xs
xsm
sm
md
lg

ปางเสน่หา ตอนที่ 1

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ปางเสน่หา ตอนที่ 1

ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงัดที่บริเวณทาวน์เฮ้าส์ร้างแห่งนั้น มีรถคันหนึ่งติดฟิล์มสีดำจอดอยู่ ภายในรถมีร้อยตำรวจเอกเตชิตและจ่าธงซึ่งปลอมตัวอยู่ในชุดเสื้อผ้าเซอร์ๆ พากันจดจ่อนั่งรอด้วยสีหน้ามาดหมายและแน่วแน่ มุมหนึ่งไม่ไกลกันนัก มีตำรวจ 2 คนซุ่มรอเตรียมพร้อม

เตชิตและธงยังคงมองเขม้นไปบริเวณทางเข้าจนกระทั่งมีรถเก๋งคันหนึ่งติดฟิล์มดำมืดเช่นกันขับเข้ามาเตชิตและธงขยับตัวเตรียมพร้อม รถคันนั้นแล่นเข้ามาจอดตรงหน้ารถเตชิตประตูด้านข้างคนขับเปิดออกชายฉกรรจ์คนหนึ่งก้าวลงมา พร้อมๆ กับชายอีกคนก้าวลงมาจากประตูหลัง ในมือมีกระเป๋าใส่ยาบ้า
เตชิตและธง เปิดประตูรถลงมาเช่นกัน ทั้ง 2 ฝ่ายเผชิญหน้า โดยธงถือกระเป๋าเอกสารใส่เงินแทน ภายในรถ เจียงนั่งอยู่ด้านหลังเขม้นมองภาพข้างหน้าส่วนคนขับเตรียมพร้อม หากมีอะไรผิดปกติ
“รอดูของก่อน”
เตชิตบอก ชาย 1 พยักหน้ากับชาย 2...ชาย 2 เปิดกระเป๋าจึงเห็นยาบ้าเต็มกระเป๋า เตชิตพยักหน้ากับธง
“เปิดซิ”
ธงเปิดกระเป๋าเอกสาร ซึ่งอัดแน่นไปด้วยเงินเช่นกัน ชาย 1กับชาย 2 พยักหน้า ขณะธงเปิดกระเป๋า
“โอ.เค”
ทั้งสองฝ่ายแลกกระเป๋ากัน ขณะที่เตชิตชักปืนออกมา
“นี่ตำรวจ”
“ไปโว้ย”
เจียงสั่งลูกน้อง ลูกน้องสตาร์ทรถขับออกไปทันที แล้วพุ่งเข้าชนเตชิตและธง ทั้งคู่กลิ้งตัวหลบ ขณะที่เจียงเปิดประตูรับลูกน้องทั้งสองคนแล้วขับออกไป ตำรวจที่เตรียมอยู่ยิงสกัดทันที
เตชิตและธง ยิงสกัดเช่นกัน รถคนร้ายยังคงแล่นหนี เตชิตเล็งยิงยางรถอย่างแม่นยำ ทำให้รถคนร้ายเสียหลัก เจียงและพวกเปิดประตูออกมาและยิงต่อสู้กับตำรวจพลางหนีไปด้วยบ เตชิตและพวกตามสกัดในที่สุดเตชิตและพวกก็จับเจียงและลูกน้องได้ทั้งหมด
คืนนั้นเมื่อกลับมาบ้านเตชิตเดินเข้ามาในห้องนอนแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงด้วยความเหนื่อย แล้วอ่อนเพลียหนักจากการต่อสู้กับคนร้าย เตชิตนอนหลับสนิทลงในทันทีทันใด และท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัดดูวังเวง เสียงหริ่งหรีดเรไรร้องระงม จู่ๆ ลูกบิดประตูห้องนอนเตชิตก็ขยับ แล้วประตูค่อยๆ แง้มเปิดออก เด็กชายคนหนึ่ง ค่อยๆ ก้าวเข้ามาแล้วย่องมาที่ริมเตียงก้มลงเรียก
“พ่อครับ...พ่อ...”
เตชิตขยับตัวเล็กน้อย
“พ่อ...”
เปลือกตาเตชิตเหมือนจะเปิดขึ้น แต่แล้วก็หลับสนิทลงตามเดิมด้วยความงุนงง
“ว้า! กลับมาถึงก็หลับ ไม่ได้คุยกันซักที”
เด็กน้อยเดินกลับออกไปเซ็งๆ
เด็กน้อยเปิดประตูเดินออกมาที่ห้องรับแขกแล้วทรุดตัวลงนั่ง สีหน้าเด็กน้อยดูเหงาๆ ว้าเหว่
“พ่อก็ไม่ค่อยว่าง แม่ก็อยู่ที่ไหนไม่รู้”
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นเตชิตกำลังฝันถึงลดา ภรรยาของเขาซึ่งกำลังท้องได้ 7 เดือนและกำลังเดินจ่ายตลาด
“คุณนายวันนี้รับปลามั้ยค้า วันนี้มีเต๋าเต้ยสวยๆ เลยค่า”
แม่ค้าบอก ลดาเดินเข้ามาดู
“ขายยังไงคะ”
“โลละ... ค่ะ”
ลดาหยิบปลาใส่จาน
อีกด้านหนึ่งของตลาดชายติดยา ผอมโซ หน้าตาเนื้อตัวสกปรก นัยน์ตาขวางแบบเมายา วิ่งถือมีดปลายแหลมไล่แทงชาวบ้านร้านตลาด ผู้คนแตกตื่นวิ่งหนี ร้องวี้ดว้ายดังลั่น
ลดารับปลาจากแม่ค้าแล้วเดินไปซื้อผัก คนเมายาวิ่งไล่แทงคนมาผู้คนหนีกันเกรียว ลดายังเดินซื้อของจนกระทั่งมีเสียงกรีดร้องใกล้เข้ามา ลดาจึงชะเง้อมอง
“เสียงอะไรน่ะ”
คนเมายาวิ่งตรงมาโดยมีชายฉกรรจ์ 3-4 คน ไล่ต้อนจับ ลดาและผู้คนเริ่มชะเง้อมองไปทางเสียง และวิพากษ์วิจารณ์กัน คนเมายาวิ่งหนีสะเปะสะปะ ผู้คนแตกตื่นหนี
ในที่สุดชายเมายาก็วิ่งกระเจิดกระเจิงมาคว้าตัวลดาเป็นตัวประกัน โดยลดาอุ้ยอ้ายหนีไม่ทัน ท่ามกลางเสียงร้องด้วยความตกใจของผู้คน ลดาพยายามดิ้น ในขณะที่ชายนั้นตกอยู่ท่ามกลางวงล้อม
ชายเมายามัวแต่จ้องและระวังคนที่จะเข้ามาจับ มือซึ่งถือมีดจ่อคอเริ่มตกลง ลดาจึงถือโอกาสสะบัดหลุดวิ่งหนี ชายเมายาคว้าแขนไว้ได้แล้วกระชากกลับ มือที่ถือมีดแทงสวนตรงท้องที่นูนออกมา ลดากรีดร้องแล้วทรุดลง เลือดแดงฉาน
เตชิตทะลึ่งพรวดขึ้นตกใจตื่น เหงื่อแตกโทรมร้องลั่น
“ลดา”
เตชิตมองไปโดยรอบแล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ เมื่อรู้สึกว่าเป็นความฝัน เตชิตค่อยๆ ลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่างมองขึ้นไปบนฟ้า
ท้องฟ้าคืนแรมมีแสงดาวระยิบระยับ เตชิตเบือนหน้ากลับมาแล้วมองไปที่หัวเตียงซึ่งมีรูปลดาส่งยิ้มหวานมาให้ราวกับมีชีวิต เตชิตพึมพำออกมาเบาๆ
“คุณจากผมไป 4 ปีแล้วนะลดา”
เช้าวันรุ่งขึ้นที่สถานีตำรวจ เตชิตในชุดร้อยตำรวจเอกเดินเข้ามาภายใน แล้วรับความเคารพจากตำรวจยศน้อยกว่า ธงรีบเดินมากระซิบกระซาบ
“ผู้กองครับ ผู้กำกับเรียกพบด่วนเมื่อคืนทำดี สงสัยจะมีรางวัล”
เตชิตพยักหน้าและตบไหล่ธงอย่างอารมณ์ดี แล้วเดินตรงไปห้อง ผู้กำกับเสนา
“ปล่อยนายเจียงไป”
เสนาบอกกับเตชิต เตชิตถึงกับสะดุ้ง
“ผู้กำกับ”
เสนาเอนตัวพิงพนัก ตามองเตชิตเขม็ง
“ไม่ได้ครับ ปล่อยไม่ได้เด็ดขาดกว่าผมจะวางแผนล่อจนจับมันได้ของกลางก็มี”
เสนาขัดขึ้นอย่างเย็นชา
“ไหนล่ะ ผู้กอง ของกลางอยู่ที่ไหน”
“ผู้กำกับ”
เตชิตคราง แทบไม่เชื่อหูตัวเอง
“นายก็รู้ดีพอๆ กับฉันว่า ใครเป็น back มันอยู่”
“ก็เพราะรู้น่ะซีครับ ผมถึงได้พยายามจับมันจนได้”
“แล้วไง ผู้กองซุปเปอร์แมน นึกหรือว่าจะเก่งกล้าสามารถถึงขนาดสาวไปถึงตัวพ่อมันได้ นายก็รู้ดีว่าไม่มีทาง” เตชิตขยับทำท่าจะเถียง แต่ก็เถียงไม่ออกเพราะรู้เหมือนกันว่าเป็นไปไม่ได้ “เพราะฉะนั้น ปล่อยมันตอนนี้ดีกว่าปล่อยให้มันตายปริศนาคาคุกให้อื้อฉาวเปล่าๆ แล้วเราก็ต้องมานั่งนับหนึ่งกันใหม่”
เตชิตถอนใจเฮือก สีหน้าไม่เห็นด้วย เสนาตบไหล่เตชิตเบาๆ “เอาน่า สักวันนึงเราต้องลากคอพวกมันมาเข้าคุกได้ทั้งพวงแน่” เตชิตยังคงนิ่ง “อีกอย่าง นายต้องหายหน้าไปสักพัก”
เตชิตสะดุ้งเฮือก
“อะไรนะครับ”
“ได้ยินแล้วนี่ หรือจะให้ทวนใหม่ก็ได้ หายตัวไปสักพัก” เตชิตขบกรามแน่น “พอเรื่องซา ฉันจะเรียกนายกลับมาเอง”
สีหน้าเตชิตเต็มไปด้วยความผิดหวังและทั้งแค้น
เตชิตกลับมาบ้านและกระชากประตูเปิดอย่างหงุดหงิด เตชิตดึงกระเป๋าเดินทางออกมาโยนโครมบนเตียงแล้วเปิดตู้เสื้อผ้าดึงเสื้อผ้าออกมาพับใส่กระเป๋าลวกๆ เต็มไปด้วยอารมณ์...เตชิตปิดกระเป๋าจะเดินออกไปแล้วชะงักหันหลังเดินกลับไปที่โต๊ะหัวเตียงหยิบรูปลดาขึ้นมามองเพ่งพิศแล้วนึกถึงอดีตตอนที่ลดายังมีชีวิตอยู่
“ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหน ฉันจะไปกับคุณ”
ภาพนั้นเลือนหาย เตชิตน้ำตารื้นขึ้นมาด้วยความตื้นตันใจ เตชิตเปิดกระเป๋าวางรูปลดาลงไป แล้วปิด เตชิตทอดถอนใจยาว แล้วเดินออกไปปิดประตู
เตชิตปิดประตูบ้านแน่นหนาแล้วเดินไปที่รถยกกระเป๋าใส่ทางตอนหลัง ระหว่างนั้นบนระเบียงเด็กชายเล็กๆ ยืนมองอยู่ด้วยสีหน้าแววตาเศร้าๆ เตชิตขึ้นรถแล้วขับออกไป เด็กน้อยร้องไห้พร้อมกับตะโกนตาม
“พ่อครับ พ่อจะไปไหนครับ พ่อครับ”
สีหน้าแววตาเด็กน้อยเต็มไปด้วยความว้าเหว่
บรรยากาศยามค่ำที่ไร่ “สุขศรีตรัง” ขณะนั้นศรีตรัง กำลังนั่งดูทีวีอยู่ที่บ้านพัก ศรีตรังชะงักเมื่อได้ยินเสียงรถเบรคดังลั่น
“เฮ้ย”
ศรีตรังคว้าปืนยาวรีบเดินออกไป
ศรีตรังก้าวออกมาหน้าบ้านพร้อมยกปืนขึ้นเล็ง
“ชูมือขึ้น คุกเข่าลง”
จุรี แม่บ้านของศรีตรังรีบเดินออกมา แล้วแอบข้างหลังศรีตรัง
“ใครหรือคะ”
เตชิตหยิบกระเป๋าออกมาจากรถ
“ฉันเอง”
ศรีตรังลดปืนลง สีหน้าประหลาดใจ
“อะลัดตั๊ดต๊า คุณเตห่างนี่เอง”
ศรีตรังและจุรีเดินมารับเตชิต
“เตชิตครับป้า”
เตชิตแย้ง จุรีหัวเราะคิกคัก
“เอาห่างดีกว่าค่ะ”
“มาทำไม” ศรีตรังถามอย่างแปลกใจ
“มาหาเรื่องแก”
จุรีหัวเราะคิกคัก
“เชิญข้างในค่ะ อาหารเสร็จเรียบร้อยพอดี”
ภายในห้องอาหารบ้านศรีตรังกับข้าวง่ายๆ 2-3 อย่างวางอยู่กลางโต๊ะ เตนั่งกินข้าวอย่างหิวโหย โดยมีศรีตรังนั่งมองอย่างขวางๆ ส่วนจุรีมองอย่างปลาบปลื้ม
“รับประทานมากๆ นะคะ”
“ไม่ต้องแนะนำมันก็แย่งฉันกินจนจะหมดอยู่แล้วละป้า”
“อะลัดตั๊ดต๊า มีงอน”
“เฮ้ย เงยหน้าบ้าง แกจะพักอยู่สักกี่วัน”
“ไม่รู้ แต่รับรองว่าไม่พักฟรี”
“เออ ฉันก็ไม่ให้แกพักฟรีอยู่แล้ว ว่าแต่ไปกัดกับใครมาฮึ ถึงได้หนีหัวซุกหัวซุนมาถึงนี่”
เตชิตยกแก้วน้ำดื่ม
“เป็นสาวเป็นนาง หัดพูดจาให้มันเข้าหูคนฟังหน่อยก็ไม่ได้ มิน่าป่านนี้ถึงยังหาผัวไม่ได้”
ศรีตรังผุดลุกขึ้นหยิบแฟ้มหนาใกล้ตัวเขวี้ยงทันทีแต่เตชิตหลบทัน
“ไอ้เตชิต ไอ้ปากเปราะ ไอ้เนรคุณ เดี๋ยวแม่ก็ไล่กลับ กทม. ซะเลยนี่ ว่าไงแกจะเล่าหรือไม่เล่า”
เตชิตเอนตัวพิงพนัก
“ยังไม่มีอารมณ์เล่าขอนอนก่อน” เตชิตบิดตัวอย่างเมื่อยขบ “ขับรถมาทั้งวัน เมื่อยว่ะ”
“ป้าจ๋า ป้าพาไปเรือนรับรองเลยนะจ๊ะ” จุรีสะดุ้ง
“แต่ว่า...”
“ไปเถอะน่า”
“ไปก็ไปค่ะ เชิญค่ะคุณเตห่าง”
เตชิตลุกขึ้น ศรีตรังยิ้มนิดๆ ในสีหน้า
“นอนหลับให้สบายไร้กังวลนะ ไอ้เตเพื่อนรัก”
“ไม่ต้องห่วง พอหัวถึงหมอนก็หลับอยู่แล้ว”
เตชิตเดินออกไป จุรีหันมามองหน้าศรีตรัง
“คุณศรี ที่เรือนนั่น...”
“เฮ่ย ไม่มีอะไรหรอกป้า ไม่เคยมีใครเห็นเลยนอกจากป้าคนเดียว”
จุรีจำใจเดินออกไป ศรีตรังมองตาม สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
จุรีพาเตชิตมาที่เรือนพัก เมื่อมาถึงจุรีถือกุญแจเปิดบ้านด้วยมืออันสั่นเทา ดวงตามองไปโดยรอบอย่างหวาดๆ จนกุญแจตกจากมือ เตชิตมองอย่างแปลกใจ
“เป็นอะไรหรือครับป้า”
“ปละ...ปละ...เปล่า...ค่ะ”
“มานี่ ผมเปิดเอง”
เตชิตคว้ากุญแจจากจุรีเปิดบ้าน เสียงประตูดังเอี๊ยด ท่ามกลางความเงียบสงัด
“ว้าย”
จุรีร้องอย่างตกใจ เตชิตหันมามองจุรียิ้มแห้งๆ
“ป้าตกใจเสียงประตูน่ะค่ะ”
เตชิตส่ายหน้าก้าวเข้าไปในบ้านแล้วเตชิตก็ต้องชะงักเพราะมีไอเย็นเข้ามาประปราย เตชิตกอดอกด้วยท่าทางเหมือนหนาวเย็นเยือก จุรีค่อยๆ โผล่หน้าเข้ามาก่อนแล้วเหลียวซ้ายแลขวา พลางส่งเสียงราวกับจะเป็นสัญญาณขับไล่ความเงียบ
“อะลัดตั๊ดต๊า”
“ในนี้เย็นจัง”
“ก็จะไม่เย็นได้ยังไงล่ะคะ” จุรีบอกเสียงสั่น เตชิตหันขวับมามอง จุรียิ้มแห้งๆ ก่อนจะพูดต่อ “ปากช่องอากาศเย็นอย่างนี้ละค่ะ เอ้อ...ถ้าคุณเตห่างไม่มีอะไรป้าขออนุญาตไปก่อนนะคะ”
“ครับ ขอบคุณมากนะครับ ป้า”
จุรีบผลุบออกไปโดยไม่ลืมปิดประตู เตชิตเดินลากกระเป๋าเข้าห้องนอน
เตชิตปิดประตูห้องนอนวางกระเป๋าแล้วเดินไปเปิดหน้าต่างแต่แล้วจู่ๆ มีเสียงผู้หญิงเรียกเตชิต
“คุณคะ...คุณ...”
“ครับ” เตชิตหันมามองอย่างแปลกใจ แต่บริเวณโดยรอบห้องว่างเปล่า “หรือว่าเราจะหูฝาดไป”
เตชิตหันกลับไปเปิดหน้าต่างใหม่
“คุณ”
เตชิตหันขวับมามอง
“ใครน่ะ” ทุกอย่างเงียบสนิท และว่างเปล่า “ฉันถามว่าใคร”
เตชิตเปิดกระเป๋าหยิบผ้าเช็ดตัวออกมาแล้วถอดเสื้อ ขยับถอดเข็มขัดแล้วรูดซิปกางเกง
“ว้าย”
เตชิตสะดุ้งเฮือก รีบรูดซิปขึ้นแล้วหยิบปืนและไฟฉายออกมาจากกระเป๋าเสื้อผ้ากวาดตามองไปทั่ว
เตชิตเดินไปที่ประตูแล้วค่อยๆ เปิดออก
เตชิตจับปืนกระชับ แล้วค่อยๆ ก้าวออกมานอกบ้าน เดินเลี้ยวซ้ายแลขวาอย่างระมัดระวัง มือถือปืนและไฟฉายค่อยๆ กราดไปทางโน้นทีทางนี้ทีแต่ก็ไม่เห็นใคร จนกระทั่งมีเสียงๆ หนึ่งดังขึ้น
“คุณเตชิตครับ”
เตชิตสะดุ้งแล้วหันขวับมาจึงเห็นสมขี่จักรยานมาจอดอยู่ที่รั้ว
“ลุงสมเล่นเอาตกใจหมด”
“ถือปืนออกมาทำไมครับ แล้วไม่หนาวหรือนั่น”
“พอลุงถามก็หนาวเลย เมื่อกี้ลุงเห็นผู้หญิงอยู่แถวนี้หรือเปล่า”
“ผู้หญิงที่ไหนครับ” สมทำหน้างง
“ก็ถ้ารู้ผมจะถามลุงหรือครับ หรืออาจจะเป็นแม่บ้านของรีสอร์ท”
“โอ๊ย...ป่านนี้ไม่มีใครมาเดินอยู่หรอกครับ ช่วงนี้ยังไม่ค่อยมีแขกมาพักด้วย” เตชิตมองเลยไปที่บ้านหลังถัดไป สมมองตาม “หลังนั้นไม่มีคนมาพักหรอกครับ ตอนนี้มีแขกอยู่สองหลังเอง อยู่ตรงต้นทางโน่นแน่ะครับ”
เตชิตเกาหัวแล้วชะเง้อมองไปโดยรอบ
เตชิตเดินกลับเข้ามาในห้องแล้วล็อคประตูแน่นหนา ก่อนจะเดินมาที่เตียงวางปืนและไฟฉายไว้ที่หัวนอน เตชิตหยิบผ้าเช็ดตัวขึ้นมามองไปโดยรอบอย่างระแวงอีกครั้ง ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป
เวลาผ่านไป...ท่ามกลางบรรยากาศภายนอกที่วังเวง เตชิตนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงแต่มีใครคนหนึ่งเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ๆ ทีละน้อยจนชิดเตียง ระหว่างนั้นมีไอเย็นยะเยือกกระทบขาเตชิตจนเตชิตต้องดึงผ้าห่มกระชับอีกทั้งๆ ที่ยังหลับ
“คุณ...คุณได้ยินฉันไหม” เสียงหญิงสาวกระซิบถามแผ่วๆ เย็น ๆ เตชิตสะบัดแขนไล่ความเย็นแล้วพลิกตัวไปอีกข้าง “คุณ คุณ ตื่นมาคุยกันหน่อย”
“คราย”
เตชิตถามทั้งที่ยังไม่ลืมตา ครึ่งหลับครึ่งตื่น
“ลืมตาขึ้นซิ ไม่ต้องกลัวฉัน ลืมตา”
เตชิตลืมตาขึ้นแล้วสะดุ้งเฮือก ตัวแข็งตาค้าง พูดอะไรไม่ออกเมื่อเห็นร่างๆ หนึ่ง บางเบาลอยล่องไปมาออกท่าทางประกอบคำพูดที่ฟังไม่ได้ศัพท์ เตชิตอ้าปากพยายามจะพูด แต่ก็พูดไม่ออก ร่างนั้นลอยเข้ามาใกล้อีกครั้ง ผมยาวพริ้วใกล้เสียจนเตชิตค่อยๆ เอื้อมมือไปสัมผัส
“ผมนิ่มจัง”
“ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย”
หญิงสาวยื่นมือทั้งสองมาจะฉุดดึงให้เตชิตลุกขึ้น เตชิตจับแขนนั้นแล้วดึงร่างที่ลอยอยู่เข้ามาในอ้อมแขนร่างนั้นตกใจทีแรก แล้วกลับโกรธเกรี้ยวพยายามดิ้นแล้วทุบตีเตชิต แต่เตชิตกอดร่างนั้นแน่น แล้วหลับตาลงอย่างมีความสุข หน้าตาเตชิตเหมือนความรู้สึกครึ่งหลับครึ่งตื่นแล้วเลื่อนไหลไปสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง
เช้าวันรุ่งขึ้นจุรีขี่จักรยานมาจอดหน้าบ้านพักเตชิต จุรีลงจากจักรยานมองบ้านพักอย่างสยอง
“จับไข้หัวโกร๋นซะแล้วก็ไม่รู้”
จุรีค่อยๆ เดินไปที่ประตูแล้วไขกุญแจ จากนั้นก็ยื่นหน้าเข้ามาก่อน
“ตะลัดตั๊ดต๊า อย่ามาหลอกหลอนป้าเลยนะคะ”
ทุกอย่างเงียบสงบ จุรีเหลียวซ้ายแลขวาแล้วเดินมาเคาะประตูห้องนอน
“คุณเตคะ คุณเต”
ทุกอย่างเงียบสนิท
“คุณเตห่าง คุณเต”
ประตูขยับเปิดแง้มออก จุรีค่อยๆ ผลักเข้าไป
จุรีเข้ามาในห้อง ค่อยๆ ปิดประตูเบาๆ แล้วหันกลับมาจึงเห็นเตชิตนอนตะแคงหันหลังให้ จุรีค่อยๆ ย่องไปอีกด้านแล้วจ้องมองเต แล้วเอื้อมมือมาจะปลุกขณะนั้นเตชิตขยับตัวเล็กน้อยภาพในภวังค์ของเตชิตมีแขนดำๆ เกร็งๆ เอื้อมมาที่คอ เตชิตลุกพรวดร้องลั่น
“ช่วยด้วย”
จุรีตกใจหงายท้อง
“ว้าย” เตชิตหายใจแรงด้วยความตกใจ เช่นเดียวกับจุรีที่ถอนใจเฮือก “คุณเต ป้าเกือบหัวใจวายแน่ะ”
“ป้าเข้ามาได้ยังไง”
“ก็ประตูเปิดอยู่นี่คะ ทีแรกยังคิดว่าคุณเตเดินมาเปิดให้”
เตชิตลุกขึ้นเดินไปที่ประตู
“เป็นไปไม่ได้ ผมล็อคเองกับมือ” คำตอบนี้ทำให้จุรีทำหน้าเหมือนหวาดกลัวสุดๆ รีบออกไปทันที
“ป้า อะไรวะ”
เตชิตเกาหัวอย่างงๆ
เตชิตมานั่งคุยกับศรีตรังที่นั่งกินกาแฟอยู่ในสวนของรีสอร์ท
“เมื่อคืนฝันว่าได้นอนกอดผีแม่หม้าย”
เตชิตบอก ศรีตรังสำลักกาแฟแล้ววางถ้วยลง
“ไอ้โรคจิต”
เตชิตหัวเราะ แล้วสีหน้าเปลี่ยนเป็นจริงจังขณะถามว่า
“ที่บ้านนั้นเคยมีคนตายหรือเปล่า”
“ไอ้เตห่าง แกอย่ามาแช่งรีสอร์ทฉันนะ เดี๋ยวแม่สาดด้วยกาแฟเลยนี่”
“เฮ้ย...ฉันพูดจริงๆ เมื่อคืนฉันฝันเป็นจริงเป็นจังมาก”
เตชิตบอกแล้วชะงักเมื่อเห็นอ้อยในชุดกางเกงขาสั้นเสื้อสายเดี่ยว เดินนวยนาดถือจานขนมเข้ามาวาง อ้อยสบตาหวานให้เตชิตขณะวางขนมลง
“เค้กมะตูมค่ะ อ้อยทำเอง”
ศรีตรังกระแอม เตชิตรู้สึกตัว ทำหน้าเคร่งแล้วยกกาแฟดื่ม
“ขอบใจจ้ะ”
ศรีตรังบอกแล้วมองหน้าอ้อยหมือนจะบอกว่า “ไปได้แล้ว” แต่อ้อยทำไม่รู้ไม่ชี้
“ลองชิมหน่อยซิคะ อ้อยจะได้รู้ว่ารสชาดกลมกล่อมดีหรือยังต้องเพิ่มหรือลดอะไรบ้าง”
“อ้อย”
“ขา”
“ไปได้แล้ว”
“ค่ะ” อ้อยแอบไม่พอใจขณะหันหลังเดินออกมา “นังทอมหวงก้าง”
อ้อยบ่นขมุบขมิบอย่างฉุนๆ เตชิตมองตามอ้อยแว่บหนึ่งแล้วหันกลับมา
“ใครวะ”
ศรีตรังยังไม่ยอมบอกว่าอ้อยเป็นใครจนกระทั่งเตชิตต้องขับรถให้เธอนั่ง ระหว่างศรีตรังออกไปตรวจนงานในรีสอร์ท
“อ้อยใจเป็นลูกบุญธรรมของป้าจุรี น่าจะเป็นลูกของญาติห่างๆ เซ็กซี่สะบัด”
“ใคร ป้าจุรีหรืออ้อยใจ”
“ไอ้บ้า”
ศรีตรังพูดพลางฟาดโครม เตชิตหลบพลางหัวเราะ
“ระวัง”
เสียงดังขึ้นอย่างตกใจ เตชิตหันกลับไปมองแล้วเบิกตากว้างเมื่อเห็นมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งพุ่งมาล้มตรงหน้าพอดี เตชิตเหยียบเบรคทันทีทั้งตัวเองและศรีตรังหัวทิ่ม ในขณะที่มอเตอร์ไซค์ พุ่งเสียหลักเข้าไปในดงไม้คนขับกลิ้งตกจากรถร้องลั่น
“โอ๊ย”
ศรีตรังและเตชิตรีบลงไปดู
“เป็นไงบ้าง”
“อูย เจ็บครับ”
“เมาหรือไง ถึงได้ขับรถตัดหน้า”
“เปล่าครับนาย แต่อยู่ดีๆ รถมันก็เบรคไม่อยู่”
“ขึ้นรถ จะได้ไปทำแผล”
คนงานกระเผลกมาที่รถ เตชิตช่วยพยุงขึ้นรถ
“ขอบคุณครับ”
เตชิตเดินมาขึ้นที่คนขับ ขณะที่ศรีตรังขึ้นรถเช่นกัน
“เกือบไป”
“ถ้าแกไม่ร้องเตือนละก็ มีหวังแบนเต๊ดแต๋”
ศรีตรังหันขวับมามอง
“ฉันเปล่า”
“แกบอกว่า “ระวัง”
“เฮ้ย เปล่าจริงๆ”
“แกไม่ร้องแล้วใครร้อง”
“ไอ้เต แกทำใหฉันขนลุกแล้วนะเนี่ย”
เตชิตขับรถออกไปด้วยสีหน้าครุ่นคิด เตชิตขับรถผ่านมาถึงหน้าบ้านพัก
“จอด” ศรีตรังร้องบอก เตชิตเบรครถทันที “แกไปพักเถอะ ฉันจะขับต่อเอง”
“ไม่เป็นไร ฉันขับได้”
“เดี๋ยวส่งเช้านี่แล้ว ฉันจะเลยไปธุระต่อ”
“ฉันไปเป็นเพื่อน”
“ไม่ต้อง ถ้าต้องการอะไรก็บอกป้าจุรีละกัน”
“แน่ใจนะว่าไม่ให้ฉันไปด้วย” ศรีตรังถามย้ำอีก
“เออ”
เตชิตลงจากรถ ศรีตรังขยับไปนั่งที่คนขับแทน
“ขอบใจนะ”
“ระวังผีแม่หม้ายของแกก็แล้วกัน”
ศรีตรังหัวเราะแล้วขับรถออกไป
“บ้า” เตชิตด่าตามหลังแล้วหันกลับจะเดินเข้าบ้านแต่ต้องชะงัก “เฮ่ย ผีไม่มีในโลก”

เตชิตสะบัดหัว เดินเข้าบ้านอย่างสง่าผ่าเผย

อ่านต่อหน้า 2





ปางเสน่หา ตอนที่ 1 (ต่อ)

เตชิตก้าวเข้ามาในบ้านแล้วห่อตัวเมื่อรู้สึกมีไ อเย็นเข้ามาปะทะ

“ผีไม่มีในโลก”
เตชิตพึมพำปลอบใจตัวเองแล้วปิดประตู เดินมาเปิดทีวี เตชิตรู้สึกเหมือนมีใครคนหนึ่งจ้องมองอยู่
จึงค่อยๆ หันไปมองโดยรอบแต่ทุกอย่างเงียบสนิทชวนวังเวง
“นอนดีกว่า”
เตชิดลุกไปปิดทีวี แล้วเดินเข้าห้องนอน
เตชิตก้าวเข้ามาในห้องนอนปิดประตูแต่พอหันกลับมาเตชิตก็ต้องสะดุ้งโหยงเบิกตากว้าง
“เฮ้ย”
เตชิตร้องด้วยความตกใจเมื่อเห็นร่างใครคนหนึ่ง หันหลังก้มๆ เงยๆ อยู่ที่กระเป๋าเสื้อผ้า ร่างนั้นค่อยๆ หันกลับ เป็นหญิงสาวสวย ดูขาวซีด เธอเบิกตากว้างมองเตชิตอย่างตระหนกเช่นกัน
“คุณเห็นฉัน หรือคะ”
เตชิตหายตกตะลึงหันไปเปิดประตูจะวิ่งออกไปด้วยความหวาดกลัวแต่ชนโครมกับประตู หญิงสาวยกมือปิดปาก
“อุ๊ย”
เตชิตลืมความเจ็บเผ่นออกไปทันที
“คุณ คุณคะ”
หญิงสาวลอยมาที่ประตู แต่เตชิตวิ่งออกไปข้างนอกแล้ว
เตชิตวิ่งแน่บออกมาอย่างไม่คิดชีวิต หลังจากวิ่งมาได้สักพักเตชิตจึงหยุดพักด้วยความเหนื่อย ระหว่างนั้นมีมือๆ หนึ่งขาวซีดเอื้อมมือมาสะกิดหลัง
“คุณคะ”
เตชิตหันขวับมา แล้วเบิกตากว้าง
“ผีหลอก”
“ว้าย” หญิงสาวตกใจกระโดดเข้ากอดเตชิตแน่น “ช่วยด้วย ฉันกลัวผี”
เตชิตเป็นลมหมดสติทันที ขณะที่หญิงสาวนอนกอดเตชิตแน่นหลับตาปี๋ด้วยความตกใจครู่หนึ่ง จึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นทีละข้าง หญิงสาวค่อยๆ เหลือบตาดูโดยรอบ พบแต่ความว่างเปล่าเธอจึงถอนใจเฮือก แล้วลุกขึ้นคุกเข่าข้างๆ เตชิต
“คุณคะ ไม่มีผีแล้วค่ะ ผีไปแล้ว” เตชิตค่อยๆ ลืมตาขึ้นแล้วเบิกตาโพลงเมื่อเห็นหน้าขาวซีดตรงหน้า
“ผีไปแล้วค่ะ”
เตชิตคอพับคออ่อนเป็นลมไปอีกครั้ง
“คุณ...คุณคะ...คุณยังเห็นผีอีกหรือคะ” หญิงสาวพูดเสียงสั่นตะกุกตะกัก ทุกอย่างเงียบสนิท หญิงสาวค่อยๆ เบือนหน้าไปมองอย่างหวาดๆ แล้วถอนใจโล่งอก “ไม่เห็นมีผีสักหน่อย ทำไงดี”
หญิงสาวถอยมาทรุดตัวลงนั่งพิงต้นไม้ใหญ่เฝ้าเตชิต
ระหว่างนั้นศรีตรังขับรถเข้ามาในตัวเมืองและแวะซื้อของที่ห้างแห่งหนึ่ง ศรีตรังเดินมาเรื่อยๆ หาซื้อของในที่สุดก็เดินเข้าไปในร้านหนังสือ ขณะเดินเลือกหนังสือศรีตรีงก็ต้องชะงักเบิกตากว้างด้วยความดีใจ เมื่อเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังหยิบหนังสือเกี่ยวกับรถมาเปิดดูอย่างสนใจศรีตรังรีบเดินเข้าไปหา
“พี่เพชร” ชายหนุ่มสะดุ้ง เดินมามอง “ใช่พี่เพชรจริงๆ ด้วย” ชายหนุ่มมีสีหน้าเหมือนงงๆ หันไปมองโดยรอบ “พี่เพชร จำศรีไม่ได้เหรอ”
“เพชรไหนครับ คุณคงจำคนผิดแล้ว”
“ไม่ผิด”
“พอลขา” พอลหันไปทางเสียงนั้นเช่นเดียวกับศรีตรังจึงเห็นสาวสวยแต่งตัวเรียบหรูดูดี เดินตรงมาพร้อมหนังสือแต่งบ้านในมือ “พอลดูนี่ซิคะ”
สาวสวยชะงักเมื่อเห็นศรีตรังยืนอยู่กับพอล เธอถามเหมือนแสดงความเป็นเจ้าของนิดๆ
“ใครคะ”
“ไม่รู้จัก เธอจำคนผิด”
ศรีตรังสะอึก กล้ำกลืนความน้อยใจลงไป
“ขอโทษค่ะ ฉันคงจำผิดจริงๆ ผู้ชายคนนั้นเขาอ่อนโยนแล้วก็ใจดี กว่าคุณเยอะ”
ศรีตรังเดินออกไป พอลมองตามด้วยดวงตาเป็นประกายแว่บหนึ่ง
“พอลดูนี่ซิคะ แซนดี้ชอบวิธีแต่งบ้านแบบนี้จัง”
พอลรู้สึกตัว ทำก้มลงมองด้วยความสนใจ
“ไหนครับ”
ศรีตรังเดินหอบของพะรุงพะรังมาที่รถด้วยสีหน้าหงุดหงิด ศรีตรังเปิดท้ายรถโยนของเข้าไปแล้วปิดก่อนจะเดินมานั่งที่คนขับ
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นพอลก็กำลังเปิดประตูรถหรู ให้แซนดี้เข้าไปนั่งแล้วตัวเองเข้าไปนั่งด้านคนขับ
...ศรีตรังขับรถออกมาค่อนข้างเร็วด้วยความหงุดหงิดจังหวะเดียวกับที่พอลขับรถออกมาพอดี รถของศรีตรังจึงชนโครมเข้ากับรถของพอล
“ว้าย”
แซนดี้ร้องด้วยความตกใจ พอลเปิดประตูรถก้าวลงไป ศรีตรังก้าวลงจากรถเช่นกัน...พอลและศรีตรังต่างชะงักในขณะที่แซนดี้เปิดประตูตามลงมาอย่างหงุดหงิด
“ขับรถประสาอะไร”
แซนดี้ต่อว่าศรีตรัง ศรีตรังสวนกลับทันที
“ประสาคน”
“ว้าย ยัยเอ๋อเมื่อกี้นี้เอง แซนดี้จำได้ค่ะพอล”
“ว้าย แต่เส้นดีจำไม่ได้ค่ะพอล” ศรีตรังเน้นเสียงแดกดันตรง “พอล” “แซนดี้หรือจะมาสู้เส้นดี”
ศรีตรังยักคิ้วกับแซนดี้
“คนบ้า”
“ไม่มีมารยาท”
พอลต่อว่า ศรีตรังตาวาว
“อะไรนะ”
“พ่อแม่ไม่สั่งสอนด้วย”
แซนดี้ต่อว่าต่อ
“อ๋อ ก็ท่านเสียไปหมดแล้วนี่จะสั่งสอนได้ยังไง แต่ที่แน่ๆ ก่อนเสียท่านสอนฉันไม่ให้ดัดจริตดีดดิ้นวี๊ดว้าย ผู้ชายคะ ผู้ชายขา”
“พอลขา มันด่าแซนดี้”
“อ้าว ยอมรับแต่โดยดีเสียด้วย”
“พอล”
“อย่าไปถือคนบ้า อย่าไปว่าคนเมา”
“อ้าว ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ “พอล”
“เรียกประกันมา จะได้หมดเรื่องหมดราว” พอลตัดบท
“ประกันฉันหมดอายุ ยังไม่ได้ทำพิธีสืบชะตาต่อเลย “พอล”
พอลเริ่มหัวเสีย
“ไม่มีเงินละซี” แซนดี้บอกอย่างดูถูก
“มี เยอะด้วย”
“แล้วทำไม...”
“อย่าไปต่อความยาวสาวความยืด เรียกตำรวจดีกว่า”
“ดีเหมือนกันละ พอล! เรียกมาเดี๋ยวนี้เลย “พอล” ฉันจะได้กลับบ้านเสียที”
พอลมองศรีพลางขบกรามแน่น ในขณะที่แซนดี้จ้องศรีตรังเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ โดยศรียืนกอดอกพิงรถทำหน้าระเหย
เมื่อตกลงกับศรีตรังได้แล้วพอลจึงขับรถจากมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแซนดี้ชำเลืองมองแว่บหนึ่ง
“ยัยบ้านั่นจงใจจะหาเรื่องคุณนะคะ พอลแซนดี้สงสัยว่ามันจะติดใจคุณ”
“ผมไม่ใช่พระเอก”
“ถึงไม่ใช่ก็คล้ายกันละค่ะ ฮึ รถไม่มีประกัน คุณก็เลยต้องเทียวไปเทียวมา”
“แซนดี้ ผมไม่จำเป็นต้องเทียวไปเทียวมาก็แค่เอารถเข้าซ่อม แล้ว...” พอลหยุดไปนิดหนึ่ง “เขาก็จ่ายเงินให้เท่านั้นเอง”
“พอลหงุดหงิดแม่นั่น แล้วเลยพาลมาถึงแซนดี้”
แซนดี้บีบน้ำตาพอลไม่พูดอะไร แล้วขับรถไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
พอล
ขับรถมาส่งแซนดี้ที่บ้านน้าของเธอ แซนดี้เอาน้ำแครอทมาวางตรงหน้าพอลแล้วทรุดตัวลงนั่ง
“น้ำแครอทเพื่อสุขภาพค่ะ น้าอิ่มกำลังอบพายองุ่นให้”
พอลเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ
“ผมต้องรีบกลับ”
“ไม่ได้นะคะ เดี๋ยวน้าอิ่มเสียใจแย่”
“เอาไว้วันหลังก็แล้วกันครับ ยังไงผมก็ต้องมาที่นี่อีก เพราะคู่กรณีผมอยู่ที่นี่”
“แหม...นึกว่าต้องมาเพราะแซนดี้อยู่ที่นี่อีก”
“ก็ทั้ง 2 อย่างเลยครับ”
“มาแล้วค่ะ พายองุ่น”
พอลหันไปมองเห็นอิ่มถือถาดวางจานพายองุ่นออกมา
“สวัสดีครับ น้าอิ่ม”
“สวัสดีค่ะ คุณพอล”
“น้าอิ่มขา พอลเขาจะรีบกลับ ไม่ยอมทานขนมของน้าอิ่ม”
“อ้าว ทำไมล่ะคะ น้าอิ่มนึกว่าจะอยู่รับประทานอาหารเย็นด้วยกันอีก”
“วันนี้เห็นจะไม่ได้จริงๆ ครับ ผมมีธุระต้องกลับถึงกรุงเทพฯ ก่อนค่ำ”
“แหม เลยเสียความตั้งใจของน้าอิ่มหมดเลย แต่คราวหน้าจะต้องอยู่ทานข้าวเช้า กลางวัน เย็นด้วยกันนะคะ จะพักที่นี่หรือที่รีสอร์ทใกล้ๆ ก็ได้”
“ตกลงครับ ผมกินพายอันนึงก็แล้วกัน” พอลหยิบพายเข้าปาก “อร่อยมากครับ ผมลาละ”
พอลยกมือไหว้ลาอิ่ม
“อย่าลืมสัญญานะคะ”
“ครับ”
พอลเดินออกไป แซนดี้หันหน้ามาหลิ่วตากับอิ่มแล้วตามพอลออกไป
พอลกับแซนดี้เดินมาที่รถ แต่แซนดี้อ้อยอิ่งไม่อยากให้พอลไป
“ผมไปละ”
“แซนดี้ชักไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว อยากกลับไปอยู่กรุงเทพอย่างเดิมนี่ถ้าน้าอิ่มไม่จ้างให้มาอยู่ด้วยเดือนละ 3หมื่นแซนดี้ก็ไม่อยู่เหงาจะตาย”
“งานสบายอย่างนี้หาที่ไหนได้ น้าอิ่มแกรักแซนดี้ออก”
“ก็เพราะอย่างนั้นน่ะซีคะ แซนดี้ถึงได้มา”
“ผมไปก่อนละ”
“แล้วโทรมาหาแซนดี้นะคะ”
“ครับ”
พอลขับรถออกไป แซนดี้โบกมืออย่างชดช้อย
ส่วนที่รีสอร์ทสุขศรีตรัง ศรีตรังขับรถเข้ามาจอดแล้วเปิดประตูรถลงมาขณะที่จุรีเดินกระฉับกระเฉงออกมารับ
“อะลัดตั๊ดต๊า กลับมาแล้วหร๋อคะ”
“ก็ถ้าไม่กลับ ศรีจะมายืนตรงนี้ได้ยังไง”
“พูดอีกก็ถูกอีกค่ะ เอ๊ะ! แล้วนี่รถคุณศรีไปจุมพิตกับรถใครมาคะ”
ศรีตรังหันขวับมาทันทีจนจุรีสะดุ้ง
“ไม่ได้จุมพิต รถศรีไปตบกับรถ “พอล” มา”
“พอน” ไหนคะ”
“พังพอนมั้ง!”
ศรีตรังหอบข้าวของเข้าบ้าน จุรีรีบตามเข้าไป โดยช่วยหอบถุงด้วย
“ไอ้เตล่ะคะป้า” ศรีตรังถามเมื่อเข้ามาในบ้าน
“เอ! ไม่เห็นเลยค่ะ คงจะนอนพักอยู่ที่รีสอร์ทมั้งคะ อากาศดีๆ แบบนี้”
“ปล่อยให้มันพักให้สบายเถอะ มาคราวนี้ ท่าทางจะเครียดมาก”
ขณะที่ศรีตรังเข้าใจว่าเตชิตนอนพักอยู่ที่บ้านพัก เตชิตเพิ่งจะรู้สึกตัวหลังจากสลบไปนาน เตชิตลืมตาขึ้นแล้วรีบหลับลงมา ก่อนจะค่อยๆ หรี่ตาขึ้นใหม่แล้วค่อยๆ มองไปโดยรอบจนกระทั่งเห็นว่าบริเวณนั้นปราศจากผู้คน เตชิตจึงค่อยๆ ลุกขึ้นมือจับพระห้อยคอขึ้นกุมพนม
“เจ้าประคู้น คุณพระคุณเจ้าช่วยปกป้องลูกจากวิญญาณพวกสัมภเวสีด้วยเทิ้ด”
เตชิตมองซ้ายขวาหน้าหลังอีกครั้ง แล้วจึงค่อยๆ เดินออกไป
เตชิตเดินแกมวิ่งเหลียวซ้ายแลขวามาจนถึงหน้าบ้านพัก มือยังกุมพระแน่น เมื่อมาถึงบ้านพักประตูบ้านยังคงเปิดอ้าอย่างเดิม เตชิตพนมมือทำปากขมุขมิบไหว้พระอีกทีแล้วสูดลมหายใจยาวเรียกความมั่นใจก่อนจะค่อยๆ เดินเข้าบ้าน
เตชิตเดินย่องๆ เข้ามาอย่างระมัดระวัง พลางถอดสร้อยออก ยื่นซ้ายที ขวาที หน้าที หลังที เพื่อกันผีจนกระทั่งเข้ามาในห้องนอน เตชิตเดินชูสร้อยซ้ายที ขวาที ไปรอบตัวจนมาถึงเตียงจึงทรุดตัวลงนั่งแล้ว
ค่อยๆเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ที่วางไว้หัวเตียง
“ผีไปแล้วหรือคะ”
เตชิตทะลึ่งพรวด โทรศัพท์ตกจากมือ
“เฮ้ย!”
เตชิตหันขวับไปมอง จึงเห็นหญิงสาวยืนอยู่ข้างหลัง หน้าตายังตื่นๆ ด้วยความกลัว รัศมีสีขาวสว่างไสว
“ผี...เอ๊ย...เขา...ไปแล้วหรือคะ” หญิงสาวถามอย่างกระตือรือร้น เตชิตทำสีหน้าเหมือนจะร้องไห้เสียให้ได้ ดวงตายังจับจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าจนเธอชักจะหน้าเสีย “ยัง...ยังอยู่...หรือคะ” เตชิตค่อยๆ พยักหน้าด้วยสีหน้าเดิม หญิงสาวสะดุ้ง หน้าเสียหนักเข้าไปอีก “อยู่...อยู่...ไหนคะ”
เตชิตค่อยๆ ยกมืออันสั่นเทาชี้ไปที่หญิงสาว หญิงสาวกรีดร้องด้วยความตกใจกระโจนเข้ามา อ้าแขนจะกอดเตชิตเพื่อยึดเป็นที่พึ่ง เตชิตร้องลั่นด้วยเสียงดังและความตกใจพอๆ กัน พร้อมกับหันหลังจะวิ่งออกไปแต่ชนกับประตูโครมล้มลง ในขณะที่หญิงสาวซึ่งผวาตามกลับทะลุผ่านประตูออกไปได้ เตชิตมองตามเบิกตากว้างด้วยความตกใจสุดๆ
หญิงสาววิ่งผ่านประตูออกมายืนอยู่หน้าบ้านพักแล้วหันไปมองหาเตชิต
“อ้าว...หายไปไหนแล้ว”
ขณะนั้นเตชิตกำลังปีนหน้าต่างห้องนอนออกมา ปากก็สวดมนต์ มือกำพระแน่น
“นะโมพุทธายะ ...ฯลฯ”
เตชิตเหลียวซ้ายแลขวาแล้วค่อยๆ ย่องออกไปจากที่นั้น
หญิงสาวเดินกลับเข้ามาในห้องนอน แล้วเหลียวมองหาเตชิตโดยรอบ
“คุณ...คุณคะ...” หญิงสาวเดินไปโผล่หน้าต่าง แต่ไม่เห็นใคร “หายไปไหนเร็วจัง หรือว่า...หรือว่า...เขาเป็นผี” หญิงสาวเดินมาทรุดตัวลงนั่ง “เป็นผีแล้วทำไมกลัวผี หรือว่ายังไม่รู้ตัวว่า...ตายแล้ว” สีหน้าหวาดกลัวของหญิงสาวค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเวทนาสงสาร แสงโดยรอบเปลี่ยนเป็นสีเทาหม่นมัว “โถ...น่าสงสารจังเลย”
ขณะนั้นคนงานของศรีตรังกำลังขี่มอเตอร์ไซค์จะกลับบ้านพักและเตชิตกำลังวิ่งหลับหูหลับตาหนีมาและโผล่ออกมาตัดหน้าระมอเตอร์ไซค์คนงานเบิกตากว้าง เบรคเต็มที่ตัวเอ็งกระเด็นไปกระแทกพื้นร้องลั่น ส่วนเตชิตหยุดวิ่งหันมามองด้วยความตกใจ
เวลาผ่านไป...เตชิตเป็นฝ่ายขี่มอเตอร์ไซค์ คนงานนั่งซ้อนท้ายพลางร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด
“โอย...อูย...โอย...อูย...เจอคุณทีไร ผมเจ็บทุกที อูย...โอย...”
“เฮ้ย ขอโทษจริงๆ ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันไม่ได้ตั้งใจทำเลยจริงๆ นะ”
“ผมก็ไม่ได้อยากตั้งใจเจ็บเลย อูย ไม่ได้ตั้งใจเจ็บเลยจริงๆ อูย”
“อดทนหน่อย เดี๋ยวก็ถึงแล้ว”
เตชิตขี่ต่อไปโดยคนงานยังคงโอดครวญ
ขณะนั้นหญิงสาวยังอยวู่ที่บ้านพักเตชิต หญิงสาวเดินกลับไปกลับมาช้าๆ ด้วยสีหน้าท่าทางครุ่นคิด
“จะหาวิธีช่วยเขาได้ยังไง ไอ้เราก็กลัวผีเสียด้วย มิหนำซ้ำยังเอาไม่รอดเลย” หญิงสาวเดินกลับมาทรุดตัวลงนั่ง นึกถึงเตชิตตอนกำพระแน่น “แต่ทำไมเขาถึงไม่กลัวพระ เป็นผีก็ต้องกลัวพระซิ” หญิงสาวลุกเดินกลับไปกลับมาใหม่ “แปลก ยิ่งคิดยิ่งแปลก ที่นี่มีอะไรแปลกๆ เต็มไปหมด”
เตชิตพาคนงานมาบ้านพักศรีตรัง จุรีกับสมช่วยกันทำแผลให้คนงานซึ่งยังร้องโอดโอยไม่หยุด
โดยมีศรีตรังยืนกอดอกมองอยู่กับเตชิต
“ไอ้เวรเอ๋ย ฉันว่าแกเปลี่ยนชื่อดีกว่าว่ะ”
“ทำไมจะต้องเปลี่ยน” เตชิตถามอย่างแปลกใจ
“ก็มันชื่อ ไอ้เวร” เตชิตสะดุ้ง
“คนอะไรวะ ชื่อ ไอ้เวร”
“ความจริงมันชื่อ จอห์น เวนิน ปู่มันเป็นแฟนหนังเคาบอย เลยตั้งชื่อตามพระเอก จอห์น เวนิน แกรู้จักหรือเปล่า”
“ไม่รู้จัก แต่เคยได้ยินชื่อ”
“เออ นั่นแหละ ที่นี่ไม่มีใครเรียกว่า จอห์น เวนินหรอก แต่เรียกว่ากรรม...เวร แทน!”
“อ้อ”
ศรีตรังหันมามองเตชิตเต็มตา
“ไหน เมื่อกี้แกบอกว่ามีเรื่องตื่นเต้นอะไรจะเล่าให้ฟัง”
“ไม่ใช่ตื่นเต้น แต่มันน่ากลัวชนิดขนหัวลุก”
ศรีตรังยืนท้าวสะเอวฟังเตชิตเล่าเรื่องผีที่เจอที่บ้านพัก
“มีเหรอ”
ศรีตรังทำหน้าไม่เชื่อ
“เออ สาบานให้แกถูกหักคอตายได้เลยว่า ฉันเห็นเต็ม 2 ลูกกะตา เป็นผีผู้หญิงสาวสวย อายุยังไม่มากเท่าแก อ้อ แล้วขนาดเป็นผีก็ยัง...”
“ไอ้เต ถ้าแกเอาฉันเข้าไปเอี่ยวด้วยอีกครั้ง รับรองว่าหัวแบะแน่”
ศรีตรังคว้าไม้เบสบอสตั้งท่าตีประกอบ
“ฉันกำลังจะพูดว่า ขนาดเป็นผีก็ยังสวยพอๆ กับแก”
“ฉันเนี้ยนะสวยพอๆ กับผี”
“ถ้ามองดีๆ ผีอาจจะสวยกว่านิดนึง”
“ไอ้เต”
ศรีตรังเตรียมทุ่ม จุรีเข้ามาพอดี
“อะลัดตั๊ดตา ช้าก่อนค่ะ ช้าก่อน”
จุรีถือถาดเครื่องปฐมพยาบาลทั้งหลายแหล่เข้ามาด้วย
“ช้าได้ไงป้า ไอ้เตมันหาว่าผีที่บ้านพักมันสวยกว่าศรี”
ถาดเครื่องปฐมพยาบาลตกจากมือจุรี ข้าวของกระจาย โดยจุรียืนมือยกท่าถือของค้างอยู่อย่างนั้น
“ผะ...ผะ...ผีที่...ที่ไหนนะค้า”
จุรีถามเสียงแหบแทบเป็นกระซิบ
“ก็ผีที่บ้านพัก” ศรีตรังชะงัก “เฮ้ย จริงด้วย ป้าจุเคยบอกว่าเห็นผีที่นั่น ป้าจุได้เพื่อนตาถั่วเหมือนกันแล้ว ไอ้เตมันก็เจอจ้ะป้า”
“คุณเห็นผีคุณหนูเผือกหรือคะ”
เตชิตพยักหน้า แววตาพิศวง
“ป้าก็เห็นหรือครับ”
“ค่ะ ตัวเธอขาวซีด ป้าเลยเรีกยว่า คุณหนูเผือก”
“เขาพยายามจะพูดอะไรบางอย่างกับผม”
“เหมือนกันเลยค่ะ แต่พอเธออ้าปาก ป้าก็เผ่นแน่บ ตอนหลังเลยต้องจุดธูปบอกเธอว่า อย่ามาหลอกมาหลอนป้าเลย”
“ศรี แกมีธูปเทียนมั้ย”
เตชิตหันมาถามศรีตรัง
“ไม่ต้องทำหรอกค่ะ เพราะเธอก็ยังปรากฏตัวตลอด” จุรีบอก
“อ้าว”
“ตอนหลัง ป้าต้องขอให้คนอื่นไปทำความสะอาดแทน ถ้าหากมีความจำเป็นจริงๆ จะต้องเข้าไป ป้าจะต้องร้องว่า “อะลัดตั๊ดต๊า” ให้เสียงก่อน เธอจะได้ไม่ปรากฏตัวพรวดพราดขึ้นมาให้ป้าหัวโกร๋น”
“โห! คุยกันเป็นเรื่องเป็นราวเลย”
ศรีตรังเพิ่งหาจังหวะแทรกได้ เตชิตหันมา
“ฉันขอย้ายบ้านพัก”
“ถามจริง”
เตชิตพยักหน้าหนักแน่น
“ตอบจริง”
ศรีตรังให้เตชิตย้ายมาพักที่บ้านพักอีกครั้ง เธอเดินนำเตชิตเข้ามาในบ้านโดยมีสมถือกระเป๋าตาม ปิดท้ายด้วยจุรีที่ถือธูปพร้อมพวงมาลัยปิดท้ายขบวน จุรีและสมวางของแล้วช่วยกันเปิดหน้าต่างประตู สมเดินออกไปดูข้างนอก
“เป็นไง พอใจมั้ย”
ศรีตรังหันมาถามเตชิต
“เหมือนหลังเก่าเปี๊ยบ ทำไมแกไม่สร้างบ้านหลายๆ แบบวะ มันจะได้ดูแตกต่าง”
“น้อยหน่อย บ้านพักในรีสอร์ทมันก็เหมือนบ้านจัดสรรนั่นแหละ ถ้าแกอยากได้ที่มันแตกต่างก็ปลูกเองซิ”
“ไม่ว่ะ เสียดายเงิน”
ศรีตรังแทงศอกเข้าสีข้างเตชิตฉุนๆ สมเดินกลับเข้ามา
“ข้างนอกปลอดภัยดี ไม่มีผีเลยครับ”
“แต่เพื่อความปลอดภัย คุณเตห่างอย่าลืมจุดธูปบอกเจ้าที่เจ้าทางแล้วก็ถวายพวงมาลัยด้วยนะคะ” จุรีบอก
“ครับป้า ขอบคุณมาก”
“เรียบร้อยแล้ว ฉันไปก่อนนะ หวังว่าผีคุณหนูเผือกคงไม่ตามแกมาที่นี่อีก”
“ไอ้ศรี หยุดตอกย้ำเสียที”
“บางทีอาจจะเป็นผีแม่หม้ายก็ได้” ศรีตรังหัวเราะ
“ไปเร็วๆ เลย”
ศรีตรังเดินออกไป จุรีเดินเข้ามาใกล้กลอกตามองโดยรอบแว่บหนึ่ง
“โชคดีนะคะ คุณเตห่าง”
จุรีบีบมือเตชิตเบาๆ เหมือนจะให้กำลังใจ แล้วเดินออกไป สมเดินเข้ามามองเตชิตจริงจังและจริงใจอย่างยิ่ง
“ผมมานอนเป็นเพื่อนเอาไหมครับ”
เตชิตตบไหล่สมเบาๆ
“ขอบใจมากลุง แต่คงไม่มีอะไรแล้วละ”
สมตบต้นแขนเตชิตตอบเบาๆ แล้วเดินออกไป เตชิตมองตามแล้วเดินมาจุดธูป
ส่วนศรีตรังเมื่อกลับมาบ้านเธอเดินเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูเบาๆ ศรีตรังเดินมาทิ้งตัวบนโต๊ะทำงานแล้วมองไปที่รูปคู่ในกรอบเป็นภาพเธอกับพอลในเครื่องแบบมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เสียงศรีตรังและ พอลที่ร้านหนังสือดังขึ้นในห้วงความคิด
“พี่เพชร จำศรีไม่ได้เหรอ”
“เพชรไหนครับ คุณคงจำคนผิดแล้ว”
ภาพเลือนหายไป
“ไม่ผิดแน่ๆ แต่ทำไมถึงบอกว่าไม่ใช่”
ศรีตรังพึมพำออกมา มองภาพนั้นแล้วนึกย้อนกลับไปในอดีตเมื่อครั้งยังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย พอลและศรีตรังนั่งม้าหินตรงกันข้าม ข้างหน้าทั้งคู่มีตำราเรียนเปิดกางอยู่ โดยทั้งคู่ดูจะกำลังคร่ำเคร่งดูตำรานั้น แต่จริงๆ แล้วทั้งคู่ลอบมองกันในขณะที่ฝ่ายหนึ่งคิดว่าอีกฝ่ายหนึ่งเผลอ จังหวะหนึ่งขณะที่ทั้งคู่ลอบมองกันโดยต่างฝ่ายต่างหลบไม่ทัน ศรีตรังหลบตาลงเมื่อรู้สึกตัวพอลจึงตัดสินใจพูดด้วยสีหน้าจริงจังเป็นอย่างยิ่ง
“ผมชอบคุณ” ศรีตรังสะดุ้งเงยหน้าขึ้นมองทันที “ไม่ใช่ชอบแบบรุ่นพี่รุ่นน้อง แต่ชอบมากกว่านั้น”
ศรีตรังยังคงมองพอลเหวอๆ กับคำพูดจู่โจมนั้น “คุณอาจจะมีคนที่คุณชอบอยู่แล้วซึ่งผมก็เข้าใจ แต่ก็แค่อยากบอกให้คุณรับทราบไว้” ศรีตรังเริ่มเขิน ขณะที่พอลยังมีสีหน้าจริงจัง “ก็เท่านั้นแหละครับ”
พอลลุกขึ้นเดินไป ศรีตรังชักจะหายเขินมองตามด้วยความแปลกใจแล้วรีบลุกตามม
“เดี๋ยวค่ะ พี่เพชร” พอลหยุดชะงักหันกลับมา ศรีตรังส่งยิ้มให้ “ศรียังไม่มีใครเลยค่ะ”
พอลค่อยๆ เดินกลับมาช้าๆ ดวงตายังจับจ้องมองศรีตรังไม่วางตา พอลมาหยุดตรงหน้าศรีตรัง ศรีตรังก้มหน้าลง
“คุณบอกว่ายังไม่มีใคร”
“ค่ะ”
ศรีตรังตอบรับเสียงเบา พอลค่อยๆ เอื้อมมือมาจับศรีตรัง ศรีตรังมองที่มือแล้วเงยหน้าขึ้นช้าๆ สบสายตาที่เต็มตื้นไปด้วยความรักของพอล ศรีตรังมองตอบด้วยแววตาเดียวกันแต่ปนเขินอาย
นึกถึงตรงนี้นัยน์ตาศรีตรังฉ่ำขึ้นมาด้วยน้ำตาจนรูปภาพในกรอบพร่าพราย ศรีตรังยกแขนขึ้นปาดน้ำตา

อ่านต่อหน้า 3





ปางเสน่หา ตอน 1 (ต่อ)

ช่วงเวลาเดียวกันนั้นพอลยืนอยู่ที่หน้าต่างภายในคอนโด สายตาเหม่อมองออกไปข้างหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม พอลมีสีหน้าเหมือนกำลังทบทวนความทรงจำรำลึกในอดีตเหมือนกัน ซึ่งเหตุการณ์ตอนนั้นพอลกำลังอบรมน้องๆ อยู่ ร่วมกับรุ่นพี่คนอื่นๆ

“การอยู่ร่วมกัน ระเบียบวินัยเป็นเรื่องสำคัญที่สุด” ศรีตรังและเพื่อนปี 1 ค่อยๆ โผล่หน้าเข้ามาดู “โดยเฉพาะการรักษาเวลาซึ่งจำเป็นมาก... มากันครบแล้วใช่ไหม”
ศรีตรังและเพื่อนๆ รีบวิ่งโหย่งมาต่อท้ายแต่ละแถว ทุกคนขยับจะนั่งลงหลังจากมองสำรวจดูว่ามาครบแล้ว
“เดี๋ยว ยังนั่งไม่ได้” ทุกคนซึ่งกำลังจะหย่อนก้นนั่ง รีบเหยียดตัวขึ้นยืนใหม่ “รู้ไหมว่า ทำไมยังนั่งไม่ได้” พอลมองมาที่ศรีตรังและเพื่อน “เป็นเพราะพวกคุณมาสาย ทำให้เพื่อนๆ ที่นี่ต้องยืนรอจนว่าแข็ง! แต่เวลายังรักษาไม่ได้ แล้วจะไปทำมาหากินอะไร”
ศรีตรังค่อยๆ ยกมือขึ้น
“ขออนุญาติค่ะ” ศรีตรังบอกเสียงดังฟังชัด ทุกคนหันขวับไปมองศรีตรังเป็นตาเดียว พอลมีสีหน้าแปลกใจแต่แล้วก็ขรึมตามเดิม “พวกเราขอโทษค่ะ พวกเราไม่ได้ตั้งใจจะมาสาย แต่อาจารย์เสรีที่สอนวิชา
จิตวิทยาเบื้องต้น เพิ่งจะปล่อยเมื่อสักครู่นี้เองค่ะ”
“ชื่ออะไร”
“อาจารย์เสรีค่ะ”
“ไม่ใช่ ถามว่าเราน่ะชื่ออะไร”
“อ๋อ ชื่อศรีตรังค่ะ”
ภาพเหตุการณ์ในอดีตทำให้พอลมีสีหน้าอ่อนโยนลง จังหวะนั้นเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พอลเดินไปหยิบขึ้นมาดูแล้วรับ
“ว่าไงครับ เดือน... ได้ครับ...ผมจะไปเดี๋ยวนี้”
พอลหยิบกุญแจรถแล้วเดินออกไปจากห้อง
พอลขับรถมาหาปรกเดือนที่บ้าน สาวใช้ยกน้ำมาวางให้ แล้วถอยออกไป
“คุณไปได้ยินมาจากไหน”
พอลถาม ปรกเดือนมีสีหน้าเหมือนเจ็บช้ำน้ำใจ
“แล้วจริงไหมล่ะคะ”
“ผมไม่ชอบ...”
“โกหก”
“ผมรู้แต่ว่าเดนนิสรักเดือนมาก”
“เดือนก็รู้มาว่า เขากำลังคั่วแม่ดาราหน้าใหม่อยู่” ปรกเดือนสวนขึ้นทันที
“ก็แค่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น”
“เดือนไม่เชื่อหรอก” พอลถอนใจ ปรกเดือนรู้สึกตัว “ขอโทษค่ะ ระยะปี 2 ปีมานี่ เดือนมีแต่เรื่องทุกข์ใจ ทุกข์จนไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ไปทำไม”
“อย่าคิดอย่างนั้น คุณยังมี...”
“เดือนรู้ค่ะ ว่าเดือนยังมีภาระที่ต้องรับผิดชอบ”
“ไม่ใช่แค่คุณคนเดียว ผมเองก็เหมือนกัน ...”
ปรกเดือนทอดถอนใจ
“ผมขอตัวเดี๋ยวนะ”
“เชิญค่ะ”
พอลลุกขึ้น เดินไปที่บันได แล้วก้าวขึ้นไปเงียบๆ ปรกเดือนมองตามสีหน้าขมวดมุ่นด้วยความทุกข์ว้าวุ่นค่อยๆ คลายลง เปลี่ยนเป็นความเห็นอกเห็นใจ
พอลเดินขึ้นมาที่ห้องๆ หนึ่ง ฝีเท้าค่อยๆ ช้าลงขณะก้าวไปยืนหน้าห้องใบหน้าพอลเต็มไปด้วยความหม่นหมอง พอลหยุดหน้าประตูห้องค่อยๆ หลับตาลง สูดลมหายใจยาวขณะที่เปิดประตูก้าวเข้าไป
ปรกเดือนลุกจากโซฟาแล้วเดินไปที่หน้าต่างเหม่อมองออกไปข้างนอก แต่แล้วเธอก็ต้องสะดุ้งเมื่อหันกลับมาเห็นพอลกำลังยืนมองเธอด้วยสีหน้าที่กลับไปเย็นชาอย่างเดิม
“พอล ตกใจหมด”
“ผมจะกลับละ”
“คุณขึ้นไปประเดี๋ยวเดียวเอง”
“ก็ไม่เดี๋ยวนะครับ ผมมีธุระต้องทำต่อ”
“เชิญค่ะ” ปรกเดือนขยับตัวจะไปส่ง
“ไม่ต้องไปส่งหรอก แค่นี้เอง”
พอลเดินออกไปเงียบๆ ปรกเดือนมองตาม
ทางด้านศรีตรังขณะนั้นเธอกำลังเผารูป ไฟค่อยๆ ลามไหม้รูปพอลไปเรื่อยๆ จนเลยเรื่อยขึ้นไปถึงใบหน้าศรีตรัง ศรีตรังเม้มปากเป็นเส้นตรงจังหวะนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ศรีตรังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับโดยไม่ได้มองเบอร์และอีกมือยังคงถือรูปที่ไฟกำลังลามเลีย
“ฮัลโหล”
เงียบ
“ฮัลโหล”
เงียบอีก
ศรีตรังชักเอะใจ
“ฮัลโหล...เฮ้ย สามโหลแล้วนะ จะพูดหรือไม่พูด”
เงียบอีก ศรีตรังฉุนจัด
“ไอ้โรคจิต”
ศรีตรังปิดโทรศัพท์ พอลสะดุ้งเฮือกแล้วปิดโทรศัพท์
“ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย”
พอลพึมพำออกมาเบาๆ แล้วหยิบนามบัตรของศรีตรังขึ้นมาดูพร้อมกับนึกถึงเหตุการณ์ตอนที่ตกลงกันเรื่องรถที่ถูกศรีตรังชนแล้วเขาขอนามบัตรเธอเอาไว้
“จะเอานามบัตรฉันไปทำไม พอล”
“นั่นซิคะ ไม่เห็นจะจำเป็นเลย” แซนดี้บอก
“ผมอุตส่าห์ยอมให้ไปซ่อมอู่ที่คุณเลือกแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าหากซ่อมไม่ดี ผมจะได้ติดต่อคุณให้รับผิดชอบ”
“ถ้าฉันไม่ให้”
“งั้นก็คงต้องพึ่งตำรวจ แทนที่จะตกลงกันเองแบบหยวนๆ อย่างนี้หรือถ้าไม่ให้นามบัตร ก็เอาใบขับขี่มา”
“ก็ได้”
ศรีตรังหยิบกระเป๋ามาเปิด แล้วหยิบนามบัตรส่งให้อย่างกระแทกกระทั้น แซนดี้รีบคว้าไว้ก่อน
“แซนดี้จะเก็บไว้ให้เองค่ะ”
พอลมองแซนดี้ด้วยแววตานิ่งๆ
“รถของผมนะครับ แซนดี้”
แซนดี้หน้าเสีย ส่งนามบัตรให้ พอลรับมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
วันเดียวกันนั้นศรีตรังขี่มอเตอร์ไซด์มาจอดหน้ารั้วบ้านพักเตแล้วตะโกนเรียก
“เต ไอ้เต”
ขณะตะโกนศรีตรังผลักประตูรั้วเดินเข้าไปบริเวณระเบียง เตชิตเดินออกมา
“มาทำไม หรือว่าเกิดคิดถึงฉันขึ้นมาอีก”
ศรีตรังทรุดตัวลงนั่ง
“ฉันลืมบอกไปว่า ฉันเจอพี่เพชร”
“ที่ไหน เมื่อไหร่”
“ที่ห้าง เมื่อกี้ตอนไปซื้อของ”
“มิน่า หน้าตาถึงได้แช่มชื่น”
“แช่มชื่นกะผีแน่ะ เขาบอกฉันว่าเขาไม่ได้ชื่อเพชร แต่ชื่อ พอล แถมยังบอกว่าฉันคงจำคนผิด”
“แกแน่ใจนะว่าจำไม่ผิด”
“นี่ ไอ้เต...ฉันกับเขาไม่ได้เจอกัน 5-6 ปีนะ ไม่ใช่ 50 ปี จะได้แก่หงำเหงือกจนจำกันไม่ได้”
“ก็ถ้าใช่ เขาจะปฏิเสธทำไม”
ศรีตรังมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
“ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะผู้หญิงคนนั้นก็ได้”
“คนไหน”
“ช่างเถอะ ว่าแต่แกผีแม่หม้ายตามมาหรือเปล่า”
“จนป่านนี้ยังไม่มีวี่แวว แสดงว่าเขาสิงอยู่ที่บ้านหลังนั้น ว่างๆ แกต้องเลี้ยงพระทำบุญแผ่ส่วนกุศลไปให้เขาบ้าง เขาจะได้ไปสู่สุคติไม่ต้องคอยมาหลอกหลอนใคร”
“เออ!”
ส่วนที่บ้านพักเดิมของเตชิต ขณะนั้นอ้อยมาหาเตชิตที่บ้าน
“คุณเตชิตขา คุณเตชิต” หญิงสาวลุกขึ้นยืน สีหน้าประหลาดใจ “คุณเตชิตขา”
หญิงสาวเดินไปดูจึงเห็นอ้อยยืนถือปิ่นโตพลาสติคสีสวยยืนตะโกนเรียกเตชิตอยู่หน้าบ้าน
“คุณเตชิตไม่อยู่ค่ะ”
หญิงสาวยื่นหน้าไปตอบ อ้อยชะงักเมื่อเห็นผ้าม่านปลิว เหมือนมีลมพัดผ่านออกมา ทั้งๆ ที่บริเวณนั้นลมสงบ หญิงสาวตะโกนตอบอีก
“คุณเตชิตไม่อยู่ค่ะ”
อ้อยค่อยๆ ถอยไปที่จักรยานที่จอดเอาไว้ริมรั้ว เมื่อเห็นลมพัดออกมาอีก อ้อยจัดการวางปิ่นโตลงในตะกร้าด้านหน้าแล้วถีบออกไปทันทีหญิงสาวมองตามอย่างแปลกใจ
“พูดด้วยก็ไม่พูดตอบ”
หญิงสาวเดินกลับเข้าไปนั่งใหม่
อ้อยถีบจักรยานเข้ามาจอดที่บ้านอย่างรวดเร็ว แล้วฉวยปิ่นโตเดินแกมวิ่งเข้าบ้าน จุรีกำลังรีดผ้าอยู่เงยหน้าขึ้นมอง
“แม่ แม่เคยบอกว่า เจอผีที่บ้านพักหลังสุดท้ายใช่ไหม”
คำถามนี้ให้จุรีถึงกับชะงัก
“อะลัดตั๊ดต๊า เจอเข้าเหมือนกันแล้วละซี”
“ก็ไม่ได้เจอตัวเป็นๆ หรอก แต่เป็นความรู้สึกเหมือนมีคนอยู่ที่นั่น”
“แล้วเอ็งไปแถวนั้นทำไม”
“เดินเล่น” อ้อยพูดพลางเดินเข้าข้างใน
“เดินเล่นประสาอะไรเอาปิ่นโตไปด้วย อะลัดตั๊ดต๊า จะไปทำความรู้จักกับคุณเตห่างละซี้ เขาไม่ได้อยู่ที่หลังนั้นแล้ว”
อ้อยโผล่ออกมาใหม่ทันที
“แล้วเขาไปอยู่หลังไหนล่ะคะ คุณแม่ขา”
“ทียังงี้ละก็คุณแม่คะ คุณแม่ขา”
“ไม่บอกก็ไม่ง้อ อ้อยหาเอาเองก็ได้” อ้อยผลุบเข้าไปใหม่
“เฮ้ย เอ็งเป็นผู้หญิงนะเว้ย”
ค่ำวันเดียวกันนั้นหลังจากศรีตรังกลับไปแล้วเตชิตหยิบโน๊ตบุ๊คขึ้นมาวางบนโต๊แล้วก้มหน้าก้มตาอยู่กับโน๊ตบุ๊คจนกระทั่งมีเสียงหมาหอนดังแว่วๆ มาจากที่ใดที่หนึ่ง เตชิตชะงักเงยหน้าขึ้นจากจอ เสียงหมาหอนใกล้เข้ามาทุกทีจนมาจ่ออยู่ตรงหน้าบ้าน
“ไหนไอ้ศรีว่า หลังนี้ปลอดภัยไงแล้วทำไมหมามาหอนหน้าบ้าน”
เตชิตค่อยๆ ปิดโน๊ตบุ๊คแล้วหิ้วเข้ามาในห้องนอน
เตชิตวางโน๊ตบุ๊คลงหัวเตียงแล้วเดินมาปิดประตูลงกลอนล๊อคเรียบร้อยขณะนั้นเสียงหมายังหอนอยู่หน้าบ้าน...เตชิตมองไปโดยรอบจนมาถึงหน้าต่างที่เปิดอยู่ซึ่งผ้าม่านปลิวไสว เตชิตค่อยๆ แนบหลังกับผนังห้อง พลางขยับไปที่หน้าต่าง
เตชิตค่อยๆ จับม่านแล้วแอบมองออกไปแต่ต้องเบิกตากว้าง กลืนน้ำลายเมื่อเห็นผู้หญิงสาวคนหนึ่ง ปล่อยผมยาวสยายยืนอยู่หน้าบ้าน จ้องมองเข้ามา เตชิตค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งกุมขมับครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆคลานไปที่เตียงหยิบโทรศัพท์มากด โทรศัพท์มีเพียงเสียงให้ฝากข้อความเตชิตหัวเสียสุดๆ
“ดันปิดโทรศัพท์เสียอีก เวรกรรมอะไรถึงต้องให้มาตกอยู่กลางดงผี”
เสียงหมาหอนเงียบไป เตชิตนั่งรอสักครู่แล้วค่อยๆ โผล่ขึ้นไปดูใหม่คราวนี้บริเวณภายนอกว่างเปล่าเตชิตผ่อนลมหายใจโล่ง แล้วหันกลับมาแต่ต้องสะดุ้งเฮือกร้องลั่นเมื่อเห็นหญิงสาวในแสงสีขาวกำลังมองเตชิตอยู่ เตชิตรีบยกมือพนมไหว้
“ได้โปรดเถอะ กรุณาไปผุดไปเกิดเสียที อย่ามารบกวนข้าพเจ้าเลย”
แสงสีขาวเปลี่ยนเป็นสีแดง ในขณะที่หญิงสาวหน้าบึ้งอย่างหงุดหงิด
“พอที ฉันไม่ใช่ผีนะคุ้นถึงจะได้ให้ไปผุดไปเกิด”
“อ้อ พูดได้เต็มปากเต็มคำเลยนะว่าไม่ใช่ผี” เตชิตชักฉุน
“ก็ฉันไม่ใช่ ...”
“งั้นคุณเป็นอะไรล่ะ”
“ฉันก็เป็นคนเหมือนคุณ”
“ผมบอกได้เต็มปากเต็มคำเลยว่าไม่ใช่...ผีนี่เถียงเก่งเหมือนกันแฮะ”
“บอกว่าฉันไม่ใช่ผี”
“งั้นผมก็คงเป็นมั้ง”
เตชิตลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูก้าวออกไป แต่พอก้าวออกมาเตชิตก็ต้องชะงัก สะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นหญิงสาวยืนอยู่
“ฟังฉันหน่อยซิ”
“ไม่”
หญิงสาวขยับจะก้าวเข้ามา เตชิตรีบยกมือห้ามทันที
“ได้โปรดหยุดอยู่ตรงนั้น อย่าเข้ามาเด็ดขาด”
เตชิตค่อยๆ ขยับไปที่ประตู ดวงตายังคอยจับจ้องมองหญิงสาวอย่างหวาดระแวง ไม่ไว้ใจ
“คุณจะไปไหนน่ะ”
หญิงสาวถามเสียงอ่อย
“ไปให้พ้นจากที่นี่” เตชิตยื่นมือไปข้างหลัง คลำหาลูกบิดประตูแล้วเปิดออกจากนั้นก็ค่อยๆ ก้าวถอยหลังออกไป พลางทำขู่สำทับ “ผมมีพระนะ ห้ามตามมาเด็ดขาด”
หญิงสาวยังคงมองตามละห้อย
เตชิตถอนใจเฮือกที่หลุดออกมาได้ แล้วปิดประตู แต่พอหันกลับมาเตชิตก็ต้องชะงักเมื่อเห็นหญิงสาวอีกคนซึ่งก็คือเกษรินยืนมองอยู่ ท่าทางของเกษรินดูน่ากลัว เพราะเป็นผีจริง เตชิตทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เสียให้ได้ในขณะที่หมาหอนกรูเกรียวขึ้นอีก เกษรินยื่นมือออกมาช้าๆ ราวกับจะขอความช่วยเหลือ
“ช่วยด้วย”
เสียงของเกษรินเยือกเย็น เตชิตทำหน้าเหยเกเต็มที่แล้วค่อยๆ เอื้อมมือไปข้างหลังคว้าเปะปะเพื่อเปิดประตูแล้วถอยหลังกลับเข้าไปใหม่ เตชิตรีบล็อคประตูแล้วหันกลับมาก็เจอหญิงสาวยืนกอดอกมองเขาอยู่
“คุณไม่ไปแล้วหรือคะ”
“ช่วยไปบอกเพื่อนคุณให้ไปสู่สุคติหน่อยได้ไหม แล้วคุณก็ไปกับเธอ เสียพร้อมๆ กันเลย”
“ไม่ได้หรอกค่ะ เพราะฉันไม่รู้ว่าสุคติอยู่ที่ไหน แล้วเธอคนนั้นก็ไม่ใช่เพื่อนของฉัน แถมยังน่ากลัวด้วย”
เตชิตถอนใจเฮือก แล้วเดินมาทรุดตัวลงนั่ง
“เมื่อไหร่จะสว่างสักที”
หญิงสาวมองนาฬิกาที่ผนังห้อง
“เพิ่งจะ 5 ทุ่มเอง อีกตั้งหลายชั่วโมง”
“ผมจะปีนออกทางหน้าต่าง”
“จะให้ฉันคอยดูต้นทางให้หรือคะ”
“ไม่ต้อง ขออย่างเดียวคุณอย่าตามมาเท่านั้นเป็นพอ” เตชิตเปิดประตูห้องนอน “ได้โปรด...กรุณาอย่าตามผมมาเลย ขอร้อง”
เตชิตกำชับก่อนจะปิดประตู
เตชิตปีนหน้าต่างลงมาแล้วมองซ้ายมองขวา
“ไปทางไหนดี”
“ทางนั้นค่ะ”
เตชิตสะดุ้งเฮือกหันกลับมา เห็นหญิงฃสาวยืนอยู่ข้างหลัง
“ผมบอกว่าอย่าตามมา”
หญิงสาวชักฉุน
“ก็ถ้าไม่ตามมาบอกแล้วคุณจะไปถูกเหรอ เธอยืนรอให้คุณช่วยอยู่ข้างหน้า เพราะฉะนั้น คุณต้องลัดเลาะไปทางด้านหลังทางนั้น”
เตชิตเดินตรงไป 2-3 ก้าว แล้วหันกลับมา
“ไม่ใช่หลอกให้ผมไปโผล่ในป่าช้านะ อ้าว หายไปไหน” บริเวณนั้นไม่ปรากฏร่างของหญิงสาวแล้ว เตชิตลูบแขนตัวเอง พลางห่อไหล่ด้วยความหวาดกลัว “ไม่เอาแล้ว ลูกช้างอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว”
เตชิตลัดเลาะไปตามที่หญิงสาวบอก
เตชิตหนีผีมาหาศรีตรังและอยู่ที่บ้านเธอจนกระทั่งเช้า
“แกจะกลับแน่เรอะ”
ศรีตรังเมื่อรู้ว่าเตชิตจะกลับกรุงเทพ
“เออ ถามจริงๆ เถอะรีสอร์ทแกเคยเป็นป่าช้ามาก่อนหรือเปล่า”
“บ้า ป่าช้งป่าช้าที่ไหนกัน ฉันอยู่มาตั้งนานยังไม่เคยเจอผีสักตัว แกมาแค่วัน 2 วันดันสะเออะเจอซะแล้ว ... ถ้าไม่เรียกว่าซวยก็ไม่รู้ว่าจะเรียกอะไรดี”
จุรีเดินเข้ามา
“อะลัดตั๊ดต๊า มาแต่เช้าเชียวหรือคะคุณเตห่าง ชุดนงชุดนอนก็ยังไม่ได้เปลี่ยน”
“ไม่ได้มาแต่เช้าหรอกป้า มันมาตั้งแต่เมื่อคืนแน่ะ มาทุบประตูโครมๆ เรียก”
“ผมโดนผีหลอก”
“อีกแล้วหรือคะ”
“เห็นว่าคราวนี้มาสองเลย”
“คุณหนูศรีตรัง อย่าทำเป็นเล่นไปนะคะ ป้าว่า เราไปปรึกษาหลวงพ่อที่วัดธรรมชนะจะดีกว่า”
“ใครจะไปก็ไป แต่ผมจะกลับแล้ว”
“แล้วคุณไม่อยากรู้หรือคะว่าเธอเป็นใคร ทำไมถึงมาปรากฏตัวให้คุณเห็นแทนที่จะเป็นคุณหนูศรีตรัง”
“แหม ผีผู้หญิงเขาก็ต้องปรากฏตัวให้ผู้ชายเห็นซีจ้ะ เอาไว้ผีผู้ชายเมื่อไหร่ศรีคงได้เห็นแน่ๆ”
“ตายแล้ว คุณหนูนี่”

ศรีตรังหัวเราะชอบอกชอบใจ ขณะที่เตชิตมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด

อ่านต่อหน้า 4





ปางเสน่หา ตอนที่ 1 (ต่อ)

เตชิตกลับมาที่บ้านพักพร้อมกับสม โดยทั้งคู่พากันถีบจักรยานกลับมา

“ต้องให้ผมเข้าไปด้วยไหมครับ”
สมถามพร้อมกับมองบ้านพักอย่างหวาดๆ
“ไปซิ เข้าไปกินกาแฟก่อน”
“อ๋อ งั้นผมรออยู่ข้างนอกดีกว่า เพราะผมรับกาแฟมาเรียบร้อยแล้ว”
เตชิตถอนใจเฮือก
“ยังไงลุงก็ต้องเข้าไปเป็นเพื่อนผม”
เตชิตคว้าแขนสมเดินเข้าบ้าน
เตชิตจูงแกมลากสมเข้ามาแล้วกดไหล่ให้นั่ง
“ลุงนั่งรออยู่ตรงนี้ ฉันขออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวเดียว”
“เร็วๆ นะครับ”
“ลุงคิดว่าผมอยากจะอยู่นานนักเรอะ”
“นั่นน่ะซีครับ”
เตชิตเดินเข้าไปในห้อง สมค่อยๆ เหลียวมองไปโดยรอบ เตชิตโผล่พรวดออกมาอีก
“ลุง”
สมสะดุ้งโหยง
“โอ๊ยโย่”
“ผมเอง”
“โฮ้ย ตกอกตกใจหมด อยู่ดีๆ ก็พรวดพราดออกมา”
“ขอโทษที ผมจะออกมาดูว่าลุงหนีผมไปหรือเปล่า”
“ผมบอกว่าจะรอก็ต้องรอซิน่า คุณไปอาบน้ำแต่งตัวเร็วๆ เถอะ”
เตชิตเดินกลับเข้าไปอีกครั้ง สมถอนใจเฮือกแล้วเอนตัวพิงพนัก โดยไม่ลืมเหลียวมองโดยรอบอีกครั้ง
เตชิตกลับมาอาบน้ำเพื่อไปวัดกับศรีตรัง ระหว่างอยู่บนรถศรีตรังซึ่งทำหน้าที่ขับรถปรายตามองเตชิตซึ่งมีสีหน้าเคร่งขรึมครุ่นคิดตั้งแต่ออกจากรีสอร์ท
“ไอ้เต ขอร้อง อย่าทำหน้าเคร่งขรึมเป็นพระเอกหน่อยเลย”
“ฉันกำลังสงสัยว่า ทำไมแกซึ่งเป็นเจ้าของสถานที่จึงไม่เห็นผีคุณหนูเผือก แต่ป้าจุซึ่งเป็นลูกจ้างกับฉันซึ่งเป็นคนมาอาศัยชั่วคราวกลับเห็นหรือว่าคุณหนูเผือกไม่ชอบพวกศักดินา”
“ฉันว่าเป็นเพราะแกกับป้าจุเป็นพวกจิตอ่อนมากกว่า เผลอๆ ปัญญาอาจจะอ่อนด้วย”
มีเสียงหัวเราะคิกดังขึ้น เตชิตสะดุ้งเฮือก
“เฮ้ย”
ศรีตรังตกใจท่าทีตกใจของเตชิตจนรถเสียหลักเล็กน้อย
“ไอ้เต แกเป็นอะไรของแก” ศรีตรังโวยลั่น
“แกไม่ได้ยินเสียงหัวเราะเรอะ”
“ฉันได้ยินแต่เสียงแกโวยวายจนตกใจรถเกือบคว่ำ”
“ฉันได้ยินเต็ม 2 รูหู”
“แกนี่นอกจากตาจะฝาดแล้วหูยังเฝื่อนอีก ต่อไปนี้นั่งเงียบๆ จนกว่าจะถึงวัด ไม่งั้นฉันปล่อยลงข้างทางจริงๆ ด้วย”
เตชิตค่อยๆ เหลือบมองด้านหลังทุกอย่างเป็นปกติ เตชิตผ่อนลมหายใจยาวแล้วเอนหลังพิงพนัก
ศรีตรังชำเลืองมองพลางส่ายหน้า
ศรีตรังขับรถเข้ามาในวัดแล้วขับรถเลยเรื่อยเข้าไปจอดหน้าอาคารหลังหนึ่ง ศรีตรังเปิดประตูลงจากรถโดยเตชิตก้าวตาม เตชิตมองไปโดยรอบด้วยความรู้สึกปลอดโปร่งสบายใจ ศรีตรังถามทอง มัคทายกวัดซึ่งนั่งเปิบข้าวอยู่ใต้ถุนอาคารนั้น
“ลุงทอง หลวงพ่ออยู่หรือเปล่า”
“อยู่ นายศรีตรังมาทำอะไรแต่เช้าเลยวันนี้”
“มีเรื่องจะมากราบขอความกรุณาให้หลวงพ่อช่วยนิดหน่อย”
“ท่านเพิ่งจะฉันท์ข้าวเสร็จ ถ้าไม่อยู่ที่โบสถ์ก็ไปที่กุฎิแน่ะ”
“งั้นไปดูที่โบสถ์ก่อนดีกว่า กินข้าวให้อร่อยนะลุง”
“ขอบใจ นายศรีตรัง”
“ไป เต”
เตชิตเดินตามศรีตรังไปเงียบๆ
ศรีตรังพาเตชิตมาถึงหน้าโบสถ์จึงถอดรองเท้าแล้วพากันเข้าไปในโบสถ์ จากนั้นทั้งคู่ก็คลานมากราบพระประธาน
“มากันแล้วรึ”
เสียงหลวงพ่อดังขึ้น ศรีตรังและเตชิตหันไปมองตามเสียง หลวงพ่อเดินออกมาจากด้านข้างแล้วทรุดตัวลงนั่ง เตชิตและศรีตรังก้มกราบทั้งสองคนมีสีหน้าแปลกใจ
“หลวงพ่อทราบหรือคะว่าพวกเราจะมา”
ใบหน้าหลวงพ่อเหมือนปรากฎรอยยิ้มนิดๆ
“มีอะไรให้อาตมาช่วยรึ”
ศรีตรังหันมามองเตชิตแว่บหนึ่ง
“ขอพูดแบบรวบรัดตัดความเลยนะคะ ดิฉันจะมานิมนต์หลวงพ่อให้ไปช่วยไล่ผีที่รีสอร์ทหน่อยค่ะ ความจริง ดิฉันไม่ได้เห็นเองหรอกค่ะเพื่อนคนนี้เขาเห็น”
หลวงพ่อมีสีหน้าสงบแต่เต็มไปด้วยความเมตตา
“ไม่ต้องไล่หรอก ถึงเวลาเขาก็ไปเอง”
ศรีตรังกับเตชิตชะงัก
“แปลว่าที่รีสอร์ทมีผีจริงๆ หรือคะ”
ศรีตรังถามอย่างตื่นเต้น
“เห็นมั้ย บอกแล้วไม่เชื่อ ไอ้...เอ๊ย ศรีตรังไม่ยอมเชื่อผมครับหาว่าผมตาฝาดหูเฟื่อน”
เตชิตบอกหลวงพ่อ
“เขาไม่ได้อยู่ให้ร้าย อย่ากังวลไปเลยเขามีห่วงบางอย่าง”
“ห่วงอะไรคะ/ห่วงอะไรครับ”
ศรีตรังกับเตชิตถามออกมาพร้อมกัน หลวงพ่อมองเลยไปข้างหลังเตชิต เหมือนจะพูดอะไรกับใครสักคน
“คงต้องถามกันเอาเองนะ”
เตชิตและศรีตรังหันมามองตาม ศรีตรังมีสีหน้างงๆ เพราะไม่เห็นอะไร ในขณะที่เตชิตสะดุ้งเฮือก
“เฮ้ย”
เพราะเห็นหญิงสาวกำลังพนมมือก้มกราบพระ ท่าทางของเตชิตทำให้ศรีตรังชักจะหวาดๆ
“ไอ้เต...แก... แก”
เตชิตรีบตัดบท
“ไม่มีอะไรหรอก ฉันนึกไปเอง” ศรีตรังถอนใจอย่างโล่งอก “แกออกไปรอข้างนอกดีกว่า ฉันขอคุยกับหลวงพ่อหน่อย”
“เออ ดิฉันกราบลาเลยนะคะ หลวงพ่อ”
หลวงพ่อพยักหน้า ศรีตรังก้มกราบแล้วออกไป เตชิตเบือนหน้ามามองหญิงสาวหวาดๆ ขณะเขยิบเข้าใกล้หลวงพ่อเหมือนจะให้คุ้มกันภัย
เมื่อออกจากโบสถ์ศรีตรังเดินเรื่อยๆ มายังบริเวณที่จอดรถ แต่แล้วเธอก็ต้องชะงักเมื่อเห็นพอลกำลังเดินตรงมาที่รถซึ่งจอดอยู่ไม่ไกลจากรถศรีตรังนัก ศรีตรังรีบก้าวยาวๆ มาที่รถตัวเองแล้วท้าวแขนกับตัวรถพรางส่งเสียงกระแอม
“เข้าวัดเหมือนกันหรือ พอล”
พอลหยุดนิ่งครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆ หันมา
“ทำไมมาคนเดียวล่ะ พอล เอามิสแซนดี้ไปไว้ที่ไหน อ้อ! หรือว่านางมาบวชชี”
“แล้วคุณล่ะ เข้าวัดได้เรอะ”
ศรีตรังนิ่วหน้าฉุนๆ
“ทำไมจะเข้าไม่ได้ ฉันไม่ใช่ผีนะยะ”
“ผมก็ไม่ได้ว่าคุณเป็นผี เพียงแต่คิดว่าปากแบบนี้เขาไม่น่าให้เข้าวัด”
ศรีตรังท้าวสะเอวอย่างเอาเรื่อง
“ปากฉันเป็นไง พูดให้ดีนะ”
พอลยกนิ้วโป้ง นิ้วชี้ และนิ้วกลาง แตะกันถี่ๆ หลายๆ ที ประมาณว่า พูดมาก แล้วเปิดประตูรถจะขึ้นไปศรีตรังก้าวพรวดๆ เข้าไปดึงพอลลงมาจากรถทันที พอลเสียหลักจะหกล้ม ดีที่คว้าประตูรถไว้ได้ทัน
“โอ๊ย”
“ก็อยากมาว่าฉันทำไม”
“ไหน ผมว่าคุณยังไง มีแต่คุณนั่นแหละที่ว่าผม”
“ก็...คุณทำมือแบบนี้” ศรีตรังทำท่าเลียนแบบพอล “ซึ่งแปลว่าฉันพูดมาก”
“คุณพูดเองเออเองทั้งนั้น” ศรีตรังอึ้งไป “ไอ้ที่ควรพูดก็ไม่พูด เช่นคำว่า “ขอโทษ” ศรีตรังเม้มปาก
มองพอลราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ “คุณกระชากผมลงจากรถจนเสียหลักเกือบหกล้ม จะขอโทษสักคำก็ไม่มี เถียงไม่ออกใช่ไหมล่ะ”
พอลก้าวขึ้นรถ จะปิดประตู ศรีตรังพูดขึ้นลอยๆ
“คุณนี่เอง”
พอลผลักบานประตูกว้าง แล้วหันมามอง
“ผมทำไมอีกล่ะ”
“คุณทำเป็นพวกโรคจิต โทรศัพท์หาฉันเมื่อคืนวานใช่ไหม” พอลชะงัก “ต้องใช่แน่ๆ เพราะฉันไม่เคยให้เบอร์โทรศัพท์ใครไปง่ายๆ”
พอลเบือนหน้ามามอง
“เหตุผลแค่เนี้ย”
“คุณขอนามบัตรฉันไป”
“นี่คุณ อย่าหลงตัวเองนักเลย ผมขอนามบัตรคุณเพราะอะไรคุณก็รู้อยู่แก่ใจ แต่ถ้าคิดแล้วคุณสบายใจก็เชิญคิดไปเถอะ”
พอลดึงประตูรถปิดแล้วขับออกไป ศรีตรังมองตามอย่างเจ็บอกเจ็บใจอย่างยิ่ง
ส่วนในโบสถ์เตชิตก้มลงกราบหลวงพ่อ หญิงสาวก้มกราบตาม
“ผมกราบลาหลวงพ่อละขอรับ”
“เจริญพร อย่าลืมความตั้งใจที่บอกอาตมาเมื่อกี้เสียล่ะ”
“ไม่ลืมแน่ครับ ผมจะช่วยให้เธอหมดห่วงและข้ามภพไปสู่สุคติให้ได้”
“เป็นบุญแล้วละโยม”
เตชิตคลานไปพอสมควรแล้วลุกเดินออกไป หญิงสาวทำตาม หลวงพ่อมองตามด้วยสีหน้าสงบ
เตชิตก้าวออกมานอกโบสถ์แล้วเดินไปสวมรองเท้า หญิงสาวปรากฏตัวขึ้นมองไปโดยรอบด้วยสีหน้าแววตาสงบและเป็นสุข
“สงบร่มรื่นดีจัง”
“คุณเข้ามาในวัดได้ยังไง แถมยังเข้าไปในโบสถ์ด้วย ไม่มีปวดแสบปวดร้อนเลยหรือ”
“ก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่ แค่ตามคุณมา”
“ผมเคยรู้มาว่า ผีต้องกลัวพระ ผีเข้าวัดไม่ได้ แต่คุณลบล้างความเชื่อพวกนั้นหมดเลย”
“ฉันไม่ใช่ผีนะ”
ผู้คนในบริเวณนั้นพากันเมียงๆ มองๆ มาอย่างแปลกใจเมื่อเห็เตชิตกำลังพูดคนเดียว
“คุณตายไปแล้ว ถ้าไม่เรียกว่าผีแล้วจะให้เรียกว่าอะไร”
“ไม่จริง”
หญิงสาวกรีดร้อง แล้วร่างของเธอก็ดูบิดเบี้ยว แสงสีขาวโดยรอบเปลี่ยนเป็นสีแดง
“คุณต้องยอมรับความจริง”
“คุณใจร้าย คนบ้า คนโกหก
ร่างหญิงสาวกลืนหายไปกับความว่างเปล่าโดยรอบ
“คุณ” เตชิตหันมาแล้วชะงักเมื่อเห็นสายตาผู้คนในบริเวณนั้นมองมาเหมือนเขาเป็นคนบ้า เตชิตยิ้มแห้งๆ พยายามอธิบาย “ขอโทษครับ คือ...ผมกำลังซ้อมละครอยู่น่ะ”
เตชิตพูดพลางถอยพลาง แล้วออกไปจากที่นั้นโดยทุกคนมองเหมือนมองคนบ้าเช่นเดิม
“สงสัยอากาศจะร้อนจัด”
เตชิตรีบเดินตรงมาที่รถ ขณะนั้นศรีตรังนั่งหน้างอรออยู่ในรถแล้ว เตชิตเปิดประตูเข้ามานั่งแล้วถอนใจเฮือก
“เฮ้อ” ศรีตรังหันมามอง “คนที่นี่เขาคงคิดว่าฉันบ้า”
“เมื่อกี้ฉันเจอพี่เพชรหรือนายพอล”
“ที่ไหน”
“ที่นี่”
“เขามาทำไม”
“เห็นหลวงพี่ข้างในบอกว่า เขามาถวายสังฆทาน”
“แปลก”
“ฉันก็แปลก แล้วแกล่ะ หลวงพ่อว่าไง”
“ท่านก็ว่าฉันกับคุณหนูเผือกเคยมีเวรกรรมผูกพันกันมา”
คำตอบน้ำให้ศรีตรังถึงกับชะงัก
“ประมาณว่าเคยเป็นผัวเมียกันในชาติก่อน...ว่างั้นเถอะ”
“บ้า ท่านไม่ได้พูดถึงขนาดนั้น”
“งั้นพอแกกลับกรุงเทพ คุณหนูเผือกคงเหงาตายเลย ดีไม่ดีจะหลอกคนที่อยู่จับไข้หัวโกร๋นกันหมด”
“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว”
“แปลว่า แกจะยังไม่กลับ”
“จนกว่าจะช่วยคุณหนูเผือกให้ไปผูดไปเกิดเสียก่อน”
“สาธุ”
เมื่อกลับมาที่รีสอร์ทเตชิตจึงย้ายกลับมาที่บ้านพักหลังเดิม จุรีค่อยๆ แง้มประตูยื่นหน้าเข้ามาก่อนเป็นคนแรก
“อะลัดตั๊ดต๊า... อะลัดตั๊ดต๊า...มากันแล้วนะคะ” ทุกอย่างเงียบเป็นปกติจุรีหันไปบอกทุกคน “ทุกอย่างปลอดภัย เข้ามาได้ค่ะ”
ทุกคนก้าวตามจุรีเข้ามา โดยเตชิตถือกระเป๋าเสื้อผ้า
“แกแน่ใจนะว่าจะอยู่ได้” ศรีตรังถามเพื่อน
“ไม่แน่ก็ต้องแน่ เพราะฉันตัดสินใจแล้ว อีกอย่างหลวงพ่อบอกว่า เขาไม่ได้มาร้าย”
“หลวงพ่อบอกอะไร คุณต้องฟังหูไว้หูนะครับ คราวก่อนบอกหวยมาถูกกินกันหมดทั้งรีสอร์ทเลย”
“ท่านไม่ได้บอกสักหน่อย พวกแกดันตีความกันไปเอง”
“ต้องการคนนอนเป็นเพื่อนไหม”
“ไม่ต้อง หลวงพ่อบอกว่า คุณหนูเผือกต้องการติดต่อกับฉันถ้ามีคนอื่นอยู่ด้วย เขาอาจจะไม่ออกมา” เตชิตกัดฟันตอบ
“งั้นเย็นนี้ ป้าจะมาส่งอาหารให้คุณที่นี่นะคะ”
“หรือจะไปกินกับฉันก็ได้ พอมืดแล้วค่อยมาจะได้สยองน้อยลงหน่อย”
“ไม่เป็นไร ฉันจะกินที่นี่แหละ ให้มันรู้กันไปเลยว่าไผเป็นไผ”
หลังจากส่งเตชิตเสร็จแล้วทึกคนจึงพากันกลับ เมื่อศรีตรังเดินกลับเข้าบ้านเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ศรีตรังหยิบขึ้นมาดูปรากฏ “ไม่มีชื่อ” จึงตั้งท่าด่าเต็มที่
“ไอ้โรค...”
“ผมเอง”
ศรีตรังอึ้งไปนิดนึงเมื่อได้ยินเสียงพอล
“โทร.มาทำไม”
“เย็นนี้ผมจะแวะไปดูรถ”
“โอ๊ย คุณ เพิ่งจะเอาเข้าอู่ได้ 2-3 วัน เขายังซ่อมให้ไม่เสร็จหรอก”
“รู้แล้ว แต่ที่จะไปดูก็เพื่อให้แน่ใจว่า ไม่ได้ทำมั่วๆ”
“น้อยๆ หน่อยพอล ฉันไม่ทำอะไรให้เสียชื่อตัวเองหรอก”
“ยังไงผมก็ยังอยากไปดู”
“ก็ตามใจ แค่นี้ใช่ไหม พอล”
“คุณควรจะไปดูด้วย เผื่อมีอะไรที่ผมไม่พอใจคุณจะได้บอกช่าง”
“ไม่มากไปหน่อยเรอะ ... พอล”
“ไม่หรอก ถ้าเทียบกับที่ผมอุตส่าห์ไม่เรียกประกัน แล้วก็ยอมให้เอาไปซ่อมอู่ที่คุณเลือก”
“กี่โมง พอล”
“สักบ่าย 3 โมงเป็นไง”
“ได้พอล.แล้วเจอกัน”
ศรีตรังเก็บโทรศัพท์ พอลวางโทรศัพท์ลงช้าๆ สีหน้ายังคงเข้มขรึม
บ่ายสามโมงวันนั้นขณะที่พอลกำลังยืนคุยกับช่างที่ซ่อมรถอยู่ ศรีตรังก็ขับรถมาจอด แล้วลงเดินเข้ามา
“นายศรีตรัง สวัสดีครับ”
ช่างทักศรีตรัง
“เป็นไงบ้าง ซ่อมถูกใจเขาหรือเปล่า”
“น่าจะถูกนะครับ จริงไหมคุณ”
ช่างหันมาถามพอล
“ต้องดูตอนที่ทำเสร็จเรียบร้อยแล้วถึงจะตอบได้”
“งั้นผมขอไปดูลูกน้องก่อนนะครับ”
“เชิญค่ะ”
ช่างเดินไป ศรีตรังหันกลับมาแล้วชะงักเมื่อเห็นพอลกำลังมองอยู่
“คุณเป็นเจ้าของไร่สุขศรีตรังหรือ” พอลถามขึ้นมา
“ใช่”
“แล้วทำไม...” พอลหยุดชะงักไป
“คุณจะถามอะไร”
“เปล่า”
“งั้นฉันขอถามบ้าง คุณมีพี่น้องฝาแฝดไหม”
“เท่าที่รู้ไม่มีนะ พ่อแม่มีผมคนเดียว” ศรีตรังนิ่งไป “ผมคงเหมือนเพื่อนคุณมาก คุณถึงได้ทักผิด”
“ความจริงก็ไม่ค่อยเหมือนเท่าไหร่หรอก ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันจะกลับละ” ศรีตรังเดินไปขึ้นรถ พอลมองตาม “ไม่รู้จะให้มาทำไม เสียเวลา”
ศรีตรังบ่นขณะขึ้นรถขับออกไป
ส่วนพอลระหว่างขับรถอยู่บนถนน เสียงโทรศัพท์ก็มือถือดังขึ้น
“ฮัลโหลเดนนิส อ๋อ! ผมอยู่ปากช่องกำลังขับรถเข้ากรุงเทพฯ เอาไว้พรุ่งนี้ดีกว่า ผมจะไปพบแต่เช้า”
พอลขับรถเลี้ยวลับไป
หลังจากพอลวางหูไปแล้วเดนนิสวางโทรศัพท์ลงแล้วเอนหลังพิงพนักด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด จนกระทั่งมีเสียงเคาะประตูเบาๆ แล้วลูกน้องเปิดประตูเข้ามา
“เฮียเจียงมาแล้วครับนาย”
“ให้เข้ามา”
“ครับ”
ลูกน้องเปิดประตูกว้าง แล้วเบี่ยงตัวให้เจียงเดินเข้ามา ในจังหวะนั้นเดนนิสสบตาลูกน้อง แล้วพยักหน้านิดๆ แววตาโหดเหี้ยมเหมือนเป็นสัญญาณ ลูกน้องพยักนิดๆ เป็นเชิงรับคำแล้วเดินออกไป พลางปิดประตู
“นั่งซิ”
“ขอบคุณครับ นาย”
เจียงนั่งลง
“มีอะไรก็ว่ามา”
“ผมมากราบขอบพระคุณนายที่ช่วยให้ผมรอดพ้นจากคุก แล้วไอ้ตำรวจคนที่มันจับผม กลับต้องเป็นฝ่ายหมดอนาคต”
“แกต้องหลบไปอยู่ที่อื่นสักพัก”
“ทำไมล่ะครับ”
“ไม่ต้องถาม”
เดนนิสเปิดลิ้นชัก หยิบซองสีน้ำตาลโยนให้ เจียงรีบหยิบมาเปิดดูพบธนบัตรใบละพันปึกใหญ่ 4-5 ปึกในนั้นเจียงรีบยกมือไหว้
“ขอบคุณมากครับนาย ว่าแต่นายได้ข่าวไอ้ตำรวจคนนั้นบ้างหรือเปล่าครับ ผมยังเจ็บใจไม่หายที่บังอาจตบตาผมได้”
“นั่นเป็นบทเรียน ต่อไปแกต้องระวังมากกว่านี้”
ชณะที่เจียงคุยอยู่กับเดนนิส ลูกน้องของเดนนิสกำลังจัดการตัดสายเบรครถของเจียง เมื่อเสร็จธุระเจียงลุกขึ้นพลางยกมือไหว้เดนนิสแล้วหยิบซองมาถือ
“ขอบคุณนายมากครับ”
“เฮ่ย เรื่องเล็ก ฉันจะไปส่ง”
“ไม่เป็นไรครับ”
“ไปเถอะน่า”
เดนนิสโอบไหล่พาเจียงเดินออกไป
เดนนิสพาเจียงเดินออกมา ลูกน้องของเดนนิสทำทีเป็นเช็ดรถให้เจียง
“แหม เด็กนายบริการดีเหลือเกิน”
“มันรู้ว่าใครกำลังเป็นคนโปรดของฉัน”
ลูกน้องของเดนนิสแสยะยิ้มให้เจียง
“ผมลาละครับนาย” เดนนิสยิ้มพยักหน้า นัยน์ตาปรากฏเลศนัยแว่บหนึ่ง เจียงพยักหน้าให้ลูกน้องเดนนิสาอย่างอารมณ์ดี “ไปก่อนละ”
ลูกน้องเดนนิสแสยะยิ้มให้อีก เจียงขึ้นรถ แล้วขับออกไป เดนนิสมองตามพร้อมกับพูดออกมาว่า
“ขอให้ไปสู่สุคติ”
เจียงขับรถออกจากบ้านเดนนิสแล้วชำเลืองมองซองเงินบนเบาะข้างๆ พลางยิ้มอย่างอารมณ์ดี
เจียงขับรถไปเรื่อยๆ แล้วผิวปาก จนกระทั่งเจียงเริ่มรู้ตัวว่าเบรคไม่อยู่รถส่ายไปมา เจียงตกใจพยายามจะเบรคเต็มที่แต่รถเบรคไม่อยู่ส่ายไปมา จนกระทั่งรถเสียหลักชนข้ามเกาะกลางถนน รถลอยขึ้นไป แล้วตกลงมาสงบนิ่งท่ามกลางความตกใจของผู้คนบริเวณนั้น
ค่ำวันเดียวกันนั้นที่บ้านพักเตชิตขณะที่เตชิตกำลังจุดธูปจู่ๆ หญิงสาวก็ปรากฎร่างถามเตชิตว่า
“จุดธูปทำไมคะ”
เตชิตสะดุ้งเฮือกธูปตกจากมือ ก่อนจะ หันไปมองตามเสียง
“ก่อนจะมา กรุณาให้สุ้มให้เสียงหน่อยได้ไหม”
“ฉันทำให้คุณตกใจหรือคะ”
“ไม่ใช่แค่ตกใจ แต่หัวใจจะหยุดเต้นเอาง่ายๆ”
“ตายจริง ฉันไม่ได้ตั้งใจ ต้องขอโทษด้วยนะคะ”
เตชิตถอนใจเฮือก
“เอาล่ะ เชิญนั่ง”
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งตรงข้าม “เมื่อกี้คุณจุดธูปจะไหว้ใครคะ”
เตชิตทำท่าจะอธิบาย แต่แล้วก็ตัดบท
“ช่างเถอะ คุณชื่ออะไร”
คำถามนี้ทำให้หญิงสาวหน้าจ๋อย แสงรอบตัวหม่นลง
“ไม่ทราบค่ะ”
“บ้านอยู่ที่ไหน”
“ไม่ทราบค่ะ”
“เอาอย่างนี้ คุณรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองบ้าง”
หญิงสาวส่ายหน้า
“ไม่รู้เลยสักอย่างค่ะ”
เตชิตถึงกับกุมขมับ
“เวร”
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่บ้านศรีตรัง ศรีตรังกำลังนั่งเล่นเกมขณะที่จุรีนั่งดูทีวีแต่ไม่ค่อยสนใจสักเท่าไหร่
“คุณหนูศรีว่า ป่านนี้ผีมาพบคุณเตหรือยังคะ”
“ทำไมป้าไม่ไปดูเองล่ะ”
“อะลัดตั๊ดต๊า ต่างคนต่างอยู่ดีกว่าค่ะ”
“งั้นก็ดูทีวีไป”
จุรีหันมาดูทีวีต่อด้วยสีหน้าเหมือนยังจดจ่อกับเรื่องผีและเตชิต
ส่วนเตชิตเขากำลังซักถามหญิงสาวอย่างขมักเขม้น ประมาณตำรวจซักพยาน
“คุณรู้จักศรีตรังหรือเปล่า”
“ใครหรือคะชื่อเพราะจัง”
เตชิตถอนใจเฮือก
“คุณมาอยู่บ้านเขา แล้วไม่รู้จักเจ้าของได้ยังไง”
หญิงสาวยิ้มแหยๆ
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ”
“งั้น คุณมา “สิง” อยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่”
หญิงสาวทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แบบคนใจเสีย
“ทำไมคุณถึงใช้คำว่าสิงล่ะคะ”
“ก็คุณเป็นผี”
“ฉันไม่ใช่ผี คุณอย่าพูดถึงผะ...ผะ...ผีได้มั้ย ฉันกลัว”
“เวรกรรม ผีกลัวผี” เตชิตกุมขมับ
“ฉันไม่ใช่”
“งั้นเป็นวิญญาณก็แล้วกัน “
“วิญญาณก็ไม่เอา”
“ชื่อก็จำไม่ได้ ผีก็ไม่ยอมเป็น วิญญาณก็ไม่เอา งั้นเรียกว่า คุณเสียงหวานก็แล้วกัน”
หญิงสาวเอียงคอแปลกใจ
“เสียงหวาน ...ทำไม...”
“พอ ไม่ต้องซัก” หญิงสาวที่ตอนนี้เตชิตตั้งชื่อให้ว่าเสียงหวานพยักหน้าอย่างว่าง่าย “คุณมาสิง... เอ๊ย มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่”
เตชิตถามต่อ เสียงหวานส่ายหน้า
“ไม่ทราบค่ะ”
เตชิตลุกขึ้นเดินกลับไปกลับมาอย่างใช้ความคิด เสียงหวานมองอย่างตั้งใจฟังสิ่งที่เตชิตจะพูด
ในที่สุดเตชิตก็หันกลับมามองเสียงหวานตลอดทั้งตัวอย่างใคร่ครวญครุ่นคิด เสียงหวานเริ่มเขินอายแสงสีขาวรอบตัวเปลี่ยนเป็นสีชมพูหวาน
“ผู้หญิงสาวสวยไปทั้งเนื้อทั้งตัวอย่างคุณนี่ ... น่าจะตาย ...”
แสงหม่นทันที
“ไม่ ฉันยังไม่ตาย”
“ไม่ตาย แล้วมันจะเหลือแต่วิญญาณอย่างนี้เรอะ”
เสียงหวานน้ำตาไหล ร้องไห้เงียบๆ เตชิตถึงกับใจอ่อนลง
“ก่อนอื่น...คุณต้องยอมรับความจริงก่อนนะเสียงหวาน”
แสงโดยรอบเสียงหวานหม่นมัวมากขึ้น แล้วทั้งร่างทั้งแสงก็เลือนหายไปทั้งน้ำตา เตชิตมองหารอบตัวแล้วตะโกนเรียก ขณะที่เสียงสะอื้นยังดังแว่วๆ อยู่

“เสียงหวาน เสียงหวาน! กลับมาก่อน เสียงหวาน!”

อ่านต่อตอนที่ 2 วันนี้ (18 ม.ค.55) เวลา 13.00 น.




กำลังโหลดความคิดเห็น