สามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 11
เช้าวันต่อมา วัชระนั่งกินอาหารเช้าพร้อมเปิดใจคุยกับแววอย่างเปิดอก บนโต๊ะอาหารภายในบ้าน แต่เอาเข้าจริงๆ วัชระกลับเอาแต่เขี่ยข้าวต้มในชามไปมา สีหน้าของแววเต็มไปด้วยความหนักใจ หลังรู้เรื่องว่าลูกชายตัดสินใจจะยกเลิกงานแต่ง!
“คิดดีแล้วเหรอ”
“จริงๆ ผมก็ไม่ได้คิด”
“อ้าว” แววเลิกคิ้ว
“แต่มันเป็นความรู้สึก ก่อนหน้านี้ผมตอบไม่ได้ว่าทำไมผมรู้สึกไม่มีความสุข แต่ตอนนี้ผมรู้แล้ว.. ผมกับแหนม..เราสองคนไม่ได้รักกัน”
แววฟังแล้วอดหนื่อยใจแทนวัชระไม่ได้
“แม่เชื่อมั้ย ตั้งแต่แหนมเร่งรัดผมเรื่องแต่งงาน เค้าพูดถึงแต่ “พิธีแต่งงาน” เค้าไม่เคยพูดเรื่อง “ความรัก” กับผมสักคำ ตอนนี้ผมแน่ใจแล้วว่าแหนมไม่ได้อยากแต่งงานกับผมเพราะความรัก”
“บางคู่แต่งเพราะรักกันยังไม่รอด แล้วนี่ไม่ได้แต่งเพราะรักกัน แล้วมันจะอยู่กันรอดมั้ยเนี่ย” แววว่า
“ผมว่าไม่รอด” วัชระพูดตรงๆ แววถึงกับผงะ
“ผมถึงตัดสินใจยกเลิกงานแต่งงาน ผมอยากจะถอยออกมา ให้เราสองคนมีช่องว่างเรียนรู้กันใหม่ และถ้าผมแน่ใจว่า เราสองคนรักกันเมื่อไหร่ ผมจะแต่งงานทันที”
แววถอนใจเฮือกใหญ่
“เราอยากถอย... แล้วคิดว่าหนูแหนมเค้าจะถอยกับเราหรือเปล่า”
ที่บริเวณบ้านของเนตรนภัสในบ่ายวันเดียวกัน เนตรนภัสสวนสีรุ้งด้วยความไม่เข้าใจ
“ถอยไปไหนคะคุณแม่ ที่ผ่านมาแหนมก็ยอมจนไม่รู้จะยอมยังไง คุณแม่จะให้ถอยไปถึงไหน”
สีรุ้งและนรีวรรณนั่งตัวลีบ มองตากับปริบๆ สีรุ้งพยายามชี้แจงกับเนตรนภัส
“ก็ถอยมาตั้งหลัก พักให้ผู้ชายเค้าได้คิดบ้าง”
“ใช่ พี่แหนมวิ่งไล่จับพี่วัชมาแต่งงาน เหมือนกับลากหมูมาขึ้นเขียง” นรีวรรณว่า
“นุ้ยเงียบไปเลย พี่ไม่ได้ถาม” เนตรนภัสดุ
“ที่พูดเพราะเป็นห่วง นุ้ยเห็นมาหลายคู่แล้ว ตอนเป็นแฟนก็รักกันดี แต่พอจะแต่งงาน เลิกกันทุกที”
“นี่แกแช่งให้ฉันเลิกกับวัชเหรอ” เนตรนภัสถามนรีวรรณ
“ไม่ได้แช่ง แต่ถ้าพี่แหนมยังเป็นแบบนี้ ไม่รอดแน่”
“นังนุ้ย” นรีวรรณตวาดเสียงดัง
“พอ..พอ..พอ..พอได้แล้ว.. ปัญหาที่มียังไม่มากพอหรือไง ทะเลาะกันอีกทำไมให้ปวดหัว นุ้ยก็พูดกับพี่เค้าดีๆหน่อย แหนมเองฟังน้องบ้างก็ดีนะ” สีรุ้งว่า
“ฟังอะไรคะ คุณแม่ไม่ได้ยินเหรอ ยัยนุ้ยแช่งแหนม” เนตรนภัสโวย
“แต่แม่ว่าน้องพูดถูก”
นรีวรรณรีบพยักหน้ารับ เนตรนภัสโพล่งออกมา
“คุณแม่”
“ลูกของแม่ไม่จำเป็นต้องวิ่งไล่จับผู้ชายมาแต่งงาน มันเสียศักดิ์ศรี จากอาการของวัชที่แม่เห็นตอนถ่ายรูป มันแย่มาก เค้าไม่ให้เกียรติเรา แหนมจะแต่งงานกับคนที่ไม่เห็นคุณค่าของเราทำไมลูก”
นรีวรรณพยักหน้าสนับสนุนคำพูดของสีรุ้งเต็มที่ แต่เนตรนภัสไม่ยอมรับความจริง
“ไม่จริง แหนมเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ทำให้เค้าดูดีขึ้น เค้าจะไม่เห็นคุณค่าแหนมได้ยังไง”
เนตรนภัสพูดพลางฉุกคิด
“หรือว่าที่วัชเป็นแบบนี้ เพราะว่า ... มีคนอื่น”
เนตรนภัสตั้งข้อสงสัยและเริ่มคิดซุ้งซ่านไปตามประสาคนไม่มีเหตุผล นรีวรรณกับสีรุ้งมองหน้ากัน อย่างปลงกับนิสัยเนตรนภัส
ภายในห้องพักของสุพรรณิการ์ตอนกลางวัน อรุณศรีพาโอบบุญมาเสนอฝากขายน้ำสลัด ขวดน้ำสลัดถูกวางอยู่บนโต๊ะอาหาร สุพรรณิการ์ตักสลัดกินแล้วเคี้ยวอย่างพิจารณา
อรุณศรีนั่งเชียร์อยู่ข้างๆ สุพรรณิการ์ โอบบุญยืนรอฟังผล สุพรรณิการ์กินแล้วตอบเสียงเครียด
“พี่โอบ… น้ำสลัดมัน ...”
โอบบุญหน้าเริ่มเครียด เพราะคิดว่าคงจะไม่ถูกปากสุพรรณิการ์
“อร่อยมากกก” สุพรณิการ์บอก
โอบบุญและอรุณศรียิ้มโล่งอก สุพรรณิการ์พูดต่อ
“ฝ้ายรับมาลงไว้ที่ร้านนะคะ พรุ่งนี้พี่โอบเอามาส่งให้ที่ร้านสัก 20 ขวดก่อนแล้วกัน ฝ้ายจะบอกให้คุณกรผู้จัดการร้านเตรียมค่าของไว้ให้”
วันรุ่งขึ้น โอบบุญลงจากรถ พร้อมกับถือถุงซึ่งภายในบรรจุขวดน้ำสลัดที่สุพรรณิการ์สั่งมาขายที่ร้าน โอบบุญมองเข้าไปในร้านสาดสุราในขณะที่ร้านยังไม่เปิดบริการแก่นักเที่ยว ในร้านมีเพียงกรกนกคนเดียวเท่านั้นที่กำลังจัดร้านให้เข้าที่เข้าทางเพื่อเตรียมบริการในตอนค่ำ
กรกนกพูดกับโอบบุญด้วยใบหน้า และน้ำเสียงที่เป็นมิตร สดใส เซ็กซี่ตามสไตล์
“ฉันนี่แหละค่ะ ... ชื่อ กร”
โอบบุญมองกรกนกอย่างตะลึงในความน่ารัก
“ผมนึกว่าคุณกร...จะเป็นผู้ชายซะอีก แบบว่า.. ธนากร หรือ นิติกร ทำนองนั้น” โอบบุญยิ้มกว้าง
“เมื่อก่อนก็ใช่ค่ะ... แต่ตอนนี้ผ่าตัดแปลงเพศแล้ว” กรกนกพูดหน้าตายแกล้งทำเสียงห้าวใส่โอบบุญ
โอบบุญหุบยิ้มทันที
“ผ่าตัดแปลงเพศ จริงดิ “ โอบบุญย้ำเพื่อความแน่ใจ และมองกรกนกอย่างสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า เพราะเชื่อในสิ่งที่กรกนกอำเล่น
“ล้อเล่นค่ะ”
โอบบุญขำ กรกนกยิ้ม
“เชื่อนะเนี่ย”
“ทำไมคะ ฉันเหมือนกระเทยมากเหรอคะ”
“ผมว่าก็ใกล้เคียง เสียงใหญ่ๆ สวยเว่อร์ๆ แบบนี้ ใช่เลย”
โอบบุญแอบหยอด กรกนกยิ้มเขินแล้วเปลี่ยนเรื่องอย่างแนบเนียน
“คุณฝ้ายบอกกรว่า คุณโอบจะเอาน้ำสลัดมาให้ “
“อ้อ ใช่ครับ นี่ครับ 20 ขวด วันหมดอายุแปะอยู่ใต้ขวดนะครับ” โอบบุญว่าพลางยื่นถุงใส่ขวดน้ำสลัดให้
“เดี๋ยวกรเอาไปแช่ก่อนนะคะ รอแป๊บ เดี๋ยวเอาค่าของมาให้”
“ครับ”
กรกนกถือถุงสลัดเข้าไปหลังร้าน โอบบุญมองตามเพราะรู้สึกถูกชะตาเป็นอย่างมาก..
โอบบุญเบนสายตาจากมุมต่างๆของร้านเหล้า มาห็นกระเป๋าสะพายของกรกนกที่วางอยู่โดยไม่ตั้งใจ ทันใดนั้นสายตาก็สะดุดเข้ากับโทรศัพท์มือถือของกรกนกที่เปิดหน้าเฟซบุคทิ้งไว้
โอบบุญเห็นหน้าเฟชบุคของกรกนก เขาเอียงหน้าอ่านชื่อบนเฟซบุคแล้วก็ยิ้มๆ ก่อนหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมากดเข้าเฟซบุคของตัวเอง
กรกนกเดินออกมาจากห้องครัว พร้อมกับซองเงิน โอบบุญยืนรออยู่ ด้วยรอยยิ้มที่แสนจะเป็นมิตร และจริงใจ
“นี่ค่ะ ค่าน้ำสลัด” กรกนกส่งซองเงินให้
“ขอบคุณครับ” โอบบุญรับซองเงินมาพร้อมรอยยิ้ม
กรกนกยิ้มรับนิดๆ และกำลังจะหันไปทำงานต่อ โอบบุญเรียกขึ้น
“เอ่อ..คุณกรครับ”
“มีคนอยากเป็นเพื่อนกับคุณ... ช่วยกดรับไว้หน่อยนะครับ” โอบบุญพูดพลางยิ้มอายๆ
กรกนกแปลกใจนิดๆ งงๆ
“ผม..ไปก่อนนะครับ แล้ว..เจอกันใหม่” โอบบุญรีบขอตัวกลับก่อน
โอบบุญเดินออกไปจากร้านด้วยอาการเขินอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน กรกนกมองตาม ก่อนจะหันกลับมาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู หน้าเฟชบุคขึ้นว่ามีคนขอเป็นเพื่อนเข้ามาอีกหนึ่งคน แล้วก็ยิ้ม
กรกนกกดเข้าไปดู คำร้องขอเป็นเพื่อน เห็นรูปโอบบุญอยู่ในชุดเชฟกวนๆ เท่ๆ ใช้ชื่อ OB(iwan) กรกนกยิ้มนิดๆและคิดอยู่สักครู่ ก่อนจะกดรับ “ยืนยัน” รับเป็นเพื่อน พร้อมรอยยิ้ม
โอบบุญเดินมาถึงรถ เสียงเตือนถึงเคลื่อนไหวในเฟซบุคดังขึ้น โอบบุญรีบหยิบมาดู หน้าจอขึ้นว่า “OB(iwan) เป็นเพื่อนกับ Gonkanok Naviriya”
โอบบุญยิ้มกว้าง...ด้วยความดีใจ โอบบุญมองเข้าไปในร้าน แววตาเป็นประกาย หัวใจชุ่มฉ่ำ กดพิมพ์
ข้อความยุกยิกๆ แล้วกดแปะที่หน้าวอลล์
เสียงเตือนดังจากมือถือกรกนก กรกนกหยิบมาดู เป็นคอมเม้นท์ของโอบบุญขึ้นว่า
“เจอครั้งแรกดีใจเจอครั้งต่อไปดีใจมากกว่า ยินดีที่รู้จักครับ”
กรกนกอ่านแล้วก็ยิ้มไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมากนัก เพราะกรกนกมีคนมาจีบบ่อย แต่คนนี้กรกนกรับรู้ได้ถึงความแปลก
ปรานต์วางโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะด้วยความไม่พอใจ ปรานต์หน้าตาหงุดหงิดบอกบุญไม่รับ
“แอ๊วนะแอ๊ว..แฟนหายไปสองวัน ไม่โทร.ตามสักนิด ข้อความก็ไม่ส่ง เงินก็ไม่ให้ มันยังไงกันแน่” ระหว่างที่ปรานต์เริ่มคิดหวาดระแวง เสี่ยนิวก็เดินเข้ามาในห้องทำงานปรานต์
“ปรานต์ ผมเห็นออร์เดอร์คิวรถตู้เจ๊เกียวที่ระยองแล้วนะ คุณทำดีมาก”
ปรานต์ยิ้มรับอย่างภูมิใจ
“นี่ผมยังไม่ได้แสดงฝีมือเท่าไหร่เลยนะ แค่คุยกันแป๊บเดียว พี่เค้าก็สั่งของมาแล้ว พูดก็พูดนะ ถ้ามีเวลา ผมทำยอดได้มากกว่านี้เท่าตัวเลย” ปรานต์โม้หน้าตาเฉย
เสี่ยนิวแอบหมั่นไส้เล็กน้อย
“ก็ดี .. แต่ยอดนี้ไม่รวมกับเงินที่คุณยังไม่ได้ให้ผมนะ ไงคุณก็รีบหามาให้หน่อยแล้วกัน”
ปรานต์หุบยิ้มทันที
“ผมขอวันศุกร์นี้นะ พอดีมีเรื่องต้องใช้เงิน” เสี่ยนิวพูดจบก็เดินออกจากห้องไป
ปรานต์หน้าเครียดและเริ่มคิดและนึกถึงอรุณศรีในทันที
“วันศุกร์... อีก 2 วัน จะไปเอามาจากไหนวะ ตั้ง 4 แสน”
อรุณศรีนั่งประชุมอยู่ในห้องประชุมเล็กของบริษัท M Group กริชชัยสรุปการทำงานอย่างอารมณ์ดี
“ทริปวังน้ำเขียว ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ลูกค้าพอใจกับการเดินทางมาก ขอบคุณทุกคนที่ช่วยกัน เป็นอย่างดี”
เบญลี่ยิ้มรับกว้าง พนักงานยิ้มรับด้วยความภูมิใจ อรุณศรียิ้มรับนิดๆ กริชชัยเริ่มพูดต่อ
“งานใหญ่ต่อไปของบริษัทเราคืองาน แบงคอกมอเตอร์ไบค์เฟสติวัล รถที่ใช้โชว์ในงานจะมาส่งเย็นนี้ ผมอยากจะให้ฝ่ายประชาสัมพันธ์” กริชชัยหันหน้ามาทางอรุณศรี อรุณศรีตั้งใจฟัง
“เก็บภาพรถ ขั้นตอนการประกอบรถ และส่งข่าวประชาสัมพันธ์ในวันพรุ่งนี้ จะทันหรือเปล่า”
“ทันค่ะ” อรุณศรีรับคำโดยไม่อิดออด
“ดีมาก คืนนี้อาจจะอยู่ดึกหน่อย ไม่มีปัญหานะ”
เบญลี่ตอบแทนอย่างลืมตัว
“ไม่มีค่ะ”
กริชชัยกับอรุณศรีหันมาทางเบญลี่ เบญลี่ยิ้มกลบเกลื่อน
“ก็..ตอบแทนแอ๊วไงคะ แอ๊วเค้าเป็นคนขยัน ใช้อะไรทำได้ไม่บ่น แอ๊วไม่ต้องตอบ เบญลี่ก็รู้อยู่แล้วว่า... ไม่มีปัญหา”
เบญลี่ซึ่งนั่งติดกับอรุณศรีรีบสะกิด
“จริงมั้ยแอ๊ว”
“ค่ะ..ไม่มีปัญหา ดิฉันจะให้ช่างภาพมาแสตนบาย รถมาเมื่อไหร่ เริ่มถ่ายได้ทันที”
อรุณศรีตอบด้วยความมั่นใจ
รถขนของเคลื่อนเข้ามาจอด บนรถมีกล่องสินค้า ที่บรรจุรถมอเตอร์ไซค์อยู่ด้านใน พนักงานฝ่าย ช่างเตรียมช่วยกันขนลงจากรถ
กริชชัยยืนคุมอยู่ไม่ห่าง อรุณศรียืนอยู่ใกล้ๆ กริชชัยแอบปรายตามามองอรุณศรีและอมยิ้มอย่างมีความสุข
อรุณศรีแอบมองกริชชัยอยู่เหมือนกัน แต่รักษาท่าที คำพูดของสุพรรณิการ์ดังเข้ามาในความคิด
“ฉันรู้ว่าแกเป็นคนรักเดียวใจเดียว แกไม่อยากทำผิดกับไอ้ปรานต์ แต่การยอมรับความจริงมันไม่ใช่ความผิด และความจริงก็คือ คุณกริชเค้าสนใจแก”
อรุณศรีหน้าแดงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวเพราะแอบตื่นเต้นอยู่ในใจ กริชชัยหันมาเห็นพอดี
“เป็นอะไร..หน้าแดงๆ ไม่สบายหรือเปล่า”
อรุณศรีเผลอจับหน้าตัวเอง
“เปล่านี่ค่ะ ไม่ได้เป็นอะไร เอ่อ...ดิฉันไปดูช่างภาพถ่ายรูปก่อนนะคะ”
อรุณศรีกลบเกลื่อน และรีบเดินหนีไปในทันที กริชชัยมองตามด้วยความแปลกใจ
พนักงานเริ่มแกะลังที่บรรจุรถออกมาทีละคัน แต่ละคันเต็มไปด้วยการออกแบบที่แปลกและไม่เหมือนใคร กริชชัยยืนคุมอยู่อย่างใกล้ชิด อรุณศรีคอยจดรายละเอียด เพื่อเตรียมเขียนข่าว ช่างภาพถ่ายภาพรถอย่างขะมักเขม้น กริชชัยเข้ามาช่วยพนักงานประกอบรถอย่างไม่ถือตัว อรุณศรียืนมองด้วยความชื่นชม
กริชชัยปาดเหงื่อและหันมาทางอรุณศรี สองคนสบตากัน อรุณศรีชะงักนิดๆ และรีบเฉไฉทำเป็นก้มหน้าจดรายละเอียด ท่ามกลางการทำงานที่จริงจังจากช่วงเย็นถึงดึกดื่นในคืนนี้ มีกลิ่นอายของความรักและความรู้สึกดีๆ แพร่ปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณ
หน้าบ้านอรุณศรีตอนกลางคืนบรรยากาศเงียบสงัด รถกริชชัยเข้ามาจอดเทียบ ภายในรถเห็นอรุณศรีนั่งอยู่ข้างๆ
“ขอบคุณมากนะคะที่มาส่ง ที่จริงฉันกลับเองก็ได้ ไม่ต้องลำบาก”
“คุณเป็นพนักงานที่มีคุณภาพ ผมไม่อยากสูญเสียบุคลากร ถ้าคุณนั่งรถเมล์ หรือรถแท๊กซี่มาแล้วเกิดอะไรขึ้นกับคุณ บริษัทผมจะเสียหาย” กริชชัยสีหน้าจริงจัง อรุณศรีอึ้ง
“โอเค..ค่ะ ... ฉันจะตั้งใจทำงานให้คุ้มกับที่คุณอุตส่าห์ขับรถมาส่งนะคะ บริษัทคุณจะได้ไม่เสียหาย ฉันไปก่อนนะคะ ขอบคุณค่ะ”
อรุณศรีก้าวลงจากรถในทันที กริชชัยผงะนิดๆ เรียกอรุณศรีไว้ไม่ทัน เพราะอยากจะพูดอะไรบางอย่าง กริชชัยตัดสินใจลงจากรถทันที
อรุณศรีกำลังจะเดินเข้าบ้าน กริชชัยลงจากรถ แล้วรีบเรียกขึ้น
“อรุณศรี..เดี๋ยวก่อน”
กริชชัยเดินมาหา แล้วก็พูดตรงๆ
“ผมว่าคุณกำลังมีปัญหา”
“อะไรนะคะ” อรุณศรีเลิกคิ้ว..งง
“คุณกำลังมีปัญหาอะไรบางอย่างในชีวิต คุณไม่เหมือนเดิม... คุณรู้ตัวหรือเปล่า”
“เอ่อ” อรุณศรีเริ่มทำตัวไม่ถูก
“มีปัญหาอะไรบอกผมได้นะ .. ผมยินดีรับฟัง”
“ในฐานะของบริษัทที่ไม่อยากให้ฉันทำงานเสียหายเหรอคะ”
กริชชัยมองหน้าแล้วก็ตอบอย่างตรงไปตรงมา
“ในฐานะเพื่อนได้มั้ย”
“ฉันคงไม่อาจเอื้อมหรอกค่ะ คุณเป็นเจ้าของบริษัท ฉันต้องวางไว้บนหิ้งค่ะ จะดึงมาเป็นเพื่อนคงไม่เหมาะ”
“อย่าวางผมไว้บนหิ้งเลย วางผมไว้ข้างๆ เป็นเพื่อนคุณก็พอ .. ผมขอแค่นี้ คุณให้ผมได้หรือเปล่า”
กริชชัยพูดด้วยความจริงใจ อรุณศรีมองหน้ากริชชัย แล้วก็อะไรพูดไม่ออก ต่างคนต่างเงียบกันไปหนึ่งอึดใจ แล้วอรุณศรีก็ตัดสินใจตอบออกมาว่า
“เอ่อ...ก็.. ได้ค่ะ”
“ขอบคุณ ผมเป็นคนเต็มที่กับเพื่อน เพราะฉะนั้นถ้าคุณมีปัญหาไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ปรึกษาผมได้ทันที ผมยินดีช่วยทุกอย่าง” กริชชัยพูดพลางยิ้มอย่างโล่งอก
“ค่ะ”
กริชชัยยิ้มรับ และหันหลังเดินกลับไปขึ้นรถ อรุณศรีมองตาม หลังกริชชัยขับรถออกไป อรุณศรีพึมพำกับตัวเอง
“คนอะไร..ใฝ่ต่ำจริงๆ ให้อยู่บนหิ้งดีๆ อยากลดตัวลงมาอยู่ข้างๆ”
แม้อรุณศรีจะทำเป็นกระแหนะกระแหน แต่ในใจก็แอบชอบ กริชชัยอยู่เหมือนกัน
รถกริชชัยแล่นออกไปแล้ว ที่มุมหนึ่งของหน้าบ้าน รถของปรานต์จอดแอบอยู่ ปรานต์มองตามรถกริชชัยด้วยความไม่พอใจอย่างแรง ปรานต์สตาร์ทรถและขับพุ่งมาหาอรุณศรีที่เดินมาถึงรั้วบ้านพอดี
รถปรานต์ปราดเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน อรุณศรีมองด้วยความแปลกใจ ปรานต์ลงจากรถด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“ปรานต์”
“ทำไมแอ๊วทำแบบนี้กับปรานต์ แอ๊วนอกใจปรานต์ได้ยังไง”
“นอกใจอะไร” อรุณศรีขมวดคิ้วถาม
“ไม่ต้องมาทำเป็นแบ๊วไปหน่อยเลย ปรานต์ไม่ได้โง่ ปรานต์เห็นหมดแล้ว ไอ้เจ้านายขี้เก๊กมันมาเทียวรับ เทียวส่งแบบนี้ เพราะมีอะไรกันแล้วใช่มั้ย”
“ปรานต์” น้ำเสียงอรุณศรีโกรธสุดๆ
“ถึงว่า แฟนตัวเองหายไปสองสามวันไม่โทร.ตามสักแอะ ที่แท้ก็แอบมีชู้นี่เอง”
อรุณศรีเหลืออด กำหมัดแน่น เกือบจะเหวี่ยงไปตบ แต่ด้วยสติที่ดียังยั้งเอาไว้ได้ อรุณศรีตอกกลับด้วย
ความโกรธ
“อย่ามาพูดจาสุนัขๆ แบบนี้ เราสองคนเป็นแค่แฟนกัน .. ยังไม่เคยมีอะไรกัน สามีภรรยาก็ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นถ้าแอ๊วจะมีใครอีกสักคนเค้าไม่ใช่ชู้”
“ไม่ใช่ชู้ แล้วเป็นอะไร เป็นกิ๊ก งั้นเหรอ” ปรานต์สวน
“คนอย่างแอ๊วไม่จำเป็นต้องมีกิ๊ก ไม่ชอบแอบคบ หลบๆ ซ่อนๆ เสียเวลา ถ้าจะมี...มี “แฟนใหม่” ไปเลย สะใจกว่า”
อรุณศรีพูดน้ำเสียงจริงจัง ปรานต์ถึงกับอึ้งจุกเพราะอรุณศรีไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน
โอบบุญเดินออกมาจากห้องนอนในสภาพสะลึมสะลือ เพื่อออกมาดูสถานการณ์ด้วยความเป็นห่วง
“ทะเลาะกันอีกแล้วคู่นี้”
อรุณศรีสบัดหน้าใส่ปรานต์และหันหลังเดินกลับเข้าไปในบ้าน
“แอ๊ว!! ไม่ได้นะ ปรานต์ไม่ยอม ปรานต์ไม่ยอมเสียแอ๊วให้คนอื่น แอ๊วจะเลิกกับปรานต์ไปหาใครไม่ได้ทั้งนั้น” ปรานต์เสียงอ่อนลง
อรุณศรีไม่สนใจ ปรานต์วิ่งพุ่งเข้ามาแล้วก็กอดอรุณศรีไว้จากข้างหลัง อรุณศรีตกใจ รีบสบัดตัวออก
“ปรานต์ทำอะไร ปล่อยนะ ปรานต์อย่ามาทำน่าเกลียดแบบนี้นะ ปล่อย”
ปรานต์แสร้งทำสำออย อย่างคนสำนึกผิด และบีบเสียงเครือทำเป็นจะร้องไห้
“ขอโทษที่พูดไม่ดี ปรานต์ผิดไปแล้ว ปรานต์ขอโทษ แอ๊วอย่าโกรธปรานต์นะ เรา...ดีกันนะ
อรุณศรีไม่ตอบ แววตาและใบหน้าของอรุณศรีเต็มไปด้วยความเบื่อหน่าย
โอบบุญแอบมองอรุณศรีกับปรานต์มาทางหน้าต่าง แล้วก็ส่ายหน้า พลางคิดว่าน้องสาวจะรอดจากเงิ้อมมือของผู้ชายกระล่อน ปลิ้นปล้อนคนนี้หรือเปล่า
ปรานต์ยังเล่นละคร ออดอ้อนต่อไป
“ปรานต์รักแอ๊วนะ รักมาก...รักจนไม่อยากเสียแอ๊วให้คนอื่น... ขอโทษนะ ต่อไปจะไม่พูดแบบนี้อีกแล้ว ปรานต์รักแอ๊วจริงๆ นะ” ปรานต์พูดพลางจับมืออรุณศรี
ปรานต์ยังคงพรั่งพรูออกมาวาจาด้วยแม่น้ำทั้งห้า และมารยาร้อยเล่มเกวียน อรุณศรีฟังด้วยสายตาและความรู้สึกที่แสนจะสับสน ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเชื่อผู้ชายคนนี้ดีหรือไม่
ภายในห้องพักของสุพรรณิการ์ บนชั้นสองของร้านสาดสุรา อรุณศรีเล่าเรื่องปรานต์ให้ฟัง สุพรรณิการ์พูดตอบอย่างไม่เกรงใจอรุณศรี
“รักเนี่ยนะ... ถุย”
อรุณศรีสะดุ้งเล็กน้อย ในมือสองสาวต่างถือเครื่องดื่มคอกเทลคนละแก้ว แล้วสนทนาคุยกันไป
“อย่าบอกนะว่าแกเชื่อ” สุพรรณิการ์ดักคอ
“มันไม่สำคัญว่าฉันจะเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่มันคบกันมานาน ฉันเข้าใจมากกว่า”
“เข้าใจว่าอะไรวะ”
“เข้าใจว่าเค้าหึงฉัน ก็เลยพูดออกมาด้วยความโกรธ”
“แล้ว”
“ฉันก็เลย...ให้อภัยเค้า”
“กูล่ะกลุ้ม” สุพรรณิการ์ยกเครื่องดื่มซดด้วยความเซ็ง อรุณศรียกดื่มด้วยขึ้นดื่มตามด้วยความเครียด
“ฉันอยากรู้ ทำไมแกไม่เลิกกับไอ้ปรานต์ แฟนห่วยๆ แบบนี้มีไว้ถ่วงชีวิตทำไมวะ” สุพรรณิการ์ถาม
อรุณศรีคิด...แล้วก็ตอบจากใจ
“มันเป็นความเคยชิน .. ฉันคบกับปรานต์มาตั้งแต่อยู่มหาวิทยาลัย เราไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด พอพ่อแม่เสีย พี่โอบเริ่มทำงาน แกก็ต้องทำงาน ฉันไม่มีใครนอกจากปรานต์... ถ้าฉันเลิกกับเค้า ฉัน...กลัวเหงา” สุพรรณิการ์ฟังพลางเลิกคิ้วกับตรรกะของอรุณศรี
“เหตุผลแค่นี้เนี่ยนะ ทุเรศที่สุด ทำไมแกไม่คิด “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ไม่มีมันแกก็ต้องอยู่ให้ได้”
“ถ้าทำง่ายเหมือนพูด ฉันทำไปนานแล้ว”
สุพรรณิการ์ส่ายหน้าและฟังอรุณศรีอธิบายต่อ
“ฉันว่า...ที่ปรานต์เป็นแบบนี้ เพราะเค้ามีปัญหาเรื่องเงิน ถ้าเค้าแก้ปัญหานี้ได้ มันน่าจะกลับมาดีเหมือนเดิม” อรุณศรีประเมินเหตุการณ์
สุพรรณิการ์ส่ายหน้าด้วยความไม่เห็นด้วย จังหวะหนึ่งอรุณศรีก็หันมาทางสุพรรณิการ์ พูดเสียงเครียด
“ฝ้าย...มีอีกเรื่อง ที่ฉันจะยังไม่ได้บอกแก”
สุพรรณิการ์มองหน้าอรุณศณีด้วยความอยากรู้ อรุณศรีพูดด้วยความเกรงใจ
“ปรานต์เค้าบอกฉัน...ว่าเค้าอยากยืมเงินแก”
สุพรรณิการ์ฟังแล้วของขึ้นวางแก้วคอกเทลลงบนโต๊ะอย่างแรง แล้วก็พูดออกมาอย่างนักเลงๆ
“ฉันรอประโยคนี้มานานแล้ว วันที่ไอ้ปรานต์มันต้องมาขอความช่วยเหลือฉัน บอกมันฉันให้ยืม แต่มันต้องมาเซ็นสัญญาเงินกู้กับฉันด้วยตัวเอง”
สุพรรณิการ์พูดด้วยน้ำเสียงแววตาจริงจัง และเย้ยหยันอยู่ในที อรุณศรีอึดอัดใจแทนปรานต์
อ่านต่อหน้า 2
สามหนุ่มเนื้อทอง ตอนที่ 11 (ต่อ)
ที่ห้องของกริชชัยภายในบ้านลำเภา กริชชัยกำลังใช้ผ้าคลุมภาพวาดของอรุณศรีเพื่อเตรียมขนย้ายไปอยู่ที่คอนโด ลำเภายื่นหน้าเข้ามาในห้องนอนแล้วถามขึ้น
“พี่กริชไปขอเป็นเพื่อนเนี่ยนะ เป็นเพื่อนทำไม ทำไมไม่ขอเป็นแฟน”
“กลัวเค้าปฎิเสธ”
“พี่กริช ป๊อดอ่ะ…ไม่ใจเลย”
“เราเองก็ควรจะทำตัวป๊อดเหมือนพี่บ้าง ไม่ใช่จะกล้า ก๋ากั่นไปซะทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องนายธี”
“หมาใหญ่ของเภาน่ะเหรอ” ลำเภาลอยหน้าไม่สนใจคำพูดกริชชัย
“ยังไม่เลิกเรียกว่ามันเป็นหมาอีก ไม่น่ารักเลย รู้หรือเปล่า”
“แล้วทีเค้าดูถูกว่าเภาต้องเป็นแฟนกับหมา มันน่ารักยังไง”
“หม่ามี๊พูดถูกมั้ย” ลำเภาหันไปถามเป็นต่อ กับพอใจที่มาช่วยกริชชัยเก็บของ
สุนัขแสนรู้ทั้งสองแสดงอาการว่าเห็นด้วย ลำเภาหันไปยิ้ม
“เห็นมั้ย เป็นต่อ พอใจ ยังเห็นด้วยเลย พี่กริชก็ต้องเห็นด้วยกับเภา”
“อ้าว..พี่ไม่ใช่หมาของเภานะ”
“ถึงไม่ใช่ก็ต้องเห็นด้วย เพราะคนที่ผิดไม่ใช่เภา แต่เป็นผู้ชายเจ้าชู้ ปากพล่อย อย่างนายธี อยากมาทำปากดีกับเภา มันก็ต้องเจอแบบนี้แหละ ว่าแล้วก็โทร.หาหน่อยดีกว่า”
กริชชัยผงะ หันขวับมา
“จริงดิ”
ธีธัชกำลังยกน้ำหนักอยู่ในชุดเสื้อกล้ามเซ็กซี่ในฟิตเนส มีสาวแท้ สาวเทียม เก้ง กวาง บ่าง ชะนี มองกันตาเป็นมัน
ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือธีธัชก็ดังขึ้น ธีธัชหยิบมาดู ขึ้นชื่อ “ยัยหนูตะเภา”
“ยัยหนูตะเภา จะโทร.มากวนประสาทอะไรอีกเนี่ย” ธีธัชบ่นอุบ
ระหว่างที่ธีธัชคิดจะรับหรือไม่รับโทรศัพท์ดี สุดท้ายธีธัชก็ตัดสินใจรับ
“ว่าไง ยัยหนูตะเภา”
ลำเภาคุยโทรศัพท์กับธีธัชหน้าตาเฉย
“พรุ่งนี้เป็นวันหยุด ไม่ต้องไปทำงาน”
“ฉันไม่ใช่กรมแรงงาน โทร.มาแจ้งทำไมไม่ทราบ” ธีธัชตอบอย่างกวนๆ ใส่ลำเภา
ลำเภาสวนกลับไปเหมือนเดิม
“เป็นแฟนกัน วันหยุดก็ต้องเจอกัน ทำเป็นลืมไปได้ พรุ่งนี้ว่างพาไปกินข้าวด้วย เดี๋ยวส่งชื่อร้านกับแผนที่ไปให้ สี่โมงเย็นเจอกันที่ร้าน แค่นี้นะ มีอะไรค่อยคุยกันพรุ่งนี้”
ลำเภาพูดจบก็วางสายไปเลย ธีธัชถึงกับอ้าปากค้าง
“เฮ้ย อะไรวะ พูดเอง เออเอง สรุปเอง แล้วก็วางไปเลย ยัยหนูตะเภานี่เล่นไม่เลิกนะ..(คิด) แต่ก็ดี..พรุ่งนี้เจอกัน จะได้คุยให้เด็ดขาดไปเลย ขืนปล่อยไว้ หญิงหายหมด”
อรุณศรีและสุพรรณิการ์นัดปรานต์มายังสวนอาหารแห่งหนึ่งในตอนกลางวัน ทั้งสามคนนั่งอยู่ในมุมที่เป็นส่วนตัว เมื่อปรานต์มาถึงก็เริ่มบ่นในทันที
“ทำไมต้องนัดมาร้านอาหารด้วย คุยที่ที่มันส่วนตัวกว่านี้ไม่ได้หรือไง”
“ไม่ได้ ถ้ามีคนอยากได้เงินจนหน้ามืดทำร้ายฉัน มันจะไม่มีคนช่วย ตอนไม่ร้อนเงินยังไม่น่าไว้ใจ จนตรอกแบบนี้ยิ่งไว้ใจไม่ได้” สุพรรณฺการ์เชิดหน้าอย่างเหยียดใส่ปรานต์
ปรานต์มองสุพรรณิการ์ด้วยความแค้น อรุณศรีทำหน้าลำบากใจ สุพรรณิการ์พูดต่อทันที
“แล้วนี่จะเอาเงินไปทำอะไร ตั้งเยอะแยะ เล่นบอลหรือเปล่าเนี่ย”
“ไม่ได้เล่น! ฉันเอาเงินไปลงทุน นี่...จะให้ยืมเงินก็ไม่ต้องมาถามโน่นถามนี่ เรื่องมากจริงๆ” ปรานต์ทำเสียงเขียวใส่
“เงินตั้งหลายแสน ไม่ใช่พันสองพัน ถ้าไม่ให้ถามก็กลับไปเลย ไม่ให้ยืม”
ปรานต์กัดฟันกรอด..พยายามจะระงับความโกรธอย่างถึงที่สุด อรุณศรีเกรงว่าเรื่องจะไปกันใหญ่จึงเตือนเพื่อน
“ฝ้าย...พอเถอะ เดี๋ยวจะไปกันใหญ่”
สุพรรณิการ์มองหน้าปรานต์ด้วยความหมั่นไส้ แต่หันมาเห็นหน้าอรุณศรีแล้วก็ใจอ่อน ยื่นเอกสารส่งให้ปรานต์
“นี่สัญญาเงินกู้ เซ็นซะ แล้วก็เอาเงินไป” สุพรรณิการ์ควักซองเงินขึ้นมาชูล่อตา ราวกับจะเยาะเย้ย
ปรานต์มองซองเงินด้วยแววตาเป็นประกาย ปรานต์รีบก้มหน้าอ่านสัญญา
“ยัยทอมเขี้ยว นี่เธอคิดดอกเบี้ยฉันด้วยเหรอ”
สุพรรณิการ์อ้าปากยังไม่ทันจะพูด อรุณศรีพูดสวนแทนเพื่อน
“ปรานต์เรียกฝ้ายให้ดีๆหน่อย อย่าหยาบคายให้มันมากนัก ฝ้ายเป็นเพื่อนแอ๊ว เค้าอุตส่าห์เห็นใจให้ยืมเงินนะ”
“ห้ยืม แต่ก็คิดดอก จะต้องเรียกดีๆทำไม ถ้าให้มาฟรีๆไม่ต้องคืนเมื่อไหร่ จะเรียก คุณฝ้ายให้ดู”
สุพรรณิการ์มองเหยียด
“ฝันไปเถอะ สี่แสนสำหรับคำว่าคุณฝ้ายมันแพงเกินไป แต่สี่แสนแล้วทำให้เพื่อนฉัน ตาสว่าง.. ฉันยอม”
ปรานต์สะอึกหันมามองอรุณศรี แต่อรุณศรีไม่อยากสบตาปรานต์ จึงเฉไฉเลื่อนปากกาให้มาปรานต์
“ปรานต์รีบๆ เซ็น จะได้รีบเอาเงินไปให้ที่บริษัท นัดเค้าไว้หกโมงไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวก็สายหรอก”
ปรานต์เริ่มหวาดหวั่นในใจอย่างแรง แต่ด้วยความกังวลเรื่องเงินเลยต้องทิ้งเรื่องอื่นไว้ก่อน หลังเซ็นชื่อในสัญญากู้เงินเป็นที่เรียบร้อยจึงส่งคืนสุพรรณิการ์
สุพรรรฺการ์หยิบสัญญาขึ้นมาดูอย่างละเอียด ก่อนจะส่งซองเงินให้ ปรานต์รีบรับมาเปิดซองนับเงินทันที
สุพรรณิการ์มองด้วยแววตาเหยียดๆ ส่วนอรุณศรีมองปรานต์ด้วยความสังเวชใจ
ประตูร้านอาหารถูกเปิดออก ปรานต์รีบเดินออกมา อรุณศรีเดินตามออกมาส่ง
ปรานต์หันกลับไปมองเพื่อให้แน่ใจว่าห่างจากสุพรรณิการ์แล้วจึงถามอรุณศรี
“ยัยทอมเขี้ยว มันบอกว่าจะทำให้แอ๊วตาสว่าง...แปลว่าอะไร”
“เลิกเรียกฝ้ายแบบนั้นได้แล้ว ฝ้ายไม่ใช่ทอม” อรุณศรีชักสีหน้า
“มันแอ๊บไว้น่ะสิ .. ปรานต์ขอเตือนเลยนะ ยัยเนี่ยไม่น่าไว้ใจ มันต้องอยากได้แอ๊วแน่ๆ”
อรุณศรีร้องขึ้นด้วยความตกใจ
“ปรานต์ พูดทุเรศ แอ๊วกับฝ้ายเป็นเพื่อนกัน ไม่ได้เป็นอย่างที่ปรานต์คิด แอ๊วจะกลับกับฝ้าย ไม่ต้องมารับนะ ขี้เกียจรอ”
อรุณศรีพูดจบก็หันหลังเดินกลับเข้าร้านไปเลย ปรานต์ยังมองตาม ด้วยแววตาไม่วางใจ.. ปรานต์เริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนไปของอรุณศรี จนแอบหวั่นไหวในใจลึกๆ
อรุณศรีเดินกลับมานั่งลงข้างๆ สุพรรณิการ์ด้วยความเหนื่อยใจ
“ฉันว่า..ถ้าแกแต่งงานกับไอ้ปรานต์เมื่อไหร่ แกกับฉันได้เลิกคบกันแน่”
“ทำไม”
“แกก็รู้ว่าฉันกับไอ้ปรานต์ เกลียดกันขนาดไหน คุยกันได้ไม่เกินสิบนาที นี่ถ้ามันไม่อยากได้เงินฉัน มันคงไม่ทนฟังฉันด่านานขนาดนี้ ถ้าแกแต่งกับมัน ฉันคงคบกับแกไม่ได้”
“ฉันไม่เข้าใจ ในเมื่อฉันยังเป็นเหมือนเดิม เป็นคนเดิม ทำไมแกถึงคบกับฉันไม่ได้”
“แกแน่ใจเหรอว่าจะเหมือนเดิม เป็น “แฟน” กับเป็น “เมีย” มันไม่เหมือนกัน ตอนนี้แกอาจจะเมินมัน เลือกฉัน แต่พอแต่งไปแล้ว มันคงไม่ง่าย .. เอาเข้าจริงๆ ระหว่าง "เพื่อน” กับ “ผัว” ไม่ว่าใครก็ต้องเลือกอย่างหลัง ฉันก็จะเป็นคนที่โดนเฉดหัวออกจากชีวิตแก”
อรุณศรีครุ่นคิดด้วยความหนักใจและยิงคำถามยากใส่เพื่อนรัก
“แล้วแกคิดว่า..ถ้าฉันแต่งงานกับปรานต์จริงๆ มันจะอยู่กันรอดมั้ย”
สุพรรณิการ์ได้แต่ยักไหล่เพราะไม่อยากตอบ ได้แต่สงสารอรุณศรีจับใจ
เมื่อกลับถึงคอนโดห้องพัก สุพรรณิการ์วางซองสัญญาเงินกู้และกระเป๋าไว้บนโต๊ะ พลางครุ่นคิด
“เราจะทำยังไงให้แอ๊วมันเลิกยุ่งกับไอ้ปรานต์”
สุพรรณิการ์ตาวาวนึกถึงกริชชัยขึ้นมาได้ จึงพุ่งตรงไปกดออดที่ห้องกริชชัยทันที
ประตูห้องกริชชัยเปิดออก คนที่ออกมาเปิดประตูไม่ใช่กริชชัย แต่เป็นวัชระ เขามองหน้าสุพรรณิการ์ด้วยความแปลกใจ
“ผมอยู่ของผมเงียบๆ ไม่ได้ทำเสียงเอะอะรบกวนสักนิด”
“ฉันรู้หรอกน่า ฉันไม่ได้จะมาด่าอะไรสักหน่อย ที่มาวันนี้เพราะมีเรื่องจะถาม”
วัชระรอฟัง
“คุณกริชอยู่หรือเปล่า “
“ไม่อยู่ไปทำงาน “
“ดี จะได้คุยกันสะดวกๆ หน่อย”
สุพรรณิการ์เดินเข้าไปในห้องกริชชัย วัชระร้อง
“อ้าว เฮ้ยคุณ..ผมยังไม่ได้เชิญ”
สุพรรณิการ์ตะโกนบอกวัชระ
“รีบปิดประตู ฉันมีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย”
วัชระงง ทำได้แต่ขมวดคิ้ว
สุพรรณิการ์เริ่มต้นบทสนทนาในห้องกริชชัยที่ตกแต่งเกือบจะเสร็จเรียบร้อย บนโต๊ะมีภาพวาดของกริชชัยวางอยู่ แต่ยังไม่ได้เปิดผ้าคลุม ทั้งยังมีลังกระดาษใส่สัมภาระวางกระจายเป็นกลุ่มๆ วัชระรอฟัง
“เรื่องคุณกริช ...ฉันอยากรู้ว่าคุณกริชมีแฟนหรือยัง? ถ้ามีเป็นใคร? ถ้าไม่มี..ทำไมถึงไม่มี? ที่สำคัญคุณกริชมีนิสัยชั่วๆ ที่จะเป็นภัยต่อผู้หญิงหรือเปล่า” สุพรรณิการ์ถามเป็นชุด
“อยากรู้ไปทำไม”
“ตอบมาเถอะน่า .. ฉันไม่ได้จะเอาข้อมูลไปจีบคุณกริชหรอกน่า ไม่ต้องห่วง”
“รู้ เพราะทอมอย่างคุณคงไม่ชอบไอ้กริช”
“จะให้บอกอีกกี่ครั้ง ว่าฉันเป็นผู้หญิงย่ะ ฉันไม่ได้เป็นทอม” สุพรรณการ์ตอบอย่างเซ็ง
วัชระยิ้มกวนๆ แล้วตอบว่า
“ผมไม่เชื่อถ้าคุณทำให้ผมเห็นความผู้หญิงในตัวคุณได้เมื่อไหร่ ผมถึงจะเชื่อ”
สุพรรณิการ์มองวัชระด้วยหางตาอย่างไม่พอใจ
“ส่วนเรื่องไอ้กริช ถ้าคุณคิดจะหาข้อมูลเพื่อเอาไปจับคู่ให้เพื่อน เลิกคิดเหอะ ขนาดตัวเองยังเอาไม่รอดเลย ก่อนจะหาแฟนให้คนอื่น หาให้ตัวเองก่อนดีมั้ย นี่เตือนด้วยความเป็นห่วงนะ ไม่ได้จะซ้ำเติม “
วัชระอมยิ้มด้วยความสนุก
“ก่อนที่จะเป็นห่วงคนอื่น เป็นห่วงตัวเองก่อนดีมั้ย กำลังจะโดนจับแต่งงานอยู่อีกไม่กี่วันนี้แล้ว ยังจะมาทำปากดี หาทางหนีงานแต่งให้ได้ก่อนเถอะ ก่อนจะมายุ่งเรื่องคนอื่น” สุพรรณิการ์ ย้อน เล่นเอาวัชระหุบยิ้มในทันที
“เตือนด้วยความเป็นห่วงนะ ไม่ได้จะซ้ำเติม”
สุพรณิการ์พูดจบก่อนจะสะบัดหน้าใส่วัชระด้วยความหมั่นไส้ แล้วก็เดินออกจากห้องของกริชชัย
วัชระมองตามด้วยสีหน้าเครียด คิดด้วยความแปลกใจ
“รู้ได้ยังไงวะ ว่าเราไม่อยากแต่งงาน”
สุพรรณิการ์เดินออกมาจากห้องกริชชัย และรู้สึกโกรธเมื่อนึกถึงคำประชดของวัชระ
“จะให้บอกอีกกี่ครั้ง ว่าฉันเป็นผู้หญิงย่ะ ฉันไม่ได้เป็นทอม”
“ผมไม่เชื่อ ถ้าคุณทำให้ผมเห็นความผู้หญิงในตัวคุณได้เมื่อไหร่ ผมถึงจะเชื่อ... ส่วนเรื่องไอ้กริช ถ้าคุณคิดจะหาข้อมูลเพื่อเอาไปจับคู่ให้เพื่อน เลิกคิดเหอะ ขนาดตัวเองยังเอาไม่รอดเลย ก่อนจะหาแฟนให้คนอื่น หาให้ตัวเองก่อนดีมั้ย? นี่เตือนด้วยความเป็นห่วงนะ ไม่ได้จะซ้ำเติม”
สุพรรณิการ์กัดฟันกรอด
“นายหน้าหนวด... รู้จักไอ้ฝ้ายน้อยไปซะแล้ว”
เย็นวันนั้น กรกนกเดินเข้ามาในห้องทำงานของสุพรรณิการ์ที่ชั้นบนของร้านสาดสุรา พร้อมกับถามขึ้นว่า
“คุณฝ้ายเรียกกรมามีอะไรหรือเปล่าคะ”
สุพรรณิการ์ชูหนังสือในมือ “วิธีสร้างเสน่ห์มัดใจชาย”
“คุณกรคิดว่าหนังสือเล่มนี้มันใช้ได้จริงหรือเปล่า”
กรกนกหยิบขึ้นมาพลิกดู ระหว่างนั้นสุพรรณิการ์พูดต่อ
“ฉันอ่านไปครึ่งเล่มแล้วไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง”
กรกนกพยักหน้ารับรู้และดูหนังสือต่อ
“คุณกร..ฉันขอถามอะไรหน่อย คุณต้องตอบตรงๆ เลยนะ คุณคิดว่าฉันเป็นอะไร ผู้ชาย ผู้หญิงหรือว่า ทอม”
กรกนกชะงักเงยหน้าขึ้นจากหนังสือวิธีสร้างเสน่ห์มัดใจชาย
“เอ่อ...”
“ตอบมาเถอะ ฉันไม่ไล่คุณออกหรอก ไม่ต้องห่วง”
“คุณถามทำไมคะ มีใครว่าคุณฝ้ายเป็นทอมเหรอคะ”
“ก็เกือบทุกคนที่เจอกัน โดยเฉพาะนายวัชระ เพื่อนคุณธี”
“คุณวัชเนี่ยนะคะ”
“ใช่ตัวดีเลย เจอทุกครั้งต้องประชดประชันเรื่องนี้ทุกที ฝ้ายก็เลยอยากจะเปลี่ยนตัว ให้อึ้งกันไปเลย”
“เปลี่ยน..เพื่อเอาชนะคำสบประมาทของคุณวัชเหรอคะ”
“เปล๊า !! ฉันก็แค่อยากเปลี่ยนหนุกๆ ขำๆ ฉันอยากลองเป็นเหมือนคุณ”
กรกนกเลิกคิ้ว ก่อนจะย้ำ
“เป็นเหมือนฉัน”
“ใช่ ฉันอ่านหนังสือแล้วไม่เข้าใจ คุณกรสอนฉันหน่อยแล้วกัน ถ้าฉัน”สุพรรณิการ์ชี้หน้าตัวเองแล้วพูดต่อ
“อยากเป็นแบบเนี้ย” สุพรรณิการ์ชี้มาที่กรกนกด้วยสีหน้าจริงจัง
“ต้องทำยังไง”
กรกนกมองหน้าสุพรรณิการ์แล้วครุ่นคิด
ที่ร้านเสื้อผ้าสุภาพสตรีแห่งหนึ่งในเวลากลางวัน ราวเสื้อผ้าของร้านเรียงรายด้วยเสื้อผ้าอยู่เป็นอันมาก กรกนกเลือกเสื้อผ้าสุดเซ็กซี่แล้วยื่นให้สุพรรณิการ์ตัวหนึ่ง
สุพรรณิการ์รับมาด้วยความลังเล ในใจบอกไม่ถูก แต่เกิดความรู้สึกหนึ่งคือ ไม่กล้าใส่ กรกนกกูรูจำเป็นต้องดันหลังให้สุพรรณิการ์เข้าไปยังห้องลองเสื่อ
เพียงชั่วครู่ สุพรรณิการ์เดินออกมาในชุดเซ็กซี่ แต่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองมากนัก
กรกนกดูพิจารณาแล้วจึงส่งให้อีก 5 ชุดเพื่อไปลอง สุพรรณิการ์มองตาค้างเพราะแต่ละชุดเซ็กซี่เสียเหลือเกิน
สุพรรณิการ์เดินออกมาจากห้องลอง ทีละชุด ทีละชุด กรกนกยืนมอง บางชุดผ่านและบางชุดไม่ผ่าน
สุพรรณิการ์ลองชุดตั้งแต่ยังอายๆ ไม่กล้าออกก้าวเข้ามาจากห้องลอง จนเริ่มกล้าขึ้น ตามลำดับ โดยเฉพาะ 2 ชุดให้หลังนี้ สุพรรณิการ์ยังทำท่าล้อเลียนพวกนางแบบที่เดินอยู่ในแคทวอล์ค จิกปลายเท้า โพสท่าอย่างมั่นใจ ชุดสวยพวกนี้ทำให้สุพรรณิการ์ดูเซ็กซี่ผิดหูผิดตาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
กรกนกยิ้มได้ความพอใจ
ทั้งสุพรรณิการ์และกรกนกเดินออกมาจากร้านเสื้อด้วยใบหน้าชื่นบานมั่นใจ
สุพรรณิการ์ และกรกนกเดินผ่านร้านเสริมสวย กรกนกดึงมือสุพรรณิการ์ไว้แล้วลากเข้าร้านเสริมสวยทันที สุพรรณิการ์เดินตามเข้าไปงงๆ ภายในร้านกรกนกเลือกแบบผม แล้วส่งให้ช่าง ช่างรับไปจัดการ
ช่างทำผม เซ็ทผม กันคิ้ว ต่อขนตาถาวรให้สุพรรณิการ์อย่างรวดเร็ว หลังจากชุลมุนอยู่ในร้านเสริมสวย สุพรรณิการ์นั่งอยู่หน้ากระจกกับทรงผมใหม่ ที่ดูสวยเซ็กซี่ ขนตา ขอบตาคมเข้ม และหวานขึ้น
สุพรรณิการ์มองตัวเองในกระจกด้วยความพอใจ กรกนกยืนอยู่ข้างๆ ยิ้มนิดๆ ดีใจที่เห็นสุพรรณิการ์ชอบ
ทันทีที่สุพรรณิการ์เดินออกจากร้านเสริมสวย ด้วยบุคลลิกใหม่ เธอแอบสังเกตว่า มีหนุ่มๆที่เดินผ่านไปผ่านมา หันมามองเธอด้วยความสนใจ สุพรรณิการ์ยิ้มนิดๆ พอใจ และหันมาทางกรกนกที่เดินอยู่ข้างๆ
“คุณกรสุดยอดเลยอ่ะ ฝ้ายปรึกษาไม่ผิดคนจริงๆ ฝ้ายยังไม่คิดเลยว่าตัวเองจะสวยได้ขนาดนี้ นับถือจริงๆ”
“ที่จริง คุณฝ้ายก็เป็นคนหน้าตาน่ารักอยู่แล้วนะคะ แต่ที่คนอื่นคิดว่าเป็นทอมคงเพราะบุคลิกมากกว่า”
“บุคลิกอะไร
“ก็ความเป็นคนตรงๆ โผงผาง พูดจาห้วนๆ ไม่มีคะ มีขา”
สุพรรณิการ์นิ่งฟังอย่างตั้งใจ
“ไม่มีจริตมารยา แล้วก็ไม่ออดอ้อน เอาใจ... ผู้ชายเค้าก็เลยไม่ชิน”
สุพรรณิการ์พยักหน้าเห็นด้วย
“มันเป็นแบบนี้นี่เอง คุณกรเข้าใจทั้งผู้ชาย แล้วก็เข้าใจเสน่ห์ของผู้หญิงแบบนี้นี่เอง ถึงมัดใจคนอย่างคุณธีไว้ได้”
กรกนกชะงักแววตาหม่นลงเล็กน้อย
“คนอย่างธี ไม่มีใครมัดเค้าไว้ได้ เค้าจะหยุดก็ต่อเมื่อยอมสยบด้วยตัวเอง กรไม่มีความสามารถมากขนาดนั้น”
“หะ..ขนาดคุณกรยังไม่สามารถ แล้วจะมีผู้หญิงคนไหนสามารถเหรอเนี่ย”
“มีค่ะ...กรมั่นใจว่ามี”
กรกนกคิดถึงลำเภาขึ้นมาจับใจ
ช่วงเย็นของวันเสาร์ ในขณะที่ธีธัชเดินเข้ามาที่ร้านอาหารแห่งนั้น เขาคิดถึงคำพูดของลำเภาขึ้นมา
“เป็นแฟนกัน วันหยุดก็ต้องเจอกัน ทำเป็นลืมไปได้ พรุ่งนี้ว่างพาไปกินข้าวด้วย เดี๋ยวส่งชื่อร้านกับแผนที่ไปให้ สี่โมงเย็นเจอกันที่ร้าน แค่นี้นะ มีอะไรค่อยคุยกันพรุ่งนี้”
ธีธัชมองเข้าไปในร้าน พร้อมกับเชิดเล็กน้อยตามประสาคนหน้าตาดี
“วันนี้ฉันต้องคุยกับเธอให้รู้เรื่อง...ยัยหนูตะเภา”
ธีธัชเดินเข้าไปในร้านอาหารที่นัดหมายด้วยความมุ่งมั่น
ธีธัชเดินเข้ามาในร้าน เหลียวซ้ายแลขวา มองหาลำเภา พลันสายตาก็สะดุดเข้ากับหญิงสาวน่ารักมาก คนหนึ่งนั่งอยู่ที่ริมหน้าต่าง
ธีธัชถึงกับสะดุดตาและกลับไปมองเพ่งดูอีกที ที่แท้ลำเภาในวันนี้แต่งตัวได้น่ารัก สวยสะดุดตา ไม่มีคราบเด็กกะโปโล หรือ หมอหมากวนประสาทแม้แต่น้อย ธีธัชอึ้งไป...ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
“ยัย...หนูตะเภา”
ลำเภานั่งยิ้มเหมือนคุยอยู่กับใครสักคน .
“ได้ค่ะ..ไม่มีปัญหา เรื่องแค่นี้เอง เภาไม่คิดมากหรอกค่ะ”
ธีธัชทำหน้าแปลกใจ..และค่อยๆ เลื่อนสายตาไปมองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามลำเภา ผู้ชายในมาดนักธุรกิจ หน้าตากระเดียดไปทางญี่ปุ่น ไม่หล่อจัด แต่ดูดี มีฐานะ นั่งคุยอยู่กับลำเภา
“ดีครับ..ผมชอบคนไม่คิดมาก” หนุ่มยุ่นยิ้มหน้าแดงก่ำ
ธีธัชแอบหวงลำเภาขึ้นในใจ
“ใครวะ?”
ธีธัชแอบร้อนอกร้อนใจโดยไม่ทันรู้ตัว
อ่านต่อตอนที่ 12