หอบรักมาห่มป่า ตอนที่ 13
ดนัยกับฉวีวรรณปลอมตัวเป็นลูกน้องของธานี ทั้งคู่สวมชุดหมี ใส่หมวกแก้ปปิดบังใบหน้าเพื่ออำพราง ทั้งสองหยิบเอาปืนจากสมุนที่สลบไปแล้วค่อยๆ ย่องออกมา ดนัยเห็นฉวีวรรณท่าทางเลิกลักๆ ไม่มั่นใจก็สะกิด
“อกผายไหล่ผึ่งหน่อยสิ เดี๋ยวมันก็จับได้หรอก”
ฉวีวรรณพยายามยืดตัว ปรับลุคให้ตัวเองดูเหมือนผู้ชายมากขึ้น เอาหมวกลดลงบังหน้าไว้
“เอาไงต่อล่ะ” ฉวีวรรณถาม
“กลับไปรายงานตัวที่โรงเก็บไม้”
ดนัยพูดอย่างมุ่งมั่นแล้วเดินนำไป โดยมีฉวีวรรณเดินตามมา แต่เพราะเอาหมวกปิดหน้าแทบมิด ฉวีวรรณเลยชนต้นไม้เข้าให้
“โอ๊ย”
“โก๊ะอีก มานี่”
ดนัยรีบเข้ามาดึงฉวีวรรณ แล้วจูงมือวิ่งออกไป
ดนัยจูงฉวีวรรณเข้ามาที่หน้าโรงเก็บไม้มุมหนึ่ง เห็นคนงานเดินขวักไขว่ ดนัยกับฉวีวรรณพยักหน้าให้กัน แล้วทั้งสองเก็กทำเป็นคนงานเดินปนเข้าไปในหมู่คนงานหมู่หนึ่งเดินเข้าไปในโรงไม้อย่างเนียนๆ
เมื่อเข้าในโรงไม้ ดนัยกับฉวีวรรณเดินเข้ามา แล้วพยายามมองหา
ดนัยกระซิบถาม “ไอ้ชั่วสามตัว มันไปมุดหัวอยู่ที่ไหน”
ฉวีวรรณกระซิบตอบ “นั่นสิ พวกมันหายไปไหน คืนนี้จะได้หลักฐานมั้นเนี่ย”
ทั้งสองมัวแต่มองไปมองมา กาซูเดินลิ่วๆ เข้ามา
“เฮ้ย ตกลงห้องทำงานเป็นอะไร”
ฉวีวรรณสะดุ้ง ดนัยชะงักไปนิดนึง ทั้งสองคนรีบก้มหน้า
“ข้าถามไม่ได้ยินหรือไง”
ดนัยมองหน้ากับฉวีวรรณ แล้วจับหมวกให้หลุบลงไป หันไปตอบกาซู
ดนัยดัดทำเสียงทุ้มต่ำ “ไม่มีอะไรหรอกนาย คอมพิวเตอร์มันช็อตน่ะ”
กาซูมองเขม่น ขยับเข้ามาใกล้อีก
“แน่ใจหรือวะ”
ดนัยกลั้นใจตอบไปในท่าทีปกติ “ครับ”
ดนัยกับฉวีวรรณรีบก้มหน้างุดจะเดินไป แล้วกาซูเรียกเสียงเข้มเหมือนรู้ทัน
“เดี๋ยว”
ทั้งสองสะดุ้งชะงัก ลุ้นอีก
ดนัยดัดเสียง “ครับนาย”
กาซูเดินเข้ามาเหมือนจับได้ แล้วดันถามอย่างอื่น “หมวกสวยดี ซื้อที่ไหน”
ดนัยโล่งอก “ในเมืองครับ”
ดนัยรีบคว้ามือฉวีวรรณจูงออกไปเลย กาซูมองตามแบบรู้ทันแล้ว ยิ้มกริ่ม
“หึ หึ พวกมันคงซื้อได้แต่หมวก แต่ไม่เคยมีปัญญาหาซื้อความฉลาดมาเติมใส่หัวสมอง”
ดนัยกับฉวีวรรณรีบเข้าไปช่วยสมุนอื่นๆ ขนไม้ขึ้นไปตั้งเรียงๆ กัน ฉวีวรรณไม่ค่อยมีแรงยกไม้ เซไปเซมา ดนัยต้องรีบเข้ามาช่วย
กาซูตามเข้ามา เพ่งกระแสจิตตรงไปหาทั้งฉวีวรรณ กับดนัย จู่ๆ เวลานั้นก็มีลมแรงพัดเข้ามา หมวกที่ทั้งสองใส่อยู่เปิดขึ้น
“หวี”
ดนัยเอามือปิดผมให้ฉวีวรรณไม่ทัน เห็นผมฉวีวรรณปลิวสยาย ขณะที่หมวกปลิวหายไป
กาซูชี้ไปที่ทั้งสองสั่งจับทันที
“เฮ้ย ! จับได้สองคนนี้ไว้เร็ว”
บรรดาสมุนหันขวับพุ่งเข้ามาหมายจะจับ ดนัยรีบกระชากแขนฉวีวรรณ
“มานี่เร็ว”
ดนัยกับฉวีวรรณตกใจ วิ่งปีนขึ้นบนกองไม้ที่เรียงต่อกัน แล้วเตะไม้ในกอง ไหลเทลงมาหล่นใส่พวกสมุน จนแตกกระจายไป พอพวกมันพากันตั้งหลักได้ ก็ควักปืนออกมาระดมยิงใส่ดนัยกับฉวีวรรณทันที
ดนัยพาฉวีวรรณวิ่งหลบ จังหวะนั้นดนัยหยิบปืนออกมายิงสู้บ้าง แล้วกระโจนหนีออกจากโรงไม้ไป
“ตามไป”
กาซูตะโกนสั่งพวกสมุนที่เหลือให้ไล่ตามทั้งสองไป
ดนัยกับฉวีวรรณวิ่งหนีมาในป่า แล้วหันกลับไปยิบสมุนอื่นๆ วิ่งไล่ยิงมา ดนัยวิ่งไปยิงไป
“หยิบปืนออกมาสิหวี”
ฉวีวรรณล้วงปืนออกมาจากกระเป๋า แต่ก็ยิงออกไปอย่างเก้ๆ กังๆ
สมุนยิงโต้กลับมา โดนกิ่งไม้จะหล่นใส่
“ว้าย”
ฉวีวรรณก้มหลบ ดนัยรีบยิงป้องกันให้ แล้วพากันหนีต่อไป เสียงปืนดังกึกก้องไปทั่วป่า
ธนวัติเอาปืนจี้หัวแจ๋ กิมจิ และบุญทิ้งอยู่ ขู่อย่างหนัก
“ไม่ว่าแกจะมีเหตุผลอะไรที่มาที่นี่ แกก็ไม่สมควรมีชีวิตอยู่”
ธนวัติเตรียมลั่นไก แต่แล้วกลับมี ลูกปืนทะลุหน้าต่าง เข้ามาโดนโคมไฟในห้องแตกกระจาย ทั้งหมดตกใจ หลบให้วุ่น
ธานีเซถลาลงไปล้มตรงโต๊ะเครื่องแป้ง ตลับแป้งฝุ่นที่อุ๊บอิ๊บเปิดทิ้งค้างไว้ ร่วงลงมา หกเลอะเต็มหน้า ธานีฉุน
“ใครวะ ใครกล้าเหยียบจมูกเสือวะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เสือหรือแพนด้าตกถังแป้งอ่ะ” กิมจิหัวเราะออกมา
“สำรวจหนังหน้าตัวเองสักนิดก่อนคิดจะกร่างนะเสี่ย”
สามสหาย แจ๋ กิมจิ บุญทิ้ง หัวเราะชอบใจ ธานีฉุน เพิ่งรู้ว่าหน้าเลอะเทอะ ปัดแป้ง โวยวาย
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ปัญญาอ่อนจริงๆ”
“อย่าให้รู้นะว่าฝีมือใคร ฉันไม่ปล่อยมันไว้แน่”
จังหวะนั้นเองสมุนคนหนึ่ง ก็วิ่งเข้าประตู มารายงานน้ำเสียงตื่นๆ
“นายครับ ๆ นายกาซูให้มาบอกว่า เจอลูกสาวนายศิริกับนายดนัยแล้วครับ”
“อะไรนะ”
“นายกาซูเพิ่งไล่มันผ่านมาทางนี้ ท่าทางจะเตลิดไปที่ป่าข้างหลังนี่ล่ะครับ”
ธนวัติเสียงเข้มอย่างเอาเรื่อง “ไอ้ดนัย ฉันระเบิดสมองแกเอง”
ทั้งสามสะดุ้งเฮือกอย่างตกใจ
“แย่แล้ว ดนัย ยายหวี”
อุ๊บอิ๊บจะวิ่งออกไปหาดนัย
“พี่ดนัย”
ธานีคว้ามืออุ๊บอิ๊บไว้พร้อมกับสั่ง “ไม่ต้อง แกอยู่เฝ้าไอ้สามคนที่นี่”
“ป๊าอ่ะ อุ๊บอิ๊บจะไปหาพี่ดนัย”
ธานีเอาจริง “หุบปาก แล้วทำตามที่ฉันสั่ง”
อุ๊บอิ๊บจ๋อยไป ธนวัติกราดปืนใส่ทั้งสามขู่ขึ้นมาอีก
“อย่านึกว่าจะรอด เดี๋ยวฉันจะกลับมาจัดการกับพวกแก”
ธนวัติกับธานีรีบวิ่งออกไป อุ๊บอิ๊บงงไปหมดว่าเกิดอะไรขึ้น แจ๋ กิมจิ และบุญทิ้งหน้าเสีย รู้ว่างานเข้าดนัยกับฉวีวรรณแน่เพราะพวกมันยกขบวนไปกันหมด!!
เวลาเดียวกันนั้นสางโปที่นั่งสมาธิสะดุ้งเฮือกขึ้นมา วินยามองอย่างตกใจ
“มีอะไรเหรอสางโป”
สางโปลืมตาขึ้นมาอย่างวิตก
“ไอ้กาซูมันเจอดนัยกับเด็กผู้หญิงคนนั้นแล้ว”
“ดนัย ฉวีวรรณ”
ทองอินลุกพรวดขึ้น แต่วินยารีบห้าม
“พี่ทองอิน เดี๋ยวก่อน”
“จะให้พี่นั่งรอแบบนี้ไม่ได้นะวินยา เด็กพวกนั้นไม่ได้มีอาวุธอะไรที่จะป้องกันตัวเองได้เลย”
“ใจเย็นๆ ก่อนเถอะพี่ ดนัยไม่อยากให้พี่บุ่มบ่ามเข้าไปตอนที่พวกเขายังไม่มีหลักฐาน พี่รอฟังข่าวที่นี่ก่อนดีกว่า ฉันจะไปช่วยดนัยเอง” วินยาบอก
ทองอินอยู่ในอาการเป็นห่วงอ้าปากจะแย้ง “แต่ว่า...”
วินยารีบสวนขึ้น “ฉันรู้ทางลัด แต่ไปคนเดียวจะคล่องตัวกว่า”
วินยารีบคว้าอาวุธคู่กาย แล้วรีบวิ่งออกไป สางโปกับ ทองอินพยายามเรียกแต่วินยาไปลิ่วแล้ว
“นายน้อย” สางโปเรียกไว้
“วินยา เดี๋ยวก่อน” ทองอินส่ายหน้าอ่อนใจ แล้วหันพูดกับสางโป “เฮ้อ ดูสิ บอกให้ฉันใจเย็น แต่ตัวเองกลับวิ่งลิ่วออกไปเลย ท่าทางวินยาจะเป็นห่วงดนัยมากเลยนะ”
ธนวัติกับธานีรีบตามมาสมทบกับกาซู พร้อมด้วยสมุนอีกหมู่หนึ่ง
“ว่าไง กาซู จับตัวมันได้ไหม”
“มันหนีไม่พ้นหรอก ข้าสั่งการให้ทุกคนแยกย้ายกันล่าตัวมันแล้ว”
“แล้วเรื่องไม้ล่ะ ป๊า” ธนวัติห่วงสินค้า
“ฤกษ์ไม่ดีแล้ว บอกคนของเราให้ขนไม้ออกไปก่อน”
ธนวัติรับคำ
ดนัยกับฉวีวรรณวิ่งเตลิดมาทางป่า เห็นพวกสมุนวิ่งตามมา ดนัยมัวแต่พยายามยิงโต้ตอบกลับไป ไม่ได้มองด้านหน้าว่าอสุรกายปรากฏตัวขึ้น แต่ฉวีวรรณเห็นก่อน
“ดนัย ระวัง”
ดนัยหันขวับมา อสุรกายก็คำรามโฮก แล้วพุ่งตัวเข้ามาทันที ฉวีวรรณรีบยิงใส่ แต่กระสุนเล่นงานมันไม่ได้ อสุรกายหันไปตบฉวีวรรณคว่ำไป
“หวี”
อสุรกายหันมาเล่นดนัยอีก ดนัยก้มตัวหลบ แล้วเอาก่อนหินทุบไปที่หัวอสุรกาย แต่ไม่สะเทือนอีก อสุรกายจับมือดนัย บีบจนดนัยต้องปล่อยก้อนหิน แล้วแยกเขี้ยวจะกัด แต่ดนัยเตะเข้าที่ขาจนมันทรุดลงไป
ฉวีวรรณวิ่งมาด้านหลัง ตรงเข้าเอาไม้ฟาดอสุรกายอีก
“ปล่อยนะๆ ปล่อย”
อสุรกายร้องเจ็บปวด ปล่อยมือที่จับดนัย แต่หันไปคว้าข้อเท้าฉวีวรรณแทน
“กรี๊ด”
ฉวีวรรณร้องกรี๊ดแล้วล้มลง ดนัยตรงเข้าไปกระชาก แล้วควักปืนออกมายิงแขนอสุรกายข้างที่จับฉวีวรรณ จนมันปล่อยมือ แล้วรีบลากฉวีวรรณลุกขึ้น
อสุรกายกำแขนข้างที่เจ็บของตัวเอง หยิบกระสุนโยนทิ้งอย่างไม่ใยดี แล้วลุกขึ้นวิ่งไล่ทั้งสองไป
ดนัยพาฉวีวรรณวิ่งๆ แต่จังหวะหนึ่งฉวีวรรณวิ่งไม่ไหว ทรุดลง
“หวี ลุกขึ้นเร็ว”
“ฉันไม่ไหวแล้ว นายไปเหอะ”
“จะบ้าหรือไง ไปด้วยกัน”
ดนัยรีบอุ้มฉวีวรรณขึ้น จะวิ่งไป แต่อสุรกายตามมาทัน พุ่งเข้ามากระชากฉวีวรรณล้มไปแล้ว กระโจนใส่ดนัยทันที
“ดนัย ! ปล่อยเขานะ”
ฉวีวรรณพยายามลุกขึ้น แล้วหาอาวุธใกล้มือฟาดใส่อสุรกาย แต่โดนตบกระเด็นไปอีก อสุรกายร้ายแยกเขี้ยวจะกินดนัย ดนัยกลิ้งตัวหลบไปได้ แล้วพยายามถีบอสุรกายออกไป
จังหวังนั้นเองวินยาก็กระโดดลงมาพร้อมกับมีดพก แล้วแทงเข้ากลางหลังอสุรกาย อสุรกายร้องลั่น
“วินยา”
“รีบหนีไป เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
ดนัยพยักหน้าขอบคุณวินยา แล้วรีบเข้าไปประคองฉวีวรรณ
“กลับไปช่วยพวกแจ๋ก่อนเถอะ”
ดนัยกับฉวีวรรณรีบวิ่งย้อนกลับไปทางเดิน ในขณะที่อสุรกายคำรามลั่นหันมาต่อสู้กับวินยา
แจ๋ กิมจิ และบุญทิ้งยังคงถูกมัดอยู่ที่เดิม มีอุ๊บอิ๊บนั่งตะไบเล็บฆ่าเวลาระหว่างเฝ้าทั้งสาม
แจ๋อ้อนวอน “อุ๊บอิ๊บ ถึงเราจะไม่ถูกชะตากัน แต่พวกเราก็เป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยเดียวกันปล่อยพวกฉันไปเถอะ”
อุ๊บอิ๊บทำกวน ตะไบเล็บไม่สนใจ กิมจิต่อไม้ กิมจิโพล่งออกมา
“อุ๊บอิ๊บ ตอนนี้ดนัยกับฉวีวรรณกำลังอยู่ในอันตรายนะ ถ้าพ่อกับพี่ชายเธอรู้ว่า สองคนนั้นมาหาหลักฐานที่พ่อกับพี่ชายเธอค้าไม้เถื่อนมันต้องโดนสอยแน่ๆ”
อุ๊บอิ๊บหันขวับมาอย่างอารมณ์เสีย “แกพูดอะไร พ่อฉันเป็นนักธุรกิจ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกตัดไม้”
“คุณอุ๊บอิ๊บก็รู้ว่าผมไม่เคยพูดโกหก คุณอุ๊บอิ๊บเชื่อพวกเราเถอะครับ” บุญทิ้งพยายามอธิบาย
แต่อุ๊บอิ๊บหยิบเหยือกน้ำสาดใส่บุญทิ้ง โดนไปเต็มๆ บุญทิ้งอึ้ง
“ฮึ อย่ามาใส่ความป๊ากับพี่ฉันลอยๆ แน่จริงก็เอาหลักฐานมาให้ฉันดูสิ”
“จะมีได้ยังไง ก็พี่ชายเธอ ยึดกล้องถ่ายรูปฉันไปแล้ว” แจ๋ว่า
“นั่นไง แถไปเรื่อย นี่ถ้าหล่อนกับพวกคิดจะหลอกคนอย่างฉัน ก็หัดแต่งเรื่องให้มันเนียนหน่อยนะ เสียเวลาทำเล็บจริงๆ”
อุ๊บอิ๊บเดินกลับไปนั่งเก้าอี้ ตะไบเล็บต่อ แม้ว่าทุกคนพยายามเรียกยังไงแต่อุ๊บอิ๊บไม่สน
“อุ๊บอิ๊บ ฟังก่อนซี้ อุ๊บอิ๊บ”
ดนัยกับฉวีวรรณวิ่งย้อนกลับมา สวนทางกับธนวัติเข้าอย่างพอดี
“ไอ้ดนัย! ฉันจะส่งแกลงนรกเอง”
ธนวัติเล็งปืนจะยิง ดนัยรีบกระชากฉวีวรรณวิ่งหลบไปหลังต้นไม้ ธนวัติไล่ยิงตามไปมองหาไม่เจอ ดนัยกับฉวีวรรณซุ่มอยู่อย่างระทึกใจ
“ฉันจะล่อมันไปที่อื่น เธอไปตามพวกแจ๋กับกิมจิได้ไหม”
ฉวีวรรณพยักหน้ารับ ดนัยแตะแก้มฉวีวรรณเบาๆ แบบบอกลา แล้วพุ่งตัวออกไประดมยิงใส่ธนวัติเปรี้ยงๆๆๆ ธนวัติหันขวับหลบไป แล้วไล่ยิงตาม
ฉวีวรรณซ่อนตัวอยู่มองไปอย่างตื่นเต้นและเป็นห่วง
“อย่าเป็นอะไรนะดนัย”
ฉวีวรรณข่มความกลัวแล้วแอบวิ่งไปตามแนวต้นไม้ มุ่งหน้าไปที่บ้านพักในปางไม้
ขณะนั้นวินยายังต่อสู้กับอสุรกายอย่างดุเดือด ไปตามราวป่า
อสุรกายดึงมีดออกมาจากหลังตัวเอง แล้วปาใส่ แต่วินยากระโดดหลบ แล้วปามีดเข้าเล่นงานอสุรกายอีก
ดอก มันคำรามลั่น
“แกไม่ควรจะต้องมาเป็นทาสคนเลวๆ เลย บางทีความตายอาจจะเหมาะสมกับแกที่สุดแล้ว”
วินยาปามีดเข้าไปหาอสุรกายอีกครั้ง แต่กลับถูกมีดอีกเล่มปาเข้ามาขวางไว้จนพลาดเป้าไป
“แกต่างหากที่ควรจะลิ้มรสความตาย จะได้ตามไปอยู่กับพ่อแม่แล้วก็น้องชายของแกไงล่ะ ฮ่ะๆๆๆ”
กาซูพูดจบก็เดินออกมาจากเงามืด
“ไอ้กาซู”
วินยากระชับมีดเตรียมพร้อม กาซูหยิบกระพรวนออกมาสั่น ไล่อสุรกายไป
“หึหึหึ แน่ใจนะว่าจะสู้กับข้า บอกตรงๆ ข้าไม่อยากรังแกผู้หญิง” กาซูเยาะ
“ต่อให้ข้าเป็นแค่สุนัข ข้าก็ไม่กลัวเจ้าหรอก แถมกัดไม่ปล่อยอีกด้วย”
กาซูโมโหจัด “ปากดีนักนะ”
“อย่าเสียเวลาพูดมาก มาปิดบัญชีแค้นกันได้แล้ว”
วินยาพูดจบก็พุ่งเข้าเล่นงานกาซูทันที แต่กาซูใช้วิชาต่อสู้หลบหลีก พร้อมกับซัดวินยากระเด็นไป พอวินยาตั้งหลักได้ ก็หยิบมีดสั้นออกมาปาใส่ กาซูเป็นชุด 3-4 เล่ม
แต่มีดที่ปาออกไป เรียงบนต้นไม้เหนือหัวกาซู อย่างเฉียดฉิว กาซูหลบจนเสียหลัก
วินยาพุ่งเข้าไปเล่นงานกาซูอีก
ทางด้านดนัยวิ่งหลบกระสุนของธนวัติไปตามราวป่า แล้วหลบซ่อนตัว พยายามจะยิงตอบโต้ไปบ้าง แต่กระสุนหมดเสียก่อน เลยหันรีหันขวางหาอาวุธอื่น
ธนวัติวิ่งมาในป่าทึบ มองหาดนัยไม่เจอ แต่ได้ยินเสียงเหยียบใบไม้ผ่านไป เลยหันมอง ดนัยโผมาจากด้านหลัง เอาไม้ฟาดล้มไป
“โอ๊ย ไอ้ดนัย”
ธนวัติเอื้อมมือจะหยิบปืนแต่ปืนกระเด็นไปไกลแล้ว ดนัยรีบโผเข้าไปจะคว้าไว้ แต่โดนธนวัติดึงไว้ ดนัยหันไปต่อย
ธนวัติหงายเงิบไป แล้วดึงตัวกลับมาเอาหัวโขกดนัย ทั้งคู่สู้กันอย่างสูสี
ส่วนฉวีวรรณวิ่งลัดเลาะมาตามแนวต้นไม้ มองหา ฉวีวรรณพูดกระซิบเบาๆ
“แจ๋ กิมจิ บุญทิ้ง อยู่แถวนี้หรือเปล่า”
ฉวีวรรณมองซ้ายขวา ไม่มีเสียงตอบ แล้วมองไปที่โรงเก็บของ
ฉวีวรรณตัดสินใจจะวิ่งไป แต่ธานีกับสมุนโผล่ เข้ามาเสียก่อน
“ว้าย”
ฉวีวรรณจะสะบัดหนี แต่สมุนจับตัวไว้ได้
“จะไปไหน” ธานีชอบใจ
“ปล่อยนะ”
“หนูหวี อาพยายามกันหนูไม่ให้มายุ่งกับเรื่องนี้หลายหนแล้ว แต่หนูก็ยังรนมาหาที่ เอาตัวมันไป”
-ธานีตะโกนเสียงเข้มพยักหน้าให้สมุน พาฉวีวรรณเข้าไปในโรงเก็บของ
“ไม่ อย่านะ ช่วยด้วย”
ฉวีวรรณโดนลากหายไป ธานีมองตามผุดยิ้มร้ายออกมา สีหน้าสะใจ
จังหวะนั้นดนัยที่กำลังได้เปรียบ คว้าคอเสื้อมาต่อยธนวัติ แล้วได้ยินเสียงกรีดร้องของฉวีวรรณ
“หวี”
ธนวัติฉวยโอกาสก่อนที่เผลอ ชกดนัยกระเด็นไป ดนัยตะกายลุกไปหาฉวีวรรณ ธนวัติจะตามไปซ้ำ
“จะไปไหน”
ดนัยเป็นห่วงฉวีวรรณมากจนลืมตัว พุ่งเข้าเตะต่อยธนวัติไม่ยั้ง ธนวัติตั้งตัวไม่ติด เซไป โดนดนัยชกหมัดสุดท้ายจนเห็นดาว แล้วฟุบลงไปกองกับพื้น ดนัยหันไปมองที่โรงเก็บไม้
“หวี”
ดนัยรีบวิ่งตามไปเสียงไปอย่างเป็นห่วง
วินยากำลังต่อสู้กับกาซูอยู่ที่มุมหนึ่ง และสามารถเล่นงานกาซูได้ แต่ฉับพลันก็มีกลุ่มควันพวยพุ่ง ออกมาจากบริเวณโรงเก็บของ
“ดนัย ฉวีวรรณ”
กาซูหันไปมองไฟไหม้ที่โรงเก็บของ ก็หันกลับมาฉวยโอกาสตอนวินยาเผลอ ด้วยการใช้พลังจิตเพ่งไปที่คบไม้เหนือศีรษะวินยา คบไม้ที่อยู่ๆ ก็ติดไฟแล้วระเบิดหล่นมาใส่วินยา แต่วินยากลิ้งตัวหลบทัน
กาซูเพ่งมองไปที่วินยาอีก แล้วเกิดระเบิดขึ้นที่บริเวณพื้น เป็นสาย ตามร่างวินยาที่วิ่งหนีไป พอระเบิดลูกสุดท้ายระเบิดขึ้น แล้ว วินยากระโดดตัวลอยขึ้นไปเกาะคบไม้ ตะโกนก้อง
“ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้หมอผี ฉันจะกลับมาจัดการกับแกแน่”
วินยาดีดตัวหนีหายเข้าป่าไปต่อหน้ากาซู
ฉวีวรรณถูกจับมัดเอาไว้กลางโรงเก็บของ เห็นไฟกำลังลุกไหม้อยู่รอบๆ
ฉวีวรรณร้องไห้ออกมาอย่างหวาดกลัว “ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ปล่อย”
“หนูหวีจำไว้เป็นอุทาหรณ์ไว้ใช้ในชาติหน้านะ สวยได้แต่อย่าแส่ ไม่งั้นซวยแน่ ฮ่าฮ่า”
“แกนั่นแหละที่ต้องตายเป็นเปรตไปใช้กรรมในนรก”
“ปากอย่างนี้สิ ถึงได้ตายไว”
จังหวะนั้น ธานีฉวยถังน้ำมันจากสมุนมา แล้วสาดโครมออกไป ไฟที่ล้อมฉวีวรรณอยู่ ลุกพึ่บขึ้นมาอีก
ฉวีวรรณร้องตกใจ หวาดกลัว ธานีหัวเราะอย่างสะใจ
“เอาเวลาร้องคร่ำครวญมาสั่งเสียดีกว่านะว่า จะให้พ่อแกเอาอะไรทำบุญไปให้กิน”
“ไอ้ชั่ว ไอ้สารเลว”
ธานีหัวเราะร่าอย่างชอบใจ แล้วออกไป “ ไปโว้ย”
ธานีกับสมุนเดินออกไป ทิ้งฉวีวรรณถูกขังไว้ท่ามกลางโรงเก็บของที่มีไฟลุกโชน
ธานีเดินลิ่วมากับสมุน เห็นกาซูเดินเข้ามา พร้อมสมุนอีกคนที่ประคองธนวัติที่บาดเจ็บมาด้วย
“ไอ้วัติ นั่นมันเป็นอะไร ทำไมถึงอยู่ในสภาพนี้”
“ผมไปเจอคุณธนวัติสลบอยู่ชายป่าหลังโรงเก็บของครับ”
“ฝีมือไอ้ดนัยใช่มั้ย” ธานีโกรธจัด
“ข้าจะตามไปจัดการให้เอง” กาซูอาสา
“ไม่ต้อง แกไปคุมเรื่องขนไม้เถอะ อย่าให้พลาดล่ะ”
กาซูรับคำแล้วเดินลิ่วไปทางหนึ่ง สวนกับอุ๊บอิ๊บที่วิ่งเข้ามาหาธานีพอดี
“ป๊านี่มันเรื่องอะไร ไฟไหม้ที่ไหนอ่ะ เกิดอะไรขึ้น”
ธานีอึกอักแล้วรีบโกหก
“มีคนมาวางเพลิงน่ะสิ แล้วแกทิ้งไอ้สามคนนั่นมาได้ยังไง”
“ก็พวกนั้นมันบอกว่า พี่ดนัยมาด้วย อุ๊บอิ๊บเป็นห่วงพี่ดนัย”
“ให้มันได้อย่างนี้สิลูกสาวฉัน บ้าผู้ชายจริงๆ ไปกับฉันเดี๋ยวนี้”
ธานีลากแขนอุ๊บอิ๊บให้เดินไปด้วยกัน ขณะที่สมุนประคองธนวัติตามไป กาซูรีบวิ่งไปโรงเก็บไม้
แจ๋ กิมจิ และบุญทิ้งดิ้นรนอย่างสุดแรง พยายามแกะเชือกที่โดนมัดอยู่
“โธ่ ยัยอุ๊บอิ๊บบ้า แทนที่จะปล่อยพวกเราก่อน”
แจ๋ขยับตัวไปมา ชนกับโต๊ะข้างๆ มุมห้องจนคัตเตอร์ตกลงมา
“เฮ้ย ฟ้ามีตาโว้ยเฮ้ย” กิมจิร้องอย่างดีใจ
กิมจิพยายามจะใช้เท้าเขี่ยแต่ไม่ถนัด
“ผมเองครับ”
บุญทิ้งพยายามบิดตัวแล้วเสือกตัวไป โดยมีแจ๋กับกิมจิช่วยกันออกแรงขยับไปที่คัตเตอร์จนมือบุญทิ้งหยิบได้
ทางด้านฉวีวรรณที่ถูกมัดแน่นอยู่ เห็นไฟลามมาใกล้เรื่อยๆ
“ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย”
ท่อนไม้ติดไฟ ร่วงลงมาจากเพดาน เฉียดหน้าฉวีวรรณออกไปนิดเดียว
“กรี๊ด”
ฉวีวรรณกรีดร้องออกมาสุดเสียงด้วยความหวาดกลัว
ลางสังหรณ์ถูกส่งมาถึงผู้เป็นพ่อ เวลาเดียวกันนั้นศิริที่หลับอยู่ ตกใจตื่นขึ้นมา เหงื่อท่วมตัว ศิริตะโกนลั่น
“หวี”
ศิริรีบลุกวิ่งออกไป นอกเต็นท์อย่างเป็นห่วงลูก
“หวี ยายหวี”
สุภาพกับอาหลู่ที่นอนเฝ้าอยู่หน้าเต็นท์ต่างตกใจตื่นขึ้นมา
“นายเป็นอะไร” สุภาพถามอย่างห่วงใย
“ยายหวีอยู่ในอันตราย ฉันจะไปช่วยลูกฉัน”
ศิริจะวิ่งไป แล้วสุภาพกับอาหลู่ รีบจับตัวไว้ ร้องห้าม
“นายรู้เหรอ ลูกสาวนายอยู่ไหน” อาหลู่ถาม
“ไม่รู้”
อาหลู่พูดออกมาพร้อมกับสุภาพ“อ้าว”
“ก็ในฝันฉันเห็นแต่ควันเต็มไปหมด แล้วยายหวีก็ร้องให้ช่วย”
“โธ่นาย แล้วอย่างนี้มันจะไปเจอได้ยังไง ผมว่านายเป็นห่วงคุณหวีจนเก็บไปฝันร้ายมากกว่า”
คำปลอบของสุภาพทำให้ศิริมีท่าทีอ่อนลง
“ขอให้จริงอย่างที่แกพูดเถอะ ขอให้พระคุ้มครองยายหวีด้วย”
สีหน้าของศิริยังดูเป็นห่วงฉวีวรรณไม่หาย
เวลาเดียวกันไฟยังคงโหมไหม้คุโชนเป็นควันพวยพุ่งเต็มโรงไม้เก็บของแห่งนั้น ฉวีวรรณอยู่ในกองไฟนานเข้าก็เริ่มสำลักควันเพราะหายใจไม่ออก ท่าทางอ่อนเพลียลงไป ฉวีวรรณไอแค่กๆ
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
ฉวีวรรณขวัญเสีย คิดว่าตัวเองกำลังจะตายแน่ๆ แต่แล้วจู่ๆ ประตูโรงเก็บของก็ล้มตึงลงมาด้านใน
ดนัยถือขวานที่ใช้จามประตูเดินเข้ามา
ฉวีวรรณนึกไม่ถึงว่าดนัยจะมาช่วยตัวเอง “ดนัย”
ดนัยดีใจ ที่ฉวีวรรณยังไม่เป็นอะไรไป “หวี”
ดนัยทิ้งขวานแล้วรีบวิ่งลัดเลาะกองไฟ และลูกไฟที่ตกลงมาเข้าไปหาฉวีวรรณ อย่างไม่กลัวตาย
ฉวีวรรณร้องอย่างห่วงใย “ดนัย ระวัง”
ดนัยไม่สนใจกระโดดข้ามกองไฟพุ่งเข้าไปหาฉวีวรรณแล้วพยายามแกะเชือกออก ยิ่งเห็นฉวีวรรณร้องไห้จนตัวสั่น ดนัยก็รีบเร่งคลายเชือก
“ไม่ต้องกลัวนะ ฉันมาช่วยเธอแล้ว ไม่ต้องกลัว”
ดนัยปลอบพลางแกะเชือกด้วยมืออันสั่นเทา จนฉวีวรรณเป็นอิสระ
ฉวีวรรณปล่อยโฮออกมาแล้วโผเข้ากอดดนัยแน่น ไม่กั๊กความรู้สึกอีกต่อไปแล้ว
“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร รีบไปเถอะไม่มีเวลาแล้ว”
ฉวีวรรณรีบลุก แล้ววิ่งตามดนัยไป จังหวะนั้นบริเวณหลังคาที่ติดไฟแล้วกำลังขยับตัว เหมือนจะหล่นลงมา
ดนัยเงยหน้าขึ้นมอง เห็นหลังคาจะหล่นลงมา
“หวี หลบไป”
ดนัยผลักฉวีวรรณกระเด็นไป พร้อมๆ กับที่คานที่ติดไฟหล่นลงมาทับขาดนัยพอดี
ฉวีวรรณตกใจกรี๊ดลั่น “ดนัย”
ส่วนธานีลากอุ๊บอิ๊บกลับมา หยุดคุยกันที่หน้าห้องที่ขังสามสหายไว้
“แกนี่มันยุ่งจริงๆ เลย บอกให้เฝ้าพวกมันไว้ เดี๋ยวถ้ามันหนีไปได้อีกล่ะก็”
ธานีพูดพลางเปิดประตูเข้าไป ไม่ทันเห็นเชือกที่กั้นไว้ต่ำๆ หน้าประตูห้อง เลยสะดุดล้มโครม
“โอ๊ย” ธานีกับอุ๊บอิ๊บร้องออกมาพร้อมกัน
แจ๋ กิมจิ และบุญทิ้งที่หลบอยู่รีบโผล่ออกมาพร้อมผ้าปูที่นอน โยนเหวี่ยงไปครอบธานี กับอุ๊บอิ๊บไว้
“รีบไปเร็วเข้า”
ทั้งสามรีบวิ่งออกไป ในขณะที่สองคนพ่อลูกดิ้นขลุกขลักโวยวายกันอยู่ในผ้าปูที่นอนอย่างชุลมุน
ดนัยถูกคานทับบริเวณปลายเท้าเอาไว้ เขาเห็นไฟลุกไหม้อยู่ที่บริเวณปลายคาน ฉวีวรรณพยามเอารองเท้าของตัวเองตบไฟที่คาน ดนัยร้องครวญครางเพราะความเจ็บปวด
“ดนัย อดทนหน่อยนะ ฉันจะช่วยนาย”
ฉวีวรรณพยายามใช้มือยกท่อนไม้ออก แต่ไม่มีแรงพอ ดนัยเงยหน้ามองรอบๆ และด้านบน
“พอแล้วหวี เธอออกไปซะ
“ไม่ ฉันจะทิ้งนายไว้ได้ยังไง”
“ถ้าไม่ทิ้งเราจะตายกันทั้งคู่ ไป” ดนัยสั่ง
“ฉันจะช่วยนาย”
ฉวีวรรณไม่ยอมไป ยังพยายามยกท่อนคานไม้อย่างดื้อดึง
“ก็บอกว่าไปไงเล่า ไปสิ”
ดนัยใช้แรงเท่าที่มีผลักฉวีวรรณกระเด็นออกไป หันไปเห็นเศษหลังคาร่วงหล่นลงมาก็ยิ่งเป็นห่วง
“มัวทำบ้าอะไรอยู่ อยากตายหรือไง”
ดนัยตะโกนไล่ แต่ก็ร้องไปด้วยเพราะความเจ็บปวด ฉวีวรรณยิ่งขวัญเสียจนร้องไห้ฟูมฟายออกมา
“นายสิบ้า คิดเหรอฉันจะทิ้งนายได้ ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น เราจะต้องไปด้วยกัน”
ฉวีวรรณกัดฟันยกท่อนไม้ขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้ แต่ท่อนไม้แข็งแรงและหนักมากจึงไม่ขยับ
“ฉันต้องช่วยนายให้ได้ อดทนไว้นะ ฮือๆๆ”
ฉวีวรรณร้องไห้ พยายามออกแรงยกไม้ออกทั้งน้ำตา โดยไม่มีทีท่าย่อท้อ
อ่านต่อหน้า 2
หอบรักมาห่มป่า ตอนที่ 13 (ต่อ)
วินยาวิ่งเข้ามาหน้าโรงเก็บของ เห็นไฟลุกท่วมอยู่ ก็ยิ่งเป็นห่วงทั้งสองคน
“ฉวีวรรณ ดนัย”
วินยาจะวิ่งเข้าไป แต่ แจ๋ กิมจิ และบุญทิ้ง ที่วิ่งมาจากอีกทางหนึ่งเห็นเข้ารีบกรูกันเข้ามาจับตัวห้าม
“วินยา”
“เข้าไปไม่ได้นะ ไม่เห็นเหรอว่า ไฟลุกไปทั้งหลังแล้ว” กิมจิ
“แต่ฉวีวรรณกับ ดนัยอยู่ในนั้น”
ทั้งสามตกใจหน้าซีด “อะไรนะ”
“ฉันได้ยินเสียงฉวีวรรณร้องให้ช่วย ฉันคิดว่าสองคนนั้นต้องอยู่ด้วยกันแน่ๆ” วินยา
“เจริญพร คุณหวี คุณดนัย ทำไมเคราะห์กรรมถึงได้กระหน่ำอย่างนี้”
จังหวะนั้นวินยาก็สะบัดสุดแรง “ปล่อย”
วินยาจะก้าวไป แต่แสงไฟหน้ารถกระบะของทองอินส่องจ้าเข้าหน้า วินยาชะงักยกมือขึ้นป้องกันง ทองอินจอดรถรีบลงมา ชาวชาลันที่อยู่กระบะหลังก็กระโดดลงมาพร้อมไม้ตีไฟ แล้วก็ถังน้ำขนาดใหญ่ๆ ที่ขนใส่ท้ายรถมา รีบตักน้ำไปดับไฟกัน
“พี่ทองอิน พี่มาได้ยังไง” วินดีร้องออกมาอย่างดีใจ
ทองอินไม่ตอบหันไปตะโกนบอกชาวบ้าน “พวกเรา ช่วยกันดับไฟ เร็วเข้า”
ทองอินเดินเข้ามาหา วินยา กับพวกแจ๋ที่ยืนงง เพราะไม่เคยรู้จักทองอินมาก่อน
“ผู้เฒ่าสางโปบอกฉันว่า ฉวีวรรณกับดนัยติดอยู่ในกองไฟ ให้ฉันรีบพาชาวบ้านมาช่วย อ้ะ อุปกรณ์ดับไฟอยู่ที่รถ พวกเราช่วยกันคนละไม้ละมือนะ”
แจ๋ กิมจิ และบุญทิ้งรับคำพร้อมกัน “ครับ/ค่ะ”
ที่ด้านในโรงเก็บของ ฉวีวรรณยังพยายามยกคานไม้ออกจากดนัยอย่างไม่ยอมแพ้
ดนัยเองก็ยิ่งอ่อนแรงลงไปทุกที “หวี พอเถอะ”
“ไม่ ฉันไม่ยอม ฉันต้องช่วยนายให้ได้”
“อย่าพยายามเลย เธอยกไม่ไหวหรอก...รีบไปเถอะ”
“ทีนายยังเอาตัวเข้าแลกเพื่อช่วยฉันเลย ถ้าฉันช่วยนายไม่ได้เราก็ตายด้วยกันนี่แหละ”
ฉวีวรรณปาดน้ำตาแล้วพยายามออกแรงยกคานไม้ต่อไป
“หวี”
ดนัยเอื้อมมือมากุมมือฉวีวรรณไว้อย่างซึ้งใจ ฉวีวรรณยิ้มให้ทั้งน้ำตา
จังหวะที่มือทั้งคู่ประสานกันขึ้น ฉวีวรรณรู้สึกเหมือนมีพลังมากขึ้นอย่างประหลาด ค่อยๆ ยกจน
แผ่นไม้จนขยับขึ้น
ฉวีวรรณมองหน้าดนัยอย่างตื่นเต้น แล้วช่วยกันออกแรงยกจนคานไม้เลื่อนออก ดนัยกัดฟันขยับตัวหนีออกมาจากคานไม้
ฉวีวรรณทั้งดีใจ ทั้งแปลกใจ “ไม่น่าเชื่อเลย ดนัย ไม่เป็นไรใช่มั้ย”
“ไม่เป็นไร” ดนัยยิ้มให้ฉวีวรรณ “มีเธอ ฉันถึงรอด เธอเป็นปาฏิหาริย์ของฉันนะ หวี”
ฉวีวรรณยิ้มออกอาการเขินนิดนึง “ไม่ใช่...ปาฏิหาริย์ของนายคนเดียว แต่เป็นปาฏิหาริย์ของ “เรา” ...”
ทั้งสองส่งสายตาให้กันอย่างรู้ใจ ยิ้มให้กันอีกครั้ง แต่แล้วจู่ๆก็ได้ยินเสียงไม้ระเบิดดังขึ้น
ดนัยรีบประคองกอดฉวีวรรณไว้อย่างปกป้อง แต่ตัวเองลุกไม่ขึ้น ฉวีวรรณมองดนัยอย่างซึ้งใจ
“เราจะต้องรอดไปด้วยกันใช่ไหมดนัย”
ดนัยมองฉวีวรรณยิ้มๆ แล้วพยักหน้า
ฉวีวรรณกัดฟันประคองดนัยให้ลุกขึ้น แล้วพากันเดินกึ่งวิ่งออกไปเร็วที่สุด หลบลูกไฟกับกองไม้ที่ลุกไหม้อยู่ ออกไป
ทองอิน วินยา แจ๋ กิมจิ และบุญทิ้ง วิ่งอ้อมมาอีกด้าน ชาวชาลันกำลังส่งถังน้ำกันเป็นทอดๆ เพื่อดับไฟ
ทองอินตะโกนบอกทุกคน “ทุกคนระวังด้วย โรงเก็บของมันไม่แข็งแรง อาจจะถล่มลงมาได้”
วินยาตะโกน “ดนัย ฉวีวรรณ พวกนายต้องปลอดภัยนะ”
“ไฟไหม้ขนาดนี้ รอดได้ก็ปาฏิหาริย์” กิมจิพูดออกมา
“ไอ้ปากสุนัข มาแช่งเพื่อนทำไม” แจ๋ด่าแล้วถองใส่กิมจิเต็มแรง กิมจิร้องโอย
บุญทิ้งพนมมือขอพรพระ “สาธุ ขอคุณพระคุ้มครองคุณดนัยกับคุณหวีด้วยนะครับ”
ระหว่างนั้นผนังโกดังที่ติดไฟถล่มออกมาทั้งแผง เสียงดังสนั่น ทองอิน แจ๋ กิมจิ บุญทิ้งรีบกระโดดหลบไปคนละทาง เห็นควันโขมงไปทั่วบริเวณ
ชาวบ้านรีบสาดน้ำเข้าไป แต่แล้วก็ชะงักเมื่อเห็นร่างของคนสองคนกำลังประคองกันเข้ามา
“มีคนออกมา” ชาวบ้านร้องตะโกน
ทองอิน แจ๋ กิมจิ บุญทิ้ง วินยา เงยหน้าขึ้นมองทันที
ทั้งหมดเห็นฉวีวรรณประคองดนัยที่อ่อนแรงออกมา ท่ามกลางกลุ่มควันขโมง
แจ๋ กิมจิ และบุญทิ้งยิ้มออกมาอย่างดีใจแล้วรีบวิ่งไปหา
“หวี ดนัย”
“ดนัย เป็นไงบ้าง” ทองอินถาม
ฉวีวรรณกับดนัยถูกชาวชาลันช่วยประคองเดินมาตรงหน้าทั้งสาม ก่อนจะโผเข้ากอดกันอย่างโล่งอก
ฉวีวรรณกับดนัยแทบยืนไม่อยู่เพราะความเหนื่อยอ่อน ขณะที่ถูกเพื่อนๆ ดึงตัวเข้าไปกอด แต่ทั้งสองยังไม่ยอมปล่อยมือออกจากกัน ยังจับมือเกาะเกี่ยวเหนี่ยวกันไว้แน่นอย่างนั้น
วินยาจะเข้าไปหาดนัยด้วยความเป็นห่วง แต่พอเห็นดนัยจับมือฉวีวรรณไม่ปล่อยก็ชะงัก หน้าหมองลงไป
“ดะ...” วินยาชะงักเสียงเรียกดนัยขาดหายไปในลำคอ
แจ๋รีบบอกฉวีวรรณ “ดีนะ ที่วินยาเขาได้ยินเสียงเธอ น่ะ หวี ไม่งั้นกลายเป็นป้าหวีอบภูเขาไฟไปแล้ว”
ฉวีวรรณหันไปมองวินยา อึ้งไปนิดแล้วก็ยิ้มให้จริงใจ
“ขอบใจเธอมากนะ”
วินยาส่งยิ้มตอบทั้งๆ ที่ใจเจ็บแปลบ
“ไม่เป็นไร แค่เห็นเธอสองคนปลอดภัยฉันก็ดีใจ”
ฉวีวรรณหันไปยิ้มกับดนัย แล้วนึกได้ จึงค่อยๆ ดึงมือออกเขินๆ กลัวเพื่อนล้อ
ทั้งสองยิ้มๆ ให้กันอย่างเขินๆ
พาณิชย์รู้สึกตัวตื่นขึ้นอย่างมึนงงในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น และพบว่าตัวเองนอนอยู่ตามลำพัง
“โอ๊ย อะไรวะเนี่ย ทำไมปวดหัวอย่างนี้” พาณิชย์กวาดตามองไปรอบๆ “เฮ้ย หายไปไหนกันหมดวะ”
ขณะนั้นเองสมุนคนหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามารายงาน
“นายแย่แล้ว นาย เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
“มีอะไร” พาณิชย์สงสัย
พาณิชย์กับสมุนคนนั้นวิ่งเข้ามาในโกดัง เห็นสมุนอื่นๆ นอนบาดเจ็บเกลื่อนพื้นโกดัง
.”เฮ้ย ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้”
พาณิชย์อึ้ง เมื่อมองไปอีกทางเห็นเลาซาถูกล่ามโซ่อยู่ มีเศษผ้ายัดปากไว้ พยายามดิ้นรน ร้องเรียก
“เลาซา”
เลาซาส่งเสียงอู้ๆ อี้ๆ ให้ถอดโซ่ สมุนคนหนึ่งรีบควักกุญแจมาไข พาณิชย์รีบดึงเศษผ้าออกให้
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมนอนกันเกลื่อนกลาดอย่างนี้ แล้วเด็กๆ ไปไหน”
“นังดาหวันไอ้ชลิต กับไอ้เด็กนรกที่ไหนไม่รู้ มันพากันมาปล่อยตัวเด็กๆ ไปแล้ว” เลาซาทุบเสาระบายแค้น “เจ็บใจนัก เสียท่ามันจนได้”
พาณิชย์นิ่งตะลึง สมุนอีกสองคนรีบวิ่งหน้าตื่นตามเข้ามา
“นายๆ รถของนายหายไปแล้วครับ”
พาณิชย์หันมองตะลึงไปอีก
“อะไรนะ”
ชลิตขับรถตู้ นั่งมากับดาหวัน ดาเนา และพวกเด็กๆ เข้ามาจอดหน้าหมู่บ้านแห่งหนึ่งตามที่เด็กๆ บอกทาง
ชลิตจอดรถนิ่ง เปิดประตูรถตู้ออกมา เด็กกรูวิ่งลงมา หาพ่อแม่ ร้องไห้ดีใจกันระงม
ชาวบ้านต่างยกมือไหว้ขอบคุณชลิตกับดาหวันอย่างซาบซึ้งใจ ดาเนาพลอยยิ้มแย้มไปด้วย
“ขอบใจมากนะ ฉันกินไม่ได้นอนไม่หลับเลย ขอบใจนะที่พาลูกหลานของพวกเรามาส่งคืนเป็นบุญเป็นกุศลเหลือเกิน” ชายสูงวัยผู้เป็นหัวหน้าชาวบ้านกล่าว ชลิตรีบห้ามแทบไม่ทัน
“ลุงไม่ต้องไหว้ผมหรอกครับ เดี๋ยวอายุสั้นกันพอดี ที่พวกเราทำไปก็ไม่ได้ ต้องการอะไรหรอกนะครับ นอกจากความถูกต้อง”
“แล้วหวันก็อยากจะให้ทุกคนจำความรู้สึกวันนี้ไว้นะคะ อย่าให้ใครเอาเงินมาแลกกับลูกหลานของเราอีก พวกเขาไม่ใช่สิ่งของที่จะตีราคาได้ เด็กๆ ทุกคนคือผลผลิตของความรักในครอบครัวไม่ใช่เหรอคะ อย่าให้เขาต้องรู้สึกเจ็บปวดเพราะถูกคนที่ตนเองรักผลักไสเพียงเพราะเงินไม่กี่บาทเลยนะคะ” ดาหวันถึงโอกาสนี้พูดเตือนพ่อแม่เด็กๆ
ชาวบ้านพยักหน้าพากันยอมรับ บางคนน้ำตาไหลออกมาอย่างละอายใจ กอดลูกของตัวเองไว้แน่นอก
ดาเนามองดาหวันแล้วยิ้มอย่างตื้นตันใจ เห็นแววรื้นในดวงตา แล้วดาเนาก็เป็นคนนำตบมือขึ้น ชาวบ้านทุกคนตบมือตาม แล้วหัวหน้าพูดขึ้น
“เราจะไปแจ้งตำรวจ”
“ดีครับ เอารถคันนี้ไปได้เลย จะได้ให้ตำรวจยึดไว้เป็นของกลาง” ชลิตว่าพร้อมกับยื่นกุญแจรถให้หัวหน้า
“แล้วพวกคุณๆ ล่ะ จะไปไหนต่อ” หัวหน้าหมู่บ้านถาม
ชลิตกับดาหวันอึกอักมองหน้ากัน คิดในใจเหมือนกันว่า “นั่นสิ มีโอกาสแล้วทำไมไม่ไป” แต่ซักพักก็ส่ายหน้า
“เราคงต้องอยู่ในป่านี่อีกสักพัก ยังมีอะไรต้องทำอีกหลายอย่างครับ” ดนัยยิ้มออกมา
“ขอบใจมากๆ นะ พ่อคุณแม่คุณ โชคดีนะ” หัวหน้าเป็นตัวแทนขอบคุณ
ชลิต กับดาหวันไหว้ลาชาวบ้าน
ทั้งคู่มีสีหน้าร่าเริงเดินคุยกันมา ดาเนาตามทั้งสองมาด้วย
“ในที่สุด สันติสุขก็กลับมาสู่โลกมนุษย์อีกครั้ง พร้อมตัวอักษรญี่ปุ่นขึ้นสามตัว”
“อะไรของพี่ ตัวอักษรญี่ปุ่นที่ไหน”
“เอ้า เธอไม่เคยดูการ์ตูนยอดมนุษย์เหรอ ตอนจบทุกตอน มันจะขึ้นตัวหนังสือญี่ปุ่น3 ตัว แปลว่า โปรดติดตามตอนต่อไปไง”
“ฮึยย โตจะตายแล้วยังจะดูการ์ตูนเป็นเด็กๆ อีก”
“การ์ตูนอะไรเหรอ” ดาเนาได้ยิน สงสัยจึงถามขึ้น
ดาหวันหันมองดาเนา “เอ้า หนู ไม่เคยดูการ์ตูนเหรอ”
ดาเนาส่ายหน้า “ไม่เคย เคยแต่ดูดาว มีเต็มฟ้าเลย”
ดาหวันทรุดนั่งข้างๆ ดาเนา จับแก้มอย่างเอ็นดู
“น่าอิจฉาจัง ได้ดูดาวเต็มฟ้าทุกคืนๆ อย่างนี้ เด็กในเมืองอีกหลายคนเลยนะที่ไม่มีโอกาสแบบหนู” ดาหวันยิ้ม
“แล้วนี่มาส่งพวกพี่หรือ ไม่ต้องก็ได้นะ กลับเข้าหมู่บ้านไปเถอะ”
“ดาเนาไม่ใช่คนหมู่บ้านนี้ ดาเนามาช่วยเพื่อนๆ เฉยๆ” ดาเนาบอกหน้าตาเฉย
“อ้าว แล้วหนูอยู่ที่ไหนล่ะ พวกพี่จะได้ไปส่ง” ชลิตบอกจริงจัง เพราะเอ็นดูดาเนา
ดาเนามองทั้งสอง แล้วย่นจมูกใส่
“คนอย่างดาเนาไปไหนมาไหนเองได้ คนอื่นไม่ต้องยุ่ง”
ดาเนากระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ ดาหวันมองอย่างเอ็นดู
“ชื่อดาเนาเหรอ เราสองคนชื่อคล้ายๆ กันเลยนะ ฉันชื่อดาหวัน แล้วนี่พี่ชลิต”
“ไม่ได้อยากรู้จักซะหน่อย”
ดาเนาแกล้งเหนี่ยวกิ่งไม้ให้เศษใบไม้ร่วงใส่ทั้งคู่แล้วกระโจนหนีหายไป
“เอ้า เดี๋ยวสิ”
ชลิตกับดาหวันพยายามร้องเรียก แต่ดาเนาหายตัวไปแล้ว
หลังเหตุการณ์ไฟไหม้สงบลง ดนัย ฉวีวรรณ แจ๋ กิมจิ บุญทิ้ง ถูกจับตัวรวมกันอยู่ โดยมีสมุนของธานีคุมไว้ แต่ทั้งหมดไม่ได้โดนมัด และเวลานั้นธานีกำลังโวยวายใส่ทองอินกับพรรคพวกอยู่
ธนวัติบาดเจ็บเล็กน้อย ยังอยู่ในสภาพมึนๆ เพราะถูกดนัยเล่นงานจนยับ ในขณะที่ดนัยกับฉวีวรรณ เนื้อตัวและหน้าตามอมแมมเพราะควันไฟ
“ฉันจะเอาเรื่องไอ้เด็กพวกนี้ให้ถึงที่สุด ข้อหาบุกรุกและวางเพลิงทำลายทรัพย์สินของฉัน”
ธานีพูดฟ้องทองอินด้วยน้ำเสียงโมโหสุดขีด
“ไม่จริงนะพี่ทองอิน พวกเราไม่ได้ทำนะครับ”
ฉวีวรรณหันไปพูดตอกหน้าธานี “คุณอานั่นแหละที่ จะฆ่าพวกเราทุกคน”
“ถูกต้อง แจ๋เป็นพยานได้” แจ๋ชี้ไปทางธนวัติ “ไอ้ธนวัติเอาปืนมาขู่แจ๋กับกิมจิแล้วยังทำร้ายบุญทิ้ง นี่ไงคะ หลักฐานยังคาหน้าบุญทิ้งอยู่เลยค่ะ”
แจ๋ชี้ไปที่บุญทิ้งที่มีแผลช้ำๆ ตรงมุมปากเพราะโดนธนวัติเอาปืนตบ
อุ๊บอิ๊บรีบเถียงแทนพ่อและพี่ชาย
“แต่พวกแกก็ทำร้ายพวกเราเหมือนกันนะยะ”
“ใช่ อยู่ๆ มาบุกรุกที่คนอื่น พวกเราเลยคิดว่าพวกแกเป็นโจรนะสิ” ธนวัติเสริม
“แต่เด็กพวกนี้ไม่มีอาวุธ ไม่มีเหตุผลอะไรที่พวกคุณต้องไล่ล่ากันขนาดนี้” ทองอินบอก
ธนวัติมองหน้าทองอินอย่างไม่พอใจ ธานี รู้ทันว่าทองอินตามมาช่วยพวกเด็กๆ รีบพูดขัดขึ้นแทนลูกชาย
“แต่ถึงยังไง มันก็ไม่ใช่เรื่องของคุณเลยนะคุณป่าไม้ เข้ามายุ่งทำไมไม่ทราบ”
“การที่โรงเก็บของของคุณไหม้จนเกือบจะลามออกป่าออกเขา มันยังไม่ใช่เรื่องของผมอีกเหรอ...นี่ถ้าชาวชาลันไม่ช่วยกันดับไฟให้ คุณได้เป็นผู้ต้องหาเผาป่าไปแล้ว”
ธานีเจอไม้นี้ถึงกับอึ้งไป ธนวัติรีบสวนขึ้นมาแทนน้ำเสียงเยาะอยู่ในที
“เป็นพระคุณอย่างสูงนะครับ คุณป่าไม้ แต่แน่ใจจริงๆ หรือครับว่ามาช่วย ไม่ใช่จ้องจะบุกมาหาเรื่องที่นี่อยู่แล้ว”
“ก็ถ้าที่นี่ไม่มีอะไรผิดกฎหมายซุกซ่อนอยู่ ก็ไม่เห็นจะต้องกลัวพวกผมจริงไหมครับ”
ทองอินพูดใส่หน้าสองพ่อลูก ธนวัติสะอึกไป ธานีโมโหกลบเกลื่อน
“งั้นคุณก็เชิญไปค้นให้ทั่วเลยว่าผมปกปิดอะไรอยู่หรือเปล่า”
คราวนี้ ทองอินอึ้งไป หันมองดนัย ฉวีวรรณและทุกคนสีหน้าหนักใจ
วินยาก้าวออกมา ทำท่าจะไปช่วยทองอิน
“ไม่ต้องห่วงนะพี่ ทองอิน ฉันจะช่วยพี่ทองอิน ค้นเอง” วินยาพูดพร้อมเหลือบตามองไปที่ ธนวัติ ธานี และกาซู “คนชั่วยังไงมันก็ต้องทิ้งหลักฐานชั่วๆ ไว้บ้างละ”
ทองอินมองวินยา พยักหน้ารับ แล้วหันไปตอบรับคำท้าของธานี
“ก็ได้เสี่ย ถ้าผมเจออะไรที่ผิดกฎหมาย เสี่ยกับพวกได้ไปนอนในตะรางแน่”
ทองอินจ้องมองอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะเดินออกไป วินยาตามไปด้วย เพื่อช่วยตรวจหาหลักฐาน
ทางด้านชลิตกับดาหวันเดินลัดเลาะมาตามทางในป่า แล้วมาถึงทางสามแพร่งที่ไม่รู้จะเลี้ยวไปทางไหน
“มาถึงทางแยกแล้ว จะไปทางไหนดี”
ทั้งสองมองไปมองมา แล้วพูดขึ้นพร้อมกัน แต่กลับชี้ไปคนละทาง
“ทางนี้”
ชลิต กับดาหวัน อึ้งหันมองหน้ากัน
“อะไรอ่ะ พี่ชลิต ชี้มั่วได้ไง”
“เธอสิ มั่ว เข็มทิศ แผนที่อะไรก็ไม่มี แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าทางไหนเป็นทางออกจากป่า”
“ใช้ฟีลไง” ดาหวันยังเถียงต่อ
“อะไรนะ!” ชลิตงง
“ก็ความรู้สึกไง พี่ชลิตใจหยาบล่ะซี้ ถึงไม่เคยใช้หัวใจนำทาง”
“เฮอะ ทีอย่างนี้ล่ะใช้หัวใจนำทาง ทีเรื่องที่ควรใช้กลับไม่ใช้” ชลิตแวะเข้าเรื่องหัวใจอีกจนได้
ดาหวันเลยผลักๆ เอา “อะไร เรื่องอะไร มาว่าเค้าเรื่องอะไร”
ชลิตผงะไปนิดหน่อย แล้วถือโอกาสจับมือดาหวันไว้ข้างหนึ่ง ดึงห้ามไว้
“งั้นตอบฉันมาหน่อยสิ ว่าหัวใจของเธอเคยรู้สึกไหม ว่าฉันรู้สึกยังไงกับเธอ”
ดาหวัน เจอมุกนี้ อึ้ง ณ จังงัง ไปเลย ก้มหน้าไม่ยอมตอบ
ชลิตค่อยๆ เอามือดาหวันทาบลงที่หัวใจของตัวเอง
“รู้สึกไหม หัวใจของฉันมันกำลังบอกว่า...ฉัน...รัก...”
ชลิตยังพูดไม่ทันจบดี ผลไม้ป่าลูกหนึ่งก็ถูกปาเข้ามาโดนตัวชลิต
ชลิตสะดุ้ง ดาหวันตกใจหมดโรแมนติก
เสียงหัวเราะดาเนาดังลั่นแทรกเข้ามา เด็กชายชาวป่าหัวเราะกิ๊กกั๊ก อย่างชอบใจ
“ฮ่าฮ่าฮ่า กิ้วๆ หน้าไม่อายยย กิ้วๆ หน้าไม่อาย”
ชลิตกับดาหวันหันมองตามเสียง เห็นดาเนายืนอยู่บนคบไม้เหนือศีรษะ
“เจ้าดาเนา ไหนว่าไม่อยากยุ่ง แล้วตามมาแอบดูผู้ใหญ่เขาคุยกันทำไม” ชลิตเอ็ดกลบความเขิน
“คุยกันหรือ จีบกัน กิ้วๆๆ” ดาเนาจัดให้อีก
ชลิตทั้งอายทั้งโกรธ ดาหวันพลอยอายม้วนไปด้วย
ดาหวันจึงเอาแต่ทุบแขนชลิต “พี่ชลิตคนเดียวเลย ดูสิ ขายหน้าเด็กมันมั้ยอ่ะ”
“เอ้าๆ โอ้ย ไหนมาลงที่พี่อีกล่ะ” ชลิตโวย
ดาเนาป้องปากตะโกนลงมาอีก “พี่ชลิตขี้หลี พี่ชลิตขี้หลี”
“ไอ้เด็กแสบ”
ชลิตหยิบผลไม้ป่ามาจากพื้น ปากลับไปใส่ดาเนาบนต้นไม้บ้าง ดาเนาหลบแล้วเขย่าต้นไม้
ลูกไม้ป่าหล่นใส่ ทั้งชลิตดาหวัน พากันร้องโวยวายออกมา
แล้วต่างฝ่ายต่างตอบโต้ ปาลูกไม้ใส่กันเล่นเป็นเด็กๆ จังหวะหนึ่งดาหวันปาลูกไม้ป่าโดนศีรษะดาเนาร่วงปุ๊ลงมาที่พื้น นอนคว่ำหน้าไม่ไหวติง
ดาหวันชลิตตกใจรีบวิ่งเข้ามาดู
“ดาเนา โธ่ พึ่งเห็นกันหลัดๆ อย่าเป็นอะไรนะ พี่ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”
ดาเนายังแน่นิ่ง ดาหวันใจเสียจะร้องไห้
“ดาเนาา ฮือๆๆ พี่ชลิตทำไงดี ดาเนาตายแล้วแน่ๆ”
ชลิตพลอยหน้าเสียไปด้วย “ดาเนา พี่ๆแหย่เล่น อย่าตายจริงดิ”
ชลิตจับตัวดาเนาที่นอนอยู่ เขย่าๆ ร่าง แล้วอยู่ๆ ดาเนาก็หงายตัวกลับมา ลืมตาโพลง แลบลิ้นใส่ทั้งคู่
“แบร่”
“เฮ้ย” ชลิต กับดาหวันตกใจร้องขึ้นพร้อมกัน
“ล้อเล่น อ่ะ ล้อเล่น”
ดาเนา หัวเราะชอบใจ แกล้งพี่ๆ ได้ ชลิตกับดาหวันโล่งอก แล้วเข่นเขี้ยวใส่
“ฮึ่ย แสบจริงๆ เจ้าเด็กคนนี้” ดาหวันหันไปพยักหน้าให้ชลิตอย่างรู้มุกกัน “พี่ชลิตจัดการเลย”
ชลิตกับดาหวัน เข้าไปจั๊กกะจี้ทั่วตัวดาเนา เด็กชายชาวป่าหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลัง พยายามร้องห้ามแต่ไม่สำเร็จ
เวลาเดียวกันนั้น ศิริเดินออกมาจากเต็นท์ สุภาพกับอาหลู่รีบวิ่งเข้ามาหา หน้าตาตื่น
“นายครับ นาย เกิดเรื่องใหญ่แล้ว” สุภาพว่า
“ไปเร็วนาย รีบไปเดี๋ยวนี้เลย ไปๆ” อาหลู่เสริม
สุภาพกับอาหลู่ รีบดึงแขนศิริ คนละข้าง จะพาออกไป ศิริขืนตัวไว้
“เฮ้ยๆ เดี๋ยวก่อนสิวะ พวกแกจะพาฉันไปไหน เฮ้ย หยุดก่อน หยุด” แต่ไม่มีใครฟังเสียงศิริเปลี่ยนเป็น “ยอ ก่อน ยอ”
สุภาพ อาหลูอาหลู่ทวนคำตามพร้อมกัน “ยอ..” แล้วทั้งสองก็หยุดกึก นึกขึ้นได้ “เฮ้ย ไม่ใช่ควาย”
“พวกแก ดันพูดไม่ฟังทำไมล่ะวะ นี่ตกลงจะพาฉันไปไหน”
“ก็เรื่องที่นายฝันเมื่อคืน มันเป็นเรื่องจริงนะสิครับ” สุภาพโพล่งออกมา ศิริกังวลเรื่องลูกสาวอยู่แล้วเลยยิ่งตกใจ
“หวีโดนเผาทั้งเป็น! นี่แกอย่ามาอำฉันนะ ฉันฆ่าแกตายแน่ๆ”
“เรื่องแบบนี้ผมไม่อำอยู่แล้วล่ะครับ แต่ยังไม่รู้ว่าเป็นคุณหวีหรือเปล่า” อาหลู่รู้เรื่องที่ปางไม้ธานี
“หมายความว่ายังไง”
“ก็เมื่อคืน ไฟไหม้ศูนย์ฝึกอาชีพของเสี่ยธานี จริงๆ ครับ แล้วมีคนเห็นว่า คุณหวีก็อยู่ที่นั่น”
“พรานป่าเพื่อนอาหลู่มันพึ่งมาส่งข่าวเมื่อกี้นี่เอง มันว่ามันเห็นคุณหวีจริงๆ” อาหลู่ช่วยยืนยัน
“แล้วยายหวี ปลอดภัยหรือเปล่า” ศิริรีบถาม
อาหลู่ส่ายหน้า “ไม่รู้อ่ะ นาย”
“ผมถึงรีบมาบอกให้นายไปศูนย์ของเสี่ยธานีไงครับ จะได้รู้เรื่องกันไปเลย”
“งั้นก็รีบเอารถออกสิวะ ไปเดี๋ยวนี้เลย”
ศิริรีบเดินลิ่วไปเลย สุภาพ กับอาหลู่ แทบตามไม่ทัน
“ออกตัวแรงตลอด ....รอผมด้วยนาย” สุภาพบุ่นอุบ
ทางด้านพาณิชย์กำลังขับรถกลับมาจากที่ไปค้าเด็กแล้วทำงานไม่สำเร็จ โดยมีเลาซานั่งหน้าเคร่งอยู่ข้างๆ
“นี่ฉันจะพูดกับคุณอายังไงดีเนี้ย มีหวังโดนด่าหูชาแน่ๆ”
เลาซาเหมือนตกอยู่ในภวังค์ของตัวเอง นิ่ง ไม่พูดด้วย
“นี่แก ไม่ได้เอาปากมาหรือไง ฉันพูดด้วยทำไมไม่ตอบ”
เลาซาเหมือนกำลังมองหาอะไรบางอย่างข้างทาง แล้วรีบบอกให้พาณิชย์จอดรถ
“หยุดรถ”
“เฮ้ย มาหยุดอะไรแถวนี้”
“ข้าบอกให้หยุด!!” คราวนี้เลาซาบอกเสียงดัง
พาณิชย์เบรกจอดรถทันที เลาซารีบเปิดประตูออกไปเลย แล้ววิ่งลงไปที่ไหล่ทางตรงเนินเขาร่างหายลับไป พาณิชย์มองตามงง
“แกจะไปไหน ไอ้เลาซา เฮอะ ไอ้หมอนี่ท่าจะเพี้ยน มันมาทำอะไรกลางป่ากลางเขาอย่างนี้วะ”
ที่แท้เลาซาวิ่งเข้ามาหยุดอยู่ที่เพิงไม้ไผ่เก่าๆ หลังหนึ่ง เขาเพ่งมองอย่างมีความหลังฝังใจกับที่แห่งนี้ ขณะเพ่งมองดวงตาเศร้าคู่นั้นมีประกายแห่งความสุขขึ้นมา เลาซาเดินเข้ามาแล้วกวาดตามองดูรอบๆ ทุกที่สภาพยังอยู่ดีทุกอย่าง แล้วทรุดตัวนั่งลง
สายตาของเลาซามองเหม่อไปที่ชายคาหญ้าแฝกราวกับโหยหาอดีต นึกทวนหวนย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อ 5 ปีก่อนขึ้นมา
อ่านต่อหน้า 3
หอบรักมาห่มป่า ตอนที่ 13 (ต่อ)
วันนั้นฝนตกหนัก สายฝนเทสาดลงมาที่เพิงแห่งนี้ น้ำฝนหยดจากหลังคาหญ้าแฝกเป็นสาย เลาซากำลังนั่งลับมีดพกอยู่ที่เพิง ดูเหี้ยม เข้ม และเคร่งอยู่กับงานตรงหน้า จังหวะหนึ่งเลาซารับรู้ถึงบางสิ่งรีบหันขวับไป อย่างคนที่ประสาทหูได้รับการฝึกมาอย่างดี พร้อมกับยกมีดขึ้นกำลังจะปาออกไป
เลาซามองเห็นเท้าของเด็กสาวคนหนึ่งที่วิ่งมาท่ามกลางสายฝน ที่มือถือกระเป๋านักเรียนบังฝน
เธอคือวินยาที่อยู่ในชุดนักเรียนมอปลาย ผมสั้นติดกิ๊บน่ารักสดใส วิ่งเข้ามาทางหน้าเพิง
เลาซาเห็นแล้วตะลึงไปเลย พอวินยาเข้ามาใกล้ เลาซารีบหันกลับไปลับมีดเหมือนเดิม ทำนิ่งไม่สนใจ วินยาเข้ามาถึงที่เพิง ซึ่งในเวลานั้นทั้งสองคนยังจำกันไม่ได้ เพราะวินยาเข้าไปเรียนในเมืองหลายปี
“ขอหลบฝนหน่อยนะ” วินยาเอ่ยออกมา
เลาซาแอบชำเลืองมองวินยาที่นั่งลงข้างๆ แล้วสะบัดเช็ดเนื้อตัวที่เปียกฝน
“ค่อยยังชั่วหน่อย นึกว่าต้องวิ่งตากฝนกลับบ้านแล้ว”
พอวินยาหันกลับมามามอง เลาซาก็ทำเป็นลับมีดเหมือนไม่สนใจ
“อยู่ที่นี่หรือ”
“เปล่า ข้าชอบมาที่นี่เวลาที่ข้าต้องการใช้ความคิด เจ้าล่ะ เป็นคนเมืองหรือ” เลาซาถาม
“ข้าก็เป็นคนที่นี่แหละ แต่เข้าไปเรียนหนังสือในเมืองเสียหลายปีไม่ได้กลับ บ้านเลย ตอนนี้ข้าจบมอปลายแล้ว” วินตาตอบ
วินยานึกขึ้นได้ เปิดกระเป๋าหยิบใบประกาศนียบัตร ออกมาอวดเลาซา
“นี่ไง วันนี้ข้าพึ่งไปรับใบประกาศนียบัตรมา ดูสิ”
เลาซาอึ้งๆ เพราะเขาอ่านหนังสือไม่ออก แต่ก็วางฟอร์ม ทำเป็นอ่านออก หยิบใบประกาศมาดูทำเป็นอ่าน แต่ว่าปล่อยไก่ออกมาถือใบประกาศกลับหัว
“อือ ผลการเรียนของเจ้าดีมากเลยนี่”
วินยามองเห็น แอบยิ้มไม่พูดอะไรให้เลาซารู้สึกเสียหน้า แล้วพูดขึ้น
“ข้าขอยืมมีดเจ้าหน่อยได้ไหม”
“จะทำอะไร” เลาซาสงสัย
“เอาน่า”
วินยาฉวยมีดไปเลยแล้วลุกเดินเข้าไปที่ขื่อ วินยาเอามีดแกะไม้ที่ขื่อ เขียนเป็นชื่อของตัวเองอย่างรวดเร็วคล่องแคล่ว เลาซาลุกขึ้นตามเข้ามาดูด้วย
“ข้ายังไม่ได้อนุญาตเลยนะ นี่เจ้ามาแกะอะไรบนเพิงข้า”
วินยาชี้ให้ดูพลางสะกดอ่านไปด้วย
“วอ แหวน สระอิ นอหนู ยอยักษ์ สระ อา อ่านว่า วินยา เป็นชื่อของข้า..ถ้าเจ้าอยากอ่านหนังสือออกเมื่อไร ก็ติดต่อข้าได้เลย”
เลาซาอึ้งไป
“เจ้า...รู้...”
“ไม่ต้องอายหรอกน่า ข้าอยากให้ทุกชนเผ่ารู้หนังสือ เราจะได้ไม่ถูกเขาเอาเปรียบ”
สำทับคำพูดนั้นวินยายิ้มให้เลาซาอย่างจริงใจ เลาซายิ่งรู้สึกประทับใจมากขึ้น
นึกมาถึงตรงนี้ เลาซาเดินเข้ามาดูที่รอยแกะสลักชื่อ “วินยา” บนขื่อซึ่งยังคงชัดเจนอยู่ เหมือนเมื่อในวันนั้น
เลาซายกมือขึ้นไปลูบไล้ที่รอยแกชื่อวินยา อย่างหวลให้อาลัยหา
เสียงสุดท้ายของวินยาในวันนั้นเมื่อครั้งอดีตดังเข้ามาอีก
“ข้าจะสอนให้เจ้าฟรีๆ ไม่คิดเงินเลยนะ”
ภาพอดีตในวันนั้นผุดขึ้นในหัวของเลาซาอีกครั้ง
วินยาคุยกับเลาซาต่อ
“เจ้าชื่ออะไรละ เดี๋ยวข้าจะเขียนให้ดู”
วินยาหันไปที่ขื่อ เตรียมจะแกะ เลาซาขยับเข้ามาใกล้แล้วบอกชื่อตัวเอง
“เลาซา”
วินยาชะงัก สีหน้าเครียดขึ้งขึ้นมาทันที พร้อมกำมีดในมือแน่นด้วยความแค้น
“เลาซา?”
“ใช่ ข้าชื่อเลาซา” เลาซาไม่เอะใจย้ำชื่อตัวเองขึ้นมา
“ที่เป็นลูกของไอ้กาซูใช่มั้ย”
“ทำไมเรียกพ่อข้าแบบนั้น” เลาซาสงสัย
วินยาหันขวับมาพร้อมกับเอามีดปาดที่หน้าอกของเลาซาทันที เลาซาผะงักไป ล้มลงพร้อมเลือดที่หน้าอกแดงฉาน
“อ๊อย...นี่เจ้า เจ้าทำอะไร”
“ก็ฝากความระลึกถึงไปให้พ่อของเจ้ายังไงล่ะ แล้วบอกมันด้วยว่า ข้าวินยา ลูกของท่านพ่อลีซัน ได้กลับมาทำหน้าที่หัวหน้าเผ่าชาลันอย่างเต็มตัวแล้ว”
“วินยา!! นี่ เจ้าเองหรือ” เลาซานึกออก
“ใช่ ข้าเองนี่แหละ ศัตรูของเจ้า!!”
วินยาเงื้อมือยกมีดขึ้น ทำท่าจะแทงลงไปอีก เลาซาหลับตาลง นึกว่าตายแน่แล้ว ทว่าวินยากลับปามีดออกมาเฉียดข้างหูของเลาซา ไปปักที่ฝาเพิง
เลาซาสะดุ้ง แล้วค่อยลืมตาขึ้น
“ข้าจะยกให้เจ้าสักครั้งหนึ่ง ในฐานที่เจ้าให้ที่หลบฝนข้าแต่นับจากนี้ไป ข้าเจอเจ้ากับพ่อของเจ้าที่ไหน ข้าก็จะเอาชีวิตพวกเจ้าที่นั่น”
วินยามอง เลาซาอย่างแค้นฝังหุ่น แล้วค่อยๆ หันไปฉวยข้าวของตัวเองวิ่งออกไป
ปล่อยให้เลาซามองตามทั้งเจ็บแผล และหัวใจแหลกสลาย
เลาซานั่งชันเข่า เหม่ออยู่ที่ชานเพิงที่พักแห่งนั้น ยกมือขึ้นวางตรงแผลที่หน้าอกตัวเอง กำมือแน่น เหมือนยังเจ็บปวดอยู่
เพราะหัวใจที่แอบชอบวินยา เจ็บปวดกับความรักครั้งแรก แต่กลับเป็นรักต้องห้ามที่ต้องเก็บไว้ลึกสุดใจ เพราะไปรักกับศัตรูคู่แค้น และเลาซาพยายามต่อต้านไม่ยอมรับ แต่ในเวลาที่อ่อนไหวก็เผลอหลุดออกมา
“วินยา” เลาซาพึมพำออกมา ด้วยความคิดถึงวินยา แต่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด
“มาอยู่นี่เอง”
เสียงของพาณิชย์ดังขึ้น ปลุกเลาซาให้ตื่นจากภวังค์
พาณิชย์เดินเข้ามา ทำท่าจะขึ้นไปบนเพิง
“แกมาทำอะไรที่นี่วะ เลาซา”
เลาซารีบลุกขึ้นขวาง อย่างหวง
“ออกไป!!” เลาซาตะโกน
“เพิงโกโรโกโสอย่างนี้ ทำไมต้องหวงด้วยวะ แกซ่อนของดีไว้ที่นี่ใช่มั้ยล่ะ”
พาณิชย์ทำหน้ารู้ทัน อยากรู้อยากเห็น จึงก้าวจะขึ้นไป เลาซาดึงร่างพาณิชย์เหวี่ยงออกไปสุดแรงจนล้มกองลงกับพื้น
“อ๊อย นี่แก เป็นบ้าอะไรอีกฮ้า”
“ข้าไม่ชอบให้ใครมายุ่งเรื่องส่วนตัวของข้า”
เลาซาถลึงตาใส่ พาณิชย์ลุกขึ้นปัดๆ เนื้อตัว
“ฉันไม่ได้อยากเสียเวลากับคนอย่างแกเหมือนกัน ไป! รีบไปได้แล้ว มีงานมีการต้องทำนะโว้ย”
พาณิชย์เดินออกไปทันที ขณะที่เลาซามองตาม ถอนหายใจ
ขณะเดียวกันนั้นดาเนาใช้มีดพกตัดเถาวัลย์ออก แล้วเอากระบอกไม้ไผ่รองน้ำมาให้ ดาหวันกับชลิตดื่ม
“อะ แทนคำขอโทษที่ทำให้พี่สาวตกใจ” ดาเนายื่นกระบอกไม้ไผ่ให้ดาหวัน
ดาหวันรีบรับกระบอกไป “ขอบใจนะจ๊ะ แต่ว่า มันดื่มได้แน่นะ” ดาหวันแซว
ดาเนาพาซื่อพูดเสียงใส “ถ้าดื่มไม่ได้แล้วดาเนาจะเอามาให้พี่สาวทำไม ดาเนาไม่ได้โง่นะ”
“นั่นสิ ไม่น่าถามเลยเนอะ ฮิฮิฮิ เจอเด็กด่าเลย” ดนัยได้ทีเยาะขึ้น
“น้อยๆหน่อย”
ชลิตถูกดาหวันทุบ เจ็บจนร้อง “โอ้ย”
ดาหวันค้อนขวับ แล้วค่อยหันกลับมาถามดาเนาใหม่
“ดาเนา แล้วทางออกจากป่ามันทางนี้จริงๆ เหรอ” ดาหวันชี้ไปยังทางหนึ่ง
“จริงซี้ คนอย่างดาเนาไม่เคยหลงป่าอยู่แล้ว”
“แสดงว่านายโตมาในป่าล่ะสิ แล้วบ้านอยู่ไหน” ดาหวันถาม
“หลังหุบเขาโน้น” ดาเนาชี้ออกไปทางภูเขาลูกหนึ่ง “แต่ดาเนาชอบมาเล่นกับเพื่อนๆ ที่นี่
เด็กๆ เมื่อคืนนี้ก็เพื่อนดาเนาทั้งหมดเลย”
ชลิตได้ฟังก็ยิ่งเอ็นดูดาเนา “แหม เหมือนเมาคลีเลยนะ”
“เมาคลีคืออะไร” ดาเนาสังสัย
“ก็เด็กที่มีหมาป่าเอาไปเลี้ยง”
ดาเนานิ่วหน้า “เรื่องแบบนั้นไม่มีหรอก เพ้อเจ้อ”
ชลิตจ๋อยไปเลย ขณะที่ดาหวันชอบใจ หัวเราะเยาะเสียงดังบ้าง
“เป็นไง เจอเด็กด่า จ๋อยไปเลย” ดาหวันยิ้มเย้ย
“ไม่ต้องตอกย้ำก็ได้” ชลิตค้อนให้ ทำงอนใส่
ดาหวันส่ายหน้ายิ้มๆ แล้ว หันมาคุยกับดาเนาต่อ “แล้วพ่อแม่ดาเนาล่ะไม่ว่าเอาเหรอ เข้าป่าบ่อยๆ แบบนี้ มันอันตรายนะ”
“ดาเนาไม่มีพ่อแม่”
ชลิตกับดาหวัน อึ้งสีหน้าสลดลงไป
ดาเนาพูดต่อ แบบชิลๆ ใสๆ ไม่ได้ทำตัวน่าสงสาร “ดาเนาไม่มีพี่น้อง ดาเนามีแต่ยายคนเดียว ยายเลี้ยงดาเนามาตั้งแต่เด็กๆ ยายใจดีไม่ว่าดาเนาหรอก”
ดาเนาพูดพลางหยิบกระบอกไม้ไผ่อีกอันขึ้นมาชู พร้อมกับหันไปทางชลิต
“รอเดี๋ยวนะ พี่ชาย ดาเนาจะรองน้ำมาให้”
ดาเนาวิ่งตื้อไปรองน้ำจากเถาวัลย์ ไม่มีท่าทีเศร้าสลดแต่อย่างใด
ชลิตกับดาหวันกลับมองตามด้วยความสงสาร ปนเอ็นดู
“อืม...เป็นเด็กกำพร้า อยู่กับยายกลางป่านี่เอง ถึงได้มีสัญชาตญาณการเอาตัวรอดสูง แล้วก็เลยแก่นแก้วอย่างนี้” ชลิตบอก
“ถึงจะแก่นแต่ก็มีน้ำใจนะ พี่ชลิต” ดาหวันปรายตามองดาเนาด้วยความเอ็นดู “ถ้าเป็นไปได้ หวันอยากให้ดาเนาเกิดมาเป็นน้องชายของหวันจริงๆ เลย”
สีหน้าแววตาของดาหวันมองดาเนาด้วยความเอ็นดูจากใจจริง
ธานีคุยโทรศัพท์สายจากพาณิชย์ด้วยอาการโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก
“ว่าไงนะ ? พวกแกนี่มันห่วยแตกจริงๆ ไว้ใจให้ทำงานอะไรไม่ได้เลยใช่ไหม คอยดูนะฉันจะ
ตัดเงินเดือนให้หมดเลย รวมทั้งแกด้วยไอ้พาณิชย์”
ธานีวางสายลงอย่างหงุดหงิด ธนวัติมองอย่างสงสัย
“อะไรเหรอ ป๊า”
“พาณิชย์บอกว่าไอ้ชลิตกับดาหวันพาเด็กๆ หนีไปหมดแล้วนะสิ”
ธนวัติกับธานีฮึดฮัดไม่พอใจ กาซูเปิดประตูเข้ามา
“เสี่ย ตำรวจที่เสี่ยให้ไปตาม กำลังมาถึงแล้ว”
“ดีมาก มันแสบกันนัก คราวนี้จะได้รู้ฤทธิ์เสี่ยธานีเสียบ้าง”
“พวกมันต้องจำไปจนตาย แน่นอน”
กาซูที่รู้อยู่แล้วว่าตำรวจที่มาเป็นตำรวจปลอม ยิ้มกริ่มสบตากับธานีอย่างมีเลศนัย
เวลานั้นดนัยมองเห็น ทองอินกับวินยาเดินกลับเข้ามา ด้วยสีหน้าหนักใจ เคร่งเครียด ดนัยรีบถามขึ้น อย่างมีความหวัง เพราะมันหมายถึงอิสรภาพของเพื่อนๆ ทุกคน ที่ถูกสมุนคุมตัวไว้ และมีอุ๊บอิ๊บคอยเฝ้าอยู่
“พี่ทองอิน เจอหลักฐานที่จะเล่นงานพวกมันแล้วใช่มั้ยฮะ”
ทองอินกับวินยายังไม่ทันตอบอะไร ธานีก็หัวเราะเสียงดังเข้ามา
“ฮ่าๆๆๆ”
ทุกคนหันมอง เห็นธานีเดินออกมาจากออฟฟิศ ธนวัติกับกาซูตามออกมาด้วย
“ตกลงได้อะไรมาใส่ความผมหรือเปล่า อ้ำอึ้งอยู่ทำไมล่ะครับ คุณป่าไม้”
“จะไปเจออะไรล่ะครับ พวกชั่วทำลายชาติ มันรู้แกว ขนไม้ไปไว้ที่อื่นแล้วนะสิ” ทองอินเยาะ ด่าอยู่ในที
ธนวัติเดือด จะเข้ามาเอาเรื่อง “พูดให้ดีๆ นะคุณ ผมฟ้องหมิ่นประมาทคุณได้นะ”
ฉวีวรรณสวนแทรกขึ้นมา “นึกว่าพวกเราจะกลัวคนชั่วลวงโลกอย่างพวกแกเหรอ”
บุญทิ้งพนมมือ ยกธรรมะขึ้นมา
“อะภูตา วาที นิระยัง อุเปติ ผู้กล่าวคำไม่จริงย่อมเข้าถึงนรก”
ธนวัติเดือดจัด หันมาตะคอกใส่บุญทิ้ง “แกนั่นแหละ!!! ลงนรกไปซะ!”
โดยที่ทุกคนไม่ทันระวัง ธนวัติพุ่งเข้ามาชกหน้าบุญทิ้ง จนร่างกระเด็นไปล้มตรหน้าทุกคน ฉวีวรรณ แจ๋ กิมจิ ร้องขึ้นด้วยความตกใจ
“บุญทิ้ง”
ดนัยรีบเข้ามากระชากธนวัติ ชกหน้าหันไปเช่นกัน ธนวัติเลยหันมาเล่นงานดนัยแทน
ฉวีวรรณมองเป็นห่วง “ดนัย ระวังนะ”
ดนัยหลบหลีก หมัดธนวัติคล่องแคล่ว ธานียกมือทำท่าจะให้สมุนเข้าไปรุม
กิมจิรีบขัดขึ้นอย่างรู้ทัน “อะ อะ ลูกผู้ชายหรือเปล่า!!”
“แน่จริงก็ตัวต่อตัวซี้” แจ๋ดักคออีก
ธานีรีบลดมือลงพูดขึ้นมาอย่างมั่นใจ “ก็ได้วะ ยังไงลูกชายฉันก็ต้องชนะอยู่แล้ว”
ดนัยกับธนวัติ สู้กันแลกหมัดต่อหมัด แล้วจังหวะหนึ่งดนัยก็โดนต่อยล้มกลิ้ง ธนวัติเข้ามากระทืบ ดนัยกลิ้งหลบหลุนๆ
ธานี กับกาซู ออกโรงเชียร์สนั่นเหมือนเชียร์มวย
เวลานั้นธนวัติหยิบจอบ ที่คนงานวางกองอยู่ใกล้ๆ รวมกับอุปกรณ์ทำสวนอื่นๆ ขึ้นมา แล้วเข้าไปฟันดนัย
ดนัยตีลังกาถอยหลัง พั่บๆๆ หลบการฟาดจอบลงมาใส่ ทั้งสองออกไปสู้ไกลออกไปอีก
“ตามไป” ธานีสั่งอย่างติดลม
ทั้งสองฝ่ายรีบวิ่งตาม ดนัยกับธนวัติไป โดยมีอุ๊บอิ๊บรั้งท้ายขบวน
ดนัยตีลังกาถอยมาตั้งตัวได้ มุมหนึ่งใกล้ๆ ออฟฟิศปางไม้ ธนวัติตามเข้ามา เอาจอบฟันอีก แต่คราวนี้พอฟันลงดินแล้วจอบติดคาพื้นดิน ดึงไม่ขึ้น ธนวัติชะงักเสียจังหวะ ดนัยเลยได้ที กระโดดถีบ ธนวัติจนร่างกระเด็นล้มกลิ้งไป
ธานี กาซู ฉวีวรรณ แจ๋ กิมจิ บุญทิ้ง วินยา ทองอิน วิ่งตามเข้ามาหยุดมองดูเหตุการณ์ต่อ
ฉวีวรรณมองไม่กระพริบตา ลุ้นและเชียร์
“ดนัยจัดการมันเลย”
ดนัยตามเข้าไป ดึงตัวธนวัติขึ้นมาต่อย ธานี กาซูมองลุ้นเชียร์ให้ธนวัติสู้คืนได้
จังหวะนั้นอุ๊บอิ๊บวิ่งตามหลังทุกคนเข้ามา แล้วจะวิ่งฝ่าวงเข้าไปหาดนัย
บุญทิ้งที่ยืนอยู่แถวนั้นรีบจับมืออุ๊บอิ๊บดึงไว้อย่างลืมตัว เพราะความเป็นห่วง
“พี่ดนัย” อุ๊บอิ๊บทำท่าจะวิ่งไป
“อย่าครับ อันตราย”
อุ๊บอิ๊บไม่พอใจ ชักสีหน้าแล้วยิ้มอำมหิตใส่
“ขอบใจนะที่สาระแน!!” แล้วอุ๊บอิ๊บแกล้งยื่นปากทำท่าจะจูบใส่หน้าบุญทิ้ง
บุญทิ้งตะลึงกลัวจูบ หอบขึ้นแล้วเป็นลมล้มลงไปกองกับพื้น แจ๋ กิมจิ หันมาเห็น ร้องเป็นห่วง
“บุญทิ้ง!”
อุ๊บอิ๊บมองดูด้วยความสะใจ แล้วหันไปเชียร์ดนัยต่อ
ดนัยรัวหมัดชุดสุดท้าย แล้วใส่จระเข้ฟาดหาง จนธนวัติกระเด็นไปล้มหมดสภาพมุมหนึ่ง
ธานี กาซู รีบตามเข้าไปดู ธนวัติ อย่างห่วงใย
“ไอ้วัติ” / “นายธนวัติ”
อุ๊บอิ๊บกลับจะวิ่งเข้าไปหาดนัย แต่โดนฉวีวรรณชิงออกตัวเร็วและแรง พุ่งเบียดเข้าไปก่อน ชนอุ๊บอิ๊บล้มลงไปจับกบ
“พี่ดนัย อ๊าย...นังฉวีวรรณ แรงนะยะ”
ฉวีวรรณพูดกับดนัย “เป็นยังไงบ้าง”
“ไม่ต้องห่วง” พลางหันไปมองพวกธานี ธนวัติ ตะโกนก้องขึ้น “ต่อให้ฉันต้องตายเป็นผี ฉันก็ไม่ยอมให้พวกแก บุกรุกป่าอีกแล้ว”
ธนวัติหันขวับมองอย่างเดือดดาลขึ้นมาอีกจะเข้าไปเอาเรื่อง
“แก อย่าอยู่เลย”
ธานีกับกาซูรีบดึงห้ามไว้
“ไม่ต้องไอ้วัติ มือของแกไม่จำเป็นต้องเปื้อนเลือดสกปรกของมันหรอกยังไงๆ มือกฎหมายก็ต้องจัดการมันอยู่แล้ว”
ธานีพูดแล้วหันไปมองรถกระบะของตำรวจ 2 คัน ที่แล่นเข้ามาจอดแถวนั้นอย่างรู้เวลา ตำรวจ 4 คนลงจากรถเข้ามาหา พวกดนัยทุกคนมองตาม แล้วหน้าเผือดลงไป
“เชิญทางนี้ครับคุณตำรวจ เอาตัวพวกมันไปเลย จัดให้หนักๆ อย่าให้มันประกันตัวได้เลยนะครับ”
ตำรวจกรูเข้าไปจับตัวดนัย ฉวีวรรณ แจ๋ กิมจิ บุญทิ้งที่ยังสลบอยู่ อุ๊บอิ๊บมองดนัยด้วยความเป็นห่วง
“โธ่ พี่ดนัย” อุ๊บอิ๊บแถเข้าไปเขย่าแขนอ้อนธานี “ป๊า เว้นพี่ดนัยไว้ซักคนนะ ป๊า นะ”
“อุ๊บอิ๊บ!! เลิกเข้าข้างไอ้ชั่วนั่นซะที” ธานีตวาดลูกสาว
วินยาเหลืออด ตวาดขึ้นด่าใส่พวกธานี ธนวัติ กาซู
“พวกแกสิทั้งชั่วทั้งหน้าด้าน ทำผิดกฎหมายแล้วยังใส่ร้ายคนอื่นอีก”
“ถ้าไม่อยากให้ชาวชาลันกำพร้าผู้นำ ก็หุบปากแกซะเถอะ นังวินยา” กาซูเย้ย
วินยาโมโหทำท่าจะเข้าไปต่อยกาซู
“ไอ้สารเลว”
ทองอินจับแขนดึงห้าม รีบปรามไว้ “วินยา อย่าใช้กำลัง เดี๋ยวจะเข้าทางพวกมันอีก”
วินยาอึ้ง แล้วนิ่งไป ตำรวจคุมตัวดนัย ฉวีวรรณ กับแจ๋ กิมจิ บุญทิ้ง เดินผ่านหน้าวินยากับทองอินไป
“ดนัย”
ดนัยสบตาวินยา รับรู้ถึงความห่วงใย แล้วตัดใจเดินออกไป ฉวีวรรณก็มองรับรู้ได้เหมือนกัน แต่เก็บอาการ
ดนัยโดนต้อนออกไป พร้อมกับฉวีวรรณและคนอื่นๆ แล้วขึ้นรถกระบะออกไปคนละคัน โดย แจ๋ กิมจิ กับบุญทิ้งขึ้นรถกระบะคันนำหน้า ส่วนดนัยกับฉวีวรรณขึ้นรถตำรวจอีกคันที่ขับตามหลัง โดยแต่ละคันจะมีตำรวจหนึ่งคนขับรถ และ อีกหนึ่งคนคอยคุมที่หลังกระบะ
ธานี กับเลาซายืนมองอย่างสะใจ แต่ธนวัติยังรู้สึกกังวลใจอยู่
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไอ้พวกเด็กเมื่อวานซืน พวกแกไม่มีทางกลับมาป่วนได้อีกแล้ว” ธานีหัวเราะลั่น
ทองอินมองตามตำรวจไป รู้สึกสะดุดใจอะไรบางอย่าง กับท่าทางตำรวจที่ดูผิดปกติ ส่อพิรุธ
ส่วนดาเนาเดินนำทางชลิตกับดาหวันมาหยุดที่ ตรงเนินเขาลูกหนึ่ง ก่อนจะยกมือทำสัญญาณให้ทั้งคู่หยุดก่อน
“อ้าวทำไมไม่ไป ต่อล่ะ ดาเนา”
“เราเข้าเขตดงผีฟ้าแล้ว” ดาเนาชี้ไปที่เนินเขาข้างหน้า “ถ้าข้ามเขานี้ไปก็จะเป็นหมู่บ้านชาลัน"
ดาหวันหน้าตึงขึ้นมาทันที สะกิดใจนึกไปถึงฉวีวรรณและดนัย ชลิตเหลือบตามองอย่างรู้ทันว่าดาหวันคิดอะไรอยู่
ดาเนาชี้ไปอีกทาง “แล้วถ้าเราเดินไปทางนี้ ก็จะตัดป่าดงผีฟ้าออกไปถนนหลวง”
ดาหวันรีบออกตัว “งั้นเราก็รีบไปกันเถอะ จะได้ถึงถนนหลวงก่อนค่ำ”
ดาหวันหันตัวจะก้าวไป แต่ชลิตคว้าข้อมือดาหวันไว้หมับ
“เดี๋ยวก่อน หวัน”
“รีบไปเถอะน่า”
“จะไปได้ยังไง ในเมื่อเรื่องทุกอย่างมันยังคาใจอยู่อย่างนี้”
ดาหวันอึ้ง นึกรู้คำพูดของชลิตหมายความว่ายังไง แต่กลับบอกปัด ไม่ยอมรับ
“พี่อย่ามาพูดเพ้อเจ้อได้ไหม”
ชลิตรั้งร่างดาหวันไว้
“หวันอาจจะหนีหน้าหวีไปได้ทั้งชีวิต แต่หวันไม่มีทางหนีหัวใจตัวเองได้หรอกนะ”
ดาหวันอึ้งพูดไม่ออก ชลิตยกมือขึ้นจับไหล่ดาหวันทั้งสองข้างอ่อนโยน ถ่ายทอดความรู้สึกจากใจ
“ทีแรก พี่ก็ยังไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาของเรายังไงดี แต่เพราะเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ มันทำให้พี่รู้แล้วว่า หัวใจของพี่ไปอยู่กับใคร”
เหตุการณ์ที่ว่า เป็นตอนที่ชลิตกระทืบพวกสมุนพาณิชย์ที่จะทำร้ายดาหวันแบบไม่ยั้ง จนดาหวันต้องรีบวิ่งเข้าไปดึงแขนชลิต ห้าม
“พี่ชลิต พอได้แล้ว พอ”
“ถ้ายังอยากหายใจอยู่ อย่ามารังแกแฟนฉันอีก”
ชลิตมองดาหวันตาเป็นประกาย
“หวัน พี่ไม่อยากหลอกตัวเองหรือหลอกใครๆ อีกแล้ว เราสองคนกลับไปสู้ความจริงกันเถอะ
นะ”
ดาหวันยังกังวลไม่หาย “พี่ชลิต”
“ไม่ต้องกลัวนะ พี่คิดว่าหวีแมนพอ แล้วก็ยอมรับได้ พี่จะไปสารภาพกับหวีเองกว่าหัวใจของพี่เปลี่ยนไปแล้ว พี่ไม่ได้รักหวีเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว”
ดาหวันสุดทน ยกมือขึ้นตบหน้าชลิตฉาดใหญ่เสียงดังเพี๊ยะ
“ผู้ชายเห็นแก่ตัว นึกจะเปลี่ยนใจเลิกรัก ก็พูดง่ายๆ ทำง่ายๆ อย่างนี้น่ะเหรอ”
ชลิตเจ็บแต่ไม่นึกโกรธ อึ้งไปเลย “หวัน”
“พี่ไม่มีสิทธิ์ทำร้ายจิตใจพี่หวี ได้ยินไหม ไม่มีสิทธิ์”
ดาหวันผลักชลิตกระเด็น แล้วรีบวิ่งลิ่วออกไปจากตรงนั้น ชลิตอึ้งมองตามไป
ดาเนาวิ่งเข้ามาหาชลิตหน้าตาตื่น
“พี่ชลิต เป็นยังไงบ้าง”
“รอก่อนนะ ดาเนา พี่ขอไปปรับความเข้าใจกับพี่หวันก่อน”
ชลิตออกวิ่งตามดาหวันไป ปล่อยให้ดาเนามองตามไปอย่างงงๆ พร้อมกับเกาหัวแกรกๆ
“เดี๋ยว พี่ชลิต เฮ้อ! ตกลงพี่สองคนนี้ คบกันแบบไหนกันแน่ งง ดาเนางง”
ดาหวันวิ่งหนีมาตามทางไปน้ำตกด้วยความร้าวราน เจ็บปวดหัวใจกับปัญหารัก ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของตัวเองกับพี่สาวสุดที่รัก ชลิตวิ่งตามหา ตะโกนร้องเรียก แล้ววิ่งมาทัน เห็นดาหวันวิ่ง ลิ่วๆ อยู่ข้างหน้า
“หวัน ดาหวัน” ชลิตรีบวิ่งตามไป
ดาหวันวิ่งมาจนสุดหน้าผา เป็นหน้าผาที่มีน้ำตกหลายชั้น ไหลแรงอย่างไม่ขาดสาย สุดปลายน้ำมีแอ่งวังน้ำใต้หน้าผาสวยงาม น้ำที่ตกกระทบชั้นต่างๆ มีละอองน้ำฟุ้งกระจายคล้ายไอหมอกบนผิวน้ำ ราวกับภาพเขียนแบบฟุ้งๆ ฝันๆ ดาหวันไม่รู้เลยว่าตรงวังน้ำแห่งนี้จะเป็นประตูไปยัง...เมืองลับแล
ดาหวันหยุดยืนหอบหายใจอย่างเหนื่อยล้าโรยแรง ทั้งกายและใจ มองไปยังน้ำตกที่น้ำไหลเป็นชั้นๆ สวยงาม ดาหวัน หวนนึกถึงภาพอดีต เหตุการณ์และคำพูดระหว่างฉวีวรรณกับชลิตที่ตัวเองแอบได้ยินและได้เห็น
เวลานั้นฉวีวรรณหัวเราะกิ๊กๆ หลุดขำออกมา
“อะไร หวี ฉันเจ็บจะตายอยู่แล้วนะ ยังจะมาขำอีก” ดนัยว่า
“เปล่า..ฉันแค่อยากจะบอกว่า นายเป็นคนที่ทำให้ฉันหัวเราะได้มากที่สุดเลยนะชลิต แล้วฉันก็เชื่อว่านายจะเป็นคนสุดท้ายในโลกนี้ที่จะทำให้ฉันเสียใจ”
คำพูดประโยคนั้นทำให้ดาหวันถึงกับน้ำตาคลอ ไม่อยากเป็นต้นเหตุให้ ฉวีวรรณต้องเสียใจ
“หวันจะไม่ยอมให้พี่ชลิตทำร้ายจิตใจพี่หวีเด็ดขาด หวันยอมเจ็บเอง” ดาหวันพูดกับตัวเองทั้งน้ำตา
ชลิตวิ่งตามเข้ามา ด้วยความเป็นห่วง
“หวัน”
ดาหวันหลับตาลงอย่างปวดร้าว แล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ชักสีหน้าเอาจริง หันกลับไปไล่ชลิต
“พี่กลับไปหาพี่หวีเถอะ”
ชลิตชะงักกึก อึ้งไป “อะไรนะ”
“กลับไปหาพี่หวีไงล่ะ” ดาหวันเดินเข้าไปดันตัวชลิตให้ออกไป “ไปเดี๋ยวนี้เลยไม่ต้องมายุ่งกับหวันอีก ไป ไป ไป”
ชลิตขืนตัวไว้ไม่ยอมไป มองดาหวันด้วยความน้อยใจ
“หวัน ช่วยทำกับพี่เหมือนคนที่รักกันหน่อยได้ไหม”
ดาหวันได้ฟังก็ชะงัก อึ้ง รู้สึกสะเทือนใจ พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา
“เชื่อพี่สักครั้งเถอะนะ พี่อยากให้หวันซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง แล้วมันจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน” ชลิตพยายามโน้มน้าว
ดาหวันจ้องมองหน้าชลิต นิ่งคิดเหมือนกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง เหมือนคนที่เลือดเย็น
“ก็ได้ ถ้าพี่อยากให้หวันพูดความจริง หวันก็จะพูด”
ชลิตดีใจ นึกว่าดาหวันเห็นด้วยกับสิ่งที่ตัวเองพูด
“ดี งั้นเราไปหมู่บ้านชาลันกันเดี๋ยวนี้เลย”
พูดจบชลิตก็จับมือดาหวันจะดึงพาตัวออกไป แต่ดาหวันกลับปัดมือชลิตอย่าไม่ใยดี
“หวันรักพี่ดนัย ไม่ใช่พี่” น้ำเสียงดาหวันจริงจัง และพูดอย่างชัดเจน
ชลิตหน้าเจื่อนไป เหมือนตัวเองโดนตบหน้าอย่างแรง ดาหวันยังทำเชิดใส่ ใช้วาจาเฉือนเชือดหัวใจชลิตต่อไปอีก
“นี่ไงความจริงที่พี่อยากฟัง ได้ยินชัดหรือยัง”
“ไม่จริง หวันโกหก” ชลิตไม่เชื่อ
“หวันไม่ใช่ผู้ชายโลเลเปลี่ยนใจง่ายดายอย่างพี่นี่”
ชลิตยิ่งฟังก็ยิ่งเจ็บปวด “หวัน”
“ที่หวันบอกเลิกพี่ดนัย เพราะหวันไม่ดีพอกับพี่เค้า แต่มันไม่ได้แปลว่าหวันจะหมดรักพี่ดนัยไปด้วย รู้ไว้เลยนะ!! ไม่มีใครมาแทนที่พี่ดนัยได้ โดยเฉพาะ ผู้ชายไม่เอาถ่านอย่างพี่”
ดาหวันจ้องหน้าเอาเรื่องได้อย่างสมบทบาท แล้วหันหลังให้ชลิต เดินหนีออกไป
ชลิตมองตามแล้วทนไม่ได้ พุ่งเข้าไปสวมกอดดาหวันจากข้างหลัง
“อย่าไปนะ หวัน”
ดาหวันชะงักกึก น้ำตาร่วงเผาะ หัวใจจะแตกสลาย แต่ดีที่เวลานั้นหันหลังให้ ชลิตจึงไม่เห็นสีหน้าของเธอ
“เวลาที่เราอยู่ด้วยกันมันมีความสุขมากเลยนะ หวันลืมดอกบัวที่พี่เคยให้ ลืมการฝึกเต้นรำกลางป่าทุ่งหญ้าที่เราเคยนอนดูดาวด้วยกันไปแล้วเหรอ”
ดาหวันได้ฟังก็ยิ่งสะเทือนใจ น้ำตาร่วงลงมาอีก เอามือปิดปากตัวเองกลั้นก้อนสะอื้นไม่ให้เสียงหลุดรอดออกมา
“ตอบพี่มาสิ ความรู้สึกดีๆที่เราเคยมีด้วยกัน มันไม่ได้มีความหมายอะไรกับหวันเลยใช่มั้ย”
ดาหวันทนฟังไม่ไหว ตวาดขึ้นมากลบเกลื่อน พร้อมดึงตัวออกจากอ้อมกอดของชลิต
“พอเสียทีเถอะ ออกไป”
ดาหวันดิ้นไปมา สลัดตัวออกจากการกอดรัดนั้น ชลิตหัวใจแตกสลายถอยหลังไปทางหน้าผาอย่างไม่รู้ตัว
“ไม่มีทาง พี่ไม่ยอมให้หวันไปไหนทั้งนั้น”
“เลิกหลอกตัวเองเสียทีเถอะ ไม่มีใครหลงละเมอเพ้อพกไปกับนิยายรักกลางป่าของพี่หรอกนะ”
ชลิตอึ้งไปกับคำพูดเสียดแทงใจ น้ำตาคลอหน่วย ไร้แรงเหนี่ยวรั้งคลายวงแขนออก
ดาหวันได้โอกาสพลิกตัวออกมาจากอ้อมกอดชลิต แต่กลับตาลปัดเหมือนไปผลักตัวชลิตออก แบบไม่ทันระวัง
ชลิตถลาเซถอยหลังกระเด็นออกไป แล้วร่วงตกหน้าผาไปทันที!
ดาหวันตกใจร้องกรี๊ดขึ้นสุดเสียง
“พี่ชลิต”
ร่างไร้หัวใจของชลิตลอยละลิ่ว แล้วร่วงผ่านอากาศก่อนจะตกลงในน้ำ เสียงดังตูมใหญ่
“พี่ชลิต กรี๊ด...”
ดาหวันกรีดร้องขึ้นอีกครั้งด้วยความเป็นห่วงชลิต
อ่านต่อตอนที่ 14