ลิขิตเสน่หาตอนที่ 19
เวลาเดียวกันนั้นเอนิตาใส่แว่นตาดำเดินเข้ามาในโรงเรียน กวาดสายตามองไปเห็นในสนามเด็กเล่นมีเด็กเยอะ จึงเดินเข้าไปเพื่อถามหาไข่ตุ๋น จังหวะนั้นเองเอนิตาถอดแว่นกันแดดออกยืนหันซ้ายแลขวา ทันใดนั้นก็มีลูกบอลลอยละลิ่วตกลงมาโดนหน้าผากเต็มๆ
และเป็นผลงานของกังฟู ซึ่งวิ่งมาตามเอาบอล ขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่
“ขอโทษครับ ขอโทษ เอ๊ะ น้าคนสวยนี่ จะมาชวนกังฟูไปประกวดอีกเหรอครับ”
“เตะบอลใส่หน้าฉันยังจะมีหน้ามาให้ปั้นอีก เอาซะทีดีมั้ย?” เอนิตาทำท่าจะตี แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่า
อยู่ต่อหน้าเด็กๆ จึงปั้นหน้ายิ้มเปลี่ยนมาหอมกังฟูแบบเอ็นดูแทน “เด็กอะไรไม่รู้ น่ารักจริงเชียว”
“น่ารักเค้าใช้กับผู้หญิง” กังฟูแย้งแล้วเก๊กท่าหล่อ “กังฟูหล่อต่างหากครับ”
“จ้า… แต่จะให้หล่อกว่านี้ ไปตามไข่ตุ๋นมาหาน้าหน่อยได้มั้ย น้ามีธุระสำคัญมาก”
“ไม่เอา เสียเวลา จะเล่นบอล” กังฟูพูดแล้วหันกลับไป
“ไอ้เด็กบ้า ดูซิ แล้วฉันจะไปตามลูกได้ที่ไหนเนี่ย?”
จังหวะที่เอนิตากวาดสายตามองไปรอบๆ สนามนั้นเสียงไข่ตุ๋นก็ดังขึ้นมา
“แม่ขา”
เอนิตาหันกลับไป เห็นไข่ตุ๋นวิ่งเข้ามากอดด้วยความดีใจ
“แม่มาหาไข่ตุ๋นเหรอคะ แม่คิดถึงไข่ตุ๋นใช่มั้ยคะ”
“จ้ะ แม่คิดถึ๊งคิดถึงไข่ตุ๋นที่สุดเลยจ้ะ”
เอนิตายิ้มเจ้าเล่ห์
คืนนั้นเมื่อณนนท์รู้เรื่องจึงกดเบอร์มือถือ ต่อว่าเอนิตาด้วยความโกรธจัด โดยมีเท่ง กับสุดยอดนั่งอยู่ใกล้ๆ ในห้องโถงของบ้าน น้ำเสียงของณนนท์เวลานี้ดูออกว่าเขาโมโหมากๆ
“คุณจะบ้าเหรอนิตา นี่คุณกำลังลักพาตัวไข่ตุ๋นนะเนี่ย คืนไข่ตุ๋นมาเดี๋ยวนี้เลยนะ... ไข่ตุ๋นอยู่ไหน...”สัญญาณถูกเอนิตาตัดสายไปแล้ว “ฮัลโหลๆๆๆ”
ณนนท์กดวางสายด้วยความเจ็บใจ สุดยอดเห็นก็หน้าเครียด
“นี่เอาไข่ตุ๋นมาต่อรองอีกแล้วใช่มั้ยครับ ไม่อยากเชื่อว่ามีคนอย่างนี้ด้วย พอให้โอกาสก็ไม่กลับตัว พอจะเลิกก็ไม่ยอม จิตหรือเปล่าเนี่ย”
“จิต เพราะตอนนี้เค้าขู่ว่าถ้าไม่คืนดีกับเค้า พวกเราจะไม่เห็นหน้าไข่ตุ๋นอีก” ณนนท์บอกข้อเรียกร้องขอเอนิตาให้พ่อและน้องฟัง
“ก็แค่ขู่น่ะพี่ คงเห็นว่าขู่ทีไรได้ผลทุกที คราวนี้ก็เลยจัดหนัก”
“เอาน่ะ เจ้าไข่ตุ๋นปลอดภัยก็ใช้ได้แล้ว เรื่องอื่นก็ต้องค่อยๆแก้กันไป พ่อว่าลองทำเป็นเฉยๆซักสอง
สามวัน ถ้านิตาเค้าเห็นว่าไม่ได้ผล ต่อไปจะได้เลิกเอาเจ้าไข่ตุ๋นเป็นตัวประกันซะที”
ณนนท์นิ่งคิดตามที่พ่อกับน้องพูด รู้สึกว่ามีเหตุผลเข้าท่าเหมือนกัน
เวลาเดียวกันนั้นไข่ตุ๋นกำลังกระโดดและอาละวาดอยู่บนเตียงภายในห้องนอนบ้านพักที่เชียงใหม่ ขณะที่เอนิตาพยายามห้ามแต่ก็ไม่สำเร็จ
“ไข่ตุ๋นจะหาพ่อๆ พ่อๆๆอยู่ไหน”
“หยุดเดี๋ยวนี้นะไข่ตุ๋น แม่บอกให้หยุดไง หยุดสิ” เอนิตาตวาดแว้ด
“ไม่หยุด แม่ผิดสัญญากับไข่ตุ๋น บอกว่าจะพามาดูหลินปิง ก็ไม่เห็นพาไปเลย ตอนนี้ไข่ตุ๋นก็คิดถึงพ่อแล้วด้วย ไข่ตุ๋นจะกลับบ้าน พ่อๆๆ”
“เลิกเรียกพ่อแกซะที ป่านนี้พ่อแกอยู่กับนังยี่หวาโน่น เค้าไม่สนใจแกแล้ว
ไข่ตุ๋นได้ฟังก็กรี๊ดเสียงดังลั่น
“ไม่จริง ไข่ตุ๋นจะหาพ่อ ปู่เท่ง อายอด อยู่ไหนอ้ะ ปู่เท่ง อายอด”
เอนิตาดึงแขนไข่ตุ๋นพูดเกือบจะเป็นขู่
“แกเป็นลูกฉัน คิดจะดื้อกับฉันเหรอ”
“โอ๊ยๆ แม่ๆ ไข่ตุ๋นเจ็บ แม่” ไข่ตุ๋นร้อง
“งั้นก็อย่าดื้อกับแม่ แม่ไม่ได้ตามใจเราเหมือนพ่อนะ”
เอนิตาพูดจบก็เดินออกจากไป ปล่อยให้ไข่ตุ๋นร้องไห้สะอึกสะอื้น อยู่คนเดียวในห้อง
เช่นเดียวกับวสันต์ เวลานี้เขากำลังคุยโทรศัพท์มือถือยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์อยู่ โดยมีวัลลภาคอยลุ้นอยู่ใกล้ๆ วสันต์กำลังต่อรองกับยี่หวา
“ช่วยไม่ได้ ก็คุณไม่ยอมขายที่เอง ผมก็ต้องพาข้าวตูมาดิ ถ้าคุณอยากได้ข้าวตูกลับไป ก็เอามาให้ผมสิบล้าน ไม่อย่างงั้น ก็อย่าหวังเลยว่าจะได้เห็นข้าวตูอีก”
พูดแค่นั้นวสันต์กดวางสาย วัลลภายกนิ้วให้กับลูกชายแสนเลว สีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง
“ดีมากตาสันต์ คราวนี้นังยี่หวามันต้องยอมขายที่แน่”
“แล้วถ้าเกิดยี่หวาไม่ขายละแม่ เราไม่ต้องเลี้ยงข้าวตูเพิ่มขึ้นอีกคนเหรอ ผมยิ่งไม่ค่อยมีเงินอยู่นะ”
“เชื่อฉันซิ มันรักข้าวตูจะตาย ยังไงมันก็ยอมขายที่แลกกับข้าวตูแน่”
วสันต์คิดตามคำพูดแม่แล้วผุดยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
“สิบล้าน มีสิบล้านทั้งทีจะเอาไปใช้อะไรดีน๊า”
วัลลภาเคลิ้มตาม ฝันถึงเงิน 10 ล้าน ที่กำลังจะลอยมาหา
“ฉันจะไปมาเก๊า คันไม้คันมือจนจะลงแดงตายอยู่แล้วเนี่ย”
ขณะที่สองแม่ลูกกำลังเคลิ้มฝันด้วยความอยู่นั้น ทั้งคู่ไม่รู้ว่าเวลานั้น ข้าวตูกำลังยืนร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ด้วยเสียใจ ไม่คิดว่าพ่อกับย่าจะทำกับตัวเองขนาดนี้
ในใจของเด็กน้อยรู้ซึ้งแล้วว่าทั้งสองคนไม่มีความรักให้เขาเลยแม้แต่น้อย
เวลาเดียวกันนั้นบุญเลื่องกับยาหยีก็ร้องออกมาพร้อมกัน หลังจากฟังยี่หวาบอกข้อเรียกร้องของวสันต์
“สิบล้าน”
“วสันต์เค้าอยากให้พี่ขายบ้านสวนนานแล้ว แต่พี่ไม่ยอมเค้าก็เลยจับข้าวตูไปเพื่อบีบให้พี่ขายที่”
ฟังพี่สาวบอกยาหยีก็ยิ่งเจ็บใจมากขึ้น
“อย่างงี้มันเรียกค่าไถ่แล้ว แจ้งตำรวจจับมันเลยดีกว่าค่ะ เรื่องอะไรจะยอมไอ้สองแม่ลูกนั่น”
“แต่...แต่เค้าขู่พี่ ว่าถ้าพี่แจ้งความ พี่จะไม่ได้เจอข้าวตูอีกต่อไป พี่เชื่อว่าพวกเค้าทำได้นะหยี พี่รู้จักสองแม่ลูกนั่นดี”
ยาหยี กับบุญเลื่องหันไปมองหน้ากัน สงสารยี่หวาจับใจ เพราะทั้งคู่ก็รู้ว่าวสันต์ และวัลลภาเลวแค่ไหน
“ถ้าอย่างนั้นเราก็ขายบ้านสวนไป”
ยี่หวาอัดอั้นจนร้องไห้ออกมาเพรารู้ว่าแม่และน้องสาวผูกพันกับบ้านสวนมาก
“แต่ว่าบ้านสวน มันไม่ใช่ของหนูคนเดียวนะคะ มันเป็นของเราทุกคน”
“ตอนนี้ข้าวตูสำคัญที่สุดนะพี่ยี่หวา หยีเต็มใจให้พี่ขายเพื่อเอาข้าวตูกลับมา”
“พระท่านบอกของทุกอย่าง ไม่จีรังยั่งยืนอยู่กับเราตลอดไปหรอกนะลูก โทรไปบอกคนซื้อนะว่าเราจะขาย แล้วรับมัดจำเค้ามาก่อนสิบล้าน เราจะได้เอาไปช่วยข้าวตู แล้วก็อย่าลืมให้นายวสันต์ทำสัญญาด้วยนะ ว่าต่อไปมันจะได้ไม่มายุ่งกับข้าวตูอีก”
ยี่หวาได้ฟังคำพูดแม่ ก็ยิ่งร้องไห้ ซึ้งใจสุดๆ เข้าไปกราบอกแม่ “ขอบคุณมากค่ะแม่ ขอบใจมากนะหยี” ยี่หวาหันไปพูดกับยาหยีสองพี่น้องจับมือกันแน่น
สามแม่ลูกกอดกันแน่น ในเวลาเดือดร้อน ครอบครัวคือกำลังใจที่ดีที่สุดเสมอ
วันต่อมาที่ริมถนนร้านกาแฟใกล้ๆ โรงแรมที่พักของวสันต์กับวัลลภา ยาหยีขับรถเข้ามาจอด โดยพายี่หวา มาด้วย
“หยีรอพี่แถวนี้นะคะ ไม่อยากเจอหน้าสองแม่ลูกอุบาทว์นั่น”
“พี่เข้าใจ เสร็จแล้วพี่โทรตามหยีนะ”
“ค่ะ”
ยี่หวาหยิบกระเป๋าถือแล้วลงจากรถเดินเข้าร้านกาแฟ เพื่อไปพบวสันต์ กับวัลลภาที่นัดไว้
จังหวะนั้นยาหยีรีบหยิบโทรศัพย์กดโทรหาบุญเลื่อง
“แม่ขา หยีจะไปซื้อบ๊ะจ่างเจ้าอร่อยที่แม่ชอบ แม่จะเอาอะไรอีกมั้ยคะ ก๋วยเตี๊ยวไหหลำ ไม่เหรอ แม่ ค่ะๆ ดีค่ะ”
ยาหยีลงรถออกไปซื้อของ
เวลานั้น ข้าวตูกำลังพยายามบิดลูกบิดประตูเพื่อออกไป แต่เมื่อไม่สำเร็จ ข้าวตูจึงพยายามคิดหาทางใหม่ ครู่ต่อมาก็วิ่งมาที่หน้าต่าง แล้วเปิดหน้าต่างออก มองไปรอบๆ เห็นมีคนอยู่เต็มไปหมด ข้าวตูตัดสินใจตะโกนลั่น
“ช่วยด้วยๆ ช่วยด้วยคร้าบ ช่วยด้วย”
แต่น่าสงสาร เพราะข้าวตูอยู่ชั้นบนของโรงแรม เสียงตะโกนไปไม่ถึง และไม่มีใครสนใจซักคน
ข้าวตูเริ่มคิดหนัก
ทันใดนั้น สายตาข้าวตูก็เหลือบไปเห็นตำรวจคนหนึ่ง กำลังเดินซื้อของอยู่ข้างล่าง ข้าวตูฉุกคิดขึ้น รีบไปหยิบเศษกระดาษ ปากกามา แล้วใช้ปากกาเขียนคำว่า “ช่วยด้วย” ก่อนจะพับเครื่องบินกระดาษ กะจะร่อนไปให้ตำรวจ
พอพับเสร็จ ก็วิ่งไปที่หน้าต่าง แล้วร่อนเครื่องบินไปทันที แต่ด้วยความที่เครื่องบินเบาและอยู่ชั้นบน เลยโดนลมพัดไปทางอื่น ไม่ถึงตำรวจ ข้าวตูร้องอย่างเสียดาย
“ว๊า”
เด็กชายตัวน้อยคิดหนักว่าจะทำไงต่อไปดี
ทางด้านยี่หวากำลังคุยตกลงกับวสันต์ และวัลลภา บนโต๊ะมีหนังสือสัญญาวางอยู่
“เกินไปรึเปล่ายี่หวา ถึงกับต้องเซ็นสัญญาไม่ให้ผมยุ่งกับลูกเลยเหรอ ผมเป็นพ่อข้าวตูนะ”
ฟังลมที่พ่นออกจากปากวสันต์แล้วยี่หวาก็ยิ้มเยาะขึ้นมา
“พ่อที่จับลูกตัวเองเรียกค่าไถ่เนี่ยนะ อย่าว่าแต่เป็นพ่อเลย เป็นคนให้ได้ก่อนเถอะ”
“นี่คุณ” วสันต์โมโห วัลลภารีบสวนขึ้น
“แกก็เซ็นๆไปเถอะน่ะตาสันต์ จะยักท่าไปทำไมยะ เงินมากองอยู่ตรงหน้าแล้ว” ท้ายประโยควัลลภากระซิบบิวท์ลูกชาย
“แต่ถึงไงข้าวตูมันก็ลูกผมนะแม่ จะให้เซ็นยกง่ายๆ อย่างงี้เลยเหรอ” วสันต์ลังเลขึ้นมาอีก
“ตกลงจะเซ็นหรือไม่เซ็น ที่ฉันยอมคุณขนาดนี้ก็เพราะคุณเป็นพ่อข้าวตูหรอกนะ ถ้าเป็นคนอื่น ฉันแจ้งตำรวจจับไปนานแล้ว”
“เออ ก็ได้ๆ”
วสันต์เซ็นสัญญาเสร็จจะส่งคืนให้ยี่หวา แต่วัลลภารีบขวางไว้ก่อน
“เดี๋ยว เงินล่ะยะ”
ยี่หวาหยิบแคชเชียร์เช็คยื่นให้ วสันต์ กับวัลลภา รีบรับเช็คมาดู ต่างตื่นเต้นที่ได้เงินมากขนาดนี้
ในขณะที่ยี่หวา ดูสัญญาด้วยความดีใจ
ทางด้านข้าวตูคิดหาหนทางออกไปจากห้อง เด็กน้อยเห็นตำรวจซื้อของกินอยู่ และกำลังจะเดินกลับ ก็ตกใจ คิดในใจว่าถ้าตำรวจไปแล้วใครจะช่วย ข้าวตูหันรีหันขวาง เหลือบไปเห็นถุงพลาสติกใส่ขนม ที่วัลลภากินทิ้งไว้
ไวเท่าความคิดข้าวตูนึกบางอย่างขึ้นได้ รีบหยิบถุงพลาสติก แล้ววิ่งเข้าห้องน้ำ เอาถุงพลาสติกใส่น้ำทันที เสร็จแล้วก็ถือถุงใส่น้ำวิ่งออกมา แล้วหยิบหนังยางสติ๊กมารัดปากถุง ก่อนจะรีบวิ่งไปที่หน้าต่าง แล้วมองหาตำรวจ พอเจอก็เล็งอย่างดี ก่อนจะทิ้งถุงน้ำลงไป
ตำรวจกำลังกินลูกชิ้นอย่างเอร็ดอร่อย ทันใดนั้น ถุงน้ำก็ตกลงมาใส่หัวจนแตกโพล๊ะ เปียกเละไปหมด ตำรวจคนนั้น นึกโมโห จึงมองขึ้นไปข้างบนว่าฝีมือใคร
“ใครกล้าทำร้ายเจ้าหน้าที่วะ”
เมื่อมองไปสายตาของตำรวจนายนั้น ก็เห็นเด็กชายข้าวตูโบกไม้โบกมือ ร้องเรียกให้ช่วยอยู่ ตำรวจเอะใจ ท่าทางจะต้องมีอะไรแน่ๆ
เวลาเดียวกันนั้นสุดยอดกำลังถ่ายทำรายการ “เจ๋งสุดๆกับสุดยอด” โดยมีว่าน นัท โมน และทีมงานกำลังควบคุมการถ่ายทำเหมือนเดิม
“ไม่น่าเชื่อเลยนะครับ ว่าตรอกซอกซอยเล็กๆ อย่างงี้ จะมีบ๊ะจ่างตำรับราชวงศ์หมิงซ่อนอยู่ แสดงว่าเมืองไทยเรายังมีของดีๆอีกเยอะเลยนะครับ และถ้าคุณผู้ชมอยากจะเห็นอะไรดีๆแบบนี้อีกล่ะก็ อย่าลืมติดตามชมรายการ” สุดยอดพูดพร้อมกับทำท่าสัญลักษณ์รายการประกอบ “เจ๋งสุดๆกับสุดยอด สำหรับวันนี้ต้องขอลาไปก่อนนะคร้าบ”
สุดยอดไหว้ลาหน้ากล้อง นัทพอใจ
“คัท โอ.เค.”
ทีมงานก็ต่างทำหน้าที่ของตนทันที จังหวะนั้นนัทรับไมค์จากสุดยอดมา
“เฮ้ย หิวยังวะ ไปหาอะไรกินกันมั้ย”
“กินบ๊ะจ่างจนพุงจะแตกอยู่แล้วว่ะ พวกเอ็งกินกันตามสบายเหอะ”
สุดยอดบอก ว่านเดินเข้ามาแซวๆ
“กินบ๊ะจ่างจนพุงจะแตก หรือว่ากินน้องเพิร์ลลี่จนสำลักถึงคอหอยกันแน่วะ”
สุดยอดหน้าหงิกงอ เครียดขึ้นมาทันที นัทหันไปดุว่าน
“พูดแล้วรวยขึ้นมั้ย สบายใจรึยัง ชีวิตดีขึ้นมั้ย”
ว่านจ๋อย หุบปากไปไม่กล้าแซวอีก
ขณะนั้นเอง สุดยอดก็เหลือบไปเห็นยาหยีกำลังจะเดินข้ามถนนมา พอยาหยีเหลือบมาเห็นสุดยอดก็ชะงัก ต่างฝ่ายต่างสบตากัน
ยาหยีรีบหลบตาแล้วเดินหนีไปทางอื่นทันที สุดยอดจะข้ามถนนตามไป แต่เพราะรถราวิ่งขวักไขว่ เลยทำได้แค่รีบเดินตามไปไม่ให้คลาดสายตา คิดในใจว่ามีจังหวะเมื่อไหร่ค่อยข้ามถนนไปหายาหยี
ยี่หวาเดินเข้ามาในโรงแรมพร้อมกับสองแม่ลูก พนักงานโรงแรมเห็นวสันต์ก็รีบเข้ามาหาทันที
“คุณคะคุณ ทำไมคุณถึงได้ขังลูกคุณเอาไว้ในห้องล่ะคะ รู้มั้ยคะว่าวุ่นวายกันยกใหญ่แล้ว”
ยี่หวาได้ยินก็รู้สึกเป็นห่วงลูกทันที “เกิดอะไรขึ้นคะ”
“ก็เด็กน่ะสิคะ ส่งสัญญาณไปบอกตำรวจ เค้าเลยคิดว่าถูกจับตัวมาเรียกค่าไถ่” พนักงานอีกคนบอก
วสันต์เห็นสายตายี่หวาก็ชักหวั่นๆ จึงรีบพูดขึ้น
“ผมกลัวว่าข้าวตูจะซนระหว่างที่ผมไม่อยู่น่ะ ก็เลยขังเอาไว้ ไม่มีอะไรหรอก”
“กลัวว่าข้าวตูหนีไปแล้วจะไม่ได้เงินมากกว่ามั้ง” ยี่หวาแขวะแล้วหันมาพูดกับพนักงาน “ไม่ทราบว่าตอนนี้ ลูกดิฉันอยู่ไหนคะ”
“ตำรวจพาไปที่โรงพักแล้วค่ะ” พนักงานโรงแรมบอก
ยี่หวาตกใจ ก้าวเดินฉับๆ ออกไปทันที โดยมีวสันต์ กับวัลลภาก็รีบตามออกมาติดๆ
เวลาเดียวกันนั้นนายตำรวจกำลังเดินมากับข้าวตู
“ที่หลังอย่าทิ้งน้ำลงมาอย่างงี้อีกนะครับ มันอันตราย รู้มั้ย” ตำรวจสั่งสอน
“ครับ ผมจะไม่ทำอีกแล้วครับ” ข้าวตูรับคำ
“เอ่อ แล้วทำไมคุณพ่อถึงเอาไปขังไว้ในห้องล่ะ เกิดอะไรขึ้นเหรอ”
ข้าวตูหน้าจ๋อยลง ทันใดนั้นก็เหลือบไปเห็นยาหยีเดินมาอยู่อีกฟากถนน
ข้าวตูดีใจสุดๆ ตะโกนเรียก “น้าหยีๆ น้าหยีครับ”
แต่ยาหยีไม่ได้ยิน ข้าวตูเลยวิ่งข้ามถนนไปหายาหยีทันที
ตำรวจนายนั้นไม่ทันระวัง พอรู้ตัวอีกทีข้าวตูก็วิ่งไปแล้วตะโกนเตือนตามหลัง
“ระวังรถ”
ข้าวตูวิ่งไปกลางถนนโดยไม่ระวัง ทันใดนั้นก็มีรถคันหนึ่งวิ่งสวนมาด้วยความเร็วสูง บีบแตรเสียงดังลั่นยาหยีหันไปมองตาม พอเห็นเป็นข้าวตูก็ช็อกสุดๆ
เช่นเดียวกับยี่หวา วสันต์ และวัลลภา ที่เห็นเหตุการณ์พอดี ต่างคนต่างช็อกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ยาหยีกรีดร้องเสียงลั่นไปทั่วบริเวณ
เมื่อเห็นรองเท้าของข้าวตู ปลิวกระเด็น ก่อนจะหล่นลงมาที่พื้นถนน
อ่านต่อวันพรุ่งนี้
ลิขิตเสน่หา ตอนที่ 19 (ต่อ)
เวลานี้ยี่หวา ยาหยี บุญเลื่อง วสันต์ และวัลลภา ต่างก็กำลังยืนอย่างกระสับกระส่ายอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง โดยเฉพาะ ยี่หวา ยาหยี และบุญเลื่องนั้นเป็นห่วงข้าวตูสุดๆ ไม่รู้จะเป็นยังไงบ้าง
“ทำไมเข้าไปนานอย่างงี้เนี่ย ข้าวตูจะเป็นอะไรมากรึเปล่ายี่หวา” บุญเลื่องเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน
“ใจเย็นๆ นะคะแม่ ถึงมือหมอแล้ว คงไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
ยี่หวาปลอบแม่ทั้งที่ตัวเองก็รู้สึกไม่ต่างจากบุญเลื่องเท่าไหร่
“นี่ จะห่วงข้าวตูอย่างเดียวไม่ได้นะยะ ห่วงเรื่องค่ารักษาด้วย บอกก่อนนะ ว่าฉันมีภาระต้องใช้ ช่วยมากไม่ได้หรอก”
วัลลภาสอดขึ้นมา ยาหยีรู้สึกโมโหมาก
“สตางค์แดงเดียวเราก็ไม่อยากได้ของคุณหรอก เก็บเงินไว้ใส่ปากตัวเองตอนตายเถอะ”
“นี่แช่งแม่ฉันเหรอ” วสันต์โมโหหันไปพูดกับยี่หวา “คุณดูน้องคุณนะยี่หวา แม่ผมพูดด้วยดีๆ แต่มาก้าวร้าวไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่อย่างงี้ มันใช้ได้เหรอ”
“ก็แล้วแม่คุณเป็นผู้ใหญ่ที่น่านับถือซักแค่ไหนล่ะ คนดีๆ เค้าคงไม่สอนลูกชายตัวเองให้ไถเงินผู้หญิง แถมจับหลานไปเรียกค่าไถ่หรอก”
โดนยี่หวาตอกกลับวสันต์ กับวัลลภาแค้นจัด แต่เถียงไม่ออกซักคำ
“ที่ข้าวตูต้องเป็นอย่างงี้ ก็เพราะคุณย่ามหาภัยกับพ่อเฮงซวยอย่างพวกแกสองคนนี่แหละ ไปให้พ้นหน้าฉันได้แล้ว เซ็นสัญญายกข้าวตูให้เราแล้วไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องกลับมาให้ฉันเห็นหน้าอีกนะ”
เจอบุญเลื่องอีกดอกวสันต์ยิ่งโมโหหนัก
“ก็ได้ จะเอาอย่างงั้นก็ได้ แล้วอย่ามาด่าว่าผมไม่ดูแลข้าวตูที่หลังล่ะ” วสันต์หันไปจ้องหน้ายี่หวาอย่างหาเรื่อง “โดยเฉพาะเวลาที่ข้าวตูร้องหาพ่อขึ้นมา อย่ามาตามผมก็แล้วกัน”
“คงไม่มีวันนั้นอีกแล้วล่ะ เพราะถ้าข้าวตูยังต้องการคุณ ก็คงไม่หนีคุณออกมาอย่างงี้หรอก จริงมั้ย”
วสันต์หน้าเจื่อน อึ้งไป เพราะเถียงไม่ออก
“คุณไปได้แล้ววสันต์ ไปอยู่กับเงินสิบล้านที่คุณอยากได้มาตลอดนั่นแหละ คนอย่างคุณ มันก็เหมาะแล้วที่จะต้องอยู่กับสิ่งไม่มีชีวิตจิตใจอย่างเงินทองพวกนี้ เพราะคนที่มีจิตใจ มีความรู้สึก ไม่มีใครทนความเห็นแก่ตัวของคุณได้หรอก”
วสันต์อึกๆ อักๆ โดนยี่หวาด่าซะหน้าเสีย วัลลภาสอดเข้ามาอีก
“อย่าไปฟังมันตาสันต์ มีเงินก็เหมือนมีทุกอย่าง ไม่มีอะไรดีไปกว่าเงินอีกแล้ว” วัลลภาพูดพร้อมกับดึงแขนวสันต์ “ไป เค้าไม่อยากให้เราอยู่ก็ไม่ต้องอยู่ ดี ไม่ต้องเสียเงิน”
วสันต์เจ็บใจยี่หวา จึงเดินกลับไปพร้อมกับวัลลภา และสวนกับสุดยอดที่เดินเข้ามาพอดี
“ผมจัดการเรื่องเอกสารเรียบร้อยแล้วนะ ข้าวตูเป็นยังไงบ้าง”
สุดยอดพูดยังไม่ทันขาดคำ หมอก็เปิดประตูห้องฉุกเฉินก้าวออกมา ยี่หวาพุ่งเข้าไปถามด้วยความร้อนใจสุดๆ
“คุณหมอคะ ข้าวตูเป็นไงบ้างคะ”
คุณหมอเจ้าของไข้มีท่าทางอึกๆ อักๆ สีหน้าเคร่งเครียดสุดๆ
“เท่าที่ดู ตอนนี้ก็น่าจะปลอดภัยแล้วล่ะครับ ผลเอ็กซเรย์สมองก็ไม่มีอะไรกระทบกระเทือน แต่ยังไงคงต้องให้ค้างดูอาการสักคืนนะครับ” หมอเดินนำทั้งสี่คนเข้ามาในห้องพักผู้ป่วยบอก
“ยังไงก็ได้ค่ะหมอ ขอให้ลูกฉันปลอดภัยเท่านั้นพอ”
ยี่หวาและทุกคนไหว้ขอบคุณ หมอรับไหว้แล้วเดินออกจากห้องไป ยี่หวามองดูข้าวตูที่นอนหลับอยู่บนเตียงมีเพียงแผลถลอกนิดหน่อย
ยาหยีหันไปมองหลานชาย นึกไปถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาสดๆ ร้อนๆ และทำให้ทุกคนมารวมตัวกันที่โรงพยาบาลแห่งนี้
รถยนต์คันนั้นกำลังวิ่งเข้ามาหาข้าวตู ท่ามกลางความตกใจช็อกของทุกคน ทันใดนั้นเอง สุดยอดที่ตามยาหยีมาห่างๆ อีกฟากถนน ก็พุ่งเข้าไปรวบตัวข้าวตูไว้ ทั้งคู่กลิ้งไปกับพื้นถนน สามารถหลบรถที่วิ่งเข้ามาไปได้ชนิดเส้นยาแดงผ่าแฝด
จังหวะนั้นสุดยอดหันไปมองดูข้าวตูที่อยู่ในอ้อมอกของตัวเอง เห็นข้าวตูนอนสลบเหมือดไปก็ตกใจสุดๆ
“ข้าวตูๆๆ”
ครู่ต่อมายาหยี กับสุดยอด กำลังเดินคุยกันอยู่ในโรงพยาบาล ยาหยียังอยู่ในอาการเก้อเขินอยู่
“ถ้าไม่ได้คุณช่วยไว้ ข้าวตูคงแย่ไปแล้ว หรือถ้าผิดจังหวะคนที่โดนรถชนก็อาจจะเป็นคุณ”
“แสดงว่าคุณเป็นห่วงผม” สุดยอดพูดยิ้มๆ
“ฉันก็ห่วงสิ ก็คุณมาช่วยหลานชั้นนี่”
ยาหยีเฉไฉ สุดยอดพูดพร้อมรอยยิ้มแสนอบอุ่น
“มากกว่านี้ผมก็ทำได้ข้าวตูก็เหมือนหลานผมคนหนึ่งเหมือนกันอย่าลืมสิ”
ยาหยีฟังแล้วน้ำตารื้น ในใจสองดวงเวลานี้เต็มตื้นไปด้วยความคิดถึงกันและกัน แต่สิ่งที่ทำได้คือคุยกันห่างๆ อย่างเฉยเมย
“ขอบคุณนะสุดยอด ขอบคุณจริงๆ”
จู่ๆ ยาหยีก็น้ำตาไหลออกมา สุดยอดเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน
สุดยอดยกมือหมายจะมือเช็ดน้ำตาให้แต่ยาหยีรีบปาดน้ำตาเอง และเบือนหน้าหนี
“ฉันส่งคุณแค่นี้นะ”
สุดยอดพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเศร้าๆ
“ทำไมที่ผ่านมาคุณต้องคอยหลบหน้าผมด้วยล่ะหยี ถ้าเราเป็นแฟนกันไม่ได้ ก็จะเป็นเพื่อนกันไม่ได้เหรอ”
จังหวะที่ยาหยีกำลังอึกๆ อักๆ อยู่นั้น ประตูลิฟท์ก็เปิดออก พร้อมกับเพิร์ลลี่ที่ก้าวออกมาพอเห็นสุดยอดอยู่กับยาหยีเข้าก็ของขึ้นทันที
“พี่ยอด รู้มั้ยว่าเพิร์ลลี่ตามหาพี่จนแทบบ้าอยู่แล้ว” เพิร์ลลี่พูดพลางเหล่ยาหยีด้วยสายตาเกลียดชัง “นี่ถ้าไม่โทรจิกคนทั้งบริษัท ก็คงไม่รู้หรอกว่าพี่แอบมาอยู่ที่นี่ แหม ลักกินขโมยกิน มันคงอร่อยดีนะคะ พี่ถึงได้ติดใจไม่ยอมเลิก”
ยาหยีฟังแล้วโมโห แต่ก็พยายามข่มอารมณ์เต็มที่หันมาพูดกับสุดยอด
“คุณเห็นแล้วใช่มั้ย ว่าเราเป็นเพื่อนกันไม่ได้หรอก เป็นได้อย่างมากก็แค่คนเคยรู้จักเท่านั้นแหละ”
พูดแค่นั้นยาหยีก็เดินเลี่ยงกลับไป
สุดยอดมองตามอย่างรู้สึกผิด สงสารยาหยีจับใจ
“มองตาละห้อยเชียวนะ ทำไม แค่นี้ถึงกับจะขาดใจเลยเหรอ เพิร์ลลี่ต่างหากที่เป็นแฟนพี่ ไม่ใช่ยาหยี” ไม่พูดเปล่าเพิร์ลลี่เดินเข้าไปทุบตีสุดยอด “เข้าใจมั้ยๆๆๆๆ”
สุดยอดปล่อยให้เพิร์ลลี่ทุบตีตัวเองอยู่อย่างนั้น ครั้นพอประตูลิฟท์เปิดออก สุดยอดก็รีบหนีเข้าไปแล้วกดปิดประตูลิฟท์ทันที เพิร์ลลี่ตกใจ รีบไปกดปุ่มเพื่อให้เปิดประตูแต่ก็ไม่ทัน สุดยอดหนีลงลิฟท์ไปแล้ว
เพิร์ลลี่ เต้นเร่าๆ ด้วยความเจ็บใจ
ทางด้านเอนิตายังคงอยู่ที่บ้านพักในเชียงใหม่ เวลานั้นเธอเอียงคอหนีบโทรศัพท์มือถือคุยกับเพื่อนอยู่ ส่วนมือก็ทาเล็บเท้าไปด้วย
“นนท์รักลูกจะตาย แค่เอามาเชียงใหม่ซักสี่ห้าวันก็เต้นเป็นเจ้าเข้าแล้ว” เอนิตาหัวเราะชอบใจเมื่อฟังคำพูดอีกฝ่าย “แหงล่ะย่ะ ไม่งั้นฉันจะคอนโทรลนนท์อยู่เหรอ...ยัยไข่ตุ๋นน่ะเหรอจะกล้ากับฉัน โดนหวดซักทีสองทีก็ว่านอนสอนง่ายแล้ว”
เอนิตามัวแต่เม้าท์จึงไม่รู้ตัวว่า ไข่ตุ๋นแอบย่องผ่านด้านหลังตัวเอง ก่อนจะหลบออกจากบ้านไป ในขณะที่เอนิตายังเม้าท์มอยไม่เลิก
“ บ้า จะหล่อมาจากไหนฉันก็ไม่สนหรอก ตอนนี้ฉันต้องเอานนท์ไว้ก่อน... เอ๊ะ บอกว่าไม่ไปก็ไม่ไปสิ จะยั่วกิเลสไปถึงไหนยะ...”
ไข่ต๋นหนีแม่ออกมา เดินโซซัดโซเซเรื่อยเปื่อยมาจนถึงตลาดเชียงใหม่ จะกลับบ้านไปหาเอนิตาก็จำทางกลับไม่ได้แล้ว มองไปทางไหนก็เจอแต่สิ่งที่ไม่คุ้นเคยทั้งนั้น
ไข่ตุ๋นกวาดสายตามองไปรอบๆ ด้วยท่าทางหวาดกลัว
ขณะนั้นเอง ผู้ชายมาดนักเลงคนหนึ่งก็ถือกระเป๋าผ้าใบใหญ่พร้อมกับคุยโทรศัพท์มือถือเดินผ่านหน้าไข่ตุ๋นไป
“เห็นใจผมเถอะครับนาย ผมโดนจับตาทุกฝีก้าว กว่าจะหลบมาได้แทบตาย...รับรองครับ ยังไงคืนนี้ก็ถึงกรุงเทพฯ แน่ นายส่งคนไปรอรับได้เลยครับ”
ไข่ตุ๋นหูผึ่งทันที ที่ได้ยินว่าจะไปกรุงเทพฯ เลยรีบตามไปทันที นักเลงคนนั้นเดินคุยมือถือไปจนถึงรถของตัวเองที่จอดอยู่
“ครับนาย ผมจะระวังให้มากที่สุดเลยครับ...ครับ สวัสดีครับ”
นักเลงคนนั้นวางสายและกดรีโมทปลดล็อครถยนต์ ไข่ตุ๋นรีบเดินเข้าไปหาทันที
“คุณน้าขา คุณน้าจะไปกรุงเทพเหรอคะ”
“ใช่ มีอะไร” ชายคนนั้นตอบด้วยหน้าตาบึ้งตึง
“ขอหนูไปด้วยคนได้มั้ยคะ หนูอยากกลับบ้าน บ้านหนูอยู่กรุงเทพฯ เหมือนกัน”
นักเลงคิดอยู่ครู่หนึ่ง ผุดยิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วเปิดประตูให้
“ได้สิ งั้นขึ้นเลย”
“ขอบคุณค่ะ”
ไข่ตุ๋นดีใจมากไหว้ขอบคุณ แล้วรีบขึ้นไปนั่งทันที ขณะที่ชายนักเลงรีบนั่งไปประจำที่คนขับปั้นหน้ายิ้ม
“หนูจ๊ะ หนูชอบตุ๊กตามั้ย”
“ชอบค่ะ”
ชายคนนั้นหยิบตุ๊กตาหมีแพนด้าออกจากกระเป๋าผ้าใบใหญ่ที่ถืออยู่ ส่งให้ไข่ตุ๋น
“งั้นน้า ให้ยืมกอดตุ๊กตาเป็นเพื่อน จนกว่าจะถึงกรุงเทพฯ นะ”
ไข่ตุ๋นเห็นตุ๊กตารูปหลินปินก็ดีใจร้องตาโต “หลินปิง ได้เลยค่ะน้า” พลางรีบรับเอาตุ๊กตามากอดด้วยความดีใจ
ชายมาดนักเลงมองดูไข่ตุ๋นแล้วก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ คิดในใจว่ากะใช้ไข่ตุ๋นเป็นโล่ป้องกันตำรวจนั่นเอง
ณนนท์รู้เรื่องไข่ตุ๋นหายตัวไปตอนเย็นของวันนั้น และเขากำลังคุยมือถือกับเอนิตาด้วยความโมโห
“อะไรนะ ลูกหาย หายได้ยังไง คุณดูแลลูกประสาอะไรนิตา...”
เท่งซึ่งอยู่ในชุดผ้ากันเปื้อน กำลังทำกับข้าวอยู่ พอได้ยินเสียงณนนท์ก็รีบวิ่งออกมาดูทันที เห็นณนนท์พูดโทรศัพท์อยู่อย่างโมโหมาก
“นี่คุณยังมาโวยวายใส่ผมอีกเหรอ ลูกทั้งคนนะคุณ ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้” ณนนท์นิ่งฟังเอนิตา และพยายามระงับอารมณ์สุดๆ “คุณอยู่ที่นั่นแหละ เผื่อลูกจะกลับไปหาคุณ ผมจะตามหาไข่ตุ๋นเอง คุณยุ่งให้น้อยที่สุดน่ะดีแล้ว”
ณนนท์กดวางสายเท่งถามอย่างร้อนรน
“เจ้าไข่ตุ๋นเป็นอะไรเหรอนนท์”
ณนนท์เครียดขึ้นมาอีก
“ไข่ตุ๋นหนีออกจากบ้านครับพ่อ แล้วพ่อรู้มั้ยครับว่านิตาเค้าพาไข่ตุ๋นไปหลบที่ไหน เชียงใหม่ครับ เค้าพาไข่ตุ๋นไปบ้านเค้าที่เชียงใหม่”
เท่งได้ฟังก็ตกใจมาก นึกห่วงหลานสาวจับใจ
“ฮ๊า! แล้วนี่เจ้าไข่ตุ๋นจะหนีจากเชียงใหม่มากรุงเทพฯรึเปล่าเนี่ย เวรกรรมแท้ๆเล๊ย”
ไข่ตุ๋นนั่งเล่นตุ๊กตาหมีแพนด้า ขณะที่ชายมาดนักเลงกำลังขับรถมาเรื่อยๆ จังหวะนั้นนักเลงก็เหลือบไปเห็นตำรวจกำลังตั้งด่านอยู่ก็หน้าเสีย
“งานเข้าจนได้” พลางหันไปพูดกับไข่ตุ๋น “หนู ช่วยอะไรน้าอย่างได้มั้ย”
“ได้ค่ะ”
“ถ้าตำรวจเค้าถามอะไรหนู หนูต้องบอกว่าเป็นหลานน้าจริงๆนะ เข้าใจมั้ย”
“ทำไมล่ะคะ” ไข่ตุ๋นสงสัย
ชายมาดนักเลงจึงแกล้งขู่
“ก็ถ้าเค้ารู้ว่าเราไม่ใช่น้าหลานกันจริงๆ แล้วเกิดเอาเราสองคนไปโรงพักขึ้นมา ก็เสียเวลาอีกน่ะสิ เผลอๆ อาจจะจับเราขังคุกก็ได้ ทีนี้หนูก็อดไปกรุงเทพฯ เลย”
ไข่ตุ๋นกลัวถูกขังคุกขึ้นมา ชายมาดนักเลงขับรถชะลอมาหยุดที่ด่านตรวจ ตำรวจคนหนึ่งเดินมาที่คนขับ ในขณะที่ตำรวจอีกคนก็ส่องไฟไปเรื่อยๆ เพื่อดูสิ่งผิดปกติในรถ
“ขอโทษครับ ขอใบขับขี่ด้วยครับ”
ชายมาดนักเลงเปิดกระจกรถแล้วยื่นใบขับขี่ให้ตำรวจ จังหวะนั้นเองตำรวจอีกคนส่องไฟมา ไข่ตุ๋นเห็นแสงไฟก็กลัว กอดตุ๊กตาแน่น
“จะไปไหนครับเนี่ย” ตำรวจคนหนึ่งถาม
“ไปกรุงเทพฯ ครับ ผมจะพาหลานไปหาพ่อแม่เค้าน่ะครับ” ชายนักเลง ปั้นหน้ายิ้มตอบ
ตำรวจอีกคน เปิดประตูรถด้านไข่ตุ๋นออก เพื่อส่องไฟข้างในรถให้ชัดๆ ไข่ตุ๋นกลัว กอดตุ๊กตาแน่น
“ตรวจเข้มจังเลยนะครับ มีอะไรเหรอครับคุณตำรวจ” ชายนักเลงถาม
“พอดีสายรายงานมาว่ามีการขนยาเสพติดน่ะครับ เราก็เลยต้องตรวจเป็นพิเศษหน่อย”
“ขอโทษนะหนู ขออาดูตุ๊กตาหน่อยได้มั้ย” ตำรวจบอกไข่ตุ๋น
“ได้ค่ะ”ไข่ตุ๋นยื่นตุ๊กตาให้ตำรวจโดยดี
ชายนักเลง ถึงกับหน้าเสีย กลัวสุดๆ เพราะเขาซ่อนยาเสพติดไว้ในตุ๊กตานั่นเอง ขณะนั้นเอง ทุกคนก็ได้ยินเสียงไข่ตุ๋นท้องร้อง เสียงดังลั่น
“หิวข้าวเหรอยัยหนู” น้าชายจอมปลอมถาม
ไ”ค่ะ ไข่ตุ๋นยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลย หิวจนปวดท้องไปหมดแล้ว” ไข่ตุ๋นเบะปากจะร้องไห้
ตำรวจอีกคนเห็นก็สงสารเด็ก
“อ้ะๆ งั้นรีบพาเด็กไปกินข้าวได้แล้ว ท่าจะหิว ไปได้แล้ว”
ตำรวจคืนตุ๊กตาให้ไข่ตุ๋นไป พร้อมกับปิดประตูรถให้ ชายนักเลงรีบขับรถออกไปด้วยความดีใจ
ในที่สุดคืนนั้นชายมาดนักลง ก็ขับรถพาไข่ตุ๋นมาถึงกรุงเทพฯ และจอดที่หน้าร้านมินิมาร์ทแห่งหนี่ง โดยตอนนั้นไข่ตุ๋นหลับสนิทอยู่หน้ารถเพราะเดินทางมาหลายชั่วโมงจนเพลีย
“หนูๆ ตื่นได้แล้ว”
ไข่ตุ๋นงัวเงียตื่นขึ้นถาม “ถึงบ้านแล้วเหรอคะ”
“บ้านเบิ้นอะไร น้าไม่มีเวลาไปส่งหรอก พามากรุงเทพฯก็ดีเท่าไหร่แล้ว หาทางกลับบ้านเอาเองละกัน” หยิบแบงค์ย่อยพร้อมเศษเหรียญออกมายัดใส่มือไข่ตุ๋น “อ้ะเอาไป น้าให้”
“ขอบคุณค่ะ”
ไข่ตุ๋นเอาเงินใส่ในกระเป๋ากางเกง แล้วจะอุ้มตุ๊กตาลงจากรถ
“เฮ้ยๆ ตุ๊กตาอ้ะ เอาคืนมาก่อน” น้าตัวปลอมร้องลั่น
ที่แท้ไข่ตุ๋นแค่พูดบอกลาตุ๊กตา “ลาก่อนนะหลินปิง” หอมตุ๊กตาหนึ่งที คืนให้ชายมาดนักเลง แล้วลงจากรถไป
“โชคดีจริงโว๊ย รวยละกูทีนี้”
คืนนั้นณนนท์เดินทะเลาะกับเอนิตาซึ่งบินกลับจากเชียงใหม่เข้าบ้านมา ในขณะที่สุดยอดกำลังใช้คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค เพื่อประกาศหาไข่ตุ๋นทางอินเตอร์เน็ตอยู่ ส่วนเท่งกำลังคุยโทรศัพท์บ้านเพื่อช่วยตามหาไข่ตุ๋นอีกแรง
“ผมบอกให้คุณรออยู่ที่เชียงใหม่ไง นั่งเครื่องหนีกลับมาแบบเนี้ย เกิดไข่ตุ๋นย้อนกลับไปที่บ้านจะว่ายังไง” น้ำเสียงณนนท์โมโหมาก
“ฉันตามหายัยไข่ตุ๋นจนแทบจะพลิกเชียงใหม่อยู่แล้ว ไม่เจอน่ะสิ ฉันได้รีบมาที่นี่”
“ก็ถ้าไม่อุตริพาเจ้าไข่ตุ๋นหนีไป แล้วมันจะเกิดเรื่องมั้ยล่ะ”
เจอเท่งแขวะเข้าให้เอนิตาพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“หนูไม่ได้มาที่นี่เพื่อให้ทุกคนมารุมขย้ำหนูซ้ำนะคะ แค่ยัยไข่ตุ๋นหายหนูก็เครียดมากพออยู่แล้ว”
ณนนท์ สุดยอด และเท่ง มองเอนิตาอย่างเซ็งๆ จังหวะนั้นเท่งหันไปพูดกับณนนท์
“พ่อโทรไปหาเพื่อนที่เป็นตำรวจ แล้วก็โทรไปรายการวิทยุ หมดแล้วนะ แต่ยังไม่มีอะไรคืบหน้าเลย คงต้องรอพรุ่งนี้แหละ”
“ส่วนผมก็ประกาศหาไข่ตุ๋นตามเว็บอยู่ ตอนนี้พวกเพื่อนๆ กำลังช่วยฟอร์เวิร์ดเมล์ให้ หวังว่าคงได้ผล” สุดยอดบอก
“ขอบคุณนะครับพ่อ ขอบใจมากนายยอด ดึกแล้วพาพ่อไปพักก่อน พี่อยู่รอโทรศัพท์เองเผื่อจะมีใครรู้เบาะแส”
เท่ง กับสุดยอด พากันเดินออกไป
“ถ้าลูกหายไปเราจะทำยังไงกันดีล่ะนนท์” เอนิตาถาม
“ใจเย็นๆ คงไม่มีอะไรหรอก คุณอยู่รอข่าวไข่ตุ๋นเป็นเพื่อนผมละกัน”
ณนนท์พูดแล้วเดินไปเข้าห้องน้ำเหลือเอนิตาเพียงคนเดียว ขณะนั้นเอง เสียงโทรศัพท์บ้านก็ดังขึ้น เอนิตายกหูรับ
“ฮัลโหล” น้ำเสียงของเอนิตาตกใจเพราะนึกไม่ถึง “ไข่...” แต่แล้วฉุกคิดขึ้นมา กลัวว่าณนนท์จะได้ยิน จึงเบาเสียงลง “ไข่ตุ๋น นี่แม่นะ อยู่ไหนลูก...รออยู่นั่นก่อนนะ แม่ไปรับเดี๋ยวนี้แหละ”
เอนิตารีบออกจากบ้านไป ในจังหวะเดียวกับที่ณนนท์เดินออกมาจากห้องน้ำ
“นิตา ใครโทรมา”
ณนนท์เห็นรถเอนิตานอกบ้านไปด้วยท่าทางรีบร้อน ก็ชักเอะใจสงสัย
ไข่ตุ๋นนั่งรออยู่หน้าร้านมินิมาร์ทด้วยหน้าตาเหงาๆ เศร้าๆ ขณะนั้นเอง เอนิตาก็ขับรถมาจอดเทียบที่หน้าร้าน เอนิตารีบลงจากรถแล้วเข้าไปหาไข่ตุ๋นทันที ไข่ตุ๋นดีใจสุดๆ ที่เห็นแม่
“แม่ขา” ไข่ตุ๋นรีบเข้าไปกอดแม่ทันที
“ไปขึ้นรถ รีบไปกันเถอะ”
“แม่จะพาไข่ตุ๋นไปไหนคะ ไข่ตุ๋นอยากกลับบ้าน ไข่ตุ๋นคิดถึงพ่อกับอายอดแล้วก็ปู่เท่งด้วย” ไข่ตุ๋นชะงัก หน้าจ๋อยไปทันที
“เออๆ รู้แล้ว เดี๋ยวแม่จะพาไปหาพ่อนะ”
“จริงเหรอคะ” ไข่ตุ๋นพูดซื่อๆ
เอนิตารำคาญ จึงรีบจูงไข่ตุ๋นไปขึ้นรถทันที แต่ระหว่างที่เอนิตาเดินกลับไปขึ้นรถ กำลังจะขับออกไปนั้นเอง ณนนท์ก็ขับรถมาถึง เขารีบลงจากรถตรงไปหาเอนิตาทันที ณนนท์เคาะกระจกรถเรียก
“นิตา ทำอะไรของคุณเนี่ย จู่ๆ...” ณนนท์ชะงักเมื่อมองเห็นไข่ตุ๋นนั่งอยู่ในรถ เพราะนึกไม่ถึง “ไข่ตุ๋น”
“พ่อ” ไข่ตุ๋นดีใจสุดๆ ตะโกนเรียกณนนท์
เอนิตาตกใจ รีบกดล็อค ไข่ตุ๋นจะเปิดประตูลงไปหาพ่อจึงทำไม่ได้ เอนิตารีบถอยรถเพื่อจะขับหนีไปอย่างร้อนรน ณนนท์โมโหมาก ใช้มือทุบกระจกรถ
“นิตา นี่คุณจะก่อเรื่องอีกแล้วเหรอ ปล่อยไข่ตุ๋นเดี๋ยวนี้นะ นิตาๆๆๆ
“พ่อๆๆๆ” ไข่ตุ๋นตะโกนเรียก ไม่อยากจากพ่อ
เอนิตาไม่สนใจขับรถหนีไป ณนนท์วิ่งตามไม่ทัน จึงได้แต่มองตามด้วยความเจ็บใจสุดๆ
อ่านต่อวันพรุ่งนี้
ลิขิตเสน่หา ตอนที่ 19 (จบตอน)
วันต่อมาภายในร้านอาหารของห้างแห่งหนึ่ง ภูมิชายกำลังตรวจเอกสารทั้งหมดที่ณนนท์รวบรวมมาให้ ก่อนจะเอาเข้าแฟ้มแล้วเก็บในกระเป๋าเอกสาร โดยมีณนนท์ นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วย ภูมิชายบอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ได้หลักฐานมาเพิ่มอย่างงี้ ผมยิ่งมั่นใจครับ ว่าศาลต้องให้คุณดูแลไข่ตุ๋นแน่นอน”
“ขอบคุณคุณภูมิมากนะครับที่ช่วยผม”
“ไม่ต้องขอบคงขอบคุณหรอกครับ หน้าที่ของผมอยู่แล้ว เอ่อ แล้วไม่ทราบว่าคุณณนนท์มีสำเนาหลักฐานพวกนี้เก็บไว้รึเปล่าครับ” จู่ๆ ภูมิชายก็ถามขึ้นมา
“มีอยู่ชุดเดียวครับ มีเท่าที่ผมรวบรวมได้ ใจจริงผมไม่เคยอยากฟ้องนิตาเค้าเลยนะ ครับคุณภูมิก็รู้ อีกอย่างหลักฐานพวกนี้ถ้าหลุดไปมือนักข่าวมีหวังมีข่าวเขียนกันสนุกแน่ ฝากคุณภูมิด้วนนะครับ”
“รับรองครับ ทำสำเนาเสร็จผมรีบคืนคุณนนท์ทันที”
ขณะนั้นเอง เสียงโทรศัพท์มือถือของณนนท์ก็ดังขึ้น ณนนท์ดูเบอร์
“ขอตัวเดี๋ยวนะครับ”
ณนนท์เดินเลี่ยงออกไปเพื่อคุยเรื่องงาน ภูมิชายมองกระเป๋าที่ใส่เอกสารของณนนท์ แล้วผุดยิ้มร้ายๆ ออกมา
เวลาต่อมาภูมิชายเดินถือกระเป๋าเอกสารมาที่รถของเขาซึ่งจอดอยู่ ภูมิชายกดรีโมทปลดล็อก ขณะกำลังจะเปิดประตูรถ ก็โดนชายคนหนึ่งพุ่งเข้ามาประชิดตัว แล้วใช้มีดจี้ทันที
ที่แท้เป็นชายมาดนักเลงคนเดียวกับที่ค้ายาเสพย์ติด และให้ไข่ตุ๋นติดรถมาลงกรุงเทพฯ นั่นเอง
“อย่าขยับ แล้วก็อย่าแหกปากโวยวายด้วย ถ้าไม่อยากตาย”
ภูมิชายกลัว ยกมือขึ้น
“อย่าๆ อยากได้อะไรเอาไปเลย”
ชายคนนั้นค้นตัวภูมิชายได้กระเป๋าสตางค์ไป ก่อนดึงกระเป๋าเอกสารไปด้วย ภูมิชายตกใจ
“เฮ้ย ไม่ได้ กระเป๋านั้นมันมีเอกสารสำคัญ ไม่มีค่ากับแกหรอก แกอย่าเอาไปเลย”
วายร้ายยิ่งมั่นใจว่ามีเงินแน่
“ไม่เชื่อโว้ย”
จังหวะนั้นเอง ภูมิชายก็เข้าไปแย่งมีดจากนักเลง 1ทันที ทั้งคู่ยื้อยุดฉุดกระชากกันไปมา ชายนักเลงได้โอกาสต่อยเข้าเต็มๆ หน้าภูมิชาย ก่อนตามเข้าไปต่อยซ้ำอีกหลายครั้ง จนภูมิชายร่วงไป เหตุการณ์ทั้งหมดถูกกล้องวงจรปิดของห้างฯ เก็บภาพเอาไว้ได้ทั้งหมด
ณนนท์ ยี่หวา พร้อมด้วยข้าวตู ไปเยี่ยมภูมิชายที่ถูกทำร้ายจนฟกช้ำดำเขียว นอนอยู่บนเตียงคนไข้
ยี่หวาพูดอย่างเป็นห่วง
“เป็นยังไงบ้างคะคุณภูมิ”
ภูมิชายออกอาการเจ็บไปทั้งตัว
“ยังไหวครับ แต่…เอกสารทั้งหมดของคุณณนนท์ ถูกไอ้โจรนั่นมันเอาไปทั้งกระเป๋าเลย”
ณนนท์หน้าเสีย
“ผมขอโทษ”
“ไม่เป็นไรครับ มันไม่ใช่ความผิดของคุณภูมิสักหน่อย”
“แต่กล้องวงจรปิดของห้าง เก็บภาพไว้ได้หมดเลยไม่ใช่เหรอคะ เราอาจจะได้คืนก็ได้นะคะ” ยี่หวาปลอบทั้งคู่
“ครับ ผมก็หวังว่าอย่างนั้น” ภูมิชายหันไปพูดกับณนนท์ “เอ่อ คุณณนนท์ครับ เรื่องฟ้องร้อง ขอเวลาผมคิดหน่อยนะครับ ยังไงผมก็จะให้น้องไข่ตุ๋นอยู่ในความดูแลของคุณให้ได้ ผมสัญญา”
ณนนท์ยิ้มรับ ใจชื้นขึ้นเยอะ
“ขอบคุณครับคุณภูมิ”
ขณะนั้นเอง โทรศัพท์มือถือของณนนท์ก็ดังขึ้น ณนนท์ดูเบอร์ กดรับ
“ครับพ่อ...” ณนนท์มีน้ำเสียงตกใจเห็นได้ชัด “ว่าไงนะครับ...ครับๆ ได้ครับ...ขอบคุณครับพ่อ”
ณนนท์วางสาย ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ยี่หวาพอเห็นสีหน้าณนนท์ก็รู้ว่ามีเรื่องแน่
“เกิดอะไรขึ้นคะนนท์”
“เรายังไม่ทันจะฟ้องเลย นิตาเค้าชิงฟ้องหย่าผมก่อนแล้ว”
ณนนท์พูดทั้งที่ยังคงหน้าเครียดอยู่อย่างนั้น ยี่หวา และภูมิชายตกใจ นึกไม่ถึงว่าเหตุการณ์จะกลับตาลปัตรอย่างนี้
ณนนท์ไม่รู้ว่าตัวเองนั้นถูกภูมิชายหลอกมาตลอด ในมุมเงียบๆ ของโรงพยาบาลแห่งนั้น
ภูมิชาย ยืนคุยอยู่กับชายนักเลงที่ทำร้ายและชิงกระเป๋าเอกสารไปนั่นเอง ภูมิชายกำลังยื่นเงินส่งให้ ที่แท้ชายนักเลงคนนั้น เป็นลูกน้องของณนนท์!!
“ค่าจ้างแก ฉันให้พิเศษ”
“ขอบคุณมากครับนาย” ชายคนนั้นรีบรับเงินมาพลางถาม “เอ่อ แล้วนายได้ของรึยังครับ”
“เรียบร้อยแล้ว แกนี่เก่งนะ โดนตำรวจหมายหัวยังเอาตัวรอดมาส่งของให้ฉันได้อีก แต่เสร็จงานนี้แล้ว แกหลบหน้าไปได้เลยนะ ทั้งเรื่องเก่าเรื่องใหม่ เดี๋ยวจะซวยซะก่อน”
“ครับนาย” ชายนักเลงมีท่าทีสงสัย “เอ่อ แต่ผมไม่เข้าใจเลยครับ ว่านายจะหาทางล้มคดีให้มันเสียลูกทำไม ถ้าไอ้หมอนั่นเสียลูกไป มันก็ได้แต่งกับผู้หญิงที่นายชอบสบายๆ เลยสิครับ”
“แกไม่รู้จักไอ้ณนนท์ดีพอหรอก คนอย่างมัน ถ้าเสียลูกไปคงสติแตก ไม่มีอารมณ์จะไปยุ่งกับผู้หญิงคนไหนหรอก แล้วถึงตอนนั้น ฉันก็แค่เข้าไปแทรกกลางแล้วแย่งยี่หวามาก็เท่านั้นเอง”
ภูมิชายผุดยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
ยาหยีถ่ายทำรายการ และกำลังสาธิตการทำพวงกุญแจ โดยเอารูปภาพเก่าๆ อันเล็กๆ มาใส่กรอบ บวกเข้ากับของกระจุกกระจิกตกแต่งจนสวยงาม สุดยอดเป็นพิธีกร ว่าน นัท กับโมน ดูแลการถ่ายทำเช่นเคย วันนี้ยิ่งมาคอยดูอยู่ใกล้ๆ
ยาหยีโชว์พวงกุญแจที่ทำเสร็จแล้วให้ดู ยิ้มกับกล้อง
“เห็นมั้ยคะ แค่นี้เราก็ได้พวงกุญแจสวยๆที่มีรูปของเราแล้ว ไม่ยากเลยใช่มั้ยคะ”
สุดยอดมองดูรูปของยาหยีในพวงกุญแจ
“แล้วถ้าไม่ใช่รูปเรา แต่เป็นรูปคนสำคัญของเราละครับ อย่างงี้ก็เหมือนเรามีเค้าติดตัวตลอดเวลาเลยใช่มั้ยครับ”
ยาหยีปั้นหน้าฝืนยิ้มตอบออกไป
“ค่ะ แต่ถ้าเค้าเปลี่ยนเป็นไม่สำคัญแล้ว เราก็เอารูปเค้าออกได้” ยาหยีถอดเอารูปที่พวงกุญแจออก
แล้วใส่รูปใหม่เข้าไปแทน “เสร็จแล้วก็เอารูปหมารูปแมวอะไรใส่แทน สบายใจกว่าเยอะค่ะ”
“คนเรามันจะถูกลดระดับความสำคัญง่ายอย่างงั้นเลยเหรอครับ”
สุดยอดพูดอย่างน้อยใจ ยาหยีจ้องหน้าเขม็ง
“มันก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมค่ะ คนบางคน ไม่ใช่แค่ไม่สำคัญนะคะ แต่ต้องเรียกว่าของเหลือใช้”
ทั้งคู่จ้องหน้ากันเขม็ง ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครยอมใคร ว่านถอนหายใจ
“เอาอีกแล้ว เดจาวูรึเปล่าวะเนี่ย”
ระหว่างนั้นยิ่งกลับชอบใจออกอาการลุ้นสุดๆ
“ตบเลย ตบซิ ตีเข่าเขย่าศอกก็ได้ เรตติ้งจะได้พุ่งๆ”
ว่าน นัท และโมนหันไปเหล่ยิ่ง
“อะไรจะไร้ศีลธรรมขนาด”
ทันใดนั้น เพิร์ลลี่ในชุดเจ้าสาวสีขาว แบบสุดเก๋ก็เดินเข้ามาในสตูดิโอ เพิร์ลลี่ปั้นหน้ายิ้มเริงร่า
“อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาเลยนะคะ ดีจังเลย”
ทุกคนมองเพิร์ลลี่เป็นตาเดียว ตกใจ และประหลาดใจที่เห็นเพิร์ลลี่มาในชุดเจ้าสาว นัทตั้งสติได้ก่อน รีบบอกทีมงาน
“เฮ้ย อย่าถ่าย อย่าตัดรับยัยเพิร์ลลี่”
“ตัดรับเลย ถ่ายเข้าไป โอกาสอย่างงี้ไม่มีอีกแล้ว ถ่ายเข้าไป” ยิ่งสั่งแทน
เพิร์ลลี่เดินเข้ามากอดแขนสุดยอด เพิร์ลลี่แอ๊บสุดๆ
“รายการสดด้วยใช่มั้ยคะ ดีจังเลย จะได้บอกพร้อมๆ กันทั้งประเทศเลย ว่าพี่สุดยอดกับเพิร์ลลี่กำลังจะมีข่าวดีค่ะ”
“ทำอะไรน่ะเพิร์ลลี่ หยุดเดี๋ยวนี้นะ” สุดยอดเม้ง
เพิร์ลลี่ปั้นหน้ายิ้มต่อ พร้อมกับแกล้งตีสุดยอดเบาๆ
“ไม่ต้องอายหรอกค่ะพี่ยอด พี่เป็นคนบอกเองไม่ใช่ เหรอคะว่าอยากเซอร์ไพร้ส์ทุกคน แล้วจะมาเขินอะไรกันตอนนี้ล่ะคะ” วินาทีนั้นเพิร์ลลี่ก็หันไปพูดกับกล้อง “ท่านผู้ชมทางบ้านคะและเหล่าบรรดาแฟนคลับ เพิร์ลลี่กับสุดยอดเรากำลัง จะแต่งงานกันค่ะ เป็นเรื่องน่ายินดีชิมิคะ”
ยิ่งปรบมือลั่นห้องอยู่คนเดียว ใครจะเป็นยังไงไม่สน ขอเรตติ้งพุ่งไว้ก่อน
เพิร์ลลี่เดินเข้ามาจับมือยาหยี ปั้นหน้ายิ้ม
“หยีจ๊ะ เธอต้องมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้ได้นะ ถ้าเธอไม่มา ฉันคงเสียใจแย่เลยอ้ะ” เพิร์ลลี่กระซิบข้างหูยาหยีเบาๆ “ทีนี้ก็รู้กันทั่วประเทศแล้ว ถ้าเธอยังกล้าแย่งพี่ยอดอีก ก็เป็นได้แค่เมียน้อยเท่านั้นล่ะย่ะ อยากกินน้ำใต้ศอกก็ตามใจ”
ยาหยี พยายามข่มอารมณ์สุดๆ “ยินดีด้วยนะจ๊ะเพิร์ลลี่ เธอรอวันนี้มานานแล้ว ขอให้มีความสุขมากๆนะจ๊ะ” ยาหยีหันไปพูดกับสุดยอด “คุณสุดยอดก็เหมือนกันนะคะ ขอให้มีความสุขมากๆ นี่พูดจากใจเลยนะคะ”
ยาหยีพูดจบก็เดินเลี่ยงออกไป สุดยอดอึ้งไปครู่
“หยี...”
เพิร์ลลี่รีบเข้าไปกอดสุดยอด
“พี่ยอดคะ บอกกับแฟนๆหน่อยสิคะ ว่าเราจะแต่งงานกันวันไหน สิคะพี่ยอด ว๊ายนั่นมีเอสเอ็มเอสเข้ามาแสดงความยินดีด้วย ปลื้มค่ะปลื้ม”
สุดยอดอึกๆ อักๆ ห่วงยาหยีก็ห่วง แต่ยังอยู่ต่อหน้ากล้องรายการสด แถมเพิร์ลลี่ยังกอดแน่น ไม่รู้จะทำยังไง
ส่วนยาหยีวิ่งร้องไห้ออกมาที่ด้านหลังสตูดิโอ ยาหยีร้องไห้เสียใจสุดๆ เจ็บจนเกินกว่าจะยั้งอารมณ์เอาไว้ได้ คำพูดเยาะเย้ยของเพิร์ลลี่เมื่อครู่นี้ยังลอยวนอยู่ในหัว
“ทีนี้กันทั่วประเทศแล้ว ถ้าเธอยังกล้าแย่งพี่ยอดอีก ก็เป็นได้แค่เมียน้อยเท่านั้นล่ะย่ะ อยากกินน้ำใต้ศอกก็ตามใจ”
ยาหยีร้องไห้สะอึกสะอื้น ด้วยความคับแค้นใจสุดๆ ขณะนั้นเอง ยิ่งก็ถือไมค์สัมภาษณ์ เดินนำตากล้องกับทีมงานเข้ามาหา โดยมีว่าน นัท และโมนรีบตามมา
“อยู่นี่ๆ เอานะ ถ่ายเลยนะ” พอยิ่งสั่งการให้ลูกน้องทำเสร็จ ก็เข้าไปสัมภาษณ์ยาหยีทันที
“น้องหยีครับ ร้องไห้ขนาดนี้ คงเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นมากเลยใช่มั้ยครับ บอกได้มั้ยครับ ว่าน้องหยีคิดจะทำอะไรต่อไป”
ยาหยีถูกยิ่งตามมาสัมภาษณ์ตอกย้ำ ก็ยิ่งเจ็บใจ วิ่งหนีไปทั้งน้ำตาทันที
“อ้าว น้องหยี เดี๋ยวสิครับ รอก่อนครับ”
ยิ่งจะวิ่งตาม แต่ว่าน นัท และโมนทนไม่ไหวกับความใจร้ายของยิ่ง
“พอได้แล้วพี่ยิ่ง คุณหยีเสียใจขนาดนี้แล้ว พี่ยังคิดสัมภาษณ์อีกเหรอ จะใจร้ายไปถึงไหน” ว่านพูดอย่างโมโห
“เฮ้ย นี่มันงานนะโว้ย แกคิดดูดิว่าเรตติ้งจะพุ่งไปขนาดไหน ที่รายการเรามีเรื่องรักสามเส้าฟาดฟันแบบนี้”
“จะเท่าไหร่ก็เหอะ ผีเรตติ้งสิงพี่รึไงถึงได้ทิ้งความเป็นคนไปแบบเนี้ย” นัทโมโหของขึ้น
“นี่แกด่าฉันขนาดนี้เลยเหรอไอ้นัท ฉันทำเพื่อพวกเราทุกคนนะโว้ย โบนัสไง แกไม่อยากได้แล้วเหรอ” ยิ่งก็โมโหที่ถูกลูกน้องด่า
“ไม่อยากโว้ย แล้วผมก็ไม่ทำงานกับคนใจดำอย่างพี่แล้วด้วย”
นัทตะคอกสวน พร้อมกับดึงบัตรสต๊าฟออก แล้วปาทิ้งลงพื้น ก่อนจะเดินหนีไป ว่านกับโมนเอาด้วยเพราะเหลืออด
“ผมก็เหมือนกัน เชิญพี่บูชาพระเจ้าเรตติ้งของพี่ไปคนเดียวเถอะ”
ว่านดึงบัตรสต๊าฟออกอีกคน แล้วยัดบัตรใส่มือยิ่ง เดินตามนัทไป ยิ่งอึ้ง ไม่คิดว่าลูกน้องจะเอาจริง พอหันไปมองทีมงานคนอื่นๆ ต่างคนต่างมองหน้ากันไปมา
ก่อนที่พวกทีมงานจะเดินกลับไป ปล่อยยิ่งไว้คนเดียว
“เออๆ ไปเลย ไปให้หมดเลย ฉันทำคนเดียวก็ได้โว้ย ไม่ง้อหรอก”
ยิ่งโวยวาย และทำท่าฮึดฮัด แต่สักพักก็เริ่มเบะปากจะร้องไห้ ที่ไม่มีใครเข้าใจตัวเองสักคน
คืนนั้นสุดยอดขับรถพาเพิร์ลลี่มาส่งที่หน้าบ้าน โดยไม่ยอมลงจากรถ
“อ้าว แล้วพี่ยอดไม่ลงเหรอคะ”
“ไม่ พี่จะกลับแล้ว”
“พี่ยอด ยังโกรธเพิร์ลลี่อยู่อีกเหรอคะ เพิร์ลลี่บอกแล้วไง ว่าเพิร์ลลี่ทำไป เพราะเพิร์ลลี่รักพี่นะคะ” เพิร์ลลี่ออดอ้อน
“ลงไปได้แล้ว พี่จะกลับบ้าน”
“นี่พี่ไล่เพิร์ลลี่เหรอ เพราะนังยาหยีใช่มั้ย พี่ยังรักมันอยู่ใช่มั้ย” เพิร์ลลี่เข้าไปทุบตีสุดยอด “ใช่มั้ยๆๆๆ”
สุดยอดโมโหจึงโพล่งออกมา
“ใช่ พี่รักยาหยี แล้วพี่ก็จะรักเค้าตลอดไปด้วย”
“แต่พี่กำลังจะแต่งงานกับเพิร์ลลี่แล้วนะ หรือว่าพี่จะเบี้ยว”
“พี่รับปากแล้วพี่ทำแน่ แต่ถึงพี่จะแต่งกับเพิร์ลลี่ มันก็ห้ามความรักที่พี่มีต่อหยีไม่ได้หรอก แล้วพี่ก็จะรักเค้าตลอดไปด้วย”
ฟังที่สุดยอดบอกออกมาเพิร์ลลี่กรี๊ดลั่น เจ็บใจสุดๆ สุดยอดทนรำคาญไม่ไหว เลยลงจากรถซะเองเลย แล้วเดินหนีไป เพิร์ลลี่รีบลงจากรถ
“พี่ยอด จะไปไหนอ้ะ กลับมาเดี๋ยวนี้นะ พี่ยอดๆๆ”
สุดยอดไม่สนใจ เดินหนีไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมา ปล่อยให้เพิร์ลลี่คลุ้มคลั่งอยู่คนเดียว
เช้าวันนั้นณนนท์กำลังคุยกับเอนิตาอยู่ในสำนักงานทนายความของภูมิชาย โดยมีภูมิชายนั่งอยู่ใกล้ๆ ทั้งคู่นัดกันมาพูดคุยไกล่เกลี่ย แต่ดูเหมือนจะเป็นการทะเลาะมากกว่า
“คุณทำกับผมขนาดไหน ยังมีหน้ามาฟ้องหย่าผมอีกเหรอนิตา คำว่าละอายใจสะกดเป็นบ้างมั้ย”
“แล้วทีคุณคิดจะทิ้งฉันไปมีเมียใหม่ล่ะ คุณยังไม่เห็นละอายใจเลย”
“ก็ถ้าคุณทำตัวดี ผมจะเลิกกับคุณมั้ยล่ะ หรืออยากจะให้ผมบอก ว่าคุณทำเรื่องแย่ๆอะไรลงไปบ้าง”
“ที่ฉันมาที่นี่ ก็เพราะคุณบอกว่าจะขอเคลียร์ แต่ถ้าจะมาหาเรื่องกัน ฉันไม่คุย คุณเลือกเอาเองละกัน ระหว่างลูกกับนังยี่หวา ถ้าคุณอยากจะเห็นหน้าไข่ตุ๋นอีก ก็ต้องไม่มีมัน”
“คุณแน่ใจเหรอครับว่าจะชนะคดีแน่” ภูมิชายเยาะ
“ฉันเป็นแม่ จะกี่คดีก็เห็นลูกอยู่กับแม่ทั้งนั้น แล้วฉันจะแพ้ได้ยังไง” เอนิตาเชิดใส่
“ใช่ครับ โดยมากแล้วศาลมักจะตัดสินให้ลูกอยู่กับแม่” ภูมิชายพูดยิ้มๆ อย่างเป็นต่อ “แต่ไม่ใช่แม่ที่มีคลิปฉาว การเงินมีปัญหาจนต้องให้คุณณนนท์โอนเงินไปให้บ่อยๆ แถมยังเคยต้องสงสัยว่าอัพยาอีกต่างหาก คุณว่าศาลจะให้ลูกอยู่กับแม่อย่างงี้เหรอครับ”
เอนิตาหน้าเสีย แต่แกล้งทำโวยกลบเกลื่อน
“นี่ อย่ามามั่วนะ ฉันไม่ได้เป็นแบบนั้นซักหน่อย”
“ถ้าอย่างงั้น เอาไว้ดูหลักฐานในชั้นศาลละกันครับ รับรอง ว่าแม้แต่ภาพในอดีตตอนเข้าวงการใหม่ๆ ที่คุณเดินแบบในชุดวันเกิดกลางผับ ผมยังมีเลย”
เอนิตาตกใจมาก ที่ภูมิชายรู้ลึกรู้จริง เลยรีบคว้ากระเป๋าถือแล้วเดินหนีออกจากห้องไปทันที
“พูดอย่างงี้จะดีเหรอครับคุณภูมิ ในเมื่อหลักฐานพวกนั้นมันถูกขโมยไปหมดแล้วนี่ครับ” ณนนท์แย้ง
“เชื่อผมสิครับ ต้องขู่อย่างงี้แหละจะได้กลัว เผลอๆอาจจะยอมถอนฟ้องเองด้วยซ้ำ”
ณนนท์ พยักหน้ารับเห็นด้วยกับภูมิชาย ก่อนจะมองตามเอนิตาไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เพราะไม่คิดว่าวันหนึ่งเขากับเอนิตาจะต้องมาลงเอยแบบนี้เลย
อ่านต่อวันพรุ่งนี้