xs
xsm
sm
md
lg

หอบรักมาห่มป่า ตอนที่ 22

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หอบรักมาห่มป่า ตอนที่ 22 

จู่ๆ ก็มีเสียงอุ๊บอิ๊บกรีดร้องขึ้นด้วยความหวาดกลัว เสียงดังมาจากภายในโรงไม้เถื่อนแปรรูปนั่นเอง

“กรี๊ด”
ธานีลดปืนลงตะโกนลั่น
“ใครอยู่ตรงนั้น ออกมา”
อุ๊บอิ๊บร้องไห้ฮือๆ ซุกหน้าหลบอยู่ในอาการหวาดกลัว ตกใจ และเสียขวัญ พวกลูกน้องธานี กรูเข้าไปจับตัวอุ๊บอิ๊บออกมา
“อ๊าย ปล่อยฉันนะ มาจับฉันทำไม” อุ๊บอิ๊บสะบัดตัว
“อุ๊บอิ๊บ” ธานีมองเห็นตะลึง
อุ๊บอิ๊บเห็นทุกเหตุการณ์เมื่อครู่ เวลานี้เธอหันมาจ้องมองหน้าธานีผู้เป็นพ่อด้วยความผิดหวังอย่างแรง
เหตุการณ์ที่เธอเคยแก้ตัวแก้ต่างแทนพ่อและพี่ชายผุดขึ้นมาเป็นระลอก โดยเฉพาะตอนที่
เธอทะเลาะกับบุญทิ้ง กิมจิ และแจ๋
“อุ๊บอิ๊บ ตอนนี้ดนัยกับฉวีวรรณกำลังอยู่ในอันตรายนะ ถ้าพ่อกับพี่ชายเธอรู้ว่า สองคนนั้น
มาหาหลักฐานที่พ่อกับพี่ชายเธอค้าไม้เถื่อน มันต้องโดนสอยแน่ๆ” กิมจิโพล่งออกมา
อุ๊บอิ๊บหันขวับมา “แกพูดอะไร พ่อฉันเป็นนักธุรกิจ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกตัดไม้”
“คุณอุ๊บอิ๊บก็รู้ว่าผมไม่เคยพูดโกหก คุณอุ๊บอิ๊บเชื่อพวกเราเถอะครับ”
อุ๊บอิ๊บหยิบเหยือกน้ำสาดใส่บุญทิ้ง โดนไม่เต็มๆ บุญทิ้งอึ้ง
“ฮึ อย่ามาใส่ความป๊ากับพี่ฉันลอยๆ แน่จริงก็เอาหลักฐานมาให้ฉันดูสิ”

อุ๊บอิ๊บสะบัดตัวหลุดจากพวกลูกน้องพุ่งเข้าไปหาธานี
“หนูเถียงแทนป๊ามาตลอดว่าป๊าไม่มีทางค้าไม้เถื่อน ป๊าไม่ได้ทำผิดกฎหมาย” อุ๊บอิ๊บพูดพลางยกมือชี้ไปที่กองไม้รอบๆ “แล้วนี่มันอะไร ป๊าทำแบบนี้ได้ยังไง”
“หุบปาก” ธานีตวาด
“หนูจะพูด ป๊าค้าไม้เถื่อนไม่พอ ป๊ายังจะฆ่าคน”
ธานีตบหน้าอุ๊บอิ๊บจนหน้าหัน
อุ๊บอิ๊บน้ำตาร่วงเป็นสาย เสียใจอย่างหนัก “ป๊าตบหนูทำไม หนูพูดอะไรผิด”
ธานีเจอลูกสาวสวนกลับก็หน้าถอดสีไปเหมือนกัน แต่ก็ตะคอกใส่อุ๊บอิ๊บอีกอย่างทนฟังไม่ได้
“ฉันบอกให้แกหยุด หยุดเดี๋ยวนี้”
“หนูเกลียดป๊า”
อุ๊บอิ๊บสะอื้นโฮ แล้วรีบวิ่งออกไป ธานีหันมองตามร้องลั่น
“อุ๊บอิ๊บ กลับมา”
อุ๊บอิ๊บไม่ฟังเสียงวิ่งออกไปเลย ธานีสั่งสมุนแล้วรีบวิ่งตามออกไป
“จับพวกมันมัดไว้ก่อน อย่าให้หนีไปได้”
ลูกน้องกรูเข้าจับตัวศิริกับนงนุชจับมัดไว้ ในขณะที่ธานีวิ่งตามอุ๊บอิ๊บออกไป

อุ๊บอิ๊บวิ่งร้องไห้โฮออกมา แล้วเกือบชนกับ ธนวัติ พาณิชย์ที่เดินลัดป่าเข้ามาพอดี ธนวัติกับพาณิชย์แปลกใจ ที่อุ๊บอิ๊บมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง
“อุ๊บอิ๊บ นี่แกมาทำอะไรที่นี่”
“พี่วัติ พี่พาณิชย์ ป๊า ฮือๆๆ ป๊า” อุ๊บอิ๊บชี้ไปทางโรงไม้
“ทำไม อาธานี เป็นอะไร” พาณิชย์ซัก
“ป๊า ค้าไม้เถื่อน” อุ๊บอิ๊บโพล่งออกมา
พาณิชย์กับธนวัติ อึ้ง แล้วหันไปมองสบตากันอย่างเข้าใจกันว่า สิ่งที่ปกปิดมาตลอดนั้นอุ๊บอิ๊บได้รู้จนหมดแล้ว
“พี่วัติ พี่พาณิชย์ ทำยังไงดี อุ๊บอิ๊บกลัว อุ๊บอิ๊บไม่อยากติดคุก”
“อุ๊บอิ๊บ” เสียงธานีดังลอดเข้ามา
อุ๊บอิ๊บหันขวับ กลับไปมองตามเสียงอย่างหวาดกลัว รีบดึงมือธนวัติให้หนี
“หนีเร็ว”
ทว่าธนวัติดึงมืออุ๊บอิ๊บยื้อไว้ “จะไปไหนล่ะ อุ๊บอิ๊บ...เรื่องแค่นี้เอง”
“อ๊อย พี่วัติ ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ” อุ๊บอิ๊บฉุกคิด รู้สึกสังหรณ์ใจ “หรือว่า...”
ธานีเดินตามเข้ามา สั่งเสียงเข้ม
“ไอ้วัติ ไอ้พาณิชย์ อย่าปล่อยนะเว้ย เดี๋ยวมันจะวุ่นวายจนเสียงานของเรา”
อุ๊บอิ๊บหน้าเหวอ มองจ้องธนวัติ พาณิชย์ เป็นคำถามคาใจ
“พี่วัติ พี่พาณิชย์ ทำงานชั่วๆ กับป๊าด้วย”
ธนวัติตบอุ๊บอิ๊บกระเด็นไปล้ม
“ปากดีนักนะแก” ธนวัติตวาด
“ทำไมทุกคนกลายเป็นแบบนี้ ทำไม” อุ๊บอิ๊บเสียใจ
“แล้วแกมันดีวิเศษมาจากไหน อุ๊บอิ๊บ แกมันก็นางมารร้ายทำลายชีวิตคนอื่นเหมือนกันนั่นแหละ”
คำพูดแทงใจดำของพาณิชย์ ทำเอาอุ๊บอิ๊บกรี๊ดลั่น รับไม่ได้
“ฉันไม่ได้ชั่วระดับชาติอย่างพวกพี่นะ”
ธานีตวาดเสียงเขียว “หยุดได้แล้ว รำคาญโว้ย”
อุ๊บอิ๊บจ๋อยเงียบกริบไป ธานีชี้หน้าอุ๊บอิ๊บ
“แกจำใส่กะลาหัวแกไว้ด้วยนะ ที่แกใช้ชีวิตเป็นคุณหนู มีบ้านมีรถ มีเงินซื้อกระเป๋าแพงๆ มาใช้ มันก็มาจากเงินชั่วๆพวกนี้ทั้งนั้นแหละ”
อุ๊บอิ๊บอึ้ง แล้วสะอื้นปล่อยโฮออกมา เพราะไม่รู้จะพูดว่ายังไง ธานีหันสั่งธนวัติกับพาณิชย์
“ไป ไอ้วัติ ไอ้พาณิชย์ เอาตัวน้องตัวแสบแกไปขังไว้ก่อนที่ฉันจะฆ่ามัน”
ธนวัติกับพาณิชย์จัดการลากตัวอุ๊บอิ๊บที่ร้องไห้โวยวายออกไป เสียงมือถือของธานีดังขึ้น ธานีกดรับถามขึ้น
“ฮัลโหล เรียบร้อยไหม?”

หัวหน้าสมุนกำลังพูดมือถือกับธานีอยู่ ตรงด้านล่างของเหวที่ สุภาพกับอาหลู่ตกลงไป
“มือชั้นนี้แล้วนาย”
ชายผู้เป็นหัวหน้าเหลียวมองไปที่ร่างของสุภาพกับอาหลู่ ที่นอนคว่ำหน้ำ เลือดอาบเต็มตัว นอนนิ่งเหมือนคนตายแล้ว ทั้งที่จริงๆ ยังไม่ตาย!!
“พวกมันลงนรกไปเรียบร้อย”
“ดี” ธานีหัวเราะชอบใจ
“แล้วนายศิริกับผู้หญิงนั่น นายจะให้ผมจัดการมั้ย” หัวหน้าสมุนถาม
“ยังไม่ต้อง ถึงเวลาเมื่อไรข้าจะบอกเอง” ธานีบอก
“ครับนายธานี! ผมจะรีบกลับไปเฝ้าพวกมันที่ปางไม้”
สมุนรับคำแล้วเดินออกไปจากปากเหวแห่งนั้น โดยไม่รู้ว่าสุภาพที่นอนเลือดท่วมอยู่กับอาหลู่ ได้ยินทุกอย่างก่อนที่จะสลบไป

ดนัยลุยป่าออกมาทางหนึ่งในตอนเช้าตรู่ แล้วจังหวะหนึ่งหันไปเห็นพุ่มไม้อีกมุมหนึ่งไหวๆ อยู่ ดนัยหยิบปืนออกมาเล็ง
“ใครน่ะ”
กิ่งไม้ยังไหวอยู่ แต่ไม่มีเสียงตอบรับ ดนัยเล็งปืนเข้าไปใกล้ ถามขึ้นอีก
“ฉันถามว่าใคร ทำไมไม่ตอบ”
กิ่งไม้ยังสั่นอยู่เป็นจังหวะ โงกเงกๆ
“ไม่ตอบฉันยิงจริงๆนะ”
ดนัย ขึ้นไกยิงเปรี้ยง ออกไปที่กิ่งไม้ ชลิตร้องลั่นวิ่งออกมาจากพุ่มไม้
“เฮ้ย! อย่ายิง ฉันเองโว้ย”
“ไอ้ชลิต เกือบซวยแล้วไหมล่ะ แกไปทำบ้าอะไรในนั่นวะ”
“ก็ตามหาลุงศิริกับน้านงนุชไงล่ะ”
“ในพุ่มไม้นั่นอ่ะนะ”
“ในฝัน” ชลิตบอกหน้าตาทะเล้น
ดนัยส่ายหน้าเซ็ง “ไอ้บ้า แอบหลับก็บอกมาเหอะ”
“ไม่ได้แอบ แค่เผลอโงกไปหน่อยเดียวเอง”
จังหวะนั้น ทองอิน วิ่งเข้ามาจากอีกด้าน
“ดนัย ชลิต เป็นไง ได้เบาะแสอะไรบ้างไหม”
“ยังไม่ได้ร่องรอยอะไรเลยฮะ ถ้ายังไม่ครบยี่สิบสี่ชั่วโมง ตำรวจก็ยังไม่รับแจ้งความด้วยสิ” ดนัยหน้าเจื่อนไป

“คิดบวกไว้เพื่อน บางทีลุงศิริอาจจะกลับบ้านแล้วก็ได้” ชลิตหยิบโทรศัพท์มาจากกดเบอร์ “โทรไปถามหวันกับหวีดีกว่า”
ดนัยรีบร้องห้ามไว้ “อย่าพึ่งบอกสองคนนั้นเลย ฉันไม่อยากให้พวกเขาไม่สบายใจ”
“แต่ลุงศิริเป็นพ่อหวีหวันนะ” ชลิตแย้ง
“ฉันโทรสั่งยายแจ๋ไว้แล้วละ ถ้าทางนั้นมีข่าวอะไรให้รีบโทรบอกพวกเราด่วน” ดนัยบอก
“งั้นพวกเราไปตรวจโค้งอันตราย จุดต่อไปแล้วกัน” ชลิตว่า
ทั้งหมดพยักหน้าเห็นชอบ แล้วตามทองอินเดินหลุดเฟรมไปทางหนึ่ง

เวลาเดียวกันนั้น เลาซานอนนิ่ง มีผ้าห่มเก่าๆ คลุมร่างอยู่ สมุนที่เฝ้าเอาน้ำสาดที่ร่างเลาซา
“ตื่นได้แล้ว”
แต่เลาซาที่โดนสาดน้ำยังนอนนิ่งไม่ไหวติง สมุนทั้ง 2 คน มองหน้ากันเลิ่กลักอย่างแปลกใจ
“ปลุกยังไงก็ไม่ตื่น หรือว่า ตายแล้วลูกพี่” สมุนอีกคนกังวลใจ
“เฮ้ย ..เป็นไปไม่ได้” อีกคนว่า
สมุนกาซู รีบไขกุญแจกรงเข้าไปดูเลาซา ไม่ทันที่สมุนคนนั้นจะจับตัว เลาซาก็พลิกตัว ฉกมือเข้ามากำลำคอ สมุนจับบิดหักคอ กร๊อบ อย่างง่ายดาย ตายคาที่
สมุนอีกคนเห็นก็ตกใจกลัว หันหน้าเตรียมวิ่งหนี เลาซาพุ่งตัวจากกรงออกไปกระชากตัวสมุน เหวี่ยงไป สมุนคนนั้นชักดาบออกมาฟัน ทว่าเลาซาหลบหลีกได้ พร้อมกับถีบมันล้มลงไปแล้วหยิบดาบขึ้นมา จี้จ่อคอไว้
“บอกมาเดี๋ยวนี้!! พ่อข้าอยู่ที่ไหน”

คำแปง ยายชราที่เก็บดาเนามาเลี้ยงหอบกระจาดกลับมาจากตลาดอย่างเหนื่อยล้า แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกหน้ามืดล้มลงไป แต่มีมือเข้ามาประคองไว้
“อุ้ย ขอบใจจ้ะ” คำแปงบอก
คำแปงเงยหน้าขึ้นมอง เห็นกาซูยิ้มให้อย่างเป็นมิตรก็แปลกใจ
“มา ข้าช่วยถือนะป้า”
กาซูแย่งกระจาดจากคำแปงไปถือให้ แล้วเดินประคองคำแปงไปที่แคร่หน้าบ้าน
“เจ้าเป็นใคร ทำไมถึงมาอยู่ที่หน้าบ้านข้าได้ล่ะ” คำแปงถามออกมา
“ข้า...เอ่อ” กาซูทำหน้าตาอึดอัด “ข้าตั้งใจจะมาหาป้านี่แหละ”
คำแปงมองหน้ากาซูอย่างแปลกใจ กาซูรีบอธิบายรวบรัด
“คือ...ข้าสอบถามจากพวกชาวบ้านมาว่า ป้าเก็บเด็กกำพร้าคนนึงมาเลี้ยงไว้ได้หลายปีแล้วใช่ไหม”
“ใช่ ทำไมเหรอ”
“เด็กคนนั้นชื่อลีชา เป็นลูกของข้า”
คำแปงมองหน้ากาซูอย่างตกใจ คาดไม่ถึง

เห็นว่าสายมากแล้ว วินยาเปิดประตูห้องเข้ามาเรียกดาเนาไปเรียนหนังสือ
“ดาเนา สายแล้วนะ ตื่นได้แล้ว เดี๋ยวไปโรงเรียนสายนะน้อง”
วินยาชะงักไม่เห็นดาเนาในห้อง มีแต่กองผ้าห่มที่ยู่ยี่ อยู่บนที่นอนในห้อง
“ฮึ ดาเนา ออกไปตั้งแต่เมื่อไรกัน”
วินยาแปลกใจระคนสงสัย ออกไปชะเง้อ มองหาที่หน้าต่าง แล้วหันกลับมาเห็น กระดาษเขียนจดหมายพับวางอยู่ที่ ข้างๆ หมอนหนุนศีรษะ วินยาหยิบขึ้นมาอ่าน
เป็นลายมือของดาเนา ตัวโตๆ แบบเด็กหัดเขียนหนังสือ
“พี่วินยา ดาเนาขอโทษนะ ที่ดาเนาไม่ได้บอกพี่วินยาก่อน ดาเนาขอไปตามหาความจริงให้พบ
แล้วดาเนาจะกลับมา”
ลงชื่อดาเนา
วินยาอ่านจดหมายดาเนาจบ แล้วงง
“ไปตามหาความจริงเหรอ! ความจริงอะไรกัน?”

เวลาเดียวกันกาซูกำลัง เล่นละครบทพ่อของดาเนาให้คำแปงดู
“ข้านึกว่า ข้าจะไม่มีโอกาสได้พบหน้าลูกชาย ข้าคิดว่าลีชาจมน้ำตายไปแล้ว” กาซูทำเป็นหยุดเล่าเล่น
บทสะเทือนใจน้ำตาคลอหน่วย “จนข้าได้ยินข่าวเรื่องป้ากับเด็กผู้ชายที่ชื่อดาเนา
“แล้วเจ้ารู้ได้ยังไงว่าดาเนาเป็นลูกเจ้า” คำแปงไม่ปักใจเชื่อ
“ข้าก็ยังไม่แน่ใจ เลยจะมาถามป้าให้รู้เรื่อง ตอนที่ป้าเก็บเด็กได้ เขามีสร้อยคล้ายๆ เส้นนี้ห้อยอยู่ที่คอ
หรือเปล่า”
กาซูพูดพลางล้วงเข้าไปในย่าม หยิบกล่องสร้อยเขี้ยวเสือของวินยาออกมาเปิดให้คำแปงดู เหตุที่กาซูไม่จับสร้อยเอง เพราะสร้อยมีพลังต้านมนต์ของมันได้นั่นเอง
คำแปงมองดูอย่างตกใจ แล้วรับมาถือ มือสั่นเทา
“สร้อยเส้นนี้...”
“ว่ายังไงล่ะป้า ถ้าหลานชายของป้ามีสร้อยแบบเดียวกัน ก็แสดงว่าเขาเป็นลูกชายข้าแน่”
คำแปงจ้องมองหน้ากาซูอย่างตื่นเต้น

ดาเนาแบกเครือกล้วยมาตามทางอารมณ์ดี เจอชาวบ้านชายหญิงที่ แบกกระจาด จอบ เสียม เดินสวนมา ร้องทักอย่างคุ้นเคย
“หายหน้าไปนานเลยนะดาเนา” ชาวบ้านคนหนึ่งทัก
“แบกกล้วยจะไปไหนเนี้ย” ชาวบ้านอีกคนถาม
“ดาเนาชอบกินกล้วย ยายก็ชอบกินกล้วย ดาเนาก็เลยตัดกล้วยไปฝากยายด้วย”
สีหน้าดาเนาระรื่น ยิ้มตาเป็นประกายจะได้เจอยายแล้ว

คำแปงหยิบสร้อยเขี้ยวเสือ มาลูบๆ คลำๆ แล้วมองหน้ากาซูอย่างคาดไม่ถึง แล้วยิ้มออกมา
“ดาเนามันบ่นมาตลอดว่าอยากมีพ่อแม่เหมือนคนอื่น ไม่นึกว่าวันนี้จะมาถึง”
“หมายความว่า...ดาเนามีสร้อยเขี้ยวเสือแบบนี้ติดตัวมาใช่ไหมป้า” กาซูคลี่ยิ้มอย่างตื่นเต้น
“มีสิ แต่เป็นทอง ข้ากลัวดาเนามันจะทำหาย ข้าก็เลยเก็บไว้อย่างดี ไม่เคยบอกดาเนามันด้วยซ้ำไปว่ามันมีสร้อยเขี้ยวเสือทองอยู่เดี๋ยวนะ ข้าจะไปหยิบมาให้ดู”
คำแปงถือสร้อยเขี้ยวเสือติดมือไป รีบเดินเข้าไปในกระท่อม กาซูมองตามตาลุกวาว แน่ใจแล้วว่าดาเนาเป็นน้องของวินยาจริง

คำแปงเดินเข้ามาในห้อง เข้าไปไขตู้เก็บของ เปิดออก แล้วหยิบตลับไม้อันหนึ่งออกมา เปิดดู
มีสร้อยเขี้ยวเสือทอง วางอยู่ในตลับไม้นั้น
คำแปง มองเทียบระหว่าง สร้อยเขี้ยวเสือในมือ กับ สร้อยเขี้ยวเสือทองในตลับ
“ใช่แล้ว ใช่แน่ๆ”
คำแปงหันหลังกลับจะเดินออกไป แล้วก็ต้องสะดุ้งตกใจ เมื่อเห็นกาซูยืนจังก้าอยู่
“ว้าย เจ้าตามเข้ามาทำไม ออกไปรอข้างนอก”
กาซูไม่ยอมถอย แต่ยิ้มมีเลศนัยแล้วเดินเข้าหาคำแปง คำแปงเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากล
“หึหึ เด็กนั่น เป็น ไอ้เด็กลีชาจริงๆซะด้วย”
คำแปงเริ่มกลัวเมื่อเห็นอาการของกาซู
“ม...นี่เจ้าพูดอย่างนี้ หมายความว่าไง ไหนว่าดาเนาเป็นลูกเจ้า”
กาซูพูดจบก็ชักมีดพกออกมาแทงคำแปงทันที คำแปงสะดุ้งเฮือก ตาเหลือก ก่อนเลือดจะทะลักออกจากปาก
“ขอบใจมาก ที่เก็บสร้อยเส้นนี้ไว้เป็นความลับตลอดมา”
กาซูแทงซ้ำอีกด้วยสีหน้าอำมหิต จนคำแปงค่อยๆ ทรุดลง ขาดใจตาย กาซูก้มลงมอง
“ไม่มีแกซักคน ก็จะไม่มีใครรู้ความลับว่ามันเป็นน้องนังวินยา”
“ยาย ยายจ๋า”
กาซูหันขวับไปมองหน้าบ้าน เห็นดาเนากำลังวิ่งมาจากระยะไกล ตรงมาที่กระท่อม
กาซู ประเมินสถานการณ์ มองไปที่ร่างคำแปงที่นอนตายอยู่ โดยมือข้างหนึ่งกำสร้อยเขี้ยวเสือของวินยาไว้ และมีกล่องไม้ใส่สร้อยเขี้ยวเสือทองที่ตกอยู่ข้างๆ
กาซูรีบฉวยกล่องสร้อยเขี้ยวเสือทองขึ้นมา ยิ้มกริ่ม แล้วก้มลงทำอะไรบางอย่างที่พื้น ก้มลงเขียนข้อความบางอย่างไว้ ด้วยเลือดของคำแปง

ดาเนาแบกกล้วยวิ่งมาถึงหน้ากระท่อมด้วยท่าทีร่างเริง แล้วมองเข้าไปเห็นประตูเปิดอยู่ก็ร้องเรียก
“ยาย ยายจ๋า ดาเนามาแล้ว ยายเป็นยังไงบ้าง”
เมื่อไม่มีเสียงตอบรับ ดาเนาตัดสินใจวิ่งเข้ามาในกระท่อม
กาซูที่กำลังก้มๆ เงยๆ อยู่เหนือศพคำแปง รีบลุกขึ้น วิ่งไปที่หน้าต่าง แล้วพุ่งตัวกระโจนออกไปอย่างรวดเร็ว
ดาเนาเดินเข้ามาในบ้าน มองหาคำแปงอย่างกังวลใจ แล้วเหลือบไปเห็นประตูห้องเปิดอ้าอยู่ มีร่างคำแปงนอนอยู่ แต่ยังไม่เห็นเลือด
“ยาย”
ดาเนารีบวิ่งเข้าไปในห้อง เห็นยายนอนตายจมกองเลือดอยู่ สีหน้าแววตาของดาเนาเวลานี้ กำลังขวัญเสียอย่างหนัก ร้องตะโกนออกมาด้วยความตกใจ
“ยาย.....”

ด้านเลาซารีบวิ่งตะลุยบุกป่าไปอย่างไม่คิดชีวิต เสียงความคิดของเลาซาดังขึ้น
“อย่าให้ใครเป็นอะไร อย่าให้เป็นอย่างที่ข้าคิดเลย”
ทันใดนั้นเลาซาก็ได้ยินเสียงดาเนาร้องไห้ดังออกมาด้วยความเสียใจอย่างหนัก
“ฮืออ ยายเป็นอะไร ยาย”
เลาซาตกใจ หยุดกึกมองไปตามเสียง เห็นกระท่อมคำแปงข้างหน้า หน้าเครียดขึ้นมาทันที
ดาเนากำลังประคองคำแปงที่เลือดโซมกายอยู่ภายในกระท่อมหลังนั้น
“ยาย ! ฮือๆๆๆ ยาย เป็นอะไร
เลาซาวิ่งเข้ามาแอบดูที่หน้าต่าง โดยไม่ให้ดาเนารู้ตัว
“ยาย ลุกขึ้นมาสิยาย ฮือๆ ดาเนามาหายายแล้ว ยายพูดกับดาเนาสิ ยาย ฮือๆๆ”
ไม่มีเสียงตอบใดจากคำแปง ดาเนายิ่งร้องหนัก เขย่าตัวยายให้ตอบ เลาซามองภาพดาเนากับยาย แล้วสะเทือนใจ สงสาร
“ยาย ใครฆ่ายาย บอกดาเนามา ยาย ฮือ ๆๆ”
ดาเนาซบกอดยายอยู่ชั่วเวลาหนึ่ง แล้วดาเนาค่อยๆ มองไปเห็น สร้อยเขี้ยวเสือ ที่ยายกำไว้ในมือ
ดาเนามองตาโต เอื้อมมือไปหยิบขึ้นมาดู นึกถึงเหตุการณ์ที่วินยาเคยบอก
โดยวินยาควักสร้อยเขี้ยวเสือที่ห้อยคอตัวเองอยู่ ให้ดาเนาดู
“ดาเนา เธอเคยเห็นไอ้นี่หรือเปล่า”
ดาเนายกสร้อยเขี้ยวเสือดูอยู่ตรงหน้าใกล้ แล้วร้องออกมา
“สร้อยเส้นนี้...เหมือนของพี่วินยาเลย”

เลาซาที่แอบดูอยู่ อึ้งตะลึงไปเหมือนกัน รู้ดีว่าไม่มีทางเป็นวินยาไปได้

ดาเนามองตามไปที่ปลายแขนของคำแปงที่เลือดอาบ เห็นตัวหนังสือเขียนด้วยเลือดที่พื้นชัดเจนว่า “ระวังวินยา รีบไปหาพ่อกาซู...”
“ระวังวินยา รีบไปหาพ่อกาซู...”
ดาเนาอ่านทวน นิ่งอึ้ง น้ำตาไหลหยดออกมา ทั้งเสียใจ เจ็บปวด แล้วความโกรธแค้นก็เข้ามาครอบงำจิตใจของดาเนา ตะโกนลั่นออกไป
“พี่วินยาฆ่ายายทำไม!!!” ดาเนาตะโกนร้องระบายความโกรธแค้น “อ๊าก”
ด้วยอำนาจพลังจิตของดาเนาผ่านเสียงร้องตะโกน ทำห้องทั้งห้องสั่นสะเทือน โต๊ะ ตู้ ข้าวของในห้องแตกหัก หล่นลงมาล้ม แตกกระจายทั้งห้อง เสียงดังโครมคราม

เลาซาที่แอบดูอยู่ หน้าตื่นจะรีบไปบอกดาเนา พึมพำออกมา
“เข้าใจผิดแล้ว วินยาไม่ได้ทำ”
เลาซาทำท่าจะวิ่งเข้าไปหาดาเนา แต่แล้วกลับโดนพลังประหลาด ดึงตัวลอยหายวูบ หลุดออกไปจากที่แห่งนั้นอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย โอ้ย”
เลาซาวิ่งถอยหลังหลุดออกไปอย่างรวดเร็ว เลาซาลอยลงมาหล่น หลังกระแทกพื้น
“อ๊อย”
เลาซามองขึ้นไป เห็นกาซู ยืนจังก้า ตาเขียวรออยู่แล้ว
“ท่านพ่อ”
กาซูตวัดมือในอากาศ เลาซาหน้าหันเหมือนโดนต่อยหน้า แล้วงอตัวเจ็บที่ท้องจนตัวโก่งเหมือนโดนต่อยที่ท้อง
“ไอ้ลูกเนรคุณ นึกหรือว่าจะทำลายแผนข้าได้ง่ายๆ”
เลาซาหันกลับมามองกาซูอย่างปวดใจ
“ท่านพ่อ เป็นฝีมือของท่านจริงๆ”
กาซูหัวเราะก้องป่าอย่างชอบอกชอบใจ
“ถูกต้องแล้ว” กาซุยกกล่องสร้อยเขี้ยวเสือทองออกมาชูให้เลาซาดู “นี่เป็นสร้อยเขี้ยวเสือทองเครื่องยืนยันว่า เด็กดาเนาเป็นคนๆ เดียวกับลีชาน้องนังวินยา ตอนนี้มันก็ได้มาอยู่ในมือข้าแล้ว”
“ท่านฆ่ายายคำแปง แล้วโยนความผิดให้วินยา เพื่อให้ดาเนาไปฆ่าวินยาใช่มั้ย”
กาซูยิ้มเหี้ยมอย่างชอบใจ “เด็ดไหมล่ะไอ้เลาซา ข้าจะยืมมือน้องมาฆ่าพี่ สะใจดีแท้ ฮ่าๆๆ”
เลาซามองพ่ออย่างสังเวชใจ และปวดร้าว นึกไม่ถึงว่าพ่อจะชั่วช้ามากขนาดนี้
“ท่านโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว”
“ความรักต่างหากที่ทำให้เจ้าอ่อนแอ เพราะนังวินยาคนเดียวเจ้าถึงเปลี่ยนไป”
“ใช่ วินยาทำให้ข้าเปลี่ยนไป ไม่ใช่แค่ความรักของหนุ่มสาว แต่เป็นความรักในถิ่นฐานบ้านเกิด ที่ท่านพ่อควรจะมีในหัวใจไว้บ้าง” เลาซาเยาะกาซู
กาซูโมโห ก้าวเข้ามาตบหน้าเลาซาอย่างแรงจนหน้าหัน ปากแตก เลือดอาบ เลาซาหันกลับไปมองหน้าพ่ออย่างเจ็บช้ำ
“ข้ายอมเป็นลูกอกตัญญู แต่ข้าจะไม่ยอมให้ท่านทำผิดอีกแล้ว”
เลาซาหันวิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็ว กาซูมองตามเดือดดาล
“ไอ้เลาซา”
เลาซาวิ่งกระเสือกกระสนออกไปเพื่อจะไปหาวินยา แต่แล้วจู่ๆ ก็มีสมุนผีดิบผุดขึ้นมาจากพื้นดินข้างหน้า 4-5 ตัว เข้ามาดักทุกทิศทางรุมล้อมเลาซาเอาไว้
เลาซาพยายามต่อสู้อย่างไม่เกรงกลัว แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรพวกผีดิบก็ไม่สะเทือน จังหวะนั้นผีดิบตัวหนึ่งตรงเข้ามาตบเลาซากระเด็นล้มไปกับพื้น แล้วผีตัวอื่นกรูเข้ามาล็อกตัวไว้ กาซูตามมาถึงพอดี
“หึๆๆ เจ้าต้องได้รับบทเรียนที่สาสม”
“ปล่อยข้า ข้าจะไปบอกวินยา”
“โง่!! โดนผู้หญิงหลอกใช้แล้วยังไม่รู้ตัวอีก”
“ท่านพ่อนั่นแหละที่โดนพวกนายธานีหลอก พวกมันหลอกใช้ท่านพ่อ”
กาซูสวนทันควัน “เจ้าโดนล้างสมองไปแล้วนะสิ”
กาซูจ้องเลาซาอย่างเหี้ยมโหด แล้วทำนิ้วเหมือนกรีดขาเลาซา ในอากาศ ขาข้างหนึ่งของเลาซา อยู่ๆ ก็เกิดเป็นรอยมีดกรีดเป็นทางยาว เสียงดังขวับ
พร้อมๆ กับมีเลือดกระฉูดออกมาตามรอยแผล เลาซาร้องขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดทรมานสุดขีด เพราะมันกรีดกินถึงเส้นเอ็น แล้วหมดสติไป
“ลูกทรพี เจ้าไม่มีทางขัดขวางข้าได้อีกแล้ว”

กาซูมองเลาซาด้วยความเจ็บปวด ทั้งรักทั้งแค้น

อ่านต่อหน้า 2





หอบรักมาห่มป่า ตอนที่ 22 (ต่อ)

ดนัย ชลิต และทองอิน ยังคงบุกป่าออกไปเพื่อตามหา และค้นหาศิริ กับนงนุช จังหวะนั้นดนัยหยุดแล้วตะโกนเรียกขึ้น

“แม่ ! แม่ครับ แม่ได้ยินแล้วตอบผมด้วย”
“ลุงศิริ ! อยู่ไหนครับ” ชลิตร้องขึ้น
จู่ๆ ทุกคนก็ได้ยินเสียงวินยาดังขึ้น
“ดนัย ชลิต พี่ทองอิน”
ทุกคนหันมองตามเสียง แล้วเห็นร่างของวินยากระโดดลงมาจากต้นไม้ ตั้งท่าบนพื้นดินเบื้องหน้าอย่างสวยงาม
“วินยา มาทำอะไรแถวนี้”
“ดาเนาหายตัวไป ฉันเลยมาตาม” วินยาหันไปทางดนัย “พวกนายละ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
ดนัยและชลิตสบตากัน สีหน้าหนักใจ แล้วดนัยเป็นฝ่ายตอบขึ้น
“ลุงศิริกับแม่ชั้น หายตัวไประหว่างทางไปหมู่บ้านชาลัน”
“อะไรนะ” วินยาตกใจ
“พวกเราออกมาตามกันตั้งแต่เช้ามืดแล้ว แต่ยังไม่ได้ร่องรอยอะไร”
จังหวะนั้นเองลูกน้องวินยาวิ่งเข้ามาหารายงาน
“นายน้อยๆ ท่านสางโปให้มาตามไปทางโน้นแน่ะ”
“เกิดอะไรขึ้น” วินยาสงสัย

มือของสางโปกำลังจับใบไม้ที่เปื้อนเลือด ดูอยู่อย่างพินิจพิเคราะห์ วินยา ดนัย ชลิต และทองอิน วิ่งเข้ามา
“สางโป”
สางโปหันไปหาทั้งสี่คน พูดขึ้น
“ที่นี่น่าจะมีการต่อสู้เกิดขึ้น มีคนบาดเจ็บ เลือดถึงเปื้อนใบไม้ ตามทางเป็นระยะๆ”
ทุกคนอึ้งไป
“เลือดใครล่ะ หวังว่าจะไม่ใช่” ชลิตพูดขึ้น
“แม่” ดนัยยิ่งเป็นห่วงแม่มากขึ้น
ดนัยรีบวิ่งหน้าตื่นออกไปก่อนเพื่อน ตามทางรอยเลือด
“เฮ้ย ดนัย เดี๋ยวก่อนสิ” ทองอินร้อง
“ไปพี่ รีบตามไปเถอะ” ชลิตชวนทองอิน
ทุกคนรีบวิ่งตามดนัยออกไป ตามทางรอยเลือด

เหตุการณ์ภายในโรงไม่เถื่อน ธานีถีบศิริที่โดนมัดมือเอาไว้ ล้มลงไปกับพื้น นงนุชที่โดนมัดเหมือนกัน กรี๊ดตกใจเป็นห่วง
“คุณศิริ” นงนุชหันไปด่าธานี “แก ไม่ใช่ลูกผู้ชาย รังแกคนไม่มีทางสู้”
ธานีหัวเราะชอบใจ แล้วเดินเข้าไปหานงนุช
“จัดให้ตามคำขอ เลิกรังแกผู้ชาย หันมารังแกผู้หญิง”
ธานีตรงเข้ามากอดนงนุชจะปล้ำ นงนุชดิ้นสุดแรง ไม่ยอม
“อย่านะ ออกไป”
“จะร้องทำไม ปูนนี้แล้วมีคนปล้ำ ก็ดีใจเหอะ”
ศิริทนไม่ได้ พุ่งเข้าไปเตะธานี ทั้งๆ ที่ยังโดนมัดมืออยู่ ธานีกระเด็นออกไป ลูกสมุนธานีกรูเข้าไปจับตัวศิริไว้ ธานีตั้งตัวได้โกรธเข้ามาซ้อมศิริ ต่อยศิริซ้ายขวาไม่ยั้งมือ
“อย่าทำเขา ปล่อยเขา ปล่อย”
ธานีไม่สนใจเสียงร้องขอของนงนุช ซ้อมศิริต่อจนศิริจุกตัวงอ
“ยังจะเก่งโชว์หญิงอีกไหม”
“แกจะทำอะไรฉันก็ทำ แต่อย่าไปแตะต้องคุณนุช เขาไม่เกี่ยวอะไรด้วย”
“ปกป้องกันเหลือเกิน แกกับไอ้ดนัยญาติดีกันตั้งแต่เมื่อไร หึ หรือว่า...ตั้งแต่ที่แกกับแม่นั่นมีอะไรกัน”
ศิริโกรธสุดแรงกว่าเก่าอีก ยกเท้าจะถีบธานีอีก แต่ธานีควักปืนออกมาขู่
“หยุดนะ! ไอ้ศิริ ให้มันรู้จักที่ต่ำที่สูงบ้าง แกเป็นใคร ฉันเป็นใคร”
ศิริมองธานีเจ็บปวด นิ่งงันไปทันที
“นี่เหรอคำพูดที่ฉันควรจะได้ยินจากน้องที่ฉันรัก น้องที่ฉันทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างปกป้องชื่อเสียง ช่วยเหลือเกื้อหนุนเขา วันนี้เขากลับตอบแทนฉันด้วยคำพูดที่เจ็บแสบเสียยิ่งกว่าโดนลูกปืนยิงแสกหน้า”
“ใครไปขอร้องให้แกมาช่วยล่ะ ไอ้ศิริ โทษความโง่ของแกเองเถอะ”
“ไอ้ธานี ฉันขอแช่งแกไม่ให้มีความสุข แกต้องอยู่อย่างตายทั้งเป็น”
“หึ สั่งเสียเสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาส่งแกไปเสวยสุขในนรก ลาก่อนไอ้โง่”
ธานีขึ้นไกปืนทำท่าจะยิงศิริ นงนุชหวีดร้องด้วยความหวาดกลัว เป็นห่วงศิริ
“คุณศิริ”
ธานีกำลังจะลั่นไก ธนวัติกับพาณิชย์วิ่งเข้ามาห้ามไว้ก่อน
“ป๊า เดี๋ยวก่อน” ธนวัติร้องห้าม
“คุณอา อย่าเพิ่งยิง”
ธานีชะงักหันมอง
“อะไรอีกวะ”
ธนวัติกับพาณิชย์เดินเข้ามาหาธานี ธนวัติเอ่ยขึ้น
“เก็บชีวิตมันไว้เป็นเหยื่อล่อ ไอ้ดนัยไอ้ชลิตให้มันมาติดกับของเราไม่ดีกว่าหรือป๊า เราจะได้กำจัดพวกมันซะทีเดียว”
“แถมโชคชั้นที่สอง ก็คือ การเรียกเงินจากยายฉวีวรรณดาหวันมากินขนม เล่นๆ กันสักร้อยล้าน ดีมั้ยฮะ คุณอา” พาณิชย์เสริม
ธานีคิดตาม แล้วมองเห็นช่องทางทำเงิน
“คิดได้เยี่ยม พวกแกนี่มีพัฒนาการทางความชั่วจริงๆ”
ทั้งสามวายร้ายหัวเราะชอบใจกัน

ดนัยวิ่งบุกป่ามา แล้วเห็นรอยเลือดที่พื้นดิน หน้าตาเป็นกังวล รีบวิ่งไปตามทิศนั้น มีวินยา ชลิต ทองอิน สางโป และทุกคนวิ่งตามมา
“ดนัย รอก่อน”
ดนัยกระโดดข้าม ร่องหิน วิ่งเข้ามาตรงมุมหนึ่งของเหวตื้นนั้น ตะโกนหาแม่ อย่างเป็นห่วง
“แม่!! แม่ครับ”
ดนัยหันไปทางหนึ่งเห็น มือของใครคนหนึ่งที่ยื่นแล่บออกมาจากพุ่มไม้ ดนัยตกใจนึกว่าเป็นแม่ ร้องลั่นวิ่งเข้าไปหา
“แม่!”

พอดนัยวิ่งเข้ามาก็เห็นสุภาพที่นอนหมดสติคว่ำหน้าอยู่ ใกล้ๆ กับอาหลู่
“แม่...” ดนัยแล้วอึ้งเมื่อเห็นว่าไม่ใช่นงนุช “ฮึ...ไม่ใช่”
ดนัยเข้าไปพลิกตัวสุภาพขึ้นมา เห็นเป็นสุภาพก็ตกใจ
“พี่สุภาพ”
ชลิต วินยา ทองอิน สางโป ลูกน้อง วิ่งตามเข้ามา ชลิตเข้าไปดูที่อาหลู่ กับทองอิน สางโป
“อาหลู่...ทำไมเป็นแบบนี้”
วินยาเข้ามานั่งข้างๆ ดนัย ที่เขย่าตัวสุภาพอยู่
“พี่สุภาพ พี่ตอบฉันสิ พี่ต้องไม่ตายนะ”
วินยาจับชีพจรสุภาพ แล้วหันบอกดนัย
“ชีพจรยังเต้นอยู่”
สางโปตะโกนข้ามมาหาวินยา “นายน้อย! ยาชุบวิญญาณ”
พร้อมกันนั้นสางโปรีบโยนขวดยาเล็กๆ มาให้วินยารับไปรีบเอาจ่อปากสุภาพ กรอกให้ดื่ม ชลิตเองรีบเอายาอีกขวดจากสางโปให้อาหลู่ดื่มเช่นกัน
ครู่ต่อมาสุภาพเริ่มสุภาพตัว สะอึก แล้วสำลักเลือดที่ค้างอยู่ในลำคอออกมาหน่อยหนึ่ง ดนัยกับวินยาดีใจ
“พี่สุภาพ”
อาหลู่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา เหมือนกัน แต่ยังอ่อนแรงอยู่
“อาหลู่ ฟื้นแล้ว”
“มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” ทองอินรีบถาม
สุภาพพูดขึ้น อย่างทนฝืนเจ็บ
“ช่วย...นาย...คุณ..นุช”
“ลุงศิริ แม่” ดนัยเป็นกังวล
“รีบไป...ปางไม้..ไอ้..ธา..นี”
ทุกคนอึ้ง ดนัยกับชลิตมองหน้ากันอย่างรู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้

เวลานั้นศิริมองทั้ง 3 คนด้วยความสมเพช สลดใจ
“ชั่วคนเดียวไม่พอ ยังพาลูกหลานให้มาชั่วเหรอ ไอ้ธานี แกไม่กลัวเวรกรรมจะตกกับลูกกับหลานแกบ้างหรือยังไง”
ธนวัติหันมาด้วยความไม่พอใจ เข้าไปต่อยหน้าศิริ ทันที
“สงบปากสงบคำบ้างนะ ไอ้ศิริ”
“วัติ! นี่ลุงนะ” ศิริตกใจ
“ไม่ต้องมานับญาติเลย” ธนวัติโพล่งขึ้น
“พวกเราเบื่อที่ต้องพินอบพิเทาแกจะแย่อยู่แล้ว” พาณิชย์เยาะ
“พาณิชย์ ธนวัติ!! ลุงไม่นึกเลยพวกแกจะเป็นไปได้ขนาดนี้” ศิริเสียใจ
“มากกว่านี้ก็ได้นะเว้ย” พาณิชย์เดินมากวนข้างหน้าศิริ “ก่อนที่เวรกรรมจะตกมาถึงพวกชั้น เป็นห่วงลูกสาวตัวเองก่อนดีมั้ย ไอ้แก่”
ศิริหน้าตาตื่น น้ำเสียงตระหนก “อย่านะ พวกแกจะทำอะไรลูกชั้น”

เวลานั้นดาหวันล้มตัวนอนบนเตียง น้ำตาไหลอยู่คนเดียวในห้องนอนชั้นบน
“พ่อคะ เมื่อไรพ่อจะกลับมา หวันคิดถึงพ่อ”
ส่วนฉวีวรรณนั่งดูรูปศิริที่ชั้นล่าง คิดถึงพ่ออยู่เหมือนกัน
“พ่อไปอยู่ที่ไหนคะ ตอนนี้ หวีต้องการกำลังใจจากพ่อมากที่สุดเลยค่ะ”
โทรศัพท์ในบ้านศิริดังขึ้น ฉวีวรรณรีบปรับอารมณ์ เอื้อมมือไปรับโทรศัพท์
ในขณะที่ดาหวันเอื้อมมือไปรับโทรศัพท์บ้านสายพ่วงในห้องนอนเช่นกัน ดาหวันจะฮัลโหล แต่เสียงฉวีวรรณดังขึ้นมาก่อน
“ฮัลโหล”
ดาหวันชะงักหยุดยกหูโทรศัพท์นิ่งฟัง
“บ้านคุณศิริค่ะ ต้องการพูดกับใครคะ” ฉวีวรรณพูดโทรศัพท์
เสียงธนวัติดังขึ้นมาตามสาย
“ฉวีวรรณที่รัก คงยังไม่ลืมกันหรอกนะ”
ฉวีวรรณหน้าเครียดทันที “ไอ้ธนวัติ!”
แจ๋ กับ กิมจิที่เดินเข้ามาได้ยิน พลอยตะลึงไปด้วย
“ไอ้ธนวัติ”
แจ๋กับกิมจิรีบรี่เข้าไปฟังใกล้ๆ ฉวีวรรณ
“นี่แกยังมีหน้าโทรมาอีกเหรอ”

ธนวัติกำลังพูดมือถือ ด้านหลังมีธานี พาณิชย์ และ ศิริและนงนุชที่ถูกสมุนจับกุมตัวไว้
“หึหึ เรียกพี่ให้เพราะๆ หน่อยสิน้อง เดี๋ยวศพพ่อน้องไม่สวยหรอก”
“อะไรนะ” ฉวีวรรณตะลึง คาดไม่ถึง
“พ่อ” ดาหวันที่แอบฟังอยู่ ตกใจเหมือนกัน
ธนวัติหัวเราะชอบอกชอบใจ
“นี่ยายหวันฟังอยู่ด้วยใช่มั้ย ประชุมพร้อมกันสามสายเลยก็ดี เธอทั้งสองคนจะได้ช่วยกันหาเงินมาไถชีวิตพ่อบังเกิดเกล้า”
ฉวีวรรณขึ้นเสียงเขียวใส่ธนวัติ
“นี่แกพูดเรื่องอะไร มันไม่ตลกเลยนะ”

ดาหวันพูดโทรศัพท์ต่อ
“แกอย่ามาหาเรื่องเลยดีกว่า มาทางไหนกลับไปทางนั้นเถอะ”
“สาวๆ พวกนี้ชอบลองของกันจริงๆ” ธนวัติเหลือบมองไปที่พาณิชย์ “ไอ้พาณิชย์จัดไปขำๆ”
พาณิชย์จัดการระดมต่อยศิริ จนศิริหน้าหัน ร้องออกมา เจ็บปวด
“อ๊าก”
“พ่อ” ดาหวันตกใจ ได้ยินเสียงพ่อ
ฉวีวรรรณได้ยินเสียงพ่อ เช่นกัน ตวาดใส่
“แกทำอะไรพ่อชั้น!”
ธนวัติหัวเราะกวนประสาทใส่มือถือ ตอบโต้ฉวีวรรณ
“คราวนี้เชื่อหรือยังล่ะ พ่อแกกำลังอยู่ในอันตราย”
ศิริตะโกนแทรกขึ้น
“หวี! หวัน! อย่าไปฟังมันนะ ลูก”
พาณิชย์ชกที่ท้องศิริ
“หนวกหูเว้ย!”
“คุณศิริ” นงนุชกรี๊ด
ศิริจุก เงียบไป ฉวีวรรณได้ยินเสียงเอะอะก็ตกใจ
“ไอ้ธนวัติ แกอย่าทำอะไรพ่อชั้นนะ ปล่อยพ่อฉันเดี๋ยวนี้”
“ปล่อยง่ายๆ ได้ไง ระดับมหาเศรษฐีอย่างพ่อเลี้ยงศิริซะอย่างมันต้องข้อแลกเปลี่ยนที่สมน้ำสมเนื้อ
ฉวีวรรณโกรธจัด “แกต้องการอะไร”
“เงินสดร้อยล้าน” ธนวัติบอก
ดาหวันอดไม่ได้ตะโกนใส่หูโทรศัพท์
“ไอ้ชั่ว”
“พูดอะไรระวังหน่อย อย่าลืมว่าชีวิตพ่อแกอยู่กับกำมือฉัน” ธนวัติเย้ย
ดาหวันเจ็บใจมาก ฉวีวรรณตวาดใส่
“ไม่ต้องขู่ แกจะให้ชั้นทำยังไง ก็รีบๆ พูดมา”
ธนวัติยิ้มชอบใจแล้วพูดขึ้น
“พูดง่ายๆ แบบนี้สิ รักตายเลย”
ฉวีวรรณเสียงดุใส่ “ไอ้ธนวัติ”
“สองทุ่มคืนนี้ เอาเงินสดทั้งหมด มาให้ชั้นที่สะพานข้ามห้วยแม่ตุ๊”
ฉวีวรรณฟังอึ้ง
“มาคนเดียว อย่าเล่นตุกติก ไม่งั้นแกจะไม่ได้เห็นหน้าพ่อแกอีกเลย”
ธนวัติตัดสายทิ้งทันที
“ให้ฉันคุยกับพ่อก่อน ฮัลโหลๆ” ดาหวันตะโกนขึ้น
เสียงสัญญาณสายตัดไป ดาหวันเครียดเป็นห่วงพ่อ
“พ่อ!! พ่อจ๋า...”
ฉวีวรรณลดหูโทรศัพท์ลง อึ้งไป กลัวว่าพ่อจะเป็นอะไร แจ๋ กิมจิสีหน้าแววตาเป็นตากังวลเช่นกัน หันมาถามฉวีวรรณ
“ตกลงยังไงหวี ไอ้ธนวัติ มันทำอะไรคุณลุง” แจ๋ถามขึ้น
ฉวีวรรณเครียด เพราะเป็นห่วงพ่อสุดชีวิต
“พวกมันจับตัวพ่อไปเรียกค่าไถ่ร้อยล้าน”
“อะไรนะ เรียกค่าไถ่ ร้อยล้าน” แจ๋ กิมจิต่างตกใจร้องขึ้นพร้อมกัน

ดาหวันวิ่งถลาลงมาจากบนบ้าน
“หวันจะไปช่วยพ่อเอง...” ดาหวันพุ่งเข้าไปหาฉวีวรรณ “เอากุญแจตู้เซฟมาให้หวัน”
“ฉันว่าเธออยู่เฉยๆ เถอะ”
“ไม่ต้องมาสั่งได้ไหม”
“ไม่ได้ ฉันขอสั่งให้เธอกลับไปอยู่ในห้อง จนกว่าฉันจะจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว” ฉวีวรรณหันไปทางแจ๋ กิมจิ “แจ๋ กิมจิ จับยายหวันที”
แจ๋และกิมจิเข้าไปจับตัวดาหวันดึงไว้ ดาหวันดิ้นขัดขืนสุดแรง ยื้อไว้ไม่ยอมไป แล้วร้องต่อว่าฉวีวรรณ
“ปล่อยหวันนะ พี่หวีบ้า พี่หวีเผด็จการ เอาแต่ใจตัวเอง หวันเกลียดพี่หวีที่สุดในโลก”
แจ๋กับกิมจิรีบดึงตัวดาหวันที่ร้องโวยวายให้ขึ้นบ้านไป
“ไม่เอาน่า หวัน รีบขึ้นไป” แจ๋บอก
ฉวีวรรณมองตามดาหวันขึ้น ไป จากที่แข็งกราวเมื่อกี้... อ่อนลงเป็นห่วงน้อง
“ขอโทษนะหวัน พี่ไม่อยากให้น้องไปเสี่ยงอันตราย”

ทางด้านดาเนากำลังวางดอกไม้ลงที่หน้าหลุมศพยายคำแปง ดาเนามองจ้องเนินดินที่พูนขึ้นมาตรงหน้า
“ยาย....ยายนอนหลับให้สบายนะ”
ดาเนาพูดได้แค่นั้น ก้อนสะอื้นก็จุกลำคอ น้ำตาไหลออกมาอีก คิดถึงยายมาก
“ฮือ ๆๆๆ”
ดาเนาฟุบลงไปกอดเนินดินเหมือนกอดยายคำแปงไว้ สะอื้นฮักๆ อยู่สักครู่หนึ่ง ดาเนาซบหน้ากับดินน้ำตาไหลพราก แล้วพึมพำออกมาด้วยความเจ็บแค้น

“ดาเนาจะไม่ให้อภัยคนที่ทำกับยาย ดาเนาจะแก้แค้นให้ยาย”

อ่านต่อหน้า 3





หอบรักมาห่มป่า ตอนที่ 22 (ต่อ)

เวลานั้นกาซูนั่งสมาธิอยู่บนเนินดินมุมหนึ่งในป่า กาซูพูดขึ้นมาทั้งที่ยังหลับตาอยู่

“หลบอยู่ทำไม มาหาข้าไม่ใช่หรือ”
ดาเนาที่แอบหลบอยู่มุมพุ่มไม้เดินออกมา กาซูลืมตาขึ้นมองสบตาดาเนา ในขณะที่ดาเนาจ้องมองหน้ากาซูนิ่งๆ ไม่พูดไม่จา รู้สึกอัดอั้นอยู่ภายในใจ
กาซูพูดขึ้นนิ่งๆ เหมือนกับรู้ใจดาเนา
“ดาเนา...เจ้ามีเรื่องอะไรให้ข้าช่วยหรือเปล่า”
ดาเนามองหน้ากาซู แล้วน้ำตาไหลออกมา
“ยายข้าตายแล้ว”
ดาเนาร้องไห้สะอึกสะอื้น กาซูมีสีหน้ายินดีแวบหนึ่ง แต่รีบเก็บซ่อนไว้
“ยายบอกให้ข้ามาหาพ่อ”
กาซูทำเนียน ปลื้มปิติ ดีใจ
“เจ้าว่าอะไรนะ”
ดาเนาเดินเข้ามาใกล้กาซู
“พ่อ...ท่านพ่อ”
กาซูรีบลุกขึ้นลงมาหาดาเนา กอดไว้อย่างปลื้มใจ
“ลูกพ่อ”
กาซูดึงดาเนาออกมามองหน้า ปลาบปลื้ม
“ดาเนา พ่อไม่นึกเลยว่าจะมีวันนี้ วันที่เจ้ายอมรับว่าข้าเป็นพ่อ”
“ยายของข้า เขียนบอกข้าด้วยเลือด”
กาซูทำเป็นแปลกใจ “ฮึ เลือดเหรอ? มันเกิดอะไรขึ้น ยายเจ้าตายได้ยังไง”
ดาเนาเจ็บแค้นระเบิดขึ้นมา
“พี่วินยาฆ่ายาย!”
กาซูทำเป็นเจ็บแค้นไปด้วย
“ข้านึกแล้วเชียว นังงูพิษนั่นมันทำดีแต่ต่อหน้าเท่านั้น”
“ดาเนาไม่เข้าใจ พี่วินยามาฆ่ายายของดาเนาทำไม” ดาเนาถามอย่างพาซื่อ
“มันกลัวยายของเจ้าจะบอกความจริงล่ะสิ ว่าข้าเป็นพ่อของเจ้ามันเลยฆ่าปิดปากยายเจ้าซะ แล้วจะ
ได้หลอกใช้เจ้าไง”
ดาเนาได้ฟังก็ยิ่งโกรธ ลมพายุแถวนั้นก็พัดโหมกระหน่ำขึ้นมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย กาซูเหลือบมองแล้วยิ้มกระหยิ่มใจ ที่เป่าหูเด็กน้อยได้ผล
“เลวมาก”
กาซูลูบหลังดาเนา ทำเป็นปลอบใจ
“ดาเนา ไม่ต้องกลัวนะ พ่อไม่ปล่อยให้มันมาทำอะไรลูกแน่”
“ดาเนาไม่ได้กลัว ดาเนาอยากแก้แค้น”
“แก้แค้น?”
“พี่วินยาต้องชดใช้” ดาเนาจับมือกาซู แน่นเป็นเชิงขอร้อง “ท่านพ่อ ท่านต้องช่วยลูกนะ พี่วินยาต้องได้รับโทษอย่างสาสมที่ทำกับยาย”
กาซูมองดาเนา ปลื้มยิ่งขึ้นที่เสี้ยมให้พี่กับน้องเกลียดกันสำเร็จ
“ได้สิ ลูกรัก ศัตรูของลูกก็เหมือนศัตรูของพ่อ พ่อจะช่วยลูกกำจัดนังวินยาเอง”
กาซูมองดาเนาอย่างพึงพอใจ ดาเนาโผเข้าไปกอดกาซู อย่างตื้นตันใจ
ใบหน้าของกาซูเปลี่ยนเป็นร้ายกาจ ยิ้มแสยะ ด้วยความสะใจ

ธนบัตรใบละพัน อัดแน่นเต็มกระเป๋า ฉวีวรรณมองตรวจสอบความเรียบร้อย แล้วปิดกระเป๋า เตรียมจะออกไป ฉวีวรรณอยู่ในชุดใหม่ทะมัดทะแมง ใส่หมวกแก้ปเพื่อพรางตัว แจ๋กระโดดเข้ามาขวาง
“ดะ เดี๋ยว หวี จะไปไหนน่ะ”
“ก็เอาเงินไปไถ่ตัวพ่อนะสิ ถามได้”
ฉวีวรรณจะเดินอีก แจ๋ขยับขวางอีก
“เดี๋ยวๆๆ แล้วเธอจะไปคนเดียวเนี้ยนะ”
“ก็ใช่นะสิ ฉันไม่เอายายหวันไปด้วยเด็ดขาด”
“แต่มันอันตรายนะ หวี ฉันว่าโทร.บอกดนัยดีกว่า”
แจ๋ทำท่าจะหยิบมือถือมาโทร.ฉวีวรรณรีบเอ็ดเสียงเขียวทันที
“ไม่ต้องเลยนะ แจ๋”
“อะไร หวี”
“เรื่องของครอบครัวฉัน ไม่เกี่ยวอะไรกับผู้ชายคนนั้น”
ฉวีวรรณรีบเดินฉิวออกจากบ้านไปทันที แจ๋ไม่ยอม ยังวิ่งตามออกไปด้วย
“โธ่ หวี เดี๋ยวก่อนสิ หวี หวี”

ฉวีวรรณเปิดประตู เอากระเป๋าเงินใส่รถ แจ๋ตามมาหาอีกเตือนสติเพื่อนเลิฟ
“หวี ฟังเพื่อนก่อนซี้ เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้ แกอย่ามาถือทิฐิหน่อยเลยน่า ให้ดนัยไปเป็นเพื่อน...” แจ๋ยังพูดไม่จบประโยคดีฉวีวรรณก็สวนขึ้น
“ฉันเลิกคบกับคนๆ นี้แล้ว แกไม่ต้องมาพูดเลย”
“แต่ว่า...”
ฉวีวรรณชี้หน้า “หยุด! ถ้าแกโทร ฉันเลิกคบแก”
“หวี” แจ๋อ่อนใจ
“โอเคปะ ชัดนะ” ฉวีวรรณเสียงแข็ง
แจ๋ชะงัก อึ้งไป พูดไม่ออก
ฉวีวรรณรีบขึ้นรถ ปิดประตูเสียงดังปัง สตาร์ทแล้วออกรถไปเลยอย่างแรง แจ๋กระโดดหลบแทบไม่ทัน
“ยายหวี โธ่เอ๊ย จะงอนอะไรนักหนา” แจ๋รู้สึกหนักใจ
จังหวะนั้นเสียงมือถือแจ๋ดังขึ้น แจ๋ยกขึ้นดูเห็นเป็นชื่อ ดนัย
“เฮ้ย ดนัย! จังหวะเทพมากเลยแก” แจ๋ร้องตะโกนออกไปเหมือนจะพูดให้ฉวีวรรณได้ยิน “ฉันไม่ได้โทรนะหวี ดนัยมันโทรมาเอง ฮัลโหล ดนัย เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!!”
ดนัยกำลังพูดมือถืออยู่กับแจ๋ มีชลิต ทองอิน วินยา อยู่ด้วยข้างๆ
“ว่าอะไรนะ ฉวีวรรณเอาเงินไปไถ่ตัวลุงศิริ บ้าเอ๊ย แล้วแกก็ปล่อยให้หวีไปเนี้ยนะ” ดนัยพูดพร้อมกับส่ายหน้า

แจ๋ยังคุยมือถือกับดนัยอยู่
“ฉันห้ามแล้ว แต่หวีมันฟังฉันที่ไหนล่ะ”
กิมจิหน้าตาตื่นตูม วิ่งออกมาจากบ้านเข้ามาหาแจ๋
“ซวยแล้วแจ๋ ยายหวันหนีไปแล้ว”
“หา” แจ๋หันมามองกิมจิตาโต
ดนัยได้ยินกิมจิร้องลอดออกมา พลอยตกใจไปด้วย
“อะไรนะ หวันหนีไป”
“หวัน” ชลิตหูผึ่งขึ้นมา
ชลิตรีบดึงมือถือจากดนัยไปพูดเอง ด้วยความร้อนใจเป็นห่วง
“เกิดอะไรขึ้น หวันหนีไปไหน”
แจ๋มองหน้ากิมจิ ส่ายหน้าไม่รู้ แจ๋กดมือถือเป็นแบบลำโพง ได้ยินทั้งสองคน
“ชั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน ชลิต รู้แต่ว่ายายหวันหนีออกจากบ้านไปแล้ว”
ชลิตเป็นห่วงดาหวัน
“โธ่ ยายแจ๋ แกปล่อยน้องไปได้ยังไง ทำไมไม่ดูแลให้ดี เกิดยายหวันเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง”
“เออ ชั้นรู้แล้ว ว่าแกรักยายหวัน แต่ไม่ต้องออกนอกหน้านักก็ได้แค่นี้ชั้นก็กลุ้มไมเกรนขึ้นแล้ว” แจ๋เยาะขำๆ
ชลิตยิ่งกลุ้มกว่า
“แกอย่ามาเวิ่นเว้อ ไหนบอกมาสิ ไอ้พวกนั้นมันนัดให้เอาเงินไปส่งที่ไหน” ชลิตนิ่งฟังแล้วพูดทวนคำ “สะพานข้ามห้วยแม่ตุ๊”
ชลิตเหลือบตามองไปที่ดนัย รู้กันว่า ดาหวันน่าจะไปที่นั่น
“ไม่พลาดหรอก ยายหวันน่าจะไปที่นั่นเหมือนกัน” แจ๋บอกอย่างมั่นใจ
ดนัยดึงมือถือไปพูดกับแจ๋ต่อ
“แจ๋ กิมจิ ฉันอยากจะให้พวกแกช่วยอะไรอย่างได้ไหม”

แจ๋กับกิมจิ ตอบรับดนัย เปิดลำโพงได้ยินพร้อมกันสองคน)
“ร้อยอย่างก็ได้ แจ๋จัดเต็มอยู่แล้ว” แจ๋ว่า
“ว่ามาเลยดนัย แกจะให้พวกฉันทำอะไร?” กิมจิจิตอาสา...ระแนขึ้นทันที
“ตามนั้นนะ แจ๋ แล้วเจอกัน” ดนัยพูดกับแจ๋และกิมจิเป็นประโยคสุดท้าย แล้วกดปิดมือถือ

ดนัยหันมาหา ชลิต ทองอิน และวินยา
“พี่ทองอินฮะ ผมต้องขอความช่วยเหลือจากพี่ด้วยนะฮะ”
“พูดอะไรอย่างนั้นล่ะ นายไม่ขอ ฉันก็ช่วยอยู่แล้ว” ทองอินบอก
วินยาพูดกับดนัย “สางโปพา พี่สุภาพกับพี่อาหลู่ ไปรักษาตัวที่หมู่บ้านแล้วชั้นก็หมดห่วง ฉันขอไปช่วยนายด้วยอีกแรงนะ ดนัย”
ดนัยมองอย่างซาบซึ้งน้ำใจ “ขอบใจมาก วินยา”

ส่วนเลาซาที่หมดสติอยู่ ค่อยรู้สึกตัวฟื้นขึ้นมา เลาซามองเห็นว่าตัวเองกลับมาอยู่ในกรงขัง เหลือบมองไปที่ประตูกรงขังเห็นประตูเปิดแง้มอยู่เล็กน้อย เลาซาตาลุกวาว รีบลุกขึ้นจะวิ่งออกไป โดยไม่รู้ว่าขาตัวเองโดนกาซูตัดเส้นเอ็นขาขาดไปแล้ว เลาซาล้มลงไปเจ็บสาหัส
“อ๊อย” เลาซาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดที่บริเวณขา เอามือกุมข้างที่เป็นแผลไว้
เลาซาเจ็บหนักแต่ก็ฮึดสู้ จับซี่ลูกกรง ยึดพยุงตัวเอง เกาะลูกกรงออกมาอย่างทุลักทุเลเจ็บปวด
ออกมาที่หน้ากรงขัง เลาซาเหลือบมองที่ขาตัวเองข้างที่มีรอยกรีดขา ร้องออกมาเจ็บปวด ยกมือข้างหนึ่งกุมจับขานั้นไว้
“ขาข้า ทำไมเป็นแบบนี้ อ๊อกก” เลาซาร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวด แล้วทรุดไปกองกุมขาตัวเองอยู่
เสียงหัวเราะของกาซูดังก้องเข้ามา เลาซาเงยหน้ามองออกไป
กาซูเดินเข้ามาพูดจาเยาะเย้ย
“กรงไม่ได้ใส่กุญแจแท้ๆ แต่ทำไมถึงหนีไม่ได้ล่ะ เลาซา”
“ท่านพ่อ”
กาซูยืนค้ำศีรษะเลาซาอยู่
“โดนตัดเอ็นขา กลายเป็นไอ้เป๋แบบนี้ หึหึหึ เจ้าก็หมดปัญญาไปช่วยนังวินยาแล้ว”
“โหดเหี้ยมอำมหิต”
กาซูตบหน้าเลาซาหน้าหันไปทันที
“ข้าไม่ฆ่าเจ้าก็บุญเท่าไหร่แล้ว ไอ้ลูกทรพี”
เลาซาหันกลับมาเย้ย
“อย่าดันทุรังต่อไปเลยท่านพ่อ ดาเนาไม่มีทางฆ่าวินยา แผนชั่วของท่านไม่มีวันสำเร็จ”
“เจ้านึกว่าข้าโง่หรือ ดูซะว่านี่อะไร”
กาซูหยิบผลไม้ลูกเล็กๆสีดำ อันหนึ่งออกมา ชูให้เลาซาดู เลาซามองเห็นแล้วอึ้งไป เพราะรู้ว่าเป็นอะไร
“ว่าน “อมนุษย์”!!!”
“ถูกต้อง ถ้าเด็กดาเนามันไม่ยอมฆ่านังวินยาขึ้นมาจริงๆ ข้าก็จะเอาว่านอมนุษย์ให้มันกิน มันก็จะตกเป็นทาสของข้าแล้วกลายร่างเป็นอมนุษย์ ที่มีพลังเพิ่มขึ้นไปอีกสิบเท่า คราวนี้อย่าว่าแต่ฆ่าพี่ฆ่าน้องเลย ต่อให้ข้าสั่งให้มันฆ่าตัวตาย มันก็ทำ ฮ่าๆๆๆ”
เลาซาหน้าเหวอไปเลย แล้วเข้ามาจับข้ากาซู
“ไม่นะ ท่านพ่อ อย่าทำอะไรวินยากับดาเนาเลย ข้ากราบขอร้องท่านด้วย”
เลาซากราบลงกับพื้น กาซูยกเท้าหนี แล้วเตะหน้าเลาซากระเด็นไปโมโหสุดขีดที่ลูกชายเห็นคนอื่นดีกว่า
กาซูมองด้วยความโกรธเกรี้ยวแล้วเริ่มใช้พลังจิต
“เจ้าไม่น่าเกิดมาเป็นลูกข้าเลย”
ทันใดนั้นเกิดระเบิดเสียงดังตูม 3 ลูกติดๆ กัน ตรงเนินดินแถวๆ นั้น เลาซากระเด็นลอยหวือไปชนขอบกรง จนทำให้ศีรษะแตก เลือดอาบใบหน้าไหลลงมา
เลาซาอ่อนแรง ร้องขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด หมดสภาพอยู่ตรงนั้น กาซูมองด้วยความรู้สึกทั้งรักทั้งแค้นใจลูกชายคนเดียว
“ยิ่งเจ้าอยากปกป้องนังวินยา ข้าก็จะรีบทำลายมันคืนนี้ล่ะ ข้าจะพาน้องไปฆ่าพี่ นังวินยาต้องตายด้วยมือน้องชายตัวเอง”
กาซูแค่นหัวเราะคำรามก้องป่า แล้วหันเดินออกไป เลาซานอนกองอยู่กับพื้น ร่างกายอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง
“วินยา ข้า จะช่วยเจ้าได้ยังไง อ๊อก... วินยา”
เลาซาเจ็บทั้งกายปวดทั้งใจเป็นห่วงวินยาสุดชีวิต

ทั้งหมดเดินลุยป่าเสียงดังสวบสาบอย่างเร่งรีบ แล้วจังหวะหนึ่งดนัยก็หันไปบอกทุกคน
“รีบหน่อยนะ เราต้องไปดักฉวีวรรณให้ได้”
ชลิตพูดกับดนัย “เฮ้ย แล้วลุงศิริ กับ แม่นงนุชล่ะ ไม่ไปช่วยแล้วหรือวะ”
“ช่วยสิ แต่เราต้องจัดการแผนขั้นที่1 ให้เรียบร้อยก่อน”
“แผนอะไรของแกวะ”
“สามัคคีคือพลัง”
ดนัยพูดพร้อมกับยิ้มกริ่ม ชลิตกับทุกคนแปลกใจ

ฉวีวรรณขับรถมาตามทางที่ขรุขระ และคดเคี้ยว มีกระเป๋าเงินค่าไถ่วางอยู่ที่เบาะอีกข้าง โดยไม่รู้ว่าดาหวันนั่งคูดคู้แอบอยู่เบาะข้างหลัง หน้าตามู่ทู่เพราะอึดอัด
ดาหวันบ่นพึมพำเสียงเบาๆ ที่พี่สาวขับเร็วไม่ทันใจ “ขับรถหรือขี่อูฐเนี่ย”
จู่ๆ ฉวีวรรณ ก็กระชากรถเร่งเครื่องขึ้นมา ออกตัวอย่างแรง รถกระชากจนดาหวันหน้าคะมำ ศีรษะชนขอบเบาะนั่งด้านหลังโครม
ดาหวันร้องออกมาเพราะเจ็บ
“อู้ย” ดาหวันตกใจรีบปิดปากไม่ให้มีเสียง)
ฉวีวรรณแอบเหล่มอง เปรยขึ้นแบบทำเป็นไม่รู้เรื่อง
“สมน้ำหน้า”
ดาหวันสะดุ้ง หูผึ่ง สังหรณ์ใจว่าโดนจับได้ รีบทำตัวลีบเล็ก ขดตัวหลบ ฉวีวรรณขับรถไปเนียนๆ ทำนิ่งๆ เปรยขึ้นอีก
“ยังจะหลบอีกเหรอ ยายหวัน ชั้นรู้นะว่าเธอแอบตามมาด้วย”
ดาหวันหน้าเจื่อน แต่ก็ทำแก่นใส่พี่สาว ลุกขึ้นมาแก้ตัว สองศรีพี่น้องเปิดฉากทะเลาะกันจนได้
“อ้าว เมื่อกี้พี่หวีก็แกล้งหวันดิ พี่อะไร นิสัยไม่ดี”
“ช่วยไม่ได้ ใครบอกให้เธอตามชั้นมาละ”
“ใครตามพี่หวี หวันมาตามพ่อต่างหาก
“พี่เป็นพี่เธอนะ ทำไมไม่ฟังกันบ้าง”
“แล้วพี่ล่ะ เคยฟังหวันบ้างไหม”
ฉวีวรรณโมโหหันไปว่าดาหวัน ไม่ได้มองทาง
“ยายหวัน”
“พี่ใจยักษ์”
“จะมากไปแล้วนะ”
ดนัยกับชลิตเดินโผล่ออกมาจากข้างทางในระยะกระชั้นชิด
รถฉวีวรรณแล่นเข้ามาใกล้ ดาหวันมองเห็นดนัยกับชลิต กำลังเดินตัดหน้ารถ ก็ร้องลั่น
“เฮ้ย”
ฉวีวรรณตกใจ หันไปเห็น กรีดร้องลั่น แต่แทนที่จะเบรกกลับเร่งเครื่อง เข้าไปอีก รถพุ่งไปหา ชลิต กับดนัย
ทั้งสองหนุ่มรีบกระโดดหลบแทบไม่ทัน ล้มลงไปคลุกดินคลุกฝุ่น ร้องด้วยตกใจเสียงดังลั่น
CUT/
รถเบรกจอดเอี๊ยด ฉวีวรรณรีบเปิดประตูลงไป พร้อมๆกับดาหวัน พอเห็นว่าเป็นดนัยกับชลิตทั้งสองสาวก็ตกใจ
“ดนัย” / “พี่ชลิต”
ชลิตกับดนัย มองเห็นดาหวันกับฉวีวรรณ ก็ดีใจที่ได้เจอกัน วินยากับทองอินตามออกมาจากป่าข้างทาง รู้สึกตกใจทั้งคู่
“ดนัย ชลิต เป็นอะไรหรือเปล่า”
ชลิตมองดาหวันยิ้มตาเป็นประกาย
“เป็นสิ เป็นมากด้วย”
ทองอินมองอย่างงงไม่เก็ต “อะไรของแกวะ”
“คิดถึง...” ชลิตตอบ
ดาหวันหันมาสบตากับชลิต
ดนัยมองฉวีวรรณด้วยความห่วงใย เพ้อออกมาเช่นกัน
“เป็นห่วงมากมาย”
ฉวีรรณมองสบตาดนัย ปลื้มอยู่ในใจ
วินยามองเห็นภาพดนัยกับฉวีวรรณมีใจให้กันแล้ว รู้สึกเจ็บแปลบในใจ ดวงตามีแววเศร้าขึ้นมาแว่บหนึ่ง แต่แล้ววินยาฝืนยิ้ม พูดขึ้นมา
“จดๆจ้องๆ กันอยู่นั่นแหละ จะเคลียร์ก็เคลียร์เลย”
“ให้ไว” ทองอินผสมโรง
ดนัยกับชลิตทำท่าขยับจะเข้าไปหา ฉวีวรรณกับดาหวันกลับปั้นปึ่งขึ้นมา เดินแยกไปคนละข้างของรถ แต่ก็เดินไปทางท้ายรถเหมือนกัน ดนัยกับชลิตรีบตามคู่ของตัวเองไป
“หวี” / “หวัน”

ฉวีวรรณกับดาหวันเดินเข้ามาจากคนละข้างของรถ
ฉวีวรรณบ่นออกมา “บ้าจริง ตามมาทำไมไม่รู้”
ดาหวันก็บ่นขึ้น “มาทางไหน ก็รีบกลับไปเลย”
ทั้งสองมาหยุดตรงท้ายรถ แล้วสองพี่น้องหันหน้ามาเจอกันเข้าพอดีโดยบังเอิญ ต่างคนต่างอึ้ง แล้วก็ ทำปั้นปึ่งใส่กัน สะบัดหน้าหนีไปคนละทาง
ดนัยกับชลิตตามเข้ามาเห็น ฉวีวรรณกับดาหวันหน้างอหันหลังให้กันอยู่ ดนัยกับชลิตมองอย่างรู้แกว แล้วดนัยหันไปพูดขึ้น
“คนเรา หน้าสิ่วหน้าขวาน ยังจะมาทะเลาะกันอีก” ดนัยว่า
“โกรธใครก็โกรธไป แต่พี่น้องไม่น่าจะมาโกรธกันเอง” ชลิตเสริม
ฉวีวรรณกับดาหวันหันขวับมาจ้องมองอย่างเอาเรื่องพูดขึ้นพร้อมๆ กัน
“มันไม่ใช่เรื่องของนาย”
“ก็ใช่ แต่ถ้าพ่อของพวกเธอมาเห็นพวกเธอสองคนทะเลาะกันแบบนี้ ตอบหน่อยสิว่าท่านจะรู้สึกยังไง”
ฉวีวรรณกับดาหวันอึ้งไป
“ถ้าหวันกับหวีรักพ่อ ก็อย่าทำให้พ่อเสียใจเลยดีกว่า” ชลิตได้โอกาส
ฉวีวรรณกับดาหวันยิ่งอึ้ง มีท่าทีอ่อนลงไป ดนัยกับชลิตฉวยมือคู่ของตัวเองขึ้นมา
“มานี่เลย” ดนัยจับมือฉวีวรรณ
ทั้งสองสาวโวยวายขึ้นมาทันที
“เอ๊ะ ดนัย” ฉวีวรรณโวยลั่น
“ทำอะไรน่ะ พี่ชลิต” ดาหวันใส่ชลิตเช่นกัน
ที่แท้ดนัยดึงมือฉวีวรรณจะให้จับกับมือดาหวัน
“จับมือกับหวันซะ”
ชลิตดึงมือดาหวันจะให้จับกับฉวีวรรณ
“จับมือกับหวี เดี๋ยวนี้เลย”
“มีสิทธิ์อะไรมาสั่งหวัน” ดาหวันยื้อไม่ยอมจับ

จังหวะนั้นวินยากับทองอินมองเหตุการณ์อยู่รีบเดินตามเข้ามาหา
“ฉันเห็นด้วยกับดนัย ชลิต” วินยาบอก
“พี่ก็เห็นด้วย” ทองอินว่า
ฉวีวรรณกับดาหวันอึ้ง สู้เสียงข้างมากไม่ได้ จ๋อยไป
ชลิตดุเสียงเขียว “หวัน”
ดาหวันขัดใจ แต่จำต้องยอมเพื่อพ่อ ยื่นมือให้ฉวีวรรณ แต่ฉวีวรรณยังเมินหน้าหนี ไม่ยอมจับมือ
ดนัยทำเสียงดุใส่ “หวี”
ทุกคนจ้องหน้ากดดัน ฉวีวรรณขัดทุกคนไม่ได้ จำต้องยอมจับมือกับดาหวัน
“สงบศึกเพื่อพ่อ” ฉวีวรรณบอก
“ก็ได้ เพื่อพ่อเท่านั้น” ดาหวันว่า
ฉวีวรรณกับดาหวันที่จับมือกัน ดนัยกับชลิตมองหน้ากันยิ้มๆ วินยา กับ ทองอินพลอยยินดีด้วย
ดนัยพูดขึ้นกับทุกคน
“มันต้องอย่างนี้สิ สามัคคีคือพลัง”
ดนัยวางมือลงบนมือฉวีวรรณที่จับมือดาหวันอยู่
ฉวีวรรณมองหน้าดนัยแวบหนึ่ง ยอมรับความรู้สึกดีๆ เริ่มกลับคืนมา แจ๋ กับ กิมจิ ที่ลงจากรถยนต์คันหนึ่ง
“ว้าว ดีกันแล้วอ่ะ ถูกต้องที่สุดครับ” กิมจิร้องอย่างดีใจ
“รอแจ๋ด้วย” แจ๋ตะโกน
กิมจิกับแจ๋ เข้ามาเอามือวางทับซ้อนขึ้นไป แล้ววินยากับทองอินวางตามลงมา ปิดท้ายด้วยชลิตวางทับข้างบนสุด
“ถ้าทุกคนร่วมมือกัน เราต้องช่วยลุงศิริกับแม่นงนุชได้แน่นอน”
บรรยากาศชื่นมื่นขึ้น แจ๋ และกิมจิยิ้มอย่างดีใจที่เพื่อนๆ กลับมาร่วมมือร่วมใจกันอีกครั้ง
“เย้”

ทางด้านอุ๊บอิ๊บโดนจับมัดมือ เอาแต่ร้องตะโกนโวยวายดิ้นไปมาอยู่บนเตียง ภายในห้องตัวเอง
“อุ๊บอิ๊บไม่ได้ทำอะไรผิด ป๊าต่างหากที่ทำไม่ถูก ได้ยินไหม ปล่อยอุ๊บอิ๊บเดี๋ยวนี้นะ อ๊าย กรี๊ดๆๆๆ”
สมุนหน้าเหี้ยมคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามาเพราะทนเสียงไม่ไหว
“โอ้ย กรี๊ดให้คอแตก เสี่ยก็ไม่ปล่อยคุณหรอก”
“ทำไม ฉัน…” อุ๊บอิ๊บนึกแผนขึ้นมาได้ เปลี่ยนโทนเสียงเป็นอ้อนลูกน้องพ่อทันที “ชั้น...เออ แบบคือว่า ...กอ.กอ.นอ.มันเข้าวินน่ะ”
“อะไรนะคับ” สมุนงง
“แก้มัดให้แป๊บดิ อุ๊บอิ๊บขอจัดระเบียบกอ.กอ.นอ.หน่อยนะ พี่เคลลี่”
สมุนออกอาการเขิน “แหม เรียกชื่อจริงเลยเหรอ”
อุ๊บอิ๊บอ้อนแบบจัดเต็ม “นะ นะ นะ พี่เคลลี่จ๋า”
สมุนใจอ่อน ยอมแก้มัดให้อุ๊บอิ๊บ
“จ๋าจ๊ะ แป๊บเดี๋ยวจริงๆ นะครับ”
แต่พอสมุนเข้าไปแก้มัดให้อุ๊บอิ๊บออกแล้ว อุ๊บอิ๊บกลับจับมือมันไว้แล้วร้องกรี๊ดๆ โวยวายเหมือนโดนปล้ำ
“อ๊าย อย่านะ อย่าทำชั้นนน อย่า ช่วยด้วย ไอ้บ้ากามมันปล้ำฉัน
สมุนชะตาขาดเหวอ มองอย่างตื่นตระหนก
สมุนอีกราย เปิดประตูตามเข้ามา เห็นสมุนเคลลี่ เหมือนกำลังซุกไซ้อุ๊บอิ๊บ เข้าใจผิดว่าอุ๊บอิ๊บโดนปล้ำจริงๆ
“เฮ้ย ทำไรวะ”
ปรี่เข้าไปกระชากสมุนเคลลี่ ออกมาแล้วต่อยเปรี้ยงง อุ๊บอิ๊บแกล้งร้อง ใส่ไฟเข้าไปอีก
“มันปล้ำชั้น จัดการมันเลย”
สมุนทั้งสองคนพุ่งเข้าไปเล่นงานกันเอง ทั้งคู่ต่อยกันนัวเนีย

อุ๊บอิ๊บแอบกระหยิ่ม ยิ้มสะใจที่งานถนัดลุล่วง แล้วรีบวิ่งออกจากห้องไป

อ่านต่อหน้า 4





หอบรักมาห่มป่า ตอนที่ 22 (ต่อ)

เย็นมากแล้ว อุ๊บอิ๊บวิ่งลัดเลาะ หน้าตาตื่น หลบย่องๆ มาตามทางกลัวมีคนเห็น อุ๊บอิ๊บเข้ามาถึงหน้าประตูห้องเก็บของเหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นใคร รีบเปิดประตูห้องเก็บของเข้าไป เห็นบุญทิ้งถูกมัดอยู่

“บุญทิ้ง”
“คุณอุ๊บอิ๊บ”
อุ๊บอิ๊บมองหน้าบุญทิ้ง แววตาบ่งบอกความซาบซึ้งถึงความเป็นมิตรแท้ แล้วจู่ๆ อุ๊บอิ๊บน้ำตารื้นขึ้นมาอย่างสำนึกผิด
“บุญทิ้ง”
อุ๊บอิ๊บโผเข้าไปกอดบุญทิ้ง แล้วร้องไห้โฮ น้ำตาไหล บุญทิ้งงง ทั้งตกใจ ทั้งเป็นห่วง
“คุณอุ๊บอิ๊บเป็นอะไรไปครับ ร้องไห้ทำไม”
“นายเป็นคนที่ชั้นไว้ใจได้ใช่มั้ยบุญทิ้ง นายไม่ได้หลอกชั้น โกหกชั้นว่าเป็นคนดีเหมือน...” พอนึกถึงพ่อแล้วอุ๊บอิ๊บก็พูดไม่ออก รู้สึกสะเทือนใจจนสะอื้น และปล่อยโฮออกมา “ฮือๆๆๆ”
“เหมือนใครหรือฮะ ใครทำให้คุณเสียใจ”
อุ๊บอื๊บไม่ตอบ
“คุณดนัยอีกละสิ”
อุ๊บอิ๊บส่ายหน้าแล้วสะอื้นโฮๆ ต่อ
“ไม่ใช่คุณดนัย แล้วยังจะมีใครทำให้คุณร้องไห้ได้อีก เขาต้องเป็นคนที่คุณรักมากที่สุดสินะ”
อุ๊บอิ๊บยิ่งร้องไห้โฮหนักมากขึ้น เพราะคนที่อุ๊บอิ๊บคิดถึงก็คือพ่อนั่นเอง
“ฮือๆๆ”
บุญทิ้งไม่รู้เรื่อง ทั้งงง สงสัย และกลายเป็นยิ่งเป็นห่วง
“คุณอุ๊บอิ๊บ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ...บอกผมมาสิครับ”
อุ๊บอิ๊บส่ายหน้า แถเปลี่ยนเรื่องไม่อยากพูดถึง
“ฉันดันไปดูหนังชีวิตเรื่องลูกสาวเจ้าพ่อค้าไม้เถื่อน ..หนังมันเศร้าน่ะ”
บุญทิ้งโล่งใจไม่ทันสังเกตอะไร “โธ่ นึกว่าเรื่องอะไร ที่แท้ก็แค่ดูหนังนี่เอง”
อุ๊บอิ๊บไม่ตอบรีบป้ายน้ำตา แล้วเข้าไปแก้มัดให้บุญทิ้ง
“ชั้นแก้มัดให้นายดีกว่า”
บุญทิ้งแก้เชือกเสร็จแล้ว “ขอบคุณครับ” ฉุกใจคิด “เอ๊ะ แล้วอยู่ๆ คุณมาช่วย ผมทำไม เมื่อวานคุณยังด่าผมอยู่เลย”
“อย่ามาพูดมาก รีบไปเถอะ เราอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว”
อุ๊บอิ๊บรีบตัดบทลุกขึ้น แล้วคว้ามือบุญทิ้งให้ลุกวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

เหตุการณ์ที่บริเวณสะพานข้ามห้วยแม่ตุ๊ พาณิชย์ชะเง้อมองท้องฟ้ายามค่ำคืนอย่างหัวเสีย
“มันยังไม่มาอีก”
ธนวัติยืนเก๊ก เช็คอาวุธปืนอยู่ริมราวสะพานถัดออกไป อย่างใจเย็น
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ยังไงกวางสาวแสนสวยก็ต้องวิ่งมาชนลูกปืน”
ธนวัติทำท่าเล็งปืนไปในหมู่สมุน
“ปัง” ธนวัติเลียนเสียงปืน
พวกสมุนรีบหลบ แตกฮือ นึกว่าจะโดนยิง ธนวัติหัวเราะเยาะ
“ไอ้พวกโง่ แค่ล้อเล่นก็ตื่นตูม”
พาณิชย์มองออกไปไกลๆ เห็นแสงไฟจากรถฉวีวรรณ ที่กำลังเคลื่อนเข้ามา
“มาแล้วพี่วัติ”
ธนวัติโดดลงมายืนข้างๆ พาณิชย์ มองไปผุดยิ้มเหี้ยมออกมา
“ดี งานนี้ต้องคุ้มค่า ชั้นต้องได้ทั้งเงิน แล้วก็ตัวนังฉวีวรรณด้วย”

รถฉวีวรรณแล่นเข้ามาจอดเทียบที่เชิงสะพาน ธนวัติกับพาณิชย์ เข้ามาหยุดข้างหน้ารถ สมุนทั้งหลายกระจายกันล้อม ยกปืนเตรียมไว้
แสงไฟจากหน้ารถ ส่องแสงจ้าเข้าตาทั้งสองคน ทำให้เห็นเหมือน ฉวีวรรณนั่งอยู่ในรถ ตำแหน่งคนขับ ใส่หมวกแก้ปหลุบหน้าตา แท้จริงๆ คือวินยาเอาชุดเสื้อผ้าและหมวกแก้ปของฉวีวรรณมาใส่
พาณิชย์ป้องๆ หน้าส่องดูในรถ
“นั่งเป็นหุ่นอยู่ได้ ทำไมยังไม่ลงมาอีก”
“หึหึ คงกลัวจนตัวสั่นแล้วสิท่า” ธนวัติกระหยิ่ม
“เฮ้ย อย่าชักช้าเสียเวลา ลงมาได้แล้ว” พาณิชย์ตะโกน
วินยาเปิดประตูรถลงมา เดินก้มหน้าก้มตา ถือกระเป๋าเงิน ตรงเข้ามากลางวงไม่พูดไม่จา
แสงเงาที่พาดร่างของวินยา ทำให้มองไม่เห็นถนัดว่าเป็นใคร พาณิชย์มองเขม็ง
“แกมาคนเดียวแน่นะ ฉวีวรรณ”
วินยาไม่ตอบกลับยกกระเป๋าเงินชูขึ้น
“ใจร้อนจริง น้องหวี กลัวไอ้แก่ศิริจะตายเหรอ”
วินยานิ่ง ธนวัติกับพาณิชย์เห็นท่าทางก็พากันหัวเราะเยาะ ธนวัติสั่งลูกน้อง
“เฮ้ย เอากระเป๋ามา”
ลูกน้องเดินอาดๆ เข้าที่วินยา จะคว้ากระเป๋า
โดยไม่มีใครคาดคิด วินยากลับเหวี่ยงกระเป๋าใส่ลูกน้อง ผงะ ถอยหลังกระเด็นออกไป ธนวัติ กับพาณิชย์ตะลึง ลูกน้องที่เหลือกรูเข้ามาหาวินยา วินยาโยนกระเป๋าหลอกลอยขึ้นไปในอากาศ แล้ว หมุนตัวเตะทีเดียว ล้มลงไป 3 คน หมวกแก้ปที่วินยาใส่ ร่วงหล่นลงพื้น
วินยาหันกลับมา เผชิญหน้าตั้งท่าบู๊สวยงาม พอเห็นหน้ากันชัดๆ ธนวัติ กับพาณิชย์ตกตะลึง
“นังตัวแสบ วินยา”
“ฆ่ามัน!!”
สมุนอีกฝูงวิ่งเข้ามา วินยาหันไปเตะต่อยเป็นชุด ด้วยท่าเท่สวยงาม จัดการลูกน้องทั้งหมดจน กระอักเลือดออกปากล้มลงไป ธนวัติเดือดดาลอย่างหนัก ควักปืนออกมาจะยิงวินยา จังหวะนั้นประตูรถฉวีวรรณอีกด้านเปิดออก ทองอินพุ่งออกมา ยกปืนยิงเปรี้ยงไปที่ธนวัติ แต่เฉียดไป ธนวัติกระโดดหลบได้ทัน
พาณิชย์หยิบปืนขึ้นมายิง ใส่ทองอิน ช่วยธนวัติ ทองอินรีบหลบไปมุมหนึ่งเข้าหาที่กำบัง ในขณะที่วินยารีบพุ่งตัวไปหยิบปืนจากสมุนคนหนึ่งที่สลบอยู่ขึ้นมายิงใส่พวกธนวัติและสมุน ปังๆ แล้ววิ่งเข้าไปอยู่กับทองอิน
“ถ่ายได้ไหม พี่ทองอิน”
ทองอินตบกระเป๋าสะพายตัวเอง “แจ่มมาก หลักฐานทั้งหมดอยู่ในกล้องแล้ว”
ฝ่ายธนวัติยิงเข้ามาอีก วินยาลุกยิงตอบโต้ โดนสมุนคนหนึ่งล้มลงไปตาย ธนวัติเห็นท่าไม่ดี ตะโกนบอกพาณิชย์
“ถอยเว้ย เอากระเป๋าเงินมา”
พาณิชย์รีบหยิบกระเป๋าเงินที่ตกอยู่ข้างๆ แล้ว ทั้งคู่ให้สมุนยิงป้องกัน แล้วรีบหนีออกไป
“มันหนีไปแล้ว” วินยาบอก
“จับให้ได้”
ทองอิน กับ วินยา ถือปืนไล่ยิงพวกธนวัติ พาณิชย์ และสมุนที่เหลือ วิ่งตามออกไป

ธนวัติกับพาณิชย์ถือกระเป๋าเงิน วิ่งหนี ลุยป่ามา สมุนตามหลัง ยิงป้องกัน ทองอิน กับวินยา ไล่ตามมาข้างหลัง ยิงตอบโต้กับธนวัติ และพาณิชย์เป็นระยะๆ
ทองอินกับวินยาหันไปพยักหน้าให้กัน แยกกันไปคนละทาง

ในขณะที่ชาวชาลัน ทั้งชายและหญิงเดินไปเดินมาในหมู่บ้าน บางก็นั่งกินข้าวกันอยู่ที่แคร่หน้าบ้าน
ฉับพลันทันใดก็เกิดระเบิดตูมขึ้น หลายๆ จุด ในหมู่บ้าน ทุกคนแตกกระเจิง หวีดร้องอย่างตกใจ แต่ไม่มีใครบาดเจ็บ
พอม่านหมอกควันระเบิดจางลง ก็เห็นร่างกาซู เดินมาพร้อมกับดาเนาที่หน้านิ่งขรึม บรรดาสมุนของกาซู เรียงแถวเป็นกองกำลังอยู่ทางด้านหลัง
“ถล่มมันให้ยับ”
พวกสมุนเฮโลกันบุกเข้าไปในหมู่บ้าน ไล่ต่อยตี ทำร้ายพวกชาวบ้านจนพากันแตกตื่นกรีดร้องด้วยความตกใจ ดาเนามองภาพเหล่านั้นแอบมีความลำบากใจขึ้นมา ในขณะที่กาซูหัวเราะดังกึกก้องอย่างพึงพอใจ
“ฮ่าๆๆ คืนนี้เพลิงแค้นจะเผาผลาญหมู่บ้านชาลันให้ราบเป็นหน้ากลอง”

ธนวัติกับพาณิชย์ถือกระเป๋าเงิน วิ่งลุยป่าไปพร้อม สมุน ในขณะที่วินยาวิ่งบนเนินดินข้างบน
ขนานไปกับพวกธนวัติ ที่วิ่งอยู่ข้างล่างโดยมีป่าไม้ขวางกั้นบังๆ ไว้
จังหวะหนึ่งวินยา เห็นพวกธนวัติ ที่ลุยป่าผ่านกิ่งไม้ พุ่มไม้ ส่วนทองอิน วิ่งตามหลังพวกธนวัติ ที่ป่าข้างล่าง ยิงไล่เสียงปืนดังตูมตามเป็นระยะ
วินยาที่วิ่งอยู่ป่าด้านบน วิ่งนำเลยพวกธนวัติไปเลย

ธนวัติ กับพาณิชย์ถือกระเป๋า มีลูกสมุน วิ่งต่อเนื่องมาตามทาง ทองอินตามหลังมายิงใส่
“แกหนีไม่พ้นหรอก”
วินยาโผล่ขึ้นมา ดักหน้าพวกธนวัติ พาณิชย์ ยกปืนเล็ง ยิงเปรี้ยงออกไป ไวเท่าความคิดสองเลวธนวัติ พาณิชย์กระโดดหลบแยกได้อย่างฉิวเฉียด
ปืนไปถูกสมุนที่ตามหลังมาเลือดพุ่งกระฉูด ล้มตายลงไป ธนวัติ พาณิชย์เห็นท่าไม่ดี รีบยิงสวนใส่วินยา
วินยาหลบและล้มลงไปตรงมุมหนึ่ง ธนวัติ และพาณิชย์ ได้โอกาสรีบวิ่งตัดป่าออกไปอีกทางหนึ่ง
ทองอินวิ่งตามมาที่วินยา
“วินยา”
วินยารีบลุกขึ้น “ไม่เป็นไรพี่ รีบไปเถอะ”
ทองอินกับวินยารีบวิ่งตามธนวัติ และพาณิชย์ไปอีก

กาซูยกมือเปล่าชี้ไปที่กระท่อมหลังหนึ่ง กระท่อมลุกเป็นไฟ พรึ่บขึ้นมาทันที ชาวบ้านแตกตื่นร้องโวยวาย หอบข้าวของหนีจ้าละหวั่น กาซูหันไปมองดาเนา ดาเนาสูดลมหายใจ แล้วเพ่งไปที่ลอมฟางกองหนึ่ง ที่ไม่มีคนอยู่ กองไฟระเบิดบึ้ม กระจุยกระจายเช่นกัน กาซูหัวเราะด้วยสะใจ
“เก่งมากลูกพ่อ!”

ธนวัติกับพาณิชย์วิ่งออกจากป่ามาที่ถนน วิ่งตัดหน้ารถกระบะคันหนึ่งวิ่งเข้ามาพอดี คนขับเบรกเสียงดังลั่น เกือบชน ธนวัติ พาณิชย์ คนขับเปิดประตูรถออกมา โวยทันที ด้วยความโมโห
“เฮ้ย อยากตายหรือวะ”
ธนวัติหันขวับไป ยิงคนขับกระบะทันที คนขับกระเด็นหงายตึง ล้มไปกับพื้นถนน แน่นิ่งไป
วินยา กับทองอินที่วิ่งตามออกจากป่ามา เห็นธนวัติกับพาณิชย์ รีบโดดขึ้นรถกระบะ ขับออกไปอย่างรวดเร็ว
“ไอ้ธนวัติ!”
ทองอินมองคนเจ็บแล้วแค้นใจ
“มันอำมหิตจริงๆ”
“หยุดนะ”
วินยาวิ่งตามหลังรถธนวัติไปอย่างไม่ยอมแพ้
“หยุดเดี๋ยวนี้ ชั้นบอกให้หยุด”
แต่แล้วปรากฏว่า จังหวะนั้นมีพลุจุดขึ้นสว่างไสวกลางท้องฟ้า เสียงดังสะท้อนทั้งผืนป่า
วินยาที่วิ่งอยู่ชะงัก และหยุดวิ่งทันที หันขวับกลับไปดูพลุด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เป็นกังวลใจ
“หมู่บ้านชาลัน มีอันตราย”

พลุจุดขึ้นบนฟ้าเช่นกัน เลาซาเดินกระเผลกๆ เพราะขาเป๋ เข้ามาหยุดดู ที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง สีหน้าเลาซา ที่มองเห็นพลุแล้ว เคร่งเครียดขึ้นมา
“พลุส่งสัญญาน! แสดงว่า ท่านพ่อกำลังทำลายหมู่บ้านชาลัง ข้าจะทำยังไงดี ขาก็เป็นแบบนี้”
เลาซาทุบท่อนขาตัวเอง ปั๊กๆ ระบายอารมณ์ “อ๊ากกกก ทำไมข้าไม่มีพลังพิเศษบ้าง ทำไมๆ”
เลาซาแว่บนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“ถ้าเด็กดาเนามันไม่ยอมฆ่านังวินยาขึ้นมาจริงๆ ข้าก็จะเอาว่านอมนุษย์ให้มันกิน มันก็จะตกเป็นทาสของข้าแล้วกลายร่างเป็นอมนุษย์ ที่มีพลังเพิ่มขึ้นไปอีกสิบเท่า”
เลาซาพึมพำเหมือนได้ความคิดอะไรบางอย่าง
“พลังสิบเท่า ว่านอมนุษย์”

วินยาเดินเข้าเฟรมมาพูดกับทองอิน สีหน้าเป็นกังวล
“ฉันเห็นพลุแล้วใจไม่ดีเลย ที่หมู่บ้านต้องเกิดเรื่องร้ายแน่ๆ ฉันต้องรีบกลับไปที่หมู่บ้านแล้วละพี่ทองอิน”
“ชาวชาลันคงต้องการวินยามากที่สุด รีบไปเถอะไม่ต้องห่วงทางนี้หรอก” ทองอินบอก
“ขอบคุณมาก ฝากบอกดนัยด้วย ว่าชั้นเอาใจช่วยให้สำเร็จ”
วินยาหันเดิน เข้าไปในป่า หายลับไปอย่างรวดเร็ว เสียงมือถือทองอินดังขึ้นมา ทองอินกดรับสาย
“ฮัลโหล ดนัย! แผน1 สำเร็จ”

ดนัยใส่หมวกหลุบหน้า เห็นแต่หน้าด้านข้าง ใส่บลูทูธ ขับรถไปด้วย โดยมีฉวีวรรณ ซึ่งอยู่ในชุดของวินยา นั่งอยู่ข้างๆ
ดนัยตอบรับทองอิน “เยี่ยม”
ดนัยหันไปสบตากับฉวีวรรณแว่บหนึ่ง รู้ใจกันพร้อมลุย ดนัยหันกลับมองตรงออกไป มุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว
“แผน 2 เดินหน้าเต็มที่”
ดนัยเร่งเครื่องยนต์ เหยียบคันเร่งมิด รถสิบล้อที่ดนัยขับแล่นฉิวไปอย่างเร็วและแรง

ธานีต่อยหน้าสมุนทั้งสองคนด้วยความโมโห
“เลี้ยงเสียข้าวสุก ไม่ได้เรื่องเลยสักคน แค่ยายอุ๊บอิ๊บคนเดียว ปล่อยให้หนีไปได้ยังไงวะ”
สมุนจ๋อย ร้องเจ็บปวด ธานีตะคอกใส่อีก
“ยังมัวทำหน้าเซ่ออยู่อีก รีบไปตามมันกลับมาสิวะ ไป”
สมุนรีบถอยออกจากห้องไป จังหวะนั้นหญิงสาวสองคน ก็เดินสวนเข้ามาฉอเลาะกับธานี
“ป๋าขา อารมณ์เสียอะไรกันคะ”
“ป๋าไปเล่นตี่จับกับหนูดีกว่านะคะ ...นะคะป๋าขา”
หญิงสาวทั้งสองนางเกาะแขน ออดอ้อน ธานีทำเป็นจำใจไปอย่าเสียไม่ได้
“อะ อะ ก็ได้ ๆ ฉันเห็นกับพวกเธอนะเนี้ย เดี๋ยวไปตี่ด้วยกันหมดนี่แหละ”
ธานีโอบหญิงสาวออกไปจากห้อง โดยวางมือถือทิ้งไว้บนโต๊ะ พร้อมกันนั้นก็มีเสียงเรียกเข้า และปรากฏชื่อ “ พาณิชย์” ขึ้นมา

พาณิชย์ลดมือถือลง กดปิด แล้วหันไปพูดกับธนวัติ
“อาธานีไม่ยอมรับสายเลย พี่วัติ”
ธนวัติทุบพวงมาลัยหงุดหงิด
“โธ่เว้ย ป๊ามัวไปทำอะไรอยู่ บรรลัยกันพอดี”
“พวกมันแสบมาก มันต้องร่วมมือกันมาตลบหลังพวกเราแน่ๆ”
ธนวัติเข่นเขี้ยวด้วยความแค้นใจ “ไอ้ดนัย ไอ้หัวโจก แกบังอาจมาก”
“พี่จะเอายังไงต่อไปล่ะ” พาณิชย์ถาม
“แก้แค้นสิวะ มันต้องแหลกกันไปข้าง”
ธนวัติตอบ พร้อมกับมองออกไปอย่างคั่งแค้น

ทางด้านอุ๊บอิ๊บกับบุญทิ้งวิ่งหนีกันมาบนทางรถไฟ ทั้งคู่เหงื่อไหลไคลย้อย เพราะเหนื่อยและอ่อนล้าโรยแรง อุ๊บอิ๊บวิ่งไปบ่นไป บุญทิ้งวิ่งตามหลัง
“อ๊อย เท้าชั้นระบมไปหมดแล้ว ทำไมมันถึงลำบากยากเย็นอย่างนี้นะ”
“เจริญพร ไม้หมอนเขามีให้รถไฟวิ่ง ไม่ใช่ให้คุณอุ๊บอิ๊บวิ่งไงครับ” บุญทิ้งยังวิ่งตามติดๆ
อุ๊บอิ๊บหันขวับกลับไปหาบุญทิ้ง จนบุญทิ้งผงะเพราะเกือบชนกัน
“นี่หัดคิดซะบ้างสิ ถ้าเราไปตามทางถนนธรรมดา เกิดเจอป๊า กับพวกพี่วัติ พี่พาณิชย์ ก็ซวยน่ะสิ มาตามทางรถไฟอย่างนี้แหละ ไม่มีใครคาดถึง”
“คุณมีปัญหาอะไรกันแน่ ทำไมคุณถึงต้องหนี พ่อกับพี่ชายคุณขนาดนี้” บุญทิ้งพูดพาซื่อ
แต่อุ๊บอิ๊บอึ้งไม่อยากพูดเรื่องพ่อ บอกอีกอย่างไป
“ก็เพราะนายไงล่ะ”
“เพื่อผมเนี่ยนะ คุณรู้จักช่วยคนอื่นด้วยเหรอ”
คำพูดซื่อๆ ของบุญทิ้งทำเอาอุ๊บอิ๊บรู้สึกสะเทือนใจขึ้นมา ที่ตัวเองไม่ได้ไปช่วยศิริกับนงนุช
“ฉันไม่ได้ดีขนาดนั้นหรอก เพราะอีกสองคนที่เหลือ ชั้นก็เลือกที่จะปล่อยเขาไว้มากกว่าพามาด้วย”
“สองคนไหนอีกล่ะครับ มีใครโดนจับอีกเหรอ” บุญทิ้งยังสงสัยไม่เลิก
อุ๊บอิ๊บรีบตัดบท “อย่าถามนักเลยน่า”
อุ๊บอิ๊บหันกลับไป แล้วมองเห็นแสงไฟจากหน้ารถ ที่กำลังขับแล่นใกล้เข้ามา
“นั่น มีรถมาแน่ๆ รีบไปเถอะ”
อุ๊บอิ๊บดีใจรีบดึงมือบุญทิ้งวิ่งออกไป

อุ๊บอิ๊บกับบุญทิ้งวิ่งเข้ามาตรงที่ทางถนนไฟฟตัดกับถนน แล้วโบกไม้โบกมือให้รถที่ขับเข้ามาจอดเทียบ
“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย”
“จอดรถด้วยครับ” บุญทิ้งช่วยเรียก
บุญทิ้งกับอุ๊บอิ๊บยิ้มอย่างมีความหวัง รถกระบะคันนั้นแล่นเข้ามาใกล้แล้วเบรคทันที บุญทิ้งกับอุ๊บอิ๊บมองไปเห็นว่าเป็น ธนวัติขับรถมากับพาณิชย์ มองแสยะยิ้มทำหน้ากวนใส่ อุ๊บอิ๊บกับบุญทิ้งหุบยิ้มแทบไม่ทัน หน้าถอดสีไปทันที ครางออกมาพร้อมกัน
“พี่วัติ” / “พาณิชย์”
หลังจากนั้นอุ๊บอิ๊บก็กรี๊ดลั่นสนั่นทุ่ง ทั้งตื่นกลัวและตกใจ
“อ๊าย...กรี๊ด”

รถสิบล้อขับแล่นเข้ามาจอดที่บริเวณป้อมยามรักษาการหน้าโรงไม้ สมุนคนหนึ่งโบกให้จอดรถ ที่เหลือยืนนั่งอยู่ที่ป้อม
“เฮ้ย มาทำอะไรวะ”

ดนัยนั่งประจำที่คนขับรถ ใส่หมวกแก้ปปิดบังหน้า เหลือบตามองอย่างมีแผน แต่ยังไม่พูดอะไรออกมา

โปรดติดตามอ่าน หอบรักมาห่มป่า ตอนที่ 22 อวสาน เร็วๆ นี้




กำลังโหลดความคิดเห็น