัชมองตามด้วยความอยากรู้ว่า วัชระจะไปดูกับใคร
วัชระเดินออกจากพิลาทิสสตูดิโอ ตรงไปยังลานจอดรถ พร้อมๆ กับเปิดประตูรถเข้าไปนั่งในตำแหน่งคนขับ ทันใดนั้นธีธัชก็เปิดประตูเข้ามานั่งข้างๆ ทันที วัชระคิดไม่ถึง
“เฮ้ย! ไอ้ธี แกมานั่งตรงนี้ทำไมวะ”
“แกจะไปไหน” ธีธัชยิ้มเจ้าเล่ห์
“ไปบ้านเภา”
“คืนนี้แกนอนที่นู่นเหรอ”
“เออ...คงจะไปนอนสักพักจนกว่าเคลียร์เรื่องแหนมให้เรียบร้อย”
“ฉันไปด้วย” ธีธัชพูดเนียนๆ
วัชระผงะ
“แก...จะไปกับฉันเนี่ยนะ หรือว่าแกจะไปหาเภา”
“ใช่ ฉันจะไปเอารถคืน เมื่อเช้ายัยเด็กบ๊องขโมยรถฉัน แล้วก็ปิดเครื่องหายไปเลย ถ้ายัยเด็กบ้าไม่เอารถไป ฉันก็ไม่อยากจะไปหรอก” ธีธัชกลบเกลื่อนแก้ตัวให้ดูสมจริง
วัชระมองๆ หน้าธีธัชด้วยสีหน้าและแววตาไม่อยากเชื่อ จนธีธัชต้องหันมาย้ำ
“จริ๊ง!! พูดจริงนะเนี่ย” ธีธัชพูดเสียงสูง
“เออๆๆ จริงก็จริง” วัชระพุดพลางพยักหน้าไปงั้นๆแต่ไม่ค่อยอยากจะเชื่อ
ธีธัชทำนั่งหน้านิ่ง ไม่รู้ไม่ชี้ ยักไหล่ย้ำว่า..ถูกต้องแล้วที่คิดแบบนั้น
วัชระส่ายหน้านิดๆ พร้อมกับพึมพำ
“เพื่อนกูแต่ละคน...เข้าใจยากจริงๆ”
วัชระสตาร์ทรถออกจากลานจอดรถเพื่อไปบ้านลำเภาในทันที
ขณะที่เพื่อนๆ กลับไปหมดแล้ว แต่กริชชัยยังคงเล่นเครื่องพิลาทิสอยู่คนเดียว ระหว่างที่เล่นไปก็คิดถึงสิ่งที่เพื่อนๆ เตือน
ธีธัชบอกว่า
“เฮ้ยขอร้องหล่ะ เลิกทำตัวเป็นคนดีได้แล้ว เดี๋ยวผู้หญิงสับสน” กริชชัยสงสัยว่าสับสนอะไร? “เอ๊า ! ก็แกไปเดินตามเค้า แอบมอง เป็นห่วงเป็นใยสารพัด แล้วอยู่ๆ ก็บอกให้เค้าไปแต่งงานกับแฟนถ้าคิดดีแล้ว..เป็นใครก็ต้องงง”
ในขณะที่วัชระบอกว่า
“ใช่ ขนาดฉันสองคน ยังงงเลย ตกลงแกจะเอายังไง จะ “จีบ” หรือว่า “เป็นโรคจิต” ถ้าแกไม่รีบทำตัวให้ชัดเจนตามที่แกได้ประกาศไว้ว่าจะจีบอรุณศรี แกก็เตรียมตัววืดได้เลย... อดแน่ๆ”
ห้วงเวลานั้นเองภาพของอรุณศรียิ้มน่ารักในอิริยาบถต่างๆ ผ่านเข้ามาในห้วงความคิด กริชชัยเริ่มคิดหนัก พลางพึมพำกับตัวเองว่า
“จีบแบบชัดเจน…มันต้องทำยังไงวะ”
พอแยกตัวจากกริชชัย อรุณศรีก็กลับเข้าบ้าน พอมาถึงบ้านแล้วไม่นานเท่าไหร่ก็มีโทรศัพท์จากสุพรรณิการ์ซึ่งเวลานั้นอยู่ในห้องทำงานชั้นบนของร้านสาดสุราโทรเข้ามือถือ อรุณศรีคุยโทรศัพท์ไปและล้างเครื่องสำอางไป เพื่อเตรียมตัวอาบน้ำ
“ฉันไม่รู้หรอก” อรุณศรีตอบสุพรรณิการ์
สุพรรณิการ์เดินไปคุยไป
“แกก็ลองทายมาสิว่าใครชวนฉันไปดูคอนเสิร์ต”
อรุณศรีวางมือจากการเช็ดหน้า พลางคิดนิดนึง ก่อนจะตอบแบบแอบลองเชิงเพื่อน
“คุณกริชชัย”
สุพรรณิการ์รีบบอกยิ้มๆ
“ม่ายช่าย”
อรุณศรีแอบโล่งอกนิดๆ อมยิ้มหน่อยๆ แล้วเก๊กเสียงถามต่อ
“ใคร “
“เดาสิ”
อรุณศรีทำหน้าเมื่อย
“ไม่เดา ขี้เกียจ รีบๆ บอกมาเลย ใครชวนแกไปดูคอนเสิร์ต”
สุพรรณิการ์ตอบพร้อมอมยิ้ม กรุ้มกริ่ม
“ร้อยตำรวจเอกวัชระ”
อรุณศรีนึกแปลกใจ
“คุณวัชเนี่ยนะ แต่คุณวัชเค้ามีแฟนแล้วไม่ใช่เหรอ”
สุพรรณิการ์ตอบสบายๆ ด้วยน้ำเสียงแบบไม่สนใจและไม่มีกังวล
“ใช่เค้ามีแฟน แต่เค้าไม่มีเพื่อนไปดูคอนเสิร์ตเค้าก็เลยชวนฉัน”
อรุณศรีถามน้ำเสียงกังวลนิดๆ
“แล้วแกจะไปหรือเปล่า”
“ไปสิ แค่ไปดูคอนเสิร์ตไม่เห็นต้องคิดมากเลย ฉันไม่ใช่แกนี่ คิดอยู่นั่นแหละ คิดจนผู้ชายดีๆจะหนีไปเป็นตุ๊ดแล้ว” สุพรรณิการ์แบบประชด
อรุณศรีขำ ทั้งที่ในใจออกจะหวาดๆ
“พอเลย... เรื่องคุณกริชกับฉัน เราเป็นแค่เพื่อนกัน วันนี้เค้ายังให้คำปรึกษาเรื่องปรานต์อยู่เลย เค้าบอกว่าถ้าฉันเห็นว่าดี..ก็น่าจะแต่งงาน”
สุพรรณิการ์เดินมานั่งที่ริมหน้าต่าง สุพรรณิการ์เลิกคิ้วด้วยความงง อรุณศรีพูดต่อ
“ถ้าเค้าชอบฉัน..เค้าคงไม่พูดแบบนี้ ฉันว่าแกเลิกแซวได้แล้ว ดูแลตัวเองให้ดีๆ เถอะ ไปดูคอนเสิร์ตกับแฟนคนอื่น ระวัง...คอนเสิร์ตจบ คนไม่จบ”
พูดแค่นั้นอรุณศรีก็วางสายทันที
เสียงสุพรรณิการ์โวยวาย
“เฮ้ย พูดงี้หมายความว่าไงหะ แอ๊ว..ยัยแอ๊ว..แอ๊ว”
สุพรรณิการ์วางสายตามอรุณศรีไป
“ทิ้งระเบิดแล้ววางไปเลยนะ หนอย”
หน้าวัชระแว่บเข้ามาในความคิดของสุพรรณิการ์ เธอสะบัดหน้าพยายามไล่ภาพให้ออกจากหัวและพยายามไม่คิดต่อ
“บ้า...เป็นไปไม่ได้ “
ลำเภายืนมองหน้าธีธัชที่ยืนหน้าเนียนๆ ในบริเวณบ้านตอนกลางคืนของวันเดียวกัน ลำเภาหันมาถามวัชระ
“เป็นไงมาไงเนี่ย”
วัชระพยักหน้ามาทางธีธัช
“มันอยากมาหาเภา” พูดจบวัชระเดินตรงเข้าห้องนอนไปทันที
ธีธัชสะดุ้ง
“เฮ้ย! ฉันบอกแล้วไง ฉันไม่ได้อยากมาหายัยเด็กบ๊อง แต่ฉันจะมาเอารถ”
ธีธัชพูดพลางหันมาทางลำเภา
“เอารถฉันคืนมา” พูดพลางยื่นมือมาเพื่อเอากุญแจรถ
“เอาคืนไป”
ลำเภาส่งกุญแจให้แต่โดยดี ธีธัชรับกุญแจมา ลำเภาไม่มีข้อแม้ใดๆ ต่างจากทุกครั้ง
“คืนกันง่ายๆ แบบนี้เนี่ยนะ” ธีธัชพึมพำ
“ใช่ ..ฉันเบื่อแกล้งมุกเดียวนานๆ เอาไว้แกล้งมุกใหม่ สะใจกว่า”
ลำเภาพูดสวนขึ้นแล้วยิ้มกวน ธีธัชปรายตามองด้วยความหมั่นไส้
วัชระเปลี่ยนจากกางเกงมาใส่ผ้าขนหนู แล้วก็เดินเข้าห้องน้ำในห้องนอน ที่อ่างล้างหน้า วัชระเอื้อมมือไปเปิดน้ำจะล้างมือ ปรากฏว่าน้ำไม่ไหล วัชระหันไปกดชักโครกก็ไม่มีน้ำ
ลำเภากับธีธัชยังคงยืนประจันหน้ากันอยู่
“ได้รถคืนแล้ว ทำไมยังไม่กลับ..อยากอยู่กับฉันนานๆ ล่ะสิ๊” ลำเภาเสียงสูงกวนประสาท
ธีธัชอ้าปากกำลังจะเถียง วัชระก็เดินออกมาจากห้องนอน ในชุดผ้าขนหนูครึ่งท่อน
“เภา..ห้องน้ำผม ใช้ไม่ได้ ท่อน้ำเป็นอะไรหรือเปล่า” วัชระถาม
“มันเสีย ลืมบอก คุณวัชใช้ห้องน้ำในห้องนอนเภาก่อนก็ได้”
ธีธัชชะงักและสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อเห็นวัชระนุ่งผ้าขนหนูปิดช่วงล่างไว้อย่างล่อแหลม
“โอเค” วัชระตอบ
วัชระเดินไปที่ห้องนอนลำเภาอย่างกันเอง ธีธัชมองตามด้วยความไม่พอใจ ลับหลังวัชระ ธีธัชหันกลับมาถามลำเภา
“ไอ้วัชมันใส่ผ้าขนหนูเดินไปเดินมาในบ้านเธอแบบนี้ทุกวันเหรอ แล้วเธอก็ให้มันเข้าไปในห้องนอนเธอเนี่ยนะ”
“หึงอ่ะดิ๊” ลำเภาถามกวน
ธีธัชชะงัก แต่ไม่ยอมรับ
“หึงบ้าอะไร ฉันเป็นห่วงเพื่อน เกิดแหนมสะกดรอยตามมาที่นี่ แล้วเห็นมันใส่ผ้าขนหนูเดินเข้าห้องเธอ มีหวังไอ้วัชมันตายแน่ๆ”
ลำเภายิ้มกริ่ม..ไม่เชื่อ แล้วก็พูดลอยๆ อย่างรู้ทันธีธัช
“ข้ออ้าง”
“ฉันไม่ได้อ้าง…ฉันพูดความจริง” ธีธัชยังเถียงอย่างหน้าดำคร่ำเครียด
หลังอาบน้ำและทำธุระส่วนตัวเรียบร้อย วัชระเดินออกมาจากห้องน้ำภายในห้องลำเภา เป็นต่อกับพอใจยืนขวางพร้อมทำเสียงขู่ในลำคอ วัชระถึงกับสะดุ้ง
“เฮ้ย”
เป็นต่อกับพอใจกระหน่ำเห่าด้วยเสียงอย่างหมาเล็กใส่วัชระอย่างเอาจริง
ลำเภากับธีธัชหันตามเสียงเห่าที่ห้องนอนลำเภา เสียงวัชระก็ดังขึ้น
“เห่าอะไร นี่ป๊ะป๋าไงจำไม่ได้เหรอ” วัชระพูดกับเป็นต่อกับพอใจ
ธีธัชได้ยินที่วัชระพูดถึงกับหน้าเหวอ เสียงเห่าเงียบหายไป กลายเป็นเสียงครางหงิงหงิงตามประสาหมาเล็ก
“ดีมาก...เดี๋ยวป๊ะป๋าเกาหลังให้ เป็นรางวัล” เสียงวัชระดังเล็ดลอดออกมาจากในห้อง
ตามด้วยเสียงเป็นต่อกับพอใจเห่ารับอย่างเข้าใจในคำพูดของวัชระ ธีธัชถึงกับอึ้งไป
“ป๊ะป๋า” ธีธัชพึมพำเบาๆ
ลำเภายื่นหน้าเข้ามา อย่างรู้ทันว่าธีธัชคิดอะไรอยู่
“ใช่...ก็เป็นต่อกับพอใจ มีฉันเป็นหม่ามี๊ คุณวัชมาอยู่ที่นี่ประจำก็ต้องเป็นป๊ะป๋า .. ป๊ะป๋ากับหม่ามี๊..น่ารักดีออก” ลำเภายิ้มอย่างหน้าชื่น
ธีธัชหันมามองหน้าแล้วก็ปรายตาอย่างดูถูก
“ปัญญาอ่อน” ธีธัชประชดเพราะความหึงหวง ลำเภามองธีธัชด้วยแววตาไม่พอใจ
“อิจฉาล่ะสิ” ลำเภาพูดแทงใจดำธีธัช
ธีธัชไม่ตอบแต่เดินมาหย่อนก้นลงนั่งที่โซฟายาว
“คืนนี้ฉันจะนอนที่นี่ เพราะขี้เกียจขับรถกลับบ้าน” ธีธัชประกาศต่อหน้าลำเภา
“อ้าว..เนียน .. นี่บ้านฉันไม่ใช่โรงแรมนะ ใครนึกอยากจะนอนก็ได้นอน”
“ฉันก็ไม่อยากจะนอนหรอกนะ ถ้าเธอไม่ขโมยรถฉันไปเมื่อเช้า คืนนี้ฉันก็ไม่ต้องมาหาเธอ และตอนนี้มันก็ดึกเกินไปแล้ว ฉันไม่อยากขับรถกลับบ้านดึกดื่นๆ มันอันตราย”
ธีธัชยักคิ้วกวนๆ แล้วก็หันไปเปิดทีวี พร้อมกับกดไล่หาช่องแฟชั่นทีวี
ลำเภากอดอกเชิดหน้าพูดอย่างรู้ทัน
“จะอยู่กันท่า ก็บอกมาเหอะ”
“ใช่..เพราะฉันไม่ไว้ใจเธอ กลัวว่าเธอจะปล้ำไอ้วัช แต่ฉันไว้ใจไอ้วัช เพราะฉันรู้ว่าอย่างเธอ..มันไม่เอา”
ธีธัชพูดด้วยความสะใจ ลำเภาได้แต่กัดฟันกรอด
วัชระเดินออกมาจากห้องนอนลำเภาจรงไปยังห้องครัวในชุดผ้าขนหนูครึ่งท่อนเหมือนเดิม วัชระเดินมาเกาก้นตัวเองไปด้วยอย่างไม่เคอะเขิน ลำเภาหันไปเห็นพอดี ถึงกับเบ้หน้าคิดในใจว่า ไม่มีมาดผู้กองเหลือติดตัวอยู่เลย
“ยังกะเพื่อนตัวเอง...น่าเอาตาย” ลำเภาพูดเปรยเบาๆ เมื่อนึกถึงธีธัชพูดสบประมาทไว้เมื่อครู่
วัชระชะโงกหน้าลงไปในหม้ออาหารใบเล็กๆ ที่ตั้งอยู่
“ของเป็นต่อกะพอใจใช่ป่ะ”
“อือ” ลำเภาตอบพลางพยักหน้า
“พี่ขอกินหน่อยนะ...หิว”
ลำเภายังไม่ทันจะอ้าปาก ธีธัชสวนขึ้นทันที
“แกจะกินอาหารหมา”
“เฮ้ย…เภาเค้าทำสะอาด ฉันเห็นเค้าทำเหมือนอาหารคนเลย กินได้สบายมาก ตอนแรกฉันก็ไม่กล้ากิน แต่ฉันเห็นเภาทำไปชิมไป ก็เลยคิดว่าน่าจะกินได้” วัชระพูดพลางพูดไปตักใส่ถ้วยและตักกินก่อนจะหันมาทางลำเภา
“เภาอร่อยดี พี่ชอบ คราวหน้าทำเผื่อพี่ด้วยนะ” วัชระพูดพลางหันมายิ้มกับลำเภา
ลำเภาอ้าปากจะพูดอีกแต่ไม่ทัน เพราะวัชระหันไปเห็นว่า ธีธัชเปิดช่องแฟชั่นทีวีอยู่ก็ตะโกนสวนขึ้นมา
“เฮ้ย ไอ้ธี ช่องนี้เลย”
วัชระก็เดินถือถ้วยใส่อาหารหมา พุ่งผ่านหน้าลำเภาไปนั่งข้างๆ ธีธัช
“แฟชั่นทีวี”
“แกเคยดูหลังเที่ยงคืนป่ะ” ธีธัชถาม
“โต้รุ่งมาแล้ว” วัชระบอก
“เป็นไง”
“ทะลุจอ”
ทั้งวัชระ ธีธัช หัวเราะร่วนด้วยน้ำเสียงสุดหื่น ลำเภาถึงกับส่ายหน้า
“ผู้หญิงพวกนั้น ชอบไอ้ผู้ชาย สองคนนี้ได้ไงเนี่ย..ไม่เข้าใจจริงๆ”
ลำเภาส่ายหน้าแล้วหันหลังเดินไปห้องอย่างเอือมระอา
ลำเภาค่อยๆเดินห่างจากสองหนุ่ม วัชระกำลังอยู่ในชุดผ้าขนหนูครึ่งท่อน ถือถ้วยอาหารหมา
และดูแฟชั่นทีวีตาเป็นมัน ส่วนธีธัชก็นั่งดูทีวี เอาเท้าพาดโต๊ะอย่างไม่สำรวม ในมือถือโทรศัพท์กดแชทกับ
สาวไปด้วย ดูแฟชั่นทีวีไปด้วยอาการหื่นพอกัน
ลำเภาถอนหายใจ คิดถึงสุภาษิตจีนบทหนึ่งที่ว่า
“บนโลกมีผู้ชายที่เพียบพร้อมและแสนดีอยู่เพียงสองคน...คนนึงตายไปแล้ว และอีกคน...ยังไม่เกิด”
อ่านต่อหน้าที่ 2
สามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 17 (ต่อ)
คืนเดียวกัน กรกนกกำลังผสมเครื่องดื่มค็อกเทลและส่งให้เด็กเสิร์ฟในร้านสาดสุรา ระหว่างนั้นมือถือของเธอก็มีเสียงข้อความเข้า พร้อมกับไฟวาบขึ้น กรกนกหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดอ่าน
“คืนนี้ไม่กลับนะจ๊ะ นอนบ้านยัยเด็กบ๊อง”
กรกนกอ่านแล้วถึงกับหน้าเสีย..เสียงเพลงในร้านเป็นเพลงเศร้าพอดี กรกนกกระพริบตาถี่ๆ..ไม่อยากร้องไห้ออกมาตอนนี้ พยายามกลั้นไว้ และหยิบโทรศัพท์มากดขึ้นสเตตัสในเฟซบุ๊คตัวเอง
“เบื่อออออ..!!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงเตือนว่ามีคนเข้ามาคอมเม้นท์ กรกนกหยิบมาเปิดอ่าน ที่แท้โอบบุญเข้ามาคอมเม้นท์ว่า “จะทำของอร่อยๆ ไปให้นะครับ อยู่ที่ร้านเปล่า”
กรกนกยิ้มนิดๆ แล้วก็พิมพ์กลับไป
“กินของอร่อยไม่ได้ทำให้หายเบื่อนะคะ ?”
โอบบุญอยู่ที่บ้านกดอ่านข้อความที่กรกนกส่งมาแล้วก็อมยิ้ม พิมพ์กลับไป
“แต่อย่างน้อยก็เบื่อแบบไม่หิวนะครับ”
กรกนกกดอ่านแล้วก็ยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม...กรกนกกดพิมพ์ตอบกลับไป
“ขอบคุณค่ะ”
โอบบุญกดอ่าน แล้วยืนยิ้มอยู่คนเดียวดีใจที่กรกนกไม่ได้ปฎิเสธ โอบบุญรีบเดินไปในครัว แล้วก็เปิดตู้เย็นหยิบวัตถุดิบ หยิบกระทะเตรียมทำอาหารไปให้กรกนก
กรกนกยืนอยู่ในร้าน...อมยิ้มนิดๆ.. เสียงเพลงค่อยๆ ดังขึ้น
“อาจจะเป็นคนนี้ ที่เราเฝ้าคอยไขว่คว้า ที่เราคอยมองหา ที่คงไม่ทำให้เราช้ำใจ อาจจะเป็นคนนี้ ที่ใจจะไม่โหดร้าย เกินไป หวังว่าใจ เค้าคงดี”
กรกนกยืนยิ้ม เป็นความรู้สึกดีๆ ที่ทำให้คืนสุดเหงาของเธอคืนนี้..เศร้าน้อยลง
เช้าวันต่อมา เด็กในร้านเครื่องเสียงกำลังเล่นเพลง “อาจจะเป็นคนนี้” ในขณะที่ปรานต์เดินเข้ามาในร้านด้วยความหงุดหงิด
“เบาๆ หน่อย ดังไปแล้ว” ปรานต์บอกลูกน้อง
ลูกน้องรีบหรี่เสียงเพลงเบาลงทันที
ปรานต์เดินหงุดหงิดเข้าไปที่ห้องทำงานแล้วโยนกระเป๋างานและกุญแจรถลงบนโต๊ะแล้วก็เดินมานั่งด้วยความเซ็ง
ปรานต์หยิบโทรศัพท์มือถือมาโทร.หาอรุณศรี
เสียงอรุณศรีผ่านมาที่เครื่องของปรานต์
“ตอนนี้แอ๊วรับสายไม่ได้ รบกวนฝากข้อความไว้นะคะ ขอบคุณค่ะ”
ปรานต์กดโทรศัพท์ทิ้งด้วยความหงุดหงิด
“ทำไมไม่รับ กกอยู่กับไอ้ซื่อบื้อล่ะสิ” ปรานต์พูดพลางกัดฟันด้วยความแค้น
ทันใดนั้นเสียงของเกียวก็ดังขึ้น
“คิดอะไรอยู่จ๊ะ...หน้าเครียดจังเลย”
ปรานต์สะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นเกียวยืนอยู่ ปรานต์รีบพยายามทำหน้าให้เป็นปกติ
“ก็...เรื่องงานน่ะครับ”
“โถๆๆๆ..น่าสงสารที่สุด.. พี่มีวิธีช่วยคลายเครียดนะ...สนใจหรือเปล่า” เกียวยิ้มหวานและรีบเดินมาโอบไหล่ปรานต์
ปรานต์มองหน้า แล้วก็ยิ้มรับแทนคำตอบ
เกียวเดินนำปรานต์เข้ามา เมื่อประตูคอนโดฯ ถูกเปิดออก เผยให้เห็นห้องขนาดไม่กว้างใหญ่มาก และตบแต่งแบบง่ายๆ ไม่หรูหราแต่น่าอยู่ทีเดียว
“เข้ามาเลยจ้ะ” เกียวเชื้อเชิญ
ปรานต์มองไปรอบๆ ห้องพักในคอนโดอย่างงงๆ
“คอนโดฯใครครับ”
“ชอบมั้ยล่ะ”
“ชอบครับ..สวยดี วิวก็ดี”
“ชอบงั้นก็ย้ายเข้ามาอยู่เลยนะ”
ปรานต์เลิกคิ้วอย่างสงสัย
“ย้ายมาอยู่ที่นี่”
ปรานต์ขมวดคิ้วไม่เข้าใจ
“คืองี้..เพื่อนพี่เค้าขี้เกียจเก็บค่าเช่า เค้าก็เลยปล่อยขาย พี่ก็เลยว่าจะซื้อไว้ เวลามากรุงเทพฯจะได้ไม่ต้องไปนอนโรงแรม พี่ไม่ค่อยชอบ เวลาเจอกับปรานต์ที่โรงแรมทีไร รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเมียน้อยหรือเป็นกิ๊กไงไม่รู้”
ปรานต์สะดุ้ง เกียวไม่ทันสังเกตพูดต่อประสาซื่อ
“พี่ก็เลยอยากมีพื้นที่ส่วนตัวของเราสองคน ตอนนี้ปรานต์ก็เช่า อพาร์ทเม้นท์อยู่คนเดียว พ่อแม่ก็เสียไปหมดแล้ว ย้ายมาอยู่กับพี่ที่นี่แหละ มาอยู่ด้วยกันนะ”
ปรานต์อึกอักกังวลว่าอรุณศรีจะรู้
“มันจะดีเหรอครับ ห้องนี้เป็นห้องพี่...ถ้าผมย้ายมาอยู่ด้วย เหมือนผมเกาะพี่กินยังไงไม่รู้ ถ้ามันเป็นห้องผม ผมซื้อเองก็ว่าไปอย่าง”
เกียวยื่นข้อเสนอทันที
“งั้นเอางี้...พี่จะใส่ชื่อปรานต์เป็นเจ้าของห้อง แล้วเราก็ทำสัญญากู้เงิน ปรานต์ก็ผ่อนให้พี่เป็นเดือนเหมือนจ่ายค่าเช่า พอจ่ายหมดห้องก็จะเป็นของปรานต์โดยสมบูรณ์”
ปรานต์ถึงกับอึ้งคิดไม่ถึง
“พี่ทุ่มเทกับผมขนาดนี้เลยเหรอครับเนี่ย”
“ถามแปลกๆ ก็ปรานต์เป็นแฟนพี่...พี่ก็ต้องเต็มที่อยู่แล้ว คนอย่างพี่...ให้ได้ทุกอย่าง ขออย่างเดียว … “รักพี่ให้มากๆ” แค่นั้นก็พอ”
ปรานต์ยิ้มรับด้วยความพอใจ
“ไม่ต้องห่วงครับ…ผมจะรักพี่ให้มากกว่าที่พี่รักผม” ปรานต์ป้อใส่เกียวทันที
เกียวยิ้มเชื่อ ปรานต์หอมแก้มเกียวเป็นการยืนยัน แล้วก็ดึงเกียวเข้ามากอด เกียวยิ้มอย่างมีความสุข ขณะที่รอยยิ้มของปรานต์ฉาบและฉายแววระดับเจ้าเล่ห์ชั้นเซียน
ตอนกลางวันอีก 2-3 วันต่อมา เนตรนภัสโพล่งใส่โทรศัพท์ด้วยความฉุนเฉียว ภายในห้องรับแขกที่บ้าน ปลายสายเป็นแวว มารดาวัชระ
“วัชไม่อยู่อีกแล้วเหรอคะ แล้วเค้าได้บอกคุณแม่เรื่องการ์ดแต่งงานที่แหนมเอาไปให้หรือเปล่าคะ ... ไม่ได้บอก”
เนตรนภัสอารมณ์เสียทันที
สีรุ้งกับนรีวรรณอยู่ในชุดเตรียมไปงาน สองคนเดินมาถึงหน้าห้องรับแขก เสียงเนตรนภัสโวยวายดังออกมา
“แล้วทำไมวัชถึงไม่บอกอะไรไว้เลย แหนมรออยู่นะคะ โรงพิมพ์เค้าก็รออยู่ ทุกคนเค้ารออยู่ วัชรู้บ้างหรือเปล่า”
สีรุ้งส่ายหน้า ส่วนนรีวรรณถอนใจเบื่อๆกับว่าที่บ่าวสาวคู่นี้
เนตรนภัสยังคงโวยวายอย่างต่อเนื่อง
“คุณแม่บอกให้วัชรีบติดต่อหาแหนมเร็วที่สุด ถ้าแหนมหมดความอดทน แหนมจะออกตามล่าหาวัชเอง”
เมื่อเนตรนภัสวางสายจากแววไปแล้ว สีรุ้งกับนรีวรรณก็เดินเข้ามาเข้าห้องรับแขก
“เรื่องนายวัชระนี่ยังไม่จบอีกเหรอแหนม”
“มันจะจบก็ต่อเมื่อ แหนมกับวัชแต่งงานกัน ถ้ายังไม่ได้แต่ง..ก็อย่าหวังว่ามันจะจบ”
สีรุ้งถอนใจ ด้วยความจนปัญญา นรีวรรณส่ายหน้าแล้วก็หันมาทางสีรุ้ง
“แม่คะ..เรารีบไปกันเถอะ เดี๋ยวไม่ทันดูคอนเสิร์ต ถึงเราพูดไปก็เปลืองน้ำลาย คนแถวนี้เค้าไม่ฟังเราหรอกค่ะ”
เนตรนภัสหันขวับและพูดประชดใส่ทันที
“รู้ก็ดี”
นรีวรรณส่ายหน้าเหนื่อยหน่าย แล้วก็จูงมือสีรุ้งไป
เนตรนภัสยังหมกหมุ่นอยู่กับเรื่องของวัชระอยู่ในห้องรับแขกของบ้านตัวเอง
“วัชนะวัช..หายหัวไปไหนของเค้าอีกเนี่ย๐
เนตรนภัสยิ่งคิดยิ่งแค้นในตัววัชระเป็นอย่างมาก
วัชระลองทาบเสื้อตัวโน้นทีตัวนี้ที เปลี่ยนกางเกงไปมายู่หน้ากระจกภายในห้องส่วนตัวที่บ้านลำเภา ซึ่งในที่สุดวัชระมาลงตัวในชุดที่ดูกึ่งลำลองกึ่งทางการ ดูเก๋แปลกตาไปจากมาดผู้กองสุดเซอร์ วันนี้เขามีนัดหมายเพื่อที่จะไปดูคอนเสิร์ตสุนทราภรณ์
ลำเภาวางอาหารไว้ให้เป็นต่อกับพอใจ พร้อมกับเรียก
“เป็นต่อ พอใจ รีบมากินเร็ว ก่อนจะโดน “คน” แย่ง มากิน เร็ว”
เป็นต่อกับพอใจวิ่งต้วมเตี้ยมอย่างหมาเล็กมาที่จานอาหารแล้วก็กินอย่างเอร็ดอร่อย วัชระแต่งตัวหล่อเดินออกมาจากห้องพอดี เป็นต่อกับพอใจหันขวับไป พร้อมกับแยกเขี้ยวใส่ เพราะกลัววัชระแย่งกินข้าว
“วันนี้ฉันไม่แย่งหรอกน่า...กินไปตามสบาย” วัชระพูดอย่างรู้ทัน
ลำเภาเห็นมาดหล่อของวัชระจึงรู้สึกแปลกใจ
“จะหล่อไปไหนคะ”
“หล่อไปดูคอนเสิร์ต” วัชระยิ้ม
“คอนเสิร์ตอะไร”
วัชระพูดพลางชูบัตร
“สุนทราภรณ์”
ลำเภาทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ
“คุณวัชเนี่ยนะ ดูสุนทราภรณ์ ดูรู้เรื่องเหรอคะ”
“นี่...คอนเสิร์ตนะไม่ใช่สัมมนาวิชาการ จะได้ไม่รู้เรื่อง และอีกอย่าง...ผมน่ะแฟนพันธุ์แท้นะครับ ฟังมาตั้งแต่เด็ก”
ลำเภาพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ พลางสังเกตเห็นว่า บัตรคอนเสิร์ตที่วัชระชูในมือนั้นมีอยู่ 2 ใบ
“ไม่น่าเชื่อ…ทำไมมีบัตรสองใบ คุณวัชจะไปดูกับใคร”
วัชระสะดุดนิดๆ แล้วก็อมยิ้ม
“เพื่อนน่ะ ...ไปก่อนนะ กลัวรถติด” วัชระพูดตัดบท
วัชระรีบเดินไปโดยไม่ยอมบอกว่าไปดูกับใคร ลำเภาได้แต่มองตามด้วยความสงสัย
“ท่าทางมีพิรุธ…ไปดูกับใครกันแน่”
เป็นจังหวะเดียวกับที่โทรศัพท์มือถือลำเภาดังขึ้น ลำเภาหยิบขึ้นมาดู
“นายหมาใหญ่!”
ธีธัชเดินคุยโทรศัพท์ด้วยอาการแอบร้อนใจ แต่พยายามไม่แสดงออกมา
“อยู่กับไอ้วัชหรือเปล่า” ธีธัชถามขึ้นอย่างมีฟอร์ม
“ฉันจะอยู่หรือไม่อยู่กับใคร นายจะอยากรู้ไปทำไม” ลำเภาตอบกวนๆ
“ที่ฉันถาม เพราะฉันมีเรื่องจะคุยกับมัน แต่..ติดต่อมันไม่ได้ โทร.เข้ามือถือไม่ติด ฉันก็เลย “จำใจ” ต้องโทร.หาเธอ” ธีธัชว่า แต่ลำเภาเบ้ปากไม่อยากจะเชื่อ
ธีธัชรีบเข้าเรื่องทันที
“เห็นมันบอกว่าจะไปดูคอนเสิร์ตสุนทราภรณ์กับเธอ ตอนนี้ออกจากบ้านกันมาหรือยัง”
ลำเภาตอบกลับเสียงนิ่งๆ
“โธ่..ที่แท้ก็อยากรู้ว่าฉันจะไปดูคอนเสิร์ตกับคุณวัชหรือเปล่า แล้วมาทำเป็นฟอร์มโทร.ไม่ติด อ่อนอ่ะ”
ธีธัชชักสีหน้ารีบแก้ตัวทันที
“ใคร...ใครฟอร์ม คิดเข้าข้างตัวเองมากไปแล้ว ยัยหนูตะเภา เธอจะไปหรือไม่ไปฉันไม่เห็นจะอยากรู้เลย” ธีธัชเริ่มอาการหงุดหงิด
ลำเภายิ้มพอใจ
“ยิ่งแก้ตัว ก็ยิ่งมัดตัวเอง... นี่ฉันจะบอกให้สบายใจ ฉันไม่ได้ไปดูคอนเสิร์ตกับคุณวัช เพราะเค้าไม่ได้ชวน ถึงเค้าชวน ฉันก็ไม่ไป”
ธีธัชฟังแล้วก็เผลอยิ้ม ลำเภาพูดดักคออย่างรู้ทัน
“กำลังยิ้มสบายใจอยู่อ่ะดิ”
ธีธัชสะดุ้ง ไม่คิดว่า ลำเภาจะเป็นนกรู้จึง รีบทำเก๊กเสียงเข้มทันที
“ใครยิ้ม ฉันจะต้องยิ้มทำไม ฉันไม่เห็นจะ “แคร์” ตกลงว่าเธอไม่ได้อยู่กับไอ้วัชใช่มั้ย ฉันจะได้วางหู คุยกับเธอนี่มันไม่ได้เรื่องได้ราวจริงๆ เสียเวลา...แค่นี้นะ”
ธีธัชแกล้งทำเสียงหงุดหงิดใส่ลำเภาแล้ววางสายไป แล้วยิ้มอย่างสบายใจที่วัชระไม่ได้ไปดูคอนเสิร์ตกับลำเภา
ลำเภาวางสายตามธีธัชไปพร้อมกับอมยิ้มอย่างรู้ทัน
“โธ่เอ๊ย...ฟอร์มหมาใหญ่”
ฝ่ายธีธัชเมื่ออยู่คนเดียวก็เริ่มคิดสงสัยไปอีกว่า
“ถ้าไอ้วัชไม่ได้ไปกับเภา..แล้วมันไปกับใคร”
เวลาเย็นหลังเลิกงานกริชชัยและธีธัชยืนคุยกันอยู่ในคอนโด กริชชัยกำลังร่างภาพตอนนั่งกินก๋วยเตี๋ยวกับอรุณศรี กริชชัยตอบธีธัชอย่างมั่นใจ
“ไม่ใช่ฉัน!! และฉันก็ไม่รู้ว่ามันไปกับใคร”
“นั่นสิ…มันไปกับใครวะ .. ยัยแหนมไม่ใช่แน่ๆ แม่ก็ไม่ใช่ เภาก็ไม่ใช่… แกกับฉันก็ไม่ใช่ แล้วมันไปกับใครวะ”
ธีธัชคิดนิ่ง..ด้วยความอยากรู้
เสียงเพลง “สุขกันเถอะเรา” ที่หน้างานคอนเสิร์ตสุนทราภรณ์กำลังคึกคัก วัชระยืนหล่ออยู่มุมหนึ่งส่งสายตามองหาสุพรรณิการ์ซึ่งนัดหมายไว้แล้ว เมื่อวัชระกวาดสายตาไปรอบๆ พลันสายตาก็พบกับสุพรรณิการ์ที่กำลังเดินมาด้วยชุดสวยเซ็กซี่ สุพรรณิการ์มองมายิ้มอย่างพอใจ
แล้วทันใดนั้น..สุพรรณิการ์ก็สะดุดพลั่ก !! ส้นสูงเธอพลิก หน้าแทบจะทิ่มล้มคะมำลงพื้น วัชระนึกขำ สุพรรณิการ์รีบลุกขึ้นอย่างเสียฟอร์ม แล้วก็รีบเดินก้มหน้าก้มตามาหาวัชระอย่างอาย
พอมาถึงที่วัชระยืนอยู่ สุพรรณิการ์ใช้กระเป๋าฟาดลงที่แขนวัชระทีหนึ่ง วัชระสะดุ้ง
“เอ้ย..คุณ มาตีผมทำไม”
“แล้วคุณขำอะไร แค่เดินสะดุดแค่นี้ ขำซะยังกะฉันเดินแก้ผ้ามางั้นแหละ”
วัชระขำต่ออีก
“ก็มันฮานี่...อุตส่าห์เดินมาซะอย่างสวย ไม่น่าเล้ย”
สุพรรณิการ์ยิ้มกริ่ม
“พูดแบบนี้ แสดงว่า...ยอมรับว่าฉันสวย”
“อือ..ก็สวยดีนะ”
“โอเค ฉันต้องการแค่นี้แหละ กลับบ้านแล้วนะ”
สุพรรณิการ์หันหลังจะกลับบ้านจริงๆ วัชระรีบร้องขึ้น
“อ้าว เฮ้ย ได้ไงคุณ แล้วคอนเสิร์ตล่ะ ไม่ดูเหรอ”
“ล้อเล่น” สุพรรณิการ์หันมาทำหน้ากวนยิ้มสดใส)
“ดูสิ ถ้าไม่ดู ฉันไม่มาให้เสียเวลาหรอก” สุพรรณิการ์พูดต่อ
“แล้วไป..งั้นเราเข้าไปเลยนะ คอนเสิร์ตจะเริ่มแล้ว” วัชระยิ้มโล่งอก
สุพรรณิการ์พยักหน้ายิ้มรับ ทั้งวัชระและสุพรรณิการ์เดินเข้าไปในคอนเสิร์ตอย่างมีความสุข
วัชระกับสุพรรณิการ์เดินเคียงคู่กันมา บรรดาผู้ใหญ่รุ่นลุง ป้า น้า อา หันมามองด้วยความชื่น
ชม สีรุ้งและนรีวรรณเดินมาทางด้านหลังวัชระและสุพรรณิการ์ นรีวรรณเห็นก่อนถึงกับช็อก
“คุ..คุณแม่คะ..ดูโน่น”
สีรุ้งหันไปตามที่นรีวรรณชี้
“นายวัชระกับ...ผู้หญิงอีกแล้วเหรอ ใช่คนที่อุ้มหมาหรือเปล่านุ้ย” สีรุ้งถาม
“ไม่ใช่ค่ะ ทั้งรูปร่าง หน้าตา การแต่งตัว ไม่ใช่ชัวร์ค่ะ นุ้ยจะไปฟ้องพี่แหนม” นรีวรรณพูดพลางเชิดหน้า
“นุ้ย...แม่ขอร้อง อย่าไปบอกพี่เค้าเลยนะ”
“แม่จะปิดพี่แหนมเหรอคะ”
“แค่นี้พี่เค้าก็เสียใจจะแย่อยู่แล้ว ถ้ารู้ว่านายวัชระมากับผู้หญิงคนใหม่อีก มีหวังบ้านแตกแน่ๆ
“แต่นุ้ยอยากให้บอก คุณแม่ไม่กล้า นุ้ยบอกเองก็ได้ พี่แหนมจะได้ตาสว่าง สักที”
“เฮ่อ...ตามใจ อยากจะบอกก็บอก ไปบอกตอนนี้เลยก็แล้วกัน แม่ไม่มีอารมณ์จะดูคอนเสิร์ตแล้ว เฮ่อ..เสียฤกษ์จริงๆ เจอหลังคอนเสิร์ตก็ไม่ได้ ไป กลับบ้าน”
สีรุ้งพูดจบก็สะบัดหน้าเดินหันหลังกลับไปเลย นรีวรรณยืนมองวัชระและสุพรรณิการ์ด้วยความหมั่นไส้
นรีวรรณดูมือถือตัวเองแล้วก็บ่น
“เสียดายไม่น่าแชทจนแบตหมดเลย อดถ่ายรูปไปให้พี่แหนมดูเลย”
นรีวรรณบ่นเสร็จแล้วก็รีบเดินตามสีรุ้งไป ส่วนวัชระและสุพรรณิการ์เดินหายเข้าไปในฮอลล์แสดงคอนเสิร์ตสุนทราภรณ์
บนเวทีการแสดงเริ่มต้นอย่างสนุกสนาน วัชระและสุพรรณิการ์นั่งดื่มด่ำไปกับเสียงเพลงสุดแสนคลาสสิก สวยงามและระรื่นหูอย่างมีความสุข ร้องตามในบางเพลง
จนมาถึงบทเพลง “พรหมลิขิต” วัชระแอบมองมาทางสุพรรณิการ์ พอสุพรรณิการ์รู้สึกตัวและหันมาวัชระก็รีบหันหน้าหนี สุพรรณิการ์ชะงักก่อนอมยิ้ม
สุพรรณิการ์และวัชระรู้สึกแปลก แต่เป็นความรู้สึกดีๆ อีกบทหนึ่งที่เริ่มต้นระหว่างเขาและเธอ
เราสองคนต้องเป็นเนื้อคู่ จึงชื่นชูรักใครบูชา
นี่เพราะว่าบุญหนุนพา พรหมลิขิตขีดเส้นมา ชี้ชะตาให้มาร่วมกัน
นรีวรรณ ยืนฟ้องเนตรนภัสที่นั่งโกรธหน้าแดงก่ำอยู่กลางห้องรับแขก สีรุ้งนั่งอยู่อีกฝั่งด้วยความเป็นห่วง
“แน่ใจนะว่าไม่ผิดคน” เนตรนภัสถามย้ำ
“พี่วัชน่ะไม่ผิดแน่ แค่เห็นหนวดก็จำได้แล้ว แต่ผู้หญิงเนี่ยไม่รู้ว่าใคร” นรีวรรณว่า
“ไม่ใช่ยัยเด็กบ้า ที่ไปเดินอุ้มหมากันคราวก่อนเหรอ”
“ไม่ใช่ คนละคน คนละสไตล์เลย เออ...จะว่าไป นุ้ยก็ชักจะรู้สึกว่าพี่แหนมกับพี่วัช ไม่น่าจะแต่งงานกันเลยนะเนี่ย” นรีวรรณพูดไปเรื่อย
“นังนุ้ย แกพูดแบบนี้หมายความว่าไง” เนตรนภัสเริ่มปรี๊ด
“ก็ทั้งสองคนรสนิยมต่างกันสุดขั้ว พี่แหนมเกลียดหมา พี่วัชก็ดันไปเดินอุ้มหมากับผู้หญิงอื่น พี่แหนมฟังแต่เพลงฝรั่ง ไม่ฟังเพลงไทย ยิ่งเพลงเก่าๆ ยิ่งไม่อยู่ใกล้ พี่วัชก็ดันไปดูคอนเสิร์ตสุนทรภรณ์กับผู้หญิงอื่น..เฮ่อ..นุ้ยว่า..เลิกกันไปเหอะ” ถึงนรีวรรณจะแจกแจงอย่างมีเหตุผล แต่...
“อีเด็กบ้า หุบปากไปเลยนะ” เนตรนภัสโมโหสุดขีด
“ก็นุ้ยพูดความจริงนี่ แล้วจะบอกให้นะ ผู้หญิงที่เจอวันนี้ ทั้งสวย ทั้งหุ่นดี ดูจากเสื้อผ้าหน้าผมและกระเป๋าที่ถือ ดูท่าทางจะรวยพอตัว บางทีที่พี่วัชไม่อยากแต่งงานกับพี่แหนม ก็เพราะกำลังคบอยู่กับผู้หญิงคนนี้ก็ได้” นรีวรรณยังไม่ยอมหยุด
“ไม่จริง เป็นไปไม่ได้ มันไม่จริง แกโกหกฉัน เพราะแกอิจฉาฉัน แกหาแฟนไม่ได้เลยไม่อยากให้ฉันแต่งงาน อยากให้ฉันขึ้นคานอยู่กับแกใช่มั้ย นังนุ้ย” กลายเป็นน้องสาวผิดออีก
สีรุ้งซึ่งนิ่งฟังเนตรนภัสกับนรีวรรณโต้เถียงกันไปมา จนทนฟังไม่ได้ ต้องรีบปราม
“แหนม...พอได้แล้วลูก น้องไม่ได้โกหกแม่เองก็เห็นกับตา นายวัชระเค้าไปกับคนอื่นจริงๆ”
“แม่ไม่เห็นด้วยที่แหนมจะเกรี้ยวกราดใส่นุ้ย..น้องพูดด้วยความหวังดี แม่ว่า…สิ่งที่แหนมควรทำคือ รับรู้ความจริง และพยายามทำใจยอมรับมันให้ได้ ผู้ชายถ้าเค้าไปจากเราแล้ว ไม่ใช่ว่าจะกลับมาง่ายๆ ถ้าเค้าหมดใจก็ปล่อยเค้าไปเถอะลูก”
นรีวรรณพยักหน้าเห็นด้วยกับสีรุ้ง
“ไม่ได้ค่ะแม่ แหนมไม่ยอมแพ้นังผู้หญิงคนนั้น ไม่ว่ามันเป็นใคร มันจะมาแย่งวัชไปจากแหนมไม่ได้” เนตรนภัสดึงดันที่จะไม่ยอม
สีรุ้งถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจที่โอ้โลมปฏิโลมเท่าไหร่เนตรนภัสก็ยังดึงดันที่จะแต่งงานกับวัชระให้ได้ นรีวรรณเบือนหน้าหนี..ด้วยความเอือมพี่สาว
เนตรนภัสเชิดหน้าอย่างไม่ยอมแพ้ แววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความเกลียด เคียดแค้น และชิงชัง
อ่านต่อหน้า 3
สามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 17 (ต่อ)
การแสดงคอนเสิร์ตสุนทราภรณ์จบลงแล้ว ผู้คนพากันทยอยเดินออกมาจากฮอลล์ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุข จนเมื่อคนเริ่มซาสุพรรณิการ์และวัชระก็เดินตามหลังออกมา
“คุณจอดรถไว้ที่ไหน” วัชระถาม
สุพรรณิการ์ชี้ไปทางซ้ายพลางตอบ
“ลานจอดรถด้านโน้น คุณล่ะ”
ส่วนวัชระชี้ไปทางขวา
“ทางโน้น...เดี๋ยวผมเดินไปส่งคุณที่รถ” วัชระตั้งท่าจะไป
“โอ้ย..ไม่เป็นไรหรอก ฉันเดินไปเองได้ ไม่มีใครกล้าทำอะไรหรอก ถ้าทำฉันอัดมันแน่” สุพรรณิการ์รีบบอกทันที
วัชระยิ้มขำแล้วก็พยักหน้ารับรู้
“เชื่อว่ากล้า”
“แน่นอน คนอย่างนังฝ้าย กลัวใครที่ไหน” สุพรรณิการ์หันมามาทำหน้าตาดุใส่วัชระ
วัชระผงะเล็กน้อย
“อะไร จะหาเรื่องด่าอะไรผมอีก”
สุพรรณิการ์ชักสีหน้ากลับเป็ฯปกติ
“ไม่ได้จะด่าสักหน่อย ฉันจะขอบคุณ”
วัชระเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ
“ขอบคุณที่ชวนฉันมาดูคอนเสิร์ตวันนี้ คอนเสิร์ตดีมาก ฉันมีความสุขมาก ขอบคุณจริงๆ” สุพรรณิการ์ยิ้มจริงใจ
“ผมก็ขอบคุณเหมือนกัน ที่มาดูเป็นเพื่อน บอกตรงๆ ไม่คิดว่าจะเจอคนที่ชอบเหมือนกัน” วัชระยิ้มกว้าง
“ฉันก็ไม่คิด” สุพรรณิการ์ยิ้มรับ และนึกอะไรได้บางอย่าง จึงถามต่อ
“เอ้อ...แล้วแฟนคุณ เค้าไม่ชอบเหรอ ทำไมไม่ชวนเค้ามา” สุพรรณิการ์ถามตรงๆโดยไม่มีอะไรแอบแฝง
วัชระถอนหายใจก่อนตอบ
“แหนมเค้าไม่มาหรอก เค้าไม่ฟังเพลงไทย”
สุพรรณิการ์มองหน้าวัชระด้วยความเห็นใจ วัชระตัดบทเพราะไม่อยากได้ชื่อว่านินทาลับหลังใคร
“ไงก็ขอบคุณอีกครั้งที่มาดูเป็นเพื่อน”
สุพรรณิการ์พยักหน้ารับ วัชระยกมือขึ้น อำลา
“ไปละ”
สุพรรณิการ์ยิ้มรับก่อนที่ต่างคนต่างเดินไปยังที่จอดรถซึ่งอยู่กันคนละด้าน วัชระหันหน้ามามองสุพรรณิการ์อีกครั้ง เขาอดคิดไม่ได้ว่า การแต่งเนื้อแต่งตัวในวันนี้ ทำให้สุพรรณิการ์ดูดี
วัชระยิ้มให้กับกับตัวเอง เป็นความสุขที่เกิดขึ้นในใจ โดยไม่ตั้งใจ วัชระหันหน้ากลับและเดินทางไปที่ลานจอดรถ
เช่นเดียวกัน หลังจากที่สุพรรณิการ์เดินไปได้สักครู่ก็ค่อยๆ หันหลังกลับมามองวัชระที่เดินห่างออกไป พลางคิดในใจว่า วัชระเป็นคนน่ารักดี แล้วก็หันหลังเดินที่ไปลานจอดรถ
สองคนต่างเดินแยกจากกันโดยเก็บความรู้สึกดีดีกลับบ้านไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
หน้าห้องของกริชชัย ภายในบริษัท M Group อรุณศรีกำลังรายงานเบญลี่อย่างแคล่วคล่อง พร้อมด้วยเอกสารปึกบางๆ ราว 4-5 ชุด
“นี่เป็นรายละเอียดของโรงแรมที่จะใช้จัดงานเลี้ยงพนักงานประจำปี แอ๊วคัดมา 5 ที่ ฝากคุณเบญลี่เสนอให้คุณกริชชัยพิจารณาด้วยนะคะ”
“ได้เลยจ้ะ”
เบญลี่รับเอกสารมา แล้วเงยหน้าถามอรุณศรีด้วยความอยากรู้
“มีอะไรคืบหน้าบ้างยัง”
อรุณศรียืนงงอยู่ครู่หนึ่ง
“เรื่องอะไรคะ”
“แหมๆ ก็มีเรื่องเดียวแหละ” เบญลี่ว่า พลางมองซ้ายมองขวาก่อนถาม
“เรื่องเจ้านายไง..มีอะไรคืบหน้าบ้าง เล่ามาเลย พี่ไม่บอกใครอยู่แล้ว ว่ามา” เบญลี่ออกตัว
“ก็มีนิดหน่อยค่ะ”
เบญลี่ถึงกับตาลุกวาว
“เหรอ. เป็นไงๆ บอส take action อะไรบ้าง”
อรุณศรีตอบยิ้มๆ
“คุณกริชชัยเค้าก็ใส่ใจ ห่วงใย ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบเป็นครั้งคราว แล้วเค้าก็ให้คำปรึกษาเรื่องที่ปรานต์ขอแอ๊วแต่งงาน..
“เหรอ บอสว่าไงบ้าง”
“เค้าก็บอกว่า..ถ้าคิดว่าดีก็ให้แต่งเลยค่ะ”
เบญลี่ได้ยินอรุณศรีพูดดังนั้นถึงกับหุบยิ้มทันที
“อ้าว”
“แอ๊วไปทำงานต่อก่อนนะคะ”
อรุณศรีเดินไปแล้ว ปล่อยให้เบญลี่ยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่คนเดียว
“บอกให้ไปแต่งงานเนี่ยนะ บอสคะ คิดไรอยู่”
กริชชัยพาตัวเองมายืนอยู่กลางร้านดอกไม้ มองไปรอบๆ ด้วยท่าทางเก้อๆ เขินๆ ทำตัวไม่ค่อยถูก
“จะรับดอกไม้อะไรดีคะ” คนขายเดินมาถาม
“เอ่อ” กริชชัยยังคงคิดไม่ออก
กริชชัยไล่มองไปรอบๆ ร้านพลางคิดในใจ
ซื้อดอกอะไรดี? ไม่รู้ซะด้วยว่าชอบอะไร? ซื้อไปเดี๋ยวก็ไม่ถูกใจ แล้วตอนเอาไปให้ ต้องพูดอะไรหรือเปล่า? จะให้เนื่องในโอกาสอะไร? แล้วเค้าจะรับหรือเปล่า? ถ้าเค้าไม่รับจะทำไงดี ? เอาไงดีวะเนี่ย?
คำถามมากมายประเดประดังเข้ามาในหัวของกริชชัย
ทันใดนั้นเสียงคนขายก็ถามขึ้น
“จะซื้อไปให้ใครคะ เยี่ยมไข้ หรือว่า..ซื้อให้แฟน”
กริชชัยอึกอัก
“เอ่อ..ซื้อให้...” กริชชัยพูดไม่ออกด้วยความเขิน ก่อนตัดสินใจพูดออกไป
“เอาไว้คราวหน้าดีกว่าครับ ขอโทษนะครับ”
กริชชัยได้แต่ก้มหน้าเดินออกมาจากร้านด้วยความเขิน คนขายมองตามด้วยความงง
กริชชัยเดินพรวดออกมาที่หน้าร้านดอกไม้
“เฮ่อ..ทำไมจีบผู้หญิงมันยากแบบนี้วะเนี่ย”
กริชชัยยืนบ่นอยู่ที่หน้าร้านดอกไม้ พลันสายตาของกริชชัยก็เหลือบเห็นหนังสือพิมพ์ที่ร้านข้างๆเข้าพอดี กริชชัยหยุดอ่านข่าวพาดหัวด้วยความสนใจ
ที่ห้องประชุมภายในบริษัท M Group กริชชัยเรียกพนักงานทุกส่วนที่เกี่ยวข้องเข้าประชุมเป็นการด่วน เบญลี่และอรุณศรีร่วมประชุมด้วย
“ที่ผมเรียกทุกคนมาประชุมวันนี้เพราะมีเรื่องด่วนจะแจ้งให้ทราบ … ผมขอเลื่อนงานเลี้ยงสังสรรค์ประจำปีออกไปก่อน และขอให้ทุกคนระดมกำลังมาช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมในตอนนี้”
กริชชัยวางหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะ หน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ปรากฏภาพน้ำท่วมอย่างชัดเจน
“เราจะจัดทำโครงการใจต้านน้ำท่วม” กริชชัยพูดต่อ
พนักงาน เบญลี่ และอรุณศรี รีบจดโน้ตอย่างตั้งใจ
ความคิดของกริชชัยขณะที่พูดไปเดินไปภายในห้องประชุมหลั่งไหลออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ
“ระดมทั้งเงิน ทั้งของ และลงพื้นที่เพื่อนำไปให้ผู้ที่เดือดร้อน โดยเร็วที่สุด คุณเบญลี่”
“ค่ะ บอส” เบญลี่ขานรับ
“แจ้งไปยังลูกค้าทุกท่าน และบริษัทต่างๆที่เราดีลงานด้วย เชิญชวนให้มาร่วมโครงการด้วยกัน”
“ค่ะ”
“อรุณศรี”
“คะ” อรุณศรีขานรับ
กริชชัยมองหน้าอรุณศรี และออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลกว่าที่พูดกับเบญลี่
“คุณมาช่วยเบญลี่ ประสานงานกับสื่อต่างๆที่เราพอจะติดต่อได้ เพื่อประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้คนที่สนใจมาร่วมโครงการกับเรา”
“ค่ะ” อรุณศรีรับอย่างเต็มใจ
กริชชัยยิ้มนิดๆอย่างพอใจ และหันมาทางพนักงานทุกคน
“ขอให้ทุกคนร่วมมือร่วมใจกันอย่างเต็มที่ ผมไม่อยากให้ทุกคนคิดว่าสิ่งที่เราทำเป็น “การโดนบังคับ” หรือทำเพราะได้รับคำสั่งไปจากผม”
พนักงานทุกคนมองกริชชัย ด้วยความเห็นด้วยและฮึกเหิม อรุณศรีมองกริชชัยด้วยความชื่นชม
กริชชัยพูดต่อ
“แต่ขอให้ทุกคนทำด้วยจิตอาสาและถือว่านี่เป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้ช่วยเหลือคนอื่น..และต้องขอโทษอีกครั้งที่ต้องเลื่อนงานสังสรรค์ประจำปีออกไป ในภาวะเช่นนี้..ผมทำใจจัดงานรื่นเริงไม่ได้จริงๆ .. ผมขอโทษด้วย”
พนักงานทุกคนรับฟังและเห็นด้วยอย่างไม่มีข้อแม้ เบญลี่เป็นคนแรกที่ตบมือให้กริชชัยด้วยความชื่นชม
อรุณศรีคือคนที่สองที่ตบมือให้ กริชชัยหันมามองอรุณศรี..อรุณศรีมองกริชชัยด้วยความชื่นชมและอมยิ้ม
นิดๆ กริชชัยยิ้มรับรู้สึกดี
หลังจากนั้นพนักงานคนอื่นก็ตบมือตามในความเป็นผู้นำของกริชชัย เขาก้มศรีษะลงเล็กน้อย รับเสียงปรบมือนั้นอย่างถ่อมตัว อรุณศรีมองกริชชัยด้วยความชื่นชม กริชชัยมองแววตาของอรุณศรีก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกดีๆ นั้น
กริชชัยแอบคิดในใจว่า ‘มันน่าจะมีค่ามากกว่าดอกไม้นะ’
การประชุมเสร็จสิ้นลง ประตูห้องประชุมถูกเปิดออก พนักงานส่วนต่างๆ ทยอยเดินออกมา ยกเว้นกริชชัย อรุณศรี และเบญลี่ที่ยังอยู่ภายในห้องประชุม
กริชชัยนั่งอยู่ที่เดิม เบญลี่ และอรุณศรีกำลังเก็บของเสร็จ จะเดินตามคนอื่นออกไป เบญลี่เดินนำไปก่อน อรุณศรีกำลังจะลุกขึ้น กริชชัยเรียกไว้
“อรุณศรี”
เบญลี่หันขวับตามเสียงของกริชชัย กริชชัยหันมามองหน้าเบญลี่อย่างรู้ทัน แล้วก็เลิกคิ้วเพื่อให้เบญลี่รู้ตัวว่า ‘ผมไม่ได้เรียก...ออกไปได้แล้ว’ เบญลี่ยิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะม้วนตัวค่อยๆ เดินออกจากห้องไป
ในห้องเหลือเพียงกริชชัยและอรุณศรีเพียงสองคนเท่านั้น
“เรื่องที่เราเคยคุยกัน..เอ่อ..เรื่องการแต่งงานของคุณกับแฟน..ที่ผมพูด..ผมหมายถึงว่า.. “ถ้าดีก็แต่ง” แต่ “ถ้าไม่ดี..ก็อย่าแต่ง” คือ...ผมไม่ได้สนับสนุน หรืออยากให้คุณแต่งงานกับคนอื่น”
อรุณศรีเลิกคิ้ว
“หวังว่าคุณคงจะเข้าใจ” กริชชัยพูดต่อ
“ฉันเข้าใจค่ะ คุณไม่ต้องกังวล ฉันจะคิดอย่างรอบคอบที่สุด”
“อีกอย่าง..ผมไม่ใช่คนโรคจิต ที่ผมสนใจคุณมากเป็นพิเศษ ไม่ได้หมายความว่าผมป่วย” กริชชัยพูดเพราะเกรงอรุณศรีจะเข้าใจผิดอีก
อรุณศรีขำนิดๆ
“ฉันรู้ค่ะ สิ่งที่คุณตัดสินใจทำในวันนี้มันก็บอกอยู่แล้วว่า คุณเป็นคนดี”
กริชชัยทำท่าจะยิ้มรับแต่ก็ต้องหุบยิ้มลงทันทีเมื่อได้ยินประโยคต่อไปที่อรุณศรีพูด
“เป็นเจ้านายที่น่ารัก เพื่อตอบแทนน้ำใจ ฉันจะตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ค่ะ”
อรุณศรียิ้มจริงใจก่อนที่จะหยิบของและเดินออกไป กริชชัยมองตาม อรุณศรีเดินออกจากห้องไป กริชชัยทิ้งตัวลงนั่งแบบเซ็งๆ พร้อมกับรำพึงเบาๆกับตัวเอง
“เจ้านายที่น่ารัก... เฮ่อ”
บริเวณกำแพงของบริษัท M Group มีป้ายผ้าขนาดใหญ่เขียนติดไว้ว่า “M Group ประสานน้ำใจต้านภัยน้ำท่วม” เหล่าพนักงานช่วยกันขนของที่มีคนนำมาบริจาคและของที่ทางบริษัทซื้อมา แยกจัดเป็นกองๆ เตรียมแพ็ก กริชชัยช่วยยกของอย่างไม่ถือตัว
เบญลี่โทรศัพท์ไปเชิญชวนให้ลูกค้ามาร่วมโครงการฯ ลูกค้าแต่ละคนจะแจ้งความจำนงว่า ต้องการบริจาคอะไร อาจจะเป็นส้วมกระดาษร้อยชุด เมื่อคนหนึ่งเสร็จสิ้นก็โทร.ใหม่หาลูกค้ารายใหม่อยู่อย่างนี้จนมือเป็นระวิง
อรุณศรีถ่ายรูปตอนเผลอที่กริชชัยทำงานกับพนักงาน แล้วก็อมยิ้มนิดๆ ก่อนจะหันมาจดเตรียมทำข่าว
ประชาสัมพันธ์
อรุณศรีนั่งส่งเมล ส่งข่าว และแปะข้อความส่งไปตามสื่อต่างๆ เพื่อประชาสัมพันธ์ให้มาร่วมบริจาคของกับ M Group ก่อนที่จะมาช่วยพนักงานแพ็กของจนดึกดื่น กริชชัยเดินสำรวจตรวจงานยังคงห็นอรุณศรียังทำงานอย่าง
ขยันขันแข็ง ยกของอย่างทะมัดทะแมง กริชชัยมองแล้วก็ยิ้มชื่นชมในความลุยสู้งาน อรุณศรีหันมา กริชชัย
รีบหุบยิ้มทันที ทำหน้านิ่งเดินสำรวจต่อไป
อรุณศรีชะงักเหมือนจะคิดนิดๆ แล้วก็ส่ายหน้าพยายามไม่คิดในสิ่งที่เป็นไป
ไม่ได้ อรุณศรีหันไปยกกล่องขอบริจาคลงจากรถ
ดึกดื่นคืนนั้น รถกระบะแปะสติ๊กเกอร์โรงงานสุพรรณิการ์น้ำปลาดี แล่นเข้ามาจอดเทียบที่ลานจอดรถของบริษัท M Group พนักงานมาช่วยกันยกของลงจากรถ มีทั้งน้ำปลา และอาหารแห้ง โดยมีอรุณศรีกับสุพรรณิการ์ยืนอยู่ไม่ห่างจากตัวรถนัก
“ฝ้ายขอบใจมากนะที่ส่งน้ำปลากับอาหารทะเลแห้งมาช่วย”
“สบายมาก นี่แค่คันแรก กำลังตามมาอีก 3 คันรถ ถ้าไม่พอบอกเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าส่งมาให้อีก”
“แจ๋วไปเลยเถ้าแก่เนี้ย”
สองเพื่อนสาวยิ้มให้กันอย่างสดใส อรุณศรีเดินห่างออกมาจากที่รถจอดอยู่ พลางถามสุพรรณิการ์
“นี่แกยังไม่เล่าให้ฉันฟังเลย เรื่องคอนเสิร์ต เป็นไงบ้าง”
สุพรรณิการ์พูดไปพร้อมๆกับเดินไป
“ดีมาก...คอนเสิร์ตสนุกมาก”
“แล้วผู้ชายที่ไปดูคอนเสิร์ตด้วยล่ะ เป็นไง”
สุพรรณิการ์ชะงักเล็กน้อยก่อนตอบ
“ก็ดี”
“แค่เนี้ย”
“อือ”
“จริงอ่ะ”
สุพรรณิการ์มองหน้าอย่างรู้ทัน
“จริง ก็แค่ดูคอนเสิร์ต มันไม่มีอาราย...” สุพรรณิการ์ตอบพลางลากเสียงยาวและเน้น
สุพรรณิการ์หรี่เสียงลง
“ว่าแต่แกเหอะ กับเจ้านายสุดหล่อ...เป็นไงบ้าง”
“มันก็ไม่มีอาราย... เหมือนกัน” อรุณศรีลากเสียงยาวกว่า
สุพรรณิการ์ชะงักมองอรุณศรีด้วยหางตา
“ย้อนเหรอ?”
“ยุ่งกันจะแย่ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ต้องเอาของไปบริจาคแล้ว จะให้มีอะไรได้ไง”
พลันสุพรรณิการ์นึกขึ้นได้
“เออนี่...วันก่อนนู้น ไอ้ปรานต์มันไปหาฉันที่ร้าน มันมาถามว่าคอนโดคุณกริชอยู่ไหน แต่ฉันไม่ได้บอก แล้วก็ไล่มันกลับไป มันติดต่อหาแกบ้างหรือเปล่า”
“ก็มีโทร.มาแต่ติดประชุมไม่ได้รับ ฉันไม่ได้โทร.กลับ แล้วเค้าก็หายไปเลย” อรุณศรีตอบสียงเนือยๆ
สุพรรณิการ์หยุดเดินและเริ่มตั้งข้อสังเกต
“ฉันว่ามันแปลกๆ ปกติไอ้ปรานต์มันเป็นคนไม่ยอมแพ้ง่ายๆ อยู่ๆ หายเงียบไปแบบนี้ มันต้องเตรียมทำอะไรอยู่แน่ๆ”
สุพรรณิการ์คิดอย่างไม่วางใจ อรุณศรีเริ่มคิดตาม…แววตากังวลขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ชายหนุ่มที่สองสาวเป็นกังวลระรื่นอยู่ที่คอนโดแห่งหนึ่ง! ปรานต์กำลังจัดและตกแต่งห้องใหม่อย่างสวยงาม เก๋ พร้อมกับขนสมบัติส่วนตัวเข้ามาจัดวางไว้อย่างสวยงาม ครบถ้วน ทั้งหนังสือ เครื่องเสียง รูปสุดเท่ของตัวเองรูปทั้งหมดล้วนเป็นรูปเดี่ยวทั้งสิ้น ปรานต์มองไปรอบๆ ห้องด้วยความพึงพอใจ
ทันใดนั้น เกียวก็ยื่นมือเอากรอบรูปของตัวเอง ไปตั้งไว้ข้างๆ เครื่องเสียง รูปของเกียวอยู่ในอิริยาบทสวยเซ็กซี่ เกียวมองรูปตัวเองด้วยความภูมิใจและแววตาเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น
รูปของเกียวทำให้ปรานต์ชักสีหน้าเล็กน้อย พลางคิดว่าเอารูปมาวางให้มันเกะกะทำไม เกียวไม่ทันสังเกตสีหน้าของปรานต์ จึงยิ้มกว้างและพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
“ห้ามเคลื่อนย้ายรูปพี่เด็ดขาด! ถ้ามีผู้หญิงคนอื่นเข้ามาจะได้รู้ว่าปรานต์เป็นของพี่”
ปรานต์รีบเอาใจอย่างร้อนตัว
“โธ่...ผมจะพาผู้หญิงที่ไหนมาล่ะครับ”
“ไม่มีก็ดี เพราะถ้ามีพี่เอาตายแน่” เกียวพูดน้ำเสียงเหี้ยม
ปรานต์รีบเข้ามากอด
“พี่ดีกับผมขนาดนี้...ผมจะไปมีคนอื่นได้ยังไง อย่าคิดมากเลยนะครับ คิดมาก..แก่เร็วนะ”
เมื่อเกียวเจอลูกอ้อนของปรานต์เข้าไป ลูกเหี้ยมและน้ำเสียงที่เด็ดขาดเมื่อสักครู่หายไปในทันที
“ไม่คิดก็ได้...พี่ไว้ใจปรานต์นะ อย่าทำให้พี่ต้องผิดหวัง”
ปรานต์ถึงกับสะอึกพยักหน้าเนียนเออออไปตามเรื่อง
“น่ารักที่สุด พี่กลับไปเคลียร์งานระยองก่อนนะ อีก 2-3 วันถึงจะได้เข้ามากรุงเทพ” เกียวยิ้มกว้างก่อนจะหันไปหยิบกระเป๋า
“ครับ ขับรถดีๆ นะครับ”
หลังจากเกียวเดินออกจากห้องและปิดประตูปุ๊บ...ปรานต์ก็รีบเดินตามไปล็อกห้องทันที ปรานต์รีบหยิบ
โทรศัพท์ออกมากดโทร.หาอรุณศรีด้วยความตื่นเต้น
วันเดียวกัน อรุณศรียืนอยู่กับพนักงานคนอื่นในชุดทีมทะมัดทะแมง บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคัก มีรถ
ออฟโรดและรถบรรทุกที่มีของอยู่เต็มรถ ที่มุมหนึ่งเห็นกริชชัยยืนคุยกับเบญลี่
“พร้อมกันหรือยัง”
“เกือบแล้วค่ะ รอส้วมกระดาษชุดสุดท้ายที่สั่งไป คนขับรถโทร.มาบอกว่าใกล้ถึงแล้วค่ะ”
กริชชัยพยักหน้ารับรู้ และเริ่มส่ายสายตามองหา... อรุณศรีกำลังหยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋าสะพายมากดรับสาย แล้วก็เดินหน้าเครียดแอบเข้าไปคุยอีกมุมหนึ่งของตึกที่เงียบสนิท และไม่มีคน กริชชัยมองตามด้วยความสนใจ
ปรานต์ชักสีหน้าด้วยความหงุดหงิดอยู่ในคอนโดฯแห่งใหม่
“ทำไมแอ๊วถึงมาไม่ได้ นี่เราไม่ได้เจอกันตั้งหลายวันแล้วนะ ปรานต์โทร.ไปแอ๊วก็ไม่รับ แล้วยังไม่โทร.กลับอีก คนเป็นแฟน เค้าทำกันแบบนี้เหรอ”
“ปรานต์..แอ๊วมีงานสำคัญต้องทำ อย่ามาชวนทะเลาะตอนนี้ได้มั้ย”
ปรานต์ยังโวยวายต่อไป
“ไม่ได้อยากชวนทะเลาะ ที่โทร.มาหาเพราะอยากจะชวนแอ๊วมาดูคอนโดใหม่ที่เพิ่งซื้อ ปรานต์รู้ว่าแอ๊วไม่ยอมแต่งงานเพราะไม่มั่นใจในอนาคต ปรานต์พยายามจะทำตัวเองให้มั่นคง ทำทุกอย่างเพื่อแอ๊ว แต่แอ๊วไม่สนใจเลย”
อรุณศรีถึงกับส่ายหน้า
“คอนโดใหม่ จะซื้อทำไม มีเงินทำไมไม่เอาไปใช้หนี้ฝ้าย และที่หายไปตั้งหลายวัน...แน่ใจเหรอว่าไปทำอนาคตให้มั่นคง ไม่ได้ไปอยู่กับผู้หญิงอื่น”
ปรานต์ร้อนตัวและโวยวายมากกว่าเดิม
“แอ๊วอย่ามาเปลี่ยนประเด็น”
อรุณศรีเสียงแข็งกลับ
“กลับเข้าประเด็นก็ได้ แอ๊วคงไปดูคอนโดใหม่ปรานต์ไม่ได้ เพราะต้องไปทำงานต่างจังหวัด เอาไว้กลับมาค่อยคุยกัน”
ทันใดนั้นเสียงกริชชัยก็ดังขึ้นจากด้านหลังของอรุณศรี
“อรุณศรีรถกำลังจะออกแล้ว”
ปรานต์ชะงักทันที เมื่อได้ยินเสียงกริชชัยดังเข้ามาในโทรศัพท์แม้จะไม่ชัดมาก แต่ก็พอเดาไว้ว่าเป็นใคร
อรุณศรีหันไปพยักหน้ารับ
“ค่ะ”
พูดเสร็จกริชชัยก็รีบเดินกลับออกไป อรุณศรีอ้าปากกำลังจะพูดต่อ เสียงปรานต์ดังออกมา
“เสียงไอ้ซื่อบื้อใช่มั้ย แอ๊วจะไปกับมันใช่มั้ย จะไปไหนกัน ตอนที่ปรานต์หายไป แอ๊วไปคบกับมันแล้วใช่มั้ย นี่ไง... ใครกันแน่ที่นอกใจ”
ปรานต์โวยวายใส่เป็นชุด อรุณศรีได้แต่ส่ายหน้าแล้วก็ตัดสินใจกดวางสายและปิดเครื่องไปในทันที และหันหลังเดินตามกริชชัยไปทำภารกิจยิ่งใหญ่ที่รออยู่
“แอ๊ว..แอ๊ว..แอ๊ว” ปรานต์ตะโกนใส่โทรศัพท์
สัญญาณตัดไปแล้ว ปรานต์สุดแค้น กำโทรศัพท์แน่นจะปาลงพื้น แล้วก็ยั้งมือไว้เพราะโทรศัพท์รุ่นที่ใช้อยู่ราคาแพง ปรานต์เปลี่ยนใจวางไว้บนโต๊ะแทน ปรานต์กัดฟันกรอดด้วยความแค้น
ขบวนรถออฟโรดและรถขนของเคลื่อนออกไปอย่างคึกคัก คันของกริชชัย เขาเป็นคนขับ โดยมีเบญลี่นั่งข้างๆ ด้านหลังมีพนักงานอีกหนึ่งและอรุณศรี อรุณศรีนั่งเซ็งคิดถึงเรื่องที่ทะเลาะกับปรานต์ด้วยความเบื่อหน่าย
กริชชัยมองผ่านกระจกรถเห็นสีหน้าอรุณศรีไม่ค่อยดีก็อดเป็นห่วงไม่ได้
อ่านต่อ ตอนที่ 18 วันพรุ่งนี้
ติดตามอ่านเรื่องราว "3หนุ่มเนื้อทอง" อย่างเต็มอิ่ม ละเอียดทุกบทสนทนา ทุกลมหายใจของตัวละคร สมบูรณ์ที่สุด และตรงตามบทโทรทัศน์ช่อง 3 ตั้งแต่ต้นจนอวสาน โดยไม่มีการตัดทอน ทุกวันทาง "ละครออนไลน์"