ติดตามอ่านละครออนไลน์ได้ทาง www.manager.co.th ทุกเช้าเวลา 09.30 น.
รอยไหม ตอนที่ 31
ศิริวัฒนา โกรธเลือดขึ้นหน้า
“ถ้านังคำเที่ยงมันบ่มาบอกเรื่องนี้กับเฮา เฮาก่อคงบ่มีวันได้ฮู้หรอกว่า มีคนจัญไรมันคิดชั่วได้ถึงขนาดนี้ ใจ่ก่อศิริวงศ์”
คำเที่ยงนั่งก้มหน้าจ๋อยตัวลีบอยู่มุมนึง
“น้องบ่ได้คิดจะปิดบังเจ้าอ้ายหรอกเพียงแต่ ต้องการจะฮื้อแน่ใจเสียก่อน เรื่องนี้ เรื่องใหญ่โทษหนักยิ่งกว่าอาญาแผ่นดินข้อไหนๆ” ศิริวัฒนาบอกอย่างไม่สบายใจ
“ลำพังอีขี้ข้า มันจะกล้ายะเรื่องเลวทรามนี่ได้จะได ถ้ามันบ่มีคนบงการมัน”
ศิริวัฒนาโมโหมาก
ด้านคำเที่ยงไม่เห็นมณีรินอยู่ด้วย รีบออกไปถามบริวาร เมื่อไม่มีใครรู้ยิ่งโวยใหญ่
“เอ็งบ่ฮู้ได้จะได ว่าเจ้ารินเปิ้นไปตี้ไหน”
“ก่อข้าเจ้าบ่ได้ไปตึกใหญ่โตย ข้าเจ้าจะฮู้ได้จะได”
“เจ้าริน เปิ้นไปเก็บดอกไม้ในสวนละมังปี้คำเที่ยง”
“หน้าสิ่วหน้าขวาน จะมาเก็บดอกไม้อะหยังของมึง”
“แต่ข้าเจ้าหันเจ้ารินเปิ้นเดินไปทางปู๊น”
“ทางปู๊น ทางใดของมึง”
“ทางปู๊น ตำหนักปู๊นเจ้า”
“อ๋อ...ตำหนักหม่อมบัวเงิน” คำเที่ยงตาเหลือก “หา!”
+ + + + + + + + + + + +
บัวเงินหยิบเสื้อลูกไม้สีดำออกมาเทียบกับผ้าซิ่นดำ หน้าตามีความสุข อย่างบอกไม่ถูก บัวเงินได้ยินเสียงข้างหลังนึกว่าเม้ยเข้ามา
“อีเม้ย...มึงช่วยกูดูซิเสื้อตัวนี้กูจะใส่กับซิ่นชิ้นไหนดี”
บัวเงินไม่ได้รับคำตอบ หันกลับมาแล้วต้องชะงัก ไม่ใช่อีเม้ย แต่กลับเป็นมณีริน บัวเงินสะดุ้งเฮือก มณีรินถามเสียงเครียด
“เอื้อยกำลังยะสิ่งใดอยู่”
“เจ้านางน้อยอู้อะหยัง ปี้บ่เข้าใจ๋”
“เอื้อยเข้าใจ๋ดี บ่จะอั้นเอื้อยจะเตรียมชุดดำไว้ใส่หื้อผู้ใด”
บัวเงินหน้าที่เรียบนิ่งนั้นค่อยๆ มีรอยยิ้มออกมา
“ฉลาดแท้ สติปัญญาล้ำเลิศสมกับเป็นเจ้าหญิงจากเชียงตุง”
“เอื้อย...หนก่อนก่อครั้งนึงแล้ว จะไดเอื้อยบ่กลัวบาปกรรม”
“หน้าตามันเป๋นจะไดไอ้ตัวบาปเนี่ย บ่เคยหันเสียที”
“เอื้อยบ่ต้องรอหื้อหันกับตาหรอก มันอยู่ในใจ๋เอื้อยนั่นไง”
“บ่ต้องมาสั่งสอนเฮา เอาตั๋วหื้อรอดเสียก่อนเต๊อะเจ้านางมณีริน ข้อหาวางยา เจ้าหลวงจะไดโทษก่อถึงตัดหัวบ่มีละเว้น”
“เอื้อยจังเฮาขนาดนี้ จะไดบ่มุ่งฮ้ายต่อเฮาคนเดียว เจ้าหลวงเปิ้นเกี่ยวข้องอะหยังโตย”
“ไหนว่าตัวเองฉลาดหลักแหลมนักไง”
“เอื้อยบ่ได้ต้องการเป๋นแค่ชายาเจ้าศิริวัฒนา แต่เอื้อยต้องการขึ้นเป็นแม่เจ้าบัวเงินแห่งเจียงใหม่ เสียคราวเดียว”
บัวเงินระเบิดหัวเราะออกมา
“เฮาบอกเอื้อยกี่ครั้งกี่หนแล้ว ว่าบ่ได้อยากเป็นพระชายา บ่ได้อยากเป็นแม่เจ้าเวียงเจียงใหม่ บ่ได้อยากแต่งงานกับเจ้าศิริวัฒนา” มณีรินน้ำเสียงจริงจัง
บัวเงินด่าทันที
“ตอแหล...กูบ่เจื่อมึงหรอก”
มณีรินอึ้งเหมือนโดนตบหน้า
“จะอั้นเฮาก่อจนใจ๋เน้อเอื้อย”
“บ่อยากแต่งงานกับเจ้าอ้ายของกู...แล้วจะไดมาลอยหน้าลอยตา อยู่ได้แอ่วเมืองเจียงใหม่เต็มตา แล้ว ก่อปิ๊กบ้านป่าเมืองเถื่อนของมึงไปก๊า”
“เฮาก่อตั้งใจ๋จะยะจะอั้น แต่เฮายะบ่ได้เฮาก่อลูกแม่หญิงเหมือนกั๋น จะไดเอื้อยบ่เข้าใจความฮู้สึกของเฮา”
“แล้วจะได มึงบ่เข้าใจ๋ความฮู้สึกของคนตี้ถูกแย่งของฮัก ไปจากหัวใจ๋อย่างกูพ่อง”
“เฮาสองคนเหมือนเดินกั๋นอยู่บนเส้นขนาน บ่มีวันมาบรรจบกันได้ เพราะอคติของเอื้อยแต๊ๆ”
“มานึกเสียดายชีวิตตอนนี้ มันก่อสายเกินไปแล้วเจ้านางมณีริน...อโหสิกรรมเน้อ...เตรียมปิ๊กบ้านเกิดอย่างผีตี้ คนเจียงใหม่บ่ต้อนฮับ แม้แต่ศพก็บ่ต้องการให้ฝังหื้อเป็นเสนียดจัญไรเต๊อะ”
มณีรินท้อใจ
+ + + + + + + + + + + +
เม้ยกับบริวาร ก้าวออกมาขวางหน้า คำเที่ยงกับพวกเอาไว้
“มึงมายะหยัง”
“กูมาหานายกู”
เม้ยหัวเราะ
“ยังบ่ตันหยัง มึงก่อลนลานมากราบตีนขอเป๋นขี้ข้านายกูแล้วกา อีคำเที่ยง มึงคงฮู้แล้วก๊ะว่านายมึงบ่มีบารมี ปอจะคุ้มกะลาหัวมึงได้มึงไปจัด ดอกไม้ธูปเทียนมากราบตีนกูเหียก่อน นายกูเปิ้นจะเมตตาฮับมึงเป๋นขี้ข้า ตำหนักนี้ฮับหรือบ่ฮับก่ออยู่ตี้กู”
“คนอย่างกู ถ้าจะต้องยอมเป๋นขี้ข้านายมึง กูขอไหว้หมาข้างถนนเหียยังดีกว่า”
มณีรินออกมาจากข้างใน
“ปี้คำเที่ยง”
เม้ยกับพวก งงว่ามณีรินมายังไง
“เจ้าริน จะไดมาบ่บอกปี้ รีบไปเต๊อะ ทหารกำลังแห่มาตี้นี่กั๋นแล้ว”
“หนีกั๋นหัวซุกหัวซุนก๊ะ กูอยากไคร่หัว...อาญาแผ่นดินน่ะ ต่อหื้อหน้าไหนก่อบ่มี ละเว้นหรอกโว๊ย” เม้ยหัวเราะ
คำเที่ยงยิ้มหยัน
“มึงไคร่หัวเหียหื้อปออีเม้ย เพราะทหารตี้กำลังมาเปิ้นมาจับมึงไปตัดหัวน่ะแหละ”
เม้ยชะงักไป
+ + + + + + + + + + + +
ศิริวัฒนากับ ศิริวงศ์ นำทหารมุ่งหน้ามาตำหนักบัวเงิน
“ลำพังอีเม้ย อีชาติไพร่คนเดียวมันจะกล้ายะเรื่องอีปรีย์จัญไรนี่ได้จะไดถ้านาย มันบ่ได้สั่ง” ศิริวัฒนาเจ็บแค้นใจ
ด้านบัวเงินยืนสะใจอยุ่มุมนึงบนเรือน คิดว่ายังไงมณีรินก็ต้องรับเคราะห์ ทันใดเม้ยลนลานเข้ามา
“หม่อมกะเจ้า...หม่อม...ทหารมันกำลังมา”
“มึงจะตื่นเต้นไปยะหยังอีเม้ย พวกมันแห่กั๋นมาจับอีมณีรินน่ะแหละ”
“หม่อมกะเจ้า...เจ้าหลวงยังบ่ตาย...”
“มึงเอาอะหยังมาอู้ อีเม้ย มึงบอกกูเองว่าวันนี้จะไดก็บ่รอด”
“ความแตกเสียแล้วกะเจ้าหม่อม ทหารมันมาจับหม่อมกับเม้ย บ่ใจ่อีมณีริน”
บัวเงินหน้าซีดทันที
+ + + + + + + + + + + +
มณีริน เห็นศิริวัฒนากับศิริวงศ์และ ทหารใกล้เข้ามาก็ถอนใจ
“ทำใจ๋เหียเต๊อะเจ้าริน คนทำชั่วก่อต้องได้ฮับกรรมชั่ว คนอย่างหม่อมบัวเงินบ่น่าหื้อโอกาสอะหยังแหมแล้ว ปล่อยหื้อเปิ้นจัดการกั๋นเองเต๊อะ” คำเที่ยงบอก
ศิริวัฒนากับ ศิริวงศ์ มาถึง ศิริวัฒนาตะโกนขึ้นไป
“บัวเงิน...”
บัวเงินสะดุ้งที่ได้ยินเสียงเรียก หันมาด่าเม้ยด้วยความโมโหที่ทำงานพลาด
“อีบ้า...อีง่าว เพราะมึงคนเดียว มึงยะจะไดหื้อเปิ้นจับได้”
“หม่อมกะเจ้า หม่อมบ่ต้องกลั๋ว”
“มึงกับกูบ่มีทางรอดแน่แล้วอีเม้ย”
“ถ้าจะต้องตาย เม้ยขอตายแทนหม่อม เม้ยบ่เสียดายชีวิต เม้ยจะปกป้องหม่อมด้วยชีวิตของเม้ยเอง”
“มึงจะยะจะได”
“หม่อมโยนความผิดทั้งหมดมาหื้อเม้ย เม้ยจะฮับไว้คนเดียว”
บัวเงินอึ้งไป
ด้านล่าง บริวารแตกฮือ เพราะทหารบุกกันเข้ามาถึงภายใน ศิริวัฒนาคุ่มแค้นก้าวฉับๆเข้ามา ศิริวงศ์กับมณีริน ก้าวตามแทบไม่ทัน อกสั่นขวัญแขวน
ศิริวัฒนากับ ศิริวงศ์ นำทหารเข้ามาถึงในห้องรีดผ้า
“บัวเงิน”
บัวเงินตกใจหันมา เม้ยคลานเข้ากอดขาบัวเงิน ร้องไห้ฟูมฟาย
“เม้ยผิดไปแล้วกะเจ้าหม่อม ยกโทษหื้อเม้ยด้วย”
บัวเงินหันไปตวาดด่าเม้ยทันที
“อีสารเลว...คนกิ๋นบนเฮือนขี้ฮดบนหลังคา อย่างมึงเกิดมาเป๋นคนได้จะได อีคนอกตัญญู”
เม้ยกราบเท้า บัวเงินจิกหัวเม้ย แล้วตบไม่เลี้ยง ศิริวัฒนา...มณีริน มองตกใจ
“ปอได้แล้วบัวเงิน” ศิริวัฒนาห้ามเสียงเข้ม
“น้องเพิ่งฮู้ความจริงว่า อีสารเลวนี่มันยะอะหยังลงไป น้องละอายใจ๋นักตี้หลงผิด เลี้ยงงูพิษไว้กับตั๋ว”
“จับตั๋วมันไปทั้งคู่นั่นแหละ”ศิริวัฒนาสั่ง
ทหารจะกรูกันเข้ามาจับบัวเงินกับ เม้ย เม้ยลนลานคลานเข้ามากราบศิริวัฒนา
“เจ้าอ้าย...”
“ระยำทั้งนายทั้งบ่าว บุญคุณเจ้าหลวงท่วมหัว พวกมึงคิดฮ้ายต่อเปิ้นได้จะได สัตว์เดรัจฉานบางอย่างมันยังฮู้ว่าผู้ใดเป็นนายมัน”ศิริวัฒนาด่าอย่างโกรธจัด
บัวเงินรีบตีหน้าเศร้า
“เจ้าอ้าย น้องบ่ฮู้เรื่องอะหยังทั้งสิ้น”
ศิริวัฒนาจ้องหน้า
“บ่ต้องมาแก้ตั๋ว ขี้ข้ามันจะกล้ายะเรื่องอัปรีย์ได้จะได ถ้านายมันบ่สั่ง”
“หม่อมเปิ้นบ่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ข้าเจ้ายะเองคนเดียว” เม้ยยืนยัน
“กูบ่เชื่อ ผีฮ้ายตัวไหนมันดลใจมึงอีเม้ย”
“ข้าเจ้าแค้นใจ ที่เจ้าหลวงเปิ้นสั่งโบยข้าเจ้า ยาสั่งนั่นข้าเจ้าก็หามาเอง ใส่ยาลงในสำรับข้าเจ้าก่อยะเอง”
บัวเงินรีบทำเป็นโกรธเม้ยมากหันมาจิกด่า
“อีสารเลว กูหลงเลี้ยงคนผิดมานมนาน กูบ่คิดเลยว่ามึงจะชั่วชาติจะอี้”
บัวเงินจิกหัวกบาลแล้วตบเม้ยอีกชุดใหญ่ เม้ยยอมให้ตบ ล้มคว่ำคะมำหงายไปมา
“เจ้าหลวงเปิ้นอยู่เหนือหัวมึง มึงยังคิดปองฮ้ายได้ มึงมันบ่ใจ่คนแล้ว”
บัวเงินคว้าเตารีดเหล็กบนเตาถ่านขึ้นมากำแน่น จิกหัวอีเม้ยไว้ มณีรินตกใจที่บัวเงินกำลังจะทำในสิ่งที่เกินความคาดหมาย บัวเงินนาบเตารีดร้อนลงไปบนหน้า เม้ยกรีดร้องดิ้นทุรนทุราย
“โทษตัดหัวเจ็ดชั่วโคตรก่อยังบ่สาสมความผิดของมึง อีเม้ย”
เม้ยพล่านทุรนทุราย จนไปจนมุมมุมหนึ่ง ดึงมีดปลายแหลมในฝักที่เหน็บเอวอยู่ออกมา เงื้อมีดขึ้นสุดแขน แต่สายตาของมันมองมาที่บัวเงินอย่างสั่งเสียครั้งสุดท้าย
ศิริวงศ์ต้องเบือนหน้าหนีภาพความสยดสยอง มณีรินแทบกรีดร้อง อีเม้ยจ๊วงแทงตัวเองไม่ยั้ง ศิริวัฒนาสยองจนต้องเบือนหน้าหนี บัวเงินจ้องมองความเด็ดเดี่ยวของอีเม้ยตาไม่กะพริบ น้ำตาไหลออกมาซึ้งน้ำใจมันที่สุด เม้ยค่อยๆแน่นิ่งลงไปหลังจากแทงตัวเองตาของมันยังลืมโพลง
+ + + + + + + + + + + +
พระชายา ประทับอยู่กับเจ้าหลวง บนตึกใหญ่ ได้รับฟังเรื่องราวจากศิริวัฒนาแล้วตกใจมาก
“พุทโธ ธัมโม สังโฆ เกิดเรื่องจะอี้ได้จะได”
“ตี้พ่อเจ้าบ่สบาย ก่อเพราะมันแอบใส่ยาสั่งลงในสำรับพ่อเจ้า”
“มันยะจะอั้น มันหวังอะหยัง” เจ้าหลวงถามอย่างสงสัย
“มันว่ามันแค้นใจ๋ ตี้ป้อเจ้าสั่งโบยมันหนก่อน ลูกก่อบ่คิดว่ามันผูกใจ๋เจ็บป้อเจ้าจนกล้ายะ เรื่องเลวทรามจะอี้”
“แล้วอีบัวเงิน มันว่าจะได มันเป๋นนายเป๋นบ่าวกั๋น”
“ก่อนมันแทงตั๋วต๋าย มันว่ามันยะเรื่องนี้ลำพัง นายมันบ่ได้ฮู้เห็นเป๋นใจ๋”
ศิริวงศ์ยังคาใจแต่พูดไม่ออก
“สั่งลงไป...ศพมันให้เอาไปทั้งในป่า ให้สัตว์เดรัจฉานฉีกกินเนื้อมันบ่ต้องฝัง บ่ต้องเผา บ่ต้องยะพิธีอะหยังหื้อมันทั้งสิ้น” เจ้าหลวงสั่งเสียงเข้มอย่างเจ็บแค้นใจ
พระชายาได้แต่ปลงอนิจจัง ศิริวงศ์อึ้งไปเหมือนกัน
+ + + + + + + + + + + +
คำเที่ยงไม่เชื่อว่าเม้ยทำตามลำพัง พูดกับมณีรินอย่างเย้ยหยัน
“มันคงคิดว่าตัวมัน ได้ต๋ายอย่างมีศักดิ์ศรีแล้วละมัง”
“ปี้คำเที่ยง...อโหสิกรรมหื้อเปิ้นไปเต๊อะ อย่าหื้อมีอะหยังติดค้างในใจ๋เพราะไหน ๆเปิ้นก่อต๋ายไปแล้ว” มณีรินบอกปลงๆ
คำเที่ยงยกมือพนมท่วมหัว
“ไปตี้ชอบ ตี้ชอบของมึงเต๊อะอีเม้ย...สาธุ...บ่มีขี้ข้าอย่างอีเม้ยเสียคน หม่อมบัวเงินเปิ้นคงจะสงบเสงี่ยมลงได้พ่องละเน้อเจ้าริน”
มณีรินนิ่ง คำพูดของบัวเงิน ยังก้องอยู่ในหัว
“เจ้าริน...เจ้าริน”
“อะหยัง ปี้คำเที่ยง”
“หมดเรื่องหมดราวแล้ว ตี้นี่เจ้ารินก่อตั้งใจทอผ้าตุ๊มผืนนั้นหื้องามๆเลยเน้อ”
มณีรินเศร้าไปอีกครั้ง...
+ + + + + + + + + + + +
ศิริวงศ์กับสล่าพันคุยกันอยู่ในสวน ศิริวงศ์ทอดถอนใจ...
“เฮาบ่คิดว่านังเม้ยมันจะตัดสินใจ๋จะอี๊”
“มันคงฮักนายมันนักขนาด ถึงได้ปกป้องนายมันด้วยวิธีนี้นะครับเจ้า”
“อ้ายพัน...อ้ายคิดว่าบ่มีนังเม้ยเหียคน เอื้อยบัวเงินจะหมดเขี้ยวเล็บจริงๆก่อ”
“ผมบ่แน่ใจ๋หรอกเจ้า แต่เต่าตี้ผ่านมา อย่างนึงตี้ผมหันเป๋นสัจธรรม ถ้าเฮาคิดดีสิ่งชั่วร้ายก่อทำอะหยังเฮาบ่ได้หรอก คนชั่วอย่างใดก่อต้องแป้ภัยตั๋วเองครับเจ้า”
ศิริวงศ์นิ่งงันครุ่นคิดตาม
+ + + + + + + + + + + +
ค่ำคืนนั้น....
มณีรินเดินออกมาในสวน ร่างนึงที่ซุ่มซ่อนตัวอยู่ ฉุดดึงมณีรินหายเข้าไปหลังต้นไม้ใหญ่ เจ้าของร่างนั้นคือ ศิริวงศ์ เขากอดรัด จูบมณีรินอย่างดูดดื่ม สักครู่มณีรินผละออกมา
“เฮามารอตั๋วตั้งแต่หัวค่ำ เฮาฮู้ว่าจะไดตั๋วก่อต้องลงมาหาเฮา”
“เฮาข่มตาหื้อหลับลงบ่ได้แม้แต่นาทีเดียว เพราะเฮาฮู้ว่าตั๋วต้องอยู่ตรงไหนสักแห่งบ่ไกลเฮา”
“ตั๋วทรมานจิตใจ๋เฮานักขนาด เจ้านางน้อย”
ศิริวงศ์จูบมณีรินแล้วต้องชะงัก เพราะน้ำตาของเธอไหลอาบแก้ม
“จะไดตั๋วไห้”
“เฮากำลังยะความผิดมหันต์ เจ้าน้อย ความฮักมันกำลังทำร้ายเฮา เฮาเจ็บปวดทรมานนัก”
ศิริวงศ์กอดมณีรินไว้ ตัวเองก็ไม่ได้รู้สึกแตกต่างกันเลย
คำเที่ยงที่นอนหลับอยู่ ควานหาผ้าห่มที่หลุดจากตัว ห่มกระชับแล้วลืมตาขึ้นนึกเป็นห่วงมณีริน คำเที่ยงคลานเข้ามาข้างเตียงมณีริน เอาหน้าแนบมุ้งดูความเรียบร้อย แล้วต้องชะงักเมื่อในมุ้งไม่มีร่างของนายหญิงของตนแล้ว คำเที่ยงหันไปทางประตู เห็นประตูถูกเปิดอ้าค้างไว้ ก็ชะงักไป...
มณีรินยังอยู่ในอ้อมกอดของศิริวงศ์
“ถ้าเฮามีความกล้ากว่านี้ เรื่องร้าย ๆ มันอาจจะบ่เกิดขึ้นก่อได้ เฮาบอกเอื้อยบัวเงินไปแล้ว แต่จะไดเฮาบ่มีความกล้าปอ ตี้จะบอกความจริงจากใจ๋ของเฮาหื้อเจ้าอ้ายของตั๋วฟัง”
“ตั๋วปล่อยเรื่องนี้หื้อเป๋นหน้าที่ของเฮาเต๊อะ เฮาเป็นลูกป้อจาย เฮาจะเป๋นฝ่ายบอกเจ้าอ้ายของเฮาเอง เฮาเจื่อว่าเจ้าอ้ายจะต้องเข้าใจ๋เฮาสองคน”
ศิริวงศ์เช็ดน้ำตาให้มณีรินด้วยการจูบอันนุ่มนวล
“หยุดไห้เต๊อะเจ้านางน้อย บ่มีอะหยังสายเกินไป ทำใจหื้อสบายเฮาบ่มีวันทอดทิ้งเจ้านางน้อยหรอก ปิ๊กขึ้นตำหนักเต๊อะ”
ทั้งสองจูบลากันอย่างดูดดื่ม ก่อนที่มณีรินจะผละออกมา แต่เมื่อก้าวออกมาได้แค่สองสามก้าว ก็ต้องชะงัก ศิริวงศ์ที่ก้าวตามออกมาจากหลังต้นไม้ก็ต้องชะงักไปเหมือนกัน เมื่อพบว่าคำเที่ยงยืนตะลึงตัวแข็งอยู่ไม่ไกลนักรู้เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง มณีรินพูดออกมาด้วยเสียงอันแผ่วเบา
“ปี้คำเที่ยง”
+ + + + + + + + + + + +
หลังจากที่แยกจากมณีรินมา ศิริวงศ์กำลังจะเดินขึ้นบันไดตึกใหญ่ ศิริวัฒนาออกมายืนปากประตูห้องเห็นพอดีจึงเรียกไว้
“เจ้าน้อย”
ศิริวงศ์เสียวสันหลังวาบ หันกลับมา
“น้องไปไหนมา”
“น้องนอนบ่หลับ เลยลงมาอ่านหนังสือในห้องสมุดครับเจ้าอ้าย”
“อ้ายก็เพิ่งออกมาจากห้องสมุด เดี๋ยวนี้เอง”
“น้องอ่านหนังสือเล่มใดก่อบ่เข้าหัว ก็เลยออกไปเดินเล่นในสวน”
“เฮาก็เลยคลาดกันเนาะ เครียดอะหยังถึงนอนบ่หลับ”
“บ่มีอะหยังครับ เจ้าอ้าย”
“ขอบใจ๋ตั๋วเน้อ”
“เรื่องอะหยังครับ”
“ตั๋วเป๋นหูเป๋นตาแตนอ้ายหลายๆ เรื่องแม้แต่เรื่องเจ้าริน ขอบใจ๋จ๊าดนัก”
ศิริวงศ์กระอักกระอ่วน เพราะตั้งตัวไม่ทัน
“ตั๋วมีอะหยังจะอู้กับอ้ายก่อ”
ศิริวงศ์นิ่งคิดเขาจะพูดตอนนี้เลยดีไหม ศิริวัฒนามองหน้าน้องชาย
“ท่าทางตั๋วเหมือนมีอะหยังอยากจะฮู้”
ศิริวงศ์ตัดสินยังไม่พูดตอนนี้ดีกว่า
“บ่ครับ...บ่มีอะหยัง”
“ดึกแล้ว ขึ้นนอนกั๋นเต๊อะ”
ศิริวัฒนากอดคอศิริวงศ์ขึ้นบันไดไปด้วยกัน
+ + + + + + + + + + + +
มณีรินกลับเข้าห้องนอนมากับคำเที่ยง คำเที่ยงร้องไห้น้ำตาไหลพราก
“มันเกิดขึ้นได้จะไดเจ้าริน...”
“เฮาพยายามแล้วปี้คำเที่ยง แต่เฮาห้ามใจ๋ตั๋วเองบ่ได้”
“จะอี้แล้วปี้จะมีหน้าปิ๊กไปเข้าเฝ้าป้อเจ้า แม่เจ้า ที่เชียงตุงได้จะได ปี้บ่มีปัญญาดูแลเจ้ารินหื้อดีอย่างตี้เปิ้นสั่งมาได้...ปี้อยากต๋ายเจ้าริน ปี้อดสูใจ๋นัก”
“ปี้คำเที่ยง ความฮักมันบ่เข้าไผออกไผ มันกำหนดกฎเกณฑ์บ่ได้ มันเป๋นเรื่องบุญทำกรรมแต่งกั๋นมา เฮากับเจ้าน้อยฮักกัน มันเป๋นความจริงตี้เกิดขึ้นแล้ว เฮาสัญญาฮักกั๋นแล้ว”
“ตี้บ่อยากแต่งกับเจ้าอ้ายของเปิ้น ก่อเพราะเหตุนี้นี่เอง เจ้าริน น๊อ...เจ้าริน แล้วทีนี้จะยะ
จะไดกัน”
“เฮาฮู้ว่าปี้คำเที่ยงตุ๊กใจ๋นักขนาด แต่ความจริงมันก่อต้องเป๋นความจริงเน้อ ปี้คำเที่ยงต้องยอมฮับมันหื้อได้”
“แล้วเจ้ารินคิดว่า คนอื่นเปิ้นจะยอมฮับมันได้ก๊า เจ้าศิริวัฒนาเปิ้นเตรียมงานแต่งไปแล้วเน้อเปิ้นจะว่าจะได ถ้าเปิ้นฮู้ความจริง ปี้กลั๋วนักขนาดเจ้ารินปี้กลั๋ว”
มณีรินเข้ามากอดคำเที่ยงไว้
“ถึงเวลานั้น อะหยังจะเกิดมันก็ต้องเกิด ปี้คำเที่ยง เฮาบ่กลั๋ว เฮาบ่กลั๋ว”
มณีรินพร่ำปลอบใจตัวเอง ท่ามกลางความเย็นเยือกหนาวสะท้าน
+ + + + + + + + + + + +
ดึกคืนนั้น ของสดของคาวหลายอย่างถูกจัดใส่กระทงวางไว้บนตั่ง ทั้งห้องมีแสงสลัวๆจากเทียนที่จุดอยู่เพียงเล่มเดียว...บัวเงินจุดธูปดอกเดียวไหว้ผี แล้วปักธูปลงหยิบห่อผ้าขาวเล็กๆที่ห่อเส้นผมของเม้ยออกมาคลี่เปิด
บัวเงินมองเส้นผมของบ่าวผู้ภักดี แล้วนึกถึงคำพูดของมันครั้งสุดท้ายก่อนสิ้นใจตายจาก
‘...ถึงเม้ยมีอันเป๋นไป หม่อมก่อบ่ต้องเสียใจ๋ หม่อมตัดผมกลางกระหม่อมของเม้ย ไว้เก็บฮักษาไว้หื้อดี ทุกคืนวันโกนขึ้นหนึ่งค่ำสิบห้าค่ำ แรมหนึ่งค่ำสิบห้าค่ำ หม่อมหาของมาเลี้ยงเม้ยด้วยของสดของคาว เรียกหาเม้ย เม้ยจะมาฮับใจ้หม่อมทุกอย่างตี้หม่อมสั่ง เม้ยบ่ได้จากไปไหนจะอยู่ฮับใจ้หม่อมตลอดไปเจ้า...’
บัวเงินบรรจุปอยผมอีเม้ยลงในตลับไม้ทั้งน้ำตา
“อีเม้ย...บ่มีมึง กูสิ้นหวังในชีวิตนัก มึงอยู่ตี้ใด มาปรากฏตั๋วหื้อกูได้หัน มากิ๋นของอย่างตี้มึงสั่งเสียไว้เต๊อะอีเม้ย...มึงได้ยินกูก่อ กูคิดถึงมึงนัก บ่มีผู้ใดซื่อสัตย์ต่อกูเต่ามึงแล้ว อีเม้ย มากิ๋นเครื่องเซ่นของกูเต๊อะ”
สิ้นคำของบัวเงิน เกิดลมกรรโชกแรงเข้ามา ทางหน้าต่างผ้าสะบัดปลิว เทียนดับวูบ บัวเงินหันขวับไปมอง มวลสารไม่มีรูปทรงชัดเจน รวมตัวกันเป็นสายสีเทาดำไหลพุ่งเข้ามาทางหน้าต่างวนรอบตัวบัวเงินแล้วไหลลงกองกับพื้น ตรงหน้าของบัวเงิน มวลสารสีเทาดำนั้นค่อยๆ เลื่อนออกกลายร่างเป็นผีอีเม้ยที่หมอบอยู่ ครั้งแรกที่เผชิญหน้ากับผีอีเม้ย บัวเงินแทบช็อคเหมือนกัน
“หม่อมกะเจ้า ทูนหัวของเม้ย”
+ + + + + + + + + + + +
วันต่อมา...มณีรินก้มหน้าก้มตาทอผ้าอย่างมีสมาธิ ผ้าตุ๊ม เพิ่งเริ่มทอได้สักคืบ คำเที่ยง ยืนมองอยู่นานก่อนจะเดินเข้ามาหา
“เจ้าริน จะบ่ายแล้วเน้อ พักกิ๋นข้าวก่อนเต๊อะ”
“เฮาบ่หิว”
“ยังมีเวลาอีกถมเถเน้อ เจ้าริน”
“เฮาบ่ได้ทอผ้าผืนนี้สำหรับงานแต่งงาน แต่เฮาทอหื้อคนตี้เฮาฮัก”
คำเที่ยงพูดไม่ออก ค่อยๆถอยออกไป...มณีรินตั้งหน้าตั้งตาทอผ้าต่อไป
บนตึกใหญ่คุ้มเจ้าหลวง...
บัวเงินกราบพระชายา พูดเศร้าๆ
“เจ้าหลวงเปิ้นคงจังข้าเจ้านัก”
“บ่หรอก บัวเงินเจ้าก่อเหมือนลูกเหมือนหลานคนนึง เปิ้นจะจังเจ้าได้จะไดเรื่องบ่ดีตี้มันเกิดขึ้นเจ้าบ่ได้เป๋นคนก่อเสียหน่อย”
ศิริวัฒนามองบัวเงินอย่างชิงชัง
“หาบริวารตี้ดีบ่ได้ ก่ออย่ามีเสียเลยดีกว่า บริวารตี้ดีก่อเป๋นศรีแก่นาย บริวารเป๋นจะไดนายมันก่อเป๋นจะอั้นละ”
ศิริวัฒนาลุกเดินออกไปอย่างไม่ใยดี บัวเงินหน้าเศร้าสลดลง
“แม้แต่เจ้าอ้ายก่อจังน้ำหน้าข้าเจ้านัก”
พระชายาถอนหายใจ
“เจ้าอย่าคิดมากไปเลยบัวเงิน อีกสักพักพอลืมๆ เรื่องนังเม้ย อะหยังๆ ก่อจะดีขึ้นเอง ตั๋วเจ้าก่อหมั่นขยันทำความดีเอาไว้เต๊อะ บ่เสียหลายหรอก”
บัวเงินที่ดูเหมือนสงบเยือกเย็น แต่ในใจร้อนรุ่มด้วยไฟแค้น
+ + + + + + + + + + + +
มณีรินกับ คำเที่ยง นำบริวารอัญเชิญสำรับมื้อกลางวันขึ้นตึกมา บัวเงินกับบริวารกำลังจะกลับตำหนักต้องหยุดหลีกทางให้ขบวนมณีริน บัวเงินเหมือนก้มหน้าสงบเสงี่ยมแต่จังหวะที่มณีรินสวนมาบัวเงินประสานสายตาอย่างชาเย็นและไม่กลัวเกรง มณีรินไม่สบายใจเมื่อเจอสายตาคู่นั้น
“มีอะหยังหื้อปี้จ่วยก่อบอกเน้อ เจ้านางน้อย”
มณีรินชะงัก บัวเงินจะมาไม้ไหนอีก
“เรื่องเตรียมงานแต่งน่ะ”
“บ่เป๋นหยังหรอก เอื้อย ยินดีนัก”
มณีรินเดินนำขบวนขึ้นตึกไปทางห้องเครื่อง บัวเงินมองตามด้วยสายตาเคียดแค้น
+ + + + + + + + + + + +
กระสวยถูกสอดพุ่งไปอีกฟากของหูก พืมถูกกระแทกเข้ามา...จังหวะการทอผ้าเนิบช้า เพราะคนทอ
ใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มณีรินวางกระสวยลงว้าวุ่นใจ หยิบผ้าขาวสะอาดมาปิดคลุมผ้าที่ทอไว้เพื่อกันสิ่งสกปรก แล้วลุกออกไปจากกี่ คำเที่ยงที่เฝ้าอยู่ห่างๆ ขยับเข้ามาหา
“เจ้าริน จะไปไหน”
“เฮาต้องการความเป๋นส่วนตั๋วพ่อง ปี้คำเที่ยง”
“เดี๋ยวนี้ปี้หมดความสำคัญแล้วก๊ะเจ้าริน”
“บางเวลา คนเฮาก่อต้องการความสงบ เพื่อคิดบางอย่างด้วยตั๋วเอง ปี้คำเที่ยง”
“ถ้าจะอั้น ปี้ก่อขอหื้อคุณพระคุณเจ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลใจเจ้ารินเน้อ ว่าสิ่งตี้เจ้ารินกำลังยะอยู่ มันบ่ ถูกบ่ ควร เจ้ารินต้องคิดถึงป้อเจ้าแม่เจ้าที่เชียงตุงหื้อนักๆเน้อ”
มณีรินเดินออกไป คำเที่ยงมองอย่างหนักใจ
+ + + + + + + + + + + +
มณีรินเดินเข้ามาในห้องหนังสือ ต้องการมุมสงบสักมุมเพื่อดับความว้าวุ่นใจ หนังสือมากมายในตู้ไม่สามารถดึงความสนใจเธอได้เลย มณีรินพาตัวเองเข้าไปในซอกมุมหนึ่ง แล้วต้องชะงักเมื่อพบว่า ศิริวงศ์อยู่ที่นั่น ทั้งสองสบตากันในระยะห่างพอสมควร แต่แล้วเหมือนมีแรงดึงดูด ทั้งสองเคลื่อนเข้าหากันด้วยแรงสเน่หาอันร้อนเร่า
ขณะเดียวกันนั้น ศิริวัฒนาเดินลงมาจากชั้นบน มองหาศิริวงศ์ สล่าพันผ่านมาพอดีเขาจึงเรียกไว้
“อ้ายพัน”
“ครับเจ้า”
“หันเจ้าน้อยเปิ้นก่อ เฮาจะถามธุระเรื่องงานสักหน่อย สงสัยจะอยู่ในสวน อ้ายพันจ่วยไปโตยหาเปิ้นหื้อเฮาหน่อยเต๊อะ”
“เจ้าน้อยเปิ้นบ่ได้ลงสวนนี่ครับเจ้า รู้สึกว่าเปิ้นอยู่ในห้องหนังสือ”
“อ้าว...เหรอ ขอบใจ๋เน้ออ้ายพัน”
ศิริวัฒนาเดินตรงไปที่ห้องหนังสือ
ศิริวงศ์กับมณีริน กอดจูบกันอยู่ ในซอกลึกของห้อง สักครู่มณีรินก็ผละออกจากการจูบ
“เฮาบ่ชอบสายตาตี้ปี้คำเที่ยงที่ผ่อเฮา มันเต็มไปด้วยการตำหนิติเตียน” มณีรินเล่า
“เฮากำลังหาโอกาสเหมาะๆ ตี้จะฮู้กับเจ้าอ้ายเปิ้นอยู่ เจ้านางน้อยรออีกสักน้อยเต๊อะ”
ทันใดนั้น ประตูห้องถูกเปิดเข้ามา ทั้งสองชะงัก ศิริวัฒนาก้าวเข้ามาในห้องร้องเรียก
“เจ้าน้อย...เจ้าน้อย”
ทั้งสองตกใจ ศิริวงศ์ตัดสินใจไม่แสดงตัว แต่พามณีรินหลบเข้ามุมมิดชิด ทั้งคู่เบียดกันเป็นร่างเดียว
ในมุมแคบๆนั้น
ศิริวัฒนาเดินมามองหา เกือบจะถึงซอกที่ทั้งคู่ซ่อนตัวกันอยู่แต่แล้วกลับเปลี่ยนใจ มณีรินกับศิริวงศ์ลุ้นกลั้นหายใจ...เหมือนนานชั่วกัปชั่วกัลป์ สักครู่ศิริวัฒนาก็เดินกลับออกไป ทั้งสองยังคงกอดกันนิ่งอยู่อย่างนั้น
สล่าพันเดินมาที่เฉลียงทางเดิน เห็นศิริวัฒนาเดินมาพอดี
“บ่ปะเจ้าน้อยก้าครับเจ้า”
ศิริวัฒนาส่ายหน้า
“บ่ปะ”
“ผมหันกับตาว่าเจ้าน้อยเปิ้นอยู่ในนั้นนะครับ เอ...รึว่าจะออกไปตั้งแต่ตอนไหน”
“ช่างเต๊อะ บ่เป๋นหยัง”
ศิริวัฒนาเดินจากไป สล่าพันครุ่นคิดยังคาใจ
มณีรินยังหลบอยู่ในซอกกับศริวงศ์ เธอนิ่งคิดแล้วใจหาย
“ถ้าเฮาสองคนมีอันต้องพรากจากกัน...”
“บ่...อย่าอู้จะอั้น เจ้านางน้อย เพราะเฮาสองคนจะบ่มีวันพรากจากกั๋น”
“แม้แต่ความต๋ายกา”
“แม้แต่ความต๋าย เจ้านางน้อยจงมั่นใจ๋ในตั๋วเฮาเน้อ เจ้านางน้อย คือฮักแรก ฮักแต๊และจะเป๋นฮักเดียวของเฮาตลอดไป”
ศิริวงศ์พูดด้วยน้ำเสียงมั่นคงเขากอดเธอเอาไว้แน่น มณีรินอบอุ่นและมั่นใจขึ้นมาก ความหวาดกลัวมลายหายไปสิ้น
สล่าพันที่นั่งทำงานอยู่ เงยหน้าขึ้นจากงานและเห็น ศิริวงศ์เปิดประตูออกมาจากห้องหนังสือ ท่าทางเหมือนไม่อยากให้ใครเห็น แล้วเดินออกไปทางนึง
“อ้าว...เจ้าน้อยก่ออยู่ในห้องนั้น จะไดเจ้าอ้ายเปิ้นบ่ปะ”
สล่าพันขยับจะตามไปบอกศิริวงศ์ ว่าศิริวัฒนาตามหา แต่ต้องชะงักค้างเมื่อพบว่า มณีรินเปิดประตูออกมาจากห้องเดียวกัน และแยกออกไปอีกทาง สล่าพันตัวแข็งไม่กล้าขยับเขยื้อน สิ่งที่พบเจอจะหมายความเป็นอื่นไปได้อย่างไร...
ดึกคืนนั้น...
กลุ่มมวลสารสีเทาดำ เคลื่อนผ่านพระจันทร์ และไหลเข้าไปในเรือนของบัวเงิน พร้อมกับเสียงร้องโหยหวน ผีอีเม้ยปรากฏตัวและคลานเข้ามาหาบัวเงิน
“หม่อมกะเจ้า...เม้ยฮู้แล้วว่าหม่อมจะเล่นงาน อีมณีรินมันได้จะได”
ผีอีเม้ยกรีดเสียงหัวเราะสะใจ
อ่านต่อหน้า 2
รอยไหม (ต่อ)
ค่ำนั้น ศิริวงศ์เล่นพิณเปี๊ยะ ดุดันมั่นใจในความรัก อันยิ่งใหญ่ สล่าพันฟังด้วยความเครียด ศิริวงศ์เล่นเพลงจบลงมอง สล่าพันอย่างอยากจะฟังคำวิจารณ์ สล่าพันนั่งนิ่งแล้วถอนใจ
“จะได ถอนใจ๋...อ้ายเพลงของเฮาบ่ม่วนก๊ะ”
“ถ้าเจ้าคิดเข้าข้างตั๋วเอง เจ้าก่อม่วนของเจ้าคนเดียว คนอื่นบ่ม่วนกับเจ้าหรอก”
“อ้ายจะบอกอะหยังเฮา”
“ความลับมันบ่มีในโลกนี้หรอกเน้อเจ้า”
ศิริวงศ์ รู้ทันทีว่าสล่าพันรู้แล้ว
“ความสุขของเจ้า คือความทุกข์ของคนอื่นแต๊ๆเน้อ”
ศิริวงศ์นิ่งเครียดไปทันที
ด้านคำเที่ยงพยายามเตือนมณีรินเรื่องของศิริวงศ์ แต่มณีรินไม่ฟังและพยายามอธิบาย
“ถ้าเปิ้นฮู้จักความฮัก เข้าใจ๋ความฮัก เฮาแน่ใจ๋ว่าเปิ้นจะต้องเข้าใจ๋เฮากับเจ้าน้อยเหมือนกั๋น”
“ปี้เลี้ยงปี้ดูแลเจ้ารินมาแต่ละอ่อน อะหยังตี้เป๋นความสุขของเจ้าริน ก่อเป๋นความสุขของปี้เหมือนกั๋น แต่อย่างนึงตี้ปี้อยากจะเตือนเจ้ารินเน้อ...ถ้าเจ้าศิริวัฒนาเปิ้นจะฮู้ความจริง ก่อขอหื้อเปิ้นฮู้จากปากเจ้าน้อย หรือเจ้ารินเน้ออย่าหื้อเปิ้นฮู้จากปากคนอื่นเด็ดขาด”
มณีรินขอบใจคำเที่ยงด้วยการขยับเข้ากอด
+ + + + + + + + + +
หลังจากได้รู้จากผีอีเม้ยว่าแท้จริงแล้วมณีรินรักกับศิริวงศ์ และได้ลักลอบพบกัน บัวเงินหัวเราะด้วยความสาแก่ใจ แล้วค่อยๆเปลี่ยนหน้าตาเป็นอาฆาตแค้น
“มึงยะการได้ถูกใจ๋กูนักอีเม้ย มันคงคิดว่าบ่มีมึงแล้วกูจะสิ้นเขี้ยวเล็บ”
“หม่อมต้องรีบฉวยโอกาสทองนี้นะเจ้า”
“เออ...กูฮู้...แต่ไหนๆกูจะได้เล่นงานอีมณีรินหื้อมันได้ฮับความอับยศอดสูจนถึงที่สุดแล้ว กูจะหื้อเจ้าอ้ายจับหื้อได้คาหนังคาเขา กูอยากหันน้ำหน้าเจ้าอ้ายนัก ตี้คิดว่ามันเลอเลิศเป๋นนางฟ้านางสวรรค์ แต้จริงแล้วมันสกปรกโสมมปานใด”
บัวเงินยิ่งคิดยิ่งสะใจ
+ + + + + + + + + + + +
เช้าวันต่อมา....ในปัจุบัน
เรรินที่นั่งฟุบหลับคาสมุดบันทึกของสล่าพันอยู่บนโต๊ะ
“คุณเรรินเจ้า...คุณเรริน” เสียงบัวซอนดังขึ้น
เรริน รู้สึกตัวตื่นงุนงง บัวซอนเคาะประตูเรียกยังดังอยู่ เรรินลุกไปเปิดประตู
“คุณเงียบไปเมิน หนูนึกว่าคุณบ่สบาย เพราะหนูหันว่าสายแล้วจะฮ้องฮื้อคุณไปกิ๋นข้าวเจ้า...”
“ฉันรู้สึกว่าเพิ่งหลับไปเมื่อตอนเช้ามืดนี่เอง”
“คุณนอนบ่หลับเพราะคงแปลกตี่”
“เปล่าหรอกจ้ะ ฉันอ่านสมุดบันทึกของคุณปู่เธอเพลินไปหน่อย”
“โอ้โฮไม่หน่อยละมังคะ ขนาดอ่านทั้งคืนอย่างนี้” บัวซอนพูดขำๆ
เรรินยิ้มแหยๆให้บัวซอน
+ + + + + + + + + + + +
สุริยวงศ์ก้าวเข้ามาในห้องของบัวเงิน วงพระจันทร์ที่มานั่งอยู่ก่อนแล้ว ขยับเข้าหาบัวเงิน
“หลานชายคนโปรดมาแล้วค่ะคุณย่า”
บัวเงินหันมาทางสุริยวงศ์
“มาฟ้องอะไรคุณย่าอีกล่ะวงพระจันทร์” สุริยวงศ์ถามอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก
“คนที่มัวปิดหูปิดตาตัวเอง ไม่ยอมรับความเป็นจริงนั่นแหละคนโง่ แต่คนที่รู้ทั้งรู้ว่าความจริงคืออะไรแล้วยังทำเป็นไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดีล่ะ สุริยะ”
ธนินทร์ที่ทำเป็นห่วงสงบเสงี่ยมอยู่มุมนึง ลุกขึ้นแสดงตัว สุริยวงศ์หันไปเห็นธนินทร์
“ผัวเปิ้นมาแสดงตั๋วจะอี้ ยังจะทนคบหามันอยู่ได้จะได บ่ฮู้จักอับอายขายหน้าเปิ้นก๊ะสุริยะ” บัวเงินต่อว่าเสียงเข้ม
สุริยวงศ์เหนื่อยใจ
“ผมกับคุณริน คบหากันด้วยความบริสุทธิ์ใจครับคุณย่า”
“แต่บ้านผมเขาเรียกเป็นชู้ กับเมียชาวบ้าน” ธนินทร์พูดสวนขึ้น
บัวเงินหน้าเสีย
“ถ้าแกยังคิดจะนับถือย่าอยู่ แกต้องเลิกคบหาอีแม่หญิงสารเลวคนนี้”
สุริยวงศ์เหนื่อยใจจะพูด เดินเครียดออกมา ธนินทร์ตามออกมา
“ลื้อเอาเมียอั๊วไปซ่อนที่ไหน”
“คุณรินกลับกรุงเทพฯไปแล้ว”
“ไอ้โกหก”
วงพระจันทร์ตามออกมา
“สุริยะ...ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ดีเด่อะไร นอกจากคุณจะต้องกินเดนของเหลือจากคนอื่นแล้ว คิดบ้างรึเปล่าว่าจะซวยขนาดไหนถ้าจู่ๆมันบอกว่าท้องกับคุณขึ้นมา”
สุริยวงศ์ วงพระจันทร์เหยียดๆ
“อย่าดูถูกคนอื่นอย่าเอาตัวเองเป็นมาตรฐาน...วงพระจันทร์”
วงพระจันทร์เจ็บจี๊ดร้องลั่น
“กริ๊ด...ด...”
สุริยวงศ์ จ้องหน้า ธนินทร์
“ถ้าคุณดีพอ...คุณรินก็จะกลับไปหาคุณเอง ไม่มีใครกักขังหน่วงเหนี่ยวเธอไว้ได้หรอก”
สุริยวงศ์เดินออกไป ธนินทร์เดือดดาลในขณะที่วงพระจันทร์เต้นเร่าๆ
+ + + + + + + + + + + +
สุริยวงศ์หงุดหงิดมากที่ วงพระจันทร์ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเขามากเกินไป จึงมาระบายกับวันดาราที่รีสอร์ท วันดาราโมโหวงพระจันทร์ ที่เอาเรื่องสุริยะวงศ์ไปฟ้องบัวเงิน
“วงพระจันทร์นี่ ทำตั๋วน่าเกลียดขึ้นทุกวัน มันเรื่องอะหยังต้องเอาเรื่องนี้ ไปกวนใจ๋คนใหญ่เปิ้นตวย” “นิสัยวงพระจันทร์ เขาเป๋นจะอั้นอยู่แล้วนี่ครับเอื้อย”
“ปี้แปลกใจ๋แต๊ๆ เจอกั๋นก่อแค่ครั้งสองครั้ง ยังบ่ตันฮู้จักนิสัยใจ๋คอเลย จะไดคุณย่าถึงได้จงเกลียดจงชังคุณรินเปิ้นนัก”
สุริยวงศ์หน้าเครียดเป็นกังวล
“ตอนนี้ผมห่วงคุณรินนักกว่าครับเอื้อย”
“ปี้ไปส่งเปิ้นถึงสนามบินแต๊ๆนะสุริยะ”
“เป๋นไปได้ก่อครับเอื้อย ตี่จริงแล้วเธออาจจะยังอยู่ในเจียงใหม่นี่แหละ”
“มีเหตุผล อะหยังล่ะ”
สุริยวงศ์นึกถึงห้องทอผ้า นึกถึงความมุ่งมั่นในการทอผ้าผืนนั้นขึ้นมาได้ทันที
+ + + + + + + + + + + +
ธนินทร์เป็นเดือดเป็นแค้นมาหา พรรณวรินทร์ที่โรงแรม บอกให้รู้ว่าสุริยวงศ์บอกว่าเรรินกลับกรุงเทพฯไปแล้ว พรรณวรินทร์จึงกลับไปที่บ้าน
“แม่โทรเข้าบ้านตั้งหลายครั้งแล้ว เด็กที่บ้านบอกว่าเรรินยังไม่ได้กลับไป”
“ไอ้บ้านี่มันต้องเอาตัวรินไปซ่อนแน่ๆครับคุณแม่ ผมว่าเราไปแจ้งความกันดีกว่า ให้ตำรวจจัดการมันจะได้กลัวขึ้นมาบ้าง”
“แม่ว่ามันอาจจะไม่เหมาะนะธนินทร์ ถ้ามันเป็นคดีความกันขึ้นมาคนที่จะเสียหายน่ะ เรรินนะลูก”
"คุณแม่จะเอายังไงกันแน่ครับ จะเอาตัวรินเขากลับมา หรือจะรักษาชื่อเสียงนามสกุล”
“ทำไมจะต้องให้แม่เลือกด้วย ในเมื่อทั้งสองอย่างสำคัญพอๆกันแม่ ต้องรักษาไว้ให้ได้ทั้งสองอย่าง”
“หวังมากไปรึเปล่าครับคุณแม่ ป่านนี้คงเน่าไม่เหลืออะไรดีแล้ว”
พรรณวรินทร์ไม่พอใจนัก กับคำพูดของธนินทร์
“ธนินทร์...ทำไมพูดอย่างนี้”
“ไม่อย่างนั้นจะหนีตามมันหายจ้อยยังงี้ เหรอครับคุณแม่”
ธนินทร์เดินหัวเสียออกไป พรรณวรินทร์นั่งหน้าเครียดอย่างหนักใจ
+ + + + + + + + + + + +
สุริยวงศ์เดินเข้ามาถึงหน้าห้องทอผ้า แล้วหยุดมองเห็นประตูห้องทอผ้าถูกปิดตาย ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ สุริยวงศ์ใจคอแห้งแล้งเหี่ยวเฉา สักครู่เรรินค่อยๆโผล่มาจากอีกทาง ตั้งใจว่าจะมาดูลาดเลา เผื่อจะมีทางเข้าไปทอผ้าต่อได้
แต่แล้วเธอก็ต้องชะงักเมื่อเห็นสุริยวงศ์ยืนอยู่ เรรินรีบหลบเข้ามุมตึกทันที...สุริยวงศ์ ถอนใจครุ่นคิด
สุริยวงศ์ เดินมาถึงเรือนคำเที่ยงเห็นบัวซอนกำลังถูเรือนอยู่ที่เฉลียงจึงเรียก
“บัวซอน”
บัวซอนหันมาเห็นยกมือไหว้
“สวัสดีเจ้าคุณสุริยะ”
“บัวซอนอยู่เฝ้าเฮือนหลังนี้ตลอดใจ่ก่อ”
“เจ้า ถ้าบ่มีธุระอะหยังก่ออยู่เฝ้าตลอดละเจ้า”
“หมายความว่า ถ้าไผเข้าออกใจ้ประตูคุ้มด้านนี้ บัวซอนก่อหันใจ่ก่อ”
บัวซอนพยักหน้ารับ
“เจ้า แต่ปกติบ่มีคนใจ้หรอกเจ้า มีอะหยังกะเจ้า”
“บ่มีอะหยัง...เฮาแค่ถามดู...”
สุริยวงศ์จะเดินกลับไปแต่แล้วเปลี่ยนใจ
“แต่ถ้ามีไผตี้บ่ใจ่คนของคุ้มเข้าออกตรงนี้ บัวซอนส่งข่าวหื้อเฮาฮู้ตวยเน้อ”
เรรินซ่อนตัวอยู่ในเรือนมองเห็น สุริยวงศ์ยังคุยอยู่กับบัวซอนแล้วทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้
+ + + + + + + + + + + +
สุริยะวงศ์เดินมาที่หน้าพิพิธภัณฑ์ แล้วไปถามหาเรรินกับไหมแม
“คนตี้เปิ้นว่า เปิ้นเป๋นอาจารย์สอนทอผ้าใจ่ก่อเจ้า”
“ใจ่...เธอกลับมาตี่นี่แหมก่อ”
“บ่หันเลยนะเจ้า เมินแล้วตั้งแต่เปิ้นก่อเรื่องเอาไว้...”
ไหมแมหยุดกึกเพราะหลุดปากออกมา สุริยวงศ์สงสัย
“เรื่องอะหยัง”
ไหมแมอ้อมแอ้ม
“ก่...ก่...ข้าเจ้าผิดเอง ตี้ปาเปิ้นไปชมผ้าตี้ทอบ่เสร็จผืนนั้น เผลอแผล็บเดียวเปิ้นลงไปนั่งทอผ้าผืนนั้นต่อเลย หลังจากนั้นในห้องนั้นก่อมีแต่เรื่องแปลกๆเจ้า...คุณสุริยะอย่าบอกคนอื่นนะเจ้า ข้าเจ้าขอร้อง บ่จะอั้นข้าเจ้าต้องเดือดร้อนแน่”
สุริยวงศ์พยักหน้ารับคำ
“ข้าเจ้าจำได้แล้วเปิ้นจื่อเรริน เจ้า คุณสุริยะมีธุระอะหยังกับเปิ้นเจ้า”
“บ่มีอะหยัง...บ่มีอะหยัง”
สุริยวงศ์เดินกลับออกไป
ทางด้านเรรินนั้น เมื่อสุริยะกลับไปแล้ว เรรินออกจากที่ซ่อนตัวเข้ามาหาบัวซอน
“ขอบใจมากบัวซอน”
“หนูขออนุญาตถามได้ก่อ เจ้ายะหยังคุณต้องคอยหลบเปิ้นตวย”
“ฉันมีความจำเป็นบางอย่าง...ธุระสำคัญที่ฉันกำลังทำให้เขาต้องลำบากใจ”
“หนูจะบ่ถามหรอกเจ้าว่าธุระสำคัญของคุณคืออะหยัง เพราะหนูเจื่อว่าคุณบ่ได้ยะเรื่องบ่ดี”
เรรินยิ้มขอบใจบัวซอน
+ + + + + + + + + + + +
ในพิพิธภัณฑ์ ผ้าซิ่นเชียงตุงของเจ้านางมณีริน ถูกแขวนกับเสื้อ รองเท้า เครื่องประดับต่างๆ ถูกจัดวางไว้อย่างสวยงาม
สุริยวงศ์ยืนมองมุมหนึ่งเป็นพิเศษและดูเหมือนว่าจะมีแรงดึงดูดบางอย่าง ทำให้เขาขยับเข้าไปหาภาพถ่ายโบราณที่จัดประกอบฉากอยู่นั้น มันคือภาพถ่ายเจ้านางมณีรินกับเจ้าศิริวัฒนา สุริยวงศ์ตะลึงขนหัวลุกเมื่อเห็นใบหน้าเจ้านางมณีรินเต็มตา
“คุณริน...”
ด้านเรริน เมื่อกลับเข้าไปที่ห้อง เรรินพลิกหน้าสมุดบันทึกของสล่าพัน อ่านอย่างตั้งอกตั้งใจ ทันใดนั้นเหมือนมีแสงแฟลชถ่ายรูปสว่างวาบ ภาพเหตุการณ์ในอดีตเข้ามาในจิตใต้สำนึกของเรริน
มณีรินนั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องนั่งเล่นของคุ้มเจ้าหลวง ช่างภาพมุดออกมาจากโปงผ้าแล้วเอ่ยบอก
“รูปต่อไป เจ้าถ่ายกับพระคู่หมั้นครับ”
ศิริวัฒนาหันไปชวนศิริวงศ์
“เจ้าน้อย...เข้าไปถ่ายตวยกั๋นเต๊อะ”
“เชิญเจ้าอ้ายเต๊อะครับ”
“บ่ ๆๆ ถ่ายตวยกั๋นเอาไว้ผ่อเป๋นที่ระลึก...”
ศิริวัฒนาลากตัวศิริวงศ์เข้าไปในฉากจนได้ แถมจัดแจงที่ทางให้ศิริวงศ์ยืนเสร็จสรรพ คำเที่ยงกับสล่าพัน ช่วยจัดข้าวของตกแต่งฉากให้เข้าที่ลงตัวด้วยความอึดอัดใจ
บัวเงินนั่งมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเงียบสงบ ทั้งที่อยากเห็นพิรุธของทั้งคู่ชู้รักให้เต็มตาสาแก่ใจ ศิริวัฒนาจัดท่าจัดทางได้แล้วหันมาหาบัวเงิน
“งามก่อ...บัวเงิน”
บัวเงินปั้นยิ้ม
“งามหมดจด เหมาะสมบ่มีตี่ติเลยเจ้า”
ช่างภาพถ่ายภาพ...แฟลชสว่างวาบใส่สามคนในฉาก
เวลาต่อมา สล่าพันกับศิริวงศ์ออกมายืนคุยกันในสวน
“เรื่องบางเรื่องจะหื้อได้ผลดี ต้องใจ้เวลา แต่บางเรื่องรอคอยหื้อเวลาผ่านไปเนิ่นนาน ยิ่งบ่เป๋นผลดีเน้อครับเจ้า”สล่าพันเตือน
“เฮาฮู้ อ้ายพัน แต่จะหื้อเฮายะจะไดเฮาบ่มีโอกาสเลย เฮาฮ้อนใจ๋เน้อ บ่ได้ดูดาย”
ขณะเดียวกันนั้นเสียงของศิริวัฒนาก็ดังขึ้น
“ฮ้อนใจ๋อะหยัง ดูดายอะหยัง เจ้าน้อย”
สล่าพันกับศิริวงศ์ เงียบงันไปทันที เพราะศิริวัฒนาเข้ามา
“อ้าว...เลยปากั๋นเงียบไปหมด มีอะหยังเป๋นความลับกั๋นหืออ้ายพัน”
สล่าพันหลบตา
“บ่มีอะหยังครับเจ้า”
ศิริวัฒนาหันไปยิ้มให้น้องชาย
“มีปัญหาหัวใจ๋จะได บ่ปรึกษาอ้าย...เจ้าน้อย ปรึกษาอ้ายพันจะได้เรื่องจะได” ศิริวัฒนาหัวเราะแซว
“น้องบ่ได้มีปัญหาอะหยัง กำลังปรึกษาอ้ายพัน เรื่องลำนำตี่แต่งที่จะขับวันพิธีของเจ้าอ้ายนั่นแหละครับ”
“จะไดเคร่งเครียดนักขนาดขับกั๋นสดๆวันงานยังได้เลย”ศิริวัฒนาหัวเราะอารมณ์ดี “ อ้ายพัน เครื่องทองคำของขวัญตี่เฮาจะหื้อเจ้ารินเปิ้นนะไปถึงไหนแล้ว พาเฮาไปผ่อได้ก่อ”
“ได้ครับเจ้า เชิญครับ”
ศิริวัฒนาออกไปกับสล่าพัน ศิริวงศ์นิ่งเครียดหนักใจ
+ + + + + + + + + + + +
มณีรินจกไหมคำสร้างลายบนผ้าตุ๊มอย่างเหม่อลอย...ขนเม่นร่วงหลุดจากมือหล่นลงพื้น ศิริวัฒนาเอื้อมเข้ามาเก็บขนเม่นขึ้นมาให้ มณีรินคิดว่าเป็นศิริวงศ์ยิ้มให้ แต่รอยยิ้มนั้นเหือดไปทันทีเมื่อเห็นเป็นศิริวัฒนา
“ยินดีเจ้า”
“ใครๆในโลกนี้ก่อต้องอิจฉาอ้ายกั่นทั้งนั้น เพราะผ้าตุ๊มผืนนี้เป๋นผ้าตุ๊มตี่งามตี่สุด”
“ผ้ายังทอได้บ่ถึงคืบจะหันว่างามได้จะใด”
“งามด้วยความตั้งใจ๋ของคนทอ”
มณีรินอึ้งไป ศิริวัฒนายิ้มปลื้มใจ
“ขอบใจ๋เน้อเจ้าริน ตี่ตอบแทนความฮักของอ้าย ด้วยเส้นไหมสีขาวบริสุทธิ์จนเป๋นผ้าผืนนี้”
มณีรินยิ้มไม่ออก
“เจ้าน้อยศิริวงศ์เปิ้นบ่นว่า แต่งลำนำตี่จะขับในวันแต่งงานของเฮาบ่อออก...อ้ายว่าเปิ้นน่าจะมาผ่อเจ้ารินทอผ้าผืนนี้เนาะ ได้หันเจ้าริน เปิ้นต้องเกิดแฮงบันดาลใจ๋พ่องละ”
มณีรินนิ่งอึ้งไปทันที
คึกดื่นคืนนั้น ศิริวงศ์ ร่างจดหมายภาษาอังกฤษติดต่อคู่ค้าให้ศิริวัฒนา ใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เพราะมัวหาจังหวะจะเปิดอกพูดกับพี่ชาย ศิริวัฒนาเช็นเอกสารอยู่ที่โต๊ะทำงานใหญ่หันมาถาม
“มีอะหยังอ้ายต้องเช็นแหมก่อ”
“จดหมายฉบับนี้ยังร่างบ่เสร็จเลยครับเจ้าอ้าย”
“บ่เป๋นหยัง ฉบับนั้นยังบ่ต้องรีบร้อนเอาไว้อ้ายปิ๊กมาเช็นก่อได้”
“เจ้าอ้ายจะไปไหน”
“เฮาต้องพาตัวแทนฝรั่ง ขึ้นไปผ่อไม้ตี่สาละวิน กว่าจะได้ปิ๊กก่อคงสามสี่วัน อ้ายฝากงานทางนี้ตวยเน้อ”
ศิริวงศ์นิ่งคิดควรจะคุยตอนนี้เลยดีไหม แต่ก็ไม่กล้า
“ครับเจ้าอ้าย”
ศิริวัฒนาหาวนอนลุกขึ้นจากโต๊ะหันไปถามน้องชาย
“มีอะหยังจะอู้กับอ้ายแหมก่อ”
“บ่ครับ”
“จะอั้นอ้ายขึ้นนอนก่อนเน้อ วันพูกต้องออกเดินทางแต่เจ้า”
ศิริวัฒนาเดินออกไปทิ้ง ศิริวงศ์หงุดหงิดตัวเองที่ไม่กล้าพูดความจริงออกมาทั้งๆที่มีโอกาส
+ + + + + + + + + + + +
เช้าวันใหม่...
วันนี้เป็นวันพระ...บริวารเตรียมอัญเชิญดอกไม้ ที่จัดในโตกถวายพระสำรับอาหารสำหรับถวายพระพร้อมเดินทางไปวัด
“เฮาคงไปบ่ไหวหรอกปี้คำเที่ยงเฮาปวดหัวตุบๆ” มณีรินบอก
คำเที่ยงถอนใจ
“นี่ละน้าจนดึกจนดื่นก่อยังจุดเตียนจกผ้า บ่ยอมหลับยอมนอน”
“ปี้คำเที่ยงไปวัดกับละอ่อนเต๊อะ”
“บัวคำ...เอ็งอยู่ตี่นี่คอยดูและเจ้ารินเน้อ บ่ต้องไปหรอก” คำเที่ยงสั่งบ่าว
มณีรินส่ายหน้า
“บ่เป๋นหยังไปกั๋นเต๊อะ เฮานอนพักบ่เมินก่อคงหาย”
คำเที่ยงมองอย่างห่วงใย
+ + + + + + + + + + + +
ในศาลาการเปรียญ คำเที่ยงกับบริวารช่วยกันลำเลียงของถวายพระขึ้นจัดวาง
“อ้าวคำเที่ยงแล้วเจ้านางน้อยบ่ได้มาก๊ะ”พระชายาถามอย่างสงสัย
“เจ้ารินเปิ้นปวดหัวกะเจ้าเปิ้นขอนอนพักอยู่ตี่ตำหนักกะเจ้า”
บัวเงินที่นั่งอยู่ด้วย ฟังอย่างตั้งใจ
“เป๋นอะหยังนักก่อ ปวดหัวอย่างเดียวหรือมีไข้ตัวฮ้อนตวย”พระชายาถามอย่างห่วงใย
คำเที่ยงรายงานอาการป่วยของมณีรินกับพระชายา บัวเงินมองๆอย่างไม่ชอบมาพากล
ด้านมณีริน เมื่อคำเที่ยงกับบริวารออกจากเรือนไปแล้ว ก็รีบตรงไปที่ห้องหนังสือ เมื่อเข้าไปพบศิริวงศ์ ทั้งสองโผเข้ากอดกันอย่างคิดถึงกันสุดหัวใจ
“เฮานึกว่าตั๋วไปวัดกับแม่เจ้า”
“เฮาบอกปี้คำเที่ยงว่าเฮาบ่สบาย”
“เจ้าอ้ายก่อบ่อยู่ เปิ้นไปแม่ฮ่องสอน”
“กว่าไผต่อไผจะปิ๊กจากวัดก่อคงบ่าย”
“กว่าเจ้าอ้ายจะปิ๊กมาก่อหลายวัน”
“อิสรเสรีภาพแม้จะเป๋นช่วงเวลาสั้นๆแต่ก่อมีค่านัก”
ศิริวงศ์จูบมณีริน มณีรินขืนตัวห้ามไว้ทั้งคู่สบตากัน
ศิริวงศ์พามณีรินมาเที่ยวในตลาด ทั้งสองแหวกฝ่าผู้คนพากันลัดเลาะไปในตลาด ไม่ยอมปล่อยมือออกจากกันโลกนี้เหมือนมีกันอยู่เพียงสองคน
เมื่อออกมาจากตลาด ทั้งสองก็เข้ามาอยู่ในป่าที่สวยงาม
“ถ้าตั๋วสารภาพความจริงกับเจ้าอ้ายของตั๋วแล้ว เปิ้นยอมฮับบ่ได้ตั๋วจะยะจะได” มณีรินถามขึ้นอย่างกังวล
ศิริวงศ์นิ่งไปนิด
“เฮาฮู้จักเจ้าอ้ายของเฮาดีเปิ้นต้องเข้าใจ๋เฮาสองคน...ตั๋วบ่ต้องกังวลไปเลย...”
“ถ้าเฮาเกิดมาเป๋นไอ้น้อยอีน้อยคนธรรมดา...เฮาคงมีความสุขกั๋นกว่า นี้ความผิดของเฮาสองคนคงจะบ่ใหญ่หลวงเต่าอี้...ใจ่ก่อ”
“ถ้าความฮักเป๋นความผิด จะไดคนถึงถูกสร้างหื้อเกิดมามีความฮักตวย ประเพณีมันก่อแค่สิ่งตี่คนเฮาสร้างขึ้นมาตีกรอบตัวเองเต่าอั้นเจ้านางน้อย”
ศิริวงศ์จูบปลอบใจมณีริน
+ + + + + + + + + + + +
เวลาผ่านไป....
ศิริวงศ์ดีดพิณเปี๊ยะดังกังวานก้องหวานและทรงพลัง มณีรินตระกองกอดคนรักไว้
ศิริวัฒนานั้นสงสัยอยู่แล้วว่า มณีรินกับศิริวงศ์ต้องมีอะไรกัน ตั้งแต่ที่เขาตามหาศิริวงศ์ในห้องหนังสือ เมื่อคืนที่ผ่านมา ศิริวัฒนาโกหกน้องชายว่าไปแม่ฮ่องสอน แต่แท้จริงแล้วเขาแอบตามทั้งสองมาห่างๆ
ศิริวัฒนายืนอยู่มุมนึงมองทั้งสองอย่างเจ็บปวดรวดร้าวใจ
ศิริวงศ์มาส่งมณีรินในสวน เมื่อเห็นว่าสายมากแล้ว
“ปี้คำเที่ยงคงยังบ่ตันปิ๊กมาจากวัดหรอก ตั๋วส่งเฮาแค่นี้ก่อปอ”
“คืนนี้เฮาจะมารอตั๋วในสวนนี่เน้อ”
“รอไปเต๊อะ เฮาบ่ลงมาหรอก”
“จะไดใจ๋ฮ้ายนัก”
“เฮากั๋ว”
“กั๋วอะหยัง มีเฮาอยู่ทั้งคน”
มณีรินยิ้มหลบสายตา
“เฮาบ่ยะอะหยังตั๋วหรอก แค่อยากหันหน้าตั๋วเฉยๆ”
“เฮาบ่เจื่อหรอก หันหน้ากั๋นมาทั้งวันแล้วบ่เบื่อก๊ะ”
“บ่...”
“เฮาบ่ลงหรอก”
“จะอั้นเฮาจะรอยันเจ้า”
“ก่อตามใจ๋ตั๋ว”
มณีรินผละออกไป แต่ก็หันกลับมายิ้มให้ก่อนจะจากไป ศิริวงศ์ครึ้มใจ หันกลับหลังจากมณีรินเดินจะกลับตึกใหญ่พอพ้นแนวไม้บัง ศิริวงศ์ก็สะดุ้งเฮือก เมื่อพบว่า ศิริวัฒนายืนนิ่งหน้าตาเรียบเฉยอยู่
“เจ้าอ้าย”
+ + + + + + + + + + + +
มณีริน มาถึงตำหนักแล้วต้องชะงัก เมื่อคำเที่ยงออกมาอย่างร้อนใจ
“เจ้าริน...หายไปไหนมา...ปี้ตวยหาจนทั่ว”
“เฮาก่อเดินเล่นอยู่แถวนี้ละ”
“แล้วหายปวดหัวแล้วก๊ะถึงออกไปเดินเล่น”
“หายแล้ว...”มณีรินหาทางเปลี่ยนเรื่อง “แม่เจ้าถามถึงเฮาก่อ”
“ถาม แต่มีเรื่องน่าห่วงกว่านั้น...เจ้าศิริวัฒนาเปิ้นมาตี่นี่”
มณีรินใจหายแว๊บ
“มาได้จะได ก่อไหนเปิ้นว่าเปิ้นไปสาละวิน”
“ปี้ก่อบ่ฮู้...เปิ้นมาถึง..บ่อู้อะหยังสักกำนั่งก่อบ่นั่ง เปิ้นนิ่งเฉยจนน่ากลัวเน้อเจ้าริน”
มณีรินหน้าตื่นตกใจ
+ + + + + + + + + + + +
ศิริวงศ์งุนงงที่ ศิริวัฒนาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร ศิริวัฒนายิ้มเย็น
“โจคดีแต๊ๆไปได้บ่ตันถึงดอยสะเก็ดรถก่อเกิดเสีย...เหมือนมันบ่อยากหื้ออ้ายไปจะอั้นละ ปี้ก่อเลยตัดสินใจ๋ปิ๊กมา...ยกเลิกนัดออกไปก่อน”
ศิริวงศ์คอแห้งผาก
“เจ้าอ้าย”
“ตี่นี่ก่อมีงานต้องยะต้องสะสางอีกนักขนาด...”
ศิริวงศ์หน้าซีดพูดไม่ออก
“จดหมายตี่ตั๋วร่างไว้เสร็จรึยังล่ะ เจ้าศิริวงศ์” ศิริวัฒนาจงใจเรียกชื่อเต็มๆ
“ครับ...เสร็จแล้วครับ เจ้าอ้าย”
“ตรวจทานดูดีแล้ว พร้อมตี่จะหื้อปี้ผ่อแล้ว...ใจ่ก่อ”
ศิริวงศ์นิ่งไปนิดก่อนจะตอบ
“ครับ”
ศิริวัฒนายิ้มเหือดแห้งก่อนจะเดินนำออกไปอย่างห่างเหิน ศิริวงศ์เหมือนถูกสาบให้กลายเป็นหินอยู่ตรงนั้น ก่อนจะเดินตามศิริวัฒนาออกไป
ค่ำนั้น ในห้องบัวเงิน ผีอีเม้ยยื่นหน้าเข้ามาด้วยความสะใจ
“กาหนัง-กาเขา กะเจ้าหม่อม”
บัวเงินหัวเราะสะใจมาก
“มึงบ่รอดแน่ อี...มณีริน บ่เมินหรอกกูจะอดใจ๋ไว้ผ่อวันตี่มึงกลายเป๋นมณีร่วง”
+ + + + + + + + + + + + +
เจ้าหลวงกับพระชายา นั่งเคลิ้มฟังพิณเปี๊ยะฝีมือ ศิริวงศ์ กับสล่าพัน
ศิริวงศ์ เล่นพิณเต็มไปด้วยความกังวล คำเที่ยง นั่งก้มหน้าไม่เกิดสุนทรีใดๆกับเสียงเพลงเลย มณีรินใจคอก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ศิริวัฒนา นิ่งขรึมยากจะคาดเดาอารมณ์ สายพิณเปี๊ยะของศิริวงศ์ขาดคาพิณเพราะแรงดีด เพลงสะดุดจนสล่าพันก็ต้องหยุดเล่นหันมามองศิริวงศ์ ทุกคนเหมือนถูกกระชากอารมณ์กลับมาสู่ความเป็นจริงกันถ้วนหน้า
“อ้าว สายขาดเสียได้ ป้อกำลังฟังเพลินๆอยู่ทีเดียว” เจ้าหลวงพูดขึ้น
“สายมันคงเก่าแล้วน่ะครับป้อเจ้า” ศิริวงศ์บอกเสียงเรียบ
ศิริวัฒนาลุกขึ้นยืน
“ลูกขอตั๋วขึ้นข้างบนก่อนนะครับ”
“อ้าว แล้วบ่เดินไปส่งเจ้านางน้อยเปิ้นก๊ะลูก” พระชายาถาม
ศิริวัฒนาหันมองคำเที่ยงแล้วประชด
“นังคำเที่ยงคงดูแลเจ้ารินเปิ้นได้ เพราะตี่ผ่านมาก่อดูแลได้เป๋นอย่างดี นี่ครับ”
คำเที่ยงก้มหน้าอยากตาย ศิริวัฒนามองมณีรินด้วยสายตาเจ็บช้ำ
“สุมาเน้อเจ้าริน อ้ายฮู้สึกบ่ค่อยสบาย จะไดก่อหื้อเจ้าน้อยไปส่งก่อแล้วกั๋น”
มณีรินอึ้งเครียด
“บ่เป๋นหยังหรอกเจ้า ข้าเจ้าปิ๊กกับปี้คำเที่ยงกับละอ่อนได้”
“ลูกขอตั๋ว ป้อเจ้าแม่เจ้า...”
ศิริวัฒนาลุกเดินออกไป ศิริวงศ์หายใจไม่ทั่วท้อง มณีรินกังวลใจรับรู้ได้ในสายตาคู่นั้นของศิริวัฒนา
(อ่านต่อวันพรุ่งนี้)