เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 24
สดเดินลงบันไดมาด้วยท่าทีร้อนใจ กังวลเป็นทุกข์หลังน้ำท่วม ไร่นาเสียหาย ศรีไพร ศรีแพรและแสนเดินตามลงมา ด้วยความรู้สึกไม่ต่างกัน
“ข้าวเสียหายไปกับน้ำ เหลือแต่นาเยอะแยะ จะลงแรงกันอีกก็ไม่มีแรงช่วย ชาวนาก็ต้องฟื้นฟูไร่นาของตัวเอง” น้ำเสียงของศรีแพรสั่นเครือ พยายามอดกลั้นไม่ให้ตนเองร้องไห้
“เราก็ทำแต่เพียงพอกินซิ ต่อไปนี้น้ำจะมายังงี้แหละ...เรื่อยๆ เราต้องปรับตัวให้อยู่กับน้ำให้ได้” ศรีไพรแนะ
“ทำยังไงล่ะพี่ศรีไพร มันมาบอกกล่าวล่วงหน้าซะที่ไหน” แสนแย้ง
ศรีไพรหน้าตามุ่งมั่น
“เราต้องนับฤดูกาลใหม่ เดือนไหน ช่วงไหนที่ฝนจะตก น้ำจะท่วมมาจากเหนือ เมื่อก่อนชาวนาก็อยู่กับน้ำท่วมมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ทำไมอยู่กันมาได้”
สดเห็นด้วย
“ใช่...คนรุ่นปู่ย่าตาทวดของเราเคยอยู่แพ ใช้ชีวิตอยู่กับน้ำมา...ต้องอยู่ได้...เชื่อแม่ซิ...เฮ้อ...” สดถอนหายใจเหนื่อย
“แม่ แต่ที่นาเราน่ะมีตั้ง...”
ศรีแพรยังพูดไม่จบ สดแทรกขึ้น
“แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว ที่นาเยอะแยะ เราจะทำยังไงหมด”
ศรีไพรนึกบางออกท่าทางลิงโลด
“ฉันนึกออกแล้วว่าจะทำยังไง”
สายๆของวันใหม่ ชาวบ้านนามาประชุมกันที่ศาลาวัดบ้านนา โดยมีหลวงตานั่งจิบน้ำชาร่วมฟังอยู่ด้วย เจ๊กตงอุทานด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ ที่ศรีไพรจะแบ่งปันที่นาให้ชาวบ้านที่ไม่มีนา ได้ทำนาเลี้ยงชีวิต
“อะไรนะอาศรีไพร ลื้อจะยกที่นาให้ชาวนาที่ไม่มีที่ทำกิน ทำนาหลังน้ำลดหรือ”
ศรีไพรทำเสียงยานคางล้อเลียน
“ม่ายล่ายยกให้ แต่แบ่งให้ทำกินไปก่อน เอาแค่ชีวิตรอด ปลูกข้าว...ปลูกผัก...เลี้ยงไก่ ปลูกอะไรก็ได้ที่เรากินได้ กินเหลือแล้วค่อยแจก แจกไม่พอ...แลก เหลือจากแลกเปลี่ยนกันในหมู่บ้านแล้วเราค่อย...ขาย”
สดท่าทียิ้มเก้อๆ เขินๆ
“อ้า...มีกำลังแล้วค่อยแบ่งค่าเช่ามาให้ข้าบ้างนะ”
“วิธีนี้เราไม่ต้องหาแรงงานมาช่วยทำนา ไม่ต้องปล่อยที่นาให้เปล่าประโยชน์ ช่วยกันทำกินกันไปตามประสายากก่อน” ศรีแพรแนะ
“เนี้ยวเห็นด้วย แบบนี้ชาวบ้านนาที่ไม่มีที่ทำกินเขาก็อยู่ได้”
“อยู่ดีกินดีแล้วอย่าลืมค่าเช่าของข้าล่ะ” สดเสียงอ่อย
“อนุโมทนากับความคิดของโยมนะ ดีจริงจริ๊ง...โย้มมมมม!” หลวงตาเห็นดีด้วย มหาเฉื่อยมองทุกคน
“งั้นหลังน้ำท่วมนี่เราต้องช่วยตัวเอง ไม่ต้องรอความช่วยเหลือจากใครหรอก ลงมือเลย...ข้ากับไอ้หมอกจะไปช่วย”
“ไอ้หมอกด้วย ไอ้...ทะ...ทะ...ทอก...”
หมอกมองไปรอบๆหาทอก แต่ว่างเปล่าไม่มีวี่แววของทอกเลย
ค่ำคืนนั้น หมอกเพิ่งกลับจากวัดล้างหน้าล้างตา เตรียมเข้านอนด้วยความเหน็ดเหนื่อย หมอกมุดเข้ามาในมุ้งชนเข้ากับทอก หมอกตกใจส่งเสียงร้องลั่น
“เหวอ ผีหลอก!”
“ผีเผอที่ไหนวะ ข้าเอง”
“ไอ้ทอก เอ็งหายไปไหนมา”
“ไอ้หมอก โธ่โว้ย คนกำลังนอน ข้าเพิ่งกลับจากในเมือง ไปธุระส่วนตัวว่ะ โน่น เอ็งไปนอนมุ้งพี่เมินโน่น”
“มีเสียที่ไหนล่ะ” หมอกเบะหน้าจะร้องไห้ ทั้งรักทั้งแค้นเมินและทวน “ไปหมดแล้ว ข้าเห็นเอ็งหายหัวไป นึกว่าจะไปเป็นขี้ข้าเศรษฐีบุญช่วยแล้วน่ะซี เอ็ง...”
“เอ็งว่าอะไรนะ พี่เมินของข้าน่ะเหรอ...”
“ไปแล้ว ตามพี่ทวนไปอยู่กับเศรษฐีบุญช่วย ทิ้งให้พวกเราสู้กับนาหลังน้ำท่วม พี่อะไรยังงี้วะ ใจร้ายใจดำใจอำมหิต เห็นเงินดีกว่าน้องที่กินข้าวก้นบาตรด้วยกันมา”
“พี่เมิน...” ทอกฟังแล้วตกใจมาก
เช้าวันใหม่ เมินเดินผิวปากลงมาจากบันได แต่งเนื้อแต่งตัวเท่ห์ขึ้นดีขึ้น ทอกหลบอยู่หลังพุ่มไม้ โผล่พรวดออกมายืนตาขวางด้วยความโกรธ เมินยิ้มอย่างดีใจ
“ไอ้ทอก”
“อย่ามาแตะตัวฉัน พี่ไม่ใช่พี่ของฉันแล้ว”
เมินอึ้งไป
“ไอ้ทอก...”
เมินเหลียวซ้ายแลขวา กลัวคนมาเห็นทอกรีบดึงทอกเข้ามุมหลบ ทอกสะบัดด้วยความรังเกียจ
“ไม่ใช่อย่างที่เอ็งคิดนะ”
“แล้วที่ฉันเห็นนี่ล่ะ พี่ทิ้งชาวนาที่กำลังลำบาก มาเสวยสุขกับเงิน พี่เคยเป็นคนมีศักดิ์ศรี เป็นพี่ชายในความฝันของฉัน พี่แทงฉันให้พรุนทั้งตัวยังดีกว่า”
“ไอ้ทอก พี่...”
“ฉันไม่ได้มาขอเศษอาหารพี่หรอก แค่มาดูหน้าไอ้คนทรยศเท่านั้นเอง ต่อไปนี้...เราเลิกเป็นพี่น้องกัน”
ทอกน้ำตาคลอด้วยความแค้นใจ ผละออกไป เมินมองตามอย่างเศร้าๆ
เกษตรอำเภอนำตัวอย่างของพันธุ์ข้าวปลูก ที่จะแจกจ่ายให้ชาวนาหลังน้ำท่วม
“นี่เป็นข้าวพันธุ์ใหม่ที่ศูนย์วิจัยข้าวเพิ่งส่งมา เป็นข้าวพันธุ์ที่สามารถปลูกในน้ำท่วมสูงได้ แข็งแรง สู้โรคได้ดี ทางอำเภอจะจัดแบ่งให้หัวหน้าชุมชนเอาไปแจกจ่ายให้ชาวนาหลังน้ำท่วม”
ศรีไพรยิ้มรับ
“ขอบคุณมากค่ะ พันธุ์ข้าวปลูกเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับชาวนา ฉันจะกลับไปป่าวร้อง บอกพวกเราว่าหลวงช่วยเราเรื่องหาพันธ์ข้าวปลูกให้”
เกษตรยิ้มแย้ม
“โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายครับ”
“แสน เรามีพันธ์ข้าวปลูกแล้ว”
ศรีไพรและแสนต่างตื่นเต้นดีใจ จับมือกันและกัน
ชิงชัยเดินลงมาสั่งงานหลิมและเลิศ ทวน กับเมินนั่งทำความสะอาดปืนกันอยู่คนละมุมต่างมองมายังชิงชัย
“ไอ้หลิม ไปเอาพันธุ์ข้าวปลูกที่เหลือจากปีที่แล้ว ออกมาตากแดดเตรียมขายให้ชาวนาโว้ย น้ำท่วมข้าวเสียหายชาวนาต้องทำนาใหม่”
“แต่พันธุ์ข้าวปลูกของปีที่แล้วมัน...” หลิมกระซิบ “ฝ่อ...หมดแล้วนี่ครับ”
“ฝ่อก็ช่างมันซิวะ ตวงขายเป็นเมล็ดโว้ย ส่วนมันจะงอกหรือไม่งอก...ไม่รับผิดชอบ” ชิงชัยโวยวายเสียงดัง
ทวนและเมินเดินเข้ามาหาชิงชัย คนละมุม
“ทำแบบนั้นชาวนาก็เสียเวลา เสียแรงงานซีคุณ” ทวนต่อว่า
เมินมองเหยียดชิงชัย
“ใช่ หว่านข้าวไม่งอก หรือ...งอก ข้าวก็ไม่มีคุณภาพ ไม่เอาเปรียบไปหน่อยรื้อ...คุ๊ณ...”
ชิงชัยมองหน้าทวนและเมิน ยิ้มขบขัน
“แกสองคนนี่อยู่กับชาวนาจนชิน เลยปรับตัวช้า อยู่กับพ่อฉันแกต้องคิดใหม่”
“คิดยังไง” ทวนถามนิ่งๆ
“ยังไง...คิด”เมินถามกวนๆ
ชิงชัยเดินเข้ามาจ้องหน้าทวนและเมิน
“คิดให้เหมือนพ่อฉัน”
วันต่อมา ศรีแพรและศรีไพรจูงมือกัน ร้องเพลงอย่างมีความสุข มีความหวังขึ้นหลังเหตุการณ์น้ำท่วมผ่านไป สดและแสน สำรวจดินในท้องนาหลังน้ำท่วม
อีกด้านหนึ่ง...
เลิศและหลิมยกปี๊บขึ้นมาตีๆๆๆ เรียกความสนใจจากชาวบ้าน
“ทางนี้ ฟังหน่อย...ไม่อยากฟังก็ต้องฟัง นี่เป็นคำสั่งของเศรษฐีบุญช่วย”
ชาวบ้านพากันเดินผ่านไปมา ไม่มีใครสนใจ ต่างชิงชังรังเกียจพวกของบุญช่วย หลิมไม่พอใจ
“แน้ บอกให้ฟังไม่ฟัง เดี๋ยว...เดี๋ยวมีปัญหา มีข่าวจะป่าวประกาศจากคุณชิงชัย เจ้านายของข้าโว้ย”
ชาวนาไม่สนใจอีก เลิศโมโห
“ยังไม่สนอีกแน่ะ มันเป็นอะไรกันไปหมดวะ ไอ้พวกชาวนา...เฮ้ย ไอ้กล่ำ ตั้งแต่เลิกเกี่ยวดองเป็นลูกหนี้ท่านเศรษฐี มีน้ำมีนวลขึ้นนี่”
“แล้วมีปัญหาอะไรกับญาติฝ่ายแม่เอ็งมั้ย” กล่ำสวนกลับกวนๆ
หลิมโกรธ
“ไอ้กล่ำ หนอย...โอหังมากไปแล้ว ที่ข้ามาประกาศนี่เพราะมีข่าวดี”
กล่ำมองหยัน
“ดีสำหรับใคร สำหรับนายเอ็ง หรือว่าสำหรับชาวนา”
“ดีสำหรับทุกคน คือว่า...”
เลิศโอบไหล่กล่ำ พยายามตีสนิท พูดดีด้วยเพื่อผลประโยชน์ ศรีแพร ศรีไพรและแสนเดินเข้ามาฟัง
“เศรษฐีบุญช่วยเห็นว่าชาวนากำลังลำบาก ข้าวถูกน้ำท่วมเลยเอาข้าวปลูกออกมาขาย ราคา...แบบ...แบบ...สมเหตุสมผล ข้าวปลูกพันธุ์ดีเชียวนะโว้ย ไม่มีข้าวปลูกจะทำนาได้ยังไง”
หลิมรีบเสริม
“ไม่ดีใจหรือวะ มีคนเอาข้าวปลูกมาขายให้ถึงที่ยังงี้”
ศรีไพรยิ้มเยาะ
“ไม่มีใครสนใจพันธุ์ข้าวปลูกของเศรษฐีบุญช่วยหรอก เพราะตอนนี้เรามีพันธุ์ข้าวปลูกพันธุ์ดี”
ศรีแพรมองเย้ย
“ฟรี ไม่เสียตังค์”
“รับรองการงอกทุกเมล็ด” แสนพูดอย่างมั่นใจ
ศรีแพรมองเยาะๆ
“ไม่ใช่หว่านหาย...หว่านหาย...กลายเป็นหมัน”
ศรีไพรจ้องหน้า หลิมกับเลิศด้วยสายตาดูถูก
“ไปบอกเศรษฐีบุญช่วยด้วยว่าพันธุ์ข้าวปลูกค้างปีน่ะ เอาไปเผาเป็นแกลบแล้วใส่ต้นไม้ซะ เพราะมันเป็นได้อย่างเดียว...”
ศรีแพรพูดต่อ
“ปุ๋ย!”
หลิมและเลิศกัดฟันกรอดด้วยความแค้นใจ
บุญช่วยเดินลงมาจากบ้านหน้าตาบึ้งตึง โกรธเมื่อรู้ว่าทางการหาพันธุ์ข้าวปลูกใหม่ให้กับชาวนาหลังน้ำท่วม
“มันได้พันธ์ข้าวปลูกฟรีๆ แล้วใครจะซื้อพันธ์ข้าวปลูกที่เหลือแบะตั้งแต่ปีที่แล้ว ต้องเป็นความคิดของไอ้ศรีไพร กับนังศรีแพรแน่”
ทวนและเมิน หันมาสบสายตากันโดยไม่ตั้งใจ ทั้งสองรีบหันหน้าไปคนละทาง ชิงชัยไม่พอใจมาก
“มันไปเอาพันธุ์ข้าวปลูกมาจากไหน ไปเผามันทิ้ง”
ทวนรีบถลาเข้ามายุ
“ใช่ ต้องเผาทิ้ง ทำยังงี้มันล้ำหน้าเศรษฐีบุญช่วยนี่หว่า”
“ให้ไอ้หลิมกับไอ้เลิศไปจัดการเลยนะครับคุณชิงชัย” เมินยุส่ง
หลิมกับเลิศตาเหลือก หวั่นกลัว
“จะได้หลาบจำ ไม่กล้าขัดผลประโยชน์ของเศรษฐีบุญช่วยอีก” ทวนแกล้งพูดเอาใจ บุญช่วยยิ้มพอใจ
“ฮึ ความคิดไอ้สองคนนี่เข้าที เผามันทิ้งซะ ไอ้หลิม ไอ้เลิศ”
หลิมหน้าเสีย
“อ้า...เห็นจะไม่ได้หรอกครับท่านเศรษฐี”
“ทำไมวะ” ชิงชัย ถามเสียงเข้ม
เลิศอึกอักพูดเสียงอ่อย
“อ้า...เผาอำเภอทิ้งความผิดเจ็ดชั่วอายุคนเชียวนะครับท่านเศรษฐี พันธุ์ข้าวปลูกที่ไอ้ศรีไพรมันว่าน่ะ...เป็นพันธุ์หลวงท่านแจกชาวนาครับ”
บุญช่วยกับชิงชัยอุทานขึ้นพร้อมๆ กัน
“อ้าววววว!”
ทวนกับเมินเผลอตัวหันมายิ้มให้กัน แล้วรีบหุบปาก หันหน้าไปคนละทาง
ค่ำคืนนั้น ศรีแพรนั่งเจียนใบตองอยู่ที่ชานเรือนมืดๆ ศรีไพรยกตะเกียงมาวาง
“ฉันดีใจที่พี่ตัดใจจากพี่เมินได้ ถึงพี่จะพยายามเก็บความรู้สึกแค่ไหน แต่ฉันก็รู้ว่าพี่เจ็บปวด”
“เจ็บไปทำมั้ย” ศรีแพรท่าทีเฉยเมย “ผู้ชายแค่คนเดียว ทำอะไรได้ ในเมื่อเราผู้หญิงก็ทำได้เหมือนผู้ชาย”
“พี่เข้มแข็งขึ้นมากเลยนะ พี่ศรีแพร”
“ก็พรุ่งนี้เราต้องหว่าน ต้องไถ ต้องลงมือดำนาเองนี่นา อ่อนแอได้หรือ”
ศรีไพรอึ้งไป
“พี่ศรีแพร...”
“ไม่ต้องห่วงพี่หรอก พี่จะดีขึ้นเรื่อยๆ พี่รู้แล้วละว่าพี่รักท้องนาของพ่อ นาทำให้พี่มีความหวัง...หวังใหม่ๆ อยู่ทุกปีว่าเราจะเก็บเกี่ยวได้ มีข้าวพอแบ่งปันกันกินในบ้านนา”
ศรีแพรถอนหายใจยาว ลึกซึ้ง น้ำเสียงเศร้าหมองลงทั้งที่ใบหน้ายิ้ม
“แล้วก็รักสามัคคีกัน!”
ยามยืนหลับๆ ตื่นๆ สัปหงกเฝ้าประตูกระท่อม เลิศและหลิมแบกถังบรรจุสารเคมี ส่างลองเปิดประตูกระท่อมออกมารับทั้งสอง เมินแอบดูอยู่หลังต้นไม้ ทวนแอบดูอยู่มุมหนึ่ง สักครู่เมินลงคลานไปตามพื้นดิน เพื่อเข้าไปดูใกล้ๆ ทวนก็คลานไปตามพื้นดินเหมือนกัน เพื่อเข้าดูใกล้ๆ ทวน และเมินคลานเข้ามาชนกัน ต่างตกใจ
“แก อีกแล้วเหรอ” ทวนถามอย่างแปลกใจ
“แก มาทำอะไรที่นี่ นี่เป็นเขตหวงห้ามของเศรษฐีบุญช่วยนะ” เมินถามอย่างสงสัย
ทวนมองหน้าเพื่อน
“แกอยากเห็นอะไร ฉันก็อยากรู้เรื่องนั้นแหละ”
“แล้วแกคิดว่าในกระท่อมนั่นมีอะไร เฮ้ย...หลบ!”
ส่างลองเปิดประตูกระท่อม เดินผ่านยามออกไปพร้อมกับเลิศและหลิม เมินหันมาสบสายตาทวน
“แกกลับไป” ทวนกระซิบไล่
“แล้วแกล่ะ” เมิน กระซิบกลับ
“แกไม่อยากรู้หรอกน่ะว่าในกระท่อมนั่นมีอะไร”
“ใครบอกว่าฉันไม่อยากรู้ ฉันก็อยากรู้เหมือนแกนั่นแหละว่าไอ้หลิมไอ้เลิศมันขนอะไรเข้ามาเก็บในกระท่อม”
“งั้น...!”
ทวนและเมินลุกขึ้นยืนพร้อมๆ กัน หันมาสบสายตากัน ทวนโยนก้อนหินใส่ยาม ยามสะดุ้ง
“ใครวะ”
ยามออกเดินตรวจ เมินโยนก้อนหินเข้าไปในป่า
“เฮ้ย...นั่นใคร”
ยามรีบตามเสียงออกไป ทวนและเมินหันมายิ้มให้กัน
อ่านต่อ หน้า 2
เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 24 (ต่อ)
ทวนเปิดประตูกระท่อมออกอย่างช้าๆ แล้วทั้งสองเข้ามาสำรวจถังสารเคมีที่
เลิศและหลิมแบกเข้ามาเก็บ ทวนดมกลิ่นหน้าตาเคร่งเครียด
“นี่มันเป็น...”
เมินหน้าตื่น
“สารเริ่มต้นที่เขาใช้ผลิตยาเสพติดนี่”
ทวนเงยหน้าขึ้นมองเมินด้วยความแปลกใจ
“แก...รู้”
เมินยิ้มเกลื่อน
“เดา...คาดหมาย...คิดว่า...”
ทวนมองหน้าเมินอย่างสงสัย
“แกคิดยังไง”
“สงสัยเศรษฐีบุญช่วย เจ้านายของเราจะผลิตยาเสพติดน่ะซิ!” เมินบอกด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
สไบค่อยๆ เปิดประตูก้าวออกมาแล้วย่องไป ทันใดนั้นเสียงแหว่งดังขึ้น
“จะไปไหนคะคุณสไบของบ่าวขา”
สไบสะดุ้ง
“นังแหว่ง แก...นี่แกยังไม่กลับไปนอนอีกหรือ”
“กำลังจะกลับไปนอนแต่เห็นแมวซะก่อนค่ะ แมวมันกำลังย่อง...ย่อง...ย่องจะไปขโมยปลาย่างค่ะ”
สไบบิดหู แหว่งพยายามส่งเสียงร้องแบบไม่ออกเสียง
“เวลาฉันจะไปทำเรื่องร้ายๆ...น่ะรู้ดีนะนังแหว่ง ไป...ไปนอน แล้วนอนให้หลับล่ะไม่ต้องสาระแนเรื่องของฉัน”
แหว่งยิ้มอย่างรู้ทันนาย
“รู้เลย...ว่าจะไปกินปลาย่างตัวไหน”
“นังแหว่ง...” สไบดุ
“ไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะ คุณสไบของบ่าวขา”
แหว่งรีบแล่นถลาออกไป สไบตวัดค้อนก่อนจัดเสื้อผ้าให้เซ็กซี่ค่อยๆ เดินนวยนาดทิ้งสายตาหวานเชื่อมออกไป
ชาริณีมีอาการเสี้ยนยาเสพติด เข้ามาเคาะประตูห้องทวน ใบหน้าของเธอแดงกล่ำ เนื้อตัวสั่นสะท้าน นัยน์ตาเลื่อนลอยเหมือนคนไร้สติ
“คุณทวน...เปิดประตู เร็วๆ เปิดประตูรับฉันด้วย ฉันจะอยู่กับคุณ ฉันจะไม่อยู่กับมันอีก ฉันอยากเลิก...”
เงียบไม่มีเสียงตอบออกมา ชาริณีผลักประตูเข้าไป กวาดสายตามองหาทวน
“คุณทวน...ไปไหน”
ทันใดนั้นเสียงทวนดังขึ้น
“ผมอยู่นี่”
ชาริณีหันกลับมา ทวนก้าวผ่านประตูเข้ามา
“คุณทวน...”
“คุณเข้ามาทำไม”
ชาริณีผวาเข้ากอดทวน อาการเสี้ยนยาเริ่มหนักขึ้น
“ช่วยฉันด้วย กอดฉันไว้...กอดแน่นๆ ฉันไม่อยากกลับไปเสพมันอีก ฉันอยากเลิก...ช่วยฉันที ฉันต้องเลิกมัน กอดฉันซี...กอด...กอดฉัน!”
ชาริณีโอบกอดทวนไว้แน่น ทวนลังเล ไม่ยอกกอดมีเพียงความรู้สึกสงสารชาริณีเท่านั้น
“คุณทวน ช่วยด้วย!”
ทวนถอนหายใจ ค่อยๆยกมือขึ้นโอบกอดชาริณีอย่างปลอบโยน
สไบย่องเข้ามาเคาะประตูห้องของเมิน ไม่มีเสียงตอบ สไบขมวดคิ้ว
“คุณเมิน ฉันเอง...”
เมินเพิ่งกลับจากสืบความที่กระท่อมในป่า รีบหลบมุม สไบเปิดประตูห้องเข้ามา กวาดสายตามองหาเมิน
“เลิกเล่นซ่อนหาเสียทีเถอะ ฉันรู้นะว่าคุณอยู่ใต้เตียง” สไบนั่งลงบนเตียงนอน “ถ้าคุณร่วมมือกับฉัน โค่นเศรษฐีบุญช่วย เราจะแบ่งผลประโยชน์กัน จะให้ความร่วมมือกับฉัน หรือว่าจะให้ฉัน...ปลุกปล้ำ...บังคับ...ขืนใจ”
เมินตาเหลือกไปด้วยความตื่นตระหนก
“เราน่าจะตกลงกันได้ นี่เป็นธุรกิจ แล้วฉันกับคุณก็พึ่งพากันได้ เราจะยิ่งใหญ่มีอำนาจเหนือคนทั้งบ้านนา ถ้าเราร่วมมือกัน” สไบขมวดคิ้ว ก้มลงมองที่ใต้เตียงไม่พบเมิน “คุณเมิน...ไปไหน”
เมินที่แอบอยู่ตื่นกลัวสไบ
วันใหม่ เนี้ยว ศรีไพรและศรีแพร ช่วยกันแบ่งปันพันธุ์ข้าวปลูกที่ได้รับมาจากเกษตรให้แก่ชาวนา โดยมีเจ๊กตงคอยจัดการ หมอกยกกระสอบพันธุ์ข้าวให้กล่ำ
“เอ้า ไอ้กล่ำ ของเอ็งเอาไป”
ศรีไพรหันไปหาชาวนาที่รับพันธ์ข้าวไป
“เก็บให้ดีนะ เคยมีเรื่องข้าวปลูกหายมาแล้ว ข้าวปลูกสำคัญสำหรับชาวนา”
“ถ้าหาย ก็แจ้งจับเศรษฐีบุญช่วยได้เลย” ศรีแพรพูดขำๆ
ทันใดนั้น ชิงชัยเดินนำหน้าเลิศและหลิมเข้ามา
“จะมาแจ้งจับพ่อฉันเรื่องอะไร ข้าวปลูกหายก็ตัวใครตัวมันซี กะอีแค่ข้าวปลูกหายก็ซื้อใหม่ได้ เรามีปุ๋ยเคมีเป็นของแถม”
“เดี๋ยวนี้พวกเราไม่ใช้สารเคมีกันแล้ว” ศรีไพรแย้ง
ศรีแพรมองเยาะ
“ทำปุ๋ยชีวภาพใช้เอง เงินไม่เสีย ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมแล้วก็ได้ผลผลิตดีเกินคาด”
เจ๊กตงมองพวกชิงชัยอย่างไม่พอใจ
“อย่ามาหาเรื่องพวกเราเลย พวกแกได้ไอ้ทวนไอ้เมินไปแล้ว จะต้องการอะไรอีก”
เนี้ยวมองชิงชัยเหยียดๆ
“ไม่มีใครเขาเชื่อขี้ปากแกอีกแล้ว”
ชิงชัยโกรธจะเล่นงานเนี้ยว
“ม่วยเนี้ยว...”
เจ๊กตงเข้าขวาง
“นี่ อย่ามาแตะต้องลูกสาวของเตี่ยนะ ไม่มีใครในบ้านนาที่พวกแกจะซื้อได้อีกแล้ว แม้แต่...”
เจ๊กตงนิ่งไป ชิงชัยถามอย่างสงสัย
“แม้แต่ใครวะ”
เจ๊กตงอ้าปากจะตอบ แต่ศรีไพรรีบเข้ามาปิดปากเจ๊กตง ก่อนยื่นหน้าเข้ามาท้าทาย
“หลวงตา...!”
หลวงตาหันมาหยิบผ้าเช็ดปาก ก่อนที่จะกระแอมกระไอ ทำทีเป็นหูตึง
“อ้อ...นึกว่าใคร ที่แท้ก็เศรษฐีบุญช่วยนี่เอง เกิดศรัทธาขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ถึงได้ยกขบวนมาจองกฐิน” หลวงตาหันไปเรียก “ท่านมหาเฉื่อย...”
มหาเฉื่อยหยิบสมุดบัญชีมาเตรียมจด
“บันทึกลงในบัญชีหนังสุนัขเลยนะขอรับหลวงพ่อ ว่ากฐินใหญ่กฐินยักษ์ปีนี้ เศรษฐีบุญช่วยเป็นผู้จอง”
หมอกกับทอกยกมือพนมท่วมหัว
“ขออนุโมทนา พุทธบริษัท จำกัด มหาชน”
สไบมองเซ็งๆ
“มุขเดิมๆ อีกแล้ว”
บุญช่วยกับพวกกัดฟันกรอด
“เอ้อ...อ้า...”
หลวงตาหันมายิ้มแย้มให้บุญช่วย
“จะไปจะมา...อาตมาไม่ถือหรอก คนกันเองเห็นกันอยู่ เศรษฐีบุญช่วยมี ศรัทธาต่อศาสนา ท่านมหาเฉื่อย...บันทึกลงไปว่า...”
“เศรษฐีบุญช่วยบริจาคทรัพย์เพื่อบำรุงศาสนา เป็นจำนวนเงิน...” มหาเฉื่อยถาม
สไบรีบพูดกลัวเสียเงินมาก
“ห้าร้อย...”
หลวงตาหูตึงได้ยินเป็นอีกอย่างก็หน้าตื่น
“หา ตั้งห้าหมื่นเชียวเรอะโยม บันทึกลงไปท่านมหาเฉื่อย หลังน้ำท่วมนี่ข้าวปลาคงจะดี มีน้ำท่าสมควรแก่อัตภาพของชาวนา อาตมาขออนุโมทนาด้วยนะ โยมบุญช่วย”
มหาเฉื่อยยกมือพนมท่วมหัว
“สา...”
มหาเฉื่อยยังไม่ทันพูดคำว่าธุ บุญช่วยรีบขัดขึ้น
“เปล่าครับหลวงพ่อ ผมไม่ได้มาจองกฐินหรือบริจาคทรัพย์”
หลวงตาทำหูตึงทันที
“อะไรนะ ไม่ได้มาถือศีล ไม่ได้มากินตับ”
ชิงชัยชักหงุดหงิด พูดขึ้นเสียงดัง
“พ่อของผมจะมายื่นประมูลทำวัตถุมงคล พ่อเห็นว่าปีนี้หลวงตาก็มีพรรษามาก มีลูกศิษย์ลูกหา มีผู้เคารพนับถือ พ่อก็เลยจะมาชวนพระคุณเจ้าร่วมโครงการ...”
ชิงชัยยังพูดไม่จบ มหาเฉื่อยถามขัดขึ้น
“โครงการอะไร”
“ทำเหรียญหลวงพ่อฉุนจำหน่าย วัดอยู่นิ่งๆ พ่อเป็นคนลงทุนจ้างคนออกแบบแกะพิมพ์ แล้วซื้อเครื่องปั้มเหรียญ เรามีฝ่ายประชาสัมพันธ์ สร้างเรื่องอภินิหาร คนสนใจเรื่องอิทธิฤทธิ์หลวงพ่อฉุน สั่งซื้อไปป้องกันตัวกันเพียบแล้วยังไงไอ้หลิม ไอ้เลิศ” ชิงชัยอธิบาย
หลิมกับเลิศ ทำท่าตีกลองยาวเข้าจังหวะ
“กึ่งๆๆๆ พระครึ่งนึง กรรมการครึ่งนึง มึงมั่ง...กูมั่ง มึงมั่ง...กูมั่ง...ฯลฯ”
หลวงตากับมหาเฉื่อยหันมาสบสายตากันอย่างงงงัน
มหาเฉื่อย ทอกและหมอก ช่วยกันไล่บุญช่วยและพวก ต่างลนลานลงมาจากศาลาอย่างล้มลุกคลุกคลาน
“ไป กลับไปซะ หลวงตาท่านไม่รับนิมนต์เป็นนายแบบ...เอ๊ย...เป็นแบบเหรียญหรอก เรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์น่ะมันเรื่องงมงายมอมเมาทั้งนั้น ไปให้พ้น” หมอกไล่ตะเพิด
“มาทางไหนไปทางนั้น แล้วเรื่องจองผ้าป่าจองกฐินน่ะ จองแล้วจองเลยนะ” มหาเฉื่อยตะโกนไล่หลัง
“หนอย...กึ่งๆๆ พระครึ่งนึง...กรรมการครึ่งนึง...มึงมั่ง...กูมั่ง...มึงมั่ง...กูมั่ง...นี่แน่ะ”
ทอกคว้าของใกล้ตัวขว้างใส่หลิมกับเลิศ...พวกของเศรษฐีบุญช่วยและชิงชัย วิ่งล้มลุกคลุกคลานออกจากวัดไป
ศรีไพรเต็มไปด้วยความโกรธ เมื่อรู้ว่าบุญช่วยเสนอให้มีการสร้างวัตถุมงคล เพื่อหาประโยชน์กับวัด เอาหลวงตาเข้าเป็นพวกของตน
“คนพวกนี้มันต้องตกนรกขุมไหนนะ มันถึงจะมีสำนึกเรื่องบาปบุญคุณโทษ”
ศรีแพรถอนใจ
“ก็ไม่น่าไปยุมัน ให้มันซื้อหลวงตาไปเป็นพวก เศรษฐีบุญช่วยเลยนึกว่าจะเอาปัจจัยไปหลอกหลวงตาฉุนท่านได้”
“ก็ใครจะไปนึกล่ะว่าเศรษฐีบุญช่วยจะงก พระเจ้าก็ไม่ละเว้น”
ทอกกับหมอก นั่งอยู่ที่บันได หน้าตาระโหยระเหี่ย
“ฉันว่าตอนนี้เศรษฐีบุญช่วยมันเหิมเกริม เพราะมันได้ตัวพี่เมินพี่ทวนไปแล้ว” ทอกพูดเสียงเครียด
ศรีไพรสลดลง แต่ศรีแพรกลับเข้มแข็งขึ้น
“แต่คนบ้านนายังอยู่ ใครจะไปเป็นพวกใครก็ช่างเขาเถอะ พวกเราต้องอยู่ด้วยกัน จับมือกันแน่นๆ”
ศรีไพรแปลกใจในท่าทีของพี่สาว
“พี่ศรีแพร นี่พี่ลืมพี่เมินได้แล้วจริงๆ หรือ”
ศรีแพรแววตามุ่งมั่น
“ใช่ ผู้ชายเลวๆ จำไว้ทำไม พี่จะเก็บหัวใจของพี่ไว้เปิดรับผู้ชายดีๆ”
หมอกและทอกต่างแปลกใจกับท่าทีของศรีแพร หันมามองสบสายตากัน
ชาริณีเดินลงมาหาทวนที่ลานหน้าบ้าน หน้าตาของเธอสดใสขึ้น เพราะพยายามเลิกยาเสพติด
“ฉันขอบคุณที่คุณช่วยฉัน ถึงฉันจะยังเลิกมันไม่ได้แต่ฉันจะพยายาม”
“คุณต้องคิดถึงตัวเองให้มากๆ คนทุกคนไม่ได้มีชีวิตอยู่แค่วันนี้ ต้องมีวันข้างหน้า วันที่ต้องมีอะไรมากมายให้ตัวเอง”
“เพราะยังงี้ไงล่ะ ฉันถึงต้องการให้คุณอยู่ใกล้ๆ ฉัน...ฉันกลัว”
“คุณยังไม่ได้บอกผมเลยว่าทำไมต้องกลัว พ่อคุณกับพี่ชายคุณมีทั้งเงินทั้งอิทธิพล ทำไมคุณต้องกลัวจ่าสิน”
“ก็เพราะว่าจ่าสิน...”
จ่าสินขับรถเข้ามาจอด ก้าวลงมา จ้องมองมา ชาริณีเริ่มมีอาการหวาดกลัว เข้าหลบหลังทวน
“มีคนคุ้มกันดีนะ แต่จะคุ้มกันกันได้อีกนานแค่ไหนนี่ซิ สงสัย”
ทวนมองจ่าสินอย่างเย้ยหยัน
“คุณชาริณีมีคนคุ้มกัน แต่จ่านี่ซิ ไอ้ที่คุ้มกันจ่าอยู่เป็นแค่เปลือกนะ เมื่อไหร่ที่เปลือกหลุดเหลือแต่เนื้อในล้วนๆ ระวัง!”
จ่าสินโกรธ ผลุนผลันขึ้นเรือนไป ชาริณีมองตามด้วยแววตาหวั่นกลัว หันมาสบสายตาทวน
“จ่าสินมาหาพ่อคุณทำไม” ทวนถามอย่างสงสัย
บุญช่วยหันไปสั่งชิงชัย
“ถ้าพร้อมก็ลงมือเลย เรารอไม่ได้อีกแล้วนะจ่า ถือโอกาสตอนที่ชาวนากำลังสะบักสะบอมเรื่องน้ำท่วมนี่แหละ เดินเครื่องเลย”
“แน่ใจนะว่าทางนี้ปลอดโล่ง ไม่มีหนอนคอยบ่อนไส้” จ่าสินถามอย่างไม่สบายใจ
บุญช่วย ยิ้มแย้ม
“ไม่มี ไอ้ทวนกับไอ้เมินมันกลายเป็นพวกเราแล้ว ชาวบ้านกับหลวงตาฉุนจะไปรู้อะไร”
“หรือรู้ ก็จะทำอะไรได้ โรงงานของเราอยู่ในที่ลับตา เวลาขนก็ใช้รถขนดินตบตาพวกชาวบ้าน” ชิงชัยบอกอย่างมั่นใจ
จ่าสินพยักหน้าเห็นดีด้วย
“งั้นจะรออะไรอยู่ล่ะ ลงมือเลย”
บุญช่วยยิ้มด้วยความพอใจ
ค่ำคืนนั้น ศรีแพรเดินมาปิดหน้าต่างห้องนอน เมินชะเง้อรออยู่ รีบโยนก้อนกรวดใส่ ศรีแพรกวาดสายตามอง
“พี่เอง...ศรีแพร”
“ฉันจะทำบุญกรวดน้ำ อุทิศส่วนกุศลไปให้นะ”
ศรีแพรจ้องมองแววตาชิงชัง ก่อนจะปิดประตูด้วยท่าทีเย็นชา ยืนพิงหน้าต่างหลับตานิ่งๆ พยายามข่มหัวใจให้เข้มแข็ง เพราะเธอยังรักเขาอยู่ แต่เสแสร้งว่าลืมได้ ศรีไพรก้าวเข้ามา จ้องมองพี่สาว
“พี่เมินใช่มั้ย”
ศรีแพรรีบเช็ดน้ำตา
“เปล่า”
ศรีไพรเข้ามาเปิดหน้าต่าง กวาดสายตามองออกไปก่อนปิดลง
“แปลก ไปเป็นพวกเศรษฐีบุญช่วยแล้ว ยังมาเวียนว่ายตายเกิดอยู่กับพี่ศรีแพรอีก พี่เมินเขาทำเหมือนเขายังรักพี่ศรีแพรอยู่นะ”
“เขาจะทำยังไงก็ช่างเขาเถอะ แต่พี่ไม่รักเขาแล้ว”
“พี่ศรีแพร พี่พูดจริงๆเหรอ”
“จริงหรือไม่จริง พี่จะพิสูจน์ตัวเองให้น้องเห็นว่าพี่อยู่คนเดียวได้ โดยไม่ต้องมีใคร...พี่จะไปนอนกับแม่นะ”
ศรีไพรอึ้งไป
“พี่ศรีแพร...”
ศรีแพรเปิดประตูห้องนอนเดินออกไป ศรีไพรมองตามหน้าสลดลง เพราะเธอยังคงรักทวนอยู่เช่นกัน
เช้าวันใหม่ ชาวนากำลังพลิกฟื้นผืนนาหลังน้ำท่วม ศรีไพรเดินย่ำอยู่บนคันนา มองออกไปยังท้องนาด้วยความรู้สึกเศร้าหมอง ทวนก้าวเข้ามา ศรีไพรสะบัด ถอยก้าว จ้องมองทวนด้วยความชิงชังรังเกียจ
“ออกไป น้ำท่วมมันล้างเสนียดทุ่ง ล้างรอยมือรอยตีนของคนสับปลับหลอกลวงไปหมดแล้ว อย่ากลับมาให้ทุ่งนามันเห็นหน้าอีก”
“ศรีไพร จะไม่ยอมฟังเหตุผลของพี่เลยหรือ”
“เหตุผลอะไร ที่ทำมาทั้งหมดมันบอกอยู่ทนโท่ ไม่มีใครต้องการรู้เหตุผลหรอก คนบ้านนาไม่ต้อนรับ ไม่ให้อภัยเหมือนตอนที่นายไปติดคุกกลับมา”
ทวนแววตามุ่งมั่นขึ้น
“ศรีไพร อีกไม่นาน พี่ขอเวลาอีกไม่นาน”
“ไม่มีเวลาจะให้ ที่ผ่านมาฉันก็เสียดายเวลาที่ฉันรู้สึกดีๆกับนาย รักจะเป็นเขยเศรษฐีบุญช่วยมันต้องเลวสมบูรณ์แบบ เหมือน...พ่อตา”
ศรีไพรสะบัดหน้าออกไป ทวนมองตาม แววตาสลดลง
ที่ร้าน...เจ๊กตงขายของเชื่อให้กล่ำ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม...
“เอ้า อาม่วยเนี้ยวลงบัญชีไว้ ได้ข้าวแล้วค่อยเอาเงินมาล้างหนี้ บัญชีจะได้ไม่เป็นหางว่าว”
เนี้ยวยิ้มแย้ม
“เดี๋ยวนี้เตี่ยใจดี เพราะเห็นใจคนบ้านนาเรา ยามยากก็ต้องช่วยเหลือกันเท่าที่ช่วยได้”
“ช่วยเหลือ หรือว่าทำการค้าแข่งขันกับไอ้แขกวะ การเปิดการค้าเสรีมันดียังงี้แหละ” มหาเฉื่อยหันไปมองทอกกับหมอกอย่างแปลกใจ “ไอ้ทอก ไอ้หมอก เอ็งสองคนเป็นอะไรวะ เอาแต่นั่งกอดเข่าถอนหายใจเฮือกๆ ข้าวก้นบาตรก็มีกิน กฐินก็มีคนจองแล้ว จะกลุ้มใจอะไรอีกวะ ไอ้เด็กวัด”
“ฉันคิดถึงพี่ทวน” หมอกบอกเสียงเศร้า
“ฉันก็คิดถึงพี่เมิน” ทอกพูดเสียงอ่อย
เนี้ยวถอนใจ
“ไปคิดถึงทำไมคนรวนเรพรรค์นั้น เนี้ยวยังไม่คิดถึงอีเลย อาศรีไพรกับพี่ศรีแพรก็ลืมพี่ทวนพี่เมินไปหมดแล้ว ชาวบ้านนาร่วมมือกันสู้อิทธิพล ไม่ใช้ของๆ เศรษฐีบุญช่วยก็อยู่ได้”
เจ๊กตงหันไปมองหมอกกับทอกอย่างเข้าใจ
“อาทอก อาหมอก ใครไม่รักเราก็ไม่ต้องไปรักมัน ดูตัวอย่างอาม่วยเนี้ยวของอั๊ว เมื่อก่อนหายใจเข้าพี่ทวน หายใจออกพี่เมิน แล้วเดี๋ยวนี้เป็นยังไง”
เนี้ยวเบ้หน้าเหยียดๆ
“เกลียดๆๆๆ เกลียดทั้งพี่ทวน พี่เมิน”
ทอกผุดลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธ
“แต่ฉันเกลียดพี่ฉันไม่ได้หรอก”
หมอกค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ถอนหายใจเนือยๆ ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
“ข้าก็เหมือนกัน ข้าเกลียดพี่ทวนของข้าไม่ลงหรอก ข้าจะเอาพี่ทวนของข้ากลับมา”
“ข้าด้วย ข้าจะไปเอาพี่เมินของข้ากลับ”
ทั้งสองผลุนผลันออกไป มหาเฉื่อย เจ๊กตงเนี้ยวมองตามไปอย่างตื่นตระหนก
จบตอนที่ 24
อ่านต่อ ตอนที่ 25 วันพรุ่งนี้