xs
xsm
sm
md
lg

สามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 12

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 12

ลำเภายิ้มให้เมื่อเห็นธีธัชเดินเข้ามายังโต๊ะที่เธอนั่งอยู่กับหนุ่มชาวญี่ปุ่น ธีธัชยิ้มตอบให้อย่างลืมตัว ลำเภาหันไปบอกชายชาวญี่ปุ่นที่เธอนั่งคุยด้วย

“แฟนฉันมาแล้วค่ะ”
ชายชาวญี่ปุ่นหันมามองธีธัช ลำเภาแนะนำ
“คุณปีเตอร์คะ นี่ธีธัชแฟนเภาค่ะ... ธีคะ นี่คุณปีเตอร์เป็นนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น เค้ามาจีบเภาค่ะ”
ธีธัชผงะจ้องตรงไปที่ชายคนนั้นทันที
“ใช่ครับ ผมเห็นคุณลำเภานั่งอยู่คนเดียว คุณลำเภาเป็นคนสวย ผมก็เลย เข้ามาคุย” ชายญี่ปุ่นยิ้มรับหน้าบาน
“สวย” ธีธัชลิกคิ้วย้ำเหมือนไม่แน่ใจ
“โอ๊ะๆ ไม่ใช่แค่สวย แต่น่ารัก แล้วก็ฉลาดด้วย เสียดายที่มีแฟนแล้ว”
ชายชาวญี่ปุ่นหันมามองลำเภา พร้อมกับส่งยิ้มหวาน ลำเภายิ้มรับนิดๆ ธีธัชเห็นแล้วแอบหวงโดยไม่รู้ตัว ธีธัชเอามือจับหัวลำเภาหมุนหันหน้ามาทางตัวเอง
ลำเภาหุบยิ้มมองหน้าธีธัชด้วยแววตาเคือง
“เล่นตลกไรเนี่ย นี่ลงทุนจ้างผู้ชายมาจีบเลยเหรอ” ธีธัชถามลำเภา
ลำเภาปัดมือธีธัชออกจากหัว
“ดูถูก” ลำเภาว่า
“คุณลำเภาไม่ได้จ้างนะครับ ผมมาเอง นี่ครับ..นามบัตรผม ผมเป็นเจ้าของโรงงาน ผมไม่ต้องรับจ้าง ถ้าไม่เชื่อโทร.ไปถามได้ครับ” หนุ่มชาวแดนอาทิตย์รีบบอกพร้อมยื่นนามบัตรส่งให้ธีธัช
ธีธัชรับมาดู แล้วก็อึ้งไป ลำเภามองหน้าธีธัชแล้วยักคิ้วกวนๆ ให้ชายหนุ่มชาวญี่ปุ่นรีบขอตัวอย่างมีมารยาท
“ผมไม่รบกวนแล้วนะครับ เชิญตามสบาย ยินดีที่ได้รู้จักครับ” หนุ่มญี่ปุ่นส่งยิ้มหวานให้ลำเภา
“เช่นกันค่ะ” ลำเภายิ้มตอบ
ชายยุ่นก้มหัวลาธีธัชตามประเพณีนิยมแล้วก็เดินออกไป ธีธัชหันมาทางลำเภา ลำเภาลอยหน้าอย่างมั่นใจ ธีธัชแอบยิ้มเจื่อนคิดไม่ถึงว่า ยัยหนูตะเภาจะมีคนมาจีบ

อาหารถูกนำมาวางบนโต๊ะ ลำเภากำลังจะลงมือกินอย่างมีความสุข ธีธัชทนไม่ได้พูดขัดขึ้น
“มีผู้ชายสายตาไม่ค่อยดี หลงมาจีบแค่คนเดียว ไม่ต้องมาทำเป็นสบายใจขนาดนี้ก็ได้”
“ใครกันแน่ที่สายตาไม่ดี ฉันหน้าตาน่ารักขนาดนี้ ยังดูไม่ออกอีก ตาต่ำ”
“หลงตัวเอง” ธีธัชประชด
“ก็น้อยกว่าคนบางคน” ลำเภาพูดกวนพลาง ปรายตามาทางธีธัช
“ฉันเป็นคนหน้าตาดีจริงๆ ถึงได้กล้าหลงตัวเอง หน้าตาขนาดฉัน ถ้าไม่หลงตัวเองก็แย่แล้ว” ธีธัชสวนน้ำเสียงจริงจังและยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
“แล้วหน้าตาฉันไม่ดีหรือไง ถึงหลงตัวเองไม่ได้ ดูให้ดีๆ แล้วตอบมาสิว่า..น่ารักหรือเปล่า” ลำเภายื่นหน้ามาเข้ามาถาม
ธีธัชมองหน้าลำเภาตามคำท้า  สังเกตเห็นเนื้อผิวขาวละเอียดบนใบหน้า ซึ่งถูกแต่งพอบางๆ ใสๆ ผมรวบสบายๆ ดูน่ารักอย่างบอกไม่ถูก ธีธัชแอบตกตะลึงชั่วครู่ แล้วก็รีบดึงตัวเองออกมา
“ก็....งั้นๆ พอดูได้” ธีธัชพูดพลางกลบเกลื่อนด้วยการก้มหน้าทำเป็นจะกินอาหาร
“น่ารัก...แต่ไม่กล้าพูดล่ะสิ แค่ชมแฟนตัวเองก็ยังไม่กล้า” ลำเภา พูดลอยๆ
ธีธัชเงยหน้าจากจานอาหารทันที
“ฉันไม่ใช่แฟนเธอ” ธีธัชเผลอพูดเสียงดัง
“จริงเหรอครับ” เสียงชายชาวญี่ปุ่นคนเดิมโพล่งขึ้น ธีธัชตกใจเล็กน้อย
ชายญี่ปุ่นกลับมายืนอยู่ข้างๆ ธีธัช
“มาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้ว..มาทำไมอีกเนี่ย”
“ผมจะกลับแล้วครับ เลยมาบอกลา แต่พอเดินมาถึงก็ได้ยินพอดี .. ไม่ได้เป็นแฟนกันจริงๆเหรอครับ” ธีธัชถึงกับสะอึกพูดไม่ออก เหมือนมีอะไรบางอย่างมาปิดปากไว้
ลำเภาเห็นอาการของธีธัชแล้วก็อมยิ้ม
“ธีเค้าพูดเล่นน่ะค่ะ โชคดีนะคะคุณปีเตอร์ ซาโยนาระค่ะ”
“ไม่ครับ ไม่ซาโยนาระ เราต้องเจอกันอีก ถ้าคุณลำเภาไปญี่ปุ่นติดต่อผมได้ทันที ผมต้อนรับเต็มที่...  สวัสดีครับ“ ชายญี่ปุ่นย้ำก่อนอำลา
“สวัสดีค่ะ”
ชายหนุ่มยิ้มจริงใจให้ลำเภา ก่อนจะหันมาทางธีธัช
“คุณโชคดีมากๆ ที่ได้แฟนน่ารักแบบนี้”
ธีธัชยิ้มรับแห้งๆ ธีธัชค่อยๆหันมาทางลำเภา แล้วก็สะดุ้งนิดๆ เพราะลำเภากำลังมองเขาด้วยแววตายิ้มเยาะ อย่างกวนประสาท ธีธัชทนไม่ได้ถึงกับโพล่งถามออกมา อย่างร้อนตัว
“ยิ้มอะไร? ยัยหนูตะเภายิ้มแบบนี้หมายความว่ายังไง”

หลังออกจากร้านอาหาร ลำเภาเดินมาตามทางในห้างคอมมูนิตี้มอลล์แห่งหนึ่งด้วยแววตายิ้มกริ่มอย่างมีความสุข ธีธัชเดินตามอยู่ทางด้านหลัง ธีธัชตะโกนถาม
“นี่...ตกลงจะตอบหรือไม่ตอบว่ายิ้มอะไร นั่งกินข้าวไป ยิ้มไป แววตามันบอกว่าเธอคิดว่า..เธอชนะฉันใช่มั้ย”
ลำเภาหันมาลอยหน้าลอยตาตอบ
“ร้อนตัว”
“ใครร้อนตัว ฉันไม่ได้ร้อนตัวสักหน่อย ฉันจะร้อนตัวทำไม แค่มีผู้ชายมาจีบแค่คนเดียว มันไม่ได้มีความหมายอะไรกับฉันสักนิด เพราะเธอกับฉัน ไม่ได้เป็นอะไรกัน”
“ถ้าไม่เป็น แล้วตอนคุณปีเตอร์ถาม ทำไมถึงไม่กล้าตอบว่าเราไม่ได้เป็นแฟนกัน อึ้งทำไม”
ธีธัชสะอึกแล้วก็เฉไฉ
“ฉันแค่ไม่อยากทำให้เธอหน้าแตก เห็นว่าเป็นน้องไอ้กริชหรอกนะ ถึงได้ช่วยรักษาหน้าไว้ให้ ไม่งั้นฉันแฉไปแล้ว”
“จะแถไปไหน เจ็บสีข้างบ้างมั้ยเนี่ย ฉันว่าหยุดพูดเหอะ ยิ่งพูดก็ยิ่งเข้าตัว เงียบๆ แล้วก็ยอมรับความจริงไปซะก็หมดเรื่อง”
“ยอมรับความจริงอะไร”
ลำเภายื่นหน้ามาพูดเน้นๆอย่างชัดเจน
“ยอมรับความจริงว่า...เราเป็นแฟนกันไง”
ลำเภาพูดจบก็หันหลังเดินนำหน้าไป ธีธัชยืนนิ่งคิดสักครู่ แล้วก็นึกได้
“ไม่! ไม่มีทาง ถ้าฉันเป็นแฟนเธอ ก็แปลว่าฉันเป็นหมาน่ะสิ คนอย่างฉันไม่มีทางไปเป็นหมาของเด็กบ๊องอย่างเธอ เพ้อเจ้อ”
ลำเภายักไหล่ไม่สนใจยังคงเดินนำต่อไป ระหว่างทางที่เดินไปนั้น มีทั้งหนุ่มน้อย หนุ่มใหญ่ รวมถึงหนุ่มหน้าใสสไตล์เกาหลี ดูดี มีสกุล และฐานะ หันมองลำเภาเป็นทาง บางคนสะกิดเพื่อนให้ดูอีกต่างหาก
ลำเภาเดินชิลล์ๆ ดูเป็นธรรมชาติ น่ารักสดใส เหมือนนางแบบญี่ปุ่นกระโดดออกมาจากแมกกาซีนแฟชั่น
ธีธัชมองตามไปและเริ่มสังเกตเห็นสายตาของหนุ่มๆที่มองไปยังลำเภา ธีธัชรู้สึกหวั่นไหว หวงขึ้นมาแบบแปลกๆ จนสุดท้ายก็ทนไม่ได้ ตะโกนขึ้น
“ยัยหนูตะเภา รอด้วย”
ธีธัชพูดจบก็รีบเดินมาประกบด้วยอาการหวงก้าง และเมื่อครั้งใดที่มีหนุ่มคนอื่นๆแอบหันไปมองลำเภา เขาก็แสดงอาการประกาศอยู่ในทีว่า ‘แฟนกรู’ โดยไม่รู้ตัว
ระหว่างที่ธีธัชกับลำเภาเดินคู่กัน ธีธัชแอบมองลำเภาเป็นระยะแล้วก็เผลอยิ้มนิดๆ อย่างลืมตัว และอดคิดไม่ได้ว่า ยัยหนูตะเภานี่ก็น่ารักเหมือนกัน

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เนตรนภัสมาดักรอวัชระที่บ้านตั้งแต่ไก่โห่ วัชระขณะเดินงัวเงียออกมาจากห้องนอน ก็พบเนตรนภัสกอดอกยืนจังก้าอยู่ แววทำหน้าไม่ถูก ทว่าวัชระตกใจ
“แหนม”
“เจอหน้าแฟน ต้องตกใจขนาดนี้เลยเหรอ”
“แหนมมีอะไร มาแต่เช้าเลย”
“ถ้าแหนมไม่ได้มาเวลานี้ แล้วจะได้เจอหรือเปล่าล่ะ”
วัชระชะงักนิดๆ แล้วก็พูดเสียงจริงจัง
“แหนมมาก็ดีแล้ว.. ผมมีเรื่องสำคัญอยากจะคุยด้วย”
เนตรนภัสแปลกใจเล็กน้อย แววมองหน้าลูกชายด้วยความเห็นใจ วัชระจ้องมองเนตรนภัสด้วยแววตาเอาจริง

“เราจะยกเลิกงานแต่งงานไม่ได้ !!!!! แหนมไม่ยอม ถ้าวัชไม่แต่ง แหนมเอาตายแน่ ไม่เชื่อคอยดู”” เนตรนภัสโพล่งเสียงแหลมออกมา
“วัชมีคนอื่นใช่มั้ย” เนตรนภัสถามต่อ
“ผมไม่ใช่ผู้ชายหลายใจที่จะคบทีละหลายๆคน ถ้าผมจะมีคนอื่น ผมต้องเลิกกับคุณก่อน” วัชระถึงกับผงะ
“วัชพูดแบบนี้ อยากเลิกกับแหนมใช่มั้ย ตอบมาเดี๋ยวนี้นะ ใช่มั้ย แหนมถามว่าใช่มั้ย” เนตรนภัสพูดด้วยเน้ำเสียงสูงกว่าเดิม
วัชระไม่ลังเลและตัดสินใจตอบออกไป
“ใช่ !! ถ้าคุยกันไม่รู้เรื่องแบบนี้ อยู่กันแล้วไม่มีความสุข ผมว่า..เราควรจะเลิกกันจะดีกว่า” วัชระสวนด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล มีเหตุผล
เนตรนภัสกรี๊ดเสียงดังลั่น ไม่นะ
“แหนมไม่ยอมเลิกกับวัช และวัชก็ห้ามเลิกกับแหนมเด็ดขาด ถ้าคนอื่นรู้ว่าเราเลิกกันแหนมจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
“แหนม..เลิกห่วงเรื่องหน้าตาทางสังคมซะบ้าง ยิ่งคุณไปยึดติด คุณยิ่งจะเป็นทุกข์”
“ใช่สิ วัชพูดได้ เพราะวัชไม่มีหน้าตาในสังคมเหมือนแหนม คุณจะทำอะไร ก็ไม่มีใครสนใจ แต่แหนมไม่ใช่”
วัชระส่ายหน้าอย่างคนหมดใจ
“ถ้าเราเลิกกัน งานแต่งงานล้ม มีคนรอสมน้ำหน้าแหนมเต็มไปหมด แหนมรับไม่ได้ และไม่อยากรับด้วย เพราะฉะนั้นไม่ว่ายังไง เราต้องแต่งงานกัน”
“แหนม...คุณต้องการแต่งงานกับผม ด้วยเหตุผลแค่นี้น่ะเหรอ”
“แล้วมันมีเหตุผลอื่นหรือเปล่าล่ะ”
วัชระเงียบกริบ..มองเนตรนภัสด้วยความผิดหวัง เนตรนภัสย้ำเสียงเข้ม
“เรื่องเลิกกัน เลิกคิดไม่ได้เลย ไม่ว่ายังไงแหนมก็ไม่เลิก งานแต่งงานของเราจะต้องมีต่อไป และถ้าแหนมรู้ว่าคุณแอบมีคนอื่นเมื่อไหร่ แหนมไม่ปล่อยไว้แน่”
เนตรนภัสพูดจบก็เดินออกจากบ้านของวัชระด้วยความฉุนเฉียว วัชระได้แต่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ ในใจครุ่นคิดว่าจะจัดการเรื่องนี้ต่อไปอย่างไรดี

ภายในอพาร์ทเม้นท์ของธีธัชในช่วงกลางวัน วัชระหลบไปหาธีธัช ธีธัชถามย้ำด้วยความแปลกใจ
“แกจะไปขอลำเภามาเป็นแฟน” ธีธัชถามย้ำ
“เออ”
ธีธัชงง
“ทำไมวะ”
“ฉันไม่ไหวแล้วจริงๆ ฉันกับแหนม...มันหมดแล้ว ถ้าขืนยังคบกันต่อไป ความรักที่มันเคยมี บางทีอาจจะกลายเป็นความเกลียดกันแบบสุดๆไปเลย ทางที่ดีฉันควรจะเลิกกับเค้าให้เร็วที่สุด”
“แล้วเกี่ยวอะไรกับ..ยัยหนูตะเภา”
“ก็ฉันขอเลิก แต่แหนมเค้าไม่ยอม ฉันเลยต้องหาผู้หญิงมาหลอกเป็นแฟน แหนมจะได้ตัดใจ ลำเภาเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ฉันสนิทพอจะขอความช่วยเหลือได้”
ธีธัชอึ้งไปพูดอะไรไม่ออก

กรกนกแต่งหน้าอยู่ในห้องน้ำจนเรียบร้อยและเตรียมเก็บเครื่องสำอางทั้งหลายเดินออกมาจากห้องน้ำ ขณะที่กรกนกกำลังเงื้อมมือจะหมุนลูกบิดประตูเพื่อพาตัวเองออกจากห้องน้ำ เสียงวัชระก็เล็ดลอดเข้ามา
“แต่ก่อนที่ฉันจะไปขอให้ลำเภามาเป็นแฟนฉัน ฉันมาขออนุญาตแกก่อน”
กรกนกชะงักเปลี่ยนใจ ค่อยๆปิดประตูเข้ามาเบาๆ และเงี่ยหูแอบฟัง
“แกจะมาขออนุญาตฉันทำไม”
วัชระมองซ้ายมองขวา ให้แน่ใจว่ากรกนกไม่ได้เดินมาก่อนจะพูดขึ้น
“ก็แกกับลำเภาเป็นแฟนกันอยู่ไม่ใช่เหรอ ?
กรกนกได้ยินถึงกับใจหายวาบ ...แต่ก็ยังกัดฟันฟังต่อ
ธีธัชสะดุดเล็กน้อย แล้วก็ทำเป็นไม่ยอมรับ
“แฟนเฟินอะไร ยัยเด็กนั่นโมเมไปเอง ฉันไม่ได้บ้าจี้ตามสักหน่อย”
“สรุปแกกับเภาไม่ได้เป็นแฟนกัน”
ธีธัชเสียงสูงจนผิดสังเกต
“ ไม่เป๊น...”
“งั้นฉันก็ขอให้เภามาเป็นแฟนได้ แกไม่มีปัญหา”
“ไม่มี้” เสียงสูงขึ้นอีก
กรกนกขมวดคิ้ว รู้สึกว่าน้ำเสียงธีธัชไม่เป็นธรรมชาติและพยายามกลบเกลื่อนอะไรบางอย่าง ทว่าวัชระไม่ทันได้สังเกต ได้แต่โล่งอกที่เพื่อนไฟเขียว
“โอเค...ถ้าแกไม่มีปัญหา ฉันจะได้สบายใจ”
“เดี๋ยว แล้วแกคิดว่า...ถ้ายัยหนูตะเภายอมเป็นแฟนหลอกๆให้แกจริงๆ .. แล้วมันมีโอกาสจะเปลี่ยนเป็นแฟนจริงๆหรือเปล่า” ธีธัชถาม
กรกนกอึ้งๆ กับคำถามของธีธัช ใจหายวูบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
วัชระคิดและตอบอย่างมั่นใจ
“ลำเภาเป็นเด็กดี มีความคิด เวลาคุยด้วยแล้วสบายใจดี แต่ “ไม่รัก” ไม่มีเรื่องให้คิดแบบชู้สาว แล้วตอนนี้บอกตรงๆ ฉันกำลังเบื่อผู้หญิง แหนมทำให้ฉันเอียนมากๆ เข็ดขยาดคงไม่อยากมีแฟนไปสักพัก”
ธีธัชฟังแล้วโล่งอก วัชระหันมาถาม
“แกถามทำไม หึงเหรอ”
ธีธัชสะดุ้งโกหกเสียงสูงอีก
“หึงบ้าอะไร ฉันกับยัยบ๊องไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย ไม่มี๊...ไม่หึ๊ง..เชิญแกตามสบายเลย ฉันไม่แคร์อยู่แล้ว”
วัชระยิ้มรับด้วยความสบายใจ ธีธัชแอบเครียดมีกังวลเล็กน้อยและแอบหึงโดยไม่รู้ตัว กรกนกแง้มประตูห้องน้ำแอบเห็นแววตาของธีธัชพอดี กรกนกสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของธีธัชที่มีต่อเธอ ความเศร้าค่อยๆ คืบคลานเข้ามาในหัวใจ ก่อนจะปิดประตูห้องน้ำ ยืนพิงผนังห้องน้ำและใช้ความคิดอย่างหนัก

ในร้านเครื่องเสียงรถยนต์ ปรานต์นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ เปิดหน้ากูเกิ้ลขึ้น ปรานต์พิมพ์คำว่า “CEO M Group” ที่จอขึ้นชื่อ “กริชชัย พงษ์โภคิน” ปรานต์ค้นหาต่อ ภาพกริชชัยขึ้นที่หน้าจอมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาพกริชชัยตามงานต่างๆ ภาพข่าว รวมถึงตอนให้สัมภาษณ์กับนิตยสารต่างๆ ปรานต์ยิ่งดูยิ่งไม่ชอบขี้หน้า
“ไอ้แหยมันดังขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย”
ปรานต์เปิดดูรูปต่อไปอีก เจอภาพอรุณศรี และกริชชัย ถ่ายคู่กันในภาพข่าวตอนงานเปิดตัวบริษัท ปรานต์เห็นแล้วหน้าเครียดขึ้นมาทันที
“แอ๊วไปถ่ายรูปกับมันตั้งแต่เมื่อไหร่” ปรานต์บ่นเสียงหงุดหงิด
ปรานต์ถึงกับทนไม่ได้ กดปิดรูป และเริ่มคิดหนักด้วยความหวาดหวั่นใจ

เย็นวันเดียวกัน ขณะที่กริชชัยกำลังจัดมุมที่จะเก็บวางภาพวาดของอรุณศรีอยู่ภายในห้องพักที่คอนโด
เสียงออดดังขึ้น กริชชัยรู้สึกแปลกใจนิดๆ ดึงผ้ามาคลุมภาพอรุณศรีลงปิดเหมือนเดิม ก่อนจะเดินไปเปิดประตู
กริชชัยเปิดประตูออกมาเห็นสุพรรณิการ์ในลุคใหม่ที่ดูสวยขึ้น สุพรรณิการ์ไม่ได้แต่งหน้าจัดเหมือนวันที่กรกนกพาไปแปลงโฉม วันนี้สุพรรณิการ์แต่งหน้าเพียงเล็กน้อยดูดีอย่างเป็นธรรมชาติ
“คุณฝ้าย..สวัสดีครับ” กริชชัยแปลกใจเล็กน้อยที่สุพรรรณิการ์มาถึงห้อง
“สวัสดีค่ะ ฝ้ายมีเรื่องอยากจะถามคุณกริชนิดหน่อย ฝ้ายขอเข้าไปหน่อยนะคะ”
สุพรรณิการ์แทรกตัวเองเข้าไปในห้องกริชชัยทันที

กริชชัยกำลังจะรินน้ำให้สุพรรณิการ์ที่ยืนประชันหน้ากันอยู่บริเวณห้องครัว สุพรรณิการ์ยิงคำถามอย่างไม่เกรงใจ
“คุณกริชชอบแอ๊วหรือเปล่าคะ”
กริชชัยสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ เทน้ำในเหยือกออกมาหนึ่งพรวดใหญ่ น้ำล้นกระจายออกมาจากแก้วเลอะโต๊ะ
“เอ้าๆ ใจเย็นๆ ค่ะ ใจเย็นๆ” สุพรรณิการ์รีบดึงกระดาษทิชชูที่วางอยู่ข้างๆ มาช่วยเช็ดให้
กริชชัยถึงกับหน้าแดงก่ำ หยิบจับทำอะไรไม่ถูก รีบหันไปหยิบผ้าที่อยู่ข้างๆ มาเช็ด ด้วยอาการเขินสุดขีด กริชชัยก้มหน้าก้มตาเช็ดโต๊ะหลบสายตาสุพรรณิการ์ พูดไม่ออก
“ที่ถามไม่ใช่อะไรนะคะ คือ ถ้าคุณกริชชอบแอ๊วจริง ช่วยกรุณาแสดงออกมาให้มันมากกว่านี้หน่อย”
กริชชัยมัวแต่เช็ดโต๊ะ เช็ดแล้ว เช็ดอีก สุพรรณิการ์มองหน้ากริชชัยแล้วพูดต่อ
“แค่หน้าแดงแบบนี้ มันไม่พอนะคะ”
กริชชัยสะดุด หยุดเช็ดโต๊ะและพยายามตั้งสติกับตัวเอง
“แอ๊วเป็นคนดีที่โชคร้าย ดันไปได้แฟนห่วย ที่จริงเรียกว่า “ห่วย” น้อยไป มันต้อง “ชั่ว” ถึงจะเหมาะ”
กริชชัยฟังแล้วรู้สึกเศร้าลึกๆ สงสาร และเป็นห่วงอรุณศรีขึ้นมาทันที
“ที่ฉันมาพูดกับคุณเพราะอยากจะช่วยเพื่อน แอ๊วไม่ได้รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น เอาเป็นว่า..ถ้าคุณชอบเพื่อนฉัน ฉันเชียร์เต็มที่ มีอะไรให้ช่วยก็บอก”
กริชชัยยังก้มหน้าก้มตา ไม่พูดอะไร
“ฉันจะมาพูดแค่นี้ ไม่มีอะไรแล้ว..ฉัน..กลับก่อนแล้วกัน”
สุพรรณิการ์เดินไปที่ประตู กริชชัยลังเลไม่รู้จะคิดอ่านหรือว่าตอบอย่างไร จนสุพรรณิการ์เดินมาเกือบถึงประตู
“คุณฝ้าย” กริชชัยพูดขึ้น สุพรรณิการ์หันกลับมา
“วันอาทิตย์นี้ ผมมีปาร์ตี้ฉลองห้องใหม่ ถ้าไม่รังเกียจ ผมขอเชิญคุณกับ...อรุณศรีมาร่วมงานด้วย”
“ได้เลยค่ะ ฉันไม่รังเกียจอยู่แล้ว เจอกันค่ะ” สุพรรณิการ์รับปากพลางยิ้มกว้าง
สุพรรณิการ์หันหลังเดินต่อไป พร้อมรอยยิ้มอย่างมีความสุขที่ได้ทำอะไรให้กับเพื่อนอย่างอรุณศรี  
ในขณะที่กริชชัยยืนยิ้มอย่างมีความสุขอยู่คนเดียวในห้อง

อรุณศรียืนกดออดอยู่ที่หน้าห้องสุพรรณิการ์ แต่ไม่มีการตอบรับ จังหวะนั้นอรุณศรีได้ยินเสียงประตูห้องกริชชัยถูกเปิดออก อรุณศรีหันไปเห็นสุพรรณิการ์เดินออกมาจากห้องกริชชัย อรุณศรีนิ่ง ในใจเริ่มมีความรู้สึกโหวงๆ แปลกอย่างบอกไม่ถูก แต่ทันที่สุพรรณิการ์หันมาเห็นก็โบกมือให้อย่างอารมณ์ดี
“แอ๊ว”
อรุณศรีฝืนยิ้มและพยักหน้าทักทาย สุพรรณิการ์เดินมาหาเพื่อนอย่างอารมณ์ดี ต่างจากอรุณศรี

อรุณศรีเดินตามสุพรรณิการ์เข้ามาในห้อง พร้อมกับถามด้วยความแปลกใจที่เห็นเผ้าผมทรงใหม่ของสุพรรณิการ์
“คุณนายเป็นอะไร ทำไมอยู่ๆลุกขึ้นมาแต่งหน้า ทำผม แต่งเนื้อแต่งตัวแอบเซ็กซี่ซะด้วย องค์อะไรลงล่ะ”
“องค์ “หญิง” มั้ง ฉันเบื่อพวกผู้ชายสายตามีปัญหา ชอบบอกว่าฉันเป็นทอม ฉันก็เลยอยากจะประกาศความสวยให้โลกรู้ เผื่อจะได้แฟนกับเค้าสักคนสองคน” สุพรรณิการ์พูดพลางยิ้มกริ่ม
“แกเนี่ยนะอยากมีแฟน” อรุณศรีประหลาดใจ
“ใช่!! ขนาดแกยังกลัวเหงา เลยไม่กล้าเลิกกับไอ้ปรานต์ ฉันก็เลยกลัวขึ้นมาบ้าง อยากมีแฟนกับเค้าสักคน และคนที่ฉันเล็งๆไว้ก็คือ คุณกริช “
อรุณศรีแอบชะงักนิดๆ แต่ไม่กล้าแสดงอะไรออกมามาก
“จริงดิ”
สุพรรณิการ์เห็นแววตาของอรุณศรีก็รู้ได้ในทันที เธอแอบอมยิ้ม..และแกล้งอรุณศรีต่อ
“จริง!! ผู้ชายเพียบพร้อมอย่างคุณกริชหาไม่ได้ง่ายๆ ในเมื่อแกยังอยากจะหน้ามืดตามัวอยู่กับไอ้ปรานต์ ฉันยุ แกก็ไม่สน ฉันก็ว่าจะสอยมาซะเอง”
อรุณศรีแอบใจหายวาบ
“แต่ถ้าแกเกิดเปลี่ยนใจ อยากจะเปิดใจรับคุณกริชขึ้นมา ฉันก็พร้อมจะถอย รีบๆเปลี่ยนใจก็แล้วกัน ช้ากว่านี้ ฉันไม่รับประกันความปลอดภัย ฮึๆ” สุพรรณิการ์ทำเนียนยื่นหน้าบอกอรุณศรี
อรุณศรีเริ่มคิดหนัก สุพรรณิการ์ได้ทีจึงรีบพูดต่อ

“อ้ออีกเรื่อง.. คุณกริชเค้าชวนแกกับฉันไปงานปาร์ตี้ขึ้นห้องใหม่ของเค้ากับเพื่อนๆ งานเลี้ยงจะมีวันอาทิตย์นี้ แกต้องมา ห้ามปฎิเสธ

อ่านต่อหน้า 2







สามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 12 (ต่อ)

บริเวณริมถนนตอนกลางวันในวันต่อมา ลำเภาอุ้มพอใจและวัชระอุ้มเป็นต่อเดินออกจากร้านแต่งขนหมา ทั้งคู่เดินไปพลาง สนทนาไปพลาง แล้วจู่ๆ ลำเภาก็โวยหน้านิ่งๆ

“ไม่ได้!! เภาเป็นแฟนกับคุณวัชไม่ได้”
“พี่ก็ไม่ได้จะให้มาเป็นจริงๆ”
“จะจริง หรือจะหลอก ก็ไม่ได้ คุณวัชก็รู้ว่าเภามีแฟนแล้ว”
“แต่ไอ้ธีมันโอเค มันบอกว่าไม่มีปัญหา”
“ที่นายธีพูดแบบนั้น ก็เพราะมีฟอร์ม ถ้าเค้าปฎิเสธ หรือแสดงอาการหึงหวงก็เท่ากับยอมรับว่าเป็นหมาของเภา”
วัชระฉุกคิดทันที ลำเภาหยุดเดินแล้วก็หันมาทางวัชระ
“แล้วนี่มันเกิดอะไรขื้น ทำไมถึงต้องตามหาคนมาเป็นแฟน แล้วแฟนคุณวัชคนที่กำลังจะแต่งงานกัน เค้าไม่ว่าเหรอ หรือว่า...กำลังจะชิ่ง”
“เฮ่อ...ที่จริง ผมก็ไม่อยากทำแบบนี้ แต่มันไม่ไหวจริงๆ ผมพยายามแล้วที่จะแต่งงานกับเค้าให้ได้ แต่ยิ่งพยายามมันยิ่งแย่ ยิ่งพยายามผมยิ่งรู้ว่า...มันไม่ใช่ ถ้าแต่งกันไป มันจะยิ่งแย่ทั้งคู่” วัชระระบายความหนักใจ
“ถึงกับต้องเลิกกันเลยเหรอ”
วัชระคิดก่อนจะตอบ
“ในเมื่อแหนมเค้าไม่ยอม “งอ” ผมก็ต้องเลือกที่จะ “หัก” เจ็บวันนี้ ดีกว่าต้องเจ็บไปตลอดชีวิตการแต่งงาน”
“มันก็น่าเห็นใจ “ ลำเภาได้แต่สงสาร แต่ยังย้ำจุดยืนที่ชัดเจน
“แต่เภาก็ช่วยไม่ได้จริงๆ เภามีแฟนแล้ว และที่สำคัญ เภาไม่อยากซวย”
ลำเภาพูดด้วยความมั่นใจ วัชระยังไม่เข้าใจ
“ซวยอะไร”

ในร้านอาหารหรู ตกแต่งสไตล์เก๋ ฝั่งตรงข้ามกับถนนที่ลำเภากับวัชระเดินอยู่ สีรุ้งและนรีวรรณนั่งจิบชายามบ่ายอยู่อย่างสบายอารมณ์ นรีวรรณยังง่วนอยู่กับการกดบีบี สีรุ้งมองด้วยความเอือมระอาใจ
“นุ้ย..โลกเรามันกว้างใหญ่มากกว่าจอสี่เหลี่ยมในมือถือนะลูก แม่ว่า..ลูกควรจะละสายตาจากจอโทรศัพท์มามองโลกภายนอก เผื่อจะได้เห็นอะไรๆที่มันสร้างสรรค์ชีวิตบ้างนะลูก”
นรีวรรณเงยหน้ามองสีรุ้ง แล้วก็พูดแบบเซ็งๆ
“แล้วอะไรที่มันสร้างสรรค์ชีวิตล่ะคะแม่ นุ้ยไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรน่าสนใจเลย แชท วอทสแอพส์ บีบี กับเพื่อน จับกลุ่มนินทา ด่าเจ้านาย มันส์กว่าเยอะเลย”
นรีวรรณยิ้มอย่างมั่นใจ สีรุ้งส่ายหน้าด้วยความเอือม พลางคิดว่ามีลูกสาวทั้ง 2 คนไปกันคนละทิศละทาง แต่ละคนไม่ได้ดั่งใจสีรุ้งสักคนเดียว
นรีวรรณกำลังจะก้มหน้ากดบีบีต่อ เมื่อเงยหน้าผ่านกระจกออกไปนอกร้าน พลันสายตาไปสะดุดที่หนุ่มสาวคู่หนึ่งที่ยืนอยู่อีกฟากถนน
“คุณแม่คะ นะ นะ นั่นมัน..พี่วัชนี่คะ! พี่วัชมากับผู้หญิงค่ะแม่” นรีวรรณเสียงสั่น ระรัว ละล่ำละลัก
สีรุ้งรีบหันขวับไปตามสายตานรีวรรณ สีรุ้งถึงกับหน้าเสียในทันที

บนถนน ลำเภาอธิบายด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจังให้กับวัชระฟังสิ่งที่พูดค้างไว้เรื่องซวย!
“แฟนคุณวัชขี้หึงไม่ใช่เหรอ ขนาดตัวคุณวัชเองยังต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน แล้วจะให้เภาออกไปรับหน้าแทนเนี่ยนะ ฝันไปเถอะ เภาไม่โง่หรอก”
“มันก็จริง ถ้าแหนมรู้ว่าผมมีแฟนใหม่ คงได้ตายกันไปข้าง”
“รู้แบบนี้ แล้วยังจะมาชวนเภาไปเล่นละครเป็นแฟนเนี่ยนะ .. เจริญแหละ” ลำเภาโวย วัชระยิ้มแห้งๆ
“แหะๆ ผมขอโทษ ไม่ทันคิด”

นรีวรรณเกาะกระจกมองด้วยความอยากรู้สุดๆ สีรุ้งหน้าเสีย สงสารเนตรสภัสขึ้นจับใจ
“แล้วมันก็เป็นความจริง นายวัชระ กับผู้หญิงอื่น”
“กับหมาด้วยค่ะ พี่วัชอุ้มหมา ทั้งๆ ที่พี่แหนมเกลียดหมายังกะอะไรดี พี่วัชทำแบบนี้เท่ากับหยามพี่แหนมชัดๆ” นรีวรรณว่า
สีรุ้งได้แต่นิ่งอึ้ง ขณะที่นรีวรรณหันไปแอบดูต่อ
“คุณแม่ดูสิคะ พี่วัชยิ้มด้วยค่ะ เวลาพี่วัชอยู่กับพี่แหนม นุ้ยไม่เห็นพี่วัชยิ้มมาเป็นชาติแล้วนะคะ ผู้หญิงคนนี้...ต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ นุ้ยเข้าไปทักสักหน่อยดีกว่า อยากรู้ว่ามันยังไงกันแน่” นรีวรรณลุกพรวดขึ้น
“ยัยนุ้ย” สีรุ้งตกใจ
“เดี๋ยวนุ้ยมาค่ะ”
นรีวรรรณเดินออกจากร้านอาหาร สีรุ้งหน้าเสียได้แต่ตะโกนไล่หลัง
“นุ้ย..นุ้ย..นุ้ยอย่าไปเลยลูก นุ้ย”
นรีวรรณไม่สนใจที่สีรุ้งทัดทาน สีรุ้งมองตามด้วยความหวาดหวั่นใจ
“ไม่น่าบอกให้เงยหน้าจากโทรศัพท์เลย เฮ่อ” สีรุ้งรำพึง
สีรุ้งหันไปแอบดูต่อว่าจะเกิดอะไรขึ้น

ลำเภาย้ำกับวัชระด้วยความหวังดี
“คุณวัชรู้ว่าแฟนตัวเองแรงขนาดนี้ ก็ไม่ควรจะดึงผู้หญิงอื่นมาลำบากไปด้วย และวิธีนี้มันก็ไม่เป็นลูกผู้ชายเอาซะเลย”
“โอเคค้าบ..คุณหมอลำเภา ผมผิดไปแล้ว ผมขอโทษแล้วกัน นะ” วัชระพูดพลางยิ้ม
ลำเภาพยักหน้าแต่แอบเคืองอยู่นิดหน่อย
ทันใดนั้นเสียงนรีวรรณก็ดังขึ้น
“พี่วัช”
วัชระหันไปตามเสียงด้วยความแปลกใจ
“นุ้ย”
นรีวรรณเดินเข้ามาหาวัชระและแอบมองลำเภาอย่างไม่เป็นมิตร
“มาทำอะไรแถวนี้คะเนี่ย”
“พี่มาเป็นเพื่อนลำเภาเอาหมามาตัดขนน่ะ “
นรีวรรณพึมพำชื่อ “ลำเภา” เบาๆ ในลำคอ
เป็นต่อ กับ พอใจเริ่มเห่าปกป้องเจ้านาย
นรีวรรณสะดุ้งตกใจ เดินถอยห่างจากสองสุนัขแสนรู้เล็กน้อย
“ว้าย เห่าทำไมยะ ตัวเล็กแล้วยังจะซ่าส์อีก”
ลำเภามองปรายตามองนรีวรรณด้วยความเคือง แต่ไม่ได้ตอบโต้อะไร หันมาพูดปรามเป็นต่อ พอใจแทน
“เป็นต่อ พอใจ ใจเย็นๆ ลูก หม่ามี๊โอเค”
สองซ่าส์เงียบตามสั่ง
“แล้วนุ้ยมาทำอะไร” วัชระพูดเปลี่ยนเรื่อง เปลี่ยนบรรยากาศทันที
“มาทานข้าวกับคุณแม่ คุณแม่นั่งรออยู่ในร้าน ทางโน้นค่ะ”
นรีวรรณชี้มาที่ร้านอาหารที่สีรุ้งนั่งอยู่ สีรุ้งตกใจ เห็นวัชระกำลังหันมา สีรุ้งรีบหันกลับทันที ทำเป็นไม่รู้ ไมเห็น วางท่าเป็นปกติ เชิดหน้านั่งเก๊กรักษาฟอร์มผู้ดีอย่างแนบเนียน
วัชระเห็นสีรุ้งนั่งหันหลัง เหมือนไม่สนใจ วัชระหันมาบอกนรีวรรณ
“พี่ฝากสวัสดี ท่านด้วยแล้วกัน พอดีพี่ต้องรีบไปส่งเภาเค้าที่บ้าน”
นรีวรรณหูผึ่ง ลำเภาเหล่มาทางวัชระ ไม่เพียงแต่ลำเภาเท่านั้น แม้แต่ขนมจีบก็หันขวับมามองหน้าวัชระด้วย
“ไปส่งบ้าน” นรีวรรณย้ำราวกับแน่ใจ
“ใช่.. พี่ไปก่อนนะ”
วัชระยิ้มให้นรีวรรณนิดนึงก่อนจะเดินนำล่วงหน้า ปล่อยให้นรีวรรณกับลำเภายืนทำอะไรไม่ถูกกัน 2 คน ลำเภาร้องเรียก
“คุณวัช..รอด้วย”
ลำเภารีบเดินตามวัชระไป ขนมจีบเห่าเรียกช่วยเจ้านายด้วย นรีวรรณมองตามวัชระและลำเภาด้วยความขัดใจ
“พี่วัชนะพี่วัช ยังถามไม่รู้เรื่องเลย ชิ่งเห็นๆ” นรีวรรณบ่นอุบ
นรีวรรณนึกขึ้นได้ รีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา แล้วกดถ่ายรูปลำเภาเดินกับวัชระอุ้มหมาเก็บไว้

เนตรนภัสดูภาพที่นรีวรรณถ่ายมาให้ พร้อมกับเปล่งเสียงออกมาด้วยความไม่พอใจ
“วัช! อุ้มหมาเนี่ยนะ เป็นไปไม่ได้ “ เนตรนภัสโวยวายลั่นบ้าน
สีรุ้งและนรีวรรณส่ายหน้าขึ้นพร้อมกัน
“เค้าจะอุ้มหมา หรือจะอุ้มช้างมันก็ไม่ใช่ประเด็น ที่นุ้ยให้ดูคือ พี่วัชเค้าอยู่กับผู้หญิงอื่น พี่แหนมดู หนิดหนมกันขนาดนั้น เดินคุยกันหนิงหนุง ยิ้มแย้มมีความสุขมากๆ คุณแม่ก็เห็น จริงมั้ยคะคุณแม่” นรีวรรณพูดและหาพยานร่วม สีรุ้งสะดุ้งนิดๆ แต่ก็จำต้องพยักหน้ารับ
เป็นครั้งแรกที่เนตรนภัสหวาดหวั่นในใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เนตรนภัสจำเป็นต้องเชิดหน้า ไม่แคร์ เพื่อรักษาฟอร์มต่อหน้านรีวรรณ
“ยัยเด็กกะโปโลเนี่ยนะ ทำให้วัชมีความสุข ชริ… เป็นไปไม่ได้” เนตรนภัสว่า
“แต่มันก็เป็นไปแล้วค่ะ พี่วัชยังบอกอีกนะคะว่า พาหมามาตัดขนด้วยกัน แล้วก็ยังจะไปส่งที่บ้านอีก รู้สึกผู้หญิงคนนี้จะชื่อลำเภาหรือไงนี่แหละ” เนตรนภัสเจ็บจี๊ดที่หัวใจราวกับถูกมีดแหลมเสียบแทง
“หน้าก็ซีด หุ่นก็แห้งยังกะไม้จิ้มฟัน แถมชื่อยังเชยอีกต่างหาก ไม่มีทางที่วัชจะสนใจ ต้องมีอะไรเข้าใจผิดแน่ๆ เป็นไปไม่ได้ แหนมไม่เชื่อ” เนตรนภัสพูดแล้วส่งโทรศัพท์มือถือยัดคืนใส่มือของนรีวรรณ
เนตรนภัสทำเป็นไม่สนใจ เดินออกจากห้องรับแขกขึ้นไปที่ห้องนอนส่วนตัว
ทันทีที่ประตูห้องนอนปิดลง เนตรนภัสก็ส่งเสียงกรี๊ดด้วยความแค้นใจ
“วัชนะวัช ทำแบบนี้ได้ยังไง นังเด็กนี่มันเป็นใคร”

ค่ำคืนนั้น ที่คอนโดของกริชชัย ภายในห้องพักที่ถูกตกแต่งอย่างเรียบร้อยสมบูรณ์แล้ว วัชระกำลังรื้อจานชามแก้วออกจากถุง เตรียมเรียงใส่ชั้น ทั้งสามหนุ่มกำลังช่วยกันตกแต่งเพื่อเตรียมจัดงานปาร์ตี้ฉลองห้องใหม่
ธีธัชถามย้ำวัชระอีกครั้งด้วยความดีใจ
“ลำเภาไม่ยอมเป็นแฟนแก”
“ใช่! เค้าบอกว่าเค้าเป็นแฟนแก”
ธีธัชแอบยิ้มไม่รู้ตัว กริชชัยปรายตามาเห็นเข้าพอดี
“ไอ้ธีแกยิ้มอะไร” กริชชัยถาม
“เปล๊า ไม่ได้ยิ้ม แกตาฝาด นี่ แล้วนางในฝันแกตกลงจะมาปาร์ตี้หรือเปล่า” ธีธัชรีบหุบยิ้มแล้วทำเนียนเปลี่ยนเรื่องทันที
“ไม่รู้ว่ะ แต่คุณฝ้ายบอกว่าจะพยายามชวนมาให้ได้ แล้วแก.. คุณกรมาหรือเปล่า” กริชชัยถาม
“มา เดี๋ยวเค้าจะช่วยดูแลเรื่องเครื่องดื่มด้วย มืออาชีพมาเองเว้ย จัดเต็ม” ธีธัชตอบ
“แต่ลำเภามาด้วยนะ แกจะมีปัญหาหรือเปล่า” กริชชัยถาม
“ตัวฉันน่ะไม่มี แกก็ดูแลน้องสาวแกให้ดีๆแล้วกัน ยิ่งบ๊องๆอยู่”
กริชชัยหันมาทางวัชระ
“แล้วแก...แหนมมาหรือเปล่า”
วัชระอ้าปากค้าง ยังไม่ทันจะตอบ เสียงออดก็ดังขึ้น ทุกคนหันไปที่ประตูด้วยความแปลกใจ

เมื่อประตูห้องกริชชัยถูกวัชระเปิดออก เนตรนภัสยืนอยู่ที่ประตูพร้อมกับใบหน้าเหวี่ยงที่พร้อมจะอาละวาดได้ทุกเมื่อ วัชระตกใจเล็กน้อยเพราะคิดไม่ถึง เนตรนภัสเปล่งเสียงถามทันที
“ผู้หญิงที่ชื่อ ลำเภามันคือใคร”
“แหนม..มาได้ยังไง”
“แหนมเห็นรูปที่ธีถ่ายคู่กับวัชแล้วก็แปะลงเฟชบุคเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว แหนมก็เลยรีบตามมา”
วัชระหันขวับมาทางธีธัช ธีธัชสะดุ้งเฮือกกำลังจะเก็บโทรศัพท์เพราะกลัวเพื่อนด่า กริชชัยรีบดึงมากดดู
หน้าจอเป็นภาพที่เพิ่งจะอัพในเฟซบุค เป็นรูปที่วัชระกริชชัยกำลังแต่งห้องอยู่
กริชชัยมองหน้าธีธัชอย่างตำหนิ ธีธัชยิ้มแหยๆ แล้วก็ดึงมือถือกลับ เสียงของเนตรนภัสดังขึ้นถามอย่างคาดคั้น
“วัชยังไม่ตอบเลย นังผู้หญิงที่ชื่อลำเภามันเป็นใคร ทำไมไปเดินกับมัน แล้วยังจะไปอุ้มหมากับมันอีก หรือว่า แอบเอาหมามาเลี้ยง แล้วไม่บอกแหนม วัชก็รู้ว่าแหนมเกลียดหมาที่สุด วัชทำแบบนี้ได้ยังไงหะ”
“แหนม..ทีละเรื่องได้มั้ย เรื่องลำเภากับเรื่องหมาน่ะ อย่าเอามาปนกัน”
“โอเค งั้นเอาเรื่องนังผู้หญิงนั่นก่อน .. ไปนอนกันมาหรือยัง”
“เฮ้ย” ธีธัชและกริชชัยร้องออกมาพร้อมกัน กริชชัยตกใจ แต่ว่าธีธัชเดือดร้อนแทน
“แหนม..ถามน่าเกลียด ผมไม่ใช่ผู้ชายแบบนั้นแหนมก็รู้”
“เฮ้ยวัช แกต้องเคลียร์ให้เภาด้วยนะ”
“ใช่ พูดแบบนี้ เภาเค้าเสียหายหมด” ธีธัชเผลอพูดอย่างลืมตัว
กริชชัยหันขวับมาทางธีธัช เพราะรู้สึกแปลกๆตั้งแต่ตอนร้อง “เฮ้ย” ขึ้นพร้อมกันแล้ว ธีธัชสะดุ้งนิดๆ แล้วก็เฉไฉตามฟอร์ม
“ฉันก็พูดในฐานะเพื่อนพี่ชายไง”
ธีธัชพยายามจะกลบเกลื่อน กริชชัยยังมองด้วยความไม่วางใจ วัชระเข้าใจ
“ได้ ฉันจัดการเอง” วัชระหันมาทางเนตรนภัส
“อยากรู้เรื่องลำเภาใช่มั้ย.. ได้ ผมจะเล่าให้ฟังทั้งหมดเลย”

เสียงของเนตรนภัสทำให้สุพรรณิการ์ต้องเดินออกมาจากห้องนอนด้วยความแปลกใจ
“ใครมาทะเลาะกันอยู่หน้าห้อง”
สุพรรณิการ์เดินมาที่หน้าประตูแล้วก็ส่องตาแมวดูสถานการณ์หน้าห้อง ภาพที่เห็นผ่านตาแมวหน้าห้องทำให้
สุพรรณิการ์ถึงกับชะงัก “นายหน้าหนวด”

ประตูห้องกริชชัยปิดลง และพยายามจะอธิบายให้เนตรนภัสฟังที่หน้าห้อง ประตูห้องกริชชัยปิดอย่างเงียบกริบ
“เด็กนั่นชื่อลำเภา”
“รู้แล้ว บอกอย่างอื่นสิ” เนตรนภัสพูดพลางกอดอก
“ยังไม่ได้นอนด้วยกัน”
“ไม่เชื่อ”
“สาบาน”
“ตลอดชีวิตวัชสาบานไว้ตั้งเยอะ แหนมไม่เชื่ออยู่ดี”
“แล้วจะให้ทำยังไง” วัชระพูดอย่างหนื่อยใจ
“เอาเบอร์มา แหนมจะโทร.ไปเคลียร์เอง”
“ไม่ให้..ลำเภาเป็นเหมือนน้องสาวผม เค้าเป็นลูกพี่ลูกน้องไอ้กริช ผมไม่ยอมให้คุณโทร.ไปอาละวาดเด็ดขาด”
“ปกป้องกันขนาดนี้ แล้วจะให้แหนมเชื่อได้ยังไงว่าไม่มีอะไรกัน ถึงวัชไม่ให้แหนมก็หาเบอร์มาเองได้ อย่าคิดว่าเรื่องแค่นี้แหนมทำไม่ได้ แหนมทำได้ทุกอย่างเพื่อรักษาวัชไว้ วัชเป็นของแหนม คนอื่นห้ามแตะ”
“คุณรักผมมากขนาดนี้เลยเหรอแหนม” วัชระพูดและมองด้วยความไม่เข้าใจ
เนตรนภัสลอยหน้าตอบ
“เปล่า”
วัชระชะงัก เนตรนภัสพูดต่อ
“แหนมแค่รักษาสมบัติของแหนมเอาไว้ แหนมยอมไม่ได้ที่จะมีคนอื่นมาแย่งคุณ แล้วนี่อีกไม่นานเราก็จะแต่งงานกัน แหนมไม่ยอมถอยหลังไปนับหนึ่งใหม่เด็ดขาด”
วัชระพยักหน้าด้วยความเศร้าใจ
“โอเค..ซึ้ง! ผมเข้าใจแล้ว.. แต่ผมก็ยังยืนยันว่าผมกับลำเภา ไม่ได้มีอะไรกัน และถ้าแหนมอยากเจอลำเภาแบบเป็นๆ วันอาทิตย์นี้จะมีปาร์ตี้ที่ห้อง ลำเภามาด้วย แหนมก็มาดูกับตาเอาเอง จะได้รู้ว่าผมกับลำเภาเราไม่ได้มีอะไรกัน” วัชระย้ำอย่างมั่นใจมากแรง เนตรนภัสมองหน้าวัชระ เหมือนจะเชื่อแต่ก็ยังไม่วางใจอยู่ดี

สุพรรณิการ์ถอนสายตาออกจากที่ส่องบนประตูด้วยความสงสาร และอึดอัดแทน สุพรรณิการ์เห็นใจ และเข้าใจวัชระมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว

สุพรรณิการ์และอรุณศรีนั่งคุยกันอยู่ในร้านกาแฟหน้าตึกทำงานบริษัท M Group ในช่วงระหว่างพักเที่ยง ผู้คนเดินไปมามากกว่าเวลาอื่น
อรุณศณีตอบเสียงนิ่ง
“ฉันคิดว่า..ฉันคงไม่ไปงานปาร์ตี้”
สุพรรณิการ์เลิกคิ้วด้วยความสงสัย
“ขอเหตุผล”
อรุณศรีเอานิ้วลูบไปมาที่ปากแก้วน้ำชาตรงหน้า เหมือนจะคิดแล้วตอบ
“ฉันว่ามันน่าเกลียด งานปาร์ตี้ส่วนตัวของเจ้านาย ฉันเป็นแค่ลูกน้องระดับล่าง แจ๋นจะไป มันรู้สึกยังไงไม่รู้ ขนาดพี่เบญลี่ยังไม่ได้ไปเลย”
สุพรรณิการ์อ้าปากจะแย้ง เสียงเบญลี่ดังแทรกเข้ามาก่อน
“ไม่เป็นไรจ้ะ พี่ไม่ถือ”
อรุณศรีกับสุพรรณิการ์ตกใจนิดๆ หันขวับมาที่ต้นเสียง เห็นเบญลี่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ หันหลังแอบฟังสุดฤทธิ์
“เฮ้ย! พี่เบญลี่”
เบญลี่หันขวับมา พร้อมกับเลื่อนเก้าอี้มานั่งด้วยอย่างเนียนๆ
“พี่แอบฟังอยู่จ้ะก็เลยรู้ว่าคุยอะไรกัน แอ๊วไปเลยจ้ะ คุณกริชถึงกับเอ่ยปากชวน แปลว่าต้องอยากให้ไปแน่นอน เพราะฉะนั้นไปเลย” เบญลี่พูดพลางยิ้มกว้าง
“แต่มันเป็นปาร์ตี้เจ้านาย กับเพื่อนสนิทนะคะ แอ๊วไม่อยากรบกวน”
“แอ๊วจ้ะ คนเราสวมหมวกหลายใบในชีวิต คุณกริชอยู่ที่ทำงานก็สวมหมวกเจ้าของบริษัท เราก็นับถือที่เค้าเป็นบอสเรา แต่สำหรับงานปาร์ตี้เค้าอาจจะชวนแอ๊วในฐานะผู้ชายที่แอบชอบแอ๊วอยู่ก็ได้”
สุพรรณิการ์พยักหน้าเห็นด้วยเป็นอยย่างมาก
“ใช่... เพราะฉะนั้นแกต้องแยกแยะให้ออก”
“และก็ตอบรับจะไปปาร์ตี้อย่างไม่ต้องลังเล เชื่อพี่” เบญลี่พูดพลางจับมืออรุณศรีราวกับต้องการสร้างความเชื่อมั่น
“เชื่อเพื่อนด้วย” สุพรรณิการ์พูดสำทับอีกแรง

สองสาวได้แต่ลุ้นอยู่ในใจ อรุณศรีคิดหนักไม่รู้ว่าจะตัดสินใจอย่างไรดี

อ่านต่อตอนที่ 13






กำลังโหลดความคิดเห็น