xs
xsm
sm
md
lg

เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 31 อวสาน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 31 อวสาน

หลิมขับรถพาชิงชัย ทวนและเมินกลับบ้านเศรษฐีบุญช่วย กล่ำและชาวบ้านกำลังตามหาศรีไพรด้วยความห่วงใย

“เฮ้ย หลีกทางหน่อยซีโว้ย รู้มั้ยว่าใครมา” ชิงชัยตวาด
กล่ำโกรธและเกลียดชัง
“รู้ แต่ไม่เห็นจะต้องหลีกเลย ถนนตั้งกว้าง ใครอยากไปทางไหนก็ไปซีโว้ย ไอ้พวกสมุนรับใช้เศรษฐีบุญช่วย”
ชาวบ้านมองชิงชัย เมินและทวนอย่างชิงชัง
“บารมีตกแล้วยังจะทำเบ่งอีก ไม่มีใครกลัวพวกแกแล้ว”
ชิงชัยโกรธมากชักปืนออกมา
“ไอ้พวกนี้เดี๋ยวพ่อก็ยิงกรอกปากเสียหรอก”
ทวนรีบห้าม
“อย่า...”
ชิงชัยโมโห
“ห้ามทำไมวะ มันจะได้รู้ว่าเศรษฐีบุญช่วยเป็นอัมพฤกษ์แต่ลูกชายยังอยู่ ยังใหญ่คับฟ้าอยู่โว้ย”
เมินหันไปถามกล่ำอย่างสงสัย
“น้ากล่ำ หาอะไรกันน่ะ”
“เอ็งจะรู้ไปทำไมวะไอ้เมิน เอ็งเป็นพวกเศรษฐีบุญช่วย ถึงรู้ว่าพวกเราหาใคร เอ็งก็ช่วยไม่ได้หรอก”
ทวนชักสังหรณ์ใจ
“น้าตามหาใคร”
“อย่าไปเสียเวลากับไอ้พวกนี้เลย ไปตามหาไอ้ศรีไพรกันเถอะ” ชาวบ้านคนหนึ่งตัดบท
กล่ำและชาวบ้านรีบแยกออกไป ทวนกับเมินหันมาสบสายตากันด้วยความสงสัย
“ศรีไพร...” ทวนโพล่งขึ้น
ชิงชัยหันมาสั่งหลิม
“ไปโว้ย กลับ...กูจะกลับไปคิดบัญชีไอ้จ่าสิน”
รถยนต์ของชิงชัยพุ่งออกไปทันที...

ศรีไพรเช็ดเลือดออกจากเนื้อตัวของชาริณี ทั้งสองนั่งอยู่ริมหนองน้ำที่เต็มไปด้วยจอกและแหน ชาริณียังคงร้องไห้อย่างขวัญเสีย หลังรัวตีจ่าสินด้วยความแค้น
“ฉันเช็ดเลือดของจ่าสินออกไปจากตัวคุณแล้ว”
“ไม่มีใครล้างคาวความชั่วของมัน ที่ติดอยู่ในใจของฉันได้หรอก มันย่ำยีฉันเหมือนสัตว์ มันสมควรตาย”
“ชาริณี ฉันเข้าใจว่าคุณเจ็บปวดแค่ไหน จ่าสินทำกับคุณเหมือนผักเหมือนปลา แต่ชีวิตน่ะ...มันเหมือนน้ำกับแหน...คุณดูนั่น”
ศรีไพรหยิบก้อนดิน โยนลงไปในหนองน้ำที่เต็มไปด้วยแหน ซึ่งเป็นวัชพืชน้ำสีเขียวมันขึ้นในน้ำนิ่ง แหนกระจายกว้างออก ก่อนเคลื่อนเข้าหากันอย่างช้าๆ ซึ่งเปรียบเหมือนสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นในวันนี้ จะผ่านไป เหมือนไม่มีอะไรเคยเกิดขึ้นในวันข้างหน้า
“วันหนึ่งเมื่อเวลาผ่านไป คุณจะลืมมันได้ ความทรงจำของคนมีขีดจำกัด จะจำได้เท่าที่อยากจำ คุณจะลืมมัน”
ชาริณีอึ้งไป
“ศรีไพร...”
“ถ้าเรายังมีลมหายใจอยู่ ก็หมายถึงเรามีชีวิต เมื่อเรามีชีวิต เราก็มีหน้าที่ต้องให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่ชีวิต...เพื่อเราจะมีชีวิตที่ดี...ต่อไป”
ชาริณีหน้าสลดลลง
“ฉัน...”
ศรีไพรดึงชาริณีเข้ามากอดไว้อย่างปลอบโยน
“ขอบใจที่ช่วยฉัน ชาริณี”

หลิมขับรถพาชิงชัยกลับบ้านเศรษฐีบุญช่วย โดยมีทวนและเมินนั่งอยู่บนรถยนต์ ทวนเบี่ยงพวงมาลัยในมือหลิม รถเสยเข้าชนต้นไม้
“หยุด...หยุดก่อน”
“เฮ้ย ไอ้ทวน นี่มันอะไรกันวะ หยุดทำไม” ชิงชัยโวยวาย
“ไอ้...เกิดบ้าอะไรขึ้นมาวะไอ้ทวน เดี๋ยวก็ตายกันหมดทั้งคันหรอก” หลิมด่า
เมินมองหน้าทวน
“แกจะไปไหน ไปตามหาศรีไพรใช่มั้ย”
“หมายความว่ายังไง แกกับมันยังเป็นพวกเดียวกันอีกหรือ ไอ้ทวน” ชิงชัยชักปืนออกมา จ้องหน้าทวน “งั้นไอ้ที่ฉันเข้าใจว่าจ่าสินหักหลังฉัน อาจจะไม่ใช่ อาจจะเป็นแกก็ได้”
ชิงชัยยกปืนขึ้นจ่อศีรษะของทวน เมินกำลังจะอ้าปากห้าม แต่กลับนิ่ง
“แกทำลับๆ ล่อๆ เข้ามาอยู่ในบ้านฉันด้วยการหลอกชาริณี มิน่าล่ะ...ไม่ว่าฉันกับพ่อจะทำอะไรถึงได้พังหมด แม้แต่โรงงานผลิตยานั่น ก็ฝีมือแกใช่มั้ย”
ทวนชะงักพูดไม่ออก
“เอ้อ...”
“ตายเสียเถอะไอ้ทวน”
ชิงชัยจะเหนี่ยวไก เมินเตะปืนในมือชิงชัย
“อย่าเพิ่งให้ไอ้ทวนตายเลย ผมยังไม่รู้เลยว่ามันเป็นใคร”
“ไอ้เมิน...”
ทวนกระชากคอเสื้อของเมิน พุ่งตัวออกจากรถลงไปนอนหมอบกับพื้น ชิงชัยหยิบปืนออกมาจากรถยนต์ ชิงชัยและหลิมถล่มยิงทวนและเมินทั้งสองวิ่งหายเข้าป่าละเมาะข้างทาง โดยมีชิงชัยและหลิมไล่ยิง

บุญช่วยนอนอยู่ในมุ้ง สไบนำจานข้าวเข้ามากระแทกวางด้วยท่าทีเย็นชา
“นังแหว่ง”
“คะ คุณสไบของบ่าวขา”
“เอาข้าวกับเกลือนี่ยัดใส่ปากไอ้แก่”
“ไอ้แบบที่เรียกว่ารับประทานหรือคะคุณสไบของบ่าวขา”
“จะเรียกว่าอะไรก็ตามใจแก นี่ถือว่าดีที่สุดที่ฉันจะให้ได้ ตอนนี้ไม่มีทั้งปืน ไม่มีทั้งบารมี จะต้องการการบริการอะไรเป็นพิเศษอีกล่ะ”
แหว่งทำท่ารังเกียจ
“ยี้ แหว่งอีกแล้ว ไหนจะป้อนข้าว ไหนจะเช็ด...เอ้อ...ของเหม็นๆ นี่อุตส่าห์กางมุ้งให้แล้วนะ ไม่ยังงั้นทั้งมดทั้งยุงตอมกันหึ่ง หาจ้างคนมาดูแลเถอะค่ะคุณสไบของบ่าวขา แหว่งไม่ไหวแล้ว”
สไบหงุดหงิด
“มีคนรับจ้างเสียที่ไหนล่ะ พอรู้ว่าจ้างมาดูแลคนเป็นอัมพฤกษ์ยังพอมีคนสนใจ แต่พอรู้ว่าเป็นเศรษฐีบุญช่วย มีแต่คนถ่มน้ำลาย”
แหว่งเปิดมุ้งด้วยท่าทีกระฟัดกระเฟียด บุญช่วยนอนนิ่งๆ ดวงตาฉายแววโกรธ
“เอ้า...อ้าปาก อย่ามาทำเล่นตัวนะ ตอนนี้ไม่มีใครอยู่หรอก เดี๋ยวคุณชิงชัยกลับมาจะบอกให้คุณชิงชัยส่งไปอยู่สถานพยาบาล”
สไบยิ้มเยาะ ดงตาของบุญช่วยค่อยๆ รื้นน้ำตาด้วยความคับแค้นใจ

ทวนและเมินวิ่งหนีลูกปืนของชิงชัยและหลิม ซึ่งกำลังไล่ยิงมาติดๆ ทั้งสองวิ่งขึ้นสะพาน ต่างลังเล เมินมองลงไปที่พื้นน้ำเบื้องล่างก็หน้าเสีย
“เฮ้ย สูงนะโว้ย...”
“หรือแกหนีลูกปืนทัน”
เมินกับทวนมองสบสายตากัน ก่อนจับมือกันกระโดดลงมาจากสะพาน ลงสู่ลำคลอง ชิงชัยและหลิมตามมาถึงสะพาน ยิงตามลงไป แต่ไม่โดนใคร ทั้งคู่ว่ายน้ำเข้าฝั่ง คลานขึ้นมานอนคว่ำหน้าด้วยความเหน็ดเหนื่อย
“ช่วยดูหน่อยซีวะ ไอ้เมิน ฉันยังหายใจอยู่หรือเปล่า”
“เลิกหายใจไปแล้วละมั้ง”
“งั้นฉันก็ตายไปแล้วซีวะ”
“ใช่มั้ง ถ้าแกโดนยิงกบาลแกคงพูดได้หรอก ทำไมแกต้องเสี่ยงตายยังงั้น” เมินประชดอย่างเหนื่อยอ่อน
ทวนชะงักไป
“ฉัน...”
เมินยิ้มรู้ทัน
“แน้ๆๆๆ ยังรักศรีไพรอยู่ใช่มั้ยล่ะ ก็ไหนแกจะแต่งงานกับลูกสาวเศรษฐีบุญช่วย”
“ส่วนแก ก็จะเป็นว่าที่สามีหนุ่มของคุณสไบของบ่าวขา”
ทันใดนั้น...จ่าสินก้าวเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าทวนและเมิน ซึ่งยังนอนคว่ำหน้าหายใจหอบเพราะความเหน็ดเหนื่อย ทั้งสองค่อยๆ เงยหน้าขึ้น เห็นร่างของจ่าสิน ชุ่มโชกไปด้วยเลือด ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า กำลังยกปืนขึ้นเล็ง ก่อนล้มลงทับร่างของทวนและเมิน สิ้นใจทั้งที่นัยน์ตาเบิกโพลง ทวนและเมินอุทานขึ้นพร้อมๆ กัน
“จ่าสิน...!”

สดร้องไห้โฮ ศรีแพรและแสนกอดสดไว้แน่น มหาเฉื่อยและคนอื่นๆ ต่างกระวนกระวายใจเพราะหาศรีไพรไม่พบ
“ไม่เจอหรือ หรือว่า...ศรีไพรมันจะถูกฆ่าแล้วหมกไว้ที่ไหนสักแห่ง ไม่เจอไอ้ศรีไพร ศพก็ไม่เจอหรือ” สดคร่ำครวญ
ศรีแพรน้ำตาคลอ
“แม่ น้องอาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็ได้”
“หากันจนทั่วบ้านนาแล้วไม่เจอ จะให้แม่คิดยังไง”
มหาเฉื่อยถอนใจ
“หากันจนทั่ว แยกย้ายกันหาสามสี่พวก ถามคนทั้งบ้านนาไม่มีใครเห็นเลย”
“หรือว่าเราจะหากันอีกรอบ เกณฑ์คนทั้งหมู่บ้านเลย” ทอกแนะ
หมอกเห็นด้วย
“ไป...”
สดร้องไห้น้ำตาไหลพราก
“ศรีไพร...ศรีไพรลูกแม่...แม่เสียพ่อแกไปคนนึงแล้ว แม่ยังต้องเสียลูกไปอีกคนหรือ แม่บอกแล้ว...ว่าแม่เสียสละมากมายยังงั้นไม่ได้ แม่เตือนแล้วไม่เชื่อ ทำเพื่อคนอื่น ตัวเองต้องมาตายเพราะไอ้คนพวกนั้น”
ศรีแพรสงสารแม่จับใจ
“แม่...”
“ให้มันมาฆ่าแม่อีกคน มาซี...แม่อยากตายตามไอ้ศรีไพร ไม่มีลูก...แม่...แม่อยู่ไม่ได้...โฮ” สดร้องไห้ฟูมฟาย
หมอกหน้าเศร้า
“ไปหากันอีกรอบเถอะ ลุงมหาเฉื่อย”
เจ๊กตงถอนหายใจอย่างเครียดๆ
“ไป...ไม่เจอคนเป็นๆ เจอศพยังดีวะ ไป”
ทันใดนั้น ศรีไพรประคองชาริณีเข้ามา ชาริณียังคงสะอื้นไห้ แสนหันไปเห็นก็ดีใจ
“แม่ นั่นพี่ศรีไพรนี่”
สดหน้าตื่น
“ไอ้ศรีไพร”
ศรีแพรรีบพุ่งเข้าไปหา
“ศรีไพร แกหายไปไหนมา รู้มั้ยว่าพวกเราตามหาแกทั้งคืน”
“ลื้อไปไหนมา แล้วนี่ก็...” เจ๊กตงมองชาริณีอย่างรังเกียจ “ลูกสาวเศรษฐีบุญช่วย”
“ช่วยชาริณีก่อนเถอะพี่ศรีแพร ชาริณีกำลังแย่”
ชาริณีล้มฟุบลงกองกับพื้นไปทันที

แหว่งกระฟัดกระเฟียด เดินตามสไบลงมาจากเรือน
“ฮึ ไม่กินก็ไม่ยัดเยียด ถือว่าทำหน้าที่สาวใช้สมบูรณ์ครบถ้วน ตาแก่นั่นไม่ยอมอ้าปากเลยค่ะ เอาแต่กัดฟันกรอดๆ”
สไบยิ้มพึงใจ
“ยังงั้นหรือ งั้นก็ช่วยไม่ได้”
“ไม่กินข้าวตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล” แหว่งกระซิบถามด้วยท่าทีหวั่นๆ “แล้วจะตายมั้ยคะ”
“คงทำใจไม่ได้ เห็นทรัพย์สินสมบัติที่ขูดเลือดขูดเนื้อชาวนามาได้กำลังจะเปลี่ยนมือไปเป็นของคนอื่นเลยเสียดาย”
“อย่าลืมนะคะคุณสไบของบ่าวขา ไม่มีชาริณีก็ยังมีคุณชิงชัยอีกคน”
“ชิงชัยน่ะเมื่อไหร่ก็ได้ เราต้องรอเงินก้อนใหญ่ที่จะได้มาจากการค้าอาวุธเถื่อนกับไม้พะยูง จากนั้น...”
“คุณสไบจะเอายังไงคะ”
“ฉันจะจัดการชิงชัย เหมือนที่มันเคยทำกับฉันเหมือนสัตว์เลี้ยง”
นัยน์ตาของสไบวาวโรจน์ไปด้วยความแค้น พยาบาท จณะเดียวกัน ชิงชัยขับรถยนต์เข้ามาพร้อมหลิม ท่าทีโกรธแค้น แหว่งหันไปมองเหยียด
“พูดถึงก็มาพอดีเลยค่ะคุณสไบของบ่าวขา”
“จ่าสินโทร.มาหรือยัง” ชิงชัยถามเสียงเข้ม
“เปล่า”
ชิงชัยเจ็บแค้นใจ
“ไอ้ทวนกับไอ้เมินมันออกลาย เราต้องเตรียมคนเตรียมปืนให้พร้อม ไอ้หลิมไปเกณฑ์คนของเราทั้งหมด ตามล่าไอ้สองตัวนั่น”
หลิมร้อนใจ
“ตั้งรับไม่ดีหรือครับ ถ้ามันเป็นมือปราบ เราจะได้สู้ตาย”
สไบแผดเสียงอย่างตื่นตระหนก
“นี่ ไปรับมือกันที่อื่น ที่นี่บ้านนะ ฉันกลัวลูกหลง”
“นังสไบ...นังขี้ข้า...”
ชิงชัยปราดเข้ามาตบหน้า สไบตบชิงชัยกลับอย่างแรง ชิงชัยอึ้ง
“นังสไบ...”
สไบกระชากปืนออกมาจ่อที่ลำคอของชิงชัย
“ไม่ใช่ขี้ข้าของใครอีกต่อไปแล้ว ถ้าตำรวจจะมาเล่นงานพวกแก ก็เชิญแกรับมือตำรวจไปเถอะแต่ฉันไม่ ฉันจะไปจากที่นี่”
“แก...”
“ฉันไม่ยอมตายหรือติดคุก เพราะพวกแกหรอก ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับพ่อแกหรือแกแล้ว ไป นังแหว่ง”
“แหว่งเก็บข้าวของไว้พร้อมแล้วค่ะ”
สไบเล็งปืนขู่
“อย่าตามมานะ ระยะแค่นี้ไม่ต้องแม่นหรอก ตายแน่”
สไบและแหว่งถอยก้าว ชิงชัยจ้องมองด้วยความแค้น หลิมถลันจะตาม ชิงชัยยกมือห้าม
“ปล่อยนังสไบไป จัดการไอ้ทวนไอ้เมินแล้ว ฉันจะตามไปคิดบัญชีกับมันทีหลัง!” ชิงชัยบอกแค้นๆ

ชาริณีนอนอยู่บนที่นอน โดยมีศรีไพร สดและแสนนั่งเฝ้าอยู่ใกล้ๆ ศรีแพรยืนกอดอกพิงต้นเสา ท่าทีมึนตึง เย็นชา
“ถึงชาริณีจะช่วยแกไว้จากจ่าสิน แต่ก็ไม่เท่ากับที่เราเคยเสียพ่อหรอก ส่งตัวชาริณีกลับไปบ้านเศรษฐีบุญช่วย ตอนนี้เศรษฐีบุญช่วยนอนให้ยุงตอมอยู่ที่เรือนหลังใหญ่ มีเงินมีทองหนุนหัว”
“พี่ศรีแพร ฉันขอร้องละ”
“แกจะเดือดร้อนถ้าเก็บชาริณีไว้ที่นี่ ยังไงชาริณีก็ไม่ใช่พวกเรา”
สดถอนใจ
“เลิกคิดเรื่องเราเรื่องเขาเสียทีเถอะลูก ถ้าไม่ได้ชาริณีช่วยไว้ ป่านนี้ศรีไพรมันกลายเป็นผีเฝ้าป่าไปแล้ว”
ชาริณีค่อยๆ ลืมตาขึ้น แสนตะโกนบอก
“แม่ ฟื้นแล้ว”
สดเข้าไปหาอย่างเป็นห่วง
“เป็นยังไงบ้าง หนู รู้สึกตัวแล้วเหรอ”
ศรีแพรสะบัดหน้าออกไป
“ศรีไพร...” ชาริณีเรียกเสียงเบา
ศรีไพรยิ้มให้
“คุณปลอดภัยแล้ว แม่...ดูแลชาริณีด้วยนะ ฉันจะออกไปหาพี่ศรีแพร”
สดไม่สบายใจ
“ห้ามออกจากบ้านนะ แม่สังหรณ์ใจว่าคืนนี้...มันจะ...ไม่ค่อยดี”
“จ้ะ แม่”
ศรีไพรเดินออกไป ชาริณีมองตามไปด้วยความกังวล

ทวนและเมินย่องเข้ามาหลบอยู่หลังเสาเรือน มองไปยังศรีแพร ศรีไพรเดินตามศรีแพรลงมาจากเรือน ท่าทีศรีแพรมึนตึง
“พี่ศรีแพรจะให้ทำยังไง ปล่อยให้ชาริณีกลับไปตายที่บ้านเศรษฐีบุญช่วย ฉันทำไม่ได้หรอก ชาริณีน่ะ...ถูกคนชั่วมันกระทำเหมือนไม่ใช่คน พี่ศรีแพรจะไม่สงสารสัตว์ผู้ยากอย่างชาริณีเลยหรือ”
“พี่สงสารพ่อ ตอนที่พ่อถูกยิงตาย”
“พ่อตายแล้ว พ่อคงไม่อยากให้เรามัวแต่คิดแค้น จนชีวิตไม่เดินหน้าไปไหน ไม่มีจ่าสิน ฉันจะร้อง...ขอรื้อคดีพ่อขึ้นมาใหม่ เราต้องได้รับความยุติธรรม”
“เมื่อไหร่ล่ะ กว่าจะลากตัวคนผิดเข้าคุก มันก็ทำให้คนดีๆ ตายไปอีกเท่าไหร่”
“แล้วพี่ศรีแพรอยากให้คนตายอีกเท่าไหร่ล่ะ พี่ถึงจะหายแค้นเรื่องพ่อถูกฆ่า”
“ฉันไม่อยากฟัง!”
ศรีแพรสะบัดหน้า ถือปืนออกไป
“พี่ต้องฟัง...!”
ศรีไพรส่งเสียงตะโกนตามไปด้วยความโกรธ เมินและทวนขยับตัวจะเข้าไปหา ทันใดนั้น เสียงโทร.ศัพท์ของทั้งสองดังขึ้นพร้อมๆ กัน ทวนและเมินมองหน้ากัน ก้มลงมองโทรศัพท์
ก่อนเงยหน้าขึ้นสบสายตากันอีกครั้งหนึ่งต่างรับโทรศัพท์

บุญช่วยซึ่งนอนนิ่งเพราะอาการอัมพฤกษ์ สไบและแหว่งเก็บข้าวของมีค่าใส่กระเป๋าต่อหน้าบุญช่วย ทั้งเงินสด ทองคำ และของมีค่าอื่นๆ
“เก็บไปให้หมด เร็วๆ นังแหว่ง เราจะออกทางประตูหลัง”
“แล้ว...แล้ว...แล้ว...”
“มัวแต่ชักช้าอยู่นั่นแหละ แกได้ยินไอ้ชิงชัยมันพูดมั้ย มันกำลังจะเจอกับตำรวจ”
“แหว่งรีบจนมือไม้สั่นแล้วค่ะคุณสไบของบ่าวขา แต่เงินทองมันมากมายจนขนไม่ไหว”
“เร็ว ลงทางบันไดหลัง”
ปึกธนบัตรกระเด็นไปหล่นตรงหน้าบุญช่วย สไบและแหว่งวิ่งออกไป บุญช่วยจ้องมองเงิน พยายามจะเคลื่อนไหวร่างกายเพื่อหยิบเงินแต่ทำไม่ได้ แววตาของบุญช่วยตื่นตระหนก
ขณะเดียวกัน ทางด้านหน้าพ.ต.อ รฤก ทวนและเมิน นำกำลังเจ้าหน้าที่เข้ามาจับชิงชัย
“เฮ้ย สู้ตายโว้ย” ชิงชัยร้องตะโกนสั่งสมุน
ชิงชัย หลิมและสมุน ต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ชิงชัยพลาดท่าถูกยิง
“โอ้ย...”
“คุณชิงชัย...”
หลิมประคองชิงชัยหลบหนีไป สมุนและตำรวจยังยิงต่อสู้กัน ขณะเดียวกันนั้น น้ำตาของบุญช่วยค่อยๆไหลลงมา เพราะรับรู้ได้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกอย่าง

หลิมประคองชิงชัยที่บาดเจ็บหลบหนีตำรวจ
“คุณชิงชัย เป็นยังไงบ้าง”
“พ่อฉันล่ะ” ชิงชัยถามอย่างเป็นห่วง
“ทิ้งไว้ที่นั่นแหละ นังสไบกับนังแหว่งมันหนีไปแล้ว ตัวใครตัวมันเถอะครับเราต้องหนี”
ชิงชัยเจ็บแค้นใจ
“ไอ้ทวน ไอ้เมิน มันเป็นใครกันแน่”
“หนีเร็วครับ”
หลิมประคองชิงชัย พยายามหนีการจับกุมแต่แล้วก็ชะงักก้าว เมื่อเห็นศรีแพรยืนขวางพร้อมปืนที่เล็งจ้อง ชิงชัยหน้าตื่นตกใจ
“ศรี...ศรีแพร”
“มึงฆ่าพ่อกู...!”
“นังศรีแพร...”
หลิมขยับปืน ศรีแพรยิงหลิมหงายหลัง สิ้นใจทันที ชิงชัยตาเหลือกไปด้วยความตื่นตระหนก เริ่มมีอาการกลัวจนลนลาน
“ศรี...ศรีแพร ฉันไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าพ่อเธอเลยนะ ฉันสาบานได้ว่าตอนนั้น...ปะ...ปะปืนมันพาไป มัน...มันเปรี้ยงเดียว...ฉัน...ฉันไม่ผิดนะ”
ศรีแพรมองชิงชัยด้วยสายตาเย็นชา
“มึงฆ่าพ่อกู...!”
“ฟัง...ฟังนะ”
ชิงชัยกระเสือกกระสน ลากขาถอยก้าวหนี ปั้นหน้าประจบทั้งที่กลัวตาย
“ฉัน...ฉันมีเงินเยอะ มีทองเป็นแท่งๆ เธอจะเรียกร้องค่าเสียหายเท่าไหร่ก็ได้ ฉันยินดีชดใช้ให้ จริงๆ นะ เธอจะเรียกร้องค่าชีวิตของพ่อเป็นเงิน หรือเป็นทอง...ทอง...ทองแท่ง เคยเห็นทองแท่งมั้ย ไหนๆ พ่อเธอก็ตายไปแล้ว ฆ่าฉัน...ตาพรก็ไม่ฟื้นขึ้นมาหรอกน่า เอาทองไปเป็นค่าชีวิตของพ่อเธอดีกว่า ศรี...”
ศรีแพรยิงเข้าที่แสกหน้าชิงชัยหงายหลัง นัยน์ตาเหลือกค้าง ศรีไพรวิ่งเข้ามาเขย่าตัวศรีแพร
“พี่ศรีแพร...พี่ศรีแพร...”
ศรีแพรหน้าซีดเผือด ปากยังพึมพำ
“มึง...ฆ่า...พ่อ...กู!”

รฤก และเจ้าหน้าที่จับกุมสมุนของชิงชัยที่รอดตาย รฤกก้าวผ่านศพของสมุนที่นอนตายอยู่ที่พื้นดิน ไป ยื่นมือให้ทวนและเมินจับ
“เรียบร้อยดีนะ ผู้กองทวน หมวดประเมิน ผมมาจากหน่วยสอบสวนกลาง เราตามคดียาเสพติดจนรู้ว่ามีแหล่งผลิตที่นี่”
ทวนทำความเคารพ
“ร้อยตำรวจเอกประทวน จากหน่วยตำรวจสากลครับผม ผมมาสืบจับอาวุธสงครามที่ออกทางชายแดน อาวุธพวกนี้เศรษฐีบุญช่วยส่งต่อให้ผู้ก่อการร้ายข้ามชาติ”
เมินทำความเคารพบ้าง
“ผม...จากกรมป่าไม้ครับ ผมตามสืบเรื่องไม้พะยูง ที่ส่งออกทางแม่น้ำ ไม้พะยูงพวกนี้มีราคาสูง กำลังจะหมดไปจากป่า เป็นไม้หายาก ไม้ทั้งหมดที่จับได้ทั้งหมดนี่ผมจะอายัดไว้เป็นของกลางครับผู้การ”
ทวนหันมามองหน้าเมิน
“แก...แกเป็นตำรวจป่าไม้หรือ”
เมินยิ้มๆ
“แกก็ไม่เคยบอกฉันว่าแกเป็นตำรวจสากล”
รฤกยิ้มแย้มให้ทั้งสอง
“เป็นเพราะเราไม่ได้ประสานงานกัน แต่ผมก็พอรู้มาจากหน่วยข่าวกรองว่าคุณเป็นใคร ไม่ใช่นายทวน หรือนายเมินคนขี้คุกอย่างที่ใครๆเข้าใจ”
ทวนยิ้มพอใจ
“ผู้การครับ ขอบคุณที่ช่วยกวาดสิ่งสกปรกออกจากบ้านนา ต่อไปนี้...บ้านนาของเราจะสะอาดปราศจากขยะ”
“และป่าของเราก็จะมีไม้พะยูง เอาไว้ให้ลูกหลานทำความรู้จัก ผม...ดีใจครับ”
รฤกยิ้มให้ทั้งสอง
“เช่นกัน...”
ทวนและเมินยื่นมือออกไปจับมือกับรฤกพร้อมๆ กันต่างชะงัก มองหน้ากันอย่างเอาเชิง รฤกยิ้ม จับมือกันทั้งสามคน เขย่าเบาๆ

ศรีไพรประคองศรีแพรเข้ามาในบริเวณบ้าน ต่างกอดกันและกันไว้แน่น สดวิ่งลงมาจากเรือน ดึงตัวศรีแพรเข้าไปกอดไว้
“ศรีแพร ลูกแม่”
“แม่ ฉันแก้แค้นแทนพ่อได้แล้ว ฉันเคยสาบานไว้ว่าฉันจะแก้แค้นแทนพ่อ”
“ขวัญมานะลูกนะ ขวัญเอ๋ย...ขวัญจงกลับมาเป็นของลูกแม่ สิ้นเคืองสิ้นแค้นกันแล้ว ไม่มีอะไรอีกแล้ว” ศรีแพรน้ำตาคลอ
“แม่...”
“ตอนนี้ตำรวจเข้าไปบุกบ้านเศรษฐีบุญช่วย จ่าสินกับไอ้ชิงชัยตาย สมุนที่เหลือรอดถูกจับ บนเรือนไม่มีใครนอกจากเศรษฐีบุญช่วย” ศรีไพรดึงมือออกมาจากศรีแพร แววตาหวั่นไหว “ฉันจะบอกกับชาริณียังไง ตำรวจเขาจะส่งตัวเศรษฐีบุญช่วยไปอยู่โรงพยาบาล จนกว่า...”
สดแปลกใจ
“จนกว่าอะไร”
“จกว่าอาการจะดีขึ้น แล้วค่อยว่ากันตามกฎหมาย”
ศรีแพรถอนใจ
“ในที่สุดคนทำผิดก็ถูกจับ ฟ้ายังปราณีกับชาวนาเรานะ แม่”
สดรู้สึกกังวลใจ
“แล้วจะบอกกับชาริณียังไง”
ศรีไพรหวั่นไหว ลังเล
“เอ้อ...”
แสนวิ่งตึงตังลงมาจากบ้าน หน้าตื่นตระหนก
“แม่ พี่ศรีไพร ลูกสาวเศรษฐีบุญช่วยหนีไปแล้ว”
“ชาริณีน่ะหรือ...หนี” ศรีไพรตกใจ

ชาริณีน้ำตานองหน้าวิ่งผ่านป่าละเมาะ เพื่อมุ่งตรงไปยังบ้าน เมื่อไปถึงบริเวณบ้าน เธอกวาดสายตามองไปรอบๆ บ้านที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยผู้คน เงิน และความยิ่งใหญ่
“พ่อ...”
ชาริณีวิ่งขึ้นบ้าน สภาพบ้านถูกรื้อค้นกระจาย มีแต่ที่นอน มุ้งที่ยังกางทิ้งไว้ ที่ที่บุญช่วยเคยนอนป่วยเป็นอัมพฤกษ์
“พ่อ...”
ชาริณีค่อยๆ คุกเข่าลง หยิบชายมุ้งขึ้นมาจ้องมองพร้อมสะอื้นไห้
“หนูขอโทษ หนูจะเลิกมันให้ได้ หนูจะเริ่มต้นขีวิตใหม่ ถึงพ่อจะเป็นยังไงพ่อก็อยากให้หนูดี หนูจะเป็นคนดีให้ได้ ถึงแม้ว่า...ชีวิตของหนู...จะไม่มีใครเลย”
ทวนก้าวเข้ามาเงียบๆ
“ไม่จริง คุณยังมีผมกับคนบ้านนาทั้งตำบล ที่หวังดีกับคุณ”
“คุณทวน...”
ชาริณีโผเข้ากอดทวน ร่ำไห้กับทรวงอกของเขา ทวนค่อยๆ ยกมือขึ้นโอบกอดชาริณีด้วยความรู้สึกสงสาร ศรีไพรเเข้ามาเงียบๆ
“คุณทวน...” ชาริณีเรียกเขาเบาๆ
“เราส่งเศรษฐีบุญช่วยไปโรงพยาบาล เพราะสภาพที่เราพบ พ่อคุณไม่ได้รับการดูแลที่ดี เริ่มมีบาดแผลกดทับ ไม่ต้องห่วง เราจะดูแลพ่อคุณอย่างดีที่สุดในฐานะ...มนุษย์”
ชาริณีอึ้งไป
“คุณทวน...”
ศรีไพรพยายามตัดใจจากทวน ค่อยๆ ถอยก้าวลงบันไดไปอย่างเงียบๆ ทวนโอบกอดชาริณีไว้อย่างปลอบโยน

เจ๊กตง มหาเฉื่อยและกล่ำ นั่งจ้องมองกระดานหมากรุกไม่มีใครขยับตัวเคลื่อนหมาก ทอกและหมอกวิ่งส่งเสียงเอะอะด้วยความดีใจ ทั้งสามสะดุ้งสุดตัว
“ท่านมหา เจ๊กตง มีข่าวดีหลังน้ำลด...” ทอกตะโกนลั่น
เจ๊กตงมองอย่างสงสัย
“ข่าวดีไรวะ เมื่อคืนคนบ้านนานอนฟังเสียงปืน เสียงปืนเดี๋ยวนี้มันเหมือนเสียงประทัดเข้าไปทุกที ฟังบ่อยๆ ชินว่ะ”
หมอกตื่นเต้นมาก
“นี่เป็นข่าวดีหลังน้ำลดนะ”
มหาเฉื่อยยิ้มๆ
“ธกส. ผู้เป็นมหามิตรของชาวนา มีโครงการจะให้ชาวนากู้เงินไปฟื้นฟูท้องนาหลังน้ำท่วมน่ะข้ารู้แล้ว”
“ส่วนเรื่องที่เกษตรเอาข้าวพันธุ์ดี ไอ้ที่ปลูกแล้วโตได้โตดีในน้ำท่วมสูงได้น่ะ ก็รู้แล้วอีกเหมือนกัน” กล่ำบอก
ทอกกับหมอกนั่งลง
“ไม่ใช่ทั้งเรื่องข้าวปลูก เรื่องเงินกู้ แต่เป็นเรื่อง...”
ทอกพูดยังไม่ทันจบหมอกต่อทันที
“เรื่องที่เกินความคาดหมายของคนบ้านนา เรื่องที่คนบ้านนาจะหายสงสัยซะทีว่า...พี่...พี่ทวนที่นับถือของฉัน...”
หมอกพูดได้แค่นั้น ทอกก็แทรกขึ้น
“กับพี่เมินที่เคารพคบย๊าก...ยากของฉัน...”
หมอกกวาดตามองทุกคน
“หายไปไหนมา...”
ทอกนับนิ้ว
“สิบกว่าปี...”
“ไม่มีวี่แวว ไม่ปรากฏข่าว แล้วก็ไม่มีแม้แต่เงา”
มหาเฉื่อยหาวเซ็งๆ
“โอย กูละเบื่อ” มหาเฉื่อยลุกขึ้นยืน ท่าทีหน่ายกับทอกและหมอก “พุทธบริษัทจำกัด มหาชน กลับไปนอนกันเถอะวะ”
กล่ำลุกขึ้นอีกคน
“ไป...ฉันกำลังคิดถึงนังช้อยมันพอดี”
ทอกยกมือห้าม
“เดี๋ยวก่อน ยังไปไม่ได้ เดี๋ยวก็มีลูกออกมาอีกครอกนึงหรอก”
เจ๊กตงชักหงุดหงิด
“งั้นก็พูดมาเร็วๆ ว่าเรื่องอะไร ไม่ยังงั้นข้า...เจ๊กตงจะเดินหมาก...รุกฆาต...ท่านมหาเฉื่อย...เดี๋ยวนี้”
มหาเฉื่อยหันไปหยิบตัวหมากรุกโขกลงบนกระดาน
“นี่แน่ะ รุกฆาต เขกขุนซะเลย”
ทั้งหมดหันไปสนใจหมากรุกกันอีกครั้ง ไม่มีใครสนใจเรื่องเล่าของทอกกับหมอก “พี่เมินเขาเป็นตำรวจป่าไม้” ทอกโพล่งขึ้น
“ส่วนพี่ทวนของฉันเขาเป็นตำรวจสากล”
กล่ำ มหาเฉื่อย และเจี๊กตงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นจ้องมองทอกและหมอก นัยน์ตาค่อยๆ เบิกโพลงขึ้น
“จริงง่ะ!”
กล่ำ มหาเฉื่อย เจ๊กตงนิ่งไปนาน ก่อนที่จะปล่อยหัวเราะก๊ากด้วยความขบขัน ไม่เชื่อ
“ก๊ากกกกกก”
ทอกกับหมอกหันมาสบสายตากันหน้ากระอักกระอ่วน

ค่ำคืนนั้น ศรีไพรเดินเข้ามายืนพิงคอกควาย ลูบคลำไปมาด้วยความเศร้าหมอง
“ไฉไลเฉิด...นี่ถ้าเอ็งยังอยู่ พี่คงจะสุมไฟไล่ยุงให้เอ็ง อยู่ดูเอ็งบิดขี้เกียจจนกว่าจะง่วงแล้วไปนอน เราคงต้องตื่นแต่เช้า แก้เชือกที่ล่ามแล้วพาเอ็งออกไปท้องนา เริ่มกิจกรรมไถพลิก...ไถฟื้นแล้วก็ไถกลบ” ศรีไพรยิ้ม มีความสุขแทรกขึ้นมาในความเศร้าหมอง “พอสายหน่อยอากาศร้อน พี่ก็ล่ามเอ็งไว้ใต้ต้นไม้ เกี่ยวหญ้าให้กิน บ่ายๆพาเอ็งไปลงหนอง ที่นั่นน่ะ...ปลิงเยอะ...มันเกาะตามหลังของเอ็งเต็มไปหมด ปลิงตัวใหญ่ที่เขาเรียกว่าปลิงควายน่ะ” ศรีไพรยิ้มมากขึ้น มีความสุขขึ้น “เราไถนาเสร็จตอนตะวันตกดิน จากนั้นก็กลับบ้าน เอาเอ็งเข้าคอก”

ทวนเข้ามายืนฟังเงียบๆ ศรีไพรยังคงพูดต่อโดยไม่รู้ว่าทวนแอบฟังอยู่
“ค่ำๆ ก็สุมไฟไล่ยุงจนควันฟุ้งตลบไปหมด รู้มั้ย...กลิ่นอะไรที่พี่จำได้”
“กลิ่นโคลนกับสาบควายไงล่ะศรีไพร” เสียงทวนดังขึ้น
ศรีไพรหันขวับไปมองอย่างแปลกใจ
“นาย...เอ้อ...คุณ...”
“คิดถึงไฉไลเฉิดหรือ”
ศรีไพรอึ้งๆ
“เอ้อ...”
“อย่าไปคิดถึงไฉไลเฉิดเลย ป่านนี้เจ้าควายแสนรู้ของศรีไพรคงไปเกิดเป็นคนแล้วนะ ไฉไลเฉิดคงไปเกิดเป็นลูกคนรวยๆ คนดีๆ แล้วใช้ชีวิตมนุษย์อย่างมีความสุข”
ศรีไพรหมางเมิน เพราะคิดว่าทวนรักชาริณี
“มั้ง...!”
“แต่พี่ล่ะ ศรีไพรอยากรู้มั้ยว่าพี่เป็นยังไง ตกอยู่ในนรกเป็นๆ ทั้งที่ยังไม่ตายเพราะศรีไพรเกลียดพี่”
“ดึกแล้วฉันจะขึ้นบ้านละ” ศรีไพรตัดบท
“ศรีไพร”
“ฉันง่วง...”
ศรีไพรเดินขึ้นบ้าน ท่าทีกิริยาของศรีไพรไม่เป็นมิตร ไม่เป็นศัตรู ทวนมองตามไปด้วยความแปลกใจ

สไบย่องตามหลังแหว่ง กลับมาเพื่อขนทองที่ซ่อนไว้จากการยักยอก น้ำเสียงของสไบเข้มดุ รู้ทันแหว่งจะหักหลัง
“แกแน่ใจนะนังแหว่ง ว่าแกซ่อนทองแท่งไว้ที่นี่”
แหว่งท่าทีแหว่งหวั่นๆ
“แน่ใจค่ะ พอคุณสไบของบ่าวขา ส่งลงมาจากจากช่องกระดาน บ่าวขาของคุณสไบก็ซ่อนไว้...ปั๊บ!”
“งั้นก็เอาขึ้นมา ฉันจะได้รีบหนี ไอ้ชิงชัยกับจ่าสินตายแล้ว ตำรวจเขาเอาตัวตาแก่ไปแล้ว ฉันอยู่ไม่ได้หรอก แต่ฉันต้องย้อนมาเอาทองแท่งไปด้วย”
“เอ ตรงนี้แหละค่ะ” แหว่งแววตาเจ้าเล่ห์ ทำซื่อ ทำเซ่อ “ว้าย ไม่มีค่ะ สงสัยคุณเมินเขาคงยึดเป็นของกลางไปแล้ว เขาเป็นมือปราบนี่”
สไบหน้าเสีย
“คุณเมิน ฉันไม่น่าเสียรู้เขาเลย”
“เสียดาย...”
สไบมองหน้าแหว่ง
“เสียดายอะไรนังแหว่ง”
“แค่เสียรู้ แต่ถ้าเสียตัวจะขอบคุณมากค่ะ”
สไบโมโห
“นังแหว่ง...นังสาระแน เพราะแกเชียวฉันถึงได้เหนื่อยเปล่า ฉันอุตส่าห์ยักยอกทองนั่นจากไอ้แก่ แต่...แต่แกกลับทำหาย แกนี่มันใช้ไม่ได้เลยนะ”
แหว่งรีบตามน้ำ
“อ้า ใช้ได้ค่ะ ตะ...แต่ว่า...หะ...หาย ทองหายไปทั้งแท่งเลยค่ะ คุณสไบของบ่าวขา”

ท่าทีสไบเคืองแค้น ตวัดสายตามองแหว่งด้วยความสงสัย

อ่านต่อ หน้า 2









เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 31 อวสาน (ต่อ)

เช้าวันใหม่...เจ๊กตงเปิดร้านด้วยท่าทางง่วงๆ ขมวดคิ้วเพราะเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าเนี้ยวยังไม่กลับจากการตามหาศรีไพรตั้งแต่เมื่อวานนี้
 

“อาม่วยเนี้ยว ดอกท้อของเตี่ย...หา...อาม่วยเนี้ยว อาม่วยเนี้ยว...” เจ๊กตงส่งเสียงเรียก
แต่แล้วก็ชะงัก ครุ่นคิด “ไม่มีเสียงตอบ ปกติหน้าที่เปิดร้านนี่เป็นของอาม่วยเนี้ยวนี่นา ทำไมอียังไม่ลุกขึ้นมาเปิดร้าน หา...” เจ๊กตงตาเหลือก ตื่นตระหนก “ลูกสาวเตี่ยออกไปตามหาไอ้ศรีไพรตั้งแต่เมื่อวาน ป่านนี้ยังไม่กลับ อา...อาดอกท้อของเตี่ย ไป...ไปกับ...ไปกับ...” เจ๊กตงตื่นตระหนก “ไอ้แขก...!”

เนี้ยวนอนกอดกับสุมิตร ต่างหลับอยู่ในอ้อมแขนของกันและกัน เจ๊กตง มหาเฉื่อย ทอกและหมอกออกตามหาเพราะเนี้ยวหายไปทั้งคืน
“อาม่วยเนี้ยว ดอกท้อของเตี่ย ให้ไปตามหาไอ้ศรีไพรลื้อหายไปทั้งคืน หายไปไม่หายเปล่า หายลึกลับไร้ร่องรอย”
“แถมยังไปกับไอ้แขกอีก ไอ้แขกน่ะมันไว้ใจได้เสียที่ไหน มันเป็นนักการขาย อะไรมันก็ขายได้ทั้งนั้น” ทอกบอก
“มันก็คงไม่ถึงกับขายคนหอกโว้ย” มหาเฉื่อยตะโกนเรียก “ม่วยเนี้ยวเอ๊ย...ม่วยเนี้ยว เขาปราบผู้ร้ายกันเรียบร้อยแล้ว เจอตัวไอ้ศรีไพรแล้ว มันหายไปไหนวะ”
เจ๊กตงเป็นห่วงมาก
“ม่วยเนี้ยว”
หมอกหน้าตื่นชี้มือไป
“เจ๊กตง ดูนั่น...”
“หา อาม่วยเนี้ยวของเตี่ย...!”
สุมิตรกับเนี้ยวนอนกอดกันอยู่ใต้ต้นไม้ ต่างสะดุ้งตื่น เจ๊กตงเข้ากระชากเนี้ยวออกจากอ้อมแขนของสุมิตร ด้วยความหวงลูกสาว หมอกตะลึง
“ไอ้...แขก”
ทอกกับหมอก หันมาสบสายตากัน แล้วร้องขึ้นพร้อมกัน
“งานเยอะ!”
มหาเฉื่อยหน้าตื่น
“นังม่วยเนี้ยว ไอ้แขก”
ทอกกับหมอกพูดขึ้นพร้อมกันอีก
“งานยุ่ง!”
เนี้ยวตกใจ
“เตี่ย...”
สุมิตรหน้าตื่น
“อีนี้มนัสเตจ้ะนายจ๋า เอ๊ย...เตี่ย...”
ทอกกับหมอกส่ายหน้าพูดขึ้นพร้อมกัน
“งานแย่!”
เจ๊กตงมอง เนี้ยวกับสุมิตรหน้าตื่น
“อาม่วยเนี้ยว ไอ้แขก...นี่หมายความว่าลื้อ...ลื้อกับไอ้แขกจอมขายนี่ เป็น...เป็น...เป็น...”
เนี้ยวยิ้มแหยๆ หวั่นกลัวเจ๊กตง ขยับเข้ามากอดกับสุมิตรไว้แน่น
“เอ้อ...อ้า...จ้ะ...เตี่ย เนี้ยวเป็นของแขกแล้ว”
เจ๊กตงตกใจร้องลั่น
“ว๊าก ลื้อเสียเนื้อเสียตัวให้ไอ้แขก ไอ้หย๋า รวดเร็วราวสายฟ้าแลบอะไรยังงั้น”
ทุกคนต่างตื่นตระหนก เจ๊กตงโกรธมาก
“เตี่ยให้ลื้อออกตามหาไอ้ศรีไพร แต่ลื้อกับไอ้แขก...”
สุมิตรายิ้มแหย
“อีนี้เหตุการณ์มันพาไปจ้ะนายจ๋า”
เจ๊กตงโมโหชี้หน้าเนี้ยว
“นังลูกไม่รักนวลสงวนตัว มานี่...ทำไมลื้อถึงได้แหวกม่านประเพณียังงี้ แขกกับจีนรักกันม่ายล่าย...ม่ายล่าย”
“ทำไมล่ะเตี่ย ทีตอนอั๊วรักพี่ทวน เตี่ยก็มีปัญหา” เนี้ยวเถียง
“แต่รักกับไอ้แขก อั๊วมีปัญหาทางธุรกิจ”
มหาเฉื่อยเข้าไปปลอบ
“เอาน่ะเจ๊กตง ลื้อก็อย่าเอาแต่โมโหโทโสเลยวะ ไหนๆก็ ไหนๆ”
หมอกถอนใจ
“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว แล้ว...ก็...”
“ก็ปล่อยเลย ตามเลยเถอะ” ทอกพูดนิ่งๆ
เจ๊กตงโกรธจัด กระชากมือลูกสาว
“ม่ายล่าย กลับเดี๋ยวนี้อาม่วยเนี้ยว อั้วจะเอาลูกสาวของอั๊วใส่เครื่องซักผ้า แล้วใส่ทั้งผงซักฟอกกับน้ำยาขจัดแบคทีเรีย ไป...กลับ”
เจ๊กตงดึงเนี้ยวออกไป เนี้ยวพยายามดิ้นรนเพราะรักสุมิตร
“อีนี้ แขกมีเครื่องซักผ้ายี่ห้อดัง อีนี้มีบริการทั้งเงินสดเงินผ่อน...อีนี้ส่งถึงที่มีบริการเสริม...ยึดๆๆ จ้ะนายจ๋า” สุมิตรตะโกนตามไป
มหาเฉื่อย หมอก ทอก หันมาจ้องหน้าสุมิตรด้วยท่าทีเคร่งเครียด สุมิตราสีหน้าสลดลง

สดและแสนเตรียมของจะไปทำบุญที่วัดบ้านนา หลังเหตุการณ์เลวร้ายผ่านไป ศรีแพรและศรีไพรเดินตามลงมา
“ไปกันได้หรือยังล่ะ เดี๋ยวไม่ทันหลวงตาท่านฉันเช้า แม่ไม่ได้ไปทำบุญที่วัดนานแล้วตั้งแต่เกิดเรื่องยุ่งๆ”
ศรีแพรเดินยิ้มแย้มออกมา
“ฉันก็เหมือนกัน ฉันจะได้ทำบุญให้พ่อด้วย”
ศรีไพรหันไปยิ้มพี่สาว
“พี่ศรีแพร ฉันดีใจที่พี่กลับมาเป็นพี่สาวคนเดิมของฉัน”
“ขอบใจนะน้อง ที่น้องพยายามเตือนสติพี่ ตอนนี้แค้นที่อยู่ในใจของพี่มันหมดไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านนาจะกลับมาเริ่มต้นใหม่อีก”
“รวมทั้งเรื่องพี่เมินมั้ย” ศรีไพรถามหยั่งเชิง
ศรีแพรหน้ามึนตึง
“ขอคิดดูก่อน”
แสนถอนใจ
“โธ่ พี่...ตอนนี้คนบ้านนาเขารู้กันแล้วละว่า พี่ทวนพี่เมินเขาหายไปไหนมาตั้งสิบปี เขาไปเป็นมือปราบกลับมาปราบอธรรมในบ้านเราไงล่ะ”
สดหันไปดุแสน
“เจ้าแสน รู้ดีนัก ไม่ใช่เรื่องของเด็ก ไว้ให้ผู้ใหญ่เขาจัดการปัญหาของเขาเองเถอะ ไป...”
เจ๊กตงกระชากลากถูเนี้ยวผ่านหน้าบ้าน เนี้ยวร้องไห้ พยายามฝืนตัว
“ไป กลับไปนี่เตี่ยจะโยงลื้อไว้กับขื่อ แล้วตีๆๆๆ เตี่ยให้ไปตามไอ้ศรีไพรหนอย...ลื้อกลับไปมีผัว มีใครก็ไม่มี มี...ไอ้แขก ศัตรูอันดับหนึ่งของเตี่ย”
ศรีไพรหันไปมองอย่างสงสัย
“เจ๊กตง นั่นจะทำอะไรน่ะ ปล่อยม่วยเนี้ยวเถอะ”
“อั๊วจะรักใครเตี่ยก็มีปัญหาทั้งนั้น เมื่อก่อนนี้อั้วรักพี่ทวนเขาก็มีปัญหา” เนี้ยว โวย
“ตอนนี้เตี่ยอยากให้ลื้อกลับไปรักอาทวน รู้มั้ย...ว่าอาทวนอีเป็นอะไร อีเป็นถึงมือปราบ โธ่ อั๊วไม่น่าตาถั่วเลย”
“เจ๊กตง ปล่อยม่วยเนี้ยวก่อนเถอะ” ศรีแพรขอร้อง
สดเข้าไปห้ามเจ๊กตง
“มันเรื่องอะไรกัน ลื้อถึงได้ตีอาม่วยเนี้ยวยังงี้ ม่วยเนี้ยวโตแล้วนะ”
เจ๊กตงแค้นๆ
“ก็เพราะอีโตแล้วน่ะซี อีถึงได้ทำเรื่องงามหน้า”
“เรื่องอะไร”
“อี...อีม่ายรัก...ลี อี...อี...”
“ทำไม เจ๊กตง” ศรีแพรคาดคั้น
“อีมีผัวแขก...โฮ!”
เจ๊กตงร้องไห้โฮ ศรีแพร ศรีไพร สดและแสนค่อยๆหันหน้าไปจ้องเนี้ยวอย่างตื่นตระหนก เนี้ยวยิ้มแหยๆ พยักหน้ารับ

ชาริณีเข้ามาในบ้านของตนเองที่เงียบสงัด เพราะพ่อถูกนำส่งโรงพยาบาล ชิงชัยผู้ซึ่งเป็นพี่ชายก็จบชีวิตลง ส่วนสไบกับแหว่งพากันยักยอกสมบัติแล้วหนีไป ชาริณีกวาดสายตามองไปรอบๆ บ้านด้วยความรู้สึกสลดสังเวช ขณะเดียวกันนั้นเสียงสไบและแหว่งโต้เถียงกันมาแต่ไกล ชาริณีรีบหลบแอบดู เห็นแหว่งถือเสียม สไบถือห่อผ้าเตรียมมาใส่ทองแท่ง

“แกแน่ใจนะว่าแกฝังไว้ที่นี่ ทองแท่งที่ฉันส่งให้แกทางใต้ถุนเรือนน่ะ มันไปไหนหมด”
“นั่นน่ะซีคะ มันไปไหนหมดก็ไม่รู้ ก็แหว่งฝังไว้ตรงนี้จริงๆ ค่ะคุณสไบของบ่าวขา” แหว่งเสแสร้ง
“ฉันเป็นคนขโมย แกคงไม่ได้ขมายต่อนะ”
แหว่งตาโต
“วุ๊ย พูดอะไรยังงั้นคะคุณสไบของบ่าวขา บ่าวขาคนนี้รับใช้ซื่อสัตย์ เป็นมือเป็นรองเท้าให้คุณสไบของบ่าวขา บ่าวขาทำไม่ลงหรอกค่ะ”
สไบจ้องหน้า
“แล้วทองแท่งมันหายไปไหน แก...จำได้แน่นะว่าฝังไว้ตรงนี้”
“แหว่งฝังไว้ตรงนี้จริงๆ ค่ะ คุณเมินเป็นพยานได้”
สไบชะงักไป
“คุณเมิน”
“เอ๊ะ...” แหว่งอุทานเสแสร้ง ใส่ร้ายเมิน “หรือคุณเมินจะย้อนกลับมาขุดไปครอบครองซะเอง”
“นาย...เมิน!”
สไบคำรามด้วยความแค้นใจ ชาริณีที่แอบอยู่ อุทานเบาๆ ด้วยความแปลกใจ
“คุณเมิน...!”

ภายในวัดบ้านนา พระภิกษุนั่งเรียงราย...เมินชะเง้อมองไปยังศรีแพรและศรีไพร ซึ่งกำลังตักข้าวใส่บาตรพระภิกษุ ทวนสะกิดให้เมินคลานเข้ามาตักบาตรร่วมขันกับศรีแพร แม้ว่าศรีแพรยังคงมึนตึง ทางด้านหลวงตากำลังคุยอยู่กับเจ๊กตง
“คนรักกัน...เชื้อชาติศาสนาไม่ใช่ปัญหาหรอกเจ๊กตง อาม่วยเนี้ยวลูกสาวของลื้อจะแต่งงานกับแขก ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร ไม่เคยได้ยินหรือที่เขาว่ารักแท้น่ะไม่มีชาติศาสนาหรอก รักกันได้ทุกคน เฮ้อ...”
หลวงตาถอนหายใจเบื่อๆ เนี้ยวก้มหน้าร้องไห้กระซิกๆ
“ไม่ใช่กิจของสงฆ์เล้ย...โยม!”
“หลวงพ่อขอรับ เจ๊กตงยอมไม่ได้ ม่วยเนี้ยวทำผิดประเพณี เจ๊กตงจะส่งอี กลับเมืองจีน”
“อั๊วไม่ไปนะ เตี่ย”
ทางด้านเมิน เขาพยายามงอนง้อศรีแพร
“ศรีแพรจ๋า ยังโกรธพี่อยู่อีกหรือ พี่ทิ้งศรีแพรเข้าไปอยู่ในบ้านเศรษฐีบุญช่วยเพราะ...”
ทวนแกล้งกระซิบเสียงสั่นๆ ล้อเลียน
“พี่จำเป็นจริงจริ๊งงงงงงง่ะ”
เมินหันมาดุทวน
“นี่ ไอ้ทวน แกอย่ามายั่วศรีแพรของฉัน คนนี้ฉันรัก หวงเลย”
“เมื่อก่อนไม่เห็นพูดยังงี้เลยง่ะ” ทวนแหย่
“ไอ้ทวน”
หลวงตาขมวดคิ้ว ส่งเสียงดุ
“เอาละ ไอ้สองตัวนั่นเลิกทะเลาะกันซะที ทะเลาะกันมาตั้งแต่เป็นเด็ก กินข้าวก้นบาตรเดียวกันยังไม่เลิกกัดกันอีกแน่ะ”
ศรีไพรชำเลืองมองทวน แววตาเริ่มยิ้มขบขัน
“มันน่านัก...” ทอกล้อเลียน
หมอกร่วมล้อด้วย
“พูดไม่ฟัง สอนไม่จำ”
“เอ็งด้วย ไอ้ทอก ไอ้หมอก” หลวงตาส่งเสียงดุ
ทอกกับหมอกสะดุ้ง
“ชะ...อุ๊ยยย!”
“วันนี้วันบุญ ชาวบ้านนามาตักบาตรทำบุญกันพร้อมหน้า หลวงพ่อท่านจะได้ ถือโอกาสนี้ประกาศว่า...ไอ้ทวนกับไอ้เมิน เด็กวัดบ้านนา ได้กลับมากวาดล้างสิ่งสกปรก กับอิทธิพลเถื่อนให้สิ้นไปจากบ้านนาของเรา” มหาเฉื่อยป่าวประกาศ
“ไช...โย้” ทอกกับหมอกร้องขึ้นพร้อมกัน
ทุกคนปรบมือด้วยความยินดี ศรีแพรชำเลืองมองเมิน แววตาเริ่มอ่อนลง เมินส่งสายตาออดอ้อนงอนง้อแต่ศรีแพรยังทำเมินหน้า
หลวงตามองชาวบ้านไปรอบๆ
“ต่อไปนี้พวกเราจะได้อยู่กันอย่างมีความสุข พ่อแม่ก็ดูแลรักใคร่ลูกให้ดีๆ ลูกก็ทำหน้าที่ต่อพ่อแม่ให้ดีที่สุด รักกันในครอบครัวมันจะได้เป็นรั้วป้องกันภัย น้ำท่วม...มันก็ไม่เคยท่วมน้ำใจของพวกเราคนไทย น้ำท่วมได้มันก็ลดได้ ขอน้ำใจของพวกเราอย่าได้ลดลงตามน้ำเลย...”
กล่ำก้มลงกราบ
“เทศน์ได้ประทับใจเหลือเกินขอรับหลวงพ่อ”
“แล้วอย่าฟังเปล่าๆ แบบเข้าหูซ้ายละลุหูขวาล่ะ นำไปปฏิบัติ อย่างที่ในหลวงท่านทรงพระราชทานแนวคิด อยู่ให้พอ ทำกินให้พอ ชีวิตพอเมื่อไหร่ นั่นแหละ...ความสุข” หลวงตาเตือนสติ
ทุกคนก้มลงกราบหลวงตาพร้อมๆ กัน

สดเดินนำทุกคนลงมาจากศาลาวัด หลังทำบุญตักบาตรแล้ว ขณะที่ทวน เมิน ทอก และหมอก ทำทีเป็นยืนชมวิวอยู่ที่บันไดศาลา
“แม่กลับบ้านก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะเลยไปอำเภอ”ศรีไพรบอกสด
ศรีแพรยิ้มให้น้องสาว
“พี่จะพาแม่กลับบ้านเอง”
ทวนยิ้มแย้มให้ศรีไพร
“อ้า...ต้องการไม้กันสุนัขสักอันมั้ยครับ เรามีบริการไม้กันสุนัข รับรองว่ามีไว้ครอบครองแล้วสุนัขตัวผู้ไม่กล้าเห่า”
สดหันไปหาเมิน
“จะเดินไปส่งแม่กับ...” สดมองไปยังศรีแพร “กับไอ้แสนก็ดีเหมือนกันนะ ถึงเรื่องร้ายๆ มันจะหมดไปจากบ้านนาแล้วแม่ก็ยังไม่ไว้ใจ”
เมินยิ้มดีใจ
“ผมช่วยแม่หิ้วของครับ”
ศรีแพรค้อนเมิน ทวนหันไปหาสด...
“ส่วนผม...”
สดรีบพูดขึ้นก่อน...
“ศรีไพร ให้ทวนเขาไปเป็นเพื่อนซีลูก เผื่อกลางทางมีหมาเห่า พ่อทวนเขาจะได้ทำหน้าที่ไม้กันหมา”
เมินกับทอก หมอกเผลอตัวหัวเราะก๊าก ทวนสะดุ้งเบาๆ มองเครียด
“งั้นก็แยกย้ายกันไปแบบ...แบบ...แบบลงตัว” หมอกแนะ
ทอกเห็นด้วย
“ใช่ ไป...”
ศรีแพร สดและแสนแยกไป หมอกกับทอกขยับจะตามแต่ถูกเมินแกล้งกระแทกให้เซไปทางทวนและศรีไพร
ทอกค้อน
“หนอย พี่ข้า พอเข้าที่เข้าทางเข้าหน่อยทำเป็นลืม ไม่ได้มีพี่คนเดียวนะพี่เมิน”
หมอกเข้าไปหาทวน
“ไปกับพี่ทวนก็ได้ ไป...”
ทวนใช้ศอกกระทุ้งหมอก เซมากระแทกทอก จุกจนพูดไม่ออก ทวนหันไปยิ้มให้ศรีไพร
“ไปครับ ศรีไพร”
ศรีไพรยิ้มขบขัน ก่อนเดินออกไป ทวนทำท่าหวีผมหล่อ ก่อนเดินตามออกไป ใบหน้าของทอกและหมอกเหยเกไปด้วยความเจ็บปวด ทอกหันไปด่าหมอก
“ไอ้หมาหัวเน่า!”
“แกน่ะซี...หมาหัวเน่า!”
ต่างด่ากันไปมา

ทวนเดินตามง้อ ศรีไพรมีความรู้สึกที่ดีต่อทวน แต่ยังไว้ท่าทีเรื่องชาริณี
“ศรีไพร...นี่ศรีไพรจะไม่ให้อภัยพี่จริงๆ หรือ ที่พี่ต้องโกหกคนบ้านนาก็เพราะความจำเป็นจริงๆ ตอนที่พี่หายไปเพราะหลวงตาท่านขอทุนรัฐบาล ให้พี่กับไอ้เมินไปเรียนต่อ พี่กับมันไปกันคนละทาง เลยไม่รู้ใครไปเป็นอะไร”
ศรีไพรชะงักก้าว หันกลับมามองหน้าทวน
“เวลานานขนาดนั้น ก็สมเหตุสมผลไม่ใช่หรือ ที่คนบ้านนาจะคิดว่าพี่ไปติดคุก”
“ใครจะคิดยังไงก็ไม่สำคัญเท่ากับศรีไพรคิดนะ ตอนนี้พี่กลับมาแล้ว พร้อมจะร่วมกับชาวบ้านนาสู้ชีวิตหลังน้ำลด”
ศรีไพรนิ่งอึ้ง มองหน้าทวนด้วยความรู้สึกเศร้าหมอง
“พี่ทวน แล้วชาริณีล่ะ”

ชาริณีนุ่งขาวห่มขาวนั่งขัดสมาธิตรงหน้าแม่ชี
“ตัดสินใจให้ดี...อย่ารีบร้อน...อายุยังน้อยนัก ยังมีกำลังที่จะกลับไปสู้โลก สิ่งที่มันเกิดขึ้นมันจะผ่านไป มันจะพัดพาเอาความทรงจำเลวร้ายไปด้วย เวลา...มันกักเก็บอะไรไว้ไม่ได้ทั้งหมดหรอก” แม่ชีกล่าวเตือนสติ
“หนูต้องการ...ที่จะอยู่อย่างสงบสักพักค่ะแม่ชี มันอาจจะเป็นเวลาสั้นๆ หนูก็ไม่รู้ว่ามันจะใช้เวลานานแค่ไหนที่จะลืม ถ้าบุญมี...จะได้รับใช้ศาสนาในฐานะผู้หญิง ก็ขอให้เป็นเรื่องของอนาคต”
“งั้นก็สมาทานศีล ทำจิตใจให้สงบ ชิวิตน่ะมีดีตรงที่...มันมา...แล้วก็ไป...”
แม่ชีนำชาริณีหลับตา ทำสมาธิ ทวนและศรีไพรก้าวเข้ามา ต่างหันมาสบสายตากันอย่างเงียบๆ

เมินหิ้วขันตักบาตร ปิ่นโตมาส่งสดและศรีแพรที่บ้านหลังกลับจากวัด เมินยังพยายามส่งสายตางอนง้อ ศรีแพรยังมึนตึง สดพยักหน้าให้แสน
“ไป เอาของนี่ขึ้นไปเก็บข้างบน แสน”
“ให้ฉันอยู่คุยกับพี่เมินไม่ได้หรือแม่ ฉันอยากรู้ว่าเขาไปเป็นมือปราบยังไง”
“แสนแสบ!” สดส่งเสียงดุ
แสนจ๋อยไป
“จ้ะๆ แม่ ไปเดี๋ยวนี้แหละจ้ะแม่”
“ไป”
สดดึงแสนขึ้นเรือน เพื่อปล่อยให้ศรีแพรและเมินปรับความเข้าใจกัน เมินยิ้มแย้มให้ศรีแพร
“ศรีแพร”
ศรีแพรคว้าข้องปลา กับคันเบ็ดเดินออกไป
“ศรีแพร นั่นจะไปไหน”
“จะไปหาปลา ไม่ได้มีเงินดาวเงินเดือนกินเหมือนคนบางคนนี่”
“วันพระนี่น่ะนะ”
ศรีแพรนึกได้รีบทิ้งข้องปลา
“อุ๊ย...ลืม...!”
เมินจ้องหน้าศรีแพร
“เลิกโกรธพี่เสียทีเถอะ นอกจากศรีแพรแล้วพี่ไม่เคยรักใครเลยนะ พี่ไปอยู่กรุงเทพฯ สิบปี คิดถึงศรีแพรทุกวัน พี่ตั้งใจว่าถ้าไม่ได้ดีแล้วจะไม่กลับมาให้ศรีแพรอายใคร เพราะพี่คิดยังงั้นพี่ถึงอยู่ได้”
ศรีแพรแววตาลังเล แต่แกล้งทำเป็นชิงชัง
“เชื่อตายชัก...ละ!”
ศรีแพรสะบัดหน้าออกไป เมินมองตาม เริ่มยิ้มได้
“ศรีแพร รอพี่ด้วย...”
เมินรีบตามออกไป

ศรีแพรเดินมาตามคันนา สภาพนาหลังน้ำท่วมยังเอ่อไปด้วยน้ำ เมินร้องเพลงงอนง้อ ขอคืนดี ศรีแพรเริ่มเห็นใจ ให้อภัย เมินดีใจที่เห็นรอยยิ้มของศรีแพร ลนลานจนตกคันนา ศรีแพรตกใจ
“พี่เมิน...”
“โอ้ย ขา...ขาพี่...ขา...” เมินร้องโอดโอย
“พี่เมิน เป็นอะไรหรือเปล่า ส่งมือมาฉันจะฉุดพี่”
เมินหน้าเจ้าเล่ห์ ส่งมือให้แต่กลับฉุดศรีแพรล้มลงคลุกลงไปในโคลนตมด้วยกัน
“พี่เมิน...”
“ศรีแพรให้อภัยพี่แล้วใช่มั้ย งั้นคืนนี้...” เมินมองไปรอบๆ ด้วยความหวาดระแวงก่อนกระซิบ “ส่งตัวเลยนะ”

ค่ำคืนนั้น...ทวน ทอกและหมอกใบหน้าเหยเก เพราะต้องส่งร่างของเมินขึ้นทางหน้าต่าง โดยมีศรีแพรคอยรับอยู่ข้างบน
“คิดออกมาได้ยังไงวะ ให้เพื่อนส่งตัวแกเข้าหอด้วยวิธีนี้น่ะ” ทวนบ่น
“ใช่ ทำไมพวกฉันต้องมีงานเข้า นี่ดีนะ...ตาพรไม่อยู่ ไม่ยังงั้นละก็...” ทอกพูดหวาดๆ
หมอกชักกลัวหันไปดูทอก
“โอย ทำไมต้องพูดถึงพ่อตาพี่เมินด้วยวะ คืนวันพระนี่...เขาว่า...อ้า...เอ้อ...ผีจะออกมาชอปปิ้งแก้เครียด”
“เฮ้ย พ่อแกไม่ชอบชอปปิ้งหรอก แกขี้เหนียวจะตาย” ทวนแย้งขำๆ
ศรีแพรรอรับเมินที่หน้าต่าง เมินเกาะขอบหน้าต่างโผล่หน้าส่งยิ้มหวานให้
“ศรีแพร พี่คิดถึงศรีแพรทั้งวันทั้งคืนเลยจ้ะ”
“อย่าเสียงดัง แม่ยังไม่หลับ”
“แม่ไม่หลับก็ช่างแม่...เอ๊ย ช่างคุณแม่ นี่เป็นเรื่องผัวเมียเขาจะส่งตัวกัน”
“เฮ้ย จะตกลงกันอีกนานมั้ยวะ หนักนะโว้ย” ทวนบ่นอุบ
ทันใดนั้นเสียงสดดังมาจากนอกห้อง
“เสียงอะไรน่ะ ศรีแพรเอ๊ย...ศรีแพร หลับหรือยัง แม่ได้ยินเสียงเหมือน...เหมือน…”
เมินชะงักรีบร้องเสียงแมว
“เมี๊ยวๆๆๆ”
“เหมือนหมาเห่าอยู่ข้างล่าง” เสียงสดดังมาอีก
ทวนรีบเห่า
“โฮ่งๆๆๆ”
แสนนิ่งฟังอย่างแปลกใจ
“แหม...มาครบทั้งหมาทั้งแมวเลยนะแม่”
“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะแม่ เสียงสรรพสัตว์น่ะ วันนี้วันพระสรรพสัตว์มันเลยออกมาขอส่วนบุญ” ศรีแพรตะโกนออกไป
ทวน ทอก หมอกสะดุ้งสุดตัว
“ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว แม่จะไปนอนแล้ว”
แสนและศรีไพรมองสบสายตากันยิ้มๆ
“ไป แม่ ไปนอน ฉันนอนด้วย”
แสนดึงแขนสด
“ด้วย...ไปแม่...ไปนอนเถอะ...ง่วงแล้ว”
ศรีไพรและแสนรีบกันสดไปนอน ศรีแพรและเมินนั่งลงบนที่นอน มองสบสายตากัน เมินกำลังจะจูบแต่ต้องชะงัก เพราะเสียงทวน ทอก หมอกหอนระงม เมินส่ายหน้าเซ็งๆ
“เบื่อไอ้หมาเดือนสิบสองพวกนี้จริงๆ”
เมินและศรีแพรเอากระโถนขว้างลงมาจากหน้าต่าง ทวน ทอกและหมอกวิ่งหนีไป ศรีแพรหัวเราะอย่างสนุกสนาน

ตลาดยามเช้าในชุมชนมีสินค้าพื้นบ้าน ผักหญ้า ปลา อาหารที่ผลิตได้ในตำบลบ้านนามาวางขายผู้คนออกมาจับจ่ายซื้อของกันอย่างหนาตา ชีวิตชาวบ้านนาฟื้นคืนกลับมาอีกครั้งหลังน้ำท่วม ศรีไพรยิ้มแย้มบอกแสน
“เราโชคดีนะแสน ที่บ้านเราเมืองเรามีแหล่งผลิตอาหาร ถึงจะผ่านวิกฤติเรื่องภัยธรรมชาติ อาหารก็ยังมีพอเลี้ยงคนไทย”
แสนหน้านิ่งครุ่นคิดอย่างกังวล
“พี่...พี่ว่าป่านนี้แม่จะรู้หรือยังว่า...ว่า...”
ศรีไพรนิ่งอึ้ง
“พี่ก็ไม่รู้ แต่ถ้าแม่รู้...”
“แม่จะว่ายังไงนะ”
“แม่ก็ดีใจน่ะซี ที่บ้านเราจะมีผู้ชายคอยดูแล พี่ศรีแพรจะได้กลับมาเป็นผู้หญิงจริงๆ ซะที”
แสนหันไปเห็นหลวงตา
“โห วันนี้หลวงตามารับบาตรถึงตลาดนี่”
ศรีแพรมองไปเห็น หลวงตาเดินบิณทบาตร โดยมีทวน ทอกและหมอกเป็นลูกศิษย์วัด เมื่อเห็นศรีไพรรีบเดินมาหา หมอกกับทอกตามมาด้วย ทวนหันไปดุ
“ตามมาทำไม ไม่ใช่พระนะ”
ทอกหน้าเหวอ
“อ้าว...เฮ้ย...หลวงตาท่านไปโน่นแล้ว ไอ้หมอก”
หมอกตกใจ
“ไปโว้ย”
ทอกกับหมอกรีบตามหลวงตาไป ทวนเข้ามาหาศรีไพร
“มีอะไรจะให้เด็กวัดคนนี้ช่วยหิ้วมั้ยครับศรีไพร” ทวนส่งเงินให้แสน “แสนแสบ...เอ้า เอาเงินนี่ซื้อขนมกินไป ไปไกลๆ นานๆ นะ”
แสนยิ้มเจ้าเล่ห์
“ไกลๆ นานๆ ต้อง...”
ทวนส่ายหน้า
“แสนแสบ...แสบจริงๆ เอ้า...เอาไป!”
ทวนหยิบเงินเพิ่มแล้วยื่นเงินให้ แสนรับมาอย่างยิ้มแย้มแล้วแยกไป ทวนเดินตามศรีไพรดูสินค้าไป
“ไอ้เมินมันติดคุกตลอดชีวิตไปแล้ว เมื่อไหร่พี่จะต้องโทษอย่างไอ้เมินบ้าง พี่รอวันรอคืน รอให้ศรีไพรพิพากษาความผิด ต้องโทษตลอดชีวิตเหมือนมัน”
“ถ้าพี่ทวนจะต้องโทษ...โทษของพี่ทวนก็ไม่หนักหนาสาหัสหรอก”
“พี่ยินดีแหวะอก แล้วตายตรงหน้าน้อง”
ศรีไพรจ้องหน้า
“แน่นะ”
ทวนยิ้มมั่นใจ
“พี่ทวนซะอย่าง ไม่มีอะไรที่พี่ทวนทำ...ไม่ได้!”
“งั้นก็...ไถนาแทนควาย” ศรีไพรบอกขำๆ
ทวนตาเหลือกไปด้วยความตื่นตระหนก
“อีกแล้วเรอะ...!”

ท้องนาเริ่มฤดูการทำนาหลังน้ำลด สดหาบของกินเดินนำหน้าแสนตามมาบนคันนา ขณะที่ทวน เมิน ทอก และหมอกมาช่วยศรีแพร กับศรีไพรไถนา สดกวาดสายตามองด้วยความชื่นใจ
“ลงแรงช่วยกันยังงี้ นาของเราต้องฟื้นจากนาล่มเป็นนาข้าว เรา...เราไม่อดตายแล้ว”
สดมองขึ้นไปยังท้องฟ้าด้วยน้ำตาที่คลอดวงตา

เช้าวันต่อมา หลวงตามารับบาตรหน้าร้านเจ๊กตง โดยมีมหาเฉื่อยหิ้วปิ่นโตเป็นลูกศิษย์ ต่างหยุดก้าวอยู่ที่หน้าร้าน เสียงเจ๊กตงเอะอะ เนี้ยวร้องไห้ดังออกมาจากในร้าน สักครู่เจ๊กตงไล่ตีสุมิตรออกมาจากร้านวิ่งไปรอบๆหลวงตาและมหาเฉื่อย เนี้ยววิ่งตามออกมาห้าม
“อย่า...เตี่ย...อย่าตีอาลี ข่าน ของเนี้ยว อั๊วรักอีอั๊วจะแต่งงานกับอีให้ได้”
สุมิตรวิ่งพลางขอร้องพลาง
“อีนี้นายจ๋า...นาร๊าย...นารายณ์ เห็นใจความรักของแขกกับอาม่วยเนี้ยวบ้างซีจ๊ะ อ้า...นมัสเตจ้ะหลวงตา ท่านมหาเฉื่อย ช่วยด้วย”
เจ๊กตงชี้หน้า
“ไม่ต้องร้องหาผ้าเหลือง ไอ้แขก ให้อั๊วตีหัวลื้อซะดีๆ หนอย...จะแต่งงานกับอาม่วยเนี้ยวของเตี่ย เป็ง-ปาย-ม่าย-ล่าย”
มหาเฉื่อยยกมือห้ามเจ๊กตง
“ดูกร...ท่านพุทธบริษัทจำกัด มหาชน”
หลวงตามองมหาเฉื่อยปรามๆ
“ท่านมหาเฉื่อย เทศน์น่ะ...ไว้ให้เป็นหน้าที่ของพระสงฆ์องค์เจ้าท่านเถอะ พระพูดโยมยังไม่ค่อยจะฟังเลย ฆราวาสพูดเจ๊กตงจะฟังได้ยังไง” หลวงตาหันไปหาเจ๊กตง “เจ๊กตง...ในเมื่อสุมิตรากับม่วยเนี้ยวรักกัน เจ๊กตงเป็นพ่อไม่อยากเห็นลูกมีความสุขหรือ โบราณท่านว่าปลูกเรือนต้องตามใจผู้อยู่ เลือกอู่ก็ต้องตามใจคนนอนเค้า เจ๊กตงไม่ได้ไปอยู่กับเขาสักหน่อย”
เจ๊กตงค่อยๆทรุดตัวนั่งพับเพียบ พนมมือ ร้องไห้ด้วยความแค้นใจ เนี้ยวกับสุมิตรานั่งลงด้วยท่าทีหวั่นๆ
“ข้อนั้นน่ะเจ๊กตงเชื่อคำเทศน์ของพระคุณเจ้า แต่...แต่ไอ้แขกนี่มันเป็นแขกจริงๆ ขอรับ”
“มันเป็นยังไง” มหาเฉื่อยถามอย่างไม่เข้าใจ
“มันจะให้อั๊วเอาทอง เงินสด พันธบัตร เครื่องหมายการค้า กับใบกำกับภาษีไปเป็นสินสอดทองหมั้นสู่ขอมันให้อาม่วยเนี้ยว”
“อีนี้นายจ๋า เป็นประเพณีของแขก ผู้หญิงต้องสู่ขอผู้ชาย เสียสินสอดทองหมั้นถึงจะได้แอ้มอาลี ข่านจ้ะนายจ๋า” สุมิตรลอยหน้าลอยตาบอก
มหาเฉื่อยหน้าตื่น
“หา...”
เจ๊กตงไม่พอใจ
“อั้วเสียทั้งเงิน ทั้งทอง ทั้งสินสอดทองหมั้น แล้วยังเสียลูกสาว เจองูกับแขกไม่ตีแขกก่อนยังไงไหว พระคุณเจ้า” เจ๊กตงร้องไห้ด้วยความแค้นใจ
หลวงตาหันมาสบสายตามหาเฉื่อย ต่างกระอักกระอ่วนลำบากใจ

หลวงตากลับถึงวัดบ้านนา หลังออกบิณฑบาตโปรดสัตว์ มหาเฉื่อยเดินตามหลวงตาขึ้นศาลามา
“ก็น่าเห็นใจเจ๊กตงนะขอรับ เสียทั้งขึ้นทั้งล่อง เสียทั้งเงินเสียทั้งลูกสาวแหม นี่ถ้าเป็นท่านมหาเฉื่อย สงสัยจะต้องตีแขกก่อนตีงูเหมือนไอ้เจ๊กตง”
หลวงตาหันไปเห็น ทอกและหมอกนอนหงายผึ่ง เนื้อตัวเปื้อนไปด้วยโคลน สิ้นเรี่ยวแรงเพราะลงแรงทำนามาก็ตกใจ
“ไอ้ทอก ไอ้หมอก”
มหาเฉื่อยเข้าไปหาทั้งสอง
“เฮ้ย ไอ้ทอก ไอ้หมอก เอ็งสองตัวมาทำอะไรที่นี่ หายไปตั้งแต่เมื่อวาน หลวงพ่อท่านไม่มีลูกศิษย์หิ้วปิ่นโตข้าเลยต้องเป็นศิษย์ นี่คงจะไปลงแรงทำนาบ้านไอ้ศรีไพร ศรีแพรละซีท่า เนื้อตัวถึงได้เปื้อนโคลนมายังงี้”
ทอกหอบเหนื่อย
“โอย ไม่ไหวแล้วละครับหลวงตา”
“เรื่องอะไรกัน” หลวงตาถามอย่างสงสัย
“ไถเอย...พลิกหน้าดินเอย ควายไฉไลเฉิดก็ตายไปแล้ว เลยต้องเป็นควายไถนา” หมอกบ่นอุบ
“เหนื่อยจนขาลาก อยากกลับไปเรียนหนังสือ แล้วกลับมาเป็นมือปราบเหมือนพี่ทวนพี่เมินขอรับ” ทอกบอก
“ต่อไปนี้...จะตั้งใจเรียน จะได้เป็นใหญ่เป็นโตเหมือนพี่ทวน พี่เมิน” หมอกยืนยันหนักแน่น
หลวงตามองหน้า
“อ้อ อยากจะกลับไปเรียนหนังสือเรอะ ทีเมื่อก่อนให้ไป ไม่ไป ท่านมหาก็อีกคน ไม่ยังงั้นก็ไม่ต้องมานั่งสงสัยแล้วซีว่าสองคนนนั่นมันหายไปทำอะไรตั้งหลายปี”
มหาเฉื่อยจ๋อยไป
“ก็ตอนนั้นท่านมหาเฉื่อยเรียนทางธรรมอยู่นี่ขอรับหลวงพ่อ ไอ้ทวนกับไอ้เมินได้เป็นนายร้อยนายพัน แต่ท่านมหาเฉื่อยได้เป็นมัคทายก...”
“พุทธบริษัทจำกัด” ทอกแหย่
“มหาชน!” หมอกเสริม
หลวงตาพยักหน้าให้ทั้งสาม
“ถ้าอยากจะเรียน ก็ไม่ต้องไปเรียนไกลหรอก ข้า...ข้านี่แหละ จะสอนให้”

สดนั่งเจียนใบตองทำขนม มองไปยังศรีแพรและเมินที่กำลังช่วยกันหมักปลาร้าลงในไหอย่างมีความสุข ต่างเอาปลาร้าป้ายจมูกกันและกัน
“แม่ คนรักกันนี่ แม้แต่กลิ่นปลาร้ายังหอมเลยนะ” แสนถามอย่างสงสัย
“ยุ่ง เรื่องของผู้ใหญ่ไม่ใช่เรื่องของเด็ก” สดดุ
ขณะเดียวกันนั้น ศรีไพรพาทวนเข้ามาหาสด
“แม่ พี่ทวนเขาจะมาหาแม่แน่ะ เขา...เอ้อ...เขามีเรื่องสำคัญจะพูดกับแม่จ้ะ”
ศรีแพรยิ้มให้ทวน
“รู้เลยว่าเรื่องอะไร รีบพูดเร็วๆ เถอะพี่ทวน ไม่ยังงั้นพี่จะตามไม่ทันเพื่อนพี่นะ”
เมินยิ้มๆ
“ใช่ ถึงฉันกับแกจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กวัด แต่เรื่องแบบนี้ฉันหวังดีต่อเพื่อนนะโว้ย อย่า...อย่าช้า!”
สดมองศรีไพรกับเมิน
“ว่ายังไงล่ะ พ่อทวน มีเรื่องอะไรจะพูดกับแม่”
ทวนอึกอัก
“เอ้อ...”
“พูดไปเลยพี่ทวน ว่าพี่ทวนจะมาขอลูกสาวของแม่” แสนโพล่งขึ้น
สดหันไปดุแสน
“แสนแสบ!”
แสนจ๋อยไป
“เอ้อ...”
“กล้าๆ หน่อย ความรักน่ะมันหอมหวานนะ แม้แต่กลิ่นปลาร้ายังกลบไม่ลง!” เมินแหย่ขำๆ
ศรีไพรมองหน้าทวนชักหงุดหงิด
“ว่าไง พี่ทวน กล้าหรือไม่กล้า”
ทวนหน้าจ๋อยไม่กล้าพูด
“เอ้อ...”
สดถอนใจ
“เป็นมือปราบ ทั้งปราบทั้งปรามผู้ร้ายจนสิ้นซาก เรื่องติดอยู่ปลายจมูกแค่นี้พูดไม่ออกหรือ”
ทวนตัดสินใจทำเข้มแข็ง
“แม่ครับ...”
ทวนขยับเข้ามานั่งใกล้ๆ จับมือสดขึ้นมา
“ผมมาขอ...”
ทวนเผลอตัวยกมือของสดขึ้นมาจูบ สดตกใจ
“มาขอศรีไพรแต่งงานครับ”
เมินตบเข่าฉาด
“มันต้องยังงั้นซีวะ เพื่อน คราวนี้แหละ...แก...แกเอ๋ย...” เมินมองสบสายตาทวน “แกติดคุกหัวโตแน่!”
ทวนหมั่นไส้
“ไอ้เมิน!”
เมินยั่วโทสะ ล้อเลียน ทวนวิ่งไล่แตะเมินออกไป สด แสน ศรีแพรและศรีไพรมองตาม ต่างหัวเราะอย่างขบขัน

หลวงตาสอนหนังสือให้หมอก ทอกและมหาเฉื่อย เขียนตัวหนังสือที่กระดานชนวนแล้วชี้ถาม สามคนตอบไม่ได้ หลวงตาหยิบไม้เรียวฟาดลงบนหลังของทั้งสามคน
“นี่แน่ะ เทศน์ไม่จำ...สอนไม่ฟัง ความตั้งใจไม่มี ข้าอุตส่าห์อดหลับอดนอนอัพเกรดความรู้ใหม่ๆ มาสอนให้ ยังไม่จำอีก นี่ๆๆๆ”
มหาเฉื่อยร้องลั่น
“โอ้ย หลวงพ่อขอรับ วันนี้เอาแค่นี้ก่อนได้มั้ยขอรับ”
ทอกยกมือไหว้
“ผมลาป่วย”
หมอกยกมือไหว้อีกคน
“ผมลากิจ”
มหาเฉื่อยไหว้ตาม ทอกกับหมอก
“มหาเฉื่อยลาชั่วนิรันดรขอรับ โอย...สมัยนี้เขาไม่ใช้ไม้เรียวกันแล้วล่ะขอรับ”
“ไม่ได้ เรียนแล้วเรียนเลยโว้ย คนสมัยก่อนเขาก็เรียนกับวัด มีพระคอยสั่งสอน ก็เห็นเขาได้ดิบได้ดีเป็นอธิบดีเป็นนายพลกัน ไอ้ทวนไอ้เมิน ข้าก็ใช้ไม้เรียวสอนมันยังงี้แหละ ก็เห็นมันได้ดิบได้ดี เป็นคนมีคุณภาพของสังคม”
ทอกเจ็บหลังร้องโอดครวญ
“โอย กลับไปทำนาดีกว่า”
“ลาออกก็ไม่ได้ เรียนแล้วเรียนเลย กว่าจะเป็นมือปราบอย่างพี่ทวนพี่เมินได้ มีหวังตูดลายพร้อย” หมอกบ่นอุบ
“ใช่ ไอ้ทวนกับไอ้เมินน่ะ...” หลวงพ่อยิ้มด้วยความภูมิใจ “มันได้ดีเพราะไม้เรียวของข้า”

ศรีไพรเดินดูท้องนา หลังไถคราดเตรียมดินหลังฤดูน้ำท่วม ทวนเดินตามหลังมา
“พอไถนาเสร็จร้อยไร่แล้ว พี่จะยกขันหมากมาสู่ขอศรีไพรนะ”
“นาตั้งร้อยไร่ พี่จะไถเสร็จเมื่อไหร่ ควายก็ไม่มี เครื่องจักรก็ไม่ใช้ พี่เมินเขาคงไม่ช่วยพี่หรอกเขาเอาตัวรอดไปแล้ว”
ทวนชะงักอึ้ง
“ร้อยไร่...”
ศรีไพรจ้องหน้าด้วยสายตาจริงจัง
“ไม่มีการต่อรอง...”
ทวนจ๋อยไป
“โธ่ แล้วพี่จะไหวมั้ยเนี่ย”
ขณะเดียวกันนั้น กล่ำ ทอก มหาเฉื่อย เจ๊กตง เนี้ยว สุมิตร หมอกและชาวบ้าน ส่งเสียงมาแต่ไกล โดยมีมหาเฉื่อยนำขบวน
“ต้องไหวซีวะ”
ทอกยิ้มให้ทวน
“พวกเราทั้งหมดนี่จะมาช่วยกันลงแรงไถนาแทนควาย...เอ๊ย...แทนพี่ พี่จะได้...ได้เบียดก่อนหนาวนี้ยังไงล่ะ”
หมอกหันไปตะโกนบอกทุกคน
“เอาโว้ยพวกเรา ลงแรงกัน พี่ของข้าจะได้ไม่นอนหง่าวหนาวๆ ร้อนๆ”
“ลงนาเลยโว้ย พวกเรา” กล่ำตะโกนลั่น
เจ๊กตงโดดลงไปในนา
“เจ๊กตงเล่งล้วยยยยยยย”
ทุกคนช่วยกันลงแรงช่วยกันไถนา ทวนมองด้วยความซาบซึ้ง ก่อนที่จะหันมาสบสายตาของศรีไพร

ค่ำคืนนั้น แหว่งค่อยๆ ย่องเข้ามายังบริเวณบ้านบุญช่วยพร้อมกับเสียมขุดดิน
“นี่ ตรงนี้แหละที่บ่าวขาของคุณสไบ ขมายจากคุณสไบจอมขโมยกะพอเรื่องเงียบค่อยมาขุดไปรวย อีแหว่งรวยเมื่อไหร่ละก็ จะไปเปลี่ยนชื่อเป็นดลยา จากนั้นก็เอาทองไปหลอมจนเดือดปุดๆ แล้วกระโดดลงไปชุบทองให้มันอร่ามไปด้วยความร่ำรวย”
แหว่งลงมือขุดอย่างขมักเขม้น สไบก้าวเข้ามา แหว่งชะงักจ้องมองที่รองเท้า
“เอ๊ะ ไอ้รองเท้าคู่นี้มันคุ้นๆ”
“คุ้นแน่ นังบ่าวขาของคุณสไบ” สไบเสียงเข้ม
แหว่งสะดุ้งตาเหลือก
“ว้าย คุณสไบของบ่าวขา”
สไบโกรธจัด
“ฉันยักยอกทองส่งให้แกไปซ่อน แกอ้างว่าจำที่ซ่อนไม่ได้ ทองหาย ที่แท้แกก็เอาทองของฉันย้ายมาฝังไว้ตรงนี้นี่เอง”
แหว่งหน้าเสีย
“คะ คุณสไบของบ่าวขารู้ได้ยังไงคะ”
สไบเล็งปืนใส่
“เพราะฉันคอยตามสะกดรอยแกน่ะซี ถึงได้รู่ว่าแกหักหลังฉัน...ขุดเดี๋ยวนิ้ไม่ยังงั้นฉันจะยิงหัวแก”
แหว่งตื่นกลัว
“ขะ...ขุดเดี๋ยวนี้แหละค่ะ” แหว่งรีบขุดแล้วเจอไห “ทอง...”
“เอาขึ้นมา” สไบตะคอก
แหว่งมือสั่น
“ทะ...ทองแท่ง”
“ฉันบอกให้เอาขึ้นมาเดี๋ยวนิ้ เปิด...” สไบสั่งเสียงเฉียบ
แหว่งกลัวรนรานรีบเปิดไห
“ปะ...เปิด...เอ๊ะ ไม่มี”
สไบถลาเข้ามาชะโงกมองไม่มีทองในไห
“ไม่มีนี่...”
เมินก้าวเข้ามาด้วยรอยยิ้ม
“ไม่มีหรอกครับ เพราะทองแท่งทั้งหมดตำรวจยึดไว้เรียบร้อยแล้ว ขอบคุณทั้งบ่าวขาของคุณสไบ กับคุณสไบของบ่าวขาที่ย้อนกลับมาให้ผมจับส่งตำรวจ ข้อหาร่วมกันกระทำความผิดกับเศรษฐีบุญช่วยหลายข้อหา”
สไบตกใจ
“คุณ...คุณเมิน”
“เศรษฐีบุญช่วยถูกยึดทรัพย์ การป่วยเป็นอัมพฤกษ์ไม่ได้หมายความว่าจะพ้นผิด ทรัพย์สินทั้งหมดตกเป็นของหลวง ส่วนคุณ...”
เมินก้าวเข้ามาดึงปืนจากมือสไบ
“ถูกจับ!”
สไบและแหว่งหันมาสบสายตากัน เบะหน้าเหมือนจะร้องไห้

เมิน ทอก หมอก กล่ำและชาวบ้านยกขบวนขันหมากมาแต่งงานศรีไพร ทุกคนร้องรำกันอย่างมีความสุข ศรีแพรตื่นเต้น ส่งเสียงอยู่บนเรือน
“แม่จ๋า...แม่ มาแล้ว แม่จะได้ลูกเขยอีกคนนึงแล้ว”
“พี่สาวของแสนแสบขายออกอีกคนแล้วจ้า” แสนตะโกนลั่นบ้าน
สดหันไปดุ
“นี่ ไม่ต้องออกอาการ เดี๋ยวคนบ้านนามันจะเอาไปนินทาลับหลังว่าคนบ้านนี้เห่อลูกเขย อยากจะให้ลูกสาวมีผัวจนตัวสั่น” แต่แล้วสดก็เก็บอาการตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ “ไหน...มาถึงไหนแล้ว”
ศรีแพรค้อนแม่
“แม่ เก็บอาการหน่อย ยังไงแม่ก็มีลูกเขยคนที่สองแล้วนะ”
ขบวนขันหมากมาหยุดที่หน้าบ้านเรือนไทย มหาเฉื่อยหันไปบอกเจ๊กตง
“เฮ้ย เจ๊กตงโว้ย ยกสินสอดทองหมั้นมาข้างหน้านี่...ไอ้ทวน เป็นเจ้าบ่าวแล้วทำหน้าให้มันหล่อ ๆหน่อย”
ทวนยิ้มแย้ม
“นี่ก็หล่อแบบสำเร็จรูปแล้วครับ ลุงมหาเฉื่อย”
เมินเข้าไปกระซิบข้างหู
“จะได้รับบทลงโทษอยู่รอมมะร่อแล้วนะ เพื่อน”
ทวนกระซิบตอบถูมือไปมา
“ฉันพร้อมที่จะติดคุกตลอดชีวิตเหมือนแก...โว้ย”
ศรีไพรในชุดเจ้าสาว ชะเง้อรออยู่บนชานเรือน สดเรียกอย่างร้อนรน
“เร้ว...ขึ้นมาเร็วๆ ข้าใจร้อน”
เจ๊กตงหันไปสั่งขบวน
“ไป ยกขบวนขันหมากขึ้นไปเลย แต่ง...อั๊วพูดได้คำเดียว...”
ทุกคนในขบวนตะโกนพร้อมกัน
“แต่ง...!”
ขบวนขันหมากเริ่มร้องรำทำเพลง ช้อยวิ่งเข้ามา ส่งเสียงร้องมาแต่ไกล
“เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งแต่ง ยังแต่งไม่ได้ เอาฉันส่งโรงพยาบาสก่อน”
กล่ำถลาเข้าไปประคองช้อยอย่างตกใจ
“นังช้อย...ช่วยด้วยโว้ย นังช้อยมันเจ็บท้องจะออกลูก”
ทวนกับเมินหน้าเหวอ
“อีกแล้วหรือ”
ช้อยพยักหน้า
“ฮื่อ...อีกแล้ว”
ศรีไพรรีบวิ่งลงมา เข้าประคองช้อย
“เอาน้าช้อยไปส่งโรงหมอเร็ว”
ช้อยหน้าตาบิดเบี้ยวเจ็บท้องมาก
“ไม่...ไม่ทันแล้ว ช่วย...ช่วย...”
ศรีไพรหน้าตื่น
“ช่วยอะไรน้า”
“ช่วยเบ่งหน่อย โผล่หัวออกมาแล้ว เร็วๆ เข้า หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกลึกๆ หนึ่ง...สอง...สาม...เอ้า...เบ่ง...พรึ่ดดด” ช้อยเบ่งหน้าเหยเก
ทุกคนช่วยกันเบ่งจนหน้าแดง ทันใดนั้นเสียงทารกร้องจ้าดังออกมา

วันต่อมา...ชาวนามาชุมนุมกันที่ท้องนาที่ถูกไถคาดไว้รอหว่าน นายอำเภอเดินนำเกษตรถือพานทองบรรจุข้าวปลูกพระราชทานเข้ามา ศรีแพรน้ำตาคลอ
“แม่ ดูนั่น...”
ศรีไพรมองอย่างตื่นตะลึง
“ข้าวปลูก...ข้าวปลูกพระราชทาน”
สดยกมือพนมท่วมหัว
“ข้าวปลูกพระราชทานของในหลวงท่าน ทรงพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น ต่อพวกเราชาวนา ในหลวงทรงพระราชทานพันธุ์ข้าวปลูกให้ชาวนาหลังน้ำท่วม ขอจงทรงพระเจริญ”
ทุกคนในที่นั้นพูดออกมาพร้อมกัน
“ขอจงทรงพระเจริญ”
ทวนพนมมือท่วมหัว
“ทรงพระเกษมสำราญ”
เมินยกมือพนมอย่างซาบซึ้ง
“เป็นมิ่งขวัญแก่ข้าพระพุทธเจ้าชาวไทย”
ทุกคนตะโกนพร้อมกัน
“ทรงพระเจริญ...ทรงพระเจริญ...ทรงพระเจริญ”

ชาวนาเริ่มพากันหว่านพันธุ์ข้าวปลูกลงในที่นา เมื่อเวลาผ่านไป ข้าวในท้องนาเขียวขจี ลมพัดต้นกล้าไหวเหมือนระลอกคลื่น วันเวลาผ่านไป ข้าวเริ่มออกรวงเป็นสีเหลืองทอง บอกให้รู้ว่าถึงฤดูกาลเกี่ยวแล้ว ชีวิตของชาวบ้านนา หมดเรื่องทุกข์ร้ายที่เคยคลี่คุม ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในทุกๆ วัน

จบบริบูรณ์





กำลังโหลดความคิดเห็น