เสาร์ ๕ ตอนทับทิมสยาม ตอนที่ 13
มุมภาพวาดการสะท้อนแสงของทับทิมสยามซึ่งอยู่บนผนัง ภายในเจดีย์ เศษอิฐ หิน จากด้านบนหล่นลงมา แล้วสักครู่ผนังก็เริ่มร้าวๆ ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพังครืนลงมาทำให้ภาพบนผนังสูญหายไปกับการถล่มครั้งนี้
ทุกคนพากันวิ่งหนีออกมานอกเจดีย์ ขณะที่แผ่นดินเริ่มไหวแรงขึ้น กำแพงของเจดีย์บางด้านกำลังถล่มลงมา ทำให้เจดีย์ได้รับความเสียหาย สักครู่ทุกอย่างก็สงบลง สตีเฟ่นรีบเข้ามาหา ดร.ฟอร์ดแล้วพยุงตัวให้ลุกขึ้นมา
“พ่อปลอดภัยดีนะครับ”
“ฉันไม่เป็นอะไร”
“ทำไมจู่ก็เกิดแผ่นดินไหวขึ้นมา” นาตาชาถามอย่างแปลกใจ
สตีเฟ่นหงุดหงิด
“นั่นซิ...เรากำลังจะรู้ที่ซ่อนของทับทิมสยามอยู่เลย”
ดร.ฟอร์ดหันไปหา ซัมดอง
“เรามาทำพิธีกันต่อดีกว่า...ซัมดอง”
ซัมดองส่ายหน้า
“ไม่ได้...ทุกอย่างย่อมีเวลาของมัน แผ่นดินไหวครั้งนี้เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต้องการจะเตือนให้พวกเรารู้จักรอคอย”
“ถ้างั้นเมื่อไหร่ล่ะ” สตีเฟ่นถามเสียงเครียด
“ข้ายังให้คำตอบไม่ได้ เมื่อถึงเวลาก็รู้เอง”
ซัมดองเดินออกไปเพื่อกลับที่พัก ขณะที่คนอื่นๆพากันสำรวจความเสียหายของสถานที่ กระแตกับบุษกร และลูกน้องคนอื่นๆ เมื่อรู้ว่าแผ่นดินไหว ก็พากันวิ่งจากที่พักเข้ามาหา เพื่อดูแลความปลอดภัยให้ ดร.ฟอร์ดกับพวก กระแตเข้าไปถาม ดร.ฟอร์ด
“เมื่อกี้แผ่นไหว ด็อกเตอร์ปลอดภัยดีนะคะ”
“ไม่มีใครเป็นอะไร...แต่เจดีย์คงจะเสียหาย เธอไปสำรวจดูแล้วมารายงานฉันด้วย”
“ได้ค่ะ” บุษกรรับคำ
ดร.ฟอร์ด หันสั่ง 5 หนุ่มเสาร์ห้า
“พวกแกด้วย แยกกันไปสำรวจแล้วมารายงานฉัน”
5 หนุ่ม เสาร์ห้ารับคำ
“ได้ครับด็อกเตอร์ฟอร์ด”
กระแต และบุษกรพากันเดินไปสำรวจ ดร.ฟอร์ด นาตาชา สตีเฟ่นพากันเดินกลับที่พัก หนุ่มๆ เสาร์ห้า พากันยืนมองตามกระแตกับบุษกร
“งั้นพวกเราแยกย้ายกันสำรวจนะครับ” เทอดบอก
เดี่ยวมองกระแตกับบุษกร แล้วหันมาบอกเพื่อนๆ
“ผมขอไปสำรวจใกล้ๆจุดของสองสาวนั่นละกันนะครับ”
ยอดพยักหน้า
“ตามนั้นเลยครับ...ส่วนพวกเราหนุ่มโสดตามผมมา”
ทุกคนพากันแยกย้ายสำรวจความเสียหายของเจดีย์
+ + + + + + + + + + + +
เดี่ยว เดินเข้ามาสำรวจใกล้ๆ บุษกร แล้วพยายามยิ้มให้ แต่บุษกรยังเมินเฉย ขณะที่กระแตมองภาพวาดอย่างเสียดาย
“น่าเสียดาย ตรงนี้มีภาพวาดโบราณที่ดูแปลกๆ”
“ใช่...ภาพที่เราเคยถ่ายเอาไว้ไงไม่น่าพังลงมาเลย”
“โชคดีที่ตัวเจดีย์ไม่เป็นอะไรมาก”
กระแตกเดินไปสำรวจตัวเจดีย์ เดี่ยวได้โอกาส ที่กระแตเดินห่างออกไปเดินเข้ามาหาบุษกร
“คุณปลอดภัยดีนะบุษกร”
“ค่ะ...ฉันไม่เป็นอะไร”
กระแตหันมาเห็น จึงเดินเข้ามา เดี่ยวจึงหันมายิ้มให้แล้วถามกระแต
“แล้วคุณล่ะ กระแต ไม่เป็นอะไรนะ”
กระแตไม่ค่อยพอใจ ไม่อยากให้เดี่ยวกับบุษกรสนิทสนมกัน
“คุณไม่ต้องมาเป็นห่วงพวกเรา ต่างคนต่างก็ทำงานไป ฉันกับบุษกรดูแลตัวเองได้” กระแตหันไปบอกบุษกร “กลับไปทำงานต่อเถอะบุษกร”
กระแตดึงบุษกรให้เดินออกไป ดอน เทอด ยอด กริ่ง ซึ่งมองเห็นเหตุการณ์จึงเข้ามาหาเดี่ยว
“ผมว่ากระแตค่อนข้างแรงพอควรเลยนะคุณเดี่ยว” ยอดออกความเห็น
เทอดครุ่นคิด
“เราคงต้องหาวิธีทำลายมนต์ดำในตัวกระแต และบุษกรให้ได้เร็วที่สุด”
เดี่ยวเห็นด้วย
“ใช่...กระแตกับบุษกรอยู่ใกล้ชิดกับดร.ฟอร์ดมากกว่าเรา สองคนนั่นต้องรู้แผนการณ์ลับของดร.ฟอร์ดที่พวกเราไม่รู้แน่ๆ”
กริ่งเข้ามาถามดอน
“คุณดอน...ตาทิพย์ของคุณมองไม่เห็นเลยเหรอว่าทับทิม สยามสีม่วงอยู่ที่ไหน”
ดอนส่ายหน้า
“มันเหมือนมีอะไรมาบัง ถึงจะเห็นทับทิมสยาม แต่ก็ไม่ได้เห็นทั้งหมด มีบางอย่างปกคลุม บดบังเอาไว้ ผมเดาว่าคงจะเป็นพลังพุทธคุณ”
“บางทีคงต้องรอเวลาอย่างที่ซัมดองว่าจริงๆ” เทอดบอก
ทุกคนเห็นด้วย จากนั้นก็พากันเดินสำรวจต่อ ขณะที่เดี่ยวยืนมองบุษกรที่ทำตัวห่างเหินเขาเป็นอย่างยิ่ง
+ + + + + + + + + + + +
เช้าวันใหม่ ในหมู่บ้านเสือหมอบ...
ต่ำชะเง้อมองไปยังบ้านพักของเสือสนธ์ ซึ่งบัดนี้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เนื่องจากเสือสนธิ์และคณะกลับมาถึงบ้านแล้ว นั้มผ่านมาเห็นท่าทางที่น่าสงสัยของต่ำ จึงเข้ามาคว้าตัวเอาไว้
“ไอ้ต่ำ...เอ็งมาทำอะไรตรงนี้”
ต่ำตกใจ
“เปล่าๆ...ไม่ได้ทำอะไร”
“แล้วมาแอบดูอะไร”
“ไม่ได้แอบ แค่อยากรู้เฉยๆ”
เสือสนธิ์ เดินออกมาจากที่พัก หันมาเห็นสองคนก็ถามอย่างสงสัย
“เฮ้ย...ทำอะไรกันวะ”
“ไอ้ต่ำมันมาแอบดูครับนาย” นั้มฟ้อง
“ก็เห็นเสือสนธิ์ไม่อยู่ตั้งนาน ได้ยินว่ากลับมาแล้ว ฉันก็เลยมาดู”
“ข้ากลับมาสักพักแล้ว” เสือสนธิ์บอกนั้ม “ปล่อยมันไอ้นั้ม ไอ้นี่มัน ไม่มีพิษมีภัยอะไร”
ต่ำยิ้มดีใจ
“ขอบใจจ๊ะเสือสนธิ์”
พอนั้มปล่อยตัว ต่ำก็วิ่งหนีหายไป ฮวงขับรถมากับ เจ้าพ่ออินทร์แล้วลงมาหาเสือสนธิ์
“ว่าไงเจ้าพ่ออินทร์ มาหาแต่เช้า” เสือสนธิ์ทักทายยิ้มแย้ม
“พวกพรานป่ามันมาบอกว่าเห็นคนบ้าหลงป่าเดินอยู่แถวป่าไผ่...ท่าทางหวาดๆ ไม่ให้ใครเข้าใกล้” เจ้าพ่ออินทร์บอก
ฮวงคิดๆ
“ผมสงสัยว่าอาจเป็น ด็อกเตอร์วิทยาน่ะครับ”
“งั้นก็ไปดูด้วยกัน”
เสือสนธิ์ เจ้าพ่ออินทร์ ฮวง และอ้วนพากันขึ้นรถขับออกไป
+ + + + + + + + + + + +
หลังจากไปสังเกตการณ์ ต่ำรีบมารายงานข่าวให้สัปเหร่อแต้มฟัง
“พวกเสือสนธิ์กับพวกกลับมาแล้วจริงๆ จ๊ะ น้าแต้ม”
“เออ...ข้าได้ยินข่าวนี้มาสองสามวันแล้ว”
“แต่กลับมาไม่ครบจ๊ะ”
สัปเหร่อแต้มแปลกใจ
“ทำไมไม่ครบ...ใครหายไป”
“ได้ยินว่าคนที่ชื่อ ด็อกเตอร์วิทยาไม่ได้กลับมาด้วย”
“ไม่น่าเป็นไปได้ คนสำคัญระดับนี้ ทำไมถึง...”
ทันใดนั้นเสียงคนกรีดร้องก็ดังแว่วเข้ามา สัปเหร่อแต้มและต่ำ หันไปมองหาต้นเสียงแต่มองไม่เห็น
“เสียงใครวะไอ้ต่ำ”
“ต้องไม่ใช่คนแถวนี้แน่ๆ”
ขณะเดียวกันนั้น ดร.วิทยาเสื้อผ้าขาดวิ่นขะมุกขะมอม กำลังวิ่งกรีดร้องหายไปในป่า สัปเหร่อแต้มหันไปเห็นก็ตกใจ
“นั่นไง...อยู่นั่น ตามไปเร็ว”
สัปเหร่อแต้มออกวิ่งไป ต่ำวิ่งตามไม่ทัน
“รอด้วย”
ต่ำวิ่งต้วมเตี้ยมๆ ตามไป
+ + + + + + + + + + +
ดร.วิทยาวิ่งกรีดร้อง เนื่องจากสิ่งที่ผ่านมาทำให้เขาขวัญผวา เกิดอาการประสาทหลอน สัปเหร่อแต้มโผล่จากข้างทางไปดักข้างหน้า ทำให้ด็อกเตอร์วิทยาชะงัก ล้มลุกคลุกคลานแล้วพยายามคลานหนีไปทางอื่น ต่ำวิ่งตามเข้ามาแล้วขวางเอาไว้ ดร.วิทยาเกิดคลั่งขึ้นมาผลักต่ำล้มลงแล้วบีบคอ ต่ำร้องลั่น
“โอ๊ย...ช่วยด้วย ๆ”
ต่ำดิ้นเร่าๆหายใจไม่ออก สัปเหร่อแต้มเข้ามาช่วยรั้งดร.วิทยาไว้ แต่ดร.วิทยาสะบัดไม่ยอมง่ายๆ สัปเหร่อแต้มหันไปหาเครื่องทุ่นแรง โดยไปหยิบท่อนไม้มาแล้วฟาดที่ท้ายทอยของดร.วิทยาจนล้มลงไปทับต่ำเอาไว้ ต่ำรีบคลานออกมาจากร่างของดร.วิทยา
สัปเหร่อแต้มก้มลงดูใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราของดร.วิทยา ก็จำได้
“เฮ้ย...นี่มันด็อกเตอร์วิทยานี่หว่าไอ้ต่ำ”
“จริงๆด้วยน้าแต้ม”
ขณะเดียวกันนั้น เสือสนธิ์ เจ้าพ่ออินทร์ ฮวง นั้ม เดินเข้ามาได้ยินพอดี เสือสนธ์มองสัปเหร่อแต้มอย่างสงสัยว่าทำไมจึงรู้จัก ดร.วิทยา
“เอ็งรู้จักด็อกเตอร์ได้ยังไง ไอ้แต้ม”
สัปเหร่อแต้ม และต่ำ สะดุ้งที่เห็น เสือสนธิ์และพวก สัปเหร่อแต้ม อึกอัก
“เอ้อ...ไอ้ต่ำมันเคยชี้ให้ฉันดู เมื่อตอนที่ด็อกเตอร์มาที่หมู่บ้านคราวที่แล้วน่ะ”
ต่ำรีบรับมุข
“ใช่จ๊ะ...ฉันเคยเจอแล้ว ฉันจำได้”
ฮวงและนั้มเข้าไปปฐมพยาบาล ดร.วิทยา
“ด็อกเตอร์สลบครับ” ฮวงบอก
เจ้าพ่ออินทร์มองดร.วิทยาอย่างเป็นห่วง
“พาขึ้นรถกลับไปที่บ้านก่อน”
ฮวงและนั้มช่วยกันอุ้ม ดร.วิทยาออกไป เสือสนธิ์หันมามองสัปเหร่อแต้ม
“ข้ารู้สึกว่าเอ็งกับไอ้ต่ำนี่มันสอดรู้สอดเห็นไปซะทุกเรื่องเลยนะ”
สัปเหร่อแต้มยิ้มๆ
“ก็บ้านใกล้เรือนเคียง ใครไปใครมาฉันก็ต้องรู้ไว้บ้าง”
เสือสนธิ์จ้องหน้า
“รู้แล้วก็อย่าปากโป้ง ไม่งั้นจะไม่มีคนทำศพ เพราะสัปเหร่อตายซะเอง”
เสือสนธิ์เดินตามพวกกลับไป สัปเหร่อแต้มและต่ำมองตาม
“ต่ำ...เอ็งสืบเรื่องได้ด็อกเตอร์นี้ทุกวันนะ แล้วคอยมารายงานข้า”
ต่ำหน้าแหยๆ
“ได้จ๊ะ...แต่ว่าน้าไม่กลัวตายเหรอ”
“นี่มันเรื่องของประเทศชาติ ถ้าจะตายก็ตายเพื่อชาติ”
“จ๊ะน้าตายเพื่อชาติ...แต่ฉันรอดนะ”
สัปเหร่อแต้มหันมามองหน้าต่ำ อยากบ้องหูให้สักที
+ + + + + + + + + + + +
ดร.วิทยาอาบน้ำ โกนหนวดเคราเรียบร้อยแล้ว ฮวงช่วยกลัดกระดุมเสื้อให้แต่ ดร.วิทยาไม่ค่อยยอมอยู่นิ่ง เนื่องจากยังหวาดผวา
“อยู่นิ่งๆ ซิครับ...ด็อกเตอร์”
“อย่าทำอะไรฉัน กลัวแล้วๆ”
“ผมไม่ทำอะไรหรอกครับ...จำผมได้มั๊ยครับ ผมฮวง”
“ฮวง”
“ใช่ครับ...ผมฮวง ที่ทำงานกับด็อกเตอร์ไงครับ”
ดร.วิทยาชะงักจ้องมองฮวนนิ่งเหมือนนึกอะไรบางอย่าง ก่อนจะพูดขึ้น
“ฮวง...ใช่...ฮวงแกช่วยฉันด้วยนะ...ช่วยฉันด้วย”
“ด็อกเตอร์ปลอดภัยแล้วครับ ไม่มีใครทำอะไรด็อกเตอร์อีกแล้ว”
เจ้าพ่ออินทร์กับเสือสนธิ์เดินเข้ามา ดร.วิทยาผวา หลบหวาดกลัว
“นั่นไง...พวกมันมาแล้ว มันจะฆ่าฉัน ช่วยด้วย...ช่วยฉันด้วย”
“ใจเย็นนะครับ ไม่มีใครฆ่าด็อกเตอร์หรอก นั่นเสือสนธิ์ แล้วนั่นก็เจ้าพ่ออินทร์ไงครับ” ฮวงบอก
ดร.วิทยาจำไม่ได้
“ไม่...อย่าเข้ามา ฉันกลัว”
เสือสนธิ์มองอย่างเห็นใจ
“ไอ้พวกบ้านั่นคงจะทำร้ายแกหนักมาก ดูซิ...สติ สตังไม่อยู่กับตัวเลย”
เจ้าพออินทร์ถอนหายใจ
“ผมสงสารด็อกเตอร์วิทยาจริงๆ อุทิศตัวเพื่อปกป้องชาติ แต่ตัวเองกลับเป็นแบบนี้”
“ยังไงเราก็ต้องช่วยด็อกเตอร์ให้ดีที่สุด ทิ้งแกไม่ได้เด็ดขาด”
เจ้าพ่ออินทร์หันไปกำชับฮวง
“ฮวง...แกดูเจ้านายแกให้ดี ถ้าขาดเหลืออะไรก็มาบอกฉัน”
“ได้ครับ...ให้เวลาด็อกเตอร์แกสักระยะเถอะครับ ผมเชื่อว่าอีกไม่นานแกจะกลับมาเป็นปกติได้”
เสือสนธิ์และเจ้าพ่ออินทร์ พากันเดินออกไป ฮวงหันไปปลอบโยน ดร.วิทยาให้สงบ
+ + + + + + + + + + +
เช้าวันใหม่...
ชลดากับยูกิเดินหลงป่า พยายามแกะรอยกลับไปหาเคนและเจนนี่ แต่ก็จำทางไม่ได้
“น่าจะเป็นทางนี้นะยูกิ มันคับคล้ายคับคลาว่าเราวิ่งกันมาทางนี้”
“แต่ทำไมไม่มีร่องรอยอะไรเลย”
“นั่นซิ...ถ้างั้นเราก็คงจะหลงป่ากันแล้ว”
“ไม่...ต้องไม่ยอมแพ้” ยูกิป้องปากตะโกนเรียก “เจนนี่ เคน พวกคุณอยู่ไหน ฮู้...”
“ฮู้...ได้ยินมั๊ย ตอบด้วย ฮู้...”
ทั้งคู่ตะโกนเรียกไปสักครู่ ชลดาก็หยุดชะงัก จุ๊ปากให้ยูกิเงียบ
“ยูกิ...ฟังซิ”
ยูกิแปลกใจ
“อะไรเหรอ”
“เสียงอะไรก็ไม่รู้”
ทั้งคู่เงี่ยหูฟัง แล้วได้ยินเสียงคล้ายเสียงกรน
“มาจากข้างบนนะ”
ยูกิและชลดาเงยหน้าขึ้นไปมอง เห็นร่างของบัวชุมกำลังหลับอยู่ในแห ซึ่งถูกแขวนเอาไว้บนต้นไม้
“นั่นมันคนนี่” ชลดาบอก
ยูกิมองๆ
“ผู้หญิง”
“เราน่าจะช่วยนะ”
“ได้...รอเดี๋ยว”
ยูกิหยิบมีดพกออกมามองหาจุดที่เชือกมัดโยงกับต้นไม้ ชลดาเข้าจับเชือกไว้ แล้วจากนั้นยูกิก็เริ่มตัดเชือกออก ชลดาและยูกิ ช่วยกันรั้งเชือกเอาไว้ค่อยๆ หย่อนบัวชุมให้ลงมา บัวชุมตกใจตื่น มองหน้างงๆ หวาดกลัว
“ว้าย...อย่าทำฉันอย่าทำ”
“ใจเย็น ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอก” ชลดาปลอบ
“พวกเรามีแต่ผู้หญิง ไม่ต้องกลัวหรอก”
“พวกคุณเป็นใคร” บัวชุมถามอย่างหวาดๆ
“ฉันยูกิ...แล้วนี่ก็ชลดา เพื่อนฉัน”
“พวกเราหลงป่าน่ะ พอดีเห็นเธอห้อยอยู่ข้างบนก็เลยช่วยลงมา”
บัวชุมเริ่มวางใจ
+ + + + + + + + + + +
บัวชุม เดินนำยูกิ และชลดามายังพุ่มไม้
“ตรงนี้แหละ นายฉันอยู่ตรงนี้”
บัวชุมค่อยๆ แหวกพุ่มไม้เข้าไปดูเห็นม่านฟ้านอนไม่สบายหนาวสั่น ก็ตกใจ
“คุณหนูคะ...คุณหนู”
ยูกิและชลดารีบเข้ามาดู
“ตัวสั่นเชียว...สงสัยจะเป็นไข้ป่านะชลดา”
ชลดาจับตัวม่านฟ้า
“นั่นซิ...ตัวร้อนจี๋เลย”
บัวชุมเป็นห่วงม่านฟ้ามาก
“ช่วยคุณหนูฉันด้วยนะ คุณสองคนอย่าทิ้งพวกเรานะคะ”
“จ๊ะ...ไม่ต้องห่วง พวกเราไม่ทิ้งหรอก”
ยูกิหยิบยาออกมาจากกระเป๋าเล็กๆติดตัว แล้วส่งให้บัวชุม
“ยาอะไรคะ”
“ควินิน แก้ไข้ป่าน่ะ ป้อนให้นายเธอกินซิ”
บัวชุมรีบป้อนยา
“ได้ยาไปแล้ว เดี๋ยวไข้ก็ลด เดี๋ยวเธอเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ก็จะดี...เอานี่ผ้า กับน้ำ”
ชลดาส่งผ้าและกระติกน้ำให้ บัวชุมรับมาแล้วเช็ดตัวให้ม่านฟ้า บัวชุมเช็ดหน้าให้ม่านฟ้าด้วยความทะนุถนอม ขณะที่ยูกิและชลดาเฝ้ามอง
“ดูเธอรักคุณหนูของเธอมากเลยนะบัวชุม” ยูกิมองอย่างรู้สึกดี
“ค่ะคุณยูกิ...ชีวิตเราเหลือกันแค่เพียงสองคน ไม่มีใครอีกแล้ว”
ชลดามองสองคนอย่างแปลกใจ
“แล้วญาติๆของเธอล่ะ หายไปไหนกันหมด”
“พวกเค้าอยู่สิบสองปันนา มีก็เหมือนไม่มีห่างไกลกันเหลือเกิน”
“นี่พวกเธอไม่ใช่คนไทยเหรอ” ยูกิถามอย่างสงสัย
“เราเป็นคนไทยค่ะ คนสิบสองปันนาทุกคนก็เป็นคนไทย เรายังคิดถึงความเป็นไทยอยู่เสมอ”
ยูกิค่อนข้างงง เนื่องจากเธอไม่รู้มาก่อนว่า แคว้นสิบสองปันนาเคยเป็นอาณาจักรไทยมาก่อน
“ยูกิคงยังไม่รู้ว่า เมื่อก่อน ในสมัยรัชกาลที่ 5 สิบสองปันนาเคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรไทย แต่ต่อมาก็ถูกมหาอำนาจแบ่งปันดินแดนออกไป” ชลดาอธิบาย
บัวชุมเศร้าสลดลง
“ใช่ค่ะ...หลังจากถูกมหาอำนาจยึดครอง ครอบครัวของคุณหนูม่านฟ้า ก็อพยพลงมาอยู่ที่เชียงใหม่ ส่วนญาติคนอื่นๆ ก็กระจัดกระจายกันไป พอพ่อกับแม่ของคุณหนูม่านฟ้าตาย พวกเราก็เหลือกันแค่สองคนนี่แหละค่ะ”
ชลดาแปลกใจ
“พวกเค้าตายยังไง”
บัวชุมอ้ำอึ้ง ไม่ค่อยอยากเล่า จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง
“สายแล้ว เดี๋ยวฉันไปหาอาหารมาให้พวกคุณกินดีกว่า รออยู่ตรงนี้นะคะ อย่าไปไหน ฝากดูคุณหนูม่านฟ้าด้วย”
บัวชุม รีบเดินออกไป ปล่อยชลดา และยูกิ มองหน้ากันงงๆ สงสัยว่าบัวชุมกำลังปิดบังอะไร
+ + + + + + + + + + + +
เทอด นั่งเขียนแผนที่ของแค้มป์อยู่กับดอน ขณะที่กริ่งเข้ามาสมทบ
“ทำไรกันอยู่”
“ผมกำลังเขียนแผนที่ของแค้มป์ ถ้าจำอะไรได้เสริมมาเลยนะคุณกริ่ง” เทอดบอก
“ได้ครับ” กริ่งมองแผนที่ “เอ...ทางเข้ามีสองทางเหรอครับ”
“ใช่ครับ...ทางแรก เป็นทางเข้าที่ต้องผ่านเขตภาพลวงตา ซึ่งอันตรายที่สุดหากไม่รู้วิธี” ดอนอธิบาย
กริ่งพยักหน้าเห็นด้วย
“ใช่เลยครับ...ที่ผ่านมาไม่เห็นมีใครผ่านไปได้ซักราย ยกเว้นพวกของด็อกเตอร์ฟอร์ด”
“นั่นซิ...มีเคล็ดลับอะไร บอกผมที” เทอดถามอย่างไม่เข้าใจ
ดอนมองไปที่ยอดเจดีย์
“คุณเห็นเจดีย์ใหญ่ที่อยู่ปากทางเข้าแค้มป์ใช่มั๊ย”
“เห็นครับ”
“เมื่อใดที่เงาของเจดีย์ทอดยาวลงบนพื้น ให้รีบเดินตามเงาของเจดีย์เข้ามา ภาพลวงตาจะทำอะไรพวกคุณไม่ได้เด็ดขาด” ดอนอธิบาย
กริ่งแปลกใจ
“เป็นเพราะพลังพุทธคุณเหรอ”
ดอนพยักหน้ารับ
“ใช่ครับ...พลังพุทธคุณจากเจดีย์ จะช่วยปกป้องทุกคนจากภยันตราย”
เทอดมองแผนที่แล้วหันมาถาม
“แล้วทางเข้าที่สองล่ะ”
“เป็นทางที่พวกเราเข้ามาใช่มั๊ยคุณดอน” กริ่งถาม
“ใช่ครับ...ทางเข้าที่สอง อยู่อีกด้านหนึ่ง ถึงแม้จะไม่มีเขตภาพลวงตา แต่ก็มีป่าเขาวงกต ซึ่งเข้าไปแล้วจะหาทางออกได้ยากมาก” ดอนอธิบายอย่างหนักใจ
“คงมีคนหลงป่าตายไปหลายคนแล้วซิครับ” เทอดถามเสียงสลดลง
“ครับ...ป่าเขาวงกต เป็นป่าอาถรรพ์มันจะคอยลบร่องรอยที่เกิดขึ้น จนไม่มีใครแกะรอยได้ว่าเดินมาจากตรงไหน หากยิ่งเดินเลี้ยวลัดเข้าป่าไปเรื่อยๆ ก็จะมีโอกาสหลงป่าตายในที่สุด”
กริ่ง ฟังดอนอธิบายอย่างหวาดๆ ก่อนจะถามขึ้น
“แล้ววิธีออกจากป่าแห่งนี้ละครับคุณดอน”
“ต้องเดินตรง ตรงอย่างเดียว ห้ามเลี้ยวไปไหนเด็ดขาด เพราะยิ่งเลี้ยวก็จะยิ่งโดนป่ามันหลอกเอาได้ ต้องมีสมาธิและเดินตรงไปให้มากที่สุด”
“ถ้าแผนที่เราสมบูรณ์เมื่อไหร่ ผมจะหาทางส่งไปให้หน่วยเหนือ ให้นำกองหนุนเข้ามาทำลายการทดลองของพวกมัน” เทอดบอกอย่างมุ่งมั่น
ดอนแปลกใจที่ไม่เห็นเดี่ยวกับยอด
“แล้วนี่คุณเดี่ยว กับคุณยอดหายไปไหน”
“คุณยอด ผมให้ไปสืบเรื่องคลังอาวุธของพวกมันว่ามีอะไรบ้าง ส่วนคุณเดี่ยวผมว่าน่าจะไปหาคุณบุษกรนะ” เทอดบอก
ดอนและกริ่งพยักหน้าเข้าใจแล้วจากนั้นก็เริ่มช่วยกันเขียนแผนที่ต่อ
+ + + + + + + + + +
ยอดแอบเข้าไปยังบ้านพักหลังหนึ่ง ซึ่งหน้าบ้านมีลูกน้องของมะโหนก 2 คนเฝ้าอยู่ ยอดจึงอ้อมมาทางด้านหลังบ้าน กำลังเล็งหาทางเข้าไปด้านใน แต่แล้วจู่ๆ ลูกน้องคนหนึ่งก็เดินตรงไปยังจุดที่เขาซ่อนตัวอยู่ ยอดจึงตัดสินใจวิ่งไปที่กำแพงบ้านแล้วแทรกตัวเข้าไปด้านในกำแพงทันที ลูกน้องรู้สึกเหมือนเห็นอะไรบางอย่างแต่เมื่อหันไปดูรอบๆ ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ จึงเดินไปยังด้านอื่น
ยอดแทรกกำแพงโผล่เข้ามาในบ้านแล้วตรงไปยังห้องๆหนึ่ง เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็เห็นลังใส่อาวุธและกระสุนปืนมากมาย
“นี่มันคลังแสงหรือเปล่าเนี่ยะ”
ยอดเปิดฝาลังกระสุนออกมา แล้วหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปอาวุธต่างๆ จนหนำใจ ขณะเดียวกันนั้น ประตูบ้านเปิดออกมะโหนกเดินเข้ามา ยอดหันรีหันขวาง ไม่รู้จะหนีไปไหน มะโหนกชะงักเมื่อสังเกตเห็นว่าประตูห้องเก็บอาวุธถูกเปิดออก มะโหนกกระชับปืนเตรียมพร้อมแล้วจู่โจมเข้าไปในห้องเก็บอาวุธทันที ขณะที่มะโหนกเข้ามาในห้องเป็นจังหวะเดียวกับที่ยอดแทรกหายเข้าไปในกำแพง ทำให้มะโหนกไม่ทันเห็นแต่ก็รับรู้ได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ลูกน้องคนหนึ่งเดินเข้ามาหามะโหนก
“มีอะไรครับพี่”
“มีใครเข้ามาในนี้หรือเปล่า”
“ไม่มีนี่ครับ พวกผมก็ไม่ได้เข้ามาเลย คนอื่นก็ไม่มีแน่นอน”
มะโหนกเดินไปที่ฝาลังใส่กระสุนที่ยอดเปิดทิ้งเอาไว้
“แล้วใครเปิดฝาลังกระสุน”
ลูกน้อง ส่ายหน้าปฏิเสธ มะโหนกมองไปรอบๆห้อง เพื่อสอดส่องหาความผิดปกติอื่นๆ
+ + + + + + + + + + + +
ยอดแทรกกำแพงออกมาแล้วรีบหลบออกไปแต่แล้วขณะที่เขากำลังจะหนี ก็พบว่ามีปืนมาจ่อที่ด้านหลัง ทำให้เขาชะงักหันไปมอง บุษกรถือปืนเล็งมาหน้าตาจริงจัง
“นึกว่าใคร...ที่แท้ก็คุณบุษกรนี่เอง”
“คุณมาทำอะไรที่นี่ คุณยอด”
“ผมก็แค่...มาเดินเล่น”
“แต่ตรงนี้เป็นเขตหวงห้าม ด็อกเตอร์สั่งไว้ ถ้าไม่มีธุระเกี่ยวข้องห้ามมาที่นี่”
“อ้าว...ผมไม่รู้ ผมเพิ่งมา”
“ฉันไม่เชื่อ พฤติกรรมของคุณมันน่าสงสัย”
“ไม่เอาน่า เรื่องแค่นี้อย่าทำเป็นเรื่องใหญ่ซิ”
“ตามฉันมาเดี๋ยวนี้...เร็ว”
“จะพาผมไปไหน”
“ไม่ต้องถาม...เร็ว”
บุษกรใช้ปืนดันไล่ให้ยอดเดินออกไป
อ่านต่อหน้า 2
เสาร์ ๕ ตอนทับทิมสยาม ตอนที่ 13 (ต่อ)
เดี่ยวเดินมาตามทาง มองหาบุษกรแต่ไม่เจอ แล้วสักครู่ก็เห็นนาตาชาเดินออกมาขวางเอาไว้ เดี่ยวชะงัก นาตาชาเริ่มยั่วยวน
“มองหาใครอยู่คะคุณเดี่ยว”
“บุษกรครับ ผมหาจนทั่วแล้วไม่รู้ไปไหน”
“ดูคุณจะสนใจบุษกรเป็นพิเศษกว่าใครเลยนะคะ”
“ครับ...ผมมีธุระที่จะต้องคุยกับเธอ”
“คุยกับฉันแทนได้มั๊ยคะ”
นาตาชายิ้มยั่วยวน เดี่ยวอึกอัก
“เอ้อ...คือ...”
นาตาชาขำ
“หน้าแดงเชียว...ฉันก็แค่ล้อเล่น อย่ากลัวไปหน่อยเลยค่ะเดี่ยว”
นาตาชาเริ่มเข้ามคลอเคลีย แต่เดี่ยวบ่ายเบี่ยง
“อย่าครับ...”
“คุณเดี่ยว...ผู้ชายอย่างคุณน่ะ น่าสนใจจะตาย อย่าเพิ่งคิดถึงบุษกรเลยค่ะ เพราะตอนนี้ยังไงบุษกรก็คงไม่ได้คิดถึงคุณนักหรอก”
“คุณรู้ใช่มั๊ยว่าบุษกรอยู่ที่ไหน”
นาตาชายิ้มยั่วเย้าไปมา
+ + + + + + + + + + + +
ยอดถูกบุษกรเอาปืนจี้ให้เดินไปยังมุมหนึ่งแล้วจู่ๆ บุษกรก็สั่งให้ยอดหยุด
“หยุด”
“ครับ...หยุดแล้วครับ”
“หันมา”
ยอดค่อยๆ หันมามองหน้าบุษกร
“มีอะไรครับ”
บุษกรลดปืนลง จากนั้นก็เข้ามากอดยอดเอาไว้ ยอดตกใจ
“เฮ้ย...อะไรครับ อย่าทำแบบนี้ครับ”
“กอดฉันซิ ไม่งั้นฉันยิงคุณแน่”
บุษกรยกปืนมาจ่อ ทำให้ยอดต้องเลยตามเลย นาตาชาเดินพาเดี่ยวเข้ามายืนมองที่มุมหนึ่ง
“อยู่นั่นไงคะคุณเดี่ยว”
บุษกรเข้ากอดปล้ำยอด แต่พอเห็นว่านาตาชาพาเดี่ยวเดินเข้ามา บุษกรก็เริ่มส่งเสียงร้องแล้วทำท่าดูราวกับว่ายอดกำลังลวนลามเธอ
“อย่า...ปล่อยนะ อย่า...ช่วยด้วย ๆ”
เดี่ยวชะงักนิ่ง เข้าใจผิดคิดว่ายอดกำลังลวนลามบุษกร
“ยอด”
เดี่ยวโกรธจัดถลันเข้าไปหายอด แล้วประเคนหมัดเข้าใส่ไม่ยั้ง
“ไอ้เพื่อนทรยศ”
ยอดตกใจ
“อะไรกันคุณเดี่ยว...มาต่อยผมทำไม”
“กินอยู่กับปาก...ยังจะมาถาม”
เดี่ยวประเคนหมันใส่ยอด ขณะบุษกรหันไปขยิบตาให้นาตาชา เนื่องจากทั้งคู่วางแผนกันมาก่อนแล้ว นาตาชารีบเข้ามาแยกทั้งคู่
“หยุดนะ...ฉันบอกให้หยุด”
นาตาชาเข้ามาหายอด
“คุณยอด ตามฉันมาค่ะ”
ยอดอึกอักงงๆ
“แต่ว่าผม...”
“ไม่มีแต่ ตามมาเดี๋ยวนี้”
นาตาชาเข้ามาฉุดยอดให้ออกไป บุษกรก็เริ่มบีบน้ำตาให้ดูน่าสงสาร เพื่อให้เดี่ยวเข้ามาปลอบ
“เกิดอะไรขึ้นครับ...บุษกร”
บุษกรร้องไห้
“คุณยอดค่ะ...เค้าบอกว่าคุณเดี่ยวต้องการพบ แล้วพาฉันมาตรงนี้ พอเห็นไม่มีใครเค้าก็ลวนลามฉัน ถ้าคุณเดี่ยวกับคุณนาตาชาไม่เข้ามาช่วย ฉันคง...”
“ไม่เป็นไรนะครับ ต่อไปผมจะดูแลคุณเอง ผมจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก”
เดี่ยวเข้าโอบกอดปลอบโยน ขณะที่บุษกรร้องไห้แล้วแอบยิ้มที่เดี่ยวหลงกล
+ + + + + + + + + +
นาตาชา พายอดเดินมาหยุดที่มุมหนึ่ง แล้วหันไปมองหน้า
“เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นคะคุณยอด”
“เอ้อ...คือผมกับคุณบุษกร มาเจอกันโดยบังเอิญน่ะครับ แล้วคุณบุษกรก็เอาปืนออกมาจี้ คงจะเข้าใจผมผิด”
“คุณยอดชอบคุณบุษกรเหรอคะ”
“เปล่า ๆ...ผมไม่ได้คิดอย่างนั้น ผมไม่ได้ทำอะไร”
“แล้วทำไมคุณบุษกรถึงร้องให้ช่วยละคะ”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่าผมสาบานได้ว่าผม...”
“ฉันเชื่อค่ะ อาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน...” นาตาชามองหน้ายอดแล้วทำเป็นตกใจ “ตายจริงคุณยอด หน้าคุณมีรอยช้ำ”
นาตาชาเข้ามาสัมผัส ลูบไล้ใบหน้าของยอดไปมา จนยอดต้องจับมือไว้
“ผมไม่เป็นไรครับ”
“ไม่เป็นไรไม่ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันเป่าให้นะคะ”
นาตาชาเข้ามาเป่าแผลให้ยอดแบบจงใจยั่วยวน ยอดหน้าแดงเขิน
“เวลาเป็นแผล แม่ฉันชอบเป่าให้ แล้วก็บอกว่าหายเร็วๆ นะคะ ไม่กี่วันแผลก็จะหาย”
“ขอบคุณมากครับ”
“คุณน่ารักจัง”
“ผมว่า...เรากลับไปทำงานกันดีกว่าครับ”
“คุณกลัวฉันเหรอคะ”
“เปล่าครับ ผมไม่ได้กลัว”
“ฉันอยากจะบอกให้คุณรู้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น...ฉันยืนเคียงข้างคุณเสมอนะคะยอด”
นาตาชาส่งสายตาหวานซึ้งให้ แล้วดึงเขาเข้ามาจูบที่แผล
“ขอให้แผลหายเร็วๆนะคะ”
นาตาชาหันเดินออกไป ปล่อยยอดยืนอึ้งอยู่คนเดียว
+ + + + + + + + + + +
กระแตและบุษกร นั่งรออยู่ที่มุมหนึ่งแล้วสักครู่ นาตาชาก็เดินเข้ามา
“เธอทำได้ดีมากบุษกร”
“ขอบคุณค่ะนาตาชา”
“ฉันเชื่อว่า เรื่องที่เกิดขึ้น คุณเดี่ยวกับคุณยอด ต้องมีเรื่องบาดหมางกันแน่นอน”
“คุณนาตาชาต้องการอะไรหรือคะถึงได้ทำแบบนี้” กระแตถามอย่างไม่เข้าใจ
“ฉันต้องการให้พวกเสาร์ห้าแตกแยกกัน ให้พวกมันเข้าใจผิดกันเอง และพวกเธอสองคนต้องทำตามที่ฉันสั่ง”
“แน่นอนค่ะนาตาชา เราจะทำตามที่คุณสั่ง” กระแตรับคำ
“ใช่ค่ะ...แล้วฉันก็จะทำให้พวกเสาร์ห้าแตกแยกกันต่อไปค่ะ เรื่องแบบนี้ ไม่ยาก” บุษกรมุ่งมั่นมีแผนการ
“ดีมาก”
นาตาชา ยิ้มให้กระแต และบุษกร
+ + + + + + + + + + + +
เดี่ยวเดินเข้ามาในบ้านพักอย่างหงุดหงิด เทอด กริ่ง ดอน ซึ่งกำลังคุยกันเรื่องแผนที่หันมามอง
“มีอะไรครับคุณเดี่ยว” ดอนถามอย่างสงสัย
“เปล่าไม่มีอะไร”
กริ่งมองอย่างสังเกต
“ท่าทางเหมือนไปชกกับใครมา”
เทอดแปลกใจจึงคาดคั้น
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ”
“ผมไม่มีอะไรทั้งนั้น อย่ามาสนใจผมเลย”
เดี่ยวลุกขึ้นเดินออกจากบ้าน แล้วพบกับยอดที่กำลังเดินเข้ามาพอดี ทั้งคู่ชะงักมองหน้ากัน เดี่ยวเดินหงุดหงิดออกจากบ้านไป ขณะที่ยอดเองก็ดูเงียบซึม
“คุณยอด...นี่มันเกิดอะไรขึ้นครับ” กริ่งถามอย่างไม่เช้าใจ
“เปล่า...ไม่มีอะไร” ยอดตอบนิ่งๆ
“เอ้อ...แล้วเรื่องที่ให้ไปสืบละครับ”
ยอดส่งกล้องให้
“นี่ครับ...ผมถ่ายรูปไว้หมดแล้ว ขอตัวนะครับ”
ยอดเดินหนีออกไป ดอน กริ่ง เทอด มองหน้ากัน ดอนครุ่นคิด
“สองคนนี่น่าจะมีเรื่องอะไรสักอย่าง”
เทอดถอนใจ
“นั่นซิ...แต่ตอนนี้เรามาทำแผนที่กันต่อดีกว่า”
กริ่งดูภาพจากกล้องที่ยอดส่งให้
“บ้านนั้นเป็นที่เก็บอาวุธจริงๆด้วย ดูซิกระสุนเพียบ อาก้าเอ็ม16 ระเบิดมือ อะไรจะขนาดนี้”
ทุกคนช่วยกันเก็บข้อมูลเรื่องอาวุธจากกล้อง
+ + + + + + + + + + + +
เช้าวันใหม่...
ยูกิช่วยเช็ดตัวให้ม่านฟ้า ขณะที่บัวชุม และชลดา กำลังช่วยกันหุงหาอาหาร ม่านฟ้าค่อยๆ ลืมตาขึ้นมามอง แล้วสะดุ้งที่เห็นคนแปลกหน้า
“เธอเป็นใคร”
บัวชุมหันมาเห็น รีบละมือจากทุกอย่างเข้ามาหา ชลดาตามเข้ามา
“คุณหนูฟื้นแล้ว”
“พี่บัวชุม...นี่ฉันเป็นอะไรไป”
“คุณหนูเป็นไข้ป่าค่ะ พอดีคุณสองคนนี่มาช่วยเอาไว้”
ยูกิยิ้มให้อย่างไมตรี
“ฉันชื่อยูกิจ๊ะ”
“ฉันชลดา”
ม่านฟ้ายิ้มให้สองคนอย่างเป็นมิตร
“ขอบคุณมากค่ะ”
“เพิ่งฟื้นไข้แบบนี้ คงจะเพลีย เดี๋ยวกินข้าวต้มหน่อยนะ จะได้มีแรง” ชลดานะ
“จริงด้วยค่ะ...เดี๋ยวบัวชุมตักให้นะคะ”
บัวชุมรีบไปตักข้าวต้มมาป้อนให้ม่านฟ้า
“พวกคุณกำลังจะไปไหนกัน” ม่านฟ้าถาม
“เรากำลังจะไปที่เจดีย์กลางป่า” ยูกิบอก
ม่านฟ้าแปลกใจ
“ไปทำอะไรที่นั่นคะ”
ชลดายิ้มให้แล้วโกหก
“พวกเราเป็นนักสำรวจน่ะ”
“แต่มันอันตรายนะคะ...ฉันเห็นหลายคนกำลังไปที่นั่นเหมือนกัน ท่าทางไม่น่าไว้วางใจเลย” ม่านฟ้าเตือนอย่างเป็นห่วง
“จริงด้วยค่ะ...พวกกองโจรก็มี คุณสองคนต้องระวังตัวด้วยนะคะ” บัวชุมหันไปหาม่านฟ้า “ทานข้าวต้มหน่อยนะคะ คุณหนู”
บัวชุมป้อนข้าวต้มให้ม่านฟ้า
+ + + + + + + + + +
อาเตียวอยู่บนหน้าผา ส่องกล้องทางไกลไปยังจุดที่มีควันลอยออกมา เปาชางเดินเข้ามาหา
“มีควันลอยออกมาตรงแถวริมห้วย” อาเตียวรายงาน
เปาชางรับกล้องส่องทางไกลมาดู
“คงไม่ใช่พวกชาวป่าแน่”
“งั้นให้พวกเราไปปิดล้อมเอาไว้ดีมั๊ยครับ”
“ไม่ต้อง...ถ้าไปกันมากๆ พวกมันต้องรู้แน่ แกไปกับฉันสองคนอาเตียว เราจะเข้าไปสืบก่อนว่าพวกมันเป็นใคร ส่วนคนอื่นๆ ให้กระจายกำลังล้อมจุดเอาไว้”
“โอเค”
อาเตียวเดินกลับไปหาพวกลูกน้องแล้วเริ่มสั่งงาน ขณะที่เปาชางยังคงส่องกล้องทางไกลดูต่อไป
+ + + + + + + + + +
ม่านฟ้าไปล้างตัวอยู่ที่ลำธาร ครู่หนึ่งก็เดินเข้ามาหาชลดากับยูกิ ที่กำลังนั่งพักผ่อนกันอยู่ บัวชุมเก็บของเตรียมเดินทาง ชลดามองม่านฟ้าแล้วยิ้มพอใจ
“ท่าทางเธอดูสดชื่นแล้วนะม่านฟ้า”
ม่านฟ้ายิ้มรับ
“ค่ะ...ฉันหายแล้ว ตอนนี้ก็ไม่มีไข้”
“จากนี้พวกเธอจะไปไหนกัน” ยูกิถามเรียบๆ
“อย่างแรกก็คงต้องออกจากป่า” ม่านฟ้าบอก
“ใช่ค่ะ...พวกคุณก็อย่าเพิ่งไปที่เจดีย์เลย บัวชุมกลัวพวกโจรน่ะค่ะ โดยเฉพาะไอ้วายร้ายอย่างเปาชาง” บัวชุมเตือนอย่างหวาดๆ
ยูกิแปลกใจ
“พวกเธอรู้จักไอ้เปาชางด้วยเหรอ”
“รู้จักซิคะ...ตอนนั้นบัวชุมกับคุณหนูเจอมันบาดเจ็บ ก็นึกสงสารเลยช่วยเอาไว้ แต่พอมันฟื้นขึ้นมามันก็แว้งกลับมาทำร้ายพวกเรา” บัวชุมมองชลดากับยูกิอย่างแปลกใจก่อนจะถาม “แล้วพวกคุณละรู้จักไอ้เปาชางได้ยังไง”
ชลดานิ่งคิดนิดนึงก่อนจะตอบ
“มาทำงานแถวนี้ มันก็ต้องรู้บ้างว่าใครเป็นใคร ไอ้เปาชางมันเป็นพวกกองกำลังต่างชาติที่อยู่ตามตะเข็บชายแดน พวกมันหากินโดยการปล้นสดมภ์ แทนการค้ายาบ้าน่ะ”
“นี่ถ้ามันรู้เรื่องทับทิมสยามของคุณหนูละก็...”
บัวชุมนึกได้ว่าหลุดปากรีบอุดปากตัวเอง ยูกิและชลดามองหน้ากัน
“เธอรู้เรื่องทับทิมสยามกับเค้าด้วยเหรอ” ยูกิถามอย่างสงสัย
บัวชุมและม่านฟ้า แปลกใจที่ยูกิ และชลดาดูจะรู้เรื่องทับทิมสยามเช่นกัน
“พวกคุณรู้อะไร เกี่ยวกับทับทิมสยามเหรอคะ” ม่านฟ้าถามเสียงนิ่งชลดานึกได้
“จริงซิ...เธอเคยเล่าว่าเชื้อสายของพวกเธอมาจากสิบสองปันนา หรือว่าเธอจะเป็นทายาทที่ครอบครองทับทิมสยามสีแดง”
ม่านฟ้าและบัวชุมเริ่มหวาดระแวง รู้สึกไม่ปลอดภัย บัวชุมรีบตัดบท
“คุณหนูคะ บัวชุมเก็บของเสร็จแล้ว รีบไปเถอะค่ะ”
บัวชุมและม่านฟ้า จะออกเดินทางแต่ยูกิและชลดาเข้ามารั้งเอาไว้
“เดี๋ยวซิ...นี่เธอไม่ไว้ใจพวกเราหรอกเหรอ”
“พวกเราไม่ใช่คนร้าย สิ่งที่เราทำก็เพื่อป้องกันไม่ให้ทับทิมสยามตกไปอยู่ในมือของพวกวายร้าย ถ้าเธอรู้อะไรเกี่ยวกับทับทิมสยามก็น่าจะรีบบอกเรา ก่อนที่การทดลองจะเกิดขึ้น” ชลดาพูดด้วนน้ำเสียงจริงจัง
ม่านฟ้ารู้สึกสงสัย เรื่องการทดลองเพราะเธอไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน
“การทดลองอะไร”
“เราเชื่อว่า ด็อกเตอร์ฟอร์ด ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์กับพวก กำลังทำการทดลองบางอย่างที่บริเวณเจดีย์กลางป่าและทับทิมสยามก็เกี่ยวข้องกับการทดลองครั้งนี้ด้วย” ชลดาอธิบาย
“เรากำลังไปที่นั่นเพื่อหาทางยับยั้งไม่ให้การทดลองเกิดขึ้น เพราะบางทีมันอาจจะเป็นการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ชนิดใหม่ก็ได้” ยูกิบอกอย่างกังวล
บัวชุมตกใจ
“แย่แล้ว...ถ้ามีระเบิดนิวเคลียร์จริงๆ พวกเราทุกคนก็ต้องตายซิคะ”
ยูกิถอนใจ
“ไม่ใช่เฉพาะพวกเธอหรอก บางทีคนไทยทั้งประเทศก็อาจเจอเคราะห์กรรมครั้งนี้ด้วย” ชลดามอง ม่านฟ้ากับบัวชุม สายตาคาดคั้น
“เราต้องการรู้เรื่องเกี่ยวกับทับทิมสยาม ให้มากที่สุดเพื่อจะได้หาทางยับยั้งการทดลองครั้งนี้ เราอยากให้พวกเธอไว้ใจ พวกเราไม่ใช่คนร้ายแน่นอน”
“ก็ได้ค่ะ ฉันจะเล่าบางอย่างที่ฉันรู้ให้ฟังก็ได้”
ม่านฟ้ามองหน้าบัวชุมเพื่อตัดสินใจบอกความจริง บัวชุมพยักหน้าเห็นด้วย
+ + + + + + + + + +
เปาชาง และอาเตียว ย่องเข้ามาซุ่มอยู่ที่มุมหนึ่ง
“เร็วอาเตียว รีบเข้าไปให้ใกล้ที่สุด...ฉันอยากรู้ว่ามันคุยอะไรกัน”
“ทางนี้เปาชาง ตรงโน้นเป็นพุ่มไม้ พวกมันกำลังเดินไปที่นั่น”
“นำไปก่อน เร็ว...เดี๋ยวฉันตามไป”
อาเตียว รีบย่องไปยังพุ่มไม้แล้วสักครู่เปาชางก็ตามไป ทางด้านม่านฟ้าเดินมานั่งที่มุมหนึ่งข้างๆพุ่มไม้ บัวชุม ชลดา และยูกิตามมา
“พ่อเคยเล่าให้ฟังว่าทับทิมสยามมีอยู่ด้วยกัน สามก้อน สีม่วง สีชมพู แล้วก็สีแดง ต้นตระกูลของฉันครอบครองทับทิมสยามสีแดงเอาไว้ ตกทอดกันมาหลายรุ่นจนกระทั่งพวกเราอพยพมาอยู่ที่เมืองไทย”
“ครอบครัวคุณหนูต้องหลบๆ ซ่อนๆ ไม่อยากเปิดเผยตัวเอง เพราะหากมีคนรู้ อันตรายก็จะตามมา” บัวชุมเสริม
ม่านฟ้าหน้าสลดลง...
“ทับทิมสยามสวยงาม แต่ก็เต็มไปด้วยอันตราย พ่อฉันถูกคนขับรถฆ่าตายเพื่อแย่งชิงทับทิมสยามไป ตอนนี้ฉันเอากลับคืนมาได้แล้ว แต่ฉันคงบอกพวกคุณไม่ได้ ว่าทับทิมสยามสีแดงอยู่ที่ไหน”
“ไม่เป็นไรม่านฟ้า เธอเก็บทับทิมสยามของเธอเอาไว้ก็ดีแล้ว อย่าให้ตกไปถึงมือคนร้ายก็แล้วกัน” ยูกิเตือน
“ตอนนี้ด็อกเตอร์ฟอร์ด ครอบครองทับทิมสยามสีชมพูอยู่ ทับทิมสยามสีม่วงก็น่าจะอยู่ที่เจดีย์กลางป่า ส่วนกลุ่มที่พวกเธอเจอน่าจะเป็นกลุ่มของด็อกเตอร์วิทยากับพวก ซึ่งต้องการแย่งชิงทับทิมสยามมาทำการทดลองเช่นกัน” ชลดาอธิบาย
บัวชุมชักหวาดกลัว
“ใช่แล้ว...ไอ้พวกนี้แหละที่มันฆ่าหนานคำ ถ้ามันรู้ว่าทับทิมสยามอยู่ที่เรา เราต้องตายแน่ๆ ค่ะคุณหนู”
“ไม่ต้องกลัว ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นฉันกับชลดาจะช่วยเธอเอง” ยูกิบอกอย่างมั่นใจ
ทันใดนั้นเปาชางและอาเตียว ก็โผล่พรวดออกมาจากพุ่มไม้ เปาชางยิ้มหยัน
“แน่ใจนะว่าจะช่วยได้”
ทุกคนตกใจ ไม่คาดฝันว่าจะพบเปาชางกับอาเตียวที่นี่ ม่านฟ้าหน้าตื่น
“แก...ไอ้เปาชาง”
เปาชางยิ้มพอใจ
“ที่แท้ทับทิมสยามสีแดงอยู่กับเธอนี่เอง ม่านฟ้าที่รัก”
“ยกมือขึ้น”
อาเตียวเล็งปืนใส่ทุกคน แต่ยูกิกระโดดเตะปืนหล่นไป ขณะที่ชลดาเข้าต่อสู้กับเปาชาง บัวชุม และม่านฟ้า ลังเล ยูกิจึงตะโกนสั่ง
“พาม่านฟ้าหนีไปเร็ว ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเรา”
“ค่ะ ๆ เร็วคุณหนู...หนีเร็ว”
บัวชุมดึง ม่านฟ้าลังเล
“แต่ว่าพวกเค้าอยู่ในอันตราย”
“ไม่ต้องเป็นห่วง หนีเร็วม่านฟ้า พวกเราเอาตัวรอดได้” ชลดาตะโกนสั่ง
บัวชุมรีบดึงม่านฟ้าให้วิ่งหนี ชลดา และยูกิ ต่อสู้สกัดกั้นเปาชาง และอาเตียวเอาไว้ ทั้งชลดา และยูกิ ต่างก็ใช้ศิลปะการต่อสู้ที่ตัวเองชำนาญอย่างแพรวพราว ทำให้เปาชางและอาเตียวทึ่ง ที่ไม่สามารถทำอะไรสองสาวได้อย่างง่ายๆ
+ + + + + + + + + + + +
บัวชุมพาม่านฟ้าวิ่งหนีมาตามทาง แต่แล้ว ทั้งคู่ตกอยู่ในวงล้อมของลูกน้องเปาชาง ที่พากันกรูเข้ามา บัวชุมและม่านฟ้าหยิบหน้าไม้ออกมาแล้วยิงใส่ ทำให้ลูกน้องเปาชางล้มลง คนอื่นๆ จึงพากันชะงักไม่กล้าเข้ามา
“เข้ามาซิวะ อยากตายก็เข้ามา” บัวชุมตะโกนขู่
ลูกน้องคนหนึ่ง ชักปืนเล็งจะยิง แต่โดนลูกน้องอีกคนห้ามไว้
“อย่ายิง...เปาชางให้จับเป็น”
ม่านฟ้า ยิงหน้าไม้ใส่ลูกน้องคนหนึ่งล้มลง บัวชุมยิงหน้าไม้ใส่อีกคนล้มตาม จากนั้นก็พากันวิ่งหนีออกไป
ทางด้านชลดาและยูกิ ต่อสู้กับเปาชาง และอาเตียวสักครู่ และแม้ว่าชลดาและยูกิจะมีชั้นเชิงที่แพรวพราว แต่ในด้านพละกำลังดูจะเป็นรองเปาชาง และอาเตียว ยูกิถอยมาหันหลังชนกับชลดา เพื่อหาทางสู้ต่อ
“ยูกิ...วิชานินจาไง” ชลดาบอก
“ตกลง”
ยูกิพนมมือแบบนินจาเพื่อรวบรวมสมาธิ แล้วจากนั้นร่างของยูกิก็แยกตัวออกมาจนกลายเป็นนินจา 5 คนรวมยูกิด้วย เป็น 6 คนยืนล้อมรอบ เปาชาง และอาเตียวไว้ ขณะที่ชลดาถอยออกมาคอยจังหวะโจมตีซ้ำหากใครเพลี่ยงพล้ำ เปาชางงง
“นี่มันมาจากไหนเยอะแยะ”
“พวกนินจา” อาเตียวบอก
นินจา 6 คนเข้ารุมทำร้าย เปาชางและอาเตียว และเมื่อมีใครเซล้มมา ชลดาก็คอยช่วยโจมตีซ้ำ
+ + + + + + + + + + +
ม่านฟ้าและบัวชุม วิ่งหนีมาที่หน้าผาแห่งหนึ่งซึ่งมีสะพานเชือกผูกเอาไว้ เพื่อข้ามไปยังอีกฝั่ง
“คุณหนู รีบข้ามไปก่อนค่ะ บัวชุมจะสกัดเอาไว้ตรงนี้”
“ไม่...พี่บัวชุมไปก่อน”
“อย่าดื้อซิคะ...ไปเร็ว”
บัวชุมรีบดันม่านฟ้าให้ไต่สะพานเชือกไป ขณะที่บัวชุมใช้หน้าไม้ยิงสกัดไม่ให้ใครเข้ามาใกล้ ม่านฟ้าค่อยๆ ไต่สะพานเชือกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงอีกฝั่ง จึงตะโกนเรียกบัวชุม
“เร็ว...พี่บัวชุม รีบตามมาเร็ว”
แต่บัวชุมไม่สามารถไต่มาได้ เนื่องจากต้องคอยยิงสะกัดไม่ให้คนอื่นๆเข้ามา และแล้วในช่วงที่บัวชุมเปลี่ยนลูกดอก เธอก็ถูกโจมตีกระทันหันแล้วถูกจับตัวเอาไว้ได้ ลูกน้องคนหนึ่ง รีบไต่สะพานเชือกหมายจะตามไปจับม่านฟ้า บัวชุมสะบัดจากการจับกุม รีบไปที่สะพานเชือกแล้วตัดเชือกจนขาด ทำให้ลูกน้องที่กำลังไต่ไปหาม่านฟ้าตกเหวไป บัวชุมโดนจับตัวได้ ม่านฟ้ายืนมองจากอีกฝั่งน้ำตาไหล
“พี่บัวชุม ๆ”
“คุณหนูหนีไปเร็ว ไม่ต้องห่วงพี่บัวชุมค่ะ”
บัวชุมถูกกระชากตัวหายไป ขณะที่ม่านฟ้ายืนตะโกนเรียกชื่อน้ำตาไหล สงสารบัวชุม
+ + + + + + + + + + + +
เปาชางกับอาเตียว กำลังต่อสู้กับกลุ่มนินจา ซึ่งมีชลดา คอยช่วยเหลือ เปาชางกับอาเตียว พยายามจะชักปืน แต่โดนชลดาเตะมือจนปืนของทั้งคู่กระเด็นออกไป เปาชางและอาเตียวเสียที โดนชูริเคนที่นินจาขว้างเฉี่ยวตัวไปมาต้องคอยหลบแทบจะตลอดทำให้ขาดสมาธิ ชลดาอาศัยที่เปาชาง เผลอ ตีลังกาเข้าไปฟาดที่ท้ายทอย จนเปาชางล้มลง อาเตียวเห็นท่าไม่ดี รีบหนีออกจากวงล้อม ขณะนั้นเอง บัวชุมถูกกลุ่มลูกน้องจับกุมตัวเข้ามา อาเตียวรีบเข้าไปจับบัวชุมไว้แล้วเอาปืนจากลูกน้องมาจ่อบัวชุมเอาไว้
“เฮ้ย...หยุด ไม่งั้นนังนี่ตาย”
“ช่วยด้วย ๆ”
ชลดาชะงัก ขณะที่นินจาเริ่มสลายหายไป เหลือเพียงยูกิ ทันใดนั้นเปาชาง และกลุ่มลูกน้องก็เข้าจับกุมตัวชลดา และยูกิไว้ได้ เปาชางมองหาม่านฟ้าแต่ไม่เจอ
“ม่านฟ้าล่ะ ผู้หญิงของข้าอยู่ไหน”
“ข้ามฝั่งหน้าผา หนีรอดไปได้ครับ” ลูกน้องบอก
“งั้นก็ออกตาม”
เปาชางขยับตัวจะไปตามม่านฟ้า อาเตียวห้ามไว้
“เปาชาง...เรื่องม่านฟ้า เอาไว้ก่อนดีกว่า ทับทิมสยามสำคัญกว่า”
เปาชางได้สติ
“จริงซิ...ยังไงทับทิมสยามก็ต้องสำคัญกว่า”
เปาชางเดินเข้าไปหาบัวชุม
“ทับทิมสยามอยู่ที่ไหน”
บัวชุมส่ยหน้าปฏิเสธ
“ฉันไม่รู้”
“ไม่รู้ใช่มั๊ย นี่แน่ะ...”
เปาชางตบฉาด บัวชุมหน้าหัน แล้วหันหน้ากลับมามองเปาชางแค้นๆ
“ให้ตายฉันก็ไม่บอก ไอ้สารเลว”
“งั้นแกก็ตายได้แล้ว”
เปาชางบีบคอ บัวชุมดิ้นรน กำลัวขาดอากาศหายใจ ชลดาจึงตะโกนห้าม“หยุดนะ...อย่าทำบัวชุม”
“แน่จริงก็ปล่อยพวกเรา แล้วมาสู้กันซิ” ยูกิท้าทาย
เปาชางยิ้มหยัน
“ปล่อยก็โง่ซิ...พาพวกมันกลับไปที่หมู่บ้าน ขาวๆ อย่างเนี้ยะ ลุงฉันชอบ ฮ่ะๆ”
ยูกิกับชลดา และบัวชุมถูกคุมตัวไป
อ่านต่อหน้า 3
เสาร์ ๕ ตอนทับทิมสยาม ตอนที่ 13 (ต่อ)
ค่ำคืนนั้น บุษกรและกระแต เดินอยู่บนทางเดินภายในแค้มป์ ยอดซึ่งยืนมองอยู่ที่มุมหนึ่งเดินเข้ามาหา
“บุษกร” บุษกรและกระแตหันมา
“คุณมีธุระอะไรกับบุษกร” กระแตถามเสียงแข็ง
“ผมต้องการรู้ว่าคุณทำแบบนั้นทำไม”
บุษกรหันไปบอกกระแต
“เธอไปก่อนก็ได้นะกระแต...ตรงนี้ให้เราจัดการเอง”
กระแตพยักหน้าแล้วแยกตัวออกไป โดยทั้งคู่ส่งสายตาให้กัน อย่างมีแผนการอยู่แล้ว
“เรื่องที่เกิดขึ้น ทำให้คุณกลัวคุณเดี่ยวเหรอคะ”บุษกรถาม
“ผมไม่ได้กลัว แต่คุณเดี่ยวเป็นเพื่อนของผม...ผมอยากรู้ว่าคุณมีแผนอะไรกันแน่”
“ฉันไม่ได้มีแผนอะไรทั้งนั้น คุณต่างหากที่ทำตัวน่าสงสัย คอยดูฉันจะเอาเรื่องที่คุณไปด้อมๆมองๆที่คลังอาวุธไปฟ้องด็อกเตอร์ฟอร์ด”
บุษกรจะเดินไป แต่ยอดคว้ามือเอาไว้
“เดี๋ยว...อย่าเพิ่งไป”
บุษกรสะบัด
“ปล่อยฉันนะ”
ยอดไม่ปล่อย
“คุณกำลังถูกครองงำ ไปกับผมเดี๋ยวนี้ ผมจะช่วยให้คุณหลุดพ้นจากมนต์ดำให้ได้”
ยอดฉุดบุษกรให้ตามไป แต่บุษกรดิ้นรน ไม่ยอม ทันใดนั้น กระแตเดินนำเดี่ยวเข้ามาพอดี
“นั่นไงคุณเดี่ยว คุณยอดเพื่อนของคุณกำลังลวนลามบุษกร”
เดี่ยวโกรธ
“หยุดนะ”
ยอดและบุษกรชะงัก บุษกรรีบสะบัดมือแล้วเข้ามาหาเดี่ยว
“คุณเดี่ยวช่วยฉันด้วย...คุณยอดเป็นอะไรก็ไม่รู้...ช่วยด้วย”
ยอดเข้ามาหาเดี๋ยว
“จัดการเลยค่ะคุณเดี่ยว คนทรยศเพื่อนแบบนี้อย่าปล่อยให้ลอยนวล” กระแตยุยง
ยอด เข้าไปคว้าตัวกระแตไว้
“ผมก็จะไม่ปล่อยให้คุณลอยนวลเหมือนกันกระแต”
กระแตและบุษกรเริ่มรับรู้ถึงความผิดปกติ เนื่องจาก ยอดและเดี่ยวเริ่มจับตัวเธอไว้ไม่ยอมปล่อย
“นี่มันอะไรกัน” บุษกรถามอย่างตกใจ
กระแตดิ้นรน
“ปล่อยฉันนะ...ปล่อย”
ยอดยิ้ม
“ผมบอกแล้วไงว่า...จะช่วยให้คุณหลุดพ้นจากมนต์ดำให้ได้”
เทอด ดอน กริ่ง เดินเข้ามาจากอีกมุม ล้อมกรอบสองสาวเอาไว้ กระแตพยายามจะตะโกนร้องให้ช่วย แต่ยอดเอามือปิดปากเอาไว้ เดี่ยวปิดปากบุษกรแล้วหันมาบอกเพื่อน
“คุณกริ่ง คุณเทอด เร็ว...จัดการเลย”
กริ่งและเทอด หยิบพระออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้วอาราธนาพระพุทธคุณ สักครู่ก็เอาพระมาแปะที่หน้าผากของกระแตและบุษกร สองสาวดิ้นรนสุดแรง สักครู่พลังพุทธคุณก็แผ่ซ่าน ไปทั่วร่างของกระแตและบุษกร จากที่เคยดิ้นรนไปมาก็เริ่มสงบลงไป หลังจากนั้นก็เริ่มได้สติ
“นี่มันอะไรกันคะ พวกคุณมายืนทำอะไรกันตรงนี้” บุษกรถามงงๆ
กระแตสะบัดหัวที่มึนงง
“ทำไมฉันรู้สึกเหมือน....ฉันกำลังตื่นจากฝันอะไรก็ไม่รู้ ที่ควบคุมตัวเองไม่ได้เลย”
“ใช่ค่ะ...ฉันก็ฝันเหมือนกัน ฉันฝันว่าเป็นศัตรูกับพวกคุณ”
เดี่ยวยิ้มให้สองสาว
“คุณไม่ได้ฝันหรอกบุษกร คุณสองคนโดนมนต์ดำครอบงำเอาไว้”
“ผมกับคุณเดี่ยว เองก็เกือบโดนพวกคุณสองคนเล่นงานซะแล้ว ดีที่เราซ้อนแผนกันได้ทัน”
“ถ้าคุณเดี่ยวเชื่อว่า คุณยอดทรยศเพื่อนก็แย่แล้ว” กริ่งแหย่
“ถือว่าเป็นบทเรียนที่พวกเราต้องคอยระวังตัว พวกมันพยายามสร้างความแตกแยกให้กับเสาร์ห้า” ดอนเตือน
“ต่อไปให้พวกเราซ้อนแผน ทำตัวเหมือนเดิมอย่าให้ใครสงสัย ถ้ารู้ความลับอะไรก็มารายงานผมนะ ผมจะรวบรวมข้อมูลทุกอย่างแล้วส่งให้หน่วยเหนือ” เทอดกำชับ
“ตามนั้นคุณเทอด...แท็คทีม”
ยอดยื่นมือออกไป แล้วจากนั้นทุกคนก็จับมือแท็คทีมกัน
+ + + + + + + + + + + +
เดี่ยว แยกจากเพื่อนๆ เดินคุยมากับบุษกร
“รู้มั๊ยก่อนหน้านี้ เราไม่ค่อยมีโอกาสได้คุยกันเลยนะ”
“ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะเดี่ยว คุณก็รู้ว่า...”
เดี่ยวจ้องตาบุษกร
“ไม่ต้องพูด ผมเข้าใจดี แค่อยากบอกให้คุณรู้ว่าผมคิดถึงคุณมากแค่ไหน”
บุษกรจ้องตาตอบเขา
“ฉันก็คิดถึงคุณค่ะ”
“ภาระกิจต่อจากนี้ อาจจะมีอันตรายกว่าที่ผ่านมา ยังงไงคุณต้องระวังตัวให้มากนะครับ”
“ค่ะ ฉันจะระวังตัว...คุณก็เหมือนกัน ระวังนาตาชาเอาไว้ให้ดี เธอมีแผนการณ์บางอย่างที่จะทำลายพวกคุณ”
“ไม่ต้องกลัว...ผมไม่ใช่คนโลเล ในใจผมมีแค่คุณคนเดียว บุษกร”
เดี่ยวจับมือบุษกรมากุม แล้วจุบพิษที่มืออย่างทะนุถนอม บุษกรโผเข้ามากอดเดี่ยวอย่างมีความสุข
+ + + + + + + + + + + +
เช้าวันใหม่...
ดร.ฟอร์ดนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ เพื่อคำนวนสมการอยู่เงียบๆ ไม่ห่างนักบุษกร และกระแต กำลังช่วยกันหาข้อมูลอยู่ ดร.ฟอร์ด คำนวนอยู่สักพักก็หยุดชะงัก เหมือนไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตัวเองค้นพบ
“ไม่น่าเชื่อ...ไม่น่าเชื่อจริงๆ”
“มีอะไรคะด็อกเตอร์” กระแตถามอย่างแปลกใจ
“พลังงานในสมการนี้ ถ้าเอาความหนาแน่นจากมวลของทับทิมสยามมาใส่ ผลที่ได้ก็จะออกมาเหมือนที่ไอน์สไตน์เคยบันทึกไว้ทุกอย่าง”
บุษกรมอง ดร.ฟอร์ดงงๆ
“ยังไงคะ...ฉันไม่เข้าใจ”
ดร.ฟอร์ดยิ้มแย้มให้สองสาว
“งั้นฉันจะอธิบายให้เธอฟัง ไอน์สไตน์เคยพูดถึงพลังงานปรมาณูเอาไว้เมื่อ 70 ปีที่แล้ว แต่ตอนนั้นยังไม่มีใครรู้จัก หลังจากนั้นก็มีการนำเอาสมการของเขาไปทดลอง โดยอาศัย แร่ยูเรเนี่ยมมาเป็นส่วนประกอบสำคัญ ทำให้ได้พลังงานปรมาณูซึ่งมีอานุภาพร้ายแรงออกมา”
กระแตคิดตาม
“แสดงว่า...ถ้าเราเอาทับทิมสยาม มาแทนแร่ยูเรเนี่ยม เราจะได้พลังงานอีกแบบใช่มั๊ยคะ เอ๊ะ...แล้วจะเหมือนกับพลังงานปรมาณูหรือเปล่า”
ดร.ฟอร์ดส่ายหน้า
“ไม่เหมือน...มันจะเป็นพลังงานที่ตรงกันข้ามกัน”
“พลังงานที่ตรงกันข้ามกับพลังงานปรมาณู คือพลังงานอะไรคะ ด็อกเตอร์” บุษกรถามอย่างสงสัย
“ฉันไม่รู้...มันเป็นพลังงานซึ่งพวกเราไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่มันก็มีอยู่จริง และนี่คือความลับของไอน์สไตล์ที่ฉันค้นพบ”
กระแตครุ่นคิด
“ถ้าพลังงานปรมาณูเป็นพลังงานแห่งการทำลายล้าง พลังงานที่ตรงกันข้ามก็น่าจะเป็นพลังงาน...”
บุษกรนึกออก
“พลังงาน...อมตะ จริงซิ ทำลายล้างตรงข้ามกับอมตะ”
ดร.ฟอร์ดยิ้มพอใจ
“ใช่...ต้องเป็นพลังงานอมตะแน่ๆ ใช่แล้ว...บุษกร เธอฉลาดจริงๆ ถ้าเราได้ทับทิมสยามมา เราก็จะได้พลังงานอมตะ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็แสดงว่าเราก็จะไม่มีวันตาย และไม่แก่อีกต่อไป”
ดร.ฟอร์ดรีบกดแป้นคำนวนไปมา แล้วชะงักเมื่อเห็นผลบางอย่างที่คำนวนออกมา
“แต่น่าเสียดายจริงๆ หากเราทำการทดลองกับทับทิมสยาม เราจะต้องแลกกับภัยพิบัติจากภาพลวงตา”
กระแตอึ้ง
“ภัยพิบัติจากภาพลวงตา...”
“ใช่...ผลข้างเคียงจากการทดลอง จะทำให้พื้นที่กว่าครึ่งประเทศไทย จะกลายเป็นเขตภาพลวงตาเหมือนกับที่เกิดขึ้นในป่าแห่งนี้ เหตุร้ายแรงต่างๆ ที่อยู่ในจิตคน จะกลายเป็นเรื่องจริงและทำร้ายทุกอย่างขวางหน้า”
กระแตและบุษกร หน้าตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวล มือของกระแตที่ถือเครื่องบันทึกเสียงอยู่ใต้โต๊ะสั่นเล็กน้อย ด้วยอาการตื่นตกใจ
+ + + + + + + + + + +
กระแตกับบุษกรนำ เทปบันทึกเสียงของดร.ฟอร์ดมาเปิดให้ 5 หนุ่มเสาร์ห้าฟัง สักครู่เทอด ก็เอื้อมมือมาปิด แล้วพูดขึ้นอย่างกังวลใจ
“มันเป็นการทดลองที่น่ากลัวกว่าที่เราคิดจริงๆ”
“จะปล่อยให้เกิดขึ้นไม่ได้...เราต้องรีบส่งข้อมูลที่ได้ให้หน่วยเหนือเร็วที่สุด” เดี่ยวออกความเห็น
“วิธีเดียวที่จะส่งให้ได้ก็คือทางอินเตอร์เน็ต ห้ามใช้โทรศัพท์ในนี้เด็ดขาด...เดี๋ยวผมจัดการให้เอง” ดอนบอก
“คุณมีโปรแกรมลบร่องรอยในอินเตอร์เน็ต ที่จะไม่ให้พวกมันแกะรอยพวกเราได้แน่นะคุณดอน” ยอดถามย้ำ
“ผมมีครับ...รับรองมันจับไม่ได้แน่”
กริ่งคิดบางอย่างได้ รีบบอก
“เดี๋ยวนะ...ถ้าองค์ประกอบสำคัญของการทดลองนี้ คือทับทิมสยาม ทั้งสามก้อน เราก็น่าจะหาทางแย่งทับทิมสยาม กลับมาก่อนที่จะตกไปถึงมือพวกมันนะ ครับ”
ยอดเห็นด้วยกับกริ่ง
“ใช่เลยคุณกริ่ง...ตอนนี้ทับทิมสยามสีชมพูอยู่กับนาตาชา”
“ฉันกับกระแตจะช่วยสืบให้เองค่ะว่า นาตาชาซ่อนทับทิมสยามเอาไว้ที่ไหน” บุษกรอาสา
“สำหรับทับทิมสยามสีม่วง พวกเราคงต้องช่วยกันหาให้เจอก่อนพวกมันนะคะ” กระแตแนะ
“ครับ ผมจะพยายาม” ดอนรับปากสายตามุ่งมั่น
+ + + + + + + + + + + +
ภายในเจดีย์...
ดอนนั่งหลับตาอยู่ที่หน้าพระประธาน ภาพในสมาธิของเขาเห็นเป็นภาพงู กำลังเลื้อยไปมาบนพื้นหญ้า ตาทิพย์ของดอนตามงูไปเรื่อยๆ เห็นงูเลื้อยไปข้างๆ เจดีย์แล้วจากนั้นก็เลื้อยขึ้นไปข้างบน ขณะเดียวนั้น ซัมดอง และดร.ฟอร์ด เดินเข้ามาหยุดยืนมองดอน ซัมดองรู้สึกสงสัยว่าดอนกำลังเห็นอะไรในสมาธิ จึงหยิบดวงตาสวรรค์ออกมา
“มีอะไรครับซัมดอง”
“ข้าอยากรู้ว่าไอ้ดอนมันเห็นอะไร ข้าจะใช้ดวงตาสวรรค์สอดส่องภาพที่มันเห็น อย่างน้อยมันก็จะโกหกเราไม่ได้”
ซัมดองหยิบดวงตาสวรรค์ออกมา แล้วร่ายเวทย์มนต์เปิดดวงตา แล้วจากนั้นภาพในดวงตาสวรรค์ก็เห็นเป็นภาพเดียวกับที่ดอนเห็นสมาธิ นั่นก็คืองูที่กำลังเลื้อยไปมาแถวเจดีย์นั่นเอง ดอนเริ่มรู้ตัวว่ากำลังถูกแอบมอง เขาจึงแกล้งหลุดออกมาจากสมาธิ และทำท่าเหนื่อยอ่อน ภาพในดวงตาสวรรค์ก็หายไปในทันทีที่ดอนหลุดสมาธิ
“แกเป็นอะไร ทำไมไม่นั่งต่อ” ซัมดองถามอย่างไม่พอใจ
“ผมเหนื่อย พลังผมคงหมด”
“นั่งต่อไป” ดร.ฟอร์ดสั่งเสียงเข้ม
“แต่ว่าผม...ไม่ไหวจริงๆ”
ดอนแกล้งทำเหนื่อย วิงเวียน
“งั้นก็พอก่อน หายเหนื่อยเมื่อไหร่ก็มา” ซัมดองบอก
“ขอบคุณครับ”
ดอนแกล้งเดินโซเซออกไป ดร.ฟอร์ดหงุดหงิดไม่พอใจ
“โธ่อาจารย์ ไม่น่าปล่อยให้มันไปเลยนะครับ น่าจะให้มันนั่งต่ออีกหน่อย”
“ถ้ามันไม่มีสมาธิ ฝืนไปก็ไม่มีประโยชน์”
“แล้วทำไมภาพในสมาธิเป็นภาพงู มันหมายความว่ายังไงกัน”
“ด็อกเตอร์ลองคิดดีๆ ซิ...ครั้งที่แล้วเราเห็นทับทิมสยามอยู่ในรังงู วันนี้เราเห็นงูเลื้อยไปมา
อยู่แถวเจดีย์”
ดร.ฟอร์ด ตาวาว
“จริงซิครับ ถ้าเราตามงูตัวนั้นไปเรื่อยๆ หารังมันให้เจอ ก็น่าจะรู้ว่าทับทิมสยามอยู่ที่ไหน”
ดร.ฟอร์ดยิ้มออกมาอย่างดีใจ
+ + + + + + + + + + + +
สตีเฟ่น ราฮีม มะโหนก และคนงาน ยืนอยู่ที่หน้าเจดีย์
“พวกแกค้นหางูให้เจอ ห้ามทำอันตราย ตามมันไปแล้วหารังให้เจอ” ราฮีมสั่งการ
สตีเฟ่น หันไปหาเหล่าสมุน
“ถ้าใครเจอรังงูเป็นคนแรก ฉันมีรางวัลให้อย่างงาม แยกย้ายกันได้”
ทุกคนพากันแยกย้ายค้นหางูตามมุมต่างๆ ห่าออกไป กลุ่มเสาร์ห้า กำลังยืนมองอยู่
“เราคงต้องหารังของงูตัวนั้นให้เจอก่อนพวกมัน ทับทิมสยามอยู่กับงูตัวนั้น” ดอนบอก
ยอดหวาดๆ
“เรื่องงูผมไม่ถนัดเอาซะเลย”
“อ้าว...ก็เห็นเลี้ยงเอาไว้” กริ่งเย้าแหย่
ยอดมองหน้ากริ่ง
“อย่ามามุก...เลี้ยงที่ไหน”
“บนหัวไง“ กริ่งพูดขำๆ
เทอดหัวเราะ แล้วหันไปแหย่กริ่ง
“แต่ผมเห็นคุณกริ่งมีมากกว่าคุณยอดนะ”
กริ่งหยุดขำกึก
“แล้วกัน...เอาเป็นว่าคุณเดี่ยวมีมากที่สุดดีกว่า”
เดี่ยวเซ็งเลย
“อะไรเนี่ยะ...อยู่เฉยๆ ก็โดนซะงั้น”
ทุกคนพากันแยกย้ายหางู
+ + + + + + + + + + + +
มะโหนกปืนตามุมต่างๆของเจดีย์ แล้วโผล่หน้าขึ้นไปมองตามช่องต่างๆ งูขดตัวอยู่ในช่องๆ หนึ่ง ขณะที่มะโหนกำลังโผล่หน้าดูตามช่องไล่มาเรื่อยๆ มือของมะโหนกเอื้อมมาเกาะ แล้วสักครู่ก็โผล่หน้ามาดู งูซึ่งอยู่ด้านในก็ฉกเข้ามาที่มือ มะโหนกร้องโอ๊ยแต่ก็แข็งใจเอื้อมมือไปคว้าคองูเอาไว้ แล้วดึงออกมา คนอื่นๆ พากันโวยวาย
“เจองูแล้ว พี่มะโหนกเจองูแล้ว”
มะโหนกลากงูออกมา แต่งูดิ้นหลุดเลื้อยหนีไป มะโหนกรีบตามไป ขณะที่ตาเริ่มมัวเนื่องจากพิษงู จึงร้องตะโกนขอยา
“เอายาแก้พิษมา เอายา...”
มะโหนกล้มลง ขณะที่กลุ่มลูกน้องพากันวิ่งไปหยิบยาสมุนไพรจากย่ามมาฝนกรอกปากมะโหนก สตีเฟี่น ราฮีมเดินและพวกเสาร์ห้า เดินเข้ามาดู
“นั่นทำอะไรกัน” สตีเฟ่นถามเสียงแข็ง
“ยาสมุนไพรพื้นบ้านแก้พิษงูครับ” ราฮีมบอก
สตี่เฟ่นส่ายหน้า หันไปสั่งลูกน้อง
“ไปเอาเซรุ่มแก้พิษงูมาเร็ว”
ลูกน้องคนหนึ่งวิ่งไปคว้ากระเป๋ายามา แล้วจัดการฉีดเซรุ่มให้มะโหนก
“หามไปที่เรือนพยาบาล แล้วคนที่เหลือหางูให้เจอ” สตีเฟ่นสั่งการ
ลูกน้องช่วยกันหามมะโหนกออกไป ขณะที่คนอื่นๆพากันแยกย้ายหางูต่อ เดี่ยวใช้หูทิพย์ฟังเสียง
“ผมได้ยินเสียงมันกำลังเลื้อยอยู่”
เทอด หันมาหาดอน
“คุณดอนรู้ใช่มั๊ยว่ามันอยู่ที่ไหน”
“ครับ...ผมเห็นมันกำลังเลื้อยไปข้างบนเจดีย์”
“หรือว่ารังของมันอยู่ข้างบน” ยอดออกความเห็น
กริ่งคิดๆ
“แสดงว่า...”
กริ่งยังไม่ทันได้พูดต่อ ดอนจุ๊ปากให้กริ่งเงียบเสียก่อน
“อยู่ข้างบนแน่นอน ถึงจะเห็นไม่ชัด แต่พอจะเดาออกว่าตรงไหน” ดอนมองขึ้นไปบนยอดเจดีย์ “อย่าเพิ่งบอกใคร เราทำเป็นหาทางอื่นกันเร็ว”
ราฮีมเดินเตร่เข้ามาสังเกตุการณ์ ทำให้พวกเสาร์ห้าสลายตัวแยกย้ายกันหาตามจุดอื่นๆ
+ + + + + + + + + + + +
หมู่บ้านนายพลจางลี่...
เปาชางกับอาเตียว พายูกิ ชลดา และบัวชุมเดินเข้ามา ขณะที่ชาวบ้านอื่นๆ พากันส่งเสียงเรียกกันไปมาให้มาดูคนแปลกหน้า นายพลจางลี่ซึ่งกำลังยืนคุยอยู่กับชาวบ้านหันมามอง แล้วเดินเข้ามาหา
“กลับมาแล้วรึเปาชาง”
“ครับลุง”
นายพลจางลี่มองสามสาว
“แล้วคนไหนล่ะ ผู้หญิงที่เอ็งชอบ...หรือว่าทั้งสามคน”
เปาชางรีบปฏิเสธ
“ไม่ใช่สามคนนี้หรอกครับลุง ม่านฟ้าหนีไปได้ ผมเลยจับนังพวกนี้มาแทน”
“ฮ่ะๆ...ดีๆ” นายพลจางลี่ชี้ไปที่ยูกิ “ข้าชอบนังหมวยๆ คนนั้น”
“ครับลุง...จะให้ผมเอาไปขังที่ไหน”
นายพลจางลี่ชี้ไปที่กระท่อมหลังหนึ่ง
“กระท่อมร้างตรงโน้น”
เปาชางหันไปหาอาเตียว
“อาเตียว แกจัดการที”
“ได้เปาชาง”
อาเตียวพายูกิ ชลดา บัวชุมไปขังที่กระท่อมร้าง เปาชางหันมาหานายพลจางลี่
“ลุงครับ ผมมีเรื่องจะบอก”
“เรื่องอะไร”
“ทับทิมสยาม”
นายพลจางลี่สนใจขึ้นมาทันที เปาชางจึงเล่าสิ่งที่รู้มาให้ฟัง
“ถ้าเป็นจริงอย่างที่แกเล่า ก็แสดงว่าทับทิมสยามอยู่กับพวกมันถึงสองก้อน”
“ใช่ครับ...อยู่กลางป่าอย่างนี้ เราน่าจะหาทางจัดการพวกมันซะเลยนะครับ ง่ายกว่าไปปล้นในเมืองเยอะ”
นายพลจางลี่พยักหน้ารับ
“ถูกต้อง...ปล้นกลางป่าไปเลย อาวุธและคนทุกเราก็พร้อม จัดการให้เร็วที่สุดก่อนที่พวกมันจะไหวตัว”
“งั้นก็ไปเลยนะครับ”
นายพลจางลี่ มองความกระตือรือร้นของหลานชายนิ่งๆก่อนจะพูดขึ้น
“แล้วแกรู้หรือเปล่าว่าเจดีย์กลางป่าน่ะ มันไม่ได้เข้ากันง่ายนักหรอก”
เปาชางนิ่งคิด
“ผมเคยได้ยินมาเหมือนกันว่ามันเป็นป่าอาถรรพ์ ใครเข้าไปเป็นตายทุกราย”
นายพลจางลี่เดินไปพลิกหลังรูปๆ หนึ่ง แล้วดึงกระดาษแผนที่มาวาง
“ถ้ามีแผนที่อันนี้ มันก็ไม่ใช่เรื่องยาก”
อาเตียวเดินเข้ามา
“ผมขังพวกมันเอาไว้แล้วครับ คนที่ท่านนายพลชอบ ผมจัดการให้มันเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำแล้วครับ”
“ขังมันไว้ก่อน...ข้ายังไม่ว่าง อาเตียวลื้อรีบไปเตรียมอาวุธและพวกทหาร เราจะไปปล้นทับทิมสยามด้วยกัน” นายพลสั่งเสียงเข้ม
“เมื่อไหร่ครับ” อาเตียวถามงงๆ
“เดี๋ยวนี้”
“แต่ว่าเราเพิ่งมาถึง ยังไม่ได้พักเลย” อาเตียวแย้ง
“ลื้ออยากพักมากใช่มั๊ย”
นายพลจางลี่ไม่พอใจหยิบปืนออกมาขู่ อาเตียวหน้าตื่นตกใจ
“ไม่พักครับ ไปเดี๋ยวนี้เลยครับ”
อาเตียวรีบออกไป นายพลจางลี่และเปาชางเริ่มคุยกันเรื่องแผนที่
+ + + + + + + + + + + +
ยูกิ ชลดาและบัวชุม ถูกขังเอาไว้ในกระท่อมร้าง ทั้งสามคนกำลังพยายามหาทางหนี แต่ประตูหน้าต่างทุกบานถูกล็อคเอาไว้อย่างแน่นหนา ทันใดนั้น สักครู่ประตูก็เปิดออกมา ลูกน้องนายพลจางลี่คนหนึ่งถือปืนเดินเข้ามา ลูกน้องอีกคนเอาเสื้อผ้า มาวางไว้
“เอาเสื้อผ้าไปเปลี่ยนซะ”
พวกลูกน้องนายพลจางลี่ออกไป บัวชุมตะโกนเรียกไว้
“เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งไป”
ลูกน้องนายพลจางลี่ไม่สนใจ ปิดประตูโครมแล้วล็อกอย่างแน่นหนา บัวชุมเข้าไปดันประตูให้เปิด แต่เปิดไม่ได้ บัวชุมหงุดหงิด
“พวกมันล็อคประตูหมดทุกบานเลย”
ยูกิ หยิบเสื้อผ้าขึ้นมาดู
“นี่เราต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าพวกนี้เหรอ”
“ก็ดีเหมือนกันนะยูกิ เสื้อผ้าชาวบ้านแบบนี้ ถ้าเราหนีก็จะกลมกลืน ทำให้พวกมันแยกไม่ออก” ชลดาแนะ
ยูกิเห็นด้วย
“จริงซิ...ความจริงเสื้อผ้าพวกนี้ก็สวยดีเหมือนกัน”
ทุกคนเริ่มหยิบเสื้อผ้ามาแจกจ่ายแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้า
+ + + + + + + + + + +
ม่านฟ้า แอบซุ่มมองเข้ามาที่หมู่บ้านของนายพลจางลี่ เห็นอาเตียวกำลังระดมพล จัดกองกำลังทหารผู้ชายให้มารวมตัวกันกลางลานหมู่บ้าน เพื่อเตรียมออกเดินทางก็มองอย่างสงสัย ค่อยๆแอบย่องลัดเลาะไปตามบ้าน แล้วพยายามมองหาว่า ยูกิ ชลดา บัวชุม ถูกขังไว้ที่บ้านหลังไหน
ชาวบ้าน มัวแต่สนใจ และร่ำลากับพวกทหารที่กำลังจะเดินทางไปปล้น ทำให้ม่านฟ้ามีโอกาสเปิดดูกระท่อมต่างๆ ได้อย่างสะดวก ขณะที่เธอมาถึงกระท่อมร้างก็พบว่ามี สมุนนายพลจางลี่ 2 คนเฝ้ายามอยู่หน้ากระท่อม ม่านฟ้าแน่ใจว่าสามคนต้องถูกขังอยู่ในนั้นแน่ จึงพยายามหาวิธีที่จะเข้าไปในกระท่อมให้ได้ สายตาของเธอก็หันไปเห็นเสื้อผ้าของชาวบ้านที่ตากอยู่และถาดอาหารซึ่งยายแก่คนหนึ่งวางเอาไว้ เธอจึงรีบเอาเสื้อผ้าไปเปลี่ยนแล้วไปยกถาดอาหารนั้นมา
ม่านฟ้าซึ่งปลอมตัวเป็นชาวบ้าน ยกถาดอาหารมาที่ด้านหน้ากระท่อมร้าง สมุนคนหนึ่งเข้ามาขวางไว้
“เอามาให้ใคร”
“ให้พวกถูกขัง”
สมุนคนนั้นพยักหน้ารับ แล้วเปิดประตูให้เธอ เข้าไปข้างใน
ม่านฟ้าเข้ามาในกระท่อม แล้ววางถาดอาหารลง บัวชุมหันไปมองแล้วจำได้ ม่านฟ้ารีบขยิบตาให้เงียบไว้ ยูกิกับชลดา สังเกตุเห็นก็รู้ทันที
“รีบวางรีบออกไป” ยามสั่งเสียงเข้ม
ยูกินึกอะไรบางอย่างได้จึงรีบบอก
“เดี๋ยวจ๊ะเดี๋ยว”
“อะไร” สมุนถามเสียงแข็ง
“ให้ผู้หญิงคนนี้อยู่ช่วยฉันแต่งตัวหน่อย”
ชลดาได้ยินอย่างนั้นก็รีบรับมุขทันที
“ใช่ๆ...ชุดชาวบ้านแบบนี้ฉันใส่ไม่ค่อยเป็น”
ม่านฟ้ายิ้มเข้าใจ
“จ๊ะๆ...เดี๋ยวฉันช่วยนะ”
สมุนยืนมองงงๆ บัวชุมจึงหันไปตวาด
“นี่...ปิดประตูซิ ผู้หญิงจะแต่งตัว...ปิด”
สมุนคนนั้นออกไปแล้วปิดประตู บัวชุมรีบเข้ามาหาม่านฟ้า
“คุณหนู...”
ม่านฟ้าจุ๊ปาก แล้วรีบล้วงหยิบมีดพกออกมาส่งให้
“เอาเก็บไว้ เผื่อฉุกเฉิน”
“ข้างนอกมีคนเฝ้ากี่คน” ชลดากระซิบถาม
“2 คน แต่ตอนนี้พวกมันกำลังระดมพล ได้ยินว่า กำลังจะไปปล้นทับทิมสยาม จากพวกด็อกเตอร์ฟอร์ด” ม่านฟ้าบอกเบาๆ
ยูกิยิ้ม
“ถ้าพวกมันออกเดินทาง คนในหมู่บ้านก็จะน้อยลง”
ม่านฟ้าพยักหน้ารับ
“ใช่...เอาไว้แล้วฉันจะกลับมาช่วยพวกเธออีกที”
“เฮ้ย...เสร็จหรือยังวะ” เสียงยาม ตะโกนถามดังเข้ามา
“เสร็จแล้วจ๊ะ” ม่านฟ้าตะโกนออกไป
ขณะเดียวกันนั้น นายพลจางลี่เดินมาถึงหน้ากระท่อม
“ใครอยู่ข้างใน”
“พวกคนงานครับนาย มันเอาข้าวเข้าไปให้”
“เปิดประตูซิ”
สมุนเปิดประตูออก ม่านฟ้ารีบเดินก้มหน้าออกมา แล้วกลมกลืนไปกับพวกชาวบ้าน นายพลจางลี่รีบเดินเข้าไปข้างในกระท่อมแล้วยืนมองหน้าสามสาวยิ้มพอใจ
“สวยๆ ทั้งนั้น...ยกเว้นนังนี่”
นายพลจางลี่ชี้มาที่บัวชุม
“สวยแต่อร่อย...ไม่ลองก็ไม่รู้นะคะ” บัวชุมทำงอน
“ฮ่ะๆ งั้นข้าจะส่งเอ็งให้ไอ้พวกทหารมันลองก่อน”
บัวชุมสะดุ้ง
“ไม่นะ...บัวชุมไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นเมียทหาร...บัวชุมอยากเป็นคุณนาย นะคะท่าน พิจารณาบัวชุมอีกที
ปิดไฟมืดๆ ก็ได้”
“นังบ้า...หลีกไป” นายพลจางลี่เดินเข้าไปหายูกิ “หน้าตาจิ้มลิ้มดีนะหนูเนี่ยะ”
“ไปให้พ้น” ยูกิตวาด
นายพลจางลี่หัวเราะร่า
“ฮ่ะๆ มีฤทธิ์ไม่เบาเลย...ฮ่ะๆ” นายพลจางลี่เดินมาที่ชลดา “คนนี้ก็สวยคมเลยนะ ฮ่ะๆ”
ชลดา มองนายพลจางลี่อย่างรังเกียจ
“ออกไปนะ”
นายพลจางลี่ยิ้มหื่น
“หรือว่าจะเล่นมันทั้งหมดนี่แหละ ฮ่ะๆ”
ขณะเดียวกันนั้น อาเตียวเดินเข้ามา
“ทุกคนพร้อมแล้วครับ”
นายพลจางลี่หันไปหาสาวๆ
“ฝากไว้ก่อนนะที่รัก แล้วจะกลับมาคิดบัญชี”
นายพลจางลี่ส่งสายตากรุ้มกริ่มแล้วเดินออกไป สามสาวส่งสายตาเกลียดชังตามหลัง
อ่านต่อหน้า 4
เสาร์ ๕ ตอนทับทิมสยาม ตอนที่ 13 (ต่อ)
หมอผีกำลังบริกรรมคาถา พร้อมกับจุดประทัดที่ลานหมู่บ้าน เป็นสัญญาณเบิกฤกษ์เบิกชัยทุกคนส่งเสียงโห่ร้อง นายพลจางลี่เดินมายืนต่อหน้าทุกคน แล้วเริ่มพูดปลุกใจให้ทุกคนฮึกเหิม
“วันนี้พวกเราเป็นแค่รัฐเล็กๆ ที่ไม่มีใครรู้จัก แต่ถ้ามีทับทิมสยาม พวกเราทุกคนจะร่ำรวย ทุกบ้านทุกครอบครัวจะมีกินมีใช้ เราต้องเอาทับทิมสยามมาเป็นของเราให้ได้” นายพลจางลี่ชูกกำปั้นตะโกนนำ “ทับทิมสยาม”
ทุกคนชูกำปั้นตะโกนตามพร้อมเพียงกัน
“ทับทิมสยาม…ทับทิมสยาม”
“เพื่อครอบครัว เพื่อชาติของเรา...ทับทิมสยาม” นายพลจางลี่ตะโกนเสียงแข็งกร้าวปลุกเร้าใจ
“ทับทิมสยาม” ทุกคนตะโกนตาม
เปาชางยิงปืนขึ้นฟ้าเป็นสัญญาณ ทุกคนเฮ กันลั่นแล้วจากนั้นก็เริ่มเคลื่อนขบวน
+ + + + + + + + + + + +
เจนนี่ นั่งเซ็ง เหนื่อยอ่อนอยู่กลางป่า ขณะที่เคน ยังคงเดินสำรวจเส้นทางไปมา เคนหันมามอง
“เป็นอะไร...หิวเหรอ”
เจนนี่หงุดหงิด
“ไม่หิว”
“ไม่หิวก็มาช่วยกันหาเร็ว ทางเข้าไปที่เจดีย์ จะมีเครื่องหมายกากบาทที่โคนต้นไม้ใหญ่”
“แถวนี้ต้นไม้มันก็ใหญ่ๆ ทั้งนั้น หาไม่เจอหรอก”
เคนมองหน้า เจนนี่
“คุณกำลังเกเร”
“ก็ฉันคิดถึงเพื่อนๆนี่ อยู่ไหนก็ไม่รู้ เหลือแค่คุณกับฉันสองคนเอง ไม่สนุกเลย”
“พวกเค้าคงหลงป่า”
“แล้วทำไมไม่ตามหาพวกเค้าล่ะ”
“ยิ่งหาก็ยิ่งหลง ยังไงพวกเค้าก็มุ่งหน้าไปที่เจดีย์ เราควรไปรอที่นั่น”
“ก็ได้”
เจนนี่ลุกขึ้นอย่างกระฟัดกระเฟียด ช่วยเคนหาเครื่องหมายที่โคนต้นไม้ สักครู่ เคนก็จุ๊ปากให้เจนนี่หยุดเคลื่อนไหว
“เดี๋ยว...มีคนมา”
เคนให้สัญญาเจนนี่ให้ตามมาหลบที่หลังพุ่มไม้ สักครู่ก็เห็นกลุ่มนายพลจางลี่ เปาชาง อาเตียว และพวกทหารพากันเดินเข้ามาหยุดมอง นายพลจางลี่หยิบแผนที่ออกมากางดู
“ทางเข้าอยู่แถวนี้แหละ ข้าจำได้ ปากทางจะมีต้นไม้ที่ทำรอยบากไว้”
นายพลจางลี่มองสำรวจไปรอบ ๆ แล้วเดินมายังจุดที่เคนและเจนนี่หลบอยู่ เคน กระชับแคน ในมือพร้อมยิง เช่นเดียวกับเจนนี่ นายพลจางลี่ชักปืนออกมาคล้ายกับว่าเห็นบางอย่างผิดปกติ แต่แล้วเสียงของเปาชางก็ดังขึ้น
“ตรงนี้ครับลุง”
นายพลจางลี่ชะงัก หันมาหาเปาชาง
“ไหนวะ”
“ตรงนี้มีรอยบากเก่าๆ โผล่มาจากดิน”
นายพลจางลี่ละความสนใจจากพุ่มไม้ รีบเดินเข้าไปยังจุดซึ่งเปาชางบอก
“ใช่...ตรงนี้แหละคือทางเข้าเจดีย์ พวกเอ็งเดินตามข้ามา”
นายพลจางลี่เดินนำทุกคนไป เคนและเจนนี่ โผล่ออกมาจากพุ่มไม้ เจนนี่ถอนใจโล่งอก
“เกือบไปแล้ว”
“รีบตามพวกมันไป” เคนบอก
“จะบ้าเหรอ...ถ้าพวกมันรู้เราตายแน่”
“แต่มันเป็นทางเข้าเจดีย์ที่ปลอดภัยที่สุด”
“โอเค...ไปก็ไป”
เคนและเจนนี่พากันแอบตามกลุ่มของนายพลจางลี่ไป
+ + + + + + + + + + + +
เช้าวันใหม่...
ดร.วิทยา อยู่ในห้องกำลังนั่งขีดเขียนบางอย่าง ด้วยท่าทางไม่ปกติ ขณะที่ฮวงเฝ้ามองอยู่ด้วยความสงสัย
“นั่น ด็อกเตอร์ทำอะไรครับ”
“ฉันเห็น ๆ”
“เห็นอะไรครับ”
“ห้องขัง...ที่ห้องขัง มีภาพ”
“ภาพอะไรครับ”
ดร.วิทยาส่ายหน้า
“ไม่รู้...แต่ฉันเห็น ๆ”
ดร.วิทยา พยายามเขียนภาพการสะท้อนแสง จากความทรงจำที่ผนังเจดีย์ ลงในกระดาษแต่ก็ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาได้อย่างชัดเจน เนื่องจากยังจำไม่ได้ทั้งหมด ขณะเดียวกันนั้นเสือสนธิ์และเจ้าพ่ออินทร์เดินเข้ามา
“นั่นด็อกเตอร์ทำอะไรวะฮวง” เสือสนธิ์ถามอย่างสงสัย
“เขียนอะไรก็ไม่รู้ครับ ดูไม่ค่อยรู้เรื่อง”
“ขอโทษนะครับด็อกเตอร์”
เจ้าพ่ออินทร์ เข้าไปดูภาพที่ด็อกเตอร์วิทยาเขียน แต่ ดร.วิทยา พยายามปิดเอาไว้
“ไม่...ห้าม ๆ”
“ผมคิดว่าภาพนี้คงจะเป็นภาพสำคัญมาก เพราะด็อกเตอร์พยายามเขียนมาหลายวันแล้วครับ” ฮวงบอก
“บางทีคงต้องพาด็อกเตอร์ไปหาหมอนะ” เสือสนธิ์แนะ
เจ้าพ่ออินทร์มอง ดร.วิทยาอย่างเป็นห่วง
“นั่นซิ...ปล่อยไว้อย่างนี้ อาการคงไม่ดีขึ้นแน่”
“ดีเหมือนกันครับ” ฮวงจับมือ ดร.วิทยาให้หยุดเขียน “ด็อกเตอร์ครับ อย่าเพิ่งเขียนนะครับ”
ดร.วิทยาสะบัด
“ไม่...”
“เดี๋ยวเราไปข้างนอกกันก่อนนะครับ”
ดร.วิทยาชะงัก
“ไปข้างนอก”
“ครับ...ไปเที่ยวกันก่อน นะครับ”
ฮวงค่อยๆ พยุงตัว ดร.วิทยาลุกขึ้น แล้วพาเดินออกจากห้อง เสือสนธิ์และเจ้าพ่ออินทร์ตามไป ขณะเดียวกันนั้นที่ด้านนอก ต่ำมาซุ่มแอบมองอยู่ไม่ห่างนัก ดร.วิทยาหน้าตาดูตื่นเต้นดีใจ
“ไปข้างนอก ๆ”
“ครับ...ไปข้างนอก”
ฮวงประคอง ดร.วิทยาไปที่รถ เจ้าพ่ออินทร์หันไปบอกเสือสนธิ์
“งั้นผมพาด็อกเตอร์ไปที่โรงพยาบาลจังหวัดดีกว่า”
“ดีเหมือนกัน ที่นั่นเครื่องมือพร้อม แล้วก็ไม่ไกล”
ฮวงหันไปบอกดร.วิทยา
“ไปหาหมอกันนะครับ”
“ไปหาหมอ...” ดร.วิทยาชะงัก “ไม่...ไม่ไป ไม่ ๆ ๆ ๆ”
ดร.วิทยาสะบัดมือหลุดแล้ววิ่งหนี ฮวงตกใจ
“ด็อกเตอร์ครับ...อย่าไป”
เสือสนธิ์รีบหันไปสั่งลูกน้อง
“เฮ้ย...พวกเอ็งจับไว้”
ดร.วิทยาวิ่งหนี พวกลูกน้องพากันวิ่งจับ แต่ไม่สำเร็จ ดร.วิทยาวิ่งหนีมาทางต่ำ แล้วสะดุดล้มลง หัวฟาด เลือดไหล ทุกคนพากันวิ่งเข้ามาดู ฮวงเข้าประคอง เสือสนธิ์หันไปเห็นต่ำ
“ไอ้ต่ำ...เอ็งมาทำอะไร”
ต่ำหน้าตื่น
“เปล่าๆ ฉันแค่ผ่านมา”
“เอ็งมาดูอะไรทุกวัน” เสือสนธิ์ถามออย่างสงสัย
ต่ำอึกอัก
“เอ้อ...ก็เห็นคนวิ่งกัน ฉันก็มาดูจ๊ะ”
เจ้าพ่ออินทร์เข้าไปถามฮวง
“ด็อกเตอร์เป็นไง”
“หัวแตกครับ”
“รีบพาไปทำแผลในบ้านก่อน”
ฮวง รีบพา ดร.วิทยาเข้าไปในบ้าน คนอื่นๆตามไป
+ + + + + + + + + + +
ดร.วิทยานอนอยู่บนเตียง ฮวงกำลังช่วยทำแผลให้ สักครู่ ดร.วิทยาก็ลืมตาขึ้นมาสติกลับคืนมาเหมือนเดิม
“เบาๆ หน่อย”
“ขอโทษครับ ด็อกเตอร์”
ดร.วิทยามองไปรอบๆ
“นี่ฉันอยู่ที่ไหน”
ฮวง รู้สึกได้ทันทีว่า สติของ ดร.วิทยากลับคืนมาแล้ว
“บ้านเสือสนธิ์ครับ เอ้อ...นี่ด็อกเตอร์จำได้แล้วใช่มั๊ยครับ”
“จำอะไรได้...รู้แต่ว่าก่อนหน้านี้ ฉันถูกดร.ฟอร์ดจับไปขัง แล้วฉันก็หนีออกมา”
“ใช่ครับ...พวกเราพบด็อกเตอร์อยู่ที่ชายป่า แต่ด็อกเตอร์จำอะไรไม่ได้เลย”
ฮวงลุกไปตะโกนเรียกเสือสนธ์
“เสือสนธิ์ครับ...ด็อกเตอร์จำได้แล้วครับ”
เสือสนธิ์ และเจ้าพ่ออินทร์รีบเข้ามาดูอาการ
“ด็อกเตอร์จำได้แล้วเหรอครับ” เสือสนธิ์ถามอย่างตื่นเต้น
ดร.วิทยาพยักหน้า
“ใช่เสือสนธิ์”
เจ้าพออินทร์ถอนใจอย่างโล่งอก
“โล่งอกไปทีนะครับ ไม่งั้นพวกเราคงไม่มีผู้นำที่จะทำงานต่อไป”
ดร.วิทยาครุ่นคิด
“จริงซิ...เราจะปล่อยให้ด็อกเตอร์ฟอร์ดทำลายชาติต่อไปไม่ได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพวกคุณก็ต้องช่วยผมทำงานต่อไปนะ”
เสือสนธ์ กับเจ้าพ่ออินทร์รับคำ
“ครับ...ด็อกเตอร์”
ดร.วิทยายิ้มมีแผนการอยู่ในใจ
+ + + + + + + + + + + +
ดอน และเทอดเดินเข้ามา ทักทายกับเจ้าหน้าที่ดูแลคอมพิวเตอร์ จากนั้นก็เดินไปที่คอมพิวเตอร์โดยเลือกเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไป ทั้งคู่กระซิบกระซาบกันเบาๆ เพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่ ซึ่งนั่งเฝ้าอยู่ได้ยิน
“ข้อมูลทั้งหมด อยู่ในแฟลชไดรว์ ผมย่อให้ไฟล์เล็กที่สุดแล้วครับ” เทอดบอกเบาๆ
“รอสักครู่ครับคุณเทอด ขอผมเปิดเมล์ก่อน”
ดอนเริ่มเปิดอีเมล์ จากนั้นก็ ดูดไฟล์จากแฟลชไดรว์เข้าไป เทอดยิ้มพอใจ
“อินเตอร์เน็ตของพวกมันแรงกว่าที่ผมคิด”
“ของที่นี่...ไฮเทคทุกอย่าง” ดอนส่งอีเมล์สำเร็จ “เรียบร้อย...ผมส่งข้อมูลไปให้หน่วยเหนือแล้ว”
“อย่าลืมลบข้อมูลนะคุณดอน”
“ได้ครับ...รับรองมันแกะรอยไม่ได้เด็ดขาด”
ดอนเปิดโปรแกรมหนึ่งขึ้นมา เพื่อลบร่องรอยการใช้คอมพิวเตอร์
“เอาละเสร็จแล้ว”
ดอน และเทอดพากันลุกขึ้น ยิ้มให้เจ้าหน้าที่ แล้วจากนั้นก็พากันเดินออกไป เจ้าหน้าที่ ยกวิทยุสื่อสาร ขึ้นมา แล้วกดเรียกสตีเฟ่น
ขณะเดียวกันนั้น สตีเฟ่นนั่งอยู่กับ ดร.ฟอร์ด ราฮีม และนาตาชา เฝ้าดูอาการของ มะโหนกซึ่งนอนหลับอยู่ในเรือนพยาบาล ทันใดนั้นเสียงวิทยุสื่อสารดังขึ้น สตีเฟ่นยกวิทยุสื่อสารขึ้นมารับ
“ไง...”
“เมื่อกี้คุณเทอด กับคุณดอนมาใช้คอมพิวเตอร์ครับ”
“งั้นแกเช็กดูว่ามันทำอะไรบ้าง”
“มันใช้โปรแกรมลบข้อมูลครับ ทางเราเช็คไม่ได้เลยว่ามันมาทำอะไรกัน”
สตีเฟ่นไม่พอใจพูดวิทยุเสียงดัง
“ไม่ว่าจะยังไง แกต้องเช็คให้ได้...เข้าใจมั๊ย”
สตีเฟ่นวางวิทยุสื่อสาร แล้วหันมาหา ดร.ฟอร์ด และนาตาชา
“ผมสังหรณ์อยู่แล้วว่าพวกมันต้องทรยศ ก็เลยสั่งให้คนของเราสอดส่องการใช้คอมพิวเตอร์ของพวกมัน”
ดร.ฟอร์ดยิ้มพอใจ
“ดีมากสตีเฟ่น...ฉันเองก็ไม่เคยไว้ใจพวกมันเลย”
“เอาไว้หนูจะให้พวกคนงาน แอบติดตามความเคลื่อนไหวของพวกมันค่ะพ่อ” นาตาชาอาสา
มะโหนกสะดุ้งตื่นขึ้นมาสายตาแข็งกร้าว เหมือนสัตว์ป่าจากนั้นก็เริ่มแสดงท่าทางเหมือนกับงูที่กำลังแผ่แม่เบี้ยข่มขูศัตรูทุกคนถอยออกมา ระแวดระวัง
“หลังจากมันถูกงูกัด พอฟื้นขึ้นมาท่าทางมันก็เหมือนงู ดุร้ายกว่าเดิม” ราฮีมบอก
นาตาชามองมะโหนกอย่างแปลกใจ
“เหมือนไม่ใช่คน...แต่เป็นสัตว์ป่านะคะ”
“พิษงูคงทำให้เซลส์สมองของมันเพี้ยนไป” ดร.ฟอร์ดออกความเห็น
“งานอื่นที่เคยทำก็ทำไม่ได้เลยครับ” ราฮีมบ่น
“งั้นก็ยิงทิ้งไปเลย เลี้ยงไว้ก็ไม่มีประโยชน์” สตีเฟ่นสั่งเสียงเหี้ยม
ราฮีมห้ามไว้
“เดี๋ยวครับ...ผมมีอะไรจะให้ดู”
ลูกน้องคนหนึ่งเดินถือถาดอาหารเข้ามา ราฮีมหันไปทางมะโหนก
“มะโหนก นั่น...ศัตรู จัดการมัน”
ทันทีที่ราฮีม ชี้ไปทางลูกน้อง มะโหนกก็กระโจนเข้าใส่ แล้วเข้าต่อสู้ฉก ขบกัดด้วยท่าทางของสัตว์ป่า เหี้ยมโหดมาก ลูกน้องคนนั้นตายคาที่ เลือดสาดกระเซ็น ทุกคนมองด้วยความทึ่ง
ราฮีมหันมายิ้มพอใจ
“ถึงมันจะเหมือนสัตว์ป่า ทำงานไม่ได้ แต่ถ้าสั่งให้มันไปฆ่าใคร มันจะทำทันที แล้วยังฆ่าได้เก่งกว่าเดิม”
นาตาชามองอย่างตื่นตระหนก
“แล้วจะไม่เป็นอันตรายกับเราเหรอ”
“มันเห็นพวกเราเป็นนาย และเชื่อฟังคำสั่งครับ” ราฮีมหันไปเรียก “มะโหนก...กลับมา แล้วนอน”
มะโหนกกลับมา แล้วนอนลงตามคำสั่งเหมือนสัตว์เชื่องๆ ดร.ฟอร์ดมองอย่างทึ่งๆ
“ครึ่งมนุษย์...ครึ่งสัตว์...เหมือนอสูรกาย...เลี้ยงมันเอาไว้ก่อน”
“ได้ครับ ด็อกเตอร์”
ราฮิมรับคำแล้วมอง มะโหนกที่นอนอยู่บนเตียงเหมือนสัตว์กระหายเลือด รอคำสั่งจากนาย
+ + + + + + + + + + + +
ดอน และเทอดเดินเข้ามาในบ้านพัก ยอด เดี่ยว กริ่ง กระแต และบุษกร รวมตัวรอกันอยู่ในบ้าน
“ผมจัดการส่งข้อมูลไปให้หน่วยเหนือเรียบร้อยแล้ว” เทอดบอก
“แล้วจากนี้เราจะเดินเกมส์ยังไงกันต่อครับ” กริ่งถามขึ้น
ยอดคิดๆ
“ผมว่า...ยังไงก็ต้องรีบเอาทับทิมสยามมาเก็บไว้ก่อน”
“แต่พวกมันมีเวรยามเฝ้าที่เจดีย์ ตลอด 24 ชม. ถ้าปีนขึ้นไปยังไงมันก็ต้องเห็น” เดี่ยวแย้ง
“ให้ฉันกับบุษกร ไปช่วยเบี่ยงเบนความสนใจพวกมันมั๊ยคะ” กระแตเสนอแนะ
บุษกรเห็นด้วยกับเพื่อน
“ใช่ค่ะ...เรื่องนี้พวกเราถนัด โอเคนะคะ”
เดี่ยวมองสองสาวอย่างห่วงๆ
“ครับ...ผมเชื่อว่าคุณสองคนทำได้ แต่ก็อยากให้ระวังตัวเอาไว้บ้าง”
“เวลาที่น่าจะเหมาะก็ควรจะเป็นเช้ามืด เพราะตอนนั้นยังไม่มีใครตื่นนอกจากพวกที่อยู่ยาม” ดอนแนะ
เทอดมองทุกคน ก่อนจะตัดสินใจ
“ถ้างั้น พรุ่งนี้เราไปเจอกันที่เจดีย์...พร้อมมั๊ย”
“พร้อม”
ทุกรับคำ
+ + + + + + + + + + + +
เช้าตรู่ของวันใหม่...
กระแต และบุษกรพากันเดินเข้ามาหาลูกน้อง สองคนที่กำลังเฝ้ายามกันอยู่ ลูกน้อง มองด้วยความแปลกใจ
“พวกคุณมาทำไมแต่เช้า”
“จะมาตามให้ไปเป็นเพื่อนหน่อยน่ะซิ” กระแตบอก
“ไปไหน” ลูกน้องคนหนึ่งถามอย่างสงสัย
บุษกรยิ้มให้ลูกน้องทั้งสอง
“คือพวกเราสองคนอยากจะไปอาบน้ำ แต่เช้าๆอย่างนี้ น่ากลัว อยากมีผู้ชายไปเป็นเพื่อนน่ะ”
กระแตรีบเสริม
“เวลาอาบน้ำเรารำคาญ ไม่ค่อยชอบใส่เสื้อผ้า อยากให้มีคนไปคอยคุ้มกันให้หน่อย ไปเป็นเพื่อนหน่อยนะ”
บุษกรกับกระแตส่งสายตาออดอ้อน ลูกน้องทั้งสองมองหน้ากันตาแวววาว
“เอ้อ...แต่พวกเราต้องเข้าเวร”
“ยังไม่มีใครตื่นกันหรอกน่า กลัวไปได้ ไปเถอะ...ไปเป็นเพื่อนให้หน่อย”
ขาดคำบุษกรก็เข้าไปจูงมือลูกน้องคนหนึ่ง กระแตจูงมืออีกคน ทั้งสองตามบุษกรและกระแตไป ครู่หนึ่ง 5หนุ่มเสาร์ห้า โผล่ออกมาจากมุมหนึ่ง
“ผมรู้สึกเป็นห่วง กระแต กับบุษกร ยังไงคงต้องมี พวกเราไปคอยดูแลอีกทีนะ” เทอดบอกอย่างกังวล
“ผมไปเอง” ยอดเสนอตัว
กริ่งขอร่วมไปกับยอด
“ผมไปด้วย”
เดี่ยว หันมาหา เทอดกับดอน
“งั้นพวกเราสามคนแยกไปที่เจดีย์”
ยอดกับกริ่ง พากันตามกระแต และบุษกรไป ขณะที่เดี่ยว ดอน และเทอดพากันไปที่เจดีย์
โปรดติดตามตอนต่อไป วันพรุ่งนี้
วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2554