สามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 9
โอบบุญกำลังคลุกเคล้าสลัดอยู่ด้วยความชำนาญ ในชามสวยตรงหน้าเขาเวลานี้มีผักสีสดใส่อยู่ พร้อมกับน้ำสลัด และเครื่องสลัดแนวเมดิเตอเรเนียน เมื่ออรุณศรีกลับถึงบ้านและอาบน้ำเปลี่ยนชุดสบายๆ ออกมาร่วมอยู่บนโต๊ะอาหาร พี่ชายยอดเชฟอวดเมนูใหม่อย่างภาคภูมิใจ
“น้ำสลัดสูตรใหม่ พี่คั้นน้ำดอกอัญชัญใส่ลงไปด้วย สีจะออกฟ้าอ่อนๆ พอบีบมะนาวลงไปก็จะเปลี่ยนเป็นสีม่วง รสออกเปรี้ยวนิดๆ ไม่เลี่ยน” โอบบุญบอกอรุณศรี พร้อมกับตักใส่จานแบ่งให้
“อะ..ชิม”
“ก็อร่อยดีนะพี่โอบ แอ๊วว่ากินกับเนื้อกุ้ง มันก็เข้ากันดี”
โอบบุญยิ้มพอใจ พร้อมกับทุบโต๊ะ
“เยี่ยม!! งั้นพี่จะทำสูตรนี้ใส่ขวดขายเป็นอันแรก ว่าจะให้ชื่อ น้ำสลัดโอบบุญ .. เท่ปะ”
อรุณศรีพยักหน้ารับพลางกินต่อ โอบบุญพูดต่อ พร้อมกับเก็บครัวไปด้วย
“พี่จะลองไปวางขายตามร้านอาหารเพื่อนๆ ร้านฝ้ายด้วยนะ เผื่อว่าจะขายดีมีเงินเก็บเป็นกอบเป็นกำ วันดีคืนดีเจอสาวถูกใจ จะได้มีเงินไปขอ”
โอบบุญพูดขำๆ แต่คำพูดโอบบุญกลับไปจี้ใจดำอรุณศรีและเงยหน้าถาม
“พี่โอบ.. ตอนพี่มีแฟน เคยยืมเงินแฟนหรือเปล่า”
โอบบุญมองหน้าอรุณศรี รู้สึกสังหรณ์ใจนิดๆ หรือว่า...
“ไม่เคย”
“แล้วคิดจะยืมมั้ย”
“คงไม่ กระดากปาก พูดไม่ออก ถ้ามีปัญหาจริงๆยืมเพื่อนดีกว่า”
“แล้วถ้าแฟนมาขอยืมจะให้หรือเปล่า”
“ก็ต้องถามว่าจะเอาไปทำอะไร ถ้าสำคัญมากและเราไม่เดือดร้อนก็อาจจะให้ แต่ถ้ามันไม่ได้สำคัญมาก และเราก็ไม่ได้มีเงินมาก ก็ไม่ให้”
อรุณศรีคิด โอบบุญมองและถามขึ้นอย่างรู้ทัน
“ไอ้ปรานต์มันยืมเงินแกเท่าไหร่”
“สี่แสน”
โอบบุญตาโต
“แล้วมีเหรอ”
“มีไม่ถึง แต่เค้าบอก มีเท่าไหร่ก็เอาเท่านั้น”
โอบบุญส่ายหน้า แล้วถามอีกที
“แล้วจะให้หรือเปล่าเนี่ย”
“แอ๊วไม่อยากเป็นคนใจดำ ตอนแอ๊วลำบากปรานต์เค้าก็ช่วย ตอนนี้พอเค้าลำบาก แอ๊ว ไม่อยากทิ้งเค้า”
“คนว่ายน้ำไม่แข็ง เค้าไม่ให้ลงไปช่วยคนจมน้ำหรอกนะ เพราะมันจะตายด้วยกันทั้งคู่ สิ่งที่ทำได้คือตะโกนเรียกคนอื่นมาช่วย หรือไม่ก็วิ่งหาห่วงยางแล้วโยนลงไปให้ จะช่วยใครก็ดูตัวเองด้วย”
อรุณศรีนิ่งเงียบถึงกับพูดไม่ออก
“และถ้าแกไม่ให้เงินมันยืม แล้วมันโกรธจนขอเลิก ก็ลองคิดดูแล้วกันว่าคนแบบนี้สมควรจะคบต่อไปหรือเปล่า”
โอบบุญพูดดักคออรุณศรี เพราะคิดว่าเดานิสัยของปรานต์ไม่ผิด อรุณศรีคิด..เหมือนจะตัดสินใจอะไรบางอย่างขึ้นมาได้บ้างแล้ว
เช้าวันต่อมา เนตรนภัสหน้าบอกบุญไม่รับตั้งแต่เช้า
“ไม่มีทาง! แหนมไม่มีวันยกเลิกงานแต่งงานเด็ดขาด”
นรีวรรณกับสีรุ้งนั่งอยู่ตรงฝั่งตรงข้ามเห็นเนตรนภัสยืนเกรี้ยวกราดอยู่ตรงหน้า นรีวรรณส่ายหน้าแล้วก็ก้มหน้ากดบีบีต่อ ด้วยความเอือมพี่สาว
“แต่วัชเค้าหายตัวไปแบบนี้ แหนมจะทำยังไง” สีรุ้งถาม
“แหนมก็ต้องตามหาวัชให้เจอ ตอนนี้แหนมบอกเพื่อนเค้าทุกคน ลูกน้องยันเจ้านาย ถ้าใครเจอวัชจะต้องรีบติดต่อมาหาแหนมทันที”
นรีวรรณเงยหน้า โพล่งออกมา
“พี่แหนมไม่คิดว่าพี่วัชเค้ามีคนอื่นบ้างเหรอ”
เนตรนภัสได้ยินดังนั้น อารมณ์ความร้อนทวีสูงขึ้นในระดับปรอทที่พร้อมจะแตก
“เป็นไปไม่ได้!!! คนอย่างวัชไม่มีทางมีคนอื่น ลองมีดูสิ จะตามล้างตามล่าฆ่าทิ้งทั้งสองคนนั่นแหละ”
สีรุ้งสะดุ้งเฮือก
“แหนม..เบาๆหน่อยลูก อย่าให้มันโลดโผนนัก เราเป็นผู้หญิงนะ”
ผู้หญิง ไม่ได้แปลว่า “ต้องทน ต้องยอม” ทั้งๆที่เราโดนทำร้าย และโดนเอาเปรียบนะคะแม่ เรื่องนี้ไม่ว่ายังไงวัชก็ผิด แหนมจะไม่อยู่เฉยๆ รอให้วัชโผล่ออกมาหรอกค่ะ แหนมจะต้องตามล่าให้ถึงที่สุด”
“แสดงว่า...เราจะไม่หยุดจนกว่าจะเจอใช่มั้ย”
“ใช่ค่ะ”
เนตรนภัสน้ำเสียงจริงจัง สีรุ้งฟังแล้วก็นิ่งคิด
โทรศัพท์บ้านวัชระดังขึ้น แววเดินมารับ
“สวัสดีค่ะ” เมื่อแววได้ยินเสียงจากปลายสายก็รู้ในทันที
“คุณสีรุ้ง”
“ใช่ ฉันเอง คุณคงจะทราบว่าฉันโทร.มาด้วยเรื่องอะไร” สีรุ้งพูดด้วยน้ำเสียงนิ่ง ถือตัว แววกระอักกระอ่วนใจ กลืนน้ำลายด้วยความลำบากใจ
คืนนั้น แววเล่าให้วัชระฟังว่า สีรุ้งโทร.มาที่บ้าน วัชระแปลกใจ
“แม่แหนมโทร.มาหา”
“ใช่ ทำไมวัชยังไม่ไปหาหนูแหนม”
วัชระไม่ตอบ แววถามลูกชายต่อ
“ตกลงเราไม่อยากจะแต่งกับเค้าใช่มั้ย”
“ผม...ยังไม่พร้อม ไม่พร้อมเลยจริงๆ แหนมดันทุรัง อธิบายก็ไม่ฟัง”
“เห็นแล้วก็สมน้ำหน้า เมื่อก่อนวิ่งตามไล่ล่าเค้า โอดครวญจะเป็นจะตาย พอได้เค้ามาแล้ว ตอนนี้เป็นฝ่ายโดนล่าบ้าง วิ่งหนีหางจุกตูด”
“โหยแม่...ซ้ำเติมลูกนะเนี่ย ไม่สงสารผมบ้างเหรอ”
“ไม่สงสาร และตอนนี้ก็เริ่มจะรำคาญขึ้นมาหน่อยๆแล้ว ตอนแรกก็หนูแหนมมาโวยวาย ตอนนี้ก็แม่เค้าโทร.มาตีโพยตีพายว่าลูกสาวกำลังจิตแตก ถ้าเราไม่รีบปรากฏตัว เค้าจะไปแจ้งความคนหาย”
“เค้าพูดแบบนั้นจริงเหรอแม่”
“จริง และแม่คิดว่าเค้าก็กล้าทำจริงๆ ด้วย”
วัชระเดินเข้ามานั่งข้างๆแวว ด้วยความรู้สึกผิด
“ผมขอโทษที่ทำให้แม่ต้องเดือดร้อนไปด้วย ไหนๆ แหนมเค้าอยากแต่ง ผมก็จะแต่งแล้วกัน แต่งไปก่อน ถ้าไม่รอดก็ค่อยเลิก”
“นี่! พูดให้มันเป็นมงคลหน่อยสิ มันก็ไม่แน่หรอก แต่งไปแล้วมันอาจจะดีก็ได้..เราน่ะแต่งงานแต่งการซะได้ก็ดี จะได้เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ได้รับผิดชอบชีวิตคนอื่นบ้าง ไม่ได้มีแต่เรื่องของตัวเอง”
วัชระฟังแล้วก็คิด
“รับผิดชอบชีวิตคนอื่น” วัชระพูดเบาๆ
เช้าวันต่อมา ที่หน้าบริษัท M Group กริชชัยในชุดพร้อมเดินทางยืนอยู่บนเวทีขนาดกระทัดรัด บริเวณนั้นมีลูกค้าระดับวีไอพีกว่า 10 คน และพนักงานอีกบางส่วน พร้อมกับรถที่จอดเตรียมสำหรับออกเดินทาง
“ผมในนามเอ็มกรุ๊ป ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติมาร่วมการเดินทางในครั้งนี้พวกเราทุกคนเตรียมงานกันอย่างเต็มที่ เพื่อทำให้การเดินทางในครั้งนี้มีความสะดวก ปลอดภัย และสร้างความประทับใจให้กับทุกท่าน” ลูกค้าแต่ละคนเตรียมพร้อมด้วยเสื้อผ้า หน้า ผม และอุปกรณ์ขับขี่พร้อมสรรพ
“ถ้าพร้อมแล้ว .. เรา..ไปกันเลยดีกว่าครับ”
หลังกริชชัยพูดสรุป เสียงเฮของผู้ร่วมทริปก็ดังขึ้น พร้อมๆ กับเสียงสตาร์ทเครื่องยนต์
รถของกริชชัยเร่งเครื่อง ออกตัวนำไปเป็นลำดับแรก ตามมาด้วยขบวนรถของลูกค้าอีก10 กว่าคัน โดยมีรถทีมช่างนำ และรถพยาบาลตามปิดขบวน ชาวบ้านเดินอยู่ข้างถนนมองตามด้วยความสนใจ ขบวนรถทั้งหมดเริ่มห่างจากกรุงเทพฯออกไปทุกขณะ
เบญลี่และอรุณศรี พร้อมด้วยพนักงานที่รับผิดชอบในส่วนต้อนรับล่วงหน้ามาที่โรงแรมวังน้ำเขียวก่อนแล้ว เบญลี่คุยโทรศัพท์อยู่ที่ข้างโรงแรมในบริเวณจัดงาน
“โอเค รับทราบ ตามนั้น เจอกัน บาย”
หลังจากที่เบญลี่วางสายแล้วก็หันมาทางอรุณศรีที่อยู่ในชุดสตาฟท์ กำลังเตรียมจัดซุ้มต้อนรับอยู่อย่างขะมักเขม้น
“แอ๊ว คุณกริชและขบวนออกจากบริษัทมาแล้วนะ ส่วนครอบครัวของลูกค้าที่เดินทางมาเอง ก็เริ่มทยอยมาแล้ว อีกสักพักคงถึง”
“ค่ะ .. งั้นแอ๊วไปเชคเรื่องห้องพักอีกทีนะคะ”
อรุณศรีกำลังจะเดินไปจัดการเรื่องห้องพัก เบญลี่จับมืออรุณศรีไว้
“หยุดก่อน”
อรุณศรีหันมาทำหน้าแปลกใจ
“คุยเรื่องสำคัญกันก่อน”
อรุณศรีรอฟัง
“ตกลง แฟนแอ๊วมาหรือเปล่า” เบญลี่พูดต่อ
อรุณศรียิ้มตอบ
“ไม่ได้มาค่ะ”
“เลิศ… แอ๊วทำถูกแล้ว ผู้หญิงอย่างเรา อย่าสักแต่ว่าสวยอย่างเดียว ต้องช่างเลือกด้วย เราต้องแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง! โอเคนะ คืนนี้”
เบญลี่เสียงเข้มจริงจังมากกว่าครั้งใด อรุณศรีถึงกับขำเบาๆ
“ทำให้คุณกริชสารภาพรักออกมาให้ได้” เบญลี่พูดต่อจนจบ
“พี่เบญลี่น่ะ คิดไปเอง คุณกริชเค้าไม่ได้ชอบแอ๊ว มันไม่มีอะไรจริงๆ ค่ะ ส่วนที่แฟนแอ๊วไม่มา เพราะเค้าติดงาน ไม่ใช่ว่าแอ๊วไม่อยากให้เค้ามา ถ้าปรานต์ไม่มีนัดลูกค้า เค้าก็ต้องมาอยู่แล้วค่ะ”
“โธ่” เบญลี่อุทานแล้วปล่อยมืออรุณศรีด้วยความเซ็ง
“ไอ้เราก็นึกว่าจะสวยเผื่อเลือก เฮ่อ ยุไม่ขึ้น เซ็งเลย แต่แฟนแอ๊วก็แปลกนะ เห็นลูกค้าดีกว่าแฟนตัวเอง แสดงว่า...ลูกค้าคนนี้จะต้องสำคัญมากๆ ผู้หญิง หรือผู้ชาย”
เบญลี่อยากรู้ทุกเรื่องที่เป็นความลับไม่เคยเปลี่ยนแปลง ลูกค้าหญิงหรือชาย อรุณศรีเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
หน้าร้านเครื่องเสียงของปรานต์ รถสปอร์ตราคาแพงของเกียวแล่นปราดเข้ามาจอด ปรานต์หันไปมองอย่างถูกใจ เกียวลดกระจกลง ส่งยิ้มให้ตามประสาคนคุ้นเคย ปรานต์ยิ้มตอบ และเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งทันที
“พี่จะพาไปดูรถตู้ที่ระยองนะ หิวหรือเปล่า จะกินอะไรก่อนมั้ย หรือว่าจะไปกินทะเลที่ระยอง”
“แล้วแต่พี่เลยครับ ผมยังไงก็ได้ ง่ายๆอยู่แล้ว”
เกียวยิ้มถูกใจ
“แหม ดีจัง ง่ายๆ ไม่เรื่องมากแบบนี้ พี่ชอบ”
เกียวยิ้มให้อย่างมีนัยยะ ปรานต์ยิ้มรับรู้ทัน ความสัมพันธ์พัฒนาผ่านทางสายตาอย่างรวดเร็วและร้อนแรง รถของเกียวแล่นทะยานออกจากกรุงเทพฯ ไปอย่างรวดเร็ว
ภาพรถของวัชระที่แสนจะเก่า โทรม แล่นเข้ามาจอดเทียบในคฤหาสถ์ของเนตรนภัส นรีวรรณวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในบ้าน
“แม่คะแม่..แม่ พี่แหนม..พี่แหนม เกิดเรื่องแล้ว”
สีรุ้งกับเนตรนภัสเดินออกมาจากห้องของตัวเองด้วยความแปลกใจ
“นุ้ยมีอะไร ร้องซะตกอกตกใจหมด” สีรุ้งถาม
“นั่นสิ ใครตายไม่ทราบ” เนตรนภัสถามประชด
“ตอนนี้ยังไม่มี แต่อีกไม่กี่นาทีก็ไม่แน่ พี่แหนมอาจจะได้ฆ่าใครสักคน” นรีวรรณย้อน
“ใคร” เนตรนภัสสวนทันควัน
เนตรนภัสถามด้วยความสงสัยอย่างแรง วัชระก้าวเข้ามานั่งที่ห้องรับแขก ความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นกับวัชระ เขาทั้งอึดอัด และแปลกแยก เสียงเนตรนภัสก็ดังกรีดอากาศออกมา
“วัช! หายหัวไปไหนมา”
ประโยคแรกของเนตรนภัสทำให้วัชระหมดอารมณ์ที่จะคุย เนตรนภัสเดินพรวดเข้ามาในห้องรับแขก อย่างรวดเร็วจนนรีวรรณกับสีรุ้งตามแทบไม่ทัน
“แหนม...ค่อยๆพูดกันสิลูก ใจเย็นๆ” สีรุ้งปราม
“ถ้าคุณแม่ไม่โทร.ไปหาแม่คุณ วัชจะยอมโผล่ออกมาหรือเปล่า”
วัชระนิ่งเงียบ ไม่มีคำตอบ เนตรนภัสโกรธจัด ทนไม่ได้ พุ่งเข้ามาทุบตัววัชระระบายอารมณ์
“แหนม” / “พี่แหนม” สีรุ้ง นรีวรรณตกใจพอกัน
วัชระตกใจ เจ็บเนื้อตัว
“โอ้ยแหนม!! มาตีผมทำไม”
“แค่นี้ยังน้อยไป มันต้องโดนมากกว่านี้”
เนตรนภัสยังคงทุบต่อ
“เฮ้ย โอ้ย โอ้ย แหนม ผมเจ็บนะ” วัชระร้อง
“เจ็บก็ดี ที่ตีก็เพราะจะให้เจ็บ วัชทำแบบนี้กับแหนมได้ยังไง วัชเห็นแหนมเป็นอะไร”
เนตรนภัสเริ่มร้องไห้
“ตกลงจะแต่งงานกันแล้วก็หายหัวไปแบบนี้ วัชยังมีความเป็นคนอยู่หรือเปล่า มีหัวใจบ้างหรือเปล่า เคยคิดมั้ยว่าแหนมจะรู้สึกยังไง เคยคิดบ้างมั้ย”
เนตรนภัสพูดพลางสะอึกสะอื้น น้ำตาไหลพราก..ทั้งเสียใจ อึดอัด ทั้งผิดหวัง
สีรุ้งเบือนหน้าไปมองทางอื่นด้วยความกลุ้มใจ นรีวรรณเกาะแขนสีรุ้งยืนมองด้วยความเห็นใจพี่สาว
วัชระเห็นแล้วก็รู้สึกสงสารเนตรนภัส และรู้สึกผิดขึ้นมาจับใจ
“แหนม” วัชระจับมือเนตรนภัส
เนตรนภัสสะบัดมือ แล้วก็ตวาดกลับ
“มีอะไร”
“เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
“จะคุยอะไรก็คุยมา แหนมรอฟังอยู่”
วัชระไม่พูด แต่แอบๆ มองมาที่สีรุ้งและนรีวรรณ ทำนองว่าอยากจะคุยกันส่วนตัว สีรุ้งและนรีวรรณ หันมามองหน้ากันแล้วจูงมือกันออกไปนอกห้อง
นรีวรรณพูดเคืองๆ ที่วัชระไม่อยากให้อยู่ฟังด้วย
“ทำไมเราสองคนถึงอยู่ฟังด้วยไม่ได้คะแม่”
“ก็เพราะมันไม่ใช่เรื่องของเราไงลูก ให้เค้าคุยกันสองคนก็ดีแล้ว จะได้จบๆ”
แม้ว่าสีรุ้งอยากจะให้ทุกอย่างจบ แต่นรีวรรณกลับมีลางสังหรณ์และไม่ค่อยมั่นใจว่าจะจบ
ภายในห้องรับแขก เนตรนภัสยังแสดงอารมณ์วีน เหวี่ยงใส่วัชระเหมือนเคย
“แค่ขอโทษแล้วจะให้จบ... มันไม่ง่ายไปเหรอ”
“แล้วแหนมจะให้ผมทำยังไง”
“แหนมไม่เข้าใจทำไมวัชถึงต้องหายไป มีอะไรก็พูดกันตรงๆ”
“ถ้าผมพูด แหนมจะฟังเหรอ”
“ก็พูดมาสิ ถ้ามันมีเหตุผลพอ แหนมจะฟัง”
วัชระมองหน้าเนตรนภัสด้วยแววตาครุ่นคิดก่อนที่จะตัดสินใจพูด
“ผมไม่ชอบให้แหนมบังคับ”
วัชระยังพูดไม่ทันจบ เนตรนภัสสวนแทรกขึ้นมาทันที
“ถ้าแหนมไม่บังคับ วัชจะทำอะไรเป็น ขนาดบังคับยังไม่ค่อยทำเลย”
“นี่ไง แหนมไม่เคยฟัง ผมยังพูดไม่จบเลยสวนขึ้นมาแบบนี้ ตกลงจะให้ผมพูดหรือเปล่า”
“ก็พูดมาสิ กำลังฟังอยู่”
“ผมอึดอัดที่คุณมาบงการชีวิตผม ทั้งเรื่องงาน เรื่องเงิน เรื่องการแต่งงาน มันทำให้เครียด และผมไม่มีความสุข ยิ่งคุณวุ่นวายกับชีวิตผมมากเท่าไหร่ ผมยิ่งไม่อยากอยู่ใกล้คุณ”
เนตรนภัสหันขวับมา แววตาแข็งกระด้าง แม้จะฟังแต่ไม่ยอมรับในสิ่งที่วัชระพูด
“แค่นี้ใช่มั้ย”
“ใช่”
“โอเค..ถ้าแค่นี้ ก็ไม่ต้องหนีไปไหนอีกนะ เพราะมันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลย และแหนมก็ฟังตามที่คุณต้องการ เป็นอันเคลียร์ จบ”
“จบก็จบ”
“ดี! พรุ่งนี้มารับแหนมไปสตูดิโอถ่ายรูปด้วย เลื่อนเค้ามาหลายวันแล้ว พอได้รูปแล้วจะได้เอามาทำการ์ดแล้วก็ของชำร่วย แหนมไม่อยากช้าไปกว่านี้อีกแล้ว พรุ่งนี้..สิบเอ็ดโมงเจอกัน”
เนตรนภัสพูดจบก็เดินออกไปอย่างไม่สนใจ ปล่อยให้วัชระยืนงงอยู่กับที่
“ตกลงคุณฟัง แต่คุณไม่เข้าใจผมใช่มั้ยเนี่ย” วัชระพึมพำ
ทุกอย่างเหมือนเดิม และไม่มีอะไรดีขึ้น
ธีธัชนอนบิดตัวอยู่ในห้องที่คอนโด ก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์มาเปิดดูแล้วก็ยิ้ม กรกนกใส่ชุดคลุมตัวออกจากห้องน้ำ ทันเห็นรอยยิ้มของธีธัชพอดี ก็แซวขึ้น
“เด็กส่งรูปมาให้เหรอ ยิ้มซะแก้มปริเลย”
“เด็กที่ไหนหล่ะ ไอ้กริช มันส่งรูปมาให้ มันพาลูกค้าไปออกทริป”
ธีธัชหันโทรศัพท์มาให้กรกนกดู เป็นรูปกริชชัยและลูกค้ากำลังพักกันอยู่ในร้านกาแฟเก๋ๆ มีข้อความพิมพ์มากับรูปว่า “เสียดายพวกท่านไม่ได้มา”
“แล้วทำไมไม่ไปกับคุณกริช” กรกนกถาม
“หน้าเพิ่งไปทำเลเซอร์มา เค้าห้ามโดนแดดอย่างน้อยหนึ่งอาทิตย์”
“โอ..จ้า..พ่อรูปหล่อ หน้ายังใสไม่พอ อยากจะหล่อกว่านี้..ว่างั้น”
ธีธัชยิ้มหวาน
“ก็นิดนึง”
ธีธัชเริ่มเข้ามาเลื้อย ดึงรั้งกรกนกเข้ามากอด
“ถ้าผมปล่อยตัวโทรม เดี๋ยวกรเบื่อ ทิ้งไป ผมก็เซ็งแย่” ธีธัชอ้อน
“ถ้ากรจะทิ้งคุณ ไม่ใช่เพราะคุณโทรม แต่เพราะอย่างอื่นมากกว่า”
ธีธัชดึงกรกนกมานัวเนีย กระซิบที่ข้างหูด้วยเสียงอ้อนสุดฤทธิ์
“แล้วมันเพราะอะไรล่ะจ๊ะ? เรื่องอะไรที่ผมจะทำให้กรเซ็ง..บอกได้เปล่า”
กรกนกยังไม่ทันตอบ เสียงโทรศัพท์มือถือธีธัชดังขึ้น เป็นเบอร์โชว์แต่ไม่มีชื่อขึ้น
“ธีคะ..โทรศัพท์คุณน่ะ”
ธีธัชทำท่าจะนัวเนียต่อ
“ช่างมันก่อน..คนกำลังยุ่ง”
กรกนกขำ ธีธัชยังคลอเคลีย เสียงโทรศัพท์เงียบไปสักครู่ เสียงข้อความดังเข้ามาแทน ธีธัชชักรำคาญ
“ผมปิดเครื่องก่อนนะ เดี๋ยวกลับมาต่อ” ธีธัชยิ้มทะเล้นใส่กรกนก
ธีธัชหยิบโทรศัพท์มาจะปิดเครื่อง แล้วก็ชะงักนิดๆ เพราะข้อความที่ส่งมานั้นขึ้นโชว์เป็นเบอร์ ด้วยความอยากรู้ ธีธัชจึงกดเปิดอ่าน หน้าจอข้อความขึ้นว่า
“เย็นนี้เลิกงานห้าโมงมารับด้วย .. ลำเภา”
ธีธัชโพล่งออกมาด้วยความแปลกใจ
“ยัยหนูตะเภา”
เพียงแต่กรกนกได้ยินชื่อเท่านั้น สีหน้าก็หมดอารมณ์ในทันที
“มีเบอร์เราได้ยังไงวะเนี่ย”
กรกนกพยายามถามน้ำเสียงปกติ
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ก็ยัยหนูตะเภาน่ะสิ บอกให้ผมไปรับที่ทำงานเย็นนี้จะบ้าหรือเปล่า ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย ทำไมต้องไปรับ สงสัยกะจะเนียน พอไปรับก็โมเมว่าเป็นแฟน ยัยเด็กบ๊อง ฝันไปเหอะ ฉันไม่มีวันไปรับเธอหรอก อยากจะรอก็รอไป รอให้รากงอกฉันก็ไม่ไป”
ทันทีที่ธีธัชด่าจบ กรกนกหายไปจากเตียงแล้ว
“อ้าว..กร..กร..กร”
กรกนกเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยและเดินออกมาจากห้องแต่งตัว
“กรจะไปไหน”
“ไปชอปปิ้ง แล้วก็ไปนวดหน้า ไปสปา คลายเครียด”
“อ้าว..แล้วเมื่อกี๊ . ไม่ต่อเหรอ” ธีธัชถามซื่อๆ
กรกนกมองหน้าธีธัชอย่างหมดอารมณ์ ไม่มีคำตอบ แต่หยิบกระเป๋าและเปิดประตูห้องเดินออกไปในทันที ธีธัชได้แต่ร้องเรียก กรกนกปิดประตูไม่สนใจกับเสียงเรียก ธีธัชทิ้งตัวลงบนเตียงอีกครั้งด้วยความเซ็ง
“ยัยหนูตะเภา ยัยเด็กโรคจิต”
ธีธัชโวยวายอยู่คนเดียว
อ่านต่อหน้า 2 พรุ่งนี้ วันที่ 20 ธ.ค. 2554
สามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 9 (ต่อ)
ที่หน้าโรงแรมวังน้ำเขียว เบญลี่และทีมงานที่ยืนรอขบวนรถที่กำลังเคลื่อนตัวมายังหน้าโรงแรม รถตำรวจ และรถตู้นำขบวน เข้ามา กริชชัยและลูกค้า ขี่ตามมาเป็นแถว
“เดย์ อาร์ คัมมิ่ง” เสียงเบญลี่เตรียมพร้อมเต็มที่ อรุณศรีและพนักงานคนอื่นๆ รีบเดินออกมาคอยต้อนรับ
กริชชัยและคุณลูกค้าแต่ละคนค่อยๆ นำรถเข้าไปจอดเรียงเป็นแถวในบริเวณที่จัดเตรียมไว้ เบญลี่ปรี่เข้าไปหากริชชัยทันที
“คุณกริช เป็นยังไงบ้างคะ เหนื่อยมั้ยคะ น้ำมั้ยคะ”
กริชชัยยังไม่ทันจะอ้าปากตอบ เบญลี่ก็หันมาทางอรุณศรี
“แอ๊วจ๊ะ”
“ขอเวลคัมดริ้งค์ให้คุณกริชด้วยจ้ะ ด่วนนะจ๊ะ เจ้านายเหนื่อยมาก”
กริชชัยงงกับท่าทางกุลีกุจอเกินเหตุของเบญลี่
“ค่ะ” อรุณศรีหันไปหยิบเวลคัมดริ้งค์ตามคำสั่งของเบญลี่
กริชชัยบ่นๆ เบาๆ เหมือนจะพูดกับตัวเอง
“ยังไม่ได้พูดสักคำ”
เบญลี่เหมือนจะได้ยินที่กริชชัยพูด เบญลี่ฉีกยิ้มกว้าง ก่อนจะบอกว่า
“ไม่เป็นไรค่ะ รู้ใจ”
กริชชัยชะงักแอบเขินแต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ เบญลี่ถือโอกาสหลบทันที
“เบญลี่ขอตัวไปต้อนรับคุณลูกค้าก่อนนะคะ”
เบญลี่หันไปทางคุณลูกค้าที่เริ่มทยอยลงจากรถ
“คุณลูกค้าคะ เชิญรับกุญแจห้องที่เบญลี่ได้เลยนะคะ ห้องเย็นๆ อ่างน้ำอุ่นๆ รออยู่แล้วคร่า”
เบญลี่เดินผ่านมาทางอรุณศรี แอบกระซิบเบาๆ
“ให้ไวนะจ๊ะ เจ้านายรออยู่”
อรุณศรีชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยิน เบญลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ให้อรุณศรีก่อนจะเดินเลี่ยงไป
อรุณศรีหันมาทางกริชชัย เห็นว่ากำลังยืนมองอยู่จริงๆ อรุณศรีหลบสายตานิดๆ และแอบตื่นเต้นหน่อยๆ อรุณศรีพยายามไม่คิดมาก
น้ำพันซ์ผลไม้ในแก้วหรูหราวางอยู่ในถาด อรุณศรีเสิร์ฟให้กริชชัย
“พันซ์ผลไม้ค่ะ”
กริชชัยรับมาพร้อมกับระบายรอยยิ้มนิดๆ ที่ริมฝีปาก
“ขอบคุณมาก”
อรุณศรียิ้มรับก่อนจะเดินหันหลังไป กริชชัยรีบเรียกไว้
“เดี๋ยว”
อรุณศรีหันมาเผชิญหน้ากับกริชชัยอีกครั้ง
“งานที่นี่เป็นยังไงบ้าง เรียบร้อยหรือเปล่า”
“เรียบร้อยดีค่ะ เวที การแสดง เกมส์ เตรียมพร้อมทางด้านโน้นแล้วค่ะ ส่วนครอบครัวของลูกค้าบางส่วนที่เดินทางมาก่อน ก็เข้าพักที่ห้องไปแล้ว ทุกคนพอใจกับการต้อนรับของโรงแรม ตอนนี้ยังไม่มีปัญหาค่ะ” อรุณสรีรายงานตามความจริง
“ดี” กริชชัยยิ้มรับ
อรุณศรีเห็นว่า กริชชัยน่าจะหมดคำถามแล้วจึงค่อยๆ หันกลับไป กริชชัยรีบถามขึ้นอีก
“แล้วแฟนคุณมาหรือเปล่า”
อรุณศรีชะงักทันทีก่อนจะหันมาตอบ
“ไม่ได้มาค่ะ”
กริชชัยเผลอยิ้มออกมานิดๆ และคิดได้ว่า แสดงออกนอกหน้าเกินไปจึงรีบหุบยิ้มในทันที
“น่าเสียดาย” กริชชัยพูดตามมารยาท
“ใช่ค่ะ .. น่าเสียดายมาก ถ้าปรานต์มาน่าจะสนุก”
กริชชัยถึงกับหน้าเสีย ขณะที่อรุณศรียิ้มนิดๆ ไม่ได้รับรู้ความรู้สึกกริชชัยแม้แต่น้อย
“ดิฉันไปต้อนรับลูกค้าต่อนะคะ “
“เชิญ” กริชชัยพยักหน้าพร้อมๆ กับผายมือนิดๆ ให้อรุณศรีไปต้อนรับลูกค้าตามต้องการ
อรุณศรีหันหลังเดินไปปฏิบัติภารกิจอื่นต่อไป
กริชชัยได้แต่ถอนหายใจเบาๆ กริชชัยยกแก้วพันซ์ขึ้นดื่มแก้กลุ้มรวดเดียวหมดแก้ว
วัชระนั่งอยู่ที่หน้าร้านสาดสุราเมื่อตอนเย็น ร้านยังไม่เปิด วัชระจึงพกเบียร์และแก้วมาดื่มเองจนเบียร์ในถุงกระดาษพร่องลงไปเหลือแค่ปริมาณเบียร์อีกไม่กี่หยดที่ก้นขวด วัชระพยายามเทใส่แก้วพลาสติกอีกครั้งแต่ผิดหวังอย่างแรง จึงโยนขวดทิ้งลงถังขยะที่วางอยู่ข้างๆ พร้อมกับบ่นอุบ
“เมื่อไหร่ไอ้ธีมันจะมาวะ”
เสียงรถแล่นเข้ามาในบริเวณร้าน วัชระเห็นรถสปอร์ตสุพรรณิการ์แล่นเข้ามาจอด
วัชระเพ่งมองอีกครั้งด้วยความแปลกใจ จากนั้นก็รีบลุกเดินเข้ามามองให้ชัดๆ เมื่อสุพรรณิการ์ดับเครื่องยนต์และมองปราดเข้าไปในร้านก็เห็นวัชระยืนอยู่ที่ระเบียงร้าน สุพรรณิการ์ตกใจไม่เชื่อสายตา จนต้องเพ่งมองอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ และต่างคนต่างแปลกใจและตกใจ ไม่คิดว่าจะมาเจอกันในร้านแห่งนี้
“เฮ้ย นี่มัน ยัยคุณหนูโรงงานน้ำปลานี่หว่า” วัชระพึมพำ
เช่นเดียวกับสุพรรณิการ์
“นายหน้าหนวดมาทำอะไร ที่นี่เนี่ย”
“ผมนัดเพื่อนไว้ แล้วคุณมาทำไม” วัชระตอบสุพรรณิการ์ด้วยมาดกวนๆ เหมือนเดิม
สองมือของสุพรรณิการ์รุงรังไปด้วยแก้ว จาน ชาม เครื่องปรุง กระดาษทิชชู่ จิปาถะ
“ฉันมาทำงาน” สุพรรณิการ์ว่า
“ทำงาน... อย่าบอกนะว่าคุณเป็นเด็กเสิร์ฟ”
สุพรรณิการ์เชิดหน้าก่อนจะตอบว่า
“นี่บารมีขนาดฉัน ต้องเป็นเจ้าของร้านสิยะ จะไปเป็นเด็กเสิร์ฟได้ยังไง ตาไม่มีแววจริงๆ”
วัชระมองหน้าสุพรรณิการ์ จากนั้นหันไปมองรถสปอร์ตคันที่สุพรรณิการ์ขับมา และมองดูร้านเหล้าก่อนที่จะจบลงที่หน้าสุพรรณิการ์
“ทำโรงงานน้ำปลามันรวยขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย”
“แน่นอน น้ำปลาโรงงานฉันไม่ธรรมดา น้ำปลาเกรดเอส่งนอก เก๋จะตาย”
วัชระพยักหน้ารับ สุพรรณิการ์มองหน้าวัชระที่ยังมีร่องรอยความเบื่อหน่ายกับชีวิต
“นี่..ถามหน่อย ชีวิตคุณไม่มีความสุขเลยหรือไง ถึงชอบทำหน้าเซ็งโลกตลอดเวลา”
“นี่ถามหน่อย แต่งงานหรือยัง”
“ยัง ถามทำไม”
“แล้วคิดจะแต่งกับเค้ามั้ย จะแต่งกับผู้หญิงหรือผู้ชายก็ได้ คิดจะแต่งหรือเปล่า”
“ฉันไม่ใช่ทอม และฉันก็ไม่คิดจะแต่งงานไม่ว่าจะกับผู้หญิงหรือว่าผู้ชาย”
วัชระแววตาเป็นประกาย ยื่นหน้าเข้ามาถามทันที
“ทำไม”
ประตูร้านด้านในถูกเปิดออก สุพรรณิการ์เดินนำเข้ามา วัชระช่วยถือของเดินตามมาพร้อมกับฟังคำตอบ
“ก็ฉันยังไม่เจอคนที่ทำให้ฉันอยากแต่งด้วย”
“แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าคนนี้ คือคนที่อยากจะแต่งงานด้วย”
สุพรรณิการ์วางของไว้ที่เค้าน์เตอร์
“โอ้ย จะอยากรู้ไปทำไม เป็นอะไรมากป่ะเนี่ย”
“ก็แค่สงสัย อยากรู้ว่าผู้หญิงคนอื่นเค้าคิดยังไงกับการแต่งงาน”
วัชระมองหน้าสุพรรณิการ์ราวกับจะค้นหาคำตอบบางอย่าง
“แต่อย่างคุณคงไม่ได้แต่ง”
สุพรรณิการ์ท้าวเอวด่าสวนวัชระทันที
“ทำไมหะ อย่างฉันมันยังไง ให้เหตุผลมาสิ เหตุผลไม่ดี อย่าหวังเลยว่าจะได้กลับมาเหยียบร้านฉันอีก ว่าไง ไหนบอกมาดิ ทำไมฉันจะไม่ได้แต่งงาน”
“ก็เป็นแบบนี้ เลยไม่มีผู้ชายกล้ามาจีบ ไม่มีใครกล้ามาขอ เกิดพูดไม่เข้าหู โดนเตะก้านคอขึ้นมาซวยอีก”
“โธ่ ถ้าป๊อดขนาดนั้นก็อย่าหวังจะได้แต่ง ผู้หญิงอย่างฉัน ไม่ง่าย อยากได้มันก็ต้องกล้าๆหน่อย พวกปอดแหกอย่างนายอย่างหวังเลยว่าจะได้เห็นขาอ่อน”
“อ้าวๆ.. ผมก็ไม่ได้จะขอคุณแต่งงานสักหน่อย อย่ามามั่ว”
“ไม่ขอก็ดี เพราะถึงขอฉันก็ไม่แต่ง”
วัชระอ้าปากจะเถียงต่อ แต่เสียงธีธัชดังขึ้นขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน
“ไอ้วัช คุณฝ้าย คุยอะไรกันอยู่ ดูท่าทางน่าสนุก”
สุพรรณิการ์ไม่ตอบไม่ทักทายธีธัชสักคำ แต่หันไปหยิบถุงข้าวของแล้วก็เดินเข้าหลังร้านไปเลย
“อ้าว เฮ้ย...ฉัน..มาผิดจังหวะอะไรหรือเปล่าวะ กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มกันอยู่หรือเปล่า”
ธีธัช แอบคิดลามกตามประสาผู้ชายรักสนุก
“เข้าด้ายเข้าเข็มบ้าอะไรล่ะ จะเข้าชกกันซะมากกว่า ถ้าแกมาช้ากว่านี้อีกนิดเดียว มีหวังทะเลาะกันร้านพังแน่ๆ”
วัชระพูดจบก็ส่ายหน้าเดินกลับออกไปที่หน้าร้าน ปล่อยให้ธีธัชยืนงงอยู่ที่เดิม คนเดียว
“กูทำอะไรผิดหรือเปล่าวะเนี่ย”
นักร้องกำลังร้องเพลงเล่นกีตาร์แบบสบายๆ อยู่ในสวนข้างโรงแรมที่ตกแต่งคล้ายเป็นอู่รถเก๋ๆ เจ้าหน้าที่และพนักงานเสิร์ฟแต่งตัวในคอนเซ็ปท์ชุดหนังดำ เท่ๆ เซ็กซี่ๆ ลูกค้าที่มาร่วมงานส่วนใหญ่มากับครอบครัว บรรยากาศอบอุ่น กริชชัยเดินทักทายลูกค้าอย่างกันเอง
“ห้องพักเป็นยังไงบ้างครับ”
“ดีมากเลยคุณกริช ทุกอย่างเพอร์เฟคท์” ลูกค้าคนหนึ่งตอบกริชชัย
“ขอบคุณครับ ตามสบายนะครับ ต้องการอะไรเพิ่มบอกผมได้เลยนะครับ” กริชชัยยิ้มหน้าบาน
กริชชัยยิ้มแล้วเดินไปสำรวจส่วนอื่นๆต่อไป บรรยากาศในงานราบรื่นดี มีดนตรีคลออยู่เบาๆ อาหารเริ่มทยอยมาเสิร์ฟอย่างต่อเนื่อง มีเสียงหัวเราะสนุกสนานของลูกค้าดังมาเป็นระยะๆ
กริชชัยมองไปรอบๆ มองหาอรุณศรี
อรุณศรีเดินมาในชุดหนังสีดำรัดรูป แขนกุดอย่างเท่ เก๋ไก๋พร้อมถือป้ายอุปกรณ์เล่นเกมติดมือมาด้วย เล่นเอากริชชัยยืนตาค้างอยู่กับที่ เพราะสะดุดตาในความงามของอรุณศรี
“แอ๊วสวยมั้ยคะคุณกริช” เสียงเบญลี่ก็ดังขึ้น
กริชชัยสะดุ้งและหันขวับมาทางต้นเสียง เบญลี่อยู่ในชุดหนังเช่นกัน แต่ความเซ็กซี่ต่างจากอรุณศรีมาก เบญลี่ยิ้มกริ่มรอคำตอบ แต่กริชชัยเฉไฉพูดเปลี่ยนเรื่องไปว่า
“ลูกค้าชอบห้องพักมาก..ฝากบอกทางโรงแรมด้วย”
เบญลี่ถึงกับหุบยิ้มในทันที
“ได้ค่ะ”
เบญลี่ยังคงอยากรู้คำตอบ จึงพยายามดึงเข้าเรื่อง ถามกริชชัยอีกครั้ง
“คุณกริชว่า...แอ๊วแต่งตัวแบบนี้..สวยสมกับเป็นพีอาร์พิเศษของบริษัทเรามั้ยคะ”
กริชชัยรู้ทัน หลังปรายตามองอรุณศรีแล้ว จึงหันมาทางเบญลี่ ซึ่งรอฟังคำตอบอยู่อย่างใจจดจ่อ
“เดี๋ยวเราจะให้ลูกค้าเล่นเกมกันเลยใช่มั้ย”
เบญลี่หุบยิ้มอีกรอบแทบไม่ทัน
“ค่ะ .. ตามกำหนดการจบเพลงนี้แล้ว เราจะให้คุณลูกค้าขึ้นร่วมเล่นเกมด้วยกันบนเวที”
กริชชัยพยักหน้ารับ เบญลี่ขอพยายามอีกที
“จะว่าไปเราให้พนักงานแต่งตัวแบบนี้ทุกวันก็ดีนะคะ ใส่แล้วดูดีกันทุกคนเลย โดยเฉพาะแอ๊วเนี่ย ใส่แล้วขึ้นมาก สวยยังดาราเลยนะคะ คุณกริชว่ามั้ยคะ” เบญลี่ยิ้มรอคำตอบ
กริชชัยหันมาพูดเสียงนิ่งๆ
“เกมส์ที่เราจะเล่น มันเป็นยังไงนะครับผมลืมไปแล้ว คุณเบญลี่ช่วยอธิบายให้ผมฟังอีกทีได้มั้ยครับ”
กริชชัยก็ยังทำหน้าซื่อตาใส ไม่รับมุกของเบญลี่
“ปากแข็งทั้งคู่” เบญลี่พึมพำ แต่กริชชัยไม่ได้ยิน เพราะแอบปรายตาไปมองอรุณศรีที่กำลังเตรียมสถานที่เล่นเกมอยู่ กริชชัยมองด้วยความชื่นชม
อรุณศรีกำลังขยับเก้าอี้สองตัวให้หันหลังชนกัน และปักป้ายไว้ข้างหน้าป้ายละหนึ่ง ป้ายสีชมพูสำหรับ
ผู้หญิง และสีฟ้าสำหรับผู้ชาย
เฮียเต้ยและเจ๊นัน 2 ลูกค้าวีไอพี นั่งอยู่ที่เก้าอี้หันหลังชนกัน เฮียเต้ยถือป้ายสีฟ้าด้านหนึ่งเขียนว่า “ผมครับ” อีกด้านเขียนว่า “เธอเท่านั้น” ส่วนเจ๊นันถือป้ายสีชมพูด้านหนึ่งเขียนว่า “เดี๊ยนค่ะ” และ อีกด้าน “เขาคนเดียว”
เบญลี่เดินเข้ามาแทรกกลางระหว่างเฮียเต้ยและเจ๊นัน พร้อมกับอธิบายเกม
“ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ช่วงเกมสร้างความร้าวฉาน เฮ้ย สร้างความสมานฉันท์ให้กับครอบครัว ครอบครัวไหนทำคะแนนได้มากที่สุด บอสสุดหล่อของเราเตรียมรางวัลพิเศษมากไว้ให้อย่างสาสม”
ผู้มาร่วมงานหัวเราะกันครึกครื้น กริชชัยยืนกอดอกแล้วก็ยิ้มๆ มองๆหาอรุณศรีอีกตามเคย
อรุณศรีคอยคุมความเรียบร้อยอยู่ข้างเวที ส่วนเบญลี่พูดต่อ
“กติกาแสนง่าย เราจะมีป้ายให้คุณผู้ชายหนึ่งอัน และคุณผู้หญิงหนึ่งอัน”
เฮียเต้ยและเจ๊นันชูป้ายขึ้น
“ของคุณพี่ผู้ชายด้านหนึ่งจะเขียนว่า “ผมครับ” อีกด้านคือ “เธอเท่านั้น” ส่วนของคุณพี่ผู้หญิง”
เบญลี่ส่งไมค์ให้เจ๊นัน
“เดี๊ยนค่ะ กับ เขาคนเดียว” เจ๊นันพูดผ่านไมค์
“เก่งมากค่ะ ภาษาไทยแตกฉานที่สุด”
คนในงานขำกับมุกของเบญลี่ แม้แต่อรุณศรีก็ยังขำตามไม่ได้ กริชชัยมองอรุณศรีก็พลอยยิ้มตามไปด้วย และทันทีที่อรุณศรีหันมาทางกริชชัย เขารีบเก๊กหน้าเข้มและหันไปมองทางเวทีอย่างตั้งใจทันที
“ป้ายนี้ต้องถือไว้ให้ดี ระหว่างที่เบญลี่อ่านคำถามคุณพี่ทั้งสองต้องนั่งหันหลังให้กัน ห้ามหันมาลอกคำตอบเด็ดขาด”
เวทีเฮียเต้ยกับเจ๊นันขยับนั่งหันหลังให้กัน เบญลี่ยังคงพูดต่อ
“เมื่ออ่านคำถามจบให้ทั้งสองคนชูป้ายด้านที่เป็นคำตอบขึ้นมา ถ้าตอบตรงกันรับไปหนึ่งคะแนน ครอบครัวไหนตอบตรงกันมากที่สุด รับรางวัลใหญ่ของบอส .. ขอเน้น.. สุดหล่อ ของเราไปได้เลยค่ะ”
บรรยากาศจริงจังของกิจกรรมเริ่มขึ้นแล้ว เบญลี่ยืนอยู่กลางเวที
“ถ้าพร้อมแล้ว..คำถามข้อที่หนึ่ง “ระหว่างเฮียเต้ยกับเจ๊นัน..ใครหนอที่เป็นคนคุมเงิน” ตอบค่ะ”
เฮียเต้ยชูว่า “เธอเท่านั้น” และเจ๊นันชูว่า “เดี๊ยนค่ะ” คนในงานขำกันตรึม สองคนหันมาดูป้าย แล้วก็ขำกันฮาที่ตอบตรงกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“ตอบตรงกันแบบนี้รับไป 1 คะแนนค่ะ”
คนในงานปรบมือ ทุกคนพยักหน้าด้วยความสนุกสนาน อยากเล่นบ้าง บรรยากาศเต็มไปด้วยความสุข กริชชัยมองด้วยความพอใจ
“คำถามข้อที่ 2 ใครกันหนอ..ใช้เงินในการชอปปิ้งมากที่สุด ตอบค่ะ”
คำถามนี้ เฮียเต้ยชูว่า “เธอเท่านั้น” ส่วนเจ๊นันตอบว่า “เขาคนเดียว”
สองคนหันมาดูคำตอบของอีกฝ่ายแล้วก็ขำ
“เริ่มไม่สามัคคีกันแบบนี้รับไป “ศูนย์” คะแนนค๊า”
คนในงานตบมือให้ด้วยความสนุกสนาน กริชชัยยิ้มด้วยความพอใจ และมองมาที่อรุณศรี พร้อมกับตัดสินใจเดินมาหา
เสียงเบญลี่ดังมาจากบนเวที
“ครอบครัวนวลจันทร์กุลรับไปหนึ่งคะแนน ต่อไปขอเชิญครอบครัวคุ้มเณรค่ะ”
เสียงปรบมือดังต้อนรับคู่แข่งขันคู่
อรุณศรียืนอยู่ข้างเวที กริชชัยกำลังเดินเข้ามาหา ยังไม่ทันที่กริชชัยจะอ้าปากพูด เสียงข้อความดัง
เข้าที่โทรศัพท์มือถือ อรุณศรีหยิบโทรศัพท์มาอ่านข้อความจากปรานต์
“ตั้งใจทำงานนะ คิดถึงที่สุด” กริชชัยเหลือบไปอ่านพอดี กริชชัยถึงกับชะงัก หน้าจ๋อยๆ รีบเบือนหน้าหนีและเดินกลับไปยังที่เดิม
อรุณศรีกดปิดข้อความ เก็บโทรศัพท์ และหันมาทำงานเหมือนเดิม กริชชัยได้แต่แอบมองอรุณศรีจากที่ไกลๆเหมือนเดิม
ปรานต์กำลังเดินดูรถตู้กับเกียวที่ลานจอดคิวรถตู้อันใหญ่โตในจังหวัดระยอง
“สรุปว่ามีรถที่จะติดเครื่องเสียงทั้งหมด ๑๒ คัน ผมจะจัดชุดพิเศษให้เลยครับ รับรองว่าลูกค้าขึ้นรถมาต้องประทับใจ”
“ดีมาก พี่เป็นคนจริง ทำอะไรทำจริง ไม่ใช่ทำแบบครึ่งๆกลางๆ ไม่เต็มที่ พี่ไม่ทำ เพราะฉะนั้นอะไรดีๆ จัดมาเลย เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา”
ปรานต์ยิ้มรับ
“งั้นผมจะรีบส่งเครื่องเสียงกับช่างมาเลยนะครับ ถ้าเป็นวันอังคารนี้คุณเกียวพร้อมมั้ยครับ”
“พร้อมสิจ๊ะ แต่...” เกียวเสียงจริงจัง
ปรานต์ชะงักฟัง
“ห้ามเรียกพี่ว่า “คุณ” ต้องเรียก “พี่” ว่า “พี่” ถึงจะเหมาะสม”
“ได้ครับ..พี่เกียว”
“พี่ว่าเราไปหาอะไรทานกันดีกว่านะ อากาศกำลังดี นั่งกินข้าวไปดูพระอาทิตย์ตกไป..โรแมนติก”
“ผมขอเป็นเจ้ามือนะครับ ผมไม่ชอบเอาเปรียบผู้หญิง”
เกียวยิ้มพอใจ
“สุภาพบุรุษมาก..พี่ชอบ”
เกียวยิ้มหวาน หน้าบานด้วยความลุ่มหลง ปรานต์ยิ้มรับนิดๆ แอบคิดในใจว่า ‘อย่าไปกินแพงนะมรึง’
เสียงเพลงจากดนตรีสดในร้านสาดสุราของค่ำวันนั้น กำลังเล่นเพลง “นางแมว” ถึงท่อนฮุค “ไป ไป ไปลงนรกซะเถิดที่รักฉันจะลงโทษเธอ” อย่างเมามัน คนในร้านร้องตามอย่างสนุกสนาน
วัชระ และธีธัช นั่งปรับทุกข์กันอยู่ที่ระเบียง
“สรุปแกก็ต้องแต่งกับแหนม”
“ก็ต้องงั้น มันเป็นความต้องการของเค้า ฉันมีหน้าที่ทำตาม ฉันนึกว่าการที่ฉันหนีหน้าเค้า จะทำให้เค้าเย็นลง และฟังฉันบ้าง แต่มันตรงข้าม เค้ายิ่งร้อนรน วุ่นวาย แล้วก็ไม่ฟังอะไรเหมือนเดิม”
“เอาน่า..อย่างน้อยแกก็ได้พูดความรู้สึกของแกออกไปแล้ว”
“พูด แต่คนฟังเค้าไม่สนใจ มันจะมีประโยชน์อะไรวะ”
ธีธัชพูดไม่ออกไปเลย สียงโทรศัพท์วัชระดังขึ้น วัชระหันไปหยิบหน้าเซ็งๆ เพราะคิดว่าเนตรนภัสโทรเข้ามา แต่พอเห็นชื่อแววตาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“เภาว่าไง”
ธีธัชหูผึ่งทันทีเมื่อได้ยินชื่อลำเภา
“ครับ ครับ..ได้ครับ...ได้ๆ เดี๋ยวผมจัดการให้ ไม่ต้องห่วง สวัสดีครับ”
หลังวัชระวางสายไป ธีธัชอ้อมๆแอ้มๆ ถามขึ้น
“น้องไอ้กริช โทร.หาแกทำไมวะ”
“อ๋อ..เภาเค้าฝากให้ฉันกลับไปให้อาหารหมา”
“ทำไมต้องเป็นแกวะ”
“ก็ตอนนี้ฉันไปอาศัยอยู่บ้านลำเภา”
ธีธัชสะอึกเล็กน้อย วัชระพูดต่อ
“ฉันไม่อยากอยู่บ้าน ขี้เกียจเจอแหนม แล้วก็ไม่อยากให้แม่ต้องเห็นว่าฉันไม่สบายใจ ไอ้กริชก็เลยให้เภาช่วยจัดห้องให้ฉันอยู่ วันนี้ไอ้กริชมันไปทริปมันก็ฝากให้ฉันช่วยอยู่เป็นเพื่อนเภาด้วย
ธีธัชรู้สึกร้อนรุ่มใจแปลกๆ
“คืนนี้แกก็อยู่กับยัยหนูตะเภาสองต่อสองเนี่ยนะ”
“เออ.. แก.. โอเคเปล่า” วัชระพูดพลางมองหน้าธีธัช
“โอเคดิ ทำไมฉันต้องไม่โอ ฉันกับยัยเด็กนั่นไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย” ธีธัชเฉไฉทำเป็นหยิบแก้วน้ำมาดื่ม
“โอเคก็ดี ฉันจะได้ไม่ต้องลำบากใจ งั้นฉันกลับไปให้อาหารหมาก่อน เภาคงกลับดึก เห็นบอกว่ายังอยู่โรงพยาบาลรอคนมารับ”
ธีธัชสำลักพรวดทันที วัชระมองด้วยความแปลกใจ วัชระส่งทิชชู่ให้
“เอ้ย ใจเย็นๆ เป็นอะไรไปวะ”
ธีธัชโบกมือบอกว่าไม่เป็นไร ธีธัชคิดถึงตอนที่ลำเภาส่งข้อความ “ เย็นนี้เลิกงานห้าโมงมารับด้วย...มาให้ได้”
ลำเภานั่งอยู่ในคลินิกรักษาสัตว์ เหลือบไปดูนาฬิกาที่ข้างฝา เวลาสองทุ่ม ลำเภาดึงสายตากลับมาที่หนังสือ แล้วก็นั่งอ่านต่อไป อย่างอดทน
คล้อยหลังวัชระที่โบกมือลาธีธัช ธีธัชรีบหันนาฬิกาข้อมือมาดู
“สองทุ่ม ยัยหนูตะเภาท่าจะบ้า รอตั้งแต่ห้าโมงยันสองทุ่มเนี่ยนะ อยากรอก็รอไป..ฉันไม่มีวันไปรับหรอก”
กรกนกกำลังเดินเก็บเงินอยู่ในร้านสาดสุรา ชะเง้อมองมายังจุดที่ธีธัชนั่งอยู่ ขณะนั้นธีธัชนั่งหันหลังกระดิกขาอย่างคนร้อนรนเพราะไม่อาจหยุดความกังวลเรื่องลำเภาได้ กรกนกเห็นแล้วก็เริ่มครุ่นคิด และหนักใจว่า จะเอายังไงต่อไปกับผู้ชายคนนี้ต่อไป
ลำเภายังนั่งอ่านหนังสืออยู่อย่างใจเย็น ต่างจากธีธัชโดยสิ้นเชิง
ในที่สุด ธีธัชก็พ่ายแพ้ต่อความเป็นห่วงของตัวเอง ธีธัชลุกพรวดออกจากร้านสาดสุราไป ธีธัชวิ่งตรงไปที่รถ
เมื่อกรกนกเก็บเงินเรียบร้อยแล้วหันมาดูธีธัชอีกที..ก็พบว่า ธีธัชไม่ได้นั่งอยู่ที่เดิมซะแล้ว
กรกนกแปลกใจ จึงเดินออกมาดูที่หน้าร้านเห็นธีธัชขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว หญิงสาวคิดในใจว่า...เขาจะรีบไปไหน?
อ่านต่อตอนที่ 10 พรุ่งนี้ (อังคาร 20 ธ.ค. 2554)
อ่านก่อนดูรู้ก่อนใคร!!!
ติดตามอ่าน 3 หนุ่มเนื้อทอง ได้ทุกวัน ด้วยเรื่องราวที่สมบูรณ์ที่สุด ละเอียดทุกลมหายใจของตัวละคร ตรงตามบทโทรทัศน์ช่อง 3 เป๊ะ ตั้งแต่ต้นจนอวสาน ทาง "ละครออนไลน์"