หอบรักมาห่มป่า ตอนที่ 11
ดนัยหันหน้ากลับมาหาดาหวัน เขาฝืนยิ้มบางๆ ให้ ขณะที่ดาหวันกำลังมองมาด้วยตาใสแหววอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร
ดนัยจับมือดาหวันข้างหนึ่งขึ้นมากุมไว้ พร้อมกับมองดาหวันอย่างอ่อนโยน
“ขอบใจนะ ที่หวันอดทนและคอยเป็นกำลังใจให้ผู้ชายห่ามๆ คนนี้”
ดาหวันมีสีหน้าปลาบปลื้ม
ทันใดนั้นเอง อุ๊บอิ๊บเดินเข้ามา เธอชูมือถือขึ้น
ดาหวันเหลือบไปมองแล้วถึงกับอึ้งหน้าถอดสี เธอจึงรีบตัดสินใจที่จะบอกเลิกดนัย
“พี่รัก...” ดนัยกำลังจะบอกดาหวันว่ารัก แต่ดาหวันพูดแทรกขึ้นมาก่อน
“เราเลิกกันเถอะ!!”
ดาหวันดึงมือออก ดนัยถึงกับผงะหงายหลังไป
ฉวีวรรณ ชลิต และทุกคนต่างตกตะลึงเพราะนึกไม่ถึง จังหวะนั้นดาหวันก็น้ำตาคลอแล้วแกล้งทำเป็นต่อว่าดนัย
“เราสองคนต่างกันสุดขั้ว อย่าฝืนทำอะไรที่มันไม่ใช่ตัวพี่อีกเลยค่ะ”
“หวัน” ดนัยอึ้งพูดอะไรไม่ออก
“ไม่ต้องพูดแล้วล่ะคะ พี่ไม่ใช่คนที่จะมาทำอะไรหวานๆ แบบนี้แล้วที่สำคัญที่สุด.... หวันรู้ดีว่า พี่ไม่เคยคิดจะบอกรักหวันเลย”
ดาหวันน้ำตาไหลพรากแล้วทำท่าจะเดินออกไป ดนัยดึงแขนเธอไว้
“หวันไม่มีทางทิ้งพี่แบบนี้ มันเกิดอะไรขึ้น บอกมา”
“ถ้าพี่ไม่รัก ก็ไม่ต้องมาสงสาร ไปให้พ้น”
ดาหวันผลักดนัยเต็มแรงจนดนัยล้มก้นจ้ำเบ้า แล้วเธอก็วิ่งร้องไห้ออกไปอย่างรวดเร็ว ดนัยนั่งอยู่ที่พื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง เขาร้องตามไปด้วยความเจ็บปวดใจ
“หวันนนนนน”
ชลิตกับฉวีวรรณที่ดูอยู่ถึงกับตกตะลึง
“ดาหวัน...” ชลิตรำพึง
“ยายหวัน” ฉวีวรรณรำพึงด้วย
ชลิตกับฉวีวรรณรีบวิ่งตามไปอย่างเป็นห่วง
แจ๋ กิมจิ และบุญทิ้งต่างตกใจรีบออกจากที่ซ่อน
“ตามไปเร็ว ยายหวัน” แจ๋ร้องเรียก
“สาธุ ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์” บุญทิ้งพูด
ทั้งหมดวิ่งตามดาหวันไป ขณะที่ อุ๊บอิ๊บยืนมองอยู่อย่างสะใจ
“ปิดจ๊อบซะทีนะ ยายดาโง่ ต่อไปนี้พี่ดนัยเป็นของฉันคนเดียว”
อุ๊บอิ๊บหัวเราะสะใจ
ดาหวันวิ่งไปร้องไห้ไป คนอื่นๆ ร้องเรียกพร้อมกับวิ่งไล่มาตามหลัง
“หวัน หยุดก่อน หวัน” ชลิตตะโกนเรียก
“ยายหวัน กลับมา” ฉวีวรรณร้องเรียกอีกคน
ดาหวันไม่ฟังเสียงวิ่งมาถึงทางแยกในป่า เธอเลือกเลี้ยวไปทางหนึ่ง
ชลิต ฉวีวรรณ แจ๋ กิมจิ และบุญทิ้งวิ่งตามมาแต่ไม่ทันเห็นดาหวันจึงแยกกันไปตามคนละทาง
ชลิตกับฉวีวรรณวิ่งไปตามทางที่ดาหวันวิ่งเตลิดไป
ดาหวันวิ่งร้องไห้มาจนถึงท่าน้ำ เธอเห็นเรือพายลำหนึ่งผูกอยู่จึงรีบวิ่งไปแก้เชือก แล้วออกเรือไปตามกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก
ฉวีวรรณกับชลิตวิ่งตามมาทัน ฉวีวรรณเห็นก่อนจึงรีบชี้บอก
“ยายหวัน”
“ดาหวัน! กลับมาเดี๋ยวนี้” ชลิตสั่ง
ชลิตเป็นห่วงดาหวันมากอย่างเห็นได้ชัด เขารีบวิ่งนำหน้าฉวีวรรณไปที่ท่าน้ำ แล้วกระโดดลงไป
“ชลิต” ฉวีวรรณตกใจ
ชลิตรีบว่ายน้ำตามดาหวันไป แจ๋ กิมจิ บุญทิ้งวิ่งตามเข้ามาดู
“อ๊าย อะไรกันน่ะ นั่นยายหวันใช่มั้ย” แจ๋ถาม
“เฮ้ย น้ำแรงอย่างนั้นเดี๋ยวได้ตายหมู่หรอก” กิมจิพูดเป็นลางทำให้แจ๋กับบุญทิ้งช่วยกันถองใส่ท้องกิมจิ พร้อมกัน
“ปากเสีย!”
ชลิตว่ายเข้าไปเกาะที่ขอบเรือได้
“หวัน เธอทำบ้าอะไร”
“อย่ามายุ่งนะ ไปให้พ้น ไป” ดาหวันไล่
ดาหวันเอาไม้วักน้ำสาดใส่ชลิต ชลิตหลบแต่ก็สำลักน้ำ เขายังพยายามเกาะขอบเรือแน่น
ฉวีวรรณมองด้วยความเป็นห่วง
“หวันอย่าทำอย่างนั้น กลับมา!!” ฉวีวรรณตะโกนออกไป
ดาหวันเห็นชลิตสู้ไม่ถอยเลยหยุดสาดน้ำใส่ แล้วสะอื้นไห้
“พี่มันบ้า ๆๆๆๆ คนบ้า!!”
“ถูก ถ้าไม่บ้าก็ต้องเมาล่ะ ไม่งั้นก็คุยกับเธอไม่รู้เรื่อง” ชลิตบอก
น้ำไหลแรงขึ้นจนชลิตเซ ดาหวันร้องกริ๊ดออกมา ชลิตประคองตัวได้จึงพูดกับดาหวัน
“ฉันไม่ตายง่ายๆหรอก” ชลิตหันไปตะโกนบอกฉวีวรรณที่ยืนอยู่ที่ฝั่ง “หวี ..กลับไปก่อน ฉันจะพายายหวันตามไปทีหลัง”
ฉวีวรรณมอง ชลิตกับดาหวันที่อยู่กลางแม่น้ำลิบๆ
“รีบๆ กลับมานะ ขอให้ปลอดภัยทุกคน”
ฉวีวรรณตะโกนบอกชลิตอย่างเป็นห่วง
วินยากับสางโปเดินมาหา ฉวีวรรณ แจ๋ กิมจิ และบุญทิ้งที่เดินทางกลับมาด้วยความรู้สึกเป็นห่วง
“น้องของเธอเป็นยังไงบ้าง เจอตัวไหม” วินยาถาม
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวชลิตคงพาตัวกลับมา” ฉวีวรรณบอก
“ค่อยยังชั่วหน่อย แต่ถ้าเธอต้องการความช่วยเหลืออะไรก็บอกมาได้เลยนะ ฉันจะจัดการให้”
ฉวีวรรณรับรู้ในน้ำใจ แต่ก็ยังรักษาท่าทีอยู่
“ขอบใจ”
สางโปมองไปที่กลุ่มแจ๋แล้วไม่เห็นดนัยอยู่ด้วยเลยถามขึ้น
“แล้วนี่ ดนัย เพื่อนของพวกเจ้าหายไปไหน”
“เออ ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ ดนัยเขาไม่ได้ไปกับพวกเรา” แจ๋ตอบ
“อ้าว ทุกคนวุ่นวายตามหา ยายหนูคนนั้นไม่ใช่หรือแล้วทำไม ดนัยไม่ไปช่วยด้วยล่ะ”
ฉวีวรรณผสมโรงอย่างฉุนๆ
“นั่นสิคะ หนูก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไม” ฉวีวรรณเหลียวไปมองวินยา “เธอรู้หรือเปล่า ว่าเพื่อนสนิทของเธอเขาอยู่ที่ไหน”
วินยามองฉวีวรรณแล้วอึ้งไป
ดนัยยืนเหม่ออยู่ที่หน้าผา สีหน้าของเขาเคร่งขรึม แต่แววตาหม่นช้ำ ฉวีวรรณเดินเข้ามาจะเอาเรื่องดนัย
“แอบหนีปัญหามาสร้างโลกส่วนตัวอยู่นี่เอง”
ดนัยยืนนิ่งเฉยเหมือนไม่ได้ยิน มีเพียงแต่แววตาที่ดูแข็งแรงขึ้น ในใจรู้สึกเหมือนถูกเสียดแทง
“นายดนัย” ฉวีวรรณยัวะ
ดนัยยังคงนิ่ง
“ฉันพูดไม่ได้ยินหรือไง”
ฉวีวรรณเข้าไปดึงไหล่ดนัยให้หันมา
“นายไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยเหรอ ยายหวันหนีไปก็เพราะนายนะ”
“ทั้งๆ ที่ฉันยอมทำทุกอย่างตามที่เธอสั่ง” ดนัยพูดอย่างน้อยใจ “มันก็ยังเป็นความผิดของฉัน งั้นเหรอ”
“ใช่นะสิ ตลอดเวลาที่นายคบน้องสาวฉันมา นายไม่เคยดูแลเอาใจใส่หวัน นายคอยแต่เป็นฝ่ายรับ แต่ไม่เคยรู้จักที่จะให้ ทุกอย่างมันถึงได้จบลงแบบนี้”
ดนัยอึ้งเพราะรู้สึกสะเทือนใจ นิ่งสักพัก ดนัยก็ยอมรับผิดขึ้น
“ก็ได้ ฉันยอมรับว่าฉันผิด ฉันคบกับดาหวันแบบอยู่ไปวันๆ จริงๆ”
ฉวีวรรณชักสีหน้า
“ฉันไม่เคยเอาใจใส่หวัน เพราะฉันไม่เคยคิดว่าเราจะมีอนาคตร่วมกัน ไม่เคยคิดจะแต่งงาน มีครอบครัวเลย ดาหวันเหมือนเป็นเพื่อนสนิท เป็นน้องสาว ที่คอยไปไหนมาไหนด้วยกัน” ดนัยโพล่งระบายออกมามาเป็นชุด
ฉวีวรรณโมโหที่ดนัยไม่จริงจังกับดาหวันจึงตวาดใส่
“พอ ฉันไม่อยากฟังแล้ว”
“แต่มันก็แค่นั้นจริงๆนะ ฉันไม่เคยคิดเอาเปรียบหวัน เราไม่เคยมีอะไรที่เกินเลย”
ฉวีวรรณโมโหมาก เธอยกมือขึ้นตบดนัยจนหน้าหัน ดนัยปวดร้าวไปถึงหัวใจ
“หวันไม่น่ามารักคนอย่างนายเลย นายมันเห็นแก่ตัว คนไม่มีหัวใจ!!!”
พูดจบฉวีวรรณก็วิ่งออกไป
ดนัยมองตาม แววตาของเขาเจ็บร้าวเพราะคนที่เขารักไม่เข้าใจ ความรู้สึกน้อยใจและปวดใจ ทำให้เขาถึงกับน้ำตาคลอ
ฉวีวรรณวิ่งร้องไห้มาตามทาง เธอหยุดที่กลางทางเหมือนไม่มีแรงไปต่อ เธอสะอื้นโฮด้วยความรู้สึกปวดใจไม่ต่างกัน
เวลาเดียวกันนั้นชลิตพายเรืออยู่ พลางมองไปที่ดาหวัน ซึ่งนั่งถัดไป ดาหวันซุกตัวชันเข่า เหม่อมองสายน้ำรู้สึกปวดร้าวใจ คิดถึงเรื่องที่บอกเลิกดนัยแล้วน้ำตาไหลหยด ชลิตมองไปที่ดาหวันอย่างห่วงใย
ชลิตพายเรือมาถึงคลองเล็กๆ ซึ่งมีกอบัวริมน้ำ ดาหวันยังอยู่กับความเศร้าของตัวเองทำให้เธอไม่สนใจอะไรเลย ชลิตเอื้อมมือไปเด็ดดอกบัวขึ้นมาหนึ่งดอก
“หวัน”
ดาหวันหันมามองชลิต ชลิตยื่นดอกบัวให้ดาหวัน
“พี่ให้หวัน..เอาดอกบัวไปไหว้พระ หวันจะได้สบายใจขึ้น”
ดาหวันรับดอกบัวไปถือ ความเศร้าของเธอค่อยๆ คลายลงไป
“แถวนี้ไม่มีวัดซะหน่อย”
“ไหว้ที่ใจนี่แหละ ขอให้หวันคิดดี ทำดีเข้าไว้ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนคุณพระคุณเจ้าก็ต้องคุ้มครอง”
ดาหวันมองชลิตแล้วยิ้มบางๆ เธอก้มลงมองที่ดอกบัว สีหน้าค่อยๆ เศร้าลงไปอีก
“ขอบคุณพี่มากนะ ที่ยังห่วงความรู้สึกของหวัน”
“ก็มีกันอยู่แค่นี้ ถ้าพี่ไม่ห่วงหวันแล้วจะให้พี่ห่วงใคร” ชลิตบอก
ดาหวันดูดอกบัวแล้วอมยิ้มอย่างเขินๆ ส่วนชลิตมองดาหวันอย่างงอนๆ
“ว่าแต่เธอเหอะ จะเคยห่วงพี่บ้างหรือเปล่าน้า”
ดาหวันหน้าแดงไม่ยอมตอบ แต่พูดพึมพำออกมาเบาๆ
“ถามอะไรเพ้อเจ้อ”
ชลิตมองหวันอย่างน้อยใจ แล้วทำเป็นหันไปดึงบัวอีกแต่ดึงไม่ขึ้นทำให้ตัวเขาเสียหลัก
“เฮ้ยๆๆๆ” ชลิตร้อง
ดาหวันหันมามองชลิตอย่างตกใจ เธอรีบยื่นมือไปช่วยคว้าไว้
“พี่ชลิต ว้าย!”
ชลิตเสียหลักตกเรือไป ทำให้เรือเอียงพาดาหวันหล่นน้ำไปด้วย พอดาหวันเงยหน้าขึ้นมาก็รีบมองหาชลิต
“พี่ชลิต!”
ดาหวันมองซ้ายขวา เมื่อไม่เห็นชลิตโผล่มาก็เริ่มหน้าเสีย
“พี่ชลิต! พี่อยู่ไหน ขึ้นมาได้แล้ว อย่าแกล้งหวันนะ”
ดาหวันเหลียวมองไม่เจอชลิต ก็ดำลงไปในน้ำ เธอพยายามใช้มือควานหา แต่หน้าเสียลงเรื่อยๆ
“พี่ชลิต เป็นอะไรหรือเปล่า พี่ชลิต!”
ดาหวันว่ายไปรอบๆ ดำผุดดำว่ายหาชลิต แล้วโผล่ขึ้นมาอย่างเสียใจจนจะร้องไห้ จังหวะนั้นเองที่ชลิตโผล่ขึ้นด้านหลังเอามือปิดตาดาหวันแล้วหัวเราะลั่น
ดาหวันตกใจ หันไปเห็นแล้ววักน้ำสาด
“พี่ชลิต! เล่นอะไรบ้าๆ เนี่ย”
“ถ้าไม่เล่นแบบนี้ก็ไม่รู้ว่าเธอห่วงพี่น่ะสิ” ชลิตยิ้มกวนๆ
ดาหวันอายหน้าแดง รู้ว่าเสียท่าเลยวักน้ำใส่ชลิตอีก
“โอ๊ย” ชลิตเอามือกุมตา “อะไรเข้าตาไม่รู้”
ดาหวันตกใจ รีบเข้ามาดูอย่างเป็นห่วง
“อุ๊ย ขอโทษ ไหนดูซิ”
ดาหวันกำลังจะเข้ามาดู ชลิตรีบปล่อยมือจากตาแล้วยิ้มเผล่
“ห่วงพี่อีกแล้วใช่ม้า”
“คนบ้า !” ดาหวันยัวะ เธอวักน้ำใส่ชลิตแรงๆ อีกหลายที กลบเกลื่อนความเขิน ชลิตหัวเราะวักใส่คืนบ้างอย่างไม่ยอมแพ้ ในที่สุดทั้งคู่ก็เล่นสงครามสาดน้ำใส่กัน
ดาหวันผลักชลิตจนเซ ชลิตรวบดาหวันเข้ามากอด
ชลิตก้มลงมาหอมแก้มดาหวันฟอดใหญ่ ทำให้ดาหวันเขินมาก ชลิตก้มหน้าลงมาจนเกือบจะจูบปาก ดาหวันเบี่ยงหน้าหลบด้วยความเขินอาย เธอหยิกแขนชลิตเต็มแรงแก้เขิน ชลิตร้องด้วยความเจ็บ
ดาหวันผลักชลิตจนหงายจมน้ำ แล้วรีบวิ่งลุยน้ำหนีขึ้นฝั่งไป ชลิตมองตามพร้อมอมยิ้ม
ณ อาศรมกาซูในดงผีฟ้า เวลานั้นกาซูกำลังนั่งทางใน มีสีหน้าเคร่งเครียด ธานี ธนวัติและพาณิชย์กำลังล้อมดูกาซูด้วยความสงสัย ทั้งสามกระซิบกระซาบกัน
“มันหลับในรึเปล่า นั่งเงียบอยู่นานแล้ว” ธานีกระซิบ
พาณิชย์หยิบแผ่นเหล็กกับไม้ที่วางอยู่ในห้องให้ธานี
“ปลุกสิคุณอา จ่อที่ข้างหู เอาให้หูแตกเลย” พาณิชย์บอก
“จะบ้าเหรอ ไปแกล้งมัน เดี๋ยวมันก็เสกหนังกำพร้าเข้าท้องแกหรอก” ธานีกระซิบ
“หนังกำพร้า? ก็ขี้ไคลสิฮะ” พาณิชย์ย้อนถาม
“เออสิวะ”
“แหวะ” พาณิชย์ทำท่าจะอาเจียน
“แกอย่ามัวแต่เล่นน่า ไอ้พาณิชย์” ธนวัติปรามแล้วหันไปพูดกับธานี “แล้วจะทำไงล่ะป๊า”
“ใจเย็นๆ รอดูมันไปก่อนดีกว่า”
กาซูยังคงหลับตานิ่ง
ชลิตเดินตามดาหวันที่จ้ำหนีชลิตอย่างระมัดระวัง
“เธอจะเดินไปถึงไหน ใจคอจะข้ามไปประเทศเพื่อนบ้านเลยรึไง” ชลิตบ่น
“ไปที่ไหนก็ได้ที่ไม่ต้องเจอหน้าพี่ดนัยกับพี่หวี หวันทำผิดต่อสองคนนั้นอย่างไม่น่าให้อภัย หวันไม่มีหน้ากลับไปเจอใครอีกแล้ว”
ชลิตดึงแขนดาหวันให้หยุดแล้วหันมา
“อย่าโทษตัวเอง ถ้าจะผิดเราก็ต้องผิดด้วยกัน” ชลิตบอก
“พี่ชลิต” ดาหวันซึ้งใจ
“จำไว้เลยนะหวัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่ามันจะเลวร้ายแค่ไหนพี่จะไม่มีวันทิ้งหวัน เราจะแก้ปัญหาทั้งหมดด้วยกัน”
ดาหวันรู้สึกจะร้องไห้จึงโผเข้าไปซบอกชลิต ซาบซึ้งใจ แล้วพึมพำขึ้นทั้งน้ำตา
“ขอบคุณมากคะ ...ขอบคุณจริงๆ”
ชลิตกอดดาหวันอย่างอบอุ่น
ชลิตนั่งลงที่ขอนไม้ ใต้ต้นไม้อย่างเหนื่อยอ่อน
“ทั้งเหนื่อยทั้งหิว เลยนะเนี่ย นั่งพักก่อนเถอะ หวัน” ชลิตเสนอ
“จะมืดแล้ว พี่รีบกลับไปหาพี่หวีเถอะ ไม่ต้องมาตามหวันหรอก”
“มานั่งนี่ อย่าพูดมาก”
ชลิตเข้าไปฉุดมือดาหวันให้เดินมา ดาหวันเซไปนั่งตักชลิต เธอถึงกับร้องลั่น
“อ๊อย ว้าย”
ชลิตกอดดาหวันไว้ ทั้งคู่มองตากันพักใหญ่ ดาหวันตีชลิตอย่างเขินๆ
“พี่ชลิตนี่ มองอะไร”
“ตาหวันเหมือน ซาลาเปาไส้ครีม จมูกเหมือนไอติมเยลลี่ เส้นผมเหมือนเส้นหมี่ผัดราดหน้าทะเล แล้วตามด้วยข้าวผัดแหนม ยำสามกรอบ หอยทอด ลอดช่องสิงคโปร์..ฯลฯ”
“พอแล้ว! จะบ้าเหรอพี่ชลิต หน้าหวันไม่ใช่โต๊ะอาหารนะ “
ดาหวันผลักชลิตออก
“ก็เห็นแล้วมันหิวนี่ โอ้ย แสบท้องไปหมด แล้ว ณ จุดๆ นี้ มีกล้วยซักหวี ก็แจ่มแล้ว”
ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ก็มีกล้วยหวีหนึ่งหล่นลงมาตรงหน้าชลิต โดยที่ทั้งคู่ไม่รู้ว่าเกิดจากดาเนาใช้พลังจิต?
“นึกถึงกล้วย กล้วยก็มา!” ชลิตดีใจ
“มาได้ไงอะ” ดาหวันงง
“มันก็หล่นมาจากต้นน่ะสิ ถามได้”
“แต่นี่มันต้นตะขบนะ ตะขบจะออกลูกเป็นกล้วยได้ไง” ดาหวันงงมาก
ชลิตมองต้นไม้ที่นั่งพิงอยู่แล้วเพิ่งนึกได้
“จริงของเธอ แต่ช่างมันเถอะ อาจเป็นเพราะเทวดาใจดี เห็นคนหล่ออย่างฉันกำลังหิวล่ะมั้ง เลยประทานกล้วยมาให้”
ชลิตกินกล้วยอย่างเอร็ดอร่อย เมื่อเห็นดาหวันนิ่งไปก็เอ่ยถาม
“ไม่กินเรอะ”
“หวันหิวน้ำมากกว่า คอแห้งไปหมดแล้ว แถวนี้ไม่มีลำธารเลยรึไงนะ”
จู่ๆ กระบอกไม้ไผ่ใส่นํ้าหล่นมาตรงหน้าดาหวัน ชลิตกับดาหวันต่างแปลกใจ
“พูดถึงน้ำ น้ำก็มา!”
ดาหวันงง แต่ก็คว้ามาดื่มอย่างกระหาย
ดาหวันกับชลิตมองหน้ากันแล้วต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่าจะทดลองอีก
“ถ้าได้เสื้อผ้าอีกสักชุดก็ไม่เลว” ชลิตพูดขึ้น
“หมอนหนุนสักใบก็ดีสิ” ดาหวันเสริม
ทันใดนั้นก็มีเสื้อผ้าและหมอนหล่นลงมาตรงหน้าทั้งสอง
“แบบนี้ไม่ใช่เทวดาแล้ว ใคร ออกมาเดี๋ยวนี้นะ”
ชลิตกับดาหวันมองหาทั่วบริเวณ แล้วก็มีเสียงหัวเราะคิกคักของดาเนาดังก้องสะท้อนไปทั่วป่า
“เสียงใคร?” ดาหวันถามอย่างกลัวๆ
ดาเนาโหนเถาวัลย์ผ่านหน้าทั้งสองไปอย่างรวดเร็ว
“อยู่นั่น” ดาหวันบอก
“อย่าหนีนะ”
ชลิตกับดาหวันรีบวิ่งตามไป
ชลิตไล่ตามดาเนา ดาเนาแกล้งหยอก ทำเป็นชะลอให้ชลิตเข้ามาใกล้ พอชลิตจะคว้าตัวได้ ดาเนาก็กระโดดเกาะกิ่งไม้และโหนเถาวัลย์หนีไป
“ทางนี้ๆ” ดาเนายั่ว
ชลิตวิ่งไล่จับจนเหนื่อย
“ตัวอะไร ไวอย่างกับลิง” ชลิตบ่น
“พี่นี่ไม่ได้เรื่องเลย” ดาหวันต่อว่า
“แน่จริงเธอก็จับเองสิ โน่นไง ไปทางโน้นแล้ว รีบตามไปสิ”
ดาหวันไม่วิ่งตาม แต่แกล้งล้มลงกับพื้น แล้วร้องลั่นด้วยมารยา
“โอ๊ย เจ็บขา ช่วยด้วย”
ดาเนาโหนเถาวัลย์กลับมา
ชลิตกับดาหวันรีบคว้าตัวไว้
“จับได้แล้ว ไหน ขอดูหน้าหน่อยสิ”
ชลิตกับดาหวันได้เห็นว่าดาเนาทาหน้าทาตาน่ากลัวเหมือนผี ชลิตกับดาหวันถึงกับตกใจ
ดาเนาคนนี้ เป็นเด็กชายอายุ 10 ปี นิสัยทะเล้น ทะมัดทะแมง แก่นซน ฉลาด น่ารัก เกิดและเติบโตในป่าจึงมีความชำนาญในการเอาชีวิตรอดในป่า ท่าทางลึกลับ ไปไหนมาไหนได้อย่างรวดเร็ว ไร้ร่องรอย มีพลังจิต สามารถต่อกรกับกาซูได้ และเป็นน้องชายที่หายสาปสูญไปของวินยา!!
“ผีหลอก!” ทั้งสองพูดพร้อมกัน
ชลิตกับดาหวันวิ่งหนีกระเจิง ฝ่ายดาเนาหัวเราะสนุกที่ได้แกล้งคนอื่น
“ว้า แค่นี้ก็กลัวซะละ กลับมาเล่นกันก่อนซี้” ดาเนาพูดแล้วก็หัวเราะสนุก
ทันใดนั้นเอง มีเสียงอสุรกายคำรามดังลั่นที่แห่งหนึ่งไกลออกไป
ดาเนาชะงัก สีหน้าเครียด
“แย่แล้ว!” ดาเนารำพึง
ในป่าไกลออกไป อสุรกายตนหนึ่งยืนหักนิ้ว ดักรออยู่ข้างหน้า ดาเนาโผล่มาตรงหน้าทักทายอสุรกายด้วยวิธีการห้อยหัว อย่างไม่มีอาการสะทกสะท้าน
“จ๊ะเอ๋! รู้นะคิดอะไรอยู่”
อสุรกายโกรธจัด ยกมือขวาจะคว้าตัวดาเนา แต่ดาเนาหลบได้ทัน อสุรกายยกมือซ้ายจะคว้าตัวดาเนา ดาเนาก็หลบได้อีก
“อยู่นี่ แน่จริงจับให้ได้ซี้” ดาเนายั่ว
อสุรกายโกรธจึงคำรามใส่หน้าดาเนา ดาเนาปิดจมูกแล้วเบ้หน้า
“โห กลิ่นปากต้องปรับปรุงนะเนี่ย”
ดาเนาเผลอ อสุรกายเลยคว้าคอเสื้อของเขาได้ มันจับดาเนาขึ้นห้อยต่องแต่ง
“ไอ้ขี้โกง เล่นทีเผลอนี่นา” ดาเนาบ่นแล้วใช้หัวโขกหัวอสุรกาย
“นี่แหนะ”
อสุรกายมึนจนต้องปล่อยดาเนา ดาเนาหัวเราะสะใจ
“สมน้ำหน้า”
อสุรกายโกรธมาก มันบีบคอดาเนาแล้วยกขาจนลอยจากพื้น ดาเนาหายใจไม่ออก
“โอ๊ย ปล่อยนะ ปล่อย ปล่อย!” ดาเนาตะโกนร้องลั่น
ในเสียงตะโกนร้องของเด็กชายชาวป่าดาเนา เหมือนกับมีคลื่นพลังอันรุนแรงปล่อยออกมากระแทกร่างอสุรกายจนล้มลง อสุรกายเจ็บปวดทั่วร่าง จึงวิ่งหนีหายไป
อ่านต่อหน้า 2
หอบรักมาห่มป่า ตอนที่ 11 (ต่อ)
จังหวะเดียวกันนั้น กาซูก็ผงะ เสียหลัก เหมือนโดนพลังบางอย่างกระแทกร่างเหมือนกัน กาซูลืมตาโพลง ธานี ธนวัติและพาณิชย์ที่กำลังรุมจ้องหน้ากาซูอยู่ต่างตกใจ ร้องขึ้นมาพร้อมกัน
“เฮ้ย!”
เลาซาได้ยินเสียง พรวดพราดเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้น”
“ไม่มีอะไร” กาซูบอก
“เป็นไง ได้เรื่องมั้ย รู้รึยังว่าพวกมันอยู่ที่ไหน” ธานีถาม
“ข้าเกือบจะเล่นงานมันได้แล้ว แต่มีพลังบางอย่างขวางไว้” กาซูว่า
ธนวัติโวยวายทันที “กะแล้วเชียวว่าไม่ได้เรื่อง นั่งทางนงทางในอะไรกันเอาไว้หลอกเด็กเถอะ”
เลาซาโกรธแทนพ่อ “เจ้าดูถูกพ่อข้า ถอนคําพูดเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่อยากเจ็บตัว”
“ทำไมพวกฉันต้องเชื่อฟังแกด้วยวะ”
พาณิชย์วางก้ามตามนิสัย เลาซาเงื้อหน้าไม้ขึ้นมา
“ตัดลิ้นซะดีมั้ย จะได้ไม่ปากเสียอีก”
“เข้ามาเลย คิดว่ากลัวรึ”
ธนวัติท้าพร้อมกับชักปืนออกมา ทั้งสองจ้องเขม็ง ต่างไม่ยอมกัน พร้อมจะมีเรื่องกันทุกเวลา
ธานีเห็นก็ยิ่งรำคาญ
“ว่างนักรึไง กัดกันอยู่ได้ แทนที่จะช่วยกันคิดว่าจะหาไอ้พวกนั้นเจอได้ไง ขืนพวกมันออกจากป่าไปบอกตำรวจได้ พวกเราพังกันหมดแน่!”
ธนวัติ พาณิชย์และเลาซาต่างพากันจ๋อยไปเลย
“เลาซา เก็บอาวุธซะ” กาซูสั่งลูกชาย
เลาซาหงุดหงิด แต่ต้องยอมเก็บหน้าไม้
“วัติ” ธานีตวาด
ธนวัติไม่พอใจ แต่จำต้องลดปืนลง
พาณิชย์โกรธจัด ฮึดฮัดต่อ “ผมจะไปตามล่าพวกมันเอง!”
“ไม่ต้อง ไปจัดการธุระของเราให้เรียบร้อยดีกว่า เรื่องทางนี้อาจะจัดการเอง งานสำคัญ อย่าให้พลาดล่ะ” ธานีกำชับ พาณิชย์รับคำ
“ไม่พลาดแน่นอนครับคุณอา”
พาณิชย์ยิ้มกับธานีอย่างมีเลศนัย กาซูสั่งลูกชายบ้าง
“เลาซา ไปช่วยคุณพาณิชย์ซะ อย่าให้พลาดล่ะ”
เลาซาไม่พอใจ แต่ต้องทำตาม
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะทำตามคำสั่ง”
พาณิชย์และเลาซาเดินออกไป ธานี ธนวัติ กาซู ต่างตกอยู่ในอาการเครียดที่ยังตามหาพวกดนัยไม่เจอ
ชลิตกับดาหวันวิ่งหนีมา ต่างหอบเหนื่อย หยุดพักที่มุมหนึ่ง
“ตัวประหลาดนั่นคงไม่ตามมาแล้ว พักก่อนเถอะ หวันก้าวขาไม่ออกแล้ว” ดาหวันบอก
ชลิตบ่นออกมา
“เห็นมั้ยว่าข้างนอกมันอันตรายแค่ไหน หนีมาทำไมก็ไม่รู้ อยากตายรึไงทำอะไรไม่รู้จักคิด”
ดาหวันโดนว่าก็งอนขึ้นมา
“ถ้าพี่กลัว ก็กลับไปสิ กลับไปหาพี่หวีเลย อย่ามายุ่งกับหวัน กลับไปเลยไป”
ดาหวันน้อยใจ ผลักหลังชลิตให้ไปให้พ้น
“จะบ้าเหรอ จะให้พี่ทิ้งเธอไว้คนเดียวได้ไง ถ้ากลับก็กลับด้วยกัน”
“ก็หวันทำให้พี่ชลิตลำบาก”
“คิดมากน่า ที่พี่พูด ไม่ใช่จะต่อว่า แต่เพราะพี่ เอ่อ พี่แคร์หวันนะ”
ดาหวันอึ้ง ไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้จากปากชลิต
“ทําไมพี่ชลิตถึงดีกับหวันจัง” ดาหวันถามออกมา
ชลิตรู้อยู่แก่ใจ แต่ยังไม่กล้าพูด ทำได้แค่บอกออกมาอย่างเขินๆ
“ก็พี่บอกแล้ว…เราผ่านอะไรมาด้วยกันตั้งเยอะ จะให้ทิ้งกันได้ไงแล้วอีกอย่าง…ไม่มีเธอมันเหงาหูยังไงชอบกล สงสัยหูพี่คงชินกับคลื่นเสียงร้อยเดซิเบลของเธอแล้วล่ะ”
“บ้า หวันเป็นคนนะ ไม่ใช่นกหวีด”
ดาหวันหมั่นไส้ทุบชลิต ทั้งสองยิ้มขำกัน
ทางด้านศิริกำลังยืนเหม่อ อยู่ในอารมณ์เศร้า นึกถึงลูกสาวทั้งสอง สุภาพและอาหลู่โผล่มา สุภาพโบกมือตรงหน้าศิริ แต่ศิริมัวแต่เหม่อ ไม่ตอบรับใด
“เหม่อแบบนี้ คิดถึงสาวแน่ๆ” สุภาพหันไปพูดกับอาหลู่
“นายครับ นาย” อาหลู่เรียกบ้าง
แต่ศิริยังคงเหม่อ
“ฉันเอง” สุภาพอาสา
สุภาพก็สูดลมหายใจ แล้วตะโกนใส่หูศิริ
“นาย.....!”
ศิริหูชา
“โอ๊ย ไอ้สุภาพ ตะโกนใส่หูฉันทำไมเนี่ย หูชาหมดแล้ว”
“ก็นายเอาแต่เหม่อ”
ขณะพูดสุภาพมองศิริอย่างจับผิด
“ฮั่นแน่ ใจลอยอย่างนี้ คิดถึงหญิงแหงๆ”
อาหลู่ผิวปากแซว วี๊ดวิ้วศิริเขกหัวสุภาพกับอาหลู่คนละที
“ไอ้ทะลึ่ง!”
สุภาพกับอาหลู่คลำหัวป้อยๆ
“เออ ใช่ ฉันคิดถึงหญิง ไม่ใช่คนเดียวนะ สองคน” ศิริบอกจริงจัง
“โห นายควบสองเลยเหรอ” สุภาพแซว
ศิริหมั่นไส้ จะเขกหัวอีก สุภาพรีบหลบ
“ฉันหมายถึงลูกสาวฉันเว้ย เฮ้อ พูดแล้วฉันก็อดกลุ้มไม่ได้ ไม่รู้ป่านนี้ลูกสาวฉันเป็นไงบ้าง”
สุภาพและอาหลู่สงสารศิริที่มีอาการเครียดอย่างหนักเพราะห่วงลูกสาวทั้งสองนั่นเอง
ในขณะที่ดนัยนั่งดื่มเหล้าพื้นเมืองของชาวชาลันในกระบอกไม้ไผ่ สีหน้าดนัยเศร้า กำลังนึกถึงคำพูดของฉวีวรรณ ตอนที่ยกมือตบหน้าดนัยจนหน้าหัน
“หวันไม่น่ามารักคนอย่างนายเลย นายมันเห็นแก่ตัว คนไม่มีหัวใจ”
ยิ่งคิดดนัยยิ่งเสียใจยกกระบอกไม้ไผ่ขึ้นดื่มรวดเดียวหมดอย่างประชดชีวิต ดนัยเขย่ากระบอกไม้ไผ่ เห็นว่าเหล้าหมดแล้วก็ขัดใจ
“อะไรกัน หมดแล้วรึ”
ดนัยขว้างกระบอกไม้ไผ่ทิ้งแล้วล้มตัวลงนอน
“ฉันมันคนเลว ฉันมันคนไม่มีหัวใจ”
จังหวะนั้นเองอุ๊บอิ๊บตามหาดนัย เห็นดนัยเมาอยู่คนเดียวก็ดีใจ รีบเข้ามานั่งด้วย
“พี่ดนัยขา มาอยู่นี่เอง”
ดนัยพูดแบบเมาๆ “อ้าว อุ๊บอิ๊บ มีอะไร”
“อุ๊บอิ๊บเป็นห่วงพี่ดนัยน่ะสิคะ พี่ดนัยอย่าเสียใจไปเลยนะคะแค่ผู้หญิงคนเดียว อีกอย่างยายหวันก็ไม่ใช่คนดีอย่างที่พี่ดนัยคิดหรอก” อุ๊บอิ๊บยิ้มเขิน
“ลืมยายหวันเถอะนะคะ ถ้าพี่ดนัยลองเปิดใจ มองดูคนที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลก็จะรู้ว่ายังมีคนที่รักและพร้อมจะดูแลพี่ดนัย…อยู่ตรงนี้อีกคน”
อุ๊บอิ๊บพูดไปเขินไป แต่เสียงดนัยกรนดังขึ้น ทำลายบรรยากาศ อุ๊บอิ๊บตกใจ หันไปมอง เห็นดนัยเมาหลับไปแล้ว อุ๊บอิ๊บรู้สึกผิดหวัง
“โธ่ พี่ดนัย หลับก็ไม่บอก ปล่อยให้อุ๊บอิ๊บพูดคนเดียวอยู่ได้”
อุ๊บอิ๊บเขย่าตัวดนัย
“พี่ดนัยขา พี่ดนัย ตื่นมาคุยกันก่อนสิคะ อุ๊บอิ๊บมีเรื่องสำคัญจะบอก”
ดนัยยังนอนนิ่ง ไม่ไหวติง อุ๊บอิ๊บเซ็ง แล้วคิดแผนร้ายขึ้นได้ ยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
ไม่นานหลังจากนั้นอุ๊บอิ๊บถอดเสื้อตัวนอกออก เหลือแต่เสื้อสายเดี่ยว เอนกายลงนอนข้างดนัย
“พอพี่ดนัยตื่นมา เราก็แกล้งร้องไห้ แล้วพูดว่า...” อุ๊บอิ๊บทำเสียงสตรอเบอรี่สุดๆ “พี่ดนัยรังแกอุ๊บอิ๊บ อุ๊บอิ๊บพยายามห้ามแล้ว แต่พี่ดนัยไม่ฟังเลย”
อุ๊บอิ๊บคิดแผนการณ์แล้วก็หัวเราะคิกคักคนเดียว โดยไม่รู้ว่าสามสหาย แจ๋ กิมจิและบุญทิ้งผ่านมาเห็นพอดี
“นั่นมันยายอุ๊บอิ๊บ นั่งทำอะไรอยู่กับดนัย”
แจ๋ กิมจิและบุญทิ้งแอบมอง
อุ๊บอิ๊บนึกอะไรขึ้นมาได้
“พรมน้ำหอมสักหน่อยดีกว่า จะได้ตัวหอมๆ”
ว่าแล้วอุ๊บอิ๊บก็ลุกขึ้น หันไปค้นกระเป๋าถือของตัวเอง ส่วนที่ด้านหลัง แจ๋ กิมจิและบุญทิ้งย่องเข้ามา แจ๋กับกิมจิช่วยกันประคองดนัย อุ๊บอิ๊บไม่รู้ตัว หยิบขวดน้ำหอมออกมา ฉีดพรมตัวเอง
“หอมแล้ว”
อุ๊บอิ๊บจะหันไปหาดนัย แต่นึกได้
“ยังไม่พอ”
อุ๊บอิ๊บหยิบสเปรย์ดับกลิ่นปากออกมาฉีดปาก แล้วนึกได้อีก หยิบกระจกมาส่องหน้า
“ตายแล้ว หน้าซีดหมดเลย”
อุ๊บอิ๊บหยิบมาสคาร่ามาปัดขนตาอีกนิด
ด้านหลังอุ๊บอิ๊บ แจ๋กับกิมจิประคองดนัยออกไป บุญทิ้งจะตาม แต่กิมจิจับบุญทิ้งนอนลงแทนที่ดนัย บุญทิ้งงงชี้หน้าตัวเองเป็นเชิงถาม กิมจิพยักหน้า เป็นเชิงว่า “แกนั่นแหละ”
บุญทิ้งขัดไม่ได้ นอนลงแทนที่ดนัย กิมจิใช้ผ้าคลุมไหล่ของแจ๋มาคลุมหน้าบุญทิ้งไว้
อุ๊บอิ๊บปัดขนตาเสร็จ หันกลับมา
“เรียบร้อย สวยแล้ว”
อุ๊บอิ๊บหันมา เจอบุญทิ้งนอนมีผ้าคลุมหน้า
อุ๊บอิ๊บแปลกใจ “เอ๊ะ เมื่อกี้ไม่มีผ้า ผ้ามาจากไหนแต่ช่างเถอะ พี่ดนัยขา อุ๊บอิ๊บมาแล้วค่ะ”
อุ๊บอิ๊บเปิดผ้า ทำท่าจะจุ๊บดนัย โดยไม่ทันมอง
“อุ๊บอิ๊บรักพี่ดนัยคนเดียว”
อุ๊บอิ๊บยื่นหน้าเข้าไปใกล้บุญทิ้ง อีกฝ่ายกลัว หลับตาปี๋ อุ๊บอิ๊บลืมตามอง เห็นเป็นหน้าบุญทิ้งในระยะประชิดไม่ใช่ดนัยยอดเสน่หาก็ตกใจซะเอง
“อ๊าย”
อุ๊บอิ๊บโกรธมาก โวยวาย
“แกอีกแล้วเหรอ ไอ้บุญทิ้ง ไอ้โรคจิต!
อุ๊บอิ๊บตบหน้าบุญทิ้ง แล้ววิ่งหนีไปร้องหาดนัย
“พี่ดนัยขา พี่ดนัยอยู่ที่ไหน พี่ดนัย”
บุญทิ้งเหวอ
“นารี ราวี….ผู้หญิงตบแปลว่าผู้หญิงรัก”
บุญทิ้งลืมตัว เคลิ้ม
แจ๋กับกิมจิช่วยกันประคองดนัยมาถึงกระท่อมหลังหนึ่ง
“หนักชะมัด เอาไงดี”
“แถวนี้น่าจะปลอดภัยแล้วละ”
แจ๋กับกิมจิประคองดนัยมานอนที่นอกชานของกระท่อม
แจ๋หาวออกมา บอกจะไปนอน
“วันนี้มีแต่เรื่อง เหนื่อยชะมัด ไปนอนดีกว่า”
“ไปด้วย”
กิมจิกอดคอแจ๋ ทั้งสองลืมตัว เดินไปด้วยกัน ครั้นพอแจ๋นึกขึ้นได้ เขกหัวกิมจิ
“อย่าทะลึ่ง บ้านแกไปทางโน้น บ้านฉันไปทางนี้ คนละทางกัน” แจ๋ดักคอ
“แหม ฉันลืม”
“เนียนนะแกเนี่ย”
“หน้าตาบ้านนอกอย่างแก ฉันไม่สนหรอก เชอะ”
กิมจิสะบัดหน้าหนี เชิดใส่ แจ๋หมั่นไส้ ขวางตาจึงถีบกิมจิล้มคว่ำไป
“หนอย ไอ้แจ๋”
แจ๋หัวเราะสะใจแล้วรีบวิ่งหนีไป
“ฝากไว้ก่อนเถอะ”
กิมจิเจ็บใจแบบตลกๆ
ค่ำคืนนั้นฉวีวรรณนอนไม่หลับ ออกมาเดินเล่นนอกบ้านพัก ฉวีวรรณนิ่งคิดถึงคำพูดของดนัยที่พูดออกมาอย่างน้อยใจ
“ทั้งๆ ที่ฉันยอมทำทุกอย่างตามที่เธอสั่ง มันก็ยังเป็นความผิดของฉัน งั้นเหรอ”
ฉวีวรรณรู้สึก ไม่ค่อยสบายใจ เป็นห่วงความรู้สึกดนัยขึ้นมา
นึกไปถึงเหตุการณ์ที่ตัวเองตบหน้าดนัยจนหน้าหัน
ฉวีวรรณยิ่งครุ่นคิดก็ยิ่งไม่สบายใจ
“ทำไมนะ ถ้าเป็นคนอื่นพูด ฉันก็ไม่โมโหอย่างนี้ แต่พอเป็นนาย ฉันกลับทำอะไรลงไปก็ไม่รู้”
ฉวีวรรณถอนหายใจอย่างอึดอัด ด้วยไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีในสถานการณ์นี้
“ขอโทษนะที่พูดไม่ดีกับนาย” ฉวีวรรณตะโกนด้วยความอัดอั้นสุดเสียง “ดนัย…ฉันขอโทษ ฉันขอโทษ!”
จังหวะนั้นเองก็มีเสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ๆ
ฉวีวรรณได้ยินเสียง หันไปมอง เห็นวินยาเดินเข้ามา
ฉวีวรรณตกใจที่เห็นวินยา “วินยา เธอมาตั้งแต่เมื่อไร”
“ก็ทันได้ยินอะไรๆ ที่เธออยากจะบอกดนัย”
ฉวีวรรณอาย ทำท่าจะรีบเดินหนี
“ถ้าเธอห่วงเขา ก็ไปบอกเขาสิ”
คำพูดแทงใจของวินยาทำเอาฉวีวรรณถึงกับชะงัก
“ดนัยคงเสียใจมากที่ถูกคนที่เขารักต่อว่า”
“เธอเข้าใจผิดแล้ว คนที่ดนัยรักคือหวันต่างหาก ไม่ใช่ฉัน” ฉวีวรรณแย้งทันที
“เธอรู้ได้ยังไง” วินยาถาม
ฉวีวรรณฟังแล้วเจ็บปวดในใจ ยกเหตุผลมาอ้างอีก
“ถ้าไม่รัก เขาจะพาหวันหนีการหมั้นทำไม เขารักหวันมาก ถึงทนไม่ได้ที่หวันจะต้องหมั้นกับคนอื่น”
จู่ๆ วินยาก็หัวเราะขึ้น
“เธอหัวเราะอะไร”
“เธอรู้ใจคนอื่นไปหมด แต่ไม่รู้ใจตัวเอง” วินยาพูดเหมือนเยาะ
“หมายความว่าไง”
“หัวใจดนัยเป็นของดนัย มีแต่เขาเท่านั้นที่รู้ เธอควรจะฟังจากปากเขาเองว่าเขารักใคร ไม่ใช่คิดเอาเองแบบนี้”
ฉวีวรรณสับสนอย่างหนัก
“ไปสิ ไปหาเขา มีอะไรอยากบอกก็บอกซะ มัวพูดกับลมกับฟ้าแบบนี้เมื่อไรเขาจะรู้ละ”
ฉวีวรรณยังทำปากแข็ง “เรื่องอะไรฉันต้องไป หมอนั่นจะรักใครก็ไม่เกี่ยวกับฉันนี่”
วินยาแกล้งพูดขึ้นมาน้ำเสียงเครียดเคร่ง
“ตามใจเธอ ป่านนี้ดนัยจะเป็นยังไงบ้างนะ หายไปตั้งแต่เย็นแล้ว ท่าทางเขาเสียใจมาก อาจจะคิดสั้น ทำร้ายตัวเองก็ได้”
ฉวีวรรณได้ฟังก็ใจคอไม่ดีจนมองเห็นอย่างชัดเจน วินยาแอบยิ้มแล้วเดินจากไป
“ดนัย”
ฉวีวรรณร้อนใจ รีบไปตามหาดนัยด้วยความเป็นห่วง
ชลิตกับดาหวันเดินมา หยุดที่มุมหนึ่งในป่า
“คืนนี้เราพักกันแถวนี้เถอะ” ชลิตเอ่ยขึ้น
ดาหวันนั่งลงใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง นวดขาตัวเอง
ดาหวันบ่นเพราะเหนื่อยล้า “โอ๊ย ปวดขาชะมัด ขาจะหลุดมั้ยเนี่ย”
ชลิตนั่งลงข้างๆ จะเอนตัวนอนข้างดาหวันด้วยความเคยชิน ดาหวันตกใจ ระแวงแจ ถอยกรูดออกไปห่างชลิต
“พี่จะทําอะร”
“ก็นอนน่ะสิ ง่วงจะแย่แล้ว เหนื่อยมาทั้งวัน”
“มานอนอะไรตรงนี้ ไปนอนห่างๆ เลยไป”
“อะไรของเธอ ของมันเคยๆ ทำเป็นไม่ชิน” ชลิตบอก
แต่ดาหวันกลับเข้าใจผิดเป็นอีกอย่าง โกรธมาก ทุบชลิตใหญ่โต โวยวายออกมา
“อ๊าย คนบ้า เคยอะไร พูดให้ดีๆ นะ คิดจะฉวยโอกาสอีกใช่มั้ย”
“อย่าคิดมากสิ ตอนนั้นพี่เมาเห็ด ถ้าไม่เมาทําไม่ลงหรอก” ชลิตแกล้งพูดเล่นต่อ
ดาหวันยิ่งโกรธมากขึ้น “อ๊าย ไอ้ผู้ชายปากเสีย”
ดาหวันทุบตีชลิตไม่หยุด
“โอ๊ย หวัน พี่เจ็บนะ”
พูดแล้วชลิตก็ดึงดาหวันมากอดเพื่อให้ดาหวันหยุด ดาหวันชะงัก ทั้งสองสบตากัน รู้สึกวาบหวามในใจ
ชลิตก้มหน้าเข้าใกล้ดาหวันอย่างลืมตัว เหมือนมีแรงดึงดูดทั้งสองเข้าใกล้กัน
ดาหวันนึกขึ้นได้ร้องห้ามออกมา “พี่ชลิต ปล่อยหวันเถอะ”
ชลิตรู้สึกตัว รีบปล่อย รู้สึกผิด
“เอ่อ ขอโทษ พี่…พี่ลืมตัว”
ชลิตรีบขยับไปนอนห่างๆ บอกออกมา
“ไม่ต้องกลัวนะ พี่ขอสาบานด้วยเกียรติของลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ว่าจะไม่เกิดเรื่องนั้นอีกแน่ แล้วเรื่องที่เกิดขึ้น อย่าโทษตัวเองฝ่ายเดียว พี่เองก็ผิดด้วย เราจะช่วยกันแก้ปัญหานะ ทุกอย่างต้องมีทางแก้เสมอ”
ดาหวันอึ้ง ซึ้งใจ
ชลิตเอนตัวลงนอน หันหลังให้ดาหวัน ดาหวันมองชลิตแล้วยิ้มออกมา
“หวันรู้แล้วว่าทําไมพี่หวีถึงคบกับพี่ เพราะพี่เป็นคนดี พี่เป็นลูกผู้ชาย” เสียงความคิดของดาหวันดังขึ้นมา
ดาหวันแอบมองชลิต อมยิ้มคนเดียว รู้สึกดีกับชลิต
เวลาเดียวกันนั้น ฉวีวรรณตามหาดนัย ด้วยความเป็นห่วง ตะโกนเรียกหาเป็นระยะอย่างกังวล
“ดนัย หายไปไหนของเขานะ ดนัย...นายอยู่ไหน ดนัย”
ฉวีวรรณร้อนใจมาก แล้วหันไปเห็นดนัยนอนอยู่ที่ชานกระท่อมหลังหนึ่ง ฉวีวรรณรีบวิ่งเข้าไปหาอย่าง
ดีใจและโล่งอก
“ดนัย! ทำไมมานอนตรงนี้ ดนัยๆ”
ฉวีวรรณเขย่าเรียก แต่ดนัยยังหลับไม่รู้เรื่อง
“นอนไปได้ยังไงเนี่ย เนื้อตัวก็มอมแมม” ฉวีวรรณดมๆ “ฮือ กลิ่นน้ำผลไม้หมักงี้หึ่งเชียว นายนี่มันจริงๆ เลยนะ”
ฉวีวรรณส่ายหน้า คิดๆ แล้วเหลียวหาอุปกรณ์เช็ดตัว แล้วเจอขันน้ำ กับผ้าขนหนู ซึ่งมีวางกองๆ อยู่รวมกับข้าวของอื่นๆ ในกระท่อม
ฉวีวรรณเข้ามาหยิบขันน้ำ กับผ้าขึ้นมาถือ แล้วเดินออกไป
ครู่ต่อมาฉวีวรรณก็เอาผ้าขนหนูชุบน้ำในขันขึ้นมา บิดแล้วเช็ดหน้าให้ดนัยที่นอนไม่ได้สติอยู่ ฉวีวรรณเช็ดไปบ่นไป
“อีตาบ้าเอ๊ย ไม่รู้จะกินน้ำผลไม้หมักอย่างนั้นทำไม กินแล้วมันช่วยแก้ปัญหาได้หรือก็เปล่า หึ นายสิ้นคิด!!”
ฉวีวรรณหันไปเอาผ้าชุบน้ำใหม่ ได้ยินเสียงดนัยเรียกตัวเองออกมา
“หวี…”
ฉวีวรรณชะงักหันมาเห็น ที่แท้ดนัยนอนละเมอ
“หวี เธอเข้าใจฉันผิดนะหวี”
ฉวีวรรณอึ้งไป
“ฉันเสียใจ
ฉวีวรรณสะเทือนใจ พูดขึ้นมาอย่างรู้สึกผิดเหมือนกัน
“ดนัย...ฉันเองก็เสียใจเหมือนกันที่พูดไม่ดีกับนาย ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเวลาที่ฉันอยู่ใกล้นาย ฉันถึงต้องทำตัวแย่ๆ กับนายอยู่เรื่อย ทำไมถึง พูดดีๆ กับนายไม่ได้สักที ฉันขอโทษนะ
ดนัยละเมอขึ้นมาอีก แล้วกุมมือฉวีวรณไว้
“หวี ฟังฉันก่อน ฉันมีเรื่องจะบอกเธอ ฉันรัก…”
ดนัยพึมพำเบาๆ ในคอ ฉวีวรรณไม่ได้ยิน
“นายว่าอะไรนะ”
ฉวีวรรณก้มหน้าเข้าไปฟังใกล้ๆ ดนัย รู้สึกตัว ลืมตาตื่นขึ้นมา
ทั้งสองสบตากันระยะใกล้ ฉวีวรรณเขินอาย รีบผละออกมาห่างๆ
ฉวีวรรณเสียงแข็งขึ้นมาทันที “เอ่อ ตื่นแล้วรึ”
ดนัยรู้สึกแปลกใจ “หวี เธอทำอะไร”
ดนัยเห็นผ้าชุบน้ำ รู้ว่าฉวีวรรณเช็ดตัวให้ก็ดีใจ แต่ยังเสียใจอยู่ เลยพูดประชดประชัน
“เธอมาสนใจฉันทำไม ฉันมันก็แค่คนไม่มีหัวใจ ฉันจะเป็นจะตายก็ไม่สำคัญ
“ตอนหลับก็ดีหรอก แต่พอตื่นก็ปากเสียเลยนะ”
ฉวีวรรณโกรธ เดินหนีไป ดนัยรู้สึกผิดที่ตัวเองปากพล่อย
“หวี เดี๋ยวสิ หวี”
ดนัยรีบตามไป
ฉวีวรรณเร่งฝีเท้าเดินหนี ดนัยรีบวิ่งมาดักหน้า
“อย่าเพิ่งไป บอกฉันมาก่อน เมื่อกี้เธอจะทำอะไรฉัน” ดนัยถาม
“ฉันจะทำอะไรนาย” ฉวีวรรณถามกลับ
“ก็เธอยื่นหน้ามาซะใกล้เชียว เธอคิดจะขโมยจูบฉันเหรอ” ดนัยพูดกวนๆ
“คนบ้า หลงตัวเอง ฉันไม่มีวันทำอย่างนั้นหรอกย่ะ” ฉวีวรรณอาย
“ถ้าไม่ได้คิดจะทำ ทำไมต้องหน้าแดงด้วย อย่ามาโกหกดีกว่าถ้าฉันไม่ตื่นขึ้นมาก่อน ฉันต้องเสียจูบให้เธอแน่เลย” ดนัยว่า
“บ้าสิ ฉันไม่พิศวาสคนอย่างนายหรอก ฮึ คนอุตส่าห์สงสาร เห็นเมาไม่ได้สติ ก็เช็ดหน้าให้ ขอบคุณสักคำก็ไม่มีรู้งี้ปล่อยทิ้งไว้ก็ดีหรอก”
ดนัยยิ่งสงสัย “สงสารฉัน สงสารทำไม”
“ก็เห็นนายอกหัก” ฉวีวรรณบอก
“ใครว่าฉันอกหัก”
“ก็หวันบอกเลิกนาย อย่าบอกนะว่านายไม่เสียใจ”
“ฉันเสียใจ แต่ไม่ใช่เพราะถูกหวันบอกเลิก”
“แล้วเพราะอะไร”
ดนัยพูดออกมาน้ำเสียงจริงจัง “ฉันเสียใจที่เธอว่าฉันไม่มีหัวใจ”
ฉวีวรรณอึ้ง ตกใจ แต่ยังแถไปอีก
“ฉันพูดผิดตรงไหน นายมันไม่มีหัวใจจริงๆ นี่ ถูกแฟนบอกเลิก ยังมาบอกว่าไม่รู้สึกอะไรอีก อย่างนี้ไม่มีหัวใจชัดๆ”
“ฉันมีหัวใจ แล้วฉันก็เจ็บเป็น เธอจะว่าฉันยังไงก็ตาม อย่างน้อยฉันก็ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเอง ไม่เหมือนบางคนปากกับใจไม่ตรงกัน” ดนัยย้อน
“นายว่าใคร”
“ก็ว่าเธอนั่นแหละ”
“ฉันปากกับใจไม่ตรงกันยังไง ฉันเกลียดนาย ฉันก็บอกตรงๆ ว่าเกลียด”
“โธ่ หวี เมื่อไรเธอจะยอมรับความรู้สึกตัวเองสักที”
“พูดไม่รู้เรื่อง ฉันไปดีกว่า ไม่พูดด้วยแล้ว”
จังหวะนั้นดนัยจับมือฉวีวรรณเอาไว้
“ปล่อยฉัน”
“ไม่ ฉันไม่ให้เธอไปไหนทั้งนั้น จนกว่าเธอจะบอกความจริงมองตาฉัน แล้วบอกฉันสิว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ระหว่างเราสองคน มันไม่มีความหมายอะไรกับเธอเลยรึ เธอไม่เคยรู้สึกอะไรเลยรึไง มองตาฉัน แล้วบอกมาสิ”
ฉวีวรรณอึ้ง หลบตาวูบ ไม่กล้าสบสายตาดนัยที่มองจ้องมาอย่างมีความหมาย
“บอกมาสิหวี ตอนนี้มีแค่เราสองคน ไม่มีใครทั้งนั้น ฉันอยากรู้ความรู้สึกที่แท้จริงของเธอ” ดนัยบอก
“นายพูดอะไร ฉันไม่ได้คิดอะไรกับนายทั้งนั้น อย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย” ฉวีวรรณยังตะแบงต่อ
“เธอโกหก ฉันไม่เชื่อว่าที่ผ่านมามันไม่มีความหมายเลย”
“ฉันไม่ได้โกหก” ฉวีวรรณปฏิเสธเสียงดังลั่น
“ไม่จริง ฉันไม่เชื่อ เธอไม่ยอมรับความจริง”
“ฉันไม่ได้คิดอะไรกับนายทั้งนั้น หัวใจนายควรจะเป็นของหวัน”
ดนัยดึงฉวีวรรณมาจูบ ฉวีวรรณตกใจ
ฝนเทลงมา ทั้งสองจูบกันท่ามกลางสายฝนโปรยปราย
วินยายืนอยู่ใต้ต้นไม้ มองดนัยกับฉวีวรรณแล้วเจ็บปวดใจ เบือนหน้าหนี เพราะทนดูต่อไปไม่ได้
“ดนัยมีความสุขกับคนที่เขารัก เราควรจะดีใจกับเขาถึงจะถูก”
วินยาปลุกปลอบใจตัวเอง ก่อนจะเดินหนีไปเงียบๆ อย่างเจ็บปวดหัวใจ
ด้านอุ๊บอิ๊บที่ออกเดินตามหาดนัย บ่นตามทางมาเรื่อยๆ
“พี่ดนัยหายไปไหนนะ ฝนตกแล้วด้วย”
อุ๊บอิ๊บเดินมาเห็นดนัยกำลังจูบฉวีวรรณ อุ๊บอิ๊บตะลึง ตกใจ อ้าปากค้าง เหวอไปเลย
“ภาพลวงตา เราต้องตาฝาดแน่ๆ”
อุ๊บอิ๊บขยี้ตา แล้วมองใหม่อีกที ก็ยังเห็นเป็นดนัยจูบฉวีวรรรอยู่ รู้ชัดแล้วว่าดูไม่ผิด และไม่ใช่ภาพลวงตาแน่นอน อุ๊บอิ๊บก็หน้าเบ้ อยากจะร้องไห้
“ยังไม่หายไปอีก แสดงว่าเราไม่ได้ตาฝาด ฮือ พี่ดนัยกับยายหวี ทำไมกลายเป็นแบบนี้ไปได้ ไม่จริง ฮือๆๆ”
อุ๊บอิ๊บเสียใจ วิ่งหนีจากไป
ฝนยังโปรยปราย ดนัยและฉวีวรรณต่างเปียกปอน เสื้อเปียกแนบกาย ฉวีวรรณอยู่ในอ้อมกอดของดนัย
ดนัยถอนริมฝีปากออกจากปากฉวีวรรณอย่างช้าๆ ฉวีวรรณเหวอไปเลย แล้วพอตั้งสติได้ ก็ตบหน้าดนัยจนหน้าหัน
“นายทำบ้าอะไร”
ดนัยพูดออกมาอย่างจริงจัง “ฉันอยากให้เธอรู้ความรู้สึกของฉัน ฉันรัก….”
ฉวีวรรณสวนขึ้น “ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ฉันไม่อยากรู้ ในใจของนายควรจะมีแต่หวัน ถึงจะถูก”
“หัวใจของฉันเป็นของฉัน และในใจฉันก็มีแต่…”
“หยุดนะ อย่าพูด ฉันไม่อยากฟัง นายมันบ้า บ้าที่สุด”
ฉวีวรรณไม่กล้าเผชิญความจริง ผลักดนัย แล้ววิ่งหนีออกเฟรมไป
ดนัยตะโกนตาม “หวี!”
ดนัยสับสน ไม่เข้าใจ
ฉวีวรรณวิ่งหนีมาหลบฝนและหลบหน้าดนัยในกระท่อมหลังเดิม
ขณะที่ดนัยยังคงเดินหา และร้องตะโกนเรียก
“หวี เธออยู่ที่ไหน หวี”
ดนัยเดินผ่านไปจากตรงกระท่อมที่ฉวีวรรณยืนหลบอยู่
ฉวีวรรณปิดหู ไม่อยากได้ยินเสียงดนัย แต่ภาพเหตุการณ์ที่ทั้งสองร่วมกันผจญภัยในป่าก็ผุดขึ้นมาในหัว ทั้งตอนที่ดนัยบาดเจ็บนอนกอดฉวีวรรณให้ไออุ่นในถ้ำแห่งนั้น เหตุการณ์ตอนที่ดนัยมอบก้อนกรวดสีชมพูให้ รวมทั้งเหตุการณ์ที่ทั้งสองคนจูงมือวิ่งไปด้วยกัน ทุกเหตุการณ์วนเวียนอยู่ในหัว
ฉวีวรรณแตะริมฝีปากตัวเอง รู้สึกสับสันไปหมด
“อย่าคิดสิฉวีวรรณ อย่าไปนึกถึง ระหว่างเธอกับดนัย มันเป็นแค่ความใกล้ชิดเท่านั้น ไม่ใช่ความรัก มันไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่มีทาง”
ฉวีวรรณสับสน ไม่กล้ายอมรับความรู้สึกของตัวเอง
ทางด้านดนัยเดินตากฝนอย่างเจ็บปวดหัวใจ
“ทำไมเธอถึงไม่เข้าใจฉันบ้าง ทำไมเธอไม่ยอมรับความรู้สึกของตัวเอง ทำไม”
ดนัยเจ็บปวด ตะโกนแข่งกับสายฝน
“ฉันรักเธอนะหวี ได้ยินบ้างมั้ย ฉันรักเธอ”
ดนัยรู้สึกเศร้าและเสียใจอย่างหนัก
ฝนตกลงมา ชลิตรีบมาหลบฝนใต้ต้นไม้ นั่งลงข้างดาหวัน ทั้งสองต้องนั่งชิดตัวติดกันเพื่อหลบฝน
ดาหวันประหม่า
“ท่าทางจะตกอีกนาน”
ชลิตจับหัวดาหวันให้เอนมาซบไหล่ตัวเองอย่างอ่อนโยน
“ง่วงก็นอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องเดินทางต่อ เดี๋ยวจะไม่มีแรง”
จังหวะนั้นฟ้าร้องเสียงดังลั่นป่า
“ฟ้าร้องดังอย่างนี้ หวันนอนไม่หลับหรอก” ดาหวันบอก
“แล้วทำยังไงถึงจะนอนหลับละ”
ดาหวันคิดนิดหนึ่งแล้วนึกได้
“ตอนเด็กๆ เวลาหวันนอนไม่หลับ พ่อจะเล่านิทานให้ฟัง”
ชลิตเก๊กเสียงหล่อทุ้ม “งั้นพี่จะใช้น้ำเสียงอันหล่อเหลาและทรงเสน่ห์ของพี่กลบเสียงฟ้าร้องเอง”
“หลงตัวเองชะมัด” ดาหวันขำในท่าทีของชลิต
“อะแฮ่ม…กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว…”
ชลิตเริ่มต้นเล่าเรื่อง โดยมีดาหวันนั่งพิงไหล่ ฟังนิทาน และแอบมองชลิตอย่างมีความสุข ชลิตเล่าอย่างออกรสชาติทำไม้ทำมือประกอบการเล่าตลอด จังหวะหนึ่งพอชลิตก้มมองดาหวันรีบหลับตา แกล้งทำเป็นหลับ แต่พอชลิตหันไปทางอื่น ดาหวันก็ลืมตามาแอบมองชลิตต่อแล้วแอบยิ้ม
ดาหวันซบไหล่ ฟังนิทานจากชลิต และหลับไปอย่างมีความสุข
อ่านต่อหน้า 3
หอบรักมาห่มป่า ตอนที่ 11 (ต่อ)
อุ๊บอิ๊บวิ่งหนีมาหยุดใต้ต้นไม้แล้วเอาแต่ทุบตีต้นไม้ เป็นการระบายความโกรธแค้น และในเวลานี้อุ๊บอิ๊บโกรธฉวีวรรณมากๆ บ่นกับตัวเองออกมา
“ยายหวี คนเจ้าเล่ห์ ทำเป็นกันท่าให้น้องสาว ที่แท้ก็คิดจะฮุบพี่ดนัยไว้เองคอยดูนะ ฉันจะฟ้องป๊า ให้ป๊ามาจับตัวแกไป แกไม่มีวันมีความสุขกับพี่ดนัย”
ว่าแล้วอุ๊บอิ๊บก็กดโทรศัพท์หาธานี แต่โทรไม่ได้ โกรธมาก
“อ๊าย ลืมเติมเงิน โทรออกไม่ได้ ทำไมต้องเป็นตอนนี้ด้วย”
อุ๊บอิ๊บขัดใจ กระทืบเท้าเร่าๆ อยู่คนเดียว
จังหวะนั้นเองก็มีเสียงชาวชาลันดังขึ้นมา คล้ายเสียงกริ่งในร้านสะดวกซื้อที่คุ้นหู
“ตึ๊งตึ่ง…ตึ๊งตึ่ง”
อุ๊บอิ๊บแปลกใจ เสียงอะไร
อุ๊บอิ๊บหันไปเจอชายชาวชาลันคนหนึ่งอยู่ในเพิงเล็กๆ ลักษณะเหมือนร้านสะดวกซื้อแต่งตัวด้วย เสื้อผ้าชุดพื้นเมือง มีเลข 7 ติดที่เคาน์เตอร์ และที่กระเป๋าเสื้อ เป็นโลโก้
ชาวชาลันคนนั้นพูดด้วยสำเนียงชาวเขา
“ชาลันเซเว่นสวัสดีจ้า เรามีบริการเติมเงินมือถือ ชำระค่าโทรศัพท์ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ายกครู ค่าครองชีพ ค่าของคน”
“พอๆๆ ฉันรู้แล้วว่าชำระได้ทุกค่า” สีหน้าอุ๊บอิ๊บเหมือนไม่ค่อยเชื่อ “จะได้เรื่องรึเปล่าเนี่ย”
อุ๊บอิ๊บไม่มีทางเลือกจึงจ่ายเงิน แล้วรับกระดาษมาเขียนเบอร์โทรศัพท์ส่งให้
“นี่เบอร์ฉัน”
ชาวชาลันคนนั้นรับเงินมาจัดการเติมเงินให้ทางมือถือ แล้วคีย์เครื่องทอนเงินเหมือนในเซเว่นฯ
อุ๊บอิ๊บอึ้งไปเลย “ฮึ มีอย่างงี้ด้วยเหรอ”
ชาวชาลันรู้ทัน พูดขึ้นทันที “งงๆ เดี๋ยวนี้เขาปั๊ดตะนาแล้ว” พลางยื่นตังค์ทอนให้อุ๊บอิ๊บ “อะ เติมเงินเสร็จแล้ว”
อุ๊บอิ๊บรีบกดโทรศัพท์หาธานีทันที
ขณะเดียวกันนั้นที่แค้มป์กลางป่าของทีมศิริ อาหลู่ใช้กิ่งไม้วาดแผนที่ป่าบนพื้นดิน โดยมีศิริ ธานี ธนวัติ กาซู สุภาพและอาหลู่กำลังล้อมวงประชุมวางแผนกัน
“ตรงนี้คือจุดที่คุณหนูทั้งสองหายตัวไปกับเพื่อนๆ”
“จะได้เรื่องเร้อ” ธนวัติดูจะไม่เชื่อถืออาหลู่นักจึงเยาะขึ้น
อาหลู่ไม่พอใจที่ธนวัติดูถูก
“พูดอย่างนี้หาเรื่องกันชัดๆ”
ศิริหันไปบอกธนวัติ “อย่าเพิ่งขัดสิวัติ เราไม่มีทางอื่นที่ดีกว่านี้แล้วนี่พาณิชย์หายไปไหนละ”
“เอ่อ พาณิชย์เป็นห่วงน้องหวันมาก ก็เลยไปตามหาน้องหวันครับ”
เสียงโทรศัพท์มือถือของธานีดังขึ้น ธานีรีบกดรับสาย
“ฮัลโหล”
ด้ายอุ๊บอิ๊บที่อยู่บ้านชาลันรับอย่างดีใจ
“ป๊า!”
“อุ๊บอิ๊บ! มัวไปเถลไถลอยู่ที่ไหนเนี่ย” ธานีบ่น
อุ๊บอิ๊บเซ็ง
“โธ่ ป๊า มาถึงก็บ่นเลยนะ แทนที่จะเป็นห่วงลูก”
“ก็ห่วงอยู่นี่ไง แล้วอยู่ที่ไหนเนี่ย ...หมู่บ้านชาวชาลันรึ”
กาซูได้ยินก็หูผึ่งหันมองอย่างสนใจ ธานีกับกาซูมองหน้ากันอย่างรู้กัน
“อุ๊บอิ๊บไม่รู้ว่าไอ้หมู่บ้านนี้มันอยู่ส่วนไหน แต่อุ๊บอิ๊บไม่ได้อยู่คนเดียวนะป๊า” รีบฟ้องพ่อทันที “นังหวีกับพี่ดนัยแล้วก็เพื่อนๆ ของมันก็อยู่ด้วย”
ธานีดีใจ
“ว่าไงนะ อยู่กับนังหวี เอ๊ย หนูหวีกับไอ้ดนัยด้วยรึ” ธานีผุดยิ้มร้ายออกมา “ดีมาก สมแล้วที่เป็นลูกป๊า รออยู่ที่นั่น อย่าไปไหน คอยถ่วงเวลาไว้ อย่าให้ใครไปไหนทั้งสิ้นนะ แล้วป๊าจะรีบไปรับ”
ธานีวางสาย ศิริได้ยินชื่อหวีก็สนใจ รีบมาถามเป็นชุด
“หวีอยู่ด้วยรึ แล้วหวันล่ะ อยู่ด้วยกันรึเปล่าปลอดภัยใช่มั้ย มีใครเป็นอะไรรึเปล่า เรารีบไปที่หมู่บ้านนั้นเดี๋ยวนี้เลย”
ศิริทำท่าจะไป ธานี ธนวัติ สุภาพและอาหลู่รีบห้าม
“ใจเย็นสิพี่ศิริ” ธานีห้ามแต่ไม่เป็นผล
“ไม่ยงไม่เย็นแล้ว ฉันจะไปรับลูก”
“ดึกแล้ว เดินทางตอนนี้อันตรายเกินไปนะนาย” อาหลู่บอก
“นั่นสิครับนาย ผมยังไม่อยากเป็นอาหารเสือนะ เอาไว้พรุ่งนี้เช้า ค่อยออกเดินทางกันดีกว่า”
ศิริบ่นออกมา
“โธ่เอ๊ย ก็คนมันใจร้อนอยากเจอลูกนี่หว่า” ศิรินิ่งคิดตัดสินใจ “เอ้า พรุ่งนี้ก็พรุ่งนี้”
สุภาพและอาหลู่ต่างดีใจ ส่วนธานี กาซูและธนวัติยิ้มร้าย พอใจที่รู้ที่อยู่ของพวกดนัย
อุ๊บอิ๊บวางสาย ยิ้มร้ายออกมาด้วยความสะใจ
“ในเมื่อฉันไม่มีความสุข แกก็อย่าคิดว่าจะสมหวัง นังหวี นังงูพิษ”
จังหวะนั้นอุ๊บอิ๊บก็หันหน้ามาเจอพนักงานขายชาวชาลันอีก
อุ๊บอิ๊บตกใจตวาดออกมา “อ๊าย ยังไม่ไปอีกเหรอ
“รับไส้อั่วขนมจีนน้ำเงี้ยวเพิ่มมั้ยจ๊ะ” ชาวชาลันขายของต่อ
“บ้า!”
อุ๊บอิ๊บสะบัดหน้า เดินหนีไป ขณะที่พนักงานชาวชาลัน งงๆ พอดีมีชาวชาลัน มาซื้อของพนักขายจึงหันไปยิ้มแย้มให้บริการ
“ตื๊อตื่อ…ชาลันเซเว่นสวัสดีจ้า”
รุ่งเช้าวันต่อมาพาณิชย์กำลังพูดมือถืออยู่หน้ารถตู้ ที่จอดเปลี่ยนยางอยู่กลางทางโดยมีเหล่าสมุน และเลาซากำลังคุมการเปลี่ยนยางอยู่อย่างขันแข็ง
ส่วนพาณิชย์พูดมือถือกับหญิงสาวที่น่าจะสนิทเอาเรื่อง
“จ้าที่รัก รักสิจ๊ะ รักมากที่สุดคนเดียวเลยจ้า ไม่งั้นพี่ไม่โทรมาหรอก ไว้เข้าเมืองเมื่อไร พี่จะแวะไปหานะจ๊ะ”
เลาซาที่ยืนคุมงานอยู่ แอบมองแบบเซ็ง และเอือมระอา พาณิชย์กดปิดมือถือแล้วหันมาตวาดใส่
“เฮ้ย ยังเปลี่ยนยางไม่เสร็จอีกเหรอวะ ชักช้างุ่มง่ามอย่างนี้สิ ถึงได้ดักดานอยู่แต่ในป่า”
เลาซาหันขวับมา ต่อปาก
“แต่ไม่ใช่เพราะคนป่าอย่างข้ากับพ่อข้าหรอกหรือ ที่ทำให้เจ้ากับอาของเจ้ามีกินมีใช้ มีเงินไว้ฟาดหัวผู้หญิงโง่ๆ ในเมืองอย่างนั้น
พาณิชย์ขยับเข้าไปหาจ้องเอาเรื่อง เลาซามองตอบไม่กลัวเกรง
“ไอ้เลาซา นี่แกกล้ายอกย้อนฉันเหรอ”
“ข้าพูดความจริงต่างหาก” เลาซาย้อนอีกดอก
พาณิชย์ยัวะ เหวี่ยงหมัดออกไปจะต่อยเลาซา เลาซาหลบแล้ว จัดการต่อยพาณิชย์ล้มลงไป
“โอ้ย อู้ย ไอ้เลาซา แกกล้าต่อยฉันเหรอ”
“ข้ามาช่วยงานเสี่ยธานีตามที่พ่อข้าสั่ง ไม่ใช่มาเป็นขี้ข้าของเจ้า”
“แกมันอิจฉาฉันล่ะสิ เห็นฉันมีผู้หญิงมารุมรัก แต่แกไม่มีใช่มั้ยล่ะ
“หุบปาก!” เลาซาฉุนจัด
“ฉันจะบอกให้นะ สารรูปอย่างแก ไม่มีผู้หญิงดีๆ ที่ไหนเขาสนหรอกแกมันต้องอกหักรักคุดไปตลอดชีวิตนั่นแหละ” พาณิชย์เยาะเย้ย
เลาซาโมโห เหวี่ยงมีดสั้นไปปักตรงดินข้างตัวพาณิชย์ พาณิชย์สะดุ้งเฮือก กลัวแต่ยังมีฟอร์มอยู่
“ถ้าเจ้ายังไม่เลิกพูดจาเพ้อเจ้อ มีดเล่มต่อไปของข้า ไม่มีวันพลาดเป้าแน่”
เลาซารีบเดินหนีออกไป อย่างกลัวว่าจะหลุดทำร้ายพาณิชย์เข้าจริงๆ เหมือนกัน
พาณิชย์ร้องตะโกนตามอย่างปากเก่ง
“เออ ฉันก็ยกให้แกเหมือนกัน ขืนมีครั้งต่อไป ฉันฟ้องคุณอาให้เล่นงานแกแน่ ไอ้เลาซา!”
เลาซาเดินมาที่เนินกลางป่า อารมณ์ยังคุกรุ่นด้วยความโมโห หยุดยืนตรงนั้น พยายามสงบอารมณ์ ที่โดนพาณิชย์พูดแทงใจ
เลาซาด่าพาณิชย์อยู่คนเดียว
“ไอ้พาณิชย์หน้าโง่ ข้าเกิดมาเพื่อความยิ่งใหญ่มีอำนาจ ผู้หญิงที่ไหนข้าก็ไม่สนทั้งนั้น นอกจากผู้หญิงที่เป็นศัตรู”
พูดถึงตรงนี้แววตาของเลาซาวาบนึกถึงวินยาขึ้นมา พร้อมๆ กับภาพเหตุการณ์ที่เลาซายิงหน้าไม้ใส่วินยาผุดขึ้นมาในหัว
“แกหนีไม่พ้นหรอก!”
เลาซาง้างหน้าไม้ยิงลูกดอกใส่วินยาอีกครั้ง วินยากระชากชายเสื้อขาด กลิ้งตัวหลบ แต่ไม่ทัน ลูกดอกถากแขนวินยาเลือดออก วินยามีสีหน้าเจ็บปวด
นึกมาถึงตรงนี้เลาซาก็มีสีหน้าเข้มเคร่ง ยุ่งยากใจ กัดกรามด้วยความสับสน
“ทำไมข้าต้องนึกถึงเจ้าด้วย เจ้าควรเป็นแค่ศัตรูที่ต้องสยบต่อข้าไม่ใช่คอยทำให้ข้าวุ่นวายใจ” เลาซาส่ายหน้าสลัดความคิดทิ้งไป “นี่ข้าเป็นอะไร ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย”
เลาซาหันตัวเองแล้วก้าวออกไปตรงหน้าเนินผา ร้องตะโกนออกไป เหมือนพยายามบังคับใจตัวเอง
“ อ๊าก... ข้าเกลียดวินยา ข้าเกลียดวินยา”
ที่แท้แล้วเลาซาหลงรักผู้หญิงที่เป็นศัตรูของเขา...วินยา
ยามเช้าวันเดียวกันนั้นในหมู่บ้านชาลัน ดนัย ฉวีวรรณ วินยา แจ๋ กิมจิ บุญทิ้งและอุ๊บอิ๊บ มานั่งกินข้าวรวมกัน จู่ๆ ฉวีวรรณกับดนัยก็จามพร้อมกัน
“สองคนนี้เป็นหวัดพร้อมกันด้วย ใครแพร่เชื้อให้ใครล่ะเนี่ย” แจ๋พูดออกมาโดยไม่ได้คิดอะไร
แต่อุ๊บอิ๊บหงุดหงิด กระแทกช้อน แสดงความไม่พอใจ
“ฮึ ไปทำอีท่าไหนถึงติดหวัดกันได้ละ” อุ๊บอิ๊บเยาะ
วินยานึกรู้ แต่ไม่พูดอะไร ฉวีวรรณนึกถึงที่จูบกับดนัยเมื่อคืนก็อายขึ้นมา แต่ปากฉวีวรรณรีบปฏิเสธ
“แพร่เชื้ออะไรกัน ไม่เกี่ยวกันสักหน่อย”
“หวีเขาความจำสั้น เป็นผู้หญิงลืมง่าย สงสัยต้องย้ำเตือนความจำบ่อยๆ” ดนัยแกล้งกวน
“ย้ำเตือนเรื่องอะไร แกพูดอะไรแปลกๆ นะ ตกลงมีเรื่องอะไรกันเหรอ” กิมจิถามอย่างสงสัย
ฉวีวรรณทั้งโกรธทั้งอาย ลุกหนีทันที
“อ้าว จะไปไหนล่ะหวี” บุญทิ้งถาม
“ฉันจะไปตามหาหวัน ป่านนี้ยังไม่กลับมาอีก”
ดนัยลุกขึ้นบอกเสียงจริงจัง “ฉันไปด้วย”
“นายไม่เกี่ยว ไม่ต้องยุ่ง”
“ทำไมจะไม่เกี่ยว”
แจ๋เห็นสถานการณ์เริ่มมาคุรีบเข้าห้าม “เอ้าๆๆ ไม่ต้องเถียงกัน ไปด้วยกันให้หมดนี่แหละ ฉันก็ห่วงหวันกับชลิตเหมือนกัน”
อุ๊บอิ๊บตกใจ กลัวเสียแผนที่รับปากพ่อไว้ ลืมตัวโพล่งออกมาทันที
“ไปไม่ได้นะ ห้ามใครไปไหนทั้งนั้น”
“ทำไมล่ะ” วินยาสงสัย
อุ๊บอิ๊บอึกอัก “ก็ เอ่อ”
จังหวะนั้นเองชายชาวชาลันคนหนึ่งก็วิ่งหน้าตื่นเข้ามารายงานด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“นายน้อย แย่แล้ว ไอ้กาซูพาพวกมาเต็มเลย!”
วินยา ดนัย ฉวีวรรณ แจ๋ กิมจิ และบุญทิ้งต่างตกใจ ในขณะที่อุ๊บอิ๊บผูดยิ้มร้ายออกมา
ไม่นานนัก ศิริ ธานี กาซู ธนวัติ สุภาพ อาหลู่และลูกน้องของธานี ก็มาถึงหมู่บ้านชาลัน สางโปกับพวกชาวบ้านประจันหน้า ขวางไว้
“ฉันมาหาลูก ลูกสาวฉันอยู่ที่ไหน”
“ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์บุกรุกหมู่บ้านของเราชาวชาลัน!” สางโปบอกเสียงเข้ม
จังหวะนั้นเองวินยา ดนัย ฉวีวรรณ แจ๋ กิมจิ บุญทิ้งและอุ๊บอิ๊บก็มาถึง
ฉวีวรรณตกใจ “พ่อ!”
ศิริดีใจ “หวี”
ด้านดนัย แจ๋ กิมจิ และบุญทิ้งต่างระวังตัว
กิมจิพูดบ่นอย่างกลัวๆ “ไหนว่ามีวิชาพรางตัว แล้วพวกนั้นรู้ได้ไงว่าพวกเราอยู่ที่นี่”
อุ๊บอิ๊บดีใจ รีบเข้าไปกอดธานี ธานีกอดตอบ
“ป๊า”
“อุ๊บอิ๊บ ป๊ามารับแล้ว” ธานีกอดลูกสาว
อุ๊บอิ๊บพูดเย้ยวินยาออกมาทันที
“วิชาพรางตัวของเธอแน่จริงๆ แต่เสียใจด้วยที่ฉันมีโทรศัพท์มือถือ”
“ยายหนอนบ่อนไส้ รู้งี้ปล่อยทิ้งไว้เป็นอาหารเสือก็ดีไม่น่าพามาด้วยเล้ย” แจ๋เจ็บใจมาก
“หวี กลับไปกับพ่อเถอะลูก” ศิริบอกลูกสาว
“ไม่ค่ะ หวีไม่กลับ”
“พูดดีๆ ไม่ฟัง งั้นคงต้องใช้กำลัง”
ธนวัติขยับตัว ดนัยเข้ามาขวาง ปกป้องฉวีวรรณ
“ใครแตะต้องหวี ก็ข้ามศพฉันไปก่อน”
“งั้นแกก็เป็นศพให้ฉันข้ามเลยละกัน”
ธนวัติจะยิงดนัย ไวเท่าความคิดวินยาเตะหินก้อนเล็กไปโดนมือธนวัติจนปืนหลุดมือ
“โอ๊ย!” ธนวัติร้องเพราะเจ็บมือ
“ใครกล้าก่อเรื่องที่นี่เท่ากับดูหมิ่นชาวชาลัน พวกเราไม่ปล่อยไว้แน่!”
จังหวะนั้นชาวชาลันก็เฮเสียงลั่น เข้ามาล้อมพวกศิริ ทุกคนมีอาวุธพร้อม ได้แก่ หน้าไม้ มีด ไม้ไผ่หลาว สุภาพและอาหลู่กลัว รีบหลบหลังศิริ
“คิดว่าแค่นี้ฉันจะกลัวเหรอ เอาสิ ใครอยากลิ้มรสกระสุนปืนก็เข้ามา”
ธานี พูดเสียงเหี้ยม กาซูและพวกลูกน้องท่าทางเอาเรื่อง
“สัคคะโมกขะคะมัง มัคคัง อารุฬโห โหติ ขันติโก ผู้มีขันติ ชื่อว่าเป็นผู้ขึ้นสู่ทางไปสวรรค์และนิพพาน”
“สาธุ...เฮ้ย!” แจ๋กับกิมจิลืมตัวพูดออกมาพร้อมกัน
“นี่ไม่ใช่เวลาแสดงธรรมนะไอ้ทิ้ง” กิมจิว่าบุญทิ้ง
แจ๋หันไปพูดเบาๆ กับดนัย “เอาไงดี ขืนมีเรื่องกันที่นี่ เละทั้งสองฝ่ายแน่”
ดนัยตัดสินใจพูดตกลงกับธนวัติ
“พวกเขาไม่เกี่ยว อย่าทำอะไรพวกเขา”
“เกี่ยวไม่เกี่ยวไม่รู้เว้ย แต่ใครขวาง…เจ็บ!” แต่ธนวัติไม่ยอม
บรรยากาศมาคุมากขึ้น ทั้งสองฝ่ายต่างพร้อมจะสู้กัน ฉวีวรรณไม่อยากให้ชาวชาลันเดือดร้อนเพราะตน ตัดสินใจเดินออกมา
“อย่ามีเรื่องกัน หวียอมแล้ว”
ดนัย แจ๋ กิมจิและบุญทิ้งตกใจ
“หวี!”
ฉวีวรรณยื่นข้อเสนอกับศิริ
“หวียอมไปกับพ่อ แต่มีข้อแม้”
“หวีอยากได้อะไร พ่อยอมทุกอย่าง ขอแค่หวีกลับไปกับพ่อ”
“พ่อต้องไปสถานที่หนึ่งกับหวี”
“ที่ไหน” ศิริถาม
“ปางไม้เถื่อนของนายธานี!”
ธานี ธนวัติและกาซูตกใจ ธานีรีบตีหน้าซื่อปฏิเสธตาใส
“ไม้เถื่อนอะไรกัน อาไม่รู้เรื่อง ไม่เอาน่าหนูหวี อย่าหาเรื่องถ่วงเวลาดีกว่า”
“หวีพูดจริง ถ้าพ่อไม่ไป หวีไม่กลับ และพ่อก็จะไม่ได้เห็นหน้าหวีอีกเลย”
ศิริมีทีท่าอ่อนลง กลัวลูกจะหนีอีก
“ได้ๆ พ่อยอม พ่อยอมทุกอย่าง”
“พี่ศิริเชื่อที่หนูหวีพูดงั้นรึ” ธานีไม่พอใจ
“ฉันเชื่อใจนายนะธานี นายไม่มีวันทำเรื่องผิดกฎหมายแน่แต่ที่ฉันยอมไป ก็เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย ไปดูให้เห็นกับตา หวีจะได้เลิกเข้าใจนายกับลูกผิดๆ ซะที”
ดนัยยิ้มอย่างเป็นต่อ “ถ้าคุณไม่ได้ทำอะไรผิด ก็ไม่เห็นต้องกลัวนี่นา”
ธานี ธนวัติและกาซูต่างเจ็บใจ ขณะที่ดนัย ฉวีวรรณ แจ๋ กิมจิสะใจ
ครู่ต่อมาทุกคนเดินมาที่หน้าประตูโรงไม้เถื่อนของธานี โดยมีดนัยกับฉวีวรรณเป็นคนนำทุกคนมา อย่างมั่นใจ
“เชิญทุกคน ทางนี้เลยครับ” ดนัยบอกออกมา
ดนัย ฉวีวรรณ นำทางเข้ามา อุ๊บอิ๊บ กับคนอื่นตามหลังเข้ามาถึงหน้าโรงไม้ของธานี
อุ๊บอิ๊บรีบแถเข้าไปหาดนัย “พี่ดนัยอย่าเดินห่างอุ๊บอิ๊บนักสิคะ อุ๊บอิ๊บคิดถึง”
“แหวะ” จ๋กับกิมจิหมั่นไส้ทำท่าจะอาเจียน
ศิริ ตามเข้ามา พร้อมพวกเสี่ยธานี และ กาซูกับหมู่ลูกน้อง
“ที่นี่เหรอ” ศิริถาม
“ทางนี้ค่ะพ่อ ดูให้เต็มตา ที่นี่คือโรงเก็บไม้เถื่อนของนายธานี!”
ฉวีวรรณเปิดประตูปัง ชี้นำเข้าไปให้ทุกคนดู แต่ที่ทุกคนมองไปเห็นในโรงไม้ กลับมีแต่ชาวบ้านนั่งเหลาไม้ไผ่และหวาย ล้อมวงทำงานเครื่องจักสาน อย่างขันแข็ง
“ไหน ไม่เห็นมีไม้สักท่อน”
ศิริบอก ฉวีวรรณอึ้ง ตกใจ “ฮึ เป็นไปไม่ได้ ก็หวีเห็นกับตา”
ธานี ธนวัติและกาซูยิ้มร้ายๆ ออกมพร้อมกัน
“สงสัยหนูหวีจะตาฝาดล่ะมั้ง”
ธานีเย้ยอยู่ในที พร้อมทำเป็นเท้ามือไปกับผนัง แล้วชี้ไปที่ป้ายที่อยู่ข้างหลัง ทำเป็นไม่ตั้งใจ ป้ายเขียนไว้หราว่า “ศูนย์ฝึกอาชีพ” !!!
อ่านต่อตอนที่ 12