เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 19
เช้าวันใหม่สไบเดินนำหน้าแหว่งลงบันได ชาริณียืนอยู่ ถามเยาะหยัน
“จะไปไหน”
“ไปเดินให้ผู้ชายวัดรอยรองเท้า”
สไบเดินเชิดหน้า ท่าทียโสยิ่งกว่าเก่า แหว่งเบะหน้าหยิ่งผยองตามเจ้านาย
“เชอะ...”
ชาริณีมองตามหลังสไบ และแหว่งอย่างไม่พอใจ
“นังสไบ ทำท่ายโสยิ่งกว่าเก่าซะอีก...นั่นมันจะทำอะไรน่ะ”
ชาริณีมองตามไปด้วยความสงสัย
ทวนเดินอยู่ริมทาง ชะงักเมื่อสไบจอดรถยนต์ ทักทายด้วยรอยยิ้มยั่วยวน แหว่งซึ่งทำหน้าที่ขับรถยนต์ให้สไบนั่ง ทำท่ายิ้มยั่วยวนตามนายไปด้วย
“จะไปไหน ถ้าจะเข้าเมืองละก็...ไปด้วยกันก็ได้นะ”
“ขอบคุณครับ แต่ว่า...”
“ฉันเป็นมิตร อย่างน้อยก็อยากเป็นมิตรกับคุณ”
“ผมจะไปบ้านศรีไพรน่ะครับ อยู่คนละทิศกับในเมืองที่คุณจะไป ผมไม่รบกวน ขอบคุณครับ”
ทวนเดินแยกออกไป สไบมองตามด้วยรอยยิ้ม แหว่งมองตามสายตาของสไบ เริ่มร้อนใจ
“คุณสไบของบ่าวขาจะทำอะไรคะ”
“ฉันรู้แล้วว่าจะใช้ใครล้วงตับไอ้แก่”
“คุณสไบ นี่คุณสไบของบ่าวขาจะ...จะ...”
“ไม่ใช่อย่างที่แกคิดหรอก ไปเถอะ...”
แหว่งขับรถยนต์ออกไป
ศรีไพรกำลังทำความสะอาดปืนยาวอยู่ที่แคร่หน้าเรือนไทย ทวนเห็นก็หน้าเครียดทันที
“ศรีไพร อยู่ห่างๆ ปืนเสียบ้างนะ ลืมเสียแล้วหรือว่าเราน่ะเป็นผู้หญิง”
“พี่ทวนจะให้ฉันทำยังไง จับจอบ จับเสียม แล้วก็จับตะหลิวยังงั้นเหรอ”
“ยังไงพี่ก็ไม่เห็นด้วยเลยนะ ที่ศรีไพรจะล้างแค้นด้วยตัวเอง”
ศรีไพรชะงัก ชำเลืองมองทวน เสียงอ่อนลง
“มาทำตัวเป็นพี่ทำไม”
“อ้าว ก็ตอนนี้เราเกี่ยวดองเป็นญาติกันแล้วนี่ ไอ้เมินมันแต่งงานกับศรีแพรแล้ว ถึงจะยังไม่ได้ร่วมหอ แต่เราก็นับญาติกันได้แล้ว พี่น่ะ...ไม่ได้ต้องการเป็นแค่พี่ของศรีไพรเท่านั้นนะ แต่...ตะ...แต่...”
ทวนแววตาอ่อนโยนลง มองศรีไพรด้วยความรัก
“เออ จริงซีนะ ฉันลืมไปว่าพี่เมินแต่งงานกับพี่สาวฉันแล้ว เพราะพ่อตายพี่เมินกับพี่ศรีแพร ก็เลยไม่ได้ส่งตัว”
ทวนรีบขยับเข้ามาจนชิดตัวศรีไพรกระซิบเบาๆ
“ช่างมันเถอะ ไว้ให้เราแต่งงานกันอีกคู่ แล้วค่อยส่งตัวพร้อมๆกันเลย”
เมิน ทอกและหมอก โผล่พรวดพราดขึ้นมา
“เฮ่ย ไม่ได้โว้ย เกิดแกกับศรีไพรไม่ลงตัวซะที ฉันก็แย่น่ะซี” เมินโวยวาย
ศรีแพรส่งเสียงลงมาจากเรือน
“พี่เมินมาเหรอ ดี ฉันกับแม่แกงเลียงไว้ให้พี่แล้ว เร็ว...ขึ้นมาเร็วๆ แม่กับฉันรอกินข้าวพร้อมพี่แน่ะ”
“ไปเดี๋ยวนี้จ้ะ”
เมินหันมายักคิ้วให้ทวน รีบขึ้นเรือนไป ทอกและหมอกรีบตามไป ศรีไพรและทวนหันมาสบสายตากัน
บุญช่วยนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารกับชิงชัย หลิมกับเลิศ ยืนรออยู่ใกล้ๆ แหว่งยกอาหารมาส่งให้สไบที่จัดอาหารบนโต๊ะด้วยสีหน้าเฉยเมย
“ฉันซื้อตัวคนปรุงยามาแล้ว แกส่งรถไปรับมันที่ชายแดน แล้วเอาไปอยู่ที่กระท่อม อย่าให้ชาวบ้านผิดสังเกต เรื่องยาผีบอกของหลวงตาฉุน ถ้าเอาไม่อยู่จริงๆ ค่อยหาวิธีใหม่” บุญช่วยบอก
“เดี๋ยวนี้พวกชาวนามันยโส มันปลูกผักปลูกหญ้ากินเอง ทำปุ๋ยทำยาฆ่าแมลงใช้ ของๆ เราขึ้นอืดขายไม่ออก ทำยังไงดีพ่อ” ชิงชัยถามอย่างกังวลใจ
“นี่เป็นเพราะแกทำอะไรไม่คิด แกฆ่าตาพร ชาวบ้านนาถึงได้ลุกขึ้นมาต่อต้านเรา แล้วนี่ชาริณีไปไหน”
ทุกคนนิ่งเงียบ บุญช่วยหันไปตวาดสไบ
“ฉันถามว่าชาริณีไปไหน ไม่ได้ยินหรือยังไงนังสไบ”
“ใครจะไปรู้ว่าลูกสาวท่านเศรษฐีไปไหน แต่ไม่ต้องห่วงหรอก มีพ่อกับพี่ชายใหญ่โตคับฟ้าออกยังงี้ ใคร...จะไปกล้าทำอะไรคุณชาริณี”
สไบยิ้มเยาะ
ชาริณีก้าวผ่านยามที่เฝ้าหน้ากระท่อม เข้ามาหยุดยืนด้วยท่าทีหวั่นๆ จ่าสินก้าวออกมา
“แก...แกสั่งให้ฉันมาหาแกเรื่องอะไร” ชาริณีถามเสียงสั่นๆ
“ไม่น่าถาม ไม่มีสมองหรือ...”
จ่าสินกระชากชาริณี ท่าทีเหี้ยม
“ไม่รู้ได้ยังไง ว่าผมเรียกคุณมาพบที่กระท่อมร้างนี่ทำไม”
“ปล่อยฉัน ฉันจะฟ้องพ่อว่าแก...”
“คนมีชนักติดหลังอย่างเศรษฐีบุญช่วยจะทำอะไรได้ ไหนจะแก่ ไหนคดีจะรุงรัง คดีใหญ่ๆ ทั้งนั้น อยากจะสนองคุณพ่อกับพี่ชายก็มานี่...”
“แกหักหลังพ่อฉัน แกมันเลี้ยงไม่เชื่อง”
“หมาจิ้งจอกทุกตัว ไม่มีใครเลี้ยงมันเชื่องหรอก...มานี่...”
“อย่านะ...ไม่...”
จ่าสินกระชากร่างของชาริณีเข้ากระท่อม ชาริณีดิ้นรนต่อสู้ แต่ไม่สามารถทานแรงได้
ค่ำคืนนั้น ทวน เมิน ทอก และหมอก ได้มานั่งล้อมวงกินข้าวกับครอบครัวศรีไพร
“เอา กินเข้าไป คิดถึงพ่อเอ็งนะ นี่ถ้าพ่อเอ็งอยู่ละก็...ป่านนี้คงมองค้อน ไม่ก็ค่อนว่า” สดพูดเศร้าๆ
แสนทำเลียนเสียงของพร
“กินเข้าไปเถ้อะ พวกเอ็งกินได้ข้าก็ดีใจ...แต่พอเอ็งกินหมดข้าก็สลดใจ...ฮึ่ม”
ทุกคนหัวเราะกับมุกตลกของแสน แต่ศรีไพรกลับหน้าสลดลง
“แสน...” ศรีไพรปราม
“บาปกรรม เอาพ่อแม่มาล้อเลียน เอ็งนี่ปิดเทอมเห็นจะต้องส่งเข้าวัดบวชเณร หลวงตาฉุนท่านจะได้อบรมสั่งสอน” สดดุ
เมินหันไปยิ้มให้ศรีแพร
“เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วพี่ช่วยล้างชามนะ ศรีแพร”
“ไม่ต้องหรอกพี่ พี่เอาพี่ทวนกลับไปอาบน้ำประแป้ง แล้วก็สวดมนต์นอนเถอะ จ้ะ พรุ่งนี้ต้องไปนากันแต่เช้า”
“ก็ทำไมต้องให้พี่เมินเขาแบกพี่ทวนกลับล่ะ ให้เขานอนเสียที่นี่ไหนๆ ก็แต่งงานกับศรีแพรแล้ว” ทอกแนะ
“ฉันกับไอ้ทอก จะเป็นคนแบกพี่ทวนกลับเอง” หมอกอาสา
สดนึกได้
“เออ จริงซีนะ เจ้าเมินกับศรีแพรแต่งงานกันแล้วนี่ แม่ก็มัวแต่ทุกข์โศกถึงพ่อเอ็งเลยลืม”
เมินกับศรีแพรต่างดีใจที่จะได้อยู่ร่วมหอ ทันใดนั้นเสียงสัญญาณโทรศัพท์ของทวนดังขึ้น ทวนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมามองที่หน้าจอ ก่อนเลี่ยงลงไปจากเรือน ทุกคนมองตามไป
“นั่นเจ้าทวนมันพกโทรศัพท์ด้วยหรือ”
ศรีไพรมองตามไปด้วยความสงสัย
ทวนรับโทรศัพท์ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ครับ...ครับผม...ครับ รับทราบครับ...”
ศรีไพรก้าวเข้ามา จ้องมองทวนด้วยความสงสัย ทวนรีบปิดโทรศัพท์ เก็บใส่กระเป๋ากางเกง ปั้นสีหน้าเกลื่อนพิรุธ
“ศรีไพร ลงมาทำไม เดี๋ยวพี่ก็จะ...”
“ถ้าพี่ทวนมีธุระด่วนก็กลับไปเถอะ ไม่ต้องห่วงทางนี้ พวกนั้นจะอยู่คุยกับแม่ แม่จะได้หายเหงา”
“เอ้อ...พี่ต้องรีบไป”
ศรีไพรพยักหน้า
“ฮื่อ...”
“พรุ่งนี้เจอกันที่ท้องนานะ”
ศรีไพรพยักหน้า ทวนรีบออกไปอย่างงรีบเร่ง ศรีไพรมองตาม เริ่มสงสัยทวน
ชาริณีกลับมาบ้านในตอนเช้า สภาพร่างกายทรุดโทรมบอบช้ำ เห็นสไบยืนรออยู่พร้อมกับแหว่งก็ตกใจ
“นัง...นังสไบ”
“ถ้าฉันเป็นคุณ ฉันจะหาคนไว้คุ้มกัน มีเงินมีอำนาจบารมีออกยังงี้ จะมาทนเป็นเบี้ยล่างผู้ชายสารเลวอย่างจ่าสินทำไม”
ชาริณีอึ้ง
“แก...รู้...”
“ไม่มีสัจจะในหมู่คนชั่วหรอก มองไปรอบๆ ตัวคุณซีมีใครบ้างที่เป็นคนดี”
“รวมทั้งแกด้วยใช่มั้ย”
“ฉันชั่วแล้วเป็นยังไง ฉันก็ไม่ได้ตีหน้าว่าดีนี่ ชีวิตของคุณตกอยู่ในหมู่หมาหางด้วน จะมีหางอยู่ตัวเดียวได้ยังไง”
ชาริณีโกรธ
“แก...นังสไบ...”
“ถ้าอยากจะดิ้นให้หลุดจากไอ้จ่าจอมตะกละนั่น คุณเห็นจะต้องมีตัวช่วยเสียแล้วละ คุณชาริณี”
สไบยิ้มเยาะก่อนเดินนำหน้าแหว่งออกไป ชาริณีมองตามไปด้วยสายตาชิงชัง ก่อนหันกลับมาแววตาเปลี่ยนเป็นครุ่นคิด แล้วก็นึกถึงทวนขึ้นมา...
ชาริณีมาดักพบทวนแต่เช้าตรู่ เพราะต้องการใช้ทวนเป็นผู้คุ้มกันภัยจากจ่าสิน
“คุณทวน” ชาริณียิ้มให้
“คุณน่ะเอง”
ทวนท่าทีมึนตึง เพราะชาริณีเป็นลูกสาวบุญช่วย น้องสาวชิงชัยที่ฆ่าพ่อของศรีไพร ชาริณีรีบเข้ามาคล้องแขนทวนไว้
“ฉันรู้ว่าคุณโกรธพ่อเรื่องที่พ่อเอาเปรียบชาวบ้าน แต่เรื่องยิงนายพรพ่อไม่รู้เรื่องด้วยหรอกนะ”
ทวนจ้องหน้าชาริณี
“เป็นเรื่องของพี่ชายคุณใช่มั้ย”
“ฉันขอโทษแทนพี่ชายฉันไม่ได้ พี่ชายฉันได้ประกันตัว ตอนนี้เขาก็ดีขึ้นเยอะ จะไม่ให้โอกาสเราได้ทำดีกับคุณบ้างเหรอ”
“ทำเป็นเหรอ”
“ถ้าคุณให้โอกาสฉัน ฉันต้องการความช่วยเหลือ มีคุณคนเดียวเท่านั้นที่ช่วยฉันได้”
“คุณ...หมายถึงอะไร”
“ฉันต้องการคนคุ้มกัน”
ทวนยิ้มหยัน
“มามุกเดิมๆ เลยนะคุณ ซื้อคนเอาไปประดับบารมีของเศรษฐีบุญช่วย พอซื้อผม ก็ซื้อเพื่อนผม ซื้อหลวงตาฉุน จากนั้นชาวบ้านนาจะไปไหนรอด ก็ตกอยู่ในเอื้อมของพ่อคุณเหมือนเดิม ไม่เอาดีกว่า”
“ฉันต้องการความช่วยเหลือจริงๆ”
ชาริณีเสียงสั่นน้ำตาคลอ ทวนชะงัก มองชาริณี ศรีไพรและแสนเดินเลี้ยวกำลังจะออกไปท้องนา
แสนเขย่าแขนของศรีไพรให้มองไปยังทวนและชาริณีที่กำลังเกาะเกี่ยวกันอยู่ ศรีไพรจ้องมองอย่างไม่พอใจ
ทอก หมอกและเมิน กลับจากบ้านของศรีแพรด้วยกัน...
“พี่เมินน่าจะหาโอกาสอยู่ร่วมหอลงโรงกับศรีแพรซะเลย ไหนๆ ก็แต่งงานแล้ว งานศพของพ่อตาพี่ก็ผ่านไปแล้ว แม่ก็อาการดีขึ้นแล้ว” ทอกยุยง
“ยังไม่ได้ทำบุญร้อยวันให้พ่อเลย” เมินแย้ง
“พ่อแกถืออะไรไม่เป็นแล้วละ ถ้าแกจะหวงก็ห่วงว่าบ้านนั้นมีแต่ผู้หญิงกับเด็กพี่เมินลังเลอะไรอีก” หมอกสนับสนุน
เมินอึกอัก
“เอ้อ...คือว่า...”
ขณะเดียวกันนั้น ทวนนั่งอยู่ข้างกองไฟ ท่าทีเงียบขรึม ครุ่นคิด ทุกคนมองไปยังทวน
“เฮ้ย เพื่อน กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ แม่ถามหาแกว่าทำไมแกไม่ไปกินข้าว”
ทวนลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไป
“พี่ทวนเขาเป็นอะไรน่ะ” ทอกถาม
ทุกคนมองตามไปด้วยความแปลกใจ
ค่ำคืนนั้นทวนเดินช้าๆ ครุ่นคิดอยู่ในป่าช้า คิดตัดสินใจว่าจะเข้าไปในบ้านบุญช่วยเพื่อสืบคดีดีไหม แต่ยังลังเลเพราะรักศรีไพร ทันใดนั้นเสียงของคนเร่ร่อนที่นอนอยู่บนต้นไม้ดังขึ้น
“อยากได้ลูกเสือก็ต้องเข้าถ้ำเสือ ไม่เข้าถ้ำเสือจะได้ลูกเสือได้ยังไง”
ทวนชะงัก
“ลุงขอทาน นี่ยังอยู่อีกเหรอ”
“เอ็งจะให้ข้าไปไหน”
“เมื่อกี้นี้ลุงพูดว่าอะไรนะ”
“อยากได้ลูกเสือต้องกล้าเข้าถ้ำเสือ กลัว...ไม่กล้าเข้าถ้ำศัตรู แล้วจะรู้มั้ยว่าในนั้นมีอะไร”
ทวนครุ่นคิดตาม
วันต่อมาร้านเจ๊กตง ครื้นเครงไปด้วยผู้คนชาวบ้านนา ที่นั่งล้อมวงกันเล่นหมากรุก กล่ำมีอาการดีขึ้นหลังเลิกยาเสพติด กำลังนั่งเล่นหมากรุกกับมหาเฉื่อย
“ไอ้กล่ำ เบา...เบามือ ให้มันรู้เด็กรู้ผู้ใหญ่ รู้ว่าใครเป็นฆราวาส ใครเป็นมัคนายก”
“ท่านมหาเพลี่ยงพล้ำทีไร ร้องให้ฉันรามือ แต่ถึงทีท่านมหามือขึ้น รุกฉันถึงฆาตเลยนะ”
“ช่างไม่รู้เด็กรู้ผู้ใหญ่ ไม่รู้กาลเทศะเลยจริงจริ๊ง” เจ๊กตงบ่น
รถคันหนึ่งแล่นมาตามถนน ทอกมองอย่างแปลกใจ
“รถใครน่ะ”
ทุกคนมองตามทอกออกไป ซึ่งรถคันนั้นเป็นรถที่ เลิศและหลิมไปรับส่างลองซึ่งเป็นคนปรุงยาและเป็นญาติกับสไบ มาจากชายแดนตามคำสั่งของบุญช่วย เลิศขับรถมาน้ำมันหมดที่หน้าร้านเจ๊กตง ส่างลองนั่งนิ่งเฉย ท่าทีเย็นชาแต่น่ากลัว
“รถเป็นอะไรวะ ไอ้เลิศ” หลิมถามอย่างแปลกใจ
“น้ำมันหมด เฮ้ยเจ๊กตง เอาน้ำมันมาเติมรถหน่อย”
เจ๊กตงส่ายหน้า
“เสียใจ...”
“เตี่ยตาย หรือว่าอาม่วยเนี้ยวลูกสาวลื้อท้อง” หลิมถามกวนๆ
“ที่เตี่ยบอกว่าเสียใจน่ะ เสียใจ...ไม่ขาย น้ำมันมีแต่ไม่ขายให้ซะอย่าง” เนี้ยวตะโกนตอบเสียงแข็ง
“อ้า อีนี้...นมัสเตท่านผู้มีอุปการคุณ”
สุมิตรขับรถขายสินค้า ส่งเสียงมาแต่ไกล เลิศกับหลิมดีใจ
“ไม่ขายก็ไม่ซื้อ ซื้อของไอ้แขกก็ได้ รถเคลื่อนที่ของแขกมีสารพัดสินค้า แถมยังเปิดการค้าเสรี ไม่ขึ้นอยู่กับดัชนีความพอใจของใคร”
เลิศหันไปเรียกสุมิตร
“ไอ้แขก...”
“อีนี้เรียกแขก...”
“เออ เอาน้ำมันมาเติมรถหน่อย เติมให้เต็มถังเลยนะ มีมั้ย”
“มี”
เลิศหันไปยิ้มหยันเจ๊กตง
“ไม่ง้อเจ๊กตงก็ได้วะ มีก็เอามาเติม ช้า...ตะ...ตาย”
“ไม่ขาย” สุมิตรบอกหน้าตาเฉย
เลิศชะงัก
“อะไร”
“อีนี้ไม่ขาย แขกไม่พอใจจะขาย คนทำลายชุมชน ทำลายบ้านเกิดยังงี้แขกไม่ชอบ แขกรักเมืองไทย ประเทศไทยและชาวบ้านนาจงเจริญ...ไช...”
ทุกคนตะโกนรับพร้อมกัน
“โย้ๆๆๆ”
เลิศกับหลิมทั้งโกรธทั้งงง ส่างลองหันขวับมาจ้องหน้าเจ๊กตงและชาวบ้านนา ทุกคนเงียบมองส่างลองด้วยความแปลกใจว่าเป็นใคร
ทอกและหมอกนำเรื่องคนแปลกหน้า มาเล่าให้ทวนและเมินฟัง
“มันคงเป็นคนมาจากที่อื่น หน้าตาของมันแปลกๆ ฉันไม่เคยเห็นมันเลยนะพี่ทวน” ทอกบอกอย่างไม่สบายใจ
เมินแปลกใจ
“พวกของเศรษฐีบุญช่วยเหรอ”
“ไอ้หลิม ไอ้เลิศมันคงเพิ่งไปรับมา” หมอกบอก
“มีคนแปลกหน้าเข้ามาในบ้านนา ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่” เมินบอกอย่างกังวลใจ
“คนแปลกหน้าเหรอ”
ทวนฟังแล้วสงสัยมาก
สไบเดินนำหน้าแหว่งลงจากบ้าน เลิศและหลิมขับรถเข้ามาจอดอย่างหงุดหงิด
“ไอ้เจ๊กตง หนอย...ทำตัวเป็นหัวหอก ไม่ยอมขายน้ำมันให้ท่านเศรษฐี เดี๋ยว...เดี๋ยวมีเรื่อง”
“ท่านเศรษฐีกับคุณชิงชัยอยู่ข้างบน” หลิมบอก
เลิศกับหลิมเดินนำหน้าส่างลองขึ้นเรือนเพื่อไปพบบุญช่วย ส่างลองและสไบ มองหน้ากัน ส่างลองเดินผ่าน สไบมองตามแล้วพึมพำ
“ส่างลอง”
“คนนี้น่ะหรือคะ ที่คุณสไบของบ่าวขา ติดต่อให้เข้ามาทำงานกับท่านเศรษฐีท่าทางมันน่ากลั๊ว...น่ากลัว”
“นี่ พูดให้มันน้อยๆ ลงหน่อยนะนังแหว่ง เดี๋ยวจะไม่ได้พูดซะ”
แหว่งรีบยกมือขึ้นปิดปาก สไบกับแหว่งมองตามส่างลองไป
ศรีไพรสะพายปืนยาวที่พรเคยใช้ เดินตรวจดูต้นข้าว ชาริณีมาดักเย้ยหยันศรีไพร
“ฉันจะชวนคุณทวนไปอยู่ด้วยในฐานะบอดี้การ์ด มีหน้าที่คุ้มครองฉัน เขาจะได้ไม่ต้องทำนา ใช้แรงงานกลางแดด ค่าแรงก็ไม่ได้ สวัสดิการก็ไม่มี มีแต่โดนหลอกใช้ไปวันๆ”
“แล้วคุณมาบอกฉันทำไม”
“ฉันตั้งใจสนับสนุนคุณทวน ไม่ใช่แค่บอดี้การ์ด แต่ฉันกับเขาจะพัฒนาความสัมพันธ์ของเราไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะแต่งงานกัน”
“แต่งงาน...”
ศรีไพรหวั่นไหว เพราะรักทวน ชาริณียิ้มหยัน
“ใช่ เขาจะมีตำแหน่งเป็นเขยของเศรษฐี ดีกว่าเป็นเขยชาวนาตั้งเยอะ ฉันรู้นะว่าเธอเองก็รักพี่ทวน”
“ฉัน...ไม่...”
“ถ้าไม่ได้รักพี่ทวน ก็สนับสนุนให้เขาสุขสบายตามประสาผู้หวังดีซี ไม่มีคุณทวนเธอก็มีกำลังชาวบ้านสู้กับพ่อฉัน แต่เชื่อเถอะ...เธอไม่มีวันชนะพ่อฉันหรอก”
“จะเอานายทวนไปต้มยำทำแกงที่ไหนก็เชิญ ไม่ใช่ธุระที่ฉันต้องรับรู้”
ศรีไพรเดินหนีไป ชาริณีมองตามไปเยาะๆ
ทวนเดินตามหา เห็นศรีไพรเดินเข้ามา เข้าไปคว้าแขนเธอไว้
“ศรีไพร ไปไหนมา ทำไมต้องหลบหน้าพี่”
“ปล่อยนะ ไม่ยังงั้นเดี๋ยว...เจ็บ...”
“เป็นอะไรน่ะ ศรีไพร พี่ไปหาที่บ้านก็ไม่อยู่ ไปที่หนองน้ำก็ไม่มี ถามแสนก็ไม่รู้ว่าไปไหน เป็นอะไรหรือเปล่า”
“กินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้อง ยังมีหน้ามาถามอีก”
“พี่...พี่ไม่รู้จะพูดยังไง”
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ฉันเข้าใจพี่ดี พี่อยู่กับพวกเรา ไม่มีเงิน ไม่มีบารมี สู้ไปเป็นสมุนของผู้ยิ่งใหญ่ไม่ได้ ที่นั่นน่ะ...เขาเลี้ยงพี่อิ่มหมีพีมัน ไหนจะมีอนาคตเป็นลูกเขยเศรษฐีบุญช่วยอีกล่ะ”
ทวนตะลึง อุทานเสียงแผ่ว
“ศรีไพร...”
ศรีไพรหันขวับ มองหน้าทวน ด้วยน้ำตาคลอดวงตา
“เชิญไปนอนอยู่บนกองเงินกองทองเถอะ ฉันเกลียดพี่ทวน”
ศรีไพรวิ่งร้องไห้ออกไป ทวนขยับตาม ทันใด ชาริณีเข้ามาคว้าแขนของทวนไว้ ทวนชะงัก หันมามองหน้าชาริณี
“ตอนนี้ไอ้ศรีไพรมันเกลียดคุณแล้ว ถ้าคุณอยากจะมีอนาคตที่ดีละก็...คุณต้องตัดสินใจ”
ทวนอึ้งไปทันที...
(อ่านต่อ หน้า 2)
เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 19 (ต่อ)
มหาเฉื่อย เจ๊กตง พาเมินมาส่งตัวเพื่อเข้าหอ เมื่อเห็นว่าสดสบายใจ พร้อมต้อนรับลูกเขยแล้ว เมินและศรีแพรมีความสุข ต่างจับมือกันไว้แน่น
“ฉันกับเจ๊กตงก็เลยพาเจ้าเมินเขามาส่งตัว มันออกจะแปลกๆ ส่งแล้วส่งอีกคราวนี้ส่งจริงๆ”
“ไหนๆ อีก็แต่งงานกันครบถ้วนตามประเพณี ส่งตัวอาเมินซะ...บ้านลื้อจะได้มีผู้ชายอยู่ หน้าสิ่วหน้าขวานยังงี้มีแค่ผู้หญิงกับเด็ก พวกเราเป็นห่วง” เจ๊กตงบอกอย่างห่วงใย
เนี้ยวยิ้มให้เมินกับศรีแพร
“เตี่ยห่วงทั้งพี่เมิน กับศรีแพรด้วยจ้ะ”
สดยิ้มแย้มรับ
“ข้าก็จะรับตัวเจ้าเมินไว้ ไม่ต้องห่วงหรอกเขยข้าก็รักเหมือนลูก จะได้อยู่ด้วยกันช่วยกันทำมาหากิน ไร่นามีเยอะแยะ ขยันขันแข็งไม่จนหรอก”
มหาเฉื่อยยิ้มพอใจ
“เอ้า ไปส่งตัวเจ้าเมินเข้าห้องหอ”
ทันใด ศรีไพรเดินกระทืบเท้า ร้องไห้ขึ้นมาบนเรือนอย่างโกรธจัด ยิงปืนขึ้นฟ้าเปรี้ยง ท่าทางของศรีไพรเหมือนพรไม่มีผิด
“ไม่...ไม่มีการส่งตัว มาทางไหนไปทางนั้นเลย”
ศรีแพรตะลึง
“ศรีไพร”
สดสะดุ้งตกใจ
“ว้าย ตาเถรเสียงปืนอีกแล้วเรอะ ข้า...ข้ากลัว”
“ศรีไพร นี่มันอะไรกันนี่ ทำไมถึงส่งตัวไม่ได้” เมินถามอย่างสงสัย
ศรีไพรจ้องหน้าตาแข็งกร้าว
“เพราะฉันไม่พร้อมจะรับพี่เป็นเขย ผู้ชาย...เหมือนกันทั้งโลกยกเว้นพ่อ ผู้ชายหลายใจ ผู้ชายหลายรัก ลงไปจากเรือนของฉันเดี๋ยวนี้ เจ๊กตงด้วย มหาเฉื่อยก็ด้วย ไม่ยังงั้น...ยิงเละ”
ศรีไพรยิงปืนขึ้นฟ้าเปรี้ยง ทุกคนวิ่งหนีกันลนลานลงจากบ้าน ต่างชนกันล้มระเนระนาด บ้างตกบันได
ศรีแพร สดและแสนกอดกันแน่นด้วยความหวาดกลัว
“แม่ ไปกันหมดแล้ว พี่เมินด้วย” ศรีแพรหันไปมองน้องสาวอย่างไม่เข้าใจ “นีมันเรื่องอะไรกันศรีไพร น้อง พี่กำลังจะมีผัวนะ”
“ไม่ต้องมี” ศรีไพรตวาด
ศรีแพรสะดุ้ง
“อุ๊ย แม่...”
แสนตัวสั่น
“แม่ หนูกลัว”
สดตื่นกลัวหันไปถามเสียงสั่น
“ทะ...ทะ...ทำไมถึงไม่ให้พี่เอ็งมี...เอ้อ...มี...”
ศรีไพรร้องตะโกนเหมือนคลั่ง
“เพราะผู้ชายในโลกนี้...หลอกลวง”
มหาเฉื่อยวิ่งหนีลูกปืน นำหน้าคนอื่นๆ เข้ามาล้มกันระเนระนาดที่เพิงท้ายป่าช้า
“ไอ้เจ๊กตงล่ะ หรือว่าเจ๊กตงกับอาม่วยเนี้ยว โดนยิงตายไปแล้ว”
ทอกส่ายหน้า
“อาม่วยเนี้ยวกับเจ๊กตง วิ่งไปทางไหนก็ไม่รู้”
มหาเฉื่อยเหนื่อยหอบ
“โอย นี่ไอ้ศรีไพรมันเกิดบ้าอะไรขึ้นมา จะว่าอารมณ์มันปรวนแปร เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเพราะถึงวัยทองก็ไม่ใช่ มันเพิ่งจะอายุยี่สิบห้า”
ขณะเดียวกันนั้น ทวนนั่งอยู่เงียบๆอยู่มุมหนึ่ง ไม่มีใครเห็น...
“หรือไอ้ศรีไพรมันเป็นบ้าเพราะเครียดเรื่องล้างแค้น” ทอกออกความเห็น
เมินหน้าตาเซ็งมาก
“นี่...นี่ผมไม่ได้เข้าหออีกแล้วหรือลุงมหาเฉื่อย”
หมอกนึกได้แล้วตาโต
“หรือว่าตาพรมาเข้าสิงไอ้ศรีไพร มันถึงได้มีอาการเกลียดผู้ชายประเภทเขยหรือโรคเก่ากำเริบ...โรคเกลียดผู้ชาย”
ทวนลุกขึ้นยืน ตอบเสียงสะบัดเหมือนโกรธ
“ไม่ใช่หรอก แต่ศรีไพรเกลียดฉัน”
เมินมองทวนอย่างแปลกใจ
“แก...แกไปทำอะไรให้ศรีไพรโกรธ ต้องเป็นเรื่องใหญ่ซีนะ เพราะศรีไพรไม่ใช่ผู้หญิงที่รักใครง่ายๆ เรื่องที่แกทำนี่ต้องเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุด ไม่ยังงั้นศรีไพรไม่เกลียดแก แล้วพาลมาถึงฉันหรอก”
“เอ็งทำอะไร ไอ้ทวน” มหาเฉื่อยถามอย่างสงสัย
ทวนตอบด้วยท่าทีลังเล หลบสายตาทุกคน
“ฉันจะไปทำงานกับเศรษฐีบุญช่วย”
ทุกคนตะลึงงัน เมินอุทานออกมา
“ไอ้...ทวน”
ชิงชัยเกรี้ยวกราดอย่างรุนแรง ชี้หน้าชาริณี บุญช่วยตื่นตระหนกกับความคิดของชาริณี แต่สไบกลับยิ้มเยาะหยัน เพราะมีแผนจะใช้ทวนเป็นเครื่องมือทำลายล้างบุญช่วย
“ไอ้ทวน...แกบ้าไปแล้วหรือชาริณี ไอ้ทวนมันเป็นศัตรูของเรานะ มันเคยเป็นพวกไอ้ศรีไพรกับชาวบ้าน นี่แกจะพามันเข้ามาอยู่ในบ้าน”
“ฉันต้องมีคนคุ้มครอง พี่ยังมีได้ ทำไมฉันจะมีไม่ได้” ชาริณีเถียงเสียงแข็ง
“เอาไอ้เลิศไป” บุญช่วยบอก
“ผมยินดีรับใช้คุณชาริณีครับ”
เลิศยิ้มฝืนๆ นัยน์ตาเบื่อๆ ชาริณีหันมาตวาดแว๊ดใส่หน้าเลิศ
“ใครยินดี ไม่ใช่ฉันหรอก ฉันต้องการคุณทวนคนเดียวเท่านั้น”
สไบยิ้มเยาะ
“ชอบคนหล่อ”
“อย่าสาระแน ไม่รู้ละ...” ชาริณีมองพ่อด้วยสายตาจริงจัง “หนูต้องการคนคุ้มครอง ต้องเป็นคุณทวนเท่านั้น”
ชิงชัยไม่พอใจ
“แกเป็นลูกของพ่อ เป็นน้องของฉัน ทำไมต้องมีคนคุ้มครอง ใครทำอะไรแก”
จ่าสินหลบสายตา
“ไม่รู้ไม่ชี้ พ่อต้องให้คุณทวนเข้ามาทำงานที่นี่” ชาริณียืนยัน
บุญช่วยผลุดลุกขึ้นยืน ส่งเสียงตวาด ทั้งรักและโกรธชาริณี
“ปวดหัว พูดไม่รู้เรื่อง ไอ้ลูกพ่อแม่ไม่...”
บุญช่วยยังพูดไม่จบ สไบสอดขึ้นทันที
“ไม่มีเวลาสั่งสอน หรือสั่งสอนไม่เป็น”
บุญช่วยโกรธ
“นังสไบ”
“ฉันไม่เห็นว่าทำไมคุณทวนจะเข้ามาอยู่ที่นี่ไม่ได้ ท่านเศรษฐีเคยอยากได้เขามาเป็นกำลังไม่ใช่หรือ คนๆนี้มีฝีมือ ได้ตัวเขา...ก็ต้องได้ใจเขา เขาคงดีกว่าไอ้กะเรวกะราดพวกนี้ละมั้ง”
สไบปรายตาไปยังหลิม เลิศ และจ่าสิน ต่างร้อนตัวแต่ไม่กล้าเถียงสไบ
“ขอคิดดูก่อน...”
เศรษฐีบุญช่วยบอกด้วยท่าทีอ่อนลง แล้วเดินหนีเข้าห้องนอน บุญช่วยเปิดประตูห้องนอนเข้ามา ชาริณีตามมาติดๆ บุญช่วยลำบากใจ รำคาญ เพราะรักชาริณี
“พ่อๆๆๆ ถ้าพ่อไม่ยอมให้คุณทวนเข้ามาทำงานกับพ่อ ฉันจะหนีออกจากบ้าน”
บุญช่วย ตกใจ
“เฮ้ย อย่านะ ลูกต้องอยู่กับพ่อ”
“ผู้ชายคนเดียว หาให้ลูกไม่ได้ ทีนังสไบ...”
บุญช่วย รีบตัดบท
“เอา...เอาน่ะ...ไปพาไอ้ทวนมาพบพ่อพรุ่งนี้”
“พ่อ...” ชาริณีอุทานอย่างดีใจ
ศรีไพรนั่งกอดปืน มองไปยังพระจันทร์เต็มดวงบนท้องฟ้าอย่างเศร้าๆ ครู่หนึ่งทวนก้าวเข้ามา
“ศรีไพร...”
ศรีไพรผุดลุกขึ้นยืน หันหลังกลับ ทวนคว้าแขนไว้
“พี่อาจจะให้เหตุผลไม่ได้ว่าทำไมต้องไป แต่พี่ขอความเข้าใจ”
“ไม่มีให้หรอก ชีวิตของนาย...นายจะทำยังไงกับมันก็ตามใจนาย นายมีสิทธิ์เลือกดีหรือเลือกเลว ฉันอาจจะผิดหวังที่มองคนอย่างนายผิดมาตั้งแต่ต้น แต่ฉันก็ไม่เสียใจหรอก ยังไงนายก็เป็น...ผู้ชาย”
ทวนอึ้งไป
“ศรีไพร”
ศรีไพรสะบัด วิ่งออกไป
“ศรีไพร...สักวันหนึ่งศรีไพรจะเข้าใจพี่” ทวนมองตามไปด้วยความรู้สึกปวดร้าวใจ
ศรีไพรนอนร้องไห้กับหมอน ศรีแพรเข้ามาทรุดตัวลงนั่ง ลูบผมอย่างเป็นห่วง
“พี่รู้ว่าน้องเจ็บแค่ไหน แต่พี่ทวนเขาคงจะมีเหตุผล ถ้าเขาตัดสินใจทิ้งเราไปอยู่กับเศรษฐีบุญช่วย ถ้าอยากร้องไห้ก็ร้องเถอะ ร้องออกมาให้หมด พรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องร้องอีก”
ศรีแพรเสียงเครือ พาลร้องไห้ไปด้วย
“ฉันผิดเองที่รักเขา ทำไมฉันต้องรักเขาด้วย ฉันมองเขาผิดมาตั้งแต่ต้น เขาไม่เลือกคนดี เขาเป็นฝ่ายเห็นแก่เงิน” ศรีไพรหันมากอดศรีแพรไว้
“ศรีไพร...”
ศรีไพรน้ำตาไหลพราก
“ฉันเกลียดตัวเองที่ใจง่าย นี่ถ้าฉันรักตัวเองฉันคงไม่เจ็บยังงี้หรอก มันเจ็บ...เจ็บ...เจ็บเหมือนฉันจะตาย”
“น้องจะไม่ตาย ไม่เคยมีใครตายเพราะความรัก ต้องเข้มแข็งไว้นะ ศรีไพร ไม่มีพ่อ ไม่มีพี่ทวน น้องจะต้องเข้มแข็ง”
ศรีแพรและศรีไพรกอดกันร้องไห้
เช้าวันใหม่ทวนเก็บข้าวของโดยมีชาริณียืนพิงต้นไม้ยิ้มแย้มรออยู่ เมินโกรธมาก ปราดเข้ามากระชากไหล่
“แกเป็นบ้าไปแล้วหรือ ความตั้งใจของแกที่แกเคยมีมันหายไปไหน เรารวมกำลังกันเพื่อต่อสู้กับอิทธิพล สู้กันจนป่านนี้ จนทำให้ชาวบ้านนาเข้าใจแล้วแกจะมา...”
ชาริณีรีบพูดแทรกทันที
“ป่วยการที่จะฟังคนพวกนี้พูด คุณไม่ใช่เพื่อนของพวกนี้แล้ว ไปเถอะ พ่อให้ฉันมารับคุณ”
ทวนหันมามองเพื่อนๆ
“ฉันต้องไปแล้ว”
“พี่ทวน นี่พี่ทวนจะไปจริงๆ หรือ ฉันเสียความรู้สึกกับพี่ หมด...ไม่มีอะไรอีกแล้ว” ทอกเสียงสลดลง
ชาริณียิ้มหยัน
“เก็บความรู้สึกของแก เอาไว้รู้สึกสงสารตัวเองให้มากๆ เชิญนอนในป่าช้ากินอยู่กับผีตายซากต่อไปเถอะ พวกโง่”
หมอกมองหน้าทวน
“พี่ทวน พี่จะไม่คิดอีกทีหรือ”
“ไม่ ฉันต้องไปแล้ว”
เมินมองทวนอย่างเจ็บปวดใจ
“ปล่อยมันไป...ปล่อยไอ้ทวนมันไปนั่งๆ นอนๆ บนกองเงินกองทอง ใช้ชีวิตสุขสบายบนหยาดเหงื่อของชาวนาเถอะ ขอให้แกมีความสุขนะ เราอย่าเป็นเพื่อนกันอีกเลย”
ทวนมองสบสายตาที่โกรธแค้นของเมิน ด้วยความรู้สึกสะเทือนใจ ก่อนที่จะเดินออกไป ชาริณียักไหล่เยาะ ก่อนตามทวนออกไป เมินเตะต่อยต้นไม้ด้วยความโกรธ
“พี่เมิน อย่า ฉันว่าเรื่องนี้มันยังไงๆ อยู่นะ ไปฟ้องหลวงตากันเถอะ” ทอกห้ามไว้
หลวงตาเลือกสรรรากไม้ ที่จะใช้ปรุงยาเพื่อบำบัดคนติดยาเสพติด ขณะที่ทุกคนต่างเคร่งเครียด เพราะทวนไปอยู่กับพวกของบุญช่วย หลวงตากลับเฉยเมย เนือยๆ น้ำเสียงเนิบนาบ เหมือนทองไม่รู้ร้อน
“ชีวิตน่ะ...ข้าเคยบอกตั้งหลายครั้งแล้วว่า เอ็งเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นคนดีหรือคนเลวได้ ไอ้ทวนมันเลือกทางชีวิตของมัน มันคงมีเหตุผลของมันซีน่ะ”
“แต่หลวงพ่อครับ เศรษฐีบุญช่วยเป็นคนเลว จะให้ไอ้ทวนมันไปตกนรกขุมเดียวกับเศรษฐีบุญช่วยหรือขอรับ” มหาเฉื่อยแย้ง
“นรกสวรรค์มันรู้ เอาน่ะ...อย่าไปถือมัน ถือแล้วหนัก วางเถอะ...โยม”
ทุกคนหันมาสบสายตากันอย่างงงงัน
ชาริณีพาทวนเข้ามาในเขตบ้านบุญช่วย ชิงชัยเดินนำหน้าหลิมและเลิศเข้ามาขวางทางทวนไว้
“เดี๋ยวก่อน ไอ้ทวน...”
“พี่ชิงชัย คำสั่งพ่อให้พาคุณทวนไปพบนะ” ชาริณีโวย
“ต้องข้ามศีรษะฉันไปซะก่อน ถ้าแกเอาชนะส่างลองได้ ฉันจะยอมรับแก...ส่างลอง”
ชิงชัยตะโกน ส่างลองก้าวเข้ามาพร้อมเชือกในมือ ส่างลองใช้อาวุธเชือกพิฆาต ทวนกระชากเสื้อออกจากตัว ทั้งสองโผเข้าต่อสู้กัน บุญช่วยเดินนำหน้าสไบ และแหว่งออกมายังระเบียง ดูการต่อสู้
“อย่าทำอะไรคุณทวนนะ เอาเลยคุณทวน สู้มัน” ชาริณีเชียร์
ทวนใช้เสื้อในมือคอยรัดพันเชือกของส่างลอง ทวนสู้กับส่างลองจนได้ชัยชนะ ส่างลองสลบเหมือด บุญช่วยปรบมือด้วยความพอใจ
“เก่ง...เก่งมาก ลีลาการต่อสู้ด้วยมือเปล่าของแกนี่ ไปฝึกมาจากไหน”
ทวนหันกลับมาสบสายตาของบุญช่วย
เนี้ยวร้องไห้ด้วยความแค้นใจ ผิดหวังในตัวทวนเมื่อรู้ว่าทวนตัดสินใจไปเข้าพวกกับเศรษฐีบุญช่วย
“เนี้ยวผิดหวังในตัวพี่ทวนจริงๆ นะเตี่ย เสียงแรงที่เนี้ยวรัก เนี้ยวรอพี่ทวนมาตั้งสิบปี คิดว่าพี่ทวนมีอุดมการช่วยชาวบ้านนา ที่แท้พี่ทวนก็เป็นผู้ชายเห็นแก่ได้ เห็นแก่ความสุขสบาย ยอมขายตัวเพื่อเงิน เนี้ยวเกลียดพี่ทวน”
เจ๊กตงเจ็บแค้น
“อั๊วก็เกลียดอาทวน”
สุมิตรค่อยๆ ย่องเข้ามายืนฟังด้วยความสนใจ
“อีท่าดีทีเหลว เกือบไปแล้วเชียวอั๊วเกือบยกลูกสาวให้ แล้วต่อไปนี้เราจะทำยังไงดี จะบอกชาวบ้านยังไง ชาวบ้านอีถึงจาไม่เสียความรู้สึก” เจ๊กตงพูดอย่งกังวลใจ
มหาเฉื่อยถอนใจ
“จะบอกยังไง ก็พูดความจริงกับชาวบ้านว่า...เราเสียกำลังสำคัญไปหนึ่งคนแล้วละ แล้วใคร...ใครจะเป็นคนต่อไป”
ทุกคนหันไปมองเมิน
“อย่ามองผมแบบนั้นซีลุงมหาเฉื่อย เนี้ยว เจ๊กตง ผมไม่...” เมินร้อนตัว ร้อนใจ
“อีนี้แขกรับรองได้...ว่าอาเมินอีไม่ทรยศต่อพวกเราเด็ดขาด อีนี้อาทวนไปเป็นสมุนของเศรษฐีบุญช่วยได้ยังไง แขกสงสัย”
ทอกส่ายหน้าเซ็งๆ
“สงสัยแล้วทำอะไรได้วะ”
สุมิตรบอกทันที...
“แขกจะไปสืบความที่บ้านเศรษฐีบุญช่วย”
เลิศและหลิม ช่วยกันจับสุมิตรมาโยนออกมานอกบ้าน สุมิตรร้องโอดโอย
“ไม่ซื้อ อะไรก็ไม่ซื้อ หนอย...ตอนซื้อไม่ขาย จะมาขายตอนคนไม่มีอารมณ์จะซื้อ” เลิศ ตะคอก
“ไปให้พ้นนะไอ้แขก ทีหลังอย่าเข้ามาในเขตอิทธิพลของท่านเศรษฐีอีก ที่นี่...เป็นเขตปลอดคุณธรรม ใครเข้ามา...เจ็บตัว” หลิมข่มขู่
เลิศทำมือเชือดคอ
“ตาย...”
เลิศกับหลิมเดินเข้าบ้าน สุมิตรร้องโอดโอยเพราะเจ็บหลัง
ศรีไพรเดินแบกเครื่องมือหาปลา พร้อมปืนยาวมาตามถนน แสนเดินถือข้องใส่ปลาตามหลังมา ชาริณีขับรถจี๊ปให้ทวนนั่งผ่านมา ศรีไพรและแสนไม่หลีกทาง ชาริณีแกล้งกดแตรถี่ๆ
“นี่ เห็นรถมั้ย ฉันกับบอดี้การ์ดของฉันคุณทวน กำลังจะเข้าเมืองกัน”
ทวนมองศรีไพรด้วยแววตาเงียบๆ การแต่งตัวของทวนดีขึ้น บุคลิกภาพของทวนเปลี่ยนไป ค่อนข้างเงียบขรึม แสนมองเห็นทวนนั่งอยู่ในรถชี้มือบอกศรีไพร
“พี่ทวน...นั่นพี่ทวนนี่พี่ศรีไพร”
“ช่างเขาเถอะ เราหลีกทางให้เขาก็หมดเรื่อง” ศรีไพรพูดอย่างไม่ใส่ใจ
แสนหน้าตาเอาเรื่อง
“ไม่หลีก...ฉันไม่อยากหลีก อยากจะดูหน้าคนทรยศอย่างพี่ทวน”
“แสน ไม่เอาน่ะ น้อง” ศรีไพรปราม
“นี่น่ะหรือพี่ทวนที่พี่เคยรัก นี่น่ะหรือ...ที่ทวนที่ฉันกับแม่เคยหวังจะฝากผีฝากไข้ไว้ด้วย นี่น่ะหรือ...พี่ชายของฉัน”
ทวนอึ้งไป
“แสน...”
ชาริณีหงุดหงิด
“ฉันต้องอยู่ฟังพวกแกคร่ำครวญ อาลัยรักคุณทวนอีกนานมั้ยเนี่ย”
“แสน...” ทวนเรียก
แสนมองหยัน
“นี่น่ะหรือ...พี่ทวน”
“แสน ไปเถอะ...”
ศรีไพรดึงแสนเข้ามากอดไว้ เบี่ยงตัวหลบจากถนน ชาริณีเหยียบคันเร่งรถจี๊ปพุ่งออกไป ศรีไพรกอดแสนไว้แน่น มองตามไปด้วยความรู้สึกปวดร้าว
บ่ายวันนั้น ทวนแอบดู กระท่อมที่ผลิตยาเสพติดอยู่ไกลๆเห็น ชิงชัยเดินออกมาพร้อมกับส่างลอง หลิมและเลิศตามมาติดๆ
“ฉันไม่ไว้ใจไอ้ทวน จู่ ๆมันก็แปรพักตร์มาเป็นพวกเรา ทั้งที่เมื่อก่อนเอาเงินเอาผู้หญิงไปล่อมันไม่มา แกต้องกวดขันเรื่องยาม อย่าให้มันเข้าใกล้กระท่อมนี่ ส่างลอง...แกต้องหาทางจัดการไอ้ทวนให้ได้”
ส่างลองพนักหน้ารับ ชิงชัย และเลิศเดินออกไป ส่างลองกวาดสายตามองไปรอบๆก่อนเข้ากระท่อม ทวนค่อยๆ โผล่หน้าออกมาดู สะดุ้งสุดตัวเมื่อชาริณีเอื้อมมือมาจับไหล่
“คุณนี่เอง”
“มาทำอะไรแถวนี้ ที่นี่เป็นเขตหวงห้ามนะ คุณเป็นแค่บอดี้การ์ดของฉัน ไม่ต้องยุ่งกับเรื่องของพี่ชายฉัน”
“ในกระท่อมนั่นมีอะไร”
“คุณไม่ต้องรู้หรอก รู้แต่ว่าตอนนี้มีคนอยู่”
“ส่างลอง”
“แล้วก็ไม่ต้องสงสัยด้วยว่ามันเป็นใคร ฉันต้องการคุณ ให้คุณเป็นผู้คุ้มครองฉัน”
“ทำไมต้องมีคนคุ้มครองคุณ คุณกลัวอะไร”
ท่าทีชาริณีหวั่นกลัว มองไปรอบๆ จ่าสินก้าวออกมา จ้องมองไปยังชาริณีด้วยแววตาดุ ชาริณีรีบกระโดดหลบหลังของทวนอย่างกลัวๆ
จบตอนที่ 19
อ่านต่อ ตอนที่ 20 วันพรุ่งนี้