สามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 6
ในที่สุด กริชชัยก็ไม่ปฏิเสธคำเชื้อเชิญของเบญลี่
ย่านกิน ช้อป ของหนุ่มสาวออฟฟิศแห่งนั้น อยู่ไม่ห่างจากที่ทำงานของอรุณศรี บรรดามนุษย์เงินเดือนเดินกันไปมาอย่างคึกคัก หนึ่งในนั้นยามเที่ยงนี้มีกริชชัยที่เดินปะปนอยู่อย่างไม่ค่อยคุ้นเคยนัก แต่ก็พยายามจะทำตัวกลมกลืน เบญลี่เดินขนาบกลางระหว่างกริชชัยกับอรุณศรีที่แอบอึดอัดนิดๆ เพราะทำตัวไม่ถูก
เบญลี่มองอรุณศรีและกริชชัยที่เดินขนาบข้างตัวเองอยู่ จนรู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกิน เบญลี่เริ่มคิดอย่างเจ้าเล่ห์
พยายามใช้ความชุลมุนที่มีผู้คนเดินไปมาขวักไขว่ เบี่ยงตัวเองออกมาจากการเป็นคนที่คั่นกลาง เปิดโอกาสให้กริชชัยและอรุณศรีได้ยืนคู่กัน ส่วนตัวเองยังทำเป็นเดินเบียดให้อรุณศรี ขยับเข้าไปใกล้กับกริชชัยมากขึ้น
“โอ้ย” เบญลี่ทำเป็นเดินเซไปชนอรุณศรีให้ขยับเข้าใกล้กริชชัย
อรุณศรีเซไปโดนกริชชัย กริชชัยคว้าตัวไว้
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
อรุณศรีรีบทรงตัวยืน
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณค่ะ”
“ขอโทษนะจ้ะแอ๊ว..คนเมื่อกี๊เค้าเดินไม่ระวังเลย พี่ไม่ได้ตั้งใจ” เบญลี่แก้ตัวแบบเนียนๆ
อรุณศรีทำหน้าไม่อยากเชื่อ เบญลี่รีบพูดเฉไฉ
“อุ้ยตาย..ถึงร้านแล้ว รีบไปเถอะจ้ะ เดี๋ยวไม่มีโต๊ะ”” เบญลี่รีบเดินนำเข้าร้าน
“น้องๆ 3 ที่นะจ้ะ” เบญลี่ตะโกนบอกเจ้าของร้านด้วยความกุลีกุจอ
อรุณศรีมองตามเบญลี่อย่างแอบไม่วางใจ
กริชชัยมองอรุณศรีแล้วก็ยิ้มๆ ชอบใจที่ได้อยู่ใกล้กัน อรุณศรีหันมาเห็น กริชชัยหุบยิ้มฉับพลัน
“ร้านเล็ก ร้อน คนเยอะ คุณจะทานได้เหรอคะ” อรุณศรีถามกริชชัย
“ผมมาทานอาหาร ไม่ได้มาทานบรรยากาศ”
กริชชัยตอบตรงๆ แต่อรุณศรีคิดว่า กริชชัยตั้งใจพูดกวน
“ก็ลองดู” อรุณศรียิ้มแต่แอบหมั่นไส้
อรุณศรีเดินเข้าไปในร้าน กริชชัยมองเข้าไปในร้านส้มตำ เห็นคนแน่นเต็มร้านไปหมด จนแอบคิดว่า จะไหวมั๊ยเนี่ย
เบญลี่กินส้มตำไป แต่แอบมองกริชชัยไปด้วยความเป็นห่วง อรุณศรีกินไปยิ้มไป แอบสะใจเล็กน้อย
รสชาติของส้มตำที่เผ็ดร้อน และผู้คนหนาแน่นเต็มร้าน ทำให้กริชชัยร้อน เหงื่อออกเต็มหน้า เสื้อผ้าชุ่มชื้นไปด้วยเหงื่อ
“เบญลี่ขอโทษนะคะที่พาคุณกริชมาตกระกำลำบาก”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณกริชเค้ารู้อยู่แล้วว่าต้องมาเจออะไรแบบนี้ คุณกริชเค้ามาทานอาหารค่ะ ไม่ได้มาทานบรรยากาศ” อรุณศรีตอบแทนแกมประชด
กริชชัยมองหน้าอรุณศรี
“ใช่..ไม่ต้องคิดมาก ผมรับได้”
กริชชัยตอบแบบแมนๆ แล้วก็ปลดไทน์ออก พร้อมกับพับแขนเสื้อเชิ้ตขึ้น ปลดกระดุมเสื้อเผยให้เห็นหน้าอกขาวๆ อรุณศรีถึงกับหุบยิ้มนิดๆ แอบมองโดยไม่รู้ตัว จนอรุณศรีแอบคิดว่า กริชชัยในอิริยาบถสบายๆแบบนี้ก็ดูน่ารักดีเหมือนกัน
“ตายแล้ว..ไม่เคยเห็นคุณกริชทำตัวสบายๆแบบนี้เลยนะคะเนี่ย ที่จริงคุณกริชทำตัวแบบนี้บ้างก็ดีนะคะ..น่ารักดีค่ะ” เบญลี่ยิ้มกว้าง แล้วก็หาหันไปถามอรุณศรี
“ใช่มั๊ยแอ๊ว”
อรุณศรีถึงกับสะอึก เพราะในใจกำลังคิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน
กริชชัยมองหน้าอรุณศรีเหมือนจะรอคำตอบ..แต่อรุณศรีตอบไปว่า
“อื้อ..ก็..แปลกตาดี”
“แปลก.. แล้ว น่ารัก หรือเปล่า” กริชชัยถามตรงๆ หน้าซื่อ
เบญลี่หันขวับมาทางกริชชัย. ไม่คิดว่าเจ้านายจะใช้มุกนี้
“แปลกก็คือแปลกค่ะ ไม่เกี่ยวกับน่ารัก” อรุณศรีวางฟอร์มเข้ม
“อ้อ..แล้วไป” กริชชัยว่า
เบญลี่มองหน้าสองคนแล้วก็พูดลอยๆ
“ ใช่.. แปลกมากๆ”
กริชชัยและอรุณศรีหันมาทางเบญลี่พร้อมกัน เบญลี่รีบเฉไฉทันที
“คือ..มันก็แปลกไงคะ ที่คุณกริชมาทานส้มตำตรงนี้ แล้วก็ทำตัวสบายๆแบบนี้ มันแปลกจริงนะคะ.. แปลกมาก”
เบญลี่ยังหมกหมุ่นครุ่นคิดเรื่องของสองคนอย่างสาระแน
อรุณศรีตอบด้วยความไม่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์
“พี่เบญลี่น่ะคิดมาก..มันไม่มีอะไรจริงๆ”
“แต่พี่ว่ามี” เบญลี่หรี่เสียงลงเกรงว่าใครจะได้ยิน แต่เสียงหนักแน่นมาก
“คุณกริชต้องชอบแอ๊วแน่ๆ”
อรุณศรีตกใจ มือที่ทาลิปสติกสีแดงอยู่กระตุก ลิปสติกถูกวาดปื้ดเป็นเส้นออกไปที่แก้มจนเบญลี่ตกใจ
“ว้าย แอ๊วใจเย็นๆ”
เบญลี่รีบหันไปหยิบกระดาษทิชชู่ส่งให้
“อุ้ยตาย..ขวัญอ่อน” เบญลี่แซว
อรุณศรีเช็ดลิปสติกที่เลอะไปพูดไป
“มันเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ ก็ตอนกลับจากวังน้ำเขียว พี่เบญลี่ยังบอกให้แอ๊วระวังอย่าให้คุณกริชเจอแฟน เพราะคุณกริชเป็นเกย์”
เบญลี่สวนเสียงดังด้วยความตกใจฃ
“คุณกริชไม่ได้เป็นเกย์” เบญลี่ยืนยัน
คนในออฟฟิศหันมามองด้วยความแปลกใจ อรุณศรีรีบสะกิดให้เบญลี่หรี่เสียง เบญลี่รู้ตัวรีบยิ้มแห้งๆเหมือนไม่มีอะไร แล้วก็หันมาหรี่เสียงเม้าท์กับอรุณศรีต่อ
“ที่พี่พูดหมายถึงว่า คุณกริชเค้าดูเหมือนจะปิ๊งหนู เพื่ออนาคตอันสวยงาม หนูก็ไม่ควรจะตัดโอกาสโดยการเปิดเผยเรื่องแฟน พี่ไม่ได้หมายความว่าคุณกริชเป็นเกย์ ทุกวันนี้เท่าที่มีอยู่ก็แทบจะตั้งเป็นประเทศได้แล้ว ขอเว้นคุณกริชไว้สักคนเถอะ เสียดายของ” อรุณศรีอึ้ง พูดไม่ออก
“ในฐานะที่เป็นเลขา และผู้หญิงคนสนิท พี่ขอยืนยันว่าคุณกริชเป็นผู้ชายทั้งแท่ง! ถึงจะไม่เคยพิสูจน์ แต่ก็มั่นใจว่าประสิทธิภาพเต็มร้อย แอ๊วไม่รู้จริงๆ เหรอว่าคุณกริชเค้าคิดอะไรๆ ด้วย..”แอ๊ว” ไม่ “เอ๊ะ” บ้างเหรอ“
อรุณศรีเริ่มจะเอ๊ะ..แต่ความจริงบางอย่างมันค้ำคอ
“แอ๊วมีแฟนแล้ว..แอ๊วไม่อยากจะ “เอ๊ะ” อะไรทั้งนั้น”
“คำตอบนี้ นางเอกที่สุดในจักรวาล”
เบญลี่พูดด้วยความชื่นชม
“ตกลงเค้าชอบฉันจริงเหรอนี่” อรุณศรีถามตัวเองในใจ
หน้าคอนโด “สามเหลี่ยม สามมุม” ของกริชชัย รถของธีธัชเข้ามาจอดเสียบที่เดิม ธีธัชเดินลงมาหยิบกล่องของแต่งบ้านลงจากรถ ลำโพงทันสมัยรูปทรงเก๋ไก๋ ธีธัชเหลือบไปเห็นรถวัชระจอดอยู่ก็แปลกใจ
“ไอ้วัชมันมาทำอะไรของมัน” ธีธัชคิด
ภายในห้องพัก ธีธัชวางกล่องลำโพงไว้บนโต๊ะ มองดูกระสอบที่ห้อยอยู่ และสภาพเพื่อนก็พอจะเดาออก
“มาระบายความเครียดที่นี่ ไม่อยากระบายที่บ้าน ไม่อยากให้แม่ไม่สบายใจ” วัชระบอก
“เรื่องแต่งงานอ่ะดิ”
วัชระพยักหน้าวัชระแทนคำตอบ วัระนั่งอยู่ที่ริมหน้าต่าง ในมือถือขวดน้ำขึ้นกระดกดื่มอัก อัก
“ฉันขอแนะนำ..รับรองวิธีนี้ได้ผล แกเลิกกลุ้มแน่ๆ” ธีธัชบอก วัชระหันมา
“ถ้าเจอแบบนี้มันต้องตั้งโปรแกรมใหม่” ธีธัชเกริ่น
“ตั้งโปรแกรมใหม่ ทำไงวะ” วัชระสงสัย
“เริ่มต้นจาก เลิก เลิกไปเลย แล้วถ้าแหนมอยากกลับมาคืนดี แกก็ต้องสร้างเงื่อนไขในการคบกันใหม่ ทำให้เขาเห็นว่าการแต่งงานมันเป็นการกีดกันอิสรภาพ ปิดโอกาสตัวเอง คนเรารักกันไม่จำเป็นต้องแต่งงานกันก็ได้ เราต้องค่อยๆล้างสมองทีละนิด..ทีละนิด แล้ววันหนึ่ง ผู้หญิง..ก็จะเลิกคิดแต่งงานไปเอง” ธีธัชยิ้มแป้นแนะนำราวกับกูรูผู้ชาญชาญการในความรัก
วัชระฟังแล้วก็ยิ่งกลุ้มหนักเพราะไม่มีทางที่เนตรนภัสจะรับเงื่อนไขนี้ได้
“เหมือนกรกนกไง..ไม่เคยปริปากเรื่องแต่งงานแม้แต่นิดเดียว โดนฉันล้างสมองไปเรียบร้อย” ธีธัชยิ้มมีความสุขมากด้วยความมั่นใจ
“แต่คุณกรกับแหนมไม่เหมือนกัน ถ้าฉันทำแบบนั้นกับเค้าวันนี้ พรุ่งนี้แกเตรียมไปงานศพฉันได้เลย” วัชระบอก
ธีธัชสะดุ้งเฮือก
“เฮ้ย..แหนมเค้าแรงขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ตอนนี้ฉันชักไม่แน่ใจแล้วว่าเค้าเป็นคนยังไง อะไรที่ไม่คิดว่าเค้าจะเป็น เค้าก็เป็นอะไรที่คิดว่าเค้าไม่น่าทำ เค้าอาจจะทำก็ได้”
ธีธัชมองหน้าวัชระด้วยความเห็นใจ
“แล้วแบบนี้..แต่งกันไป มันจะไหวเหรอวะ”
“ไม่รู้ว่ะ...ตอนนี้ฉัน...แม่ง...ไม่รู้อะไรทั้งนั้น”
วัชระตอบด้วยความสับสน ธีธัชมองวัชระด้วยความเห็นใจ
วัชระมองออกไปเห็นวิวนอกหน้าต่าง ในใจคิดถึงอิสรภาพ แต่ในสภาพความจริงมีแต่ความตีบตัน
วัชระนึกถึงข้อเขียนของพระมหาวุฒยิชัย วชิรเมธีที่เขาเคยอ่าน
“ความรัก... เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราทุกคนอยู่แล้ว โดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว สำหรับผู้ที่รักอย่างรู้ตัว ที่ใดมีรัก ที่นั่นก็มีความสุข แต่สำหรับผู้ที่รักอย่างลืมตัว ที่ใดมีรัก ที่นั่นก็มีทุกข์”
เสียงออดดังขึ้นที่หน้าห้องบนคอนโดของธีธัช เสียงกรกนกดังขึ้น
“มาแล้วค่ะ” กรกนกร้องบอก พลางรีบเดินมาเปิดประตู ขณะที่ใส่ตุ้มหูเพื่อเตรียมแต่งตัวไปทำงาน กรกนกเปิดประตูเลยเพราะคิดว่าเป็นธีธัช
“ธี..ทำไม กลับมาเร็วจัง”
ประตูเปิดออก ลำเภายืนอยู่ในสภาพชุดอยู่บ้าน ใส่แว่น กรกนกงงเล็กน้อยเพราะคิดว่า ลำเภามาห้องผิด
“เอ่อ..หนูมาหาใครจ๊ะ”
ลำเภาปรายตามองกรกนกเล็กน้อย ..
“ใครเป็นหนูยะ ฉันเป็นสาวแล้วนะ...ฉันมาหาคุณธี”
“เขายังไม่กลับ มีอะไรสั่งไว้ได้มั้ย”
“แล้วเขาจะกลับกี่โมง”
“ไม่รู้สิ เค้าไม่ได้บอก”
“งั้นฉันรอดีกว่า”
ลำเภาพูดจบก็เดินเข้ามาในห้องเลย กรกนกอึ้ง ทำอะไรไม่ถูก ลำเภาหย่อนก้นนั่งลงบนโซฟา ในห้องนั่งเล่น
“น้องจะรอที่นี่เหรอคะ”
“ใช่ค่ะ ฉันจะรอที่นี่”
กรกนกกอดอก เริ่มต้นถามจริงจัง
“น้องรู้จักกับธีนานหรือยัง”
“ไม่นานค่ะ รู้จักกันไม่ถึงเดือน เจอกัน 2 ครั้ง”
“แล้วมาหาเค้าที่นี่”
“ค่ะ ฉันอยากมาดูว่าเค้าอยู่ยังไง”
“ทำไมต้องมาดู”
“เขาจะมาเป็น “แฟน” ฉันนี่คะ ฉันก็ต้องมาตรวจดูสภาพความเป็นอยู่นิดนึงว่าเป็นคนยังไง “
กรกนกคลายแขนที่กอดอกออกถามย้ำ
“เป็นแฟนเนี่ยนะ”
“ใช่ค่ะ” ลำเภาตอบมั่นใจ
“เธอชื่ออะไร เป็นใคร มาจากไหน”
“ฉันชื่อลำเภา เป็นสัตวแพทย์ มาจากบ้าน” ลำเภาตอบเคลียร์ทุกคำถามของกรกนก
กรกนกอะใจทันที นึกถึงเรื่องที่ธีธัชเคยเล่าให้ฟัง
“ค่ะ..เดี๋ยว สัตวแพทย์ น้องคุณกริชที่ฟาดหัวธีใช่มั้ย” กรกนกถาม
“นั่นแหละค่ะ ใช่เลย” ลำเภาตอบอย่างภูมิใจ
กรกนกยังมองหน้าลำเภานิ่ง
“แล้ว...ทำไม”
“เขาท้าฉันเอง เขาบอกว่า...อย่างฉันจะต้องมีแฟนเป็นหมา”
กรกนกตกใจกับคำพูดของลำเภา ไม่คิดว่าธีธัชจะพูดอย่างนั้น
“ฉันก็เลยบอกว่า หมาที่ชื่อธีธัชก็ไม่เว้น เขาจะต้องมาแฟนฉันเพื่อลบคำประมาท”
กรกนกกลืนน้ำลาย ไม่คิดว่าลำเภาจะมีความคิดไม่เหมือนใครอย่างนี้
“งั้นก็ ตามสบายนะ ฉันขอตัวไปห้องน้ำ”
กรกนกค่อยๆหันหลังให้ลำเภา แววตาเต็มไปด้วยคำถาม ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำ ลำเภายังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมอย่างมั่นใจ
ในห้องน้ำ กรกนกโทรศัพท์หาธีธัช ธีธัชโพล่งใส่โทรศัพท์
“ยัยหนูตะเภามาที่ห้อง”
“ใช่ เค้าบอกว่าจะมาดูความเป็นอยู่ของธี ตอนนี้ธีอยู่ที่ไหนแล้ว รีบกลับมาเคลียร์เดี๋ยวนี้เลยนะ” กรกนกว่า
“ได้ๆ จะรีบไปเดี๋ยวนี้” ธีธัชรับปากและวางสายไป
กรกนกวางสายตามพร้อมกับส่ายหน้าเอือมๆ
“ยัยเด็กบ๊องรู้จักที่อยู่เราได้ยังไงวะ” ธีธัชเอะใจ
ย้อนกลับไปเมื่อหลายชั่วโมงก่อน ที่คอนโดในห้องกริชชัย ขณะที่วัชระที่กำลังเก็บของออกจากห้อง ธีธัชบอกว่า
“ไอ้วัช แกอย่าลืมไปขอโทษยัยลำเภาน้องไอ้กริชมันด้วยนะเว้ย ฉันเสียสละบากหน้าไปขอโทษก่อนแกแล้ว คราวนี้คิวแก”
“เออๆ ก็ได้ ทางผ่านพอดี เดี๋ยวฉันแวะไปขอโทษก่อนกลับบ้านก็แล้วกัน จะได้จบๆ แล้วแกไม่ต้องลากฉันไปซวยอีกเลยนะ”
“ไม่ต้องห่วง ฉันก็ไม่อยากยุ่งนักหรอก เด็กอะไรก็ไม่รู้ เพี้ยน”
ธีธัชพูดถึงลำเภาด้วยความไม่ปลื้ม
หลังจากที่วัชระแวะหาลำเภาเป็นที่เรียบร้อย เป็นจังหวะเดียวกับที่ธีธัชนึกอยากรู้บางอย่าง จึงโทรหาวัชระ ขณะนั้น วัชระกลับถึงบ้านแล้ว ส่วนธีธัชกำลังขับรถอยู่บนถนนเพื่อกลับไปคอนโดฯของตัวเอง
“ไม่เห็นลำเภาเค้าจะเพี้ยนเลย เขาก็น่ารักดี พูดจาดี ทำกับข้าวให้ฉันกินอีกต่างหาก”
ธีธัชได้ยินดังนั้นก็โวยกลับไปผ่านสมอลล์ทอล์ค
“เอ้ย ฉันไม่ได้จะโทร.มาถามแกเรื่องนี้ ฉันจะถามว่า ตอนแกคุยกับเด็กนั่น แก ไปหลุดปากบอกหรือเปล่าว่าคอนโดฉันอยู่ที่ไหน”
วัชระตอบหน้านิ่งๆ
“เปล่า ฉันไม่ได้หลุดปาก... แต่ฉันตั้งใจบอก”
“เฮ้ย แล้วแกไปบอกเค้าทำไม”
“ก็เภาเค้าถาม ฉันก็บอก ไม่เห็นจะเสียหาย”
“แกไม่เสีย แต่ฉันเสียเว้ย ตอนนี้ยัยหนูตะเภาไปนั่งเจ๋อรอฉันอยู่ในห้อง กรโทร.มาจิกให้ฉันรีบกลับไปเคลียร์ สำหรับแกยัยลำเภาอาจจะไม่เพี้ยน แต่สำหรับฉัน เพี้ยนมาก”
ธีธัชพูดจบก็วางสายไปด้วยความหงุดหงิด
หลังวัชระวางสาย แต่อดคิดและแปลกใจไม่ได้ว่า ลำเภาไปห้องธีธัชทำไม
ภายในห้องของธีธัช ลำเภาและกรกนกนั่งเงียบๆ กันอยู่ในห้อง ลำเภานั่งนิ่งอย่างมั่นใจ แต่กรกนกกระสับกระส่ายดูนาฬิกาสลับกับมองประตู ว่าเมื่อไหร่ธีธัชจะมาสักทีด้วยความอึดอัด
ลำเภาทำลายความเงียบด้วยการลุกขึ้นยืน กรกนกลุกตามด้วยความตกใจ
“ฉันกลับแล้วนะคะ ได้เวลากลับไปให้อาหารหมา” ลำเภาพูดทำลายความเงียบขึ้น
“ฝากบอกเค้าด้วยนะคะว่าฉันมาหา” ลำเภาพูดต่อ
ลำเภากำลังจะเดินออกไปนอกห้อง กรกนกนึกได้จึงถามขึ้น
“แล้วกลับยังไงคะ”
ลำเภาหันมาตอบยิ้มๆ
“ฉันขับรถมาเองค่ะ เดี๋ยวขับรถกลับ ขอบคุณนะคะที่ถาม”
ลำเภาเดินออกจากห้องไป ประตูปิดลง กรกนกยืนอยู่คนเดียวในห้อง ก่อนจะค่อยๆหย่อนตัวลงนั่ง
“มาแนวไหนวะเนี่ย” กรกนกพึงพำกับตัวเอง
“แนวอึ้งไง ธีบอกแล้วว่ายัยเด็กเนี่ย สติไม่ค่อยดี เจอกี่ทีก็ต้องอึ้ง เชื่อยัง” ธีธัชโวยวายทันทีที่กลับมาถึงคอนโดฯ
กรกนกมองหน้าธีธัช
“แต่ลำเภาเนี่ย..ใช่เลย! ผิวใส หน้าหมวย ตัวเล็ก สเปคธี”
ธีธัชผงะและเอะใจ
“ไม่นะ นี่อย่าบอกนะว่ากรหึงเด็กนั่น”
“จะไปรู้เหรอ วันนึงธีอาจจะแพ้ กลายเป็นหมาตัวใหม่ของเค้าก็ได้ จะบอกให้นะ ลำเภาไม่ได้เพี้ยน แต่ฉลาดมาก บางทีอาจจะฉลาดกว่าธีด้วยซ้ำ”
“อ้าว ไหงพูดเงี้ยกร อย่าพาลสิ“ ธีธัชเดินเข้ามากอดออดอ้อน
“อะไรกัน แค่โดนเด็กนั่นแผลงฤทธิ์หน่อยเดียว ถึงกับปรี๊ดเลยเหรอ ไม่เอาน่า ยิ้มหน่อยนะ” ธีธัชพูดต่อ
กรกนกสะบัดตัวหนี พูดอย่างจริงจัง
“กรไม่ได้พูดเพราะปรี๊ด หรือเพราะอารมณ์ กรพูดจริง ธี...ไปบอกเลิกเด็กนั่นซะ”
“บอกเลิกอาราย...ผมไม่ได้เป็นอะไรกับเค้า จะไปเลิกได้ยังไง”
“เลิกเล่นเกม ยอมขอโทษที่พูดไม่ดีกับเค้า เรื่องให้เค้าไปเป็นแฟนกับหมา แล้วอย่าไปเล่นเกมท้าทายอะไรกันอีก”
“ไม่มีทาง ผมไม่มีวันจะขอโทษเด็กนั่น มันเสียฟอร์ม ยัยหนูตะเภาจะได้หัวเราะเยาะผมไปตลอดชีวิต”
กรกนกมองหน้าธีธัช น้ำเสียงจริงจัง
“ธี คิดซะว่าทำเพื่อกร ขอโทษเด็กนั่นยอมเสียศักดิ์ศรีเพื่อกร ธีจะทำได้หรือเปล่า”
ธีธัชหลบตาไม่พูดอะไร กรกนกรู้สึกร้อนผ่าวที่รอบดวงตาเหมือนน้ำตาจะไหล แต่ก็กลั้นไว้ ไม่พูดอะไรทั้งนั้น หันไปหยิบกระเป๋าแล้วก็เดินออก ธีธัชผงะจะอ้าปากเรียก แต่ก็ไม่ยอมเรียก ปล่อยให้กรกนกเดินออกจากห้อง ไปแล้วผลักบานประตูปิดลง
กรกนกยืนอยู่หน้าห้อง คิดว่าธีธัชจะออกมาง้อ กรกนกรออยู่ครู่หนึ่งจนมั่นใจว่า ธีธัชไม่ตอบรับการง้อ ความเงียบเข้ามาคลอบคลุม กรกนกเดินเชิดหน้า ปาดน้ำตาที่ปริ่มๆอยู่บริเวณรอบขอบตา ก่อนจะสูดลมหายใจลึกๆ และเดินออกไปอย่างเข้มแข็ง
ภายในห้อง ธีธัชตั้งใจจะเตะขาเก้าอี้ด้วยความหงุดหงิด แต่พลาดไปโดนขาโต๊ะอย่างจัง
“โอ้ย”
ธีธัชร้องและรีบจับขาด้วยความเจ็บ แต่เสียหลักก้นกระแทกพื้นอีกหนึ่งที “โอ้ย” แต่เมื่อเงยหน้าร้องด้วยความเจ็บ หัวไปกระแทกโดนเข้ากับเคาท์เตอร์ด้านหลังอีก
“โอ้ย ทำไมถึงได้ซวยซ้ำซวยซ้อนแบบนี้วะเนี่ย ฮึ่ม! ยัยลำเภา ยัยเด็กบ๊องเพราะเธอคนเดียว เจอดีแน่”
ธีธัชคิดถึงลำเภาด้วยความแค้นจนต้องเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
รถแท๊กซี่เข้ามาจอดเทียบที่หน้าบ้านอรุณศรี
ปรานต์นั่งรออยู่ในรถ พอเห็นอรุณศรีลงจากแท๊กซี่ก็รีบลงจากรถและปรี่เข้ามาหา
“แอ๊ว”
อรุณศรีหันไป แปลกใจเล็กน้อยที่ปรานต์มาดักรอเธอ
“ปรานต์มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่บอกก่อน”
“แล้วทำไมปรานต์ต้องบอก เมื่อก่อนจะมาไม่เห็นต้องบอก หรือว่า...แอ๊วซ่อนใครไว้ ไม่อยากให้ปรานต์มาเจอ”
“ปรานต์อย่าหาเรื่องทะเลาะได้มั๊ย แอ๊วเหนื่อย แล้วมาหามีเรื่องอะไร คงไม่ได้มาเพราะคิดถึงหรอกนะ แอ๊วไม่เชื่อ”
“ก็ เรื่องนั้นน่ะ เรื่องที่ถามไว้ ตกลงแอ๊วมีให้ปรานต์ยืมหรือเปล่า”
อรุณศรีมองหน้าปรานต์ด้วยความหนักใจ เหนื่อยใจ และยังไม่อยากตอบ
อรุณศรีวางกระเป๋าไว้บนโต๊ะ แล้วหันมาตอบปรานต์ที่เดินตามเข้ามา
“แอ๊วไม่มีตังค์มากขนาดนั้นนะปรานต์ ตั้งสี่แสนไม่ใช่น้อยๆ งานที่ทำเงินเดือนก็ไม่เยอะ”
“แล้วเงินที่ได้ตอนเป็นพริตตี้ล่ะ หายไปไหนหมด”
“แอ๊วก็ต้องกินต้องใช้ เวลาไปไหนมาไหนกับปรานต์ที แอ๊วก็ต้องออก ปรานต์กินเที่ยวแต่ที่แพงๆ แล้วเงินมันจะไปเหลืออะไร” อรุณศรีพรั่งพรูออกมา
“นี่แอ๊วโทษว่าปรานต์ทำให้แอ๊วไม่มีเงินเหรอ” ปรานต์เริ่มอารมณ์เสีย
“แอ๊วไม่ได้โทษ แค่พูดความจริงให้ฟัง แอ๊วไม่เงินถึงสี่แสนจริงๆ”
“แล้วมีอยู่เท่าไหร่? เอาสมุดบัญชีมาดูสิ”
ปรานต์พุ่งเข้ามาที่กระเป๋าของอรุณศรี อรุณศรีตกใจรีบจับกระเป๋าไว้แน่น
“ปรานต์มันจะมากไปแล้วนะ ปรานต์ไม่มีสิทธิ์มายุ่งเรื่องส่วนตัวของแอ๊วมากขนาดนี้”
“ปรานต์เป็นแฟนแอ๊ว ทำไมปรานต์จะไม่มีสิทธิ์”
อรุณศรีดึงกระเป๋ามา ปรานต์ไม่ยอมยื้อดึงกระเป๋ากลับไป
“ไม่ได้นะ เอามานี่”
“แอ๊ว..ปล่อย”
“ไม่ปล่อย ปรานต์นั่นแหละต้องปล่อย” อรุณศรีว่า
“แอ๊ว”ปรานต์เสียงดังเข้มขึ้น
ทันใดนั้นเสียงโอบบุญก็ดังแทรกเข้ามา
“ทำอะไรกัน”
ปรานต์ชะงัก อรุณศรีดึงกระเป๋ากลับมา โอบบุญยืนหน้าเข้ม มองปรานต์ด้วยความไม่พอใจ อรุณศรีตัดบทกับปรานต์
“วันนี้แอ๊วไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ปรานต์กลับไปก่อนแล้วกัน”
อรุณศรีพูดจบก็หันหลังเดินไปที่ห้องนอน ปรานต์ทำท่าจะตาม
โอบบุญจับไหล่ปรานต์ไว้อย่างแมน
“น้องฉันบอกให้กลับ ฟังไม่รู้เรื่องหรือไง”
ปรานต์สะบัดมือโอบบุญออกจากไหล่ แล้วแสดงอาการฟึดฟัดเดินออกไปอย่างไม่มีมารยาท
โอบบุญได้แต่มองตามแล้วก็ส่ายหน้าระอาใจ ก่อนจะเดินไปที่ห้องอรุณศรี ด้วยความเป็นห่วง
อรุณศรีทิ้งตัวนั่งบนเตียงด้วยความเสียใจ และเครียด ครู่หนึ่งอรุณศรีหันไปมองรูปที่ถ่ายคู่กับปรานต์ในวันรับปริญญา นอกจากนี้ยังมีรูปที่ถ่ายคู่กันอีกมากมายตั้งแต่เรียน โต เรียนจบ ทำงาน เป็นเส้นทางที่แสนยาวนาน
ทันใดนั้นเสียงข้อความในโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น อรุณศรีหยิบมาอ่านแบบเหนื่อยๆ กับข้อความที่ปรานต์ส่งมา อรุณศรีกดอ่าน
“ขอโทษที่ใจร้อนมากไป ปรานต์ยังรักแอ๊วเหมือนเดิมนะ”
อรุณศรีวางมือถือไว้ข้างตัวอย่างโรยแรง เธอเริ่มเบื่อกับพฤติกรรมผิดซ้ำซากของปรานต์
ภายในห้องนอนของกริชชัยที่บ้านสวนของลำเภา กริชชัยสเก็ตซ์ภาพของอรุณศรี เมื่อตอนกลางวันเป็นภาพเหตุการณ์ตอนไปกินส้มตำ ใบหน้าอรุณศรียิ้มแย้มอย่างมีความสุข ท่ามกลางบรรยากาศร้านส้มตำเมื่อกลางวัน กริชชัยมองรูปแล้วก็ยิ้มด้วยความพอใจ
เป็นจังหวะเดียวกับที่ลำเภาเดินเข้ามา
“แอบรักเค้าข้างเดียว มีความสุขเหรอ”
กริชชัยวางมือแล้วหันมา
“แล้วเราล่ะ..กวนประสาทนายธีมีความสุขเหรอ”
ลำเภาชะงักเล็กน้อย
“เขาไปฟ้องอะไรคุณกริชอีกล่ะ”
“มันบอกว่าเภาจะเอามันมาทำแฟนให้ได้”
“เขาอยากมาดูถูกเภาทำไม ทั้งดูถูกทั้งท้าทาย เภายอมไม่ได้”
“เภา..มันอันตรายนะ ไอ้ธีมันไม่ใช่ หมามันเป็น เสือ” กริชชัยเตือน
“เภารู้”
“รู้แล้วไม่กลัวหรือไง”
“ม่ต้องห่วงหรอกน่า เภารู้ว่าจะทำได้แค่ไหน” ลำเภามั่นใจ
“เภา เล่นกับหมา ระวังหมาจะเลียปาก เล่นกับเสือ ระวังเสือจะขย้ำ” กริชชัยสอน
“เสือกระดาษล่ะสิ! ไม่เห็นจะมีอะไรน่ากลัว เอาแต่ห่วงหล่อ หลีสาวไปวันๆ คนแบบนี้ ต้องเจอของจริง! ถ้านายธีธัชไม่อยากเดือดร้อน ก็รีบมาขอโทษเภาต่อหน้าสาธารณชน แล้วเภาจะยอมยกโทษให้ ถ้าไม่ขอโทษ ก็เตรียมตัวเป็นแฟนเภาได้เลย”
ลำเภาพูดด้วยความมั่นใจ กริชชัยได้แต่มองแล้วก็ส่ายหน้าอย่างระอา
หน้าห้องทำงานของวัชระ ในแผนกสืบสวนสอบสวน วัชระถือแก้วกาแฟร้อน หน้าตาอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด บังเอิญเจ้านายเดินสวนมา วัชระทำความเคารพ
“อ้อ นี่วัช วันก่อนหนูแหนม ลูกสาวคุณสีรุ้งเค้าโทร.มาหาผม แล้วก็บอกเรื่องงานแต่งงาน ดีใจด้วย”
วัชระก้มหน้าเล็กน้อยราวกับต้องการหลบสายตา
“ขอบคุณครับ ผมต้องขอโทษด้วยที่แหนมโทร.ไปรบกวนท่าน”
“ไม่ๆ ไม่รบกวนเลย ผมกับคุณสีรุ้งสนิทกันดี เค้าเป็นเพื่อนสนิทของภรรยา ส่วนเรื่องที่จะย้าย ผมจะหาช่องทางให้”
“ย้าย ย้ายอะไรครับ”
วัชระสุดจะงง
วัชระมาถามเรื่องย้ายกับเนตรนภัสที่บ้าน เธอตอบอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“ย้ายแผนกไง ทุกวันนี้แหนมไม่ชอบที่วัชอยู่แผนกนี้ มันเสี่ยงเกินไป แหนมก็เลยให้คุณอา..เจ้านายวัชน่ะ ดูตำแหน่งที่มันไม่ต้องออกไปบู๊ล้างผลาญ ย้ายไปทำงานนั่งโต๊ะทำเอกสาร หรือไม่ก็งานด้านประชาสัมพันธ์ก็ดี อย่างน้อยก็ได้ออกโทรทัศน์”
“แต่ผมไม่อยากออกโทรทัศน์ ผมอยากไปจับโจร ไปจับผู้ร้าย”
เนตรนภัสลุกพรวดขึ้น
“แต่เรากำลังจะแต่งงานกัน วัชจะให้แหนมมีชีวิตอยู่อย่างหวาดผวา ไม่รู้ว่าวัชจะตายเมื่อไหร่อย่างนั้นเหรอ”
“แหนมไม่เข้าใจผม” วัชระส่ายหน้า
เนตรนภัสสวนทันที
“วัชก็ไม่เข้าใจแหนมเหมือนกัน”
เนตรนภัสพูดต่อและเริ่มมีอารมณ์มากขึ้น
“แหนมต้องเสียสละมากแค่ไหนในการแต่งงานกับวัช แหนมต้องยอมเสีย ความโสด และ ความสุข .. วัชเสียสละแค่ย้ายงานทำให้แหนมไม่ได้หรือไง”
“แต่” วัชระทำท่าจะจะเถียง
เนตรนภัสยกมือห้าม
“พอได้แล้ววัช แหนมไม่อยากพูดเรื่องนี้ แหนมมีเรื่องต้องทำอีกเยอะ งานแต่งเราใกล้จะมาถึงแล้วนะคะ แหนมไม่อยากเสียเวลากับเรื่องไร้สาระ”
วัชระผงะ กับคำว่าไร้สาระ เนตรนภัสตัดบททันที
“พรุ่งนี้แหนมนัดร้านที่จะทำแหวนแต่งงานไว้ตอนสิบโมงเช้า วัชมารับแหนมด้วย แล้วก็ห้ามขัดแหนมต่อหน้าคนอื่นเหมือนครั้งที่แล้วอีกนะ แหนมไม่ชอบ”
เนตรนภัสเดินไปทันหลังจากที่พูดจบ วัชระได้แต่มองตามด้วยความหนักใจ
สุพรรณิการ์สะดุ้งตื่นเพราะเสียงต่อยกระสอบทรายที่ดังทะลุผนังเข้ามา สุพรรณิการ์คว้าหมอนมาปิดหู
“โอ้ย..นายหน้าหนวด”
วัชระกำลังชกกระสอบระบายความเครียดอยู่ ทันใดนั้นก็มีเสียงกระทุ้งผนังดังเข้ามา วัชระชะงักและหยุดชกเงี่ยหูฟัง เสียงกระทุ้งดังสนั่นเข้ามาอีก วัชระยิ้มขำหันไปดูนาฬิกา
“หกโมงเย็นแล้วยังจะนอนอยู่อีก ตื่นได้แล้ว”
วัชระยังคงชกกระสอบต่อ เสียงกระทุ้งดังไม่หยุด
สุพรรณิการ์กระทุ้งจนเหนื่อยหยุดนั่งหอบด้วยความแค้น
“มันจะมากไปแล้วนะ”
สุพรรณิการ์คิดแล้วก็หันไปหยิบโทรศัพท์มือถือมาโทร.ออก
“ติ๋ม วันนี้ที่โรงงานมีรถเข้ามาส่งน้ำปลาที่กรุงเทพหรือเปล่า ส่งรถมาที่คอนโดฉันหนึ่งคัน ให้คนขับทิ้งกุญแจรถไว้แล้วนั่งรถกลับระยองไปเลย”
พรรณิการ์วางสายไปด้วยความสะใจ
“รู้ฤทธิ์นังฝ้ายน้อยไปซะแล้ว” สุพรรณิการ์ยิ้มอย่างมั่นใจ
วัชระเดินออกมาจากคอนโดฯรู้สึกตัวเบาตัวจากความเครียดหลังจากออกกำลังกาย แต่พอเดินมาถึงที่รถวัชระก็ต้องชะงักเพราะมีรถกะบะจอดขวางอยู่ที่ท้ายรถ
“เฮ้ย! ที่ตั้งกว้าง ทำไมมาจอดตรงนี้เนี่ย”
วัชระส่ายหน้าแล้วก็เดินมาเข็นรถ แต่ติดเบรกมือ..วัชระหงุดหงิด
“เฮ้ยอะไรวะเนี่ย”
วัชระเดินมาส่องดูเห็นว่าดึงเบรกมือไว้ วัชระโวยวาย
“จอดขวางรถคนอื่นแล้วยังจะดึงเบรกมืออีก รถใครวะเนี่ย”
ทันใดนั้นเสียงแตรรถก็ดังขึ้นปิ๊นๆ วัชระหันไปตามเสียง เห็นสุพรรณิการ์นั่งอยู่ในรถสปอร์ตค่อยๆเคลื่อนเข้ามาเหมือนจะเยาะเย้ย
“รอไปก่อนแล้วกัน สักชาติหน้าฉันค่อยมาเลื่อนรถให้”
วัชระขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ
“นี่รถเธอเหรอ”
สุพรรณิการ์ชูกุญแจรถกะบะขึ้นมาอวด วัชระรีบพุ่งเข้ามาจะหยิบกุญแจ สุพรรณิการ์รีบดึงกลับ
“ฝันไปเถอะ! รอไปก่อนนะคุณตำรวจ”
สุพรรณิการ์ขับรถออกไปอย่างสบายใจ พร้อมกับชูกุญแจออกมาโชว์ด้วยความสะใจ
วัชระวิ่งตามหมายจะแย่งกุญแจ แต่ก็ไม่ทัน
“นี่คุณ กลับมาก่อน คุณ...คุณทอม”
“บ้าจริงเลย” วัชระบ่นอยู่คนเดียว
อ่านต่อหน้าที่ 2
สามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 6 (ต่อ)
วัชระเดินมาถึงรถกะบะคันที่จอดขวางแล้วก็หยุดมองด้วยความแปลกใจ สติ๊กเกอร์ข้างรถกะบะเขียนว่า “สุพรรณิการ์น้ำปลาดี”
“สุพรรณิการ์น้ำปลาดี ฮ่าๆๆ ที่แท้ก็เป็นคุณหนูโรงงานน้ำปลา นี่ลงทุนเอารถมาจอดขวางเลยเหรอเนี่ยทุ่มเทว่ะ”
สุพรรณิการ์ตาขวาง มองอรุณศรีที่ขำอยู่ตรงหน้า
“ขำอะไร”
อรุณศรีหยุดขำแล้วก็มองเพื่อน ทั้งสองคนนั่งคุยกันอยู่ในร้านเหล้าสาดสุรา บนโต๊ะมีแก้วเครื่องดื่มค็อกเทลสีสดใสวางอยู่ข้างหน้า
“ก็ขำแกน่ะสิ.. แกลงทุนรถทั้งคันเพื่อแกล้งคุณวัชเนี่ยนะ ถ้าเกิดเค้าพังรถแกขึ้นมาแกจะทำยังไง” อรุณศรียิ้ม พลางยกแก้วค็อกเทลขึ้นมาดื่ม
“ฉันก็ฟ้องคุณกริชสิ คุณกริชเค้าชอบแก เค้าต้องเข้าข้างฉัน”
อรุณศรีแทบสำลัก รีบวางแก้ว แอบเขินลึกๆ
“ไอ้บ้า..ฉันบอกแล้วไงว่ามันไม่ใช่อย่างที่แกคิด ว่าแล้วก็นึกออก ค่ารักษาพยาบาลที่แกเรียกไป คุณกริชเค้าจ่ายมาให้แล้ว” อรุณศรีหยิบซองบรรจุเงินสดออกมายื่นให้สุพรรรณิการ์
“ขอบใจ ดีเหมือนกัน ฉันจะเอาไปทำบุญให้หมดเลย นี่ถามจริง คุณกริชเค้าดีกับพนักงานแบบนี้ทุกคนเหรอ? แกถึงได้ไม่คิดว่าเค้าแอบชอบ ทั้งๆที่เค้าทำให้แกขนาดนี้”
“เค้าทำอะไรให้ฉัน เงินนี่เค้าให้แกไม่ใช่ฉัน และเขาก็ทำเพราะช่วยเพื่อนเค้า ไม่เกี่ยวกับฉัน เพราะฉะนั้นการที่เค้าจ่ายเงินมาให้แก มันก็ไม่ได้หมายความว่าเค้าชอบฉัน”
สุพรรณิการ์ยื่นหน้าเข้ามา
“แล้วถ้าฉันพิสูจน์ได้ว่าเค้าชอบแก...แกจะชอบเค้าหรือเปล่า”
อรุณศรีอึ้งไป...ตอบไม่ถูกได้แต่ดื่มต่อ
ในห้องทำงานของกริชชัยที่บริษัท M Group กริชชัยถามด้วยความงง
“เดี๋ยว!! ทำไมต้องเป็นฉันด้วย”
“ก็ยัยลำเภาเป็นน้องแก แกก็ต้องรับผิดชอบ และที่ฉันทะเลาะกับเค้าก็เพราะแกบอกให้ฉันมุดรั้ว ก็เป็นความผิดของแกอีก เพราะฉะนั้นแกต้องไปบอกน้องแกให้เลิกยุ่งกับฉัน” ธีธัชว่า
วัชระเดินเข้ามาใส่ต่อ
“และ คุณฝ้ายก็เป็นเพื่อนสนิทกับนางในฝันของแก แล้วก็อยู่คอนโดเดียวกับแก เพราะฉะนั้นแกต้องเป็นคนไปเอากุญแจรถของเค้ามาให้ฉัน หรือไม่ก็บอกให้เค้าเลื่อนรถออกไปโดยเร็วที่สุด” วัชระว่า
“เฮ้ย.. แกสองคนจะมาโยนทุกอย่างให้ฉันไม่ได้นะเว้ย โดยเฉพาะแก”
กริชชัยหันมาทางธีธัชก่อนพูดต่อ
“แกไปท้าบ้าๆบอๆกับเภาไว้เอง เค้าบอกว่าถ้าแกยอมไปขอโทษเค้าต่อหน้าคนอื่น เค้าจะยกโทษให้”
“ฝันไปเถอะ!! ฉันไม่มีวันไปขอโทษน้องสาวแก เพราะฉันไม่ผิด”
“งั้นฉันก็ช่วยอะไรไม่ได้ เอาตัวรอดเองแล้วกัน”
“เอ้ย”
กริชชัยหันมาทางวัชระ
“ส่วนแก ฉันบอกแล้วใช่มั๊ยว่าอย่าไปมีเรื่องกับคุณฝ้าย”
“เค้ามาฟ้องอะไรแก”
“เค้าไม่ได้ฟ้อง แต่ผู้จัดการคอนโดนโทร.มาหาฉัน บอกว่าคุณฝ้ายไปร้องเรียนว่า แกเสียงดังรบกวนจนเค้าไม่ได้พักผ่อน”
“แสบจริงๆ”
“ส่วนเรื่องรถเดี๋ยวฉันจัดการให้เอง แกไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น แล้วก็หยุดหาเรื่องคุณฝ้ายเค้าได้แล้ว ฉันไม่อยากซวยไปด้วย”
กริชชัยพูดจบแล้วก็หยิบสูทเดินออกไปจากห้อง ปล่อยให้เพื่อน 2 คนนั่งงอยู่ในห้อง
“เฮ้ย ไอ้กริชแล้วเรื่องยัยลำเภาล่ะ ทำไมแกช่วยแต่ไอ้วัช แต่แกไม่ช่วยฉันวะ” ธีธัชตะโกนไล่หลัง
วัชระหันมาตอบแทน
“ก็แกช่วยตัวเองได้ไง”
ธีธัชขวับหันมาทางวัชระ
“หมายความว่าไงวะ”
“ฉันหมายถึง “ช่วยเหลือตัวเอง” แค่แกไปขอโทษลำเภาเรื่องก็จบ ไม่เห็นจะยาก”
วัชระพูดจบก็เดินตามกริชชัยออกไป ธีธัชยังไม่ยอม
“ไม่ยากสำหรับแก แต่สำหรับฉันมันเป็นไปไม่ได้เว้ย”
ธีธัชยืนแค้นใจอยู่คนเดียวสักพัก พอเเริ่มรู้สึกตัวว่าไม่มีใครอยู่แล้วก็ตะโกนขึ้น
“เอ้ย..รอด้วย”
ธัชรีบเดินตามเพื่อนๆออกไปทันที
ที่ร้านขายเครื่องเสียงในเวลาค่ำคืน ปรานต์กำลังกดโทรศัพท์โทร.หาอรุณศรีด้วยความร้อนใจ
“แอ๊วปิดเครื่อง ชักจะเอาใหญ่แล้ว”
หุ้นส่วนเสี่ยนิว เดินมาทางด้านหลังของปรานต์
“ปรานต์..เรื่องเงินคุณเป็นไงบ้าง? หมุนได้ยัง”
“เอ่อ..ยังเลย.. แต่อีกไม่กี่วัน ได้แน่”
“รีบหน่อยแล้วกัน ผมมีเรื่องต้องใช้เงิน”
ปรานต์พยักหน้ารับหลังเสี่ยนิวเดินกลับเข้าไป ปรานต์หน้าเครียดขึ้นมาทันที
ค่ำคืนนั้น รถแท็กซี่แล่นเข้ามาจอดเทียบที่หน้าคอนโดฯ สุพรรณิการ์เดินเซๆ ลงจากรถ อรุณศรีก็ออกจากรถมาในอาการเมากึ่มๆ
“เฮ้ย..ไอ้ฝ้ายจำทางกลับห้องได้ป่าวล่ะ”
สุพรรณิการ์เดินมากอดคออรุณศรี
“เฮ้ย..ระดับนี้แล้ว ทำไมจะจำไม่ได้..ไปทางนี้”
สุพรรณิการ์เดินลากอรุณศรีเดินไปอีกทาง
“เฮ้ย...นั่นมันทางออกนะเว้ย”
“ฉันล้อเล่น ฮ่าๆ มา...ทางนี้”
สุพรรณิการ์พาอรุณศรีเข้าไปในคอนโดฯ
สุพรรณิการ์กับอรุณศรีเดินในท่าทางกึ่มๆ เข้ามา ในขณะที่กริชชัยเดินสวนออกมาพอดี ทั้งสามคนต่างคนต่างหยุด
“คุณกริช”
“ใช่..ผมเอง”
“ฮ่าๆ ไม่ต้องบอก เราสองคนก็รู้หรอกค่ะว่าเป็นคุณ”
“ฝ้าย ขอโทษนะคะ..เพื่อนเมา คือ...ฉันขอตัวดีกว่านะคะ”
อรุณศรีพยายามจะพาตัวสุพรรณิการ์ไป แต่สุพรรณิการ์ไม่ยอม
“เดี๋ยว..ยังไม่ได้พูดความนัยใจเลย”
“ความในใจอะไรของแก” อรุณศรีถามเบาๆ
“คุณ..ไม่ได้เป็นเกย์ใช่มั้ยคะ” สุพรรณิการ์โพล่งด้วยความเมา อรุณศรีคิดไม่ถึง
“ไอ้ฝ้าย”
อรุณศรีร้องเสียงหลง สุพรรณิการ์ไม่ยอมหยุด
“แอ๊วมันบอกว่าคุณเป็นเกย์ เป็นตุ๊ด ฉันบอกว่าไม่เป็น มันก็ไม่เชื่อ ตกลงคุณเป็นป่ะคะ”
กริชชัยยืนอึ้ง ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร อรุณศรีถึงกับหน้าเสียอย่างแรง และรีบหันมาขอโทษกริชชัย
“ฉันต้องขอโทษจริงๆนะคะ คือเพื่อนเมาแล้วรั่วค่ะ ไปก่อนนะคะ ไปฝ้าย”
อรุณศรีฉุดกระชากแขนสุพรรริการ์แรงกว่าเดิม
“จะปายไหน ยังไม่ได้คำตอบเลย”
“ไม่ต้องพูดแล้วไอ้ฝ้าย ไป”
กริชชัยเรียกขึ้น
“เดี๋ยวก่อน..ผมจะออกไปซื้อของกินที่หน้าปากซอย พวกคุณต้องการอะไรหรือเปล่า”
“ไม่” อรุณศรียังไม่พูดไม่ทันจบ สุพรรณิการ์พูดแทรกอย่างเร็ว
“บะหมี่สองห่อ น้ำหนึ่ง แห้งหนึ่ง แยกน้ำซุป ด้วยนะ เอามาซด” สุพรรฺการ์เมาและยิ้มเยิ้ม
“ถามจริง” อรุณศรีหันมาทางฝ้าย
“จริง..ฉันหิ เสียงอ้อแอ้ด้วยความเมา
กริชชัยมองยิ้มๆ
“ได้ครับ เดี๋ยวผมซื้อมาฝาก”
“เอ่อ..อย่าหาว่าใช้เลยนะคะ” อรุณศรีเกรงใจ
“ไม่ได้ใช้ครับ..ผมอาสาทำเอง”
กริชชัยยิ้มแสนดี แล้วก็เดินออกไป อรุณศรีมองตามนิดๆ สุพรรณิการ์ยืนเมาหลับอยู่ข้างๆ ก่อนจะค่อยๆไหลลงไปกองที่พื้น อรุณศรีร้องเรียกฝ้ายด้วยความตกใจ
ภายในคลับหรูแห่งนั้นเสียงดนตรีดังกระหึ่ม ธีธัชกำลังเต้นรำอยู่กับสาวๆ ที่ดาหน้ากันมาล้อมหน้าล้อมหลัง แสงไฟจากมือถือสว่างวาบๆ ธีธัชหยิบมาดู เห็นเป็นชื่อกริชชัย
ขณะที่กริชชัยกำลังยืนรอก๋วยเตี๋ยวอยู่ที่หน้าปากซอย
“ฉันว่าคืนนี้อรุณศรีคงจะค้างกับคุณฝ้ายที่นี่ แกว่าถ้าฉันค้างแล้วรอเจอเค้าพรุ่งนี้เช้า มันจะน่าเกลียดหรือเปล่าวะ”
ธีธัชเดินออกมาคุยที่ระเบียง ซึ่งคนไม่มากและเสียงดนตรีไม่ดัง
“แกนอนห้องแก เค้านอนห้องเค้า มันจะน่าเกลียดตรงไหนวะ ถ้าแกทะลึ่งไปนอนห้องเค้าก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าเค้ายินดีให้แกนอนด้วยก็...โอเค๊”
“ไอ้บ้า อรุณศรีเค้าไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้น ถ้าเค้าง่ายอย่างที่แกว่า ฉันคงเลิกสนใจไปนานแล้ว แล้วถ้าพรุ่งนี้เช้าฉันชวนเค้าไปทำงานด้วยกัน มันจะน่าเกลียดหรือเปล่าวะ”
“ถ้าแกไม่พาเค้าเข้าโรงแรมก่อนถึงบริษัทมันก็ไม่น่าเกลียดหรอก แต่ถ้า เค้าเป็นฝ่ายชวนแกเองมันก็...โอเค๊”
กริชชัยส่ายหน้า
“แกนี่..ให้คำปรึกษาแต่ละอย่าง..ลงที่ต่ำตลอด ตกลงฉันโทร.มาปรึกษาถูกคนหรือเปล่าวะเนี่ย”
ธีธัชตอบแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“แกถามฉันเนี่ย ถูกต้องที่สุดแล้ว”
ธีธัชเหลือบไปเห็นข้างๆ ว่ามีหญิงสาวสวยงาม ดูดี มีชาติตระกูลเดินออกมากดบีบีหาเพื่อน ธีธัชรีบเปลี่ยนคำพูดทันที
“ได้ครับแม่ เดี๋ยวผมซื้อกลับไปให้ครับ คุณแม่จะทานโจ๊กตอนเช้านะครับ แล้วคุณพ่อจะทานอะไรครับ”
หญิงสาวหันมามองนิดๆ แอบยิ้มในความน่ารักของธีธัช
กริชชัยงง
“พ่อใคร? พ่อฉันอยู่อังกฤษ พ่อแกอยู่บนสวรรค์ แกจะซื้อโจ๊กไปให้พ่อไหนวะ”
ธีธัชยังแอบเนียนต่อไป โดย ไม่หวั่นไหวต่อการไม่รับมุกของกริชชัย
“ค้าบ..ได้ครับแม่ ค้าบ..ค้าบ กลับไม่ดึกครับ แม่นอนไปเลยนะครับ ไม่ต้องรอ เดี๋ยวธีซื้อโจ๊กเจ้าอร่อยไปให้ สวัสดีครับ”
“ไอ้ธีมันพูดบ้าอะไรของมันวะเนี่ย” กริชชัยพูดพลางส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ
ธีธัชวางสาย หญิงสาวที่เขาหมายปองหันมายิ้มนิดๆ ธีธัชทำเป็นไม่สนใจหญิงสาวในสเปก ธีธัชเดินหันหลังทำท่าจะเข้าไปในคลับ แต่เธอก็ทักขึ้นด้วยความปลื้ม
“น่ารักจังเลยนะคะ โทร.รายงานคุณแม่ด้วย” ริมฝีปากสาวคนนี้ระบายยิ้มสดใส
ธีธัชหันมายิ้มรับ
“ลูกชายคนเดียวน่ะครับ ไม่อยากให้ท่านเป็นห่วง”
ธีธัชหันหลังอีกครั้ง ทำทีเป็นว่าจะเดินกลับเข้าไปในคลับ
“แล้วเมื่อกี้ที่บอกว่า “โจ๊กเจ้าอร่อย” มันอยู่ที่ไหนเหรอคะ บิบี่..อยากไปลองทานบ้างจัง”
ธีธัชซึ่งยืนหันหลังให้อยู่ถึงกับค่อยอมยิ้มนิดๆ.. เสร็จ!!
เสียงออดที่ห้องสุพรรณิการ์ดังขึ้น สุพรรณิการ์กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่อย่างหมดสภาพในห้องพัก อรุณศรีในชุดสบายๆเดินออกจากห้องน้ำ ใบหน้าถูกชำระล้างเครื่องสำอางจนหมดสิ้น
อรุณศรีหันมาเตือนสุพรรณิการ์
“ฝ้าย ทำตัวดีหน่อยนะ”
“เออน่า..ฉันดีอยู่แล้ว แกไม่ต้องห่วง” เสียงสุพรรณิการ์ยังอ้อแอ้ด้วยความเมา อรุณศรีส่ายหน้า ก่อนจะเดินมาเปิดประตู
กริชชัยถึงกับทึ่งในความน่ารักของอรุณศรี ทันทีที่ประตูห้องถูกเปิดออก
อรุณศรีส่งเงินให้สองร้อย
“เงินค่ะ”
“เงินอะไร”
“ค่าก๋วยเตี๋ยวไงคะ”
“ไม่เป็นไร ผมซื้อมาฝาก เจ้านี้อร่อยนะ รสชาติใช้ได้” กริชชัยส่งห่อบะหมี่ตามที่สุพรรณิการ์สั่งส่งให้
“ขอบคุณค่ะ เอ่อ..ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ ที่เหมือนใช้ให้คุณไปซื้อของมาให้ “
“พวกคุณเมา..ผมไม่ถือ”
“ฉันไม่ได้เมานะคะ” อรุณศรีแย้ง
“เดินเซขนาดนั้น ผมไม่เชื่อ” กริชชัยยิ้มตอบ
“นานๆ จะได้ดื่มที เลยจัดหนักไปหน่อย”
“เป็นผู้หญิง ดื่มจนเมาดูแลตัวเองไม่ได้ทั้งสองคนแบบนี้ มันดูไม่ดี คราวหน้าระวังให้มันมากกว่านี้หน่อยนะ เมาแบบนี้มันอันตราย”
อรุณศรีหน้าชาเหมือนโดนต่อว่าอย่างตรงๆ อรุณศรีเชิดหน้า รับไม่ได้
“ตกลงเงินนี่..ไม่เอาใช่มั้ยคะ” อรุณศรีหางเสียงแข็งขึ้น
กริชชัยพยักหน้าแทนคำตอบ
“งั้นก็ขอบคุณค่ะ”
อรุณศรีทำท่าจะปิดประตู แต่กริชชัยง้างมือดันประตูไว้
“เดี๋ยว...คุณบอกเพื่อนคุณเหรอว่าผมเป็นเกย์” กริชชัยถามตรงๆ
อรุณศรีถึงกับจุกในลำคอ พูดไม่ออก
“คุณ..โกรธหรือเปล่า”
“ไม่โกรธ แต่คุณติดค้างผม”
“ติดค้างอะไร” อรุณศรีเบิกตาโตถาม
“คุณพูดถึงผมข้างหลัง คุณนินทาว่าร้ายผม”
“ฉันไม่ได้ว่าร้ายนะ ก็คุณยอมรับเองว่าเป็นจริงๆ”
“ผมไม่เคยบอกว่าผมเป็น”
“แต่ตอนที่ฉันบอกว่าคุณเป็น คุณไม่ปฎิเสธ”
“ไม่ปฎิเสธ ไม่ได้แปลว่าผมยอมรับ”
อรุณศรีชักสีหน้าใส่กริชชัย
“เจ้าเล่ห์กับเค้าเป็นเหมือนกันนะเนี่ย”
กริชชัยยิ้มนิดๆ
“คุณคิดเอง เออเอง ผมไม่อยากแย้งให้คุณหน้าแตกก็เลยปล่อยเลยตามเลย”
“พูดซะตัวเองดูดีเลยนะคะ ก็ได้ค่ะ ฉันผิดเองที่พูดนินทาลับหลังคุณเพราะ “ความเข้าใจผิด” ฉันขอโทษ”
กริชชัยยิ้มๆนิดๆ
“ผมรับคำขอโทษ แล้วคราวหลังอย่าทำแบบนี้อีก”
อรุณศรีมองหน้ากริชชัย สุดแสนจะหมั่นไส้
“ในสายตาคุณฉันคงเป็นผู้หญิงที่แย่มาก คุณถึงต้องคอยห้ามโน่นห้ามนี่ ห้ามกอดห้ามหอมแก้มกับผู้ชายในที่สาธารณะเพราะมันดูไม่ดี ห้ามเมาเพราะมันอันตราย แล้วยังจะห้ามนินทาว่าร้ายคุณอีก ท่าทางคุณคงเป็นคนที่ดีมาก ไม่เคยทำอะไรแย่ๆ แล้วก็ไม่เคยพูดถึงฉันต่อหน้าเพื่อนคุณ” อรุณศรีพูดประชด
“ผมพูด แต่ไม่เคยพูดถึงเรื่องไม่ดี เรื่องที่ไม่ดีผมพูดต่อหน้าคุณ ผมไม่เอาไปพูดลับหลัง หวังว่าคุณคงจะเข้าใจ”
กริชชัยพูดจบและเดินจากห้องไปแล้ว แต่ในใจอรุณศรีเวลานั้นกลับมีแต่คำถามมากมาย
สุพรรณิการ์นั่งกึ่มอยู่หน้าชามบะหมี่ พยายามจะสาวเส้นเข้าปากในอาการเมาๆ เสียงอรุณศรีดังแหวกขึ้นมา
“ฉันไม่เข้าใจ”
สุพรรณิการ์หันมามองด้วยอาการสะลึมสะลือ อรุณศรีนั่งลงข้างๆ ปล่อยให้สุพรรรณิการ์ทานคนเดียว
“ฉันก็ไม่เข้าใจ...ว่าแกไม่เข้าใจอะไร”
“ฉันไม่เข้าใจเจ้านายฉันน่ะสิ แกบอกว่าเค้าชอบฉัน พี่เบญลี่ก็บอกว่าเค้าชอบฉัน แต่แววตาเขามันไม่ได้บอกอย่างนั้น และคำพูดมันก็ไม่ใช่ เค้าคอยจับผิดเรื่องส่วนตัวฉันแล้วก็เอามาด่าต่อหน้า ฉันว่าเค้าต้องเป็นโรคจิตแน่ๆ”
“แกนั่นแหละบ้า! ถ้าเค้าไม่สนใจแก เค้าจะจับตาดูแกทำไม”
“ก็เค้าคงจะไม่ถูกชะตาฉันมั้ง เลยหาเรื่องไล่ออก”
“แกคิดงั้นจริงเหรอ”
“จริง”
“งั้นมาพิสูจน์กัน ฉัน” สุพรรณิการ์หน้าตามุ่งมั่น
“จะเอาตัวเข้าแลกเพื่อพิสูจน์ว่าจริงๆ คุณกริชชัยเค้าชอบแกหรือเปล่า ฉันจะเอาตัวเองเข้าไปอยู่ใกล้ชิดเค้า แล้วก็หาทางทอดสะพานให้เค้า”
อรุณศรีมองสุพรรณิการ์คิดว่าพูดไปเพราะความเมา
“ถ้าเค้าไม่หวั่นไหวก็แสดงว่าเค้าชอบแก แต่ถ้าเค้าหวั่นไหว..เค้าก็เสร็จฉัน”
“เพ้อเจ้อ” อรุณศรีตะโกนใส่หูเพื่อน สุพรรณิการ์ถึงกับสะดุ้ง
“อ้าว..ก็แกจะได้รู้ไงว่าเค้าสนใจแก เนี่ยเสียสละเพื่อเพื่อนนะเนี่ย ไม่รักไม่ทำนะเว้ย”
อรุณศรีส่ายหน้า
“ไม่ต้องเลย ฉันไม่ได้อยากจะรู้อะไรทั้งนั้น ฉันแค่ไม่อยากซวยเพราะโดนเจ้านายเกลียดขี้หน้า ส่วนเรื่องที่เค้าชอบฉัน...ฉันยังยืนยันว่ามันเป็นไปไม่ได้”
แม้ว่าอรุณศรีพูดอย่างมั่นใจ แต่ก็อดเกิดวามหวั่นไหวเล็กๆ กำลังงอกขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ทว่าอรุณศรีไม่กล้ายอมรับความจริง
ค่ำคืนเดียวกัน ลำเภาส่งกระเป๋า และไม้แขวนเสื้อเชิ้ตและสูทให้คนขับรถ
“คุณกริชนอนที่คอนโดใหม่จริงๆ เหรอ มันตกแต่งยังไม่เสร็จนี่ แล้วนอนยังไง”
คนขับรถรับของมา
“ผมก็ไม่ทราบครับ คุณกริชโทร.มาสั่งให้ผมมารับเสื้อผ้ากับของใช้ส่วนตัว แล้วก็เอาไปส่งที่คอนโด แต่เรื่องนอนยังไงนี่..ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน”
“อือๆ งั้นก็รีบไปได้แล้ว ก่อนจะดึกไปมากกว่านี้” ลำเภาสั่ง
ลำเภาอดคิดไม่ได้ว่า ที่คอนโดก็ไม่มีอะไรสักอย่าง จะนอนเข้าไปได้ยังไง
กริชชัยล้มตัวลงนอนบนโซฟาเอาเสื้อสูทมาห่ม คิดถึงแต่หน้าของอรุณศรี กริชชัยยิ้มอย่างมีความสุข แล้วก็หลับตานอนพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ ที่ยิ้มกับตัวเอง
อรุณศรีนอนนึกถึงกริชชัย มีสุพรรณิการ์นอนกางแขนกางขาอย่างหมดสภาพอยู่ข้างๆ
อรุณศรีนึกถึงตอนที่กริชชัยนั่งกินส้มตำแล้วก็ปลดเนคไท ปลดกระดุม หน้าแดงเพราะความเผ็ดและความร้อน ดูแล้วน่ารักกว่าใส่สูท ผูกไท เสียอีก
อรุณศรีเผลออมยิ้มนิดๆ แล้วก็หุบยิ้มและตำหนิตัวเองว่า ไปคิดถึงเขาทำไม แววตาของอรุณศรีฉายความกังวลออกมา
หญิงสาวนอนพลิกตัวไปมาอย่างใช้ความคิดหนัก
โปรดติดตามอ่าน "3 หนุ่มเนื้อทอง" ตอนต่อไป