xs
xsm
sm
md
lg

เสาร์๕ ทับทิมสยาม ตอนที่ 5

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เสาร์๕ ทับทิมสยาม ตอนที่ 5

ค่ำคืนนั้น...โทรศัพท์ของดอนดังขึ้น ดอนเห็นเป็นเบอร์นาตาชา จึงแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย โดยกดลำโพงให้เดี่ยวได้ยินด้วย

“ฮัลโหล...” ดอนรับสาย
นาตาชา พูดโทรศัพท์โดยมี ดร.วิทยา นั่งฟังอยู่ด้วย
“คุณดอน”
“ครับ...นาตาชา มีอะไรจะให้ผมรับใช้เหรอครับ”
“คุณกับคุณเดี่ยวศึกษาเส้นทางที่จะไปสุสานช้างหรือยัง”
“เรียบร้อยครับ คุณจะเดินทางไปเมื่อไหร่”
“ดี...ถ้างั้นพรุ่งนี้ฉันจะโทรบอกอีกที ว่าจะให้คุณสองคนมาพบฉันที่ไหน”
“ได้ครับ”
“อย่างแพร่งพรายให้คนอื่นรู้ นี่เป็นความลับระหว่างคุณกับฉัน เข้าใจมั๊ย”
“ครับ...นาตาชา”
ดอนกดวางสาย หันมาปรึกษาเดี่ยว
“เอาไงเดี่ยว”
เดี่ยวจิบกาแฟ
“ถ้าอยากได้ลูกเสือ มันก็ต้องเข้าถ้ำเสือ”
“เราจะไม่บอกให้พวกเรารู้เลยเหรอ”
“คงต้องเล่นตามเกมส์พวกมันไปก่อน อย่าลืมซิว่าตอนนี้กระแตและบุษกรเป็นพวกมัน ผมไม่อยากให้แผนแตกซะก่อน”
“โอเค” ดอนพยักหน้าเข้าใจ
+ + + + + + + + + + +
ดร.วิทยา มองนาตาชา ด้วยความทึ่งที่นาตาชาสามารถสั่งการและทำให้ดอน และเดี่ยวตกอยู่ในคำสั่งราวกับเป็นลูกน้องของเธอ
ฮวงเดินนำเจ้าพ่ออินทร์ และเสือสนธิ์เข้ามาสังเกตุการณ์
“เธอเก่งมากที่ทำให้พวกเสาร์ห้าเชื่อฟังเธอได้...เธอทำได้ยังไง นาตาชา” ดร.วิทยาถามอย่างแปลกใจ
“ฉันทำได้ก็แล้วกัน”
“แต่พวกเสาร์ห้า เป็นหน่วยงานลับของรัฐบาลที่ทำหน้าที่ปกป้องประเทศ” เจ้าพ่ออินทร์แย้ง
“ก็คอยดูต่อไปซิ ว่าพวกเขาจะเชื่อรัฐบาล หรือเชื่อฉัน”
นาตาชายิ้มอย่างมั่นใจ ทำให้เจ้าพ่ออินทร์ และเสือสนธิ์หันมามองหน้ากัน ด้วยความรู้สึก ความเชื่อมั่นในกลุ่มเสาร์ห้าคลอนแคลงลงไป
“ไม่น่าเชื่อเลยว่าพวกเสาร์ห้าจะกลายเป็นพวก ดร.ฟอร์ด” เสือสนธิ์บอกอย่างผิดหวัง
“ชาติบ้านเมืองย่อมสำคัญกว่ามิตรภาพ” เจ้าพ่ออินทร์พูดเสียงเข้ม
เสือสนธิ์พยักหน้ารับ
“ใช่...ถ้าพวกเสาร์ห้าเป็นศัตรูของชาติ ก็เท่ากับว่าพวกมันก็เป็นศัตรูกับเราด้วย”
ดร.วิทยาเดินเข้ามาคุนด้วย
“พรุ่งนี้ขอให้พร้อมเดินทางกันตอนเช้านะครับ ผมจะให้นาตาชานัดพวกเสาร์ห้ามาเจอที่หมู่บ้านช้างร้อง...พร้อมไหมครับ”
“เราพร้อม...” เจ้าพ่ออินทร์รับคำ
ดร.วิทยายิ้มพอใจ
+ + + + + + + + + + + +
ค่ำคืนนั้น...
เจนนี่นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ กำลังสแกนสัญญาณโทรศัพท์หาคลื่นสัญญาณ แล้วภาพจับไปที่บริเวณหมู่บ้านเสือสนธิ์
เทอด ยอด กริ่ง ช่วยกันลุ้น ขณะเจนนี่ สแกนคลื่นสัญญาณ
- “ได้เรื่องอะไรบ้างเจนนี่” เทอดถาม
เจนนี่เพ่งมอง
“นาตาชาน่าจะถูกจับตัวไปที่หมู่บ้านเสือสนธิ์”
เทิดครุ่นคิดแปลกใจ
“เสือสนธิ์เกี่ยวอะไรด้วย”
“บางทีกลุ่มของเจ้าพ่ออินทร์ กับเสือสนธิ์น่าจะเป็นแนวร่วมของ ดร.วิทยา”
“เป็นไปได้ยังไง”
เจนนี่หันมามองหน้าทุกคน...
“สถานะการณ์ตอนนี้ มีแต่พวกคุณเท่านั้น ที่ฉันไว้ใจและขอให้เรื่องนี้เป็นความลับ อย่าเพิ่งบอกใคร โดยเฉพาะคุณดอน คุณเดี่ยว คุณกระแต คุณบุษกร”
“แล้วคุณยูกิ กับคุณชลดาละครับ” กริ่งถามขึ้น
“ผมว่าสองรายนี้ เราเอาไว้ทีหลังตอนนี้เราน่าจะสืบหาเบาะแสที่หมู่บ้านเสือสนธิ์จะดีกว่า” ยอดแนะ
“งั้น...ผมจะติดต่อสัปเหร่อแต้มให้ลองช่วยสืบเรื่องที่ หมู่บ้านเสือสนธิ์ดู” กริ่งเสนอตัว
ยอดยิ้มรับ
“จัดการได้เลยคุณกริ่ง...”
กริ่งรีบกดโทรศัพท์ทันที
+ + + + + + + + + + + +
ที่หมู่บ้านเขากระบือ...
ต่ำหิ้วทะลายหมากมาฝากเสือสนธิ์ เพราะรู้ว่าเสือสนธิ์กินหมาก ขบวนรถของ เสือสนธิ์ อินทร์ ดร.วิทยา ฮวง และลูกน้องพากันทยอยกันเตรียมออกเดินทาง นาตาชาถูกนำตัวลงมาขึ้นไปนั่งบนรถคันเดียวกับ ดร.วิทยา จากนั้นขบวนรถก็เริ่มเคลื่อนออกไป
ต่ำซุ่มดูอยู่ แล้วสักครู่ ก็มีปืนมาจ่อที่ข้างตัว ต่ำสะดุ้งหันไปมองยิ้มแหยๆเมื่อมองเห็นลูกน้องคนหนึ่งของเสือสนธิ์ กำลังยืนมองหน้าเหี้ยม
“ฉัน...ฉันเอง ไอ้ต่ำ...ฉันเอาหมากมาฝากเสือสนธิ์”
“เอ็งมาแอบดูอะไร”
“ไม่ได้แอบ...บังเอิญมาเห็น...นี่ยกขบวนจะไปไหนกัน”
“ไปป่าสุสานช้าง”
ต่ำตกใจ
“ป่าสุสานช้าง”
“เออ...จะไปด้วยหรือไง”
ต่ำโบกไม้โบกมือ
“ไม่ๆ กลัวๆ ถ้าเสือสนธิ์กลับมาฝากหมากให้เสือสนธิ์ด้วยนะ”
“ไอ้ขี้ขลาด อย่างเอ็งน่ะ เกิดมาชาตินี้ เคยทำอะไรทดแทนคุณแผ่นดินกับเขาบ้างวะ”
ต่ำรู้สึกแปลกใจ กับสิ่งที่ได้ยินจากลูกน้องเสือสนธิ์
+ + + + + + + + + + +
ต่ำรีบไปหาสัปเหร่อแต้ม เล่าเรื่องที่ได้ยินมาให้ฟังทั้งหมด สัปเหร่อแต้มตกใจ
“จริงเหรอวะ...ไอ้ต่ำ”
“จริงจ๊ะลุงแต้ม ฉันเห็นมากับตาได้ยินมากับหู”
สัปเหร่อแต้ม กดโทรศัพท์ติดต่อกับกริ่งทันที
“ผมแต้มพูด”
กริ่งได้ยินอย่างนั้นรีบถาม
“ลุงได้ข่าวเรื่องเสือสนธิ์ไหม”
“เวลานี้เสือสนธิ์กับเจ้าพ่ออินทร์เดินทางไปกับดร.วิทยาแล้ว”
“แสดงว่าเสือสนธิ์ กับเจ้าพ่ออินทร์ถูก ดร.วิทยาหลอกใช้”
“รูปการณ์มันเป็นแบบนั้น แล้วตอนนี้ ผู้หญิงฝรั่งที่ชื่อนาตาชา ก็เข้าป่าไปกับพวกมันแล้ว จุดหมายน่าจะเป็นป่าสุสานช้าง”
“พวกดร.ฟอร์ด กับสตีเฟ่น พี่ชายนาตาชาก็ไปป่าสุสานช้าง นี่แสดงว่า…”
“ใช่แล้วคุณกริ่ง ผมว่าพวกดร.วิทยาคงจะเอาตัวนาตาชาไปแลกเปลี่ยนกับอะไรบางอย่างกับกลุ่มของ ดร.ฟอร์ด”
“หมายถึงทับทิมสยามเหรอครับ”
“ใช่...จะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจาก ทับทิมสยาม”
กริ่งกดวางสายแล้วเดินออกจากห้องไป
+ + + + + + + + + + + +
ดอนกับเดี่ยว ออกจากบ้านไปด้วยกัน กริ่งเดินออกมาจะถาม แต่ไม่ทัน ทั้งคู่พากันออกรถไปแล้ว
“อ้าว...เดี๋ยวซิ”
เจนนี่ เดินออกมาจากบ้าน เข้ามาสมทบกริ่ง
“สองคนนั่นไปไหนกันคะคุณกริ่ง”
“ไม่ทันได้ถามก็ไปซะก่อนแล้ว”
“ไปไหนกันนะยังเช้าอยู่เลย” เจนนี่สงสัย
กริ่งคิดๆ
“ปกติคุณดอน คุณเดี่ยว ไม่เคยทำตัวแบบนี้นะ”
“อาจเป็นเพราะพวกเขาถูกครอบงำก็ได้”
กริ่งตะลึง
“ครอบงำ! ไม่ใช่เรื่องเล็กแล้วนะ”
กริ่งและเจนนี่ มองหน้ากันในเชิงปรึกษาว่าควรจะรายงานให้หัวหน้ารับรู้ไหม
+ + + + + + + + + + + +
โทรศัพท์ของบุษกรดังขึ้น เห็นเป็นเบอร์ดอน บุษกรยกขึ้นมามองสำรวจไปมาว่ามีใครแอบฟังหรือเปล่า เมื่อแน่ใจว่าไม่มีก็กดรับสาย
“สวัสดีค่ะคุณดอน”
“ผมได้รับคำสั่งจากนาตาชาให้คุณ กับคุณกระแตพาอาจารย์ซัมดองเดินทางไปที่ป่าสุสานช้าง และให้เก็บทุกอย่างเป็นความลับ”
“เข้าใจค่ะ ทุกอย่างเป็นความลับ ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน”
“ผมกับเดี่ยวกำลังเดินทาง”ดอนบอก
บุษกรวางสายแล้วรีบไปบอกให้กระแตรู้ กระแตจึงเก็บลูกปืนใส่กระเป๋าสะพายสำหรับเดินป่า ขณะที่บุษกร ปริ้นท์แผนที่จากคอมพิวเตอร์ออกมา ซึ่งเป็นแผนที่ของป่าสุสานช้าง ซึ่งเดี่ยวกับดอนทำไว้ในคอมพิวเตอร์ ทั้งคู่ช่วยกันเก็บกระเป๋าเดินทางอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกันนั้น ยูกิกับชลดา เดินเข้ามาทำให้กระแตและบุษกร รีบกลบเกลื่อนด้วยการเอาผ้าห่มปิดสัมภาระไว้ แล้วทำทีเป็นปูที่นอน
“ทำอะไรกันจ๊ะ” ยูกิถามอย่างยิ้มแย้ม
กระแตรีบกลบเกลื่อน
“เปล่า”
ยูกิมองๆ
“อะไร...เปล่า กำลังปูที่นอนกันไม่ใช่เหรอ”
“เห็นแล้วก็ไม่น่าถาม” บุษกรพูดห้วนๆ
ยูกิกับชลดามองหน้ากัน เมื่อเห็นบุษกร และกระแตมีทีท่าไม่ค่อยพอใจนัก ชลดากับยูกิ เดินออกไป
“ยูกิ...ฉันว่ากระแตกับบุษกรดูแปลกๆ ไปนะ” ชลดาหันมาถาม
“ถ้าจะจริงอย่างที่เจนนี่ว่า สงสัยบุษกร กระแต จะออกเดินทางไปไหนสักแห่ง เราไปเตรียมตัวกันดีกว่า”
เมื่อลับตาทั้งกระแต และบุษกร ก็เริ่มกันเก็บของใส่กระเป๋าเดินทาง แล้วจากนั้นก็พากันออกจากห้องไป
+ + + + + + + + + + + +
กระแตกับบุษกร พากันขับรถออกไป เจนนี่ ซึ่งแอบมองอยู่ที่มุมหนึ่งรีบเดินไปที่รถเพื่อขับตาม แต่แล้วยูกิ กับชลดารีบวิ่งมาสมทบพร้อมเป้
“เดี๋ยว...เจนนี่ เดี๋ยว...รอก่อน รอด้วยเจนนี่”
เจนนี่งง
“นี่พวกเธอ...”
“รีบตามสองคนนั่นไปเร็ว เดี๋ยวไม่ทัน” ชลดาบอกอย่างร้อนใจ
เจนนี่พยักหน้า
“ดี...ฉันก็กำลังจะตามไปอยู่แล้ว”
เจนนี่ ยูกิ และชลดารีบขับรถออกไปจากบ้าน
รถของกระแตกับบุษกร ขับมาจอดหน้าศาลเจ้า กระแตกับบุษกร ออกจากรถเดินหายเข้าไปในศาลเจ้า บุษกรกับ กระแตเดินเข้าไปก็ชะงัก เมื่อพบว่า ซัมดองยืนอยู่
“อาจารย์มารออยู่แล้ว” บุษกรถามอย่างแปลกใจ
“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องมารับข้า”
รถของเจนนี่ ขับตามมาแล้วหลบมุมแอบมอง
“มาที่นี่กันอีกแล้ว”
ยูกิมองไปในศาลเจ้าอย่างครุ่นคิด
“เราเชื่อเธอแล้วว่า สองคนนั้นดูแปลกไปจริงๆ”
ชลดาเห็นด้วย
“พวกเขาแปลกไปตั้งแต่มาที่ศาลเจ้าครั้งที่แล้ว”
สักครู่ กระแตกับบุษกร เดินนำซัมดองมาที่รถ
“นั่นใคร” ยูกิถามอย่างสงสัย
“ซัมดอง ลิมโปเช นักบวชชาวทิเบต พวกเดียวกับดร.ฟอร์ด” เจนนี่บอก
“จะไปไหนกัน” ชลดาถามอย่างแปลกใจ
“ถ้าอยากรู้ก็ต้องตาม”
เจนนี่ รีบขับรถตามไป เมื่อกระแตกับบุษกร พาซัมดองขึ้นรถแล้วขับออกไป
+ + + + + + + + + + + +
ขบวนรถเสือสนธิ์มาถึงหมู่บ้านช้างร้อง ทุกคนลงจากรถ ดร.วิทยามองไปรอบๆ
“นี่เหรอครับหมู่บ้านช้างร้อง”
เสือสนธิ์พยักหน้า
“ใช่...เป็นต้นทางที่จะเข้าป่า”
“เราต้องเดินทางโดยทางเท้า” เจ้าพ่ออินทร์บอก
ขณะเดียวกันนั้น เดี๋ยวขับรถเข้ามาจอด ดอน และเดี่ยวเห็นเจ้าพ่ออินทร์ และเสือสนธิ์ ยืนมองอยู่ ดอนหันมาถามเดี่ยว
“เจ้าพ่ออินทร์ กับเสือสนธิ์มาเป็นพวกดร.วิทยาได้ยังไง”
“มันต้องมีที่มาที่ไป แต่ยังไงเราต้องทำเป็นจำไม่ได้ เหมือนโดนมนต์สะกดเพื่อไม่ให้พวกมันสงสัย”
ดอนกับเดี่ยวเดินตรงไปหานาตาชา
“คุณสองคนพร้อมนะ” นาตาชาถาม
เดี่ยวยิ้มรับ
“เราพร้อมครับนาตาชา”
“งั้นก็นำทางพวกเราไปที่ป่าสุสานช้างเลย”
ดอนกับเดี่ยวรับคำ
“ได้ครับ”
ดร.วิทยารู้สึกทึ่งที่ ดอนและเดี่ยว มีทีท่าเชื่อฟังนาตาชา
“ดูเหมือนว่าพวกเสาร์ห้าทำตามคำสั่งของเธอทุกอย่างใช่ไหม...นาตาชา เธอทำได้ยังไง”
“ฉันไม่จำเป็นต้องบอก ว่าแต่พวกคุณพร้อมหรือยัง”
“พร้อม”
“ดี...งั้นก็ออกเดินทางได้แล้ว”
เจ้าพ่ออินทร์กับเสือสนธิ์ยืนมองอย่างรู้สึกแปลกๆ
“สองคนนั่นทำเหมือนไม่รู้จักเรา” เจ้าพ่ออินทร์ถามอย่างสงสัย
“ช่างมัน”
ทุกคนเริ่มออกเดินทาง...ห่างออกไป ขณะที่ทุกคนเริ่มออกเดินทาง ม่านฟ้าและบัวชุม ยืนซุ่มมองอยู่ที่มุมหนึ่ง
“พวกมันกำลังจะเดินทางเข้าป่าค่ะคุณหนู”
“ไม่ว่าพวกมันจะไปไหน ฉันก็จะตามมันไปทุกที่”
“ค่ะ...บัวชุมจะดูแลคุณหนูเอง...ถึงไหนถึงกัน”
บัวชุมและม่านฟ้า เริ่มออกตามกลุ่มเดินป่าไป
+ + + + + + + + + + + +
กลุ่มของ ดร.วิทยา ที่มีลูกน้องติดอาวุธพร้อมรบอยู่ตลอดเวลา พากันเดินทางตามเส้นทางที่ดอนกับเดี่ยวนำทางไป ขณะที่เดินมาถึงจุดหนึ่งในป่า ก็หยุดพักการเดินทาง เจ้าพ่ออินทร์เดินเข้าไปหาเดี่ยว ซึ่งยืนอยู่คนเดียว
“เดี่ยว”
เดี่ยวหันมามองด้วยสายตานิ่งเฉยเหมือนคนที่ไม่เคยรู้จักกัน
“จำกันไม่ได้เหรอ ผมอินทร์”
“ยินดีที่รู้จัก”
เจ้าพ่ออินทร์รู้สึกถึงความห่างเหินที่เดี่ยวแสดงออกมา เดี่ยวเดินหนีเพื่อรักษาระยะไม่ให้ความลับที่เขาเสแสร้งรั่วไหลออกมา ทำให้เจ้าพ่ออินทร์รู้สึกผิดหวัง เสือสนธิ์เดินเข้ามาสมทบ
“มันทำเหมือนคนที่ไม่เคยรู้จักกัน”
“ก็ดี...ใครที่มันทรยศชาติ เราก็ไม่สมควรที่จะจดจำ”
เสือสนธิ์มองเดี่ยวที่เดินเข้าไปหาดอน เสือสนธิ์กับเจ้าพ่ออินทร์ รู้สึกขุ่นเคืองใจที่ทั้งคู่กลายเป็นคนทรยศ สักครู่ ดร.วิทยาก็เดินเข้ามาหา
“เราเดินทางกันต่อเถอะครับ” เจ้าพ่ออินทร์บอก
เสือสนธิ์ หันไปสั่งลูกน้อง
“เดินทางต่อ”
+ + + + + + + + + + + +
ซัมดองสั่ง กระแตให้จอดรถที่ข้างถนนริมทางเข้าป่า ซัมดองนั่งมองข้างทางสักครู่ก็เอ่ยขึ้นมา
“จอดตรงนี้แหละ...เราจะเริ่มเดินทางจากจุดนี้”
กระแตรับคำ
“ค่ะ ซัมดอง”
ทุกคนลงจากรถ กระแตกับบุษกรหยิบเป้เดินทาง แล้วออกเดินไปพร้อมกับซัมดอง
มุมหนึ่ง...
รถของเจนนี่ จอดซุ่มอยู่ สามสาวแอบมอง
“พวกเขาเข้าป่ากันไปแล้ว” เจนนี่บอก
“แต่เราไม่ได้เอาอะไรติดตัวมากันเลยนะ” ยูกิแย้ง
“กลัวอะไร เรามีทั้งปืนทั้งมีด” ชลดาบอก
“เราหมายถึงเสื้อผ้า แล้วก็อาหาร”
“เราพอมีติดรถอยู่บ้าง รับรองไม่อดตายแน่” เจนนี่บอก
สามสาวลงจากรถ เจนนี่ เปิดท้ายหยิบสัมภาระออกมา แล้วทั้งหมดก็พากันสะกดรอยตาม ซัมดอง กระแต และบุษกรไป
+ + + + + + + + + + + +
ซัมดอง กระแต บุษกร พากันเดินมาตามทางเล็กๆ โดยมีเจนนี่ ยูกิ ชลดา แอบติดตามมาห่างๆ ซัมดอง หยุดเดินทำให้กระแต และบุษกรหยุดตาม ซัมดองนิ่งฟังเหมือนได้ยินบางอย่าง แล้วสักครู่ก็ยิ้มน้อยๆ
“มีอะไรเหรอคะ...อาจารย์” กระแตถามอย่างสงสัย
“นึกว่าจะรอดสายตาของข้าได้หรือไง”
ซัมดองหันไปหากระแตและบุษกร
“เอ็งสองคน เดินตามรอยเท้าข้า อย่าหลุดออกจากรอย”
“ค่ะ...ซัมดอง”
ซัมดองเดินนำ สองสาวเดินตามรอยเท้าแล้วสักครู่ทั้งสามคน ก็เลือนหายไปต่อหน้าต่อตาของเจนนี่ ยูกิ และชลดาซึ่งแอบตามอยู่ ทุกคนตกใจรีบวิ่งไปสำรวจตามมุมต่างๆ
“หายไปไหนแล้ว” เจนนี่ถามอย่งตื่นตะลึง
ยูกิ แปลกใจมาก
“เมื่อกี้ยังเห็นหลังไวๆอยู่เลย”
ชลดากวาดตามองหา
“เป็นไปไม่ได้ ฉันว่าต้องอยู่แถวนี้”
“หรือว่าจะไปทางนี้...ไป”
เจนนี่ นำไป สองสาวรีบตาม แต่สุดท้ายทั้งสามคนต้องเดินวนไปมา อยู่กลางป่าอย่างไม่รู้ทิศทาง จนสักครู่ก็เริ่มเหนื่อยล้า
“กลับกันก่อนดีมั๊ย ถ้าเดินกันแบบนี้ เราต้องหลงทางกันแน่ๆ” ยูกิบอก
“แล้วจะกลับทางไหนล่ะ ยูกิจำได้มั๊ย” ชลดาถาม
ยูกิ ส่ายหน้า
“ใครจะไปจำได้วกวนเหลือเกิน ฉันว่าตอนนี้ที่แน่ๆเราหลงทางกันแล้ว”
“ไม่ต้องกลัว เราจะโทรไปที่ออฟฟิต พวกนั้นคงจะช่วยเราได้”
เจนนี่ หยิบโทรศัพท์มากด แต่สัญญาณไม่มี ยูกิมองอย่างกังวลใจ
“ไง...เจนนี่ โทรไม่ติดเหรอ”
เจนนี่หน้าสีย
“สัญญาณไม่มีเลย”
ชลดาถอนใจเซ็งๆ
“มีหวังกินข้าวลิงแน่ๆ...ยูกิ...เราจะไปทางไหน” ชลดาชี้มือไป “เสี่ยงไปทางโน้น”
ยูกิพยักหน้า
“งั้นไปกันเถอะ”
ขณะที่สามสาวกำลังจะเดินไปก็พบว่าเปาชางกับอาเตียว ยืนยิ้มมองขวางหน้าอยู่
“หลงทางเหรอสาวๆ” เปาชางถามกวนๆ
เจนนี่ตกใจ
“เปาชาง”
“รู้จักฉันด้วย”
เปาชางเดินเข้ามา ทำให้สามสาวชักปืนขึ้นมาเตรียมพร้อม
“เก่งซะด้วย”
อาเตียวมองยูกิทำท่ากรุ้มกริ่ม
“ผิวขาวๆ สาวญี่ปุ่นคนนี้ผมขอนะเจ้านาย”
เปาชางมองไปที่เจนนี่กับชลดา
“งั้นแหม่มกับสาวสวยคนนี้ เป็นของข้า”
เปาชางขยับเข้าหา แต่เจนนี่ ยิงสวนออกไปทันที เปาชางหลบได้แล้วเข้าประชิดตัวล็อคเจนนี่ ไว้ ชลดาเข้ามาช่วย แต่เปาชางจับเจนนี่มาเป็นกำบัง อาเตียวพุ่งเข้าหายูกิ แล้วต่อสู้กัน สามสาวกำลังจะเสียที จู่ๆ ก็มีเสียงแคนดังแว่วเข้ามา ทำให้ทุกคนที่กำลังต่อสู้กันชะงักชั่วขณะ ชลดาได้สติก่อนรีบกระชากเจนนี่ และยูกิให้วิ่งหนี
“ยูกิ เจนนี่ ไปเร็ว”
สามสาวพากันวิ่งหนี ขณะที่เปาชาง และอาเตียววิ่งตามแต่ก็ทำได้ไม่ถนัดเมื่อ ยูกิ เจนนี่ และชลดาหันไปยิงสกัดไว้
สามสาววิ่งหนีมาหลบที่มุมหนึ่ง ขณะนั้นก็ได้ยินเสียงแคนดังขึ้นอีกครั้ง เจนนี่นิ่งฟัง
“เสียงแคน ทำไมเหมือนกับเสียงแคนของ...”
“หรือว่าจะเป็นแคน คนป่า” ยูกิออกความเห็น
ชลดา ส่ายหน้า
“เป็นไปไม่ได้ แคนตายไปแล้วนี่”
ยูกิหน้าตื่น
“หรือว่าผีแคนมาช่วยเรา”
เปาชางกับอาเตียว วิ่งเข้ามาหยุดยืนมอง เพื่อสะกดรอย ยูกิรีบกระซิบบอก
“พวกมันมากันแล้ว ไปทางไหนดี”
“ตามเสียงแคนไป”
เจนนี่วิ่งนำ ชลดากับยูกิตามเสียงแคนไป ความเคลื่อนไหวของสามสาวทำไห้เปาชาง และอาเตียวสังเกตเห็นจึงยิงปืนไล่ตามหลังไป
สามสาววิ่งตามเสียงแคนมาที่มุมหนึ่ง แล้วเจนนี่ มองไปข้างหน้าเห็นเหมือนใครบางคน กำลังยืนเป่าแคนอยู่ จึงชี้ไปให้ทุกคนดู
“ดูนั่นซิ”
ยูกิ มองตามแล้วดีใจ
“แคนจริงๆ ด้วย”
ชายที่เป่าแคน ยืนให้เห็นเป็นเงาสักครู่ก็หลบกำบังเข้าไปในพุ่มไม้ ขณะที่เสียงปืนดังไล่หลังเข้ามา
“หายไปแล้ว” ชลดาบอก
“ตามเสียงแคนไปเรื่อยๆ”เจนนี่สั่ง
สามสาววิ่งหนี ขณะที่เปาชาง และอาเตียวยิงปืนไล่หลัง
ชายเป่าแคน ยืนห่างออกไปกลางสายน้ำตกที่กำลังไหลลงหน้าผา ในลักษณะย้อนแสงทำให้มองเห็นใบหน้าไม่ถนัดนัก
สามสาววิ่งตามเสียงแคน แล้วมองไปยังกลางสายน้ำเห็นเงาย้อนแสงของ ชายที่เป่าแคนกำลังยืนเป่าแคนอยู่กลางน้ำ สักครู่ เงานั้นก็หายไป
เปาชาง และอาเตียววิ่งเข้ามาขณะที่สามสาวจนมุม ไปไหนไม่รอดเพราะวิ่งมาจนสุดหน้าผาซึ่งเป็นน้ำตกอยู่เบื้องล่าง เปาชางยิ้มหยันอย่างผู้ชนะ
“ไปไหนไม่รอดแล้ว”
อาเตียวยิ้มหื่น
“มามีความสุขกันดีกว่าน่า”
ทันใดนั้น เคนก็โผล่มายิงปืนกลใส่ เปาชาง สามสาว หันมามองบุรุษลึกลับด้วยความประหลาดใจที่ชายหนุ่มผู้นั้นหน้าตาท่าทางเหมือนกับแคน คนป่า เพื่อนผู้จากไป ราวกับว่าเป็นคนๆเดียว
“แคน...แคนใช่มั๊ย” เจนนี่ตะโกนถาม
ชายหนุ่มหันมา เขาคือเคน ฝาแฝดของแคนนั่นเอง
“ผมไม่ใช่แคน ผมชื่อเคน”

สายตาของสามสาวมองไปยัง เคนที่ยิ้มน้อยๆให้ทุกคนอย่างเป็นมิตร สามสาวรีบเดินไปหา

อ่านต่อหน้า 2






เสาร์๕ ทับทิมสยาม ตอนที่ 5 (ต่อ)

มุมหนึ่งของป่า...เปาชาง และอาเตียว วิ่งหนีกระสุนปืนกลของเคน พากันหลบเข้าไปหลังต้นไม้ เพื่อหาจังหวะเอาคืน เปาชางหันไปหาอาเตียว

“ไอ้บ้านั่นมันใคร”
“น่าจะเป็นพวกพรานป่า”
“ข้าว่าไม่ใช่...พรานอะไรว๊ะมีปืนกล”
เปาชางและอาเตียว ยกปืนมาเล็งหาจังหวะซุ่มยิงเคน
+ + + + + + + + + + + +
เคนเดินออกมาจากต้นไม้ โดยให้พวกผู้หญิงหลบอยู่ด้านหลัง เขามองหาเปาชางและอาเตียว แต่ไม่เห็น เจนนี่บรรจุกระสุน ขณะที่ยูกิ และชลดา ออกมาช่วยมองหา
“พวกมันหายไปไหน” ยูกิถามอย่างแปลกใจ
เจนนี่ ชลดา ยูกิเข้าไปหาเคน ยูกิมองปืนของเคนอย่างสงสัยว่าเป็นปืนอะไร จึงถาม
“ปืนของคุณ น่าทึ่งมาก ฉันไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน รูปร่างเหมือนแคน”
เคนยิ้มๆ
“บางครั้งใช้เป่า บางครั้งใช้เป็นปืนเมื่อจำเป็น”
อาเตียว และเปาชาง โผล่ออกมาจากต้นไม้ ลั่นกระสุนออกมา เจนนี่มองเห็นก่อน จึงร้องเตือนแล้วยิงสวนกลับไป
“ระวัง”
กระสุนปืนของเจนนี่โดนที่ไหล่ เปาชางผงะรีบหลบหลังต้นไม้และยิงสวนออกไป เจนนี่และคนอื่นๆ พากันโดดหลบขณะที่เคน ทำหน้าที่ยิงคุ้มกัน อาเตียวยิงโต้
ชลดากับยูกิ รีบบรรจุแม็กกาซีนแล้วเริ่มยิงสวนไป สักครู่เสียงปืนจากฝั่งอาเตียวก็เงียบหายไป เปาชางและเตียวพากันหลบ เจนนี่โผล่ออกไปมองหา
“พวกมันไปแล้ว”
“ระวังนะเจนนี่ อาจเป็นแผนของมัน” ยูกิเตือน
ชลดามองหาเคน
“แล้วคนที่ชื่อเคน ล่ะ เมื่อกี้ยังอยู่นี่”
“บ้าที่สุด...นึกอยากจะมาก็มา อยากจะไปก็ไป” เจนนี่บ่นอย่างหงุดหงิด
“ระวังนะเจนนี่” ยูกิเตือนอย่างไม่ไว้ใจ
ชลดามองรอบๆเห็นว่าทุกอย่างเงียบผิดปกติกก็สงสัย
“แต่เราว่ามันแปลกๆนะ”
“แปลกยังไง” ยูกิถาม
ชลดาส่ายหน้า
“ไม่รู้ซิ...เรารู้สึกว่ามันเงียบผิดปกติ”
สามสาวหยุดฟังแล้วมองไปรอบๆ
“นั่นซิ...ไม่มีเสียงนกร้องเลย” ยูกิบอกอย่างเห็นด้วยกับชลดา
เจนนี่ทำจมูกฟุดฟิด
“เราได้กลิ่นสาป”
ชลดา กับยูกิ ก้มดมเสื้อตัวเอง
“เฮ้ย...ไม่ใช่เรานะ” ชลดาปฏิเสธ
ยูกิ ดมเสื้อตนเองแล้วส่ายหน้า
“เราก็ไม่มี...”
“แต่ฉันได้กลิ่น...กลิ่นอะไร” เจนนี่ยืนยัน
ทันใดนั้น ยูกิก็ร้องขึ้นอย่างตกใจเมื่อมองไปด้านหลังของเจนนี่
“เสือ...”
เจนนี่ไม่เห็นหันมาดุ
“ล้อเล่นน่ายูกิ”
ชลดามองตามสายตายูกิ ก็ชะงักอึ้ง
“เอ้อ...เจนนี่”
ด้านหลังเจนนี่ เสือกำลังจ้องทั้งสาม เจนนี่ไม่รู้ นึกว่าชลดา และยูกิล้อเล่น
“เสือ…เสือจริงๆ” ยูกิบอกเสียงสั่น
เจนนี่มองหน้าสองสาว
“เสือ!”
ชลดา และยูกิ พยักหน้า ยูกิพยายามบอกเจนนี่
“ช้าๆ...นะ อย่าให้มันตกใจ”
ชลดาค่อยส่งกระสุนปืนให้เจนนี่ซึ่งยืนหันหลังให้เสืออยู่ เจนนี่รีบบรรจุกระสุน แล้วบอกเพื่อนๆ
“เราจะนับ หนึ่ง ถึงสาม แล้วจะหันไปยิง พวกเธอเตรียมหาที่หลบกันด้วย”
ชลดาพยักหน้า
“พร้อม”
ยูกิยกมือห้าม
“เดี๋ยวซิ เรายังไม่รู้จะไปหลบตรงไหน”
ทันใดนั้นเสียงเสือคำรามดังขึ้น ทุกคนตกใจ
“ไม่มีเวลาแล้ว ทุกคนวิ่งให้เร็วที่สุดก็แล้วกัน” เจนนี่เริ่มนับ “หนึ่ง สอง”
เจนนี่เตรียมหันไปยิง แต่แล้วเสียงเคนก็ดังออกมา
“...อย่า...อย่ายิง”
เคนโผล่ออกมาจากต้นไม้
“อยู่นิ่งๆ อย่าขยับ”
เคนค่อยๆ เดินมาที่สามสาว
“ทุกคนค่อยๆถอยไปที่ต้นไม้...แล้วปีนขึ้นไป ผมทำที่พักไว้บนนั้น”
ยูกิ ชลดา และเจนนี่ ค่อยๆ เดินไปที่ต้นไม้ เสือเริ่มคำราม แล้วย่อตัวพร้อมกระโจน
“ขึ้นไปเร็ว” เคนเร่ง
ทันใดนั้น เสือก็กระโจนเข้าใส่เคน...เคนหลบ...เสือข้ามหัวไป
เคนปีนบันไดตามสามสาวขึ้นไป เสือวิ่งกลับมา กระโจนขึ้นไปหมายจะตะปบเคน แต่เคนเร็วกว่า ปีนขึ้นไปข้างบนอย่างคล่องแคล่ว ไปรวมกับสามสาว เสือแหงนมองอยู่ข้างล่าง สักครู่หนึ่งก็เดินหลบไป
“มันไปแล้ว” ยูกิบอกอย่างดีใจ
เคนส่ายหน้า
“ยัง...มันซุ่มรอพวกเราอยู่ข้างหน้า”
“นานแค่ไหน” ชลดาถามอย่างสงสัย
“อย่างน้อยก็วันนึง” เคนบอก
ชลดาถอนใจเซ็งๆ
“แสดงว่าเราต้องอยู่บนนี้ รอจนกว่าเสือจะไปอย่างงั้นเหรอ”
เคนพยักหน้า ชลดามองไปรอบๆ
“บ้านนี่คุณเป็นคนทำเหรอ” ชลดาถาม
“ใช่...ถ้าคุณอยากให้เสือมันไป อย่าเสียงดัง”
ทุกคนมองไปรอบๆ เพื่อหาว่าเสืออยู่ที่ไหน
“ตอนนี้มันอยู่ไหน” เจนนี่ถาม
“อาจจะซุ่ม รอเหยื่อมันแถวนี้แหละ” เคนบอก
ชลดาชะงัก
“เหยื่อ”
เคนยิ้มๆ
“ถ้าพวกคุณไม่อยากเป็นเหยื่อมันก็ต้องรอ”
“แต่ตอนนี้ฉันหิวน้ำจัง” ยูกิล้วงหา กระติกน้ำ และแผนที่แต่หาไม่เจอ “กระติกน้ำเราหาย แผนที่ก็หาย”
“ฉันจำทางไม่เก่งซะด้วยซิ” ชลดาบอกเหนื่อยใจ
เคนส่งกระบอกน้ำให้ยูกิ และส่งกล้วยให้เจนนี่ 1 หวี เจนนี่หยิบกล้วยมากิน แล้วถาม
“คุณเคนรู้เส้นทางแถวนี้ใช่มั๊ย”
เคนยิ้มกว้าง
“แน่นอน”
“คุณชอบนอนบนต้นไม้เหรอ” เจนนี่สงสัย
“ถ้าจำเป็น”
ชลดามองหน้าเคนแล้วถาม
“พวกเราเคยมีเพื่อนคนหนึ่ง ชื่อแคน คุณหน้าเหมือนแคนมาก ถามจริงเถอะคุณเป็นอะไรกับแคน”
เคนนิ่งไปแล้วโหนเถาวัลย์ออกไป โดยไม่ยอมตอบคำถาม ขณะที่สามสาวงงๆ กับท่าทีของเคน
+ + + + + + + + + + + +
เคนกระโดดลงจากต้นไม้บริเวณ ริมน้ำตกแล้วหยิบกระบอกไม้ไผ่ตักน้ำในลำธาร จากนั้นก็ปีนต้นไม้ โหนเถาวัลย์กลับมา เสือซุ่มอยู่ร้องคำราม
เคนโหนเถาวัลย์ เหวี่ยงตัวมายังสามสาวแล้วก็ยื่นกระบอกใส่น้ำให้ยูกิ
“เอ้า...กินซะ”
“คุณยังไม่ตอบฉันเลยว่าคุณเป็นอะไรกับแคน” ชลดาถามทันทีที่เห็นหน้า
เคน ไม่ค่อยอยากตอบ เนื่องจากเป็นอดีตที่เขาไม่อยากคิดถึงอีก แต่เมื่อเลี่ยงไม่ได้ ก็จึงจำต้องตอบออกไป
“ผมเป็นน้องของแคน เราเป็นคู่แฝดกัน”
ยูกิอึ้งไป
“แล้วทำไม...”
“เราเกิดและเติบโตมาด้วยกันที่หมู่บ้านกลางป่า จนกระทั่งในวันที่พวกโจรเข้ามาปล้นหมู่บ้าน พ่อกับแม่พาพวกเราหนี แต่ผมตามไม่ทันจึงหลงอยู่กลางป่า จนมีชาวบ้านเก็บไปเลี้ยง”
“แล้วคุณรู้มั๊ยว่าแคนเขา...”
ชลดา ชะงัก เคนพูดต่อ
“ตายแล้วใช่มั๊ย”
ชลดาอึ้งไปนิด
“ใช่...คุณรู้ได้ยังไง”
เคนไม่ตอบได้แต่ยิ้มน้อยๆ เพราะหากบอกไปก็ไม่รู้ว่าผู้หญิงพวกนี้จะเชื่อเขาหรือเปล่า เนื่องจากเขาสามารถติดต่อกับแคนทางสมาธิได้
“ว่าไงคะคุณเคน” ชลดาคะยั้นคะยอ
เคนยิ้มให้ แล้วปีนลงบันไดไปด้วยความระมัดระวัง
“รู้สึกเขาเป็นคนลึกลับมาก”ยูกิบ่น
สาวๆ ต่างพากันมองหน้ากัน รู้สึกว่าพฤติกรรมของเคนช่างเต็มไปด้วยความลึกลับ เจนนี่ลุกขึ้นแล้วตะโกนถาม
“เดี๋ยวซิ อย่าเพิ่งไป”
เคนชะงักหันมา
“ทำไม”
“ช่วยพาพวกเราไปที่ป่าสุสานช้างได้มั๊ย” เจนนี่ขอร้องเขา
เคนมองหน้าเจนนี่นิ่ง เนื่องจากป่าสุสานช้าง ไม่ใช่สถานที่ที่ควรไป ยูกิ และชลดา ต่างก็พากันมองมายังเคน โดยหวังว่าเขาจะตอบตกลง
“พวกเราจำเป็นต้องไปที่นั่นจริงๆ” ยูกิบอก
“ถ้าคุณไม่ช่วย พวกเราคงหลงอยู่ในป่าแถวนี้แน่ๆ” ชลดาอ้อนวอน
“ที่นั่นมันอันตราย” เคนบอก
“งั้นฉันจ้างก็ได้ จะเอาเท่าไหร่” เจนนี่เสนอ
เคนไม่สนใจขยับตัวออกไป เจนนี่หน้าเสีย
“นี่ฉันพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า”
สามสาวพากันมองตาม เคน ลงถึงพื่นด้วยท่าทีระแวดระวัง เนื่องจากเกรงว่าจะเจอเสืออีก
“แล้วคุณจะไปไหน...คุณเคน” ยูกิตะโกนถาม
“อย่าตามมา รออยู่บนนั้น ผมจะไปหาอะไรมาให้กิน”
เคนเดินหายเข้าป่าไป ทิ้งสามสาวเอาไว้บนต้นไม้
+ + + + + + + + + + + +
อาเตียวพยุงร่างเปาชาง ซึ่งถูกยิงเลือดออกมาก พากันเดินให้เร็วที่สุด แต่เปาชาง เริ่มหมดแรง
“อย่าเพิ่งหยุดเปาชาง เราต้องรีบหนี”
เปาชางอ่อนระทวยหมดเรี่ยวแรง
“ไม่ไหว...ฉันไม่ไหว”
“แต่กลิ่นเลือด มันจะทำให้เสือตามเรามา อดทนไว้ อย่างน้อยก็ข้ามลำธารข้างหน้าไปก่อน”
“ไม่...ไม่ไหวแล้ว”
เปาชางทรุดตัวลงแล้วสลบไป อาเตียวรีบดึงเอาไว้ ทันใดนั้นเสียงคำรามของเสือดังขึ้น อาเตียวสะดุ้งผวา ปล่อยร่างของเปาชาง ลอยไปตามน้ำ เสียงเสือใกล้เข้ามา อาเตียวรีบวิ่งเตลิดหนีข้ามลำน้ำไปขณะที่เปาชางลอยไปตามน้ำเรื่อยๆ
+ + + + + + + + + + + +
ในห้องประชุม...ดร.อภิชัย ผู้พันเชษฐ์ ผู้พันอาจณรงค์ พร้อมด้วยกริ่ง ยอด เทิด กำลังประชุมกันอย่างเคร่งเครียด
“นี่เหลือพวกคุณแค่สามคนเท่านั้นเหรอ” ดร.อภิชัยถามอย่างสงสัย
“ครับท่าน...คนอื่นๆ ในทีม ติดต่อไม่ได้ ไม่มีรายงาน หรือทิ้งข้อความอะไรไว้เลย” ยอดบอก
ผู้พันเชษฐ์ไม่พอใจมาก
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ทำไมจู่ๆ ทีมเสาร์ห้าที่เคยมีระเบียบวินัย กลับกลายมาเป็นแบบนี้”
“ผมเข้าใจว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่มีใครเหลวไหลหรอกครับ เพียงแต่พวกเขากำลังทำงานที่ได้รับมอบหมาย และยังไม่สามารถรายงานความเคลื่อนไหวได้” เทอดอธิบาย
“และตอนนี้นาตาชา ก็เริ่มเปิดเผยตัวจริงของเธอออกมาแล้วว่า เธอต้องการอะไรจากเรา” กริ่งเสริม
ดร.อภิชัยหันมามองกริ่ง
“งั้นคุณช่วยอธิบายให้ผมเข้าใจหน่อย”
“เจนนี่รายงานให้ผมทราบว่า นาตาชา ได้ใช้เวทย์มนต์ครอบงำ คุณดอน คุณเดี่ยว คุณกระแต คุณบุษกร เพื่อต้องการใช้งาน และตอนนี้พวกเขาก็พากันมุ่งหน้าไปยังป่าสุสานช้าง พิกัดที่เครื่องบิน ดร.ฟอร์ดตก” กริ่งอธิบาย
ผู้พันเชษฐ์ ครุ่นคิดอย่างสงสัย
“อยากรู้จริงๆ ว่าที่นั่นมีอะไรกัน”
“ก็คงเกี่ยวกับการทดลองของดร.ฟอร์ดนั่นแหละ” ดร.อภิชัยบอก
“ทดลองระเบิดนิวเคลียร์เหรอครับ” ผู้พันอาจณรงค์ถามอย่างแปลกใจ
ดร.อภิชัยพยักหน้า
“เป็นไปได้”
“ผมสามคน คงอยู่เฉยไม่ได้แล้วครับ” ยอดบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
เทิดเห็นด้วยกับยอด
“ใช่ครับ งั้นพวกผมขออาสาเข้าไปดูแลภารกิจนี้เองครับ”
“พวกเราจะต้องยับยั้ง ไม่ให้ใครมาทำร้ายประเทศไทยของเราได้เป็นอันขาดครับ” กริ่งพูดอย่างมุ่งมั่น
ดร.อภิชัย ยิ้มพึงใจ
“ดี...ผมหวังว่าพลังความดีของพวกคุณจะเอาชนะเรื่องเลวร้ายได้อีกครั้ง”
ยอด เทิด กริ่ง แววตามุ่งมั่น รับภาระกิจเพื่อชาติ
+ + + + + + + + + + + +
ผู้พันอาจณรงค์ ขับรถกระบะแวนมาจอดที่ชายป่า
ยอด เทอด กริ่ง ลงจากรถ พร้อมสัมภาระ พร้อมเดินป่า ยอดหันไปหาผู้พันอาจณรงค์
“ขอบคุณมากครับผู้พัน ที่มาส่ง รับรองพวกผมไม่หลงแน่”
กริ่งโชว์แผนที่
“จะหลงได้ยังไง ทั้งแผนที่ ทั้งจีพีเอส เข็มทิศ ถ้าหลงก็ให้มันรู้ไป”
เทิดยิ้มแย้มให้ผู้พันอาจณรงค์
“อาวุธครบ มีดพก ไฟฉาย เชือกโรยตัว คะแนนอุปกรณ์เต็มสิบครับ”
ผู้พันอาจณรงค์ยิ้มรับ
“พวกคุณเดินป่ากันจนชินแล้ว”
“ไม่เดินป่า ก็ไม่ใช่เสาร์ห้าซิครับผู้พัน” ยอดพูดขำๆ
“โอเค โชคดี มีอะไรติดต่อผมได้ตลอดเวลา”
ผู้พันอาจณรงค์ ขับรถออกไป ยอดกับเทอด หันมาหากริ่ง
“มีอะไร มองทำไม” กริ่งถาม
“อ้าว...ก็เป็นเนวิเกเตอร์ไม่ใช่หรอ” ยอดเย้าแหย่
“ก็ได้...จะให้ผมนำทางก็ได้ หลงไม่รู้ด้วย” กริ่งบอก
“อุปกรณ์ที่เอามา ไม่ช่วยอะไรเลยเหรอ” เทอดถามอย่างสงสัย
กริ่งยิ้มกวนๆ
“ก็เอามางั้นแหละ ใช้ไม่เป็น แบตก็ลืมชาร์จมาด้วย”
กริ่งอำเพื่อนเสร็จก็เดินยิ้มออกไป ยอดส่ายหน้าแล้วหันไปหาเทิด
“โห...อุปกรณ์พร้อม แต่แบตไม่พร้อม”
เทิด สงสัยหันไปถามกริ่งอย่างจริงจัง
“นี่คุณกริ่งพูดจริงพูดเล่นเนี่ยะ”
กริ่งยิ้มแล้วเดินนำไป
“โธ่ ล้อเล่นนิดหน่อยทำเป็นไก่ออ่นไปได้”
+ + + + + + + + + + +
นายพลจางลี่ ยืนคุมกลุ่มลูกน้องประมาณ 10 คนอาวุธพร้อมมือ อยู่หน้าหมู่บ้าน ขณะที่ อาเตียวยืนจ๋อยอยู่ตรงหน้า
“เอ็งมันขี้ขลาด” นายพลจางลี่ด่า
“ผมกลัวเสือ”
“เอ็งต้องไปเอาเปาชางกลับมาให้ได้”
อาเตียวหน้าตื่น พยายามบ่ายเบี่ยง
“แต่ว่าขาผม...เจ็บ...”
นายพลจางลี่ จ้องหน้าอาเตียวอย่างเอาเรื่อง
“หลานข้าถูกยิง เอ็งกล้าทิ้งได้ยังไง ถ้าเอ็งเอาเปาชางกลับมาไม่ได้ เอ็งก็อย่ากลับมาให้ข้าเห็นหน้าอีก เข้าใจไหม”
“ครับ...” อาเตียวรับคำอย่างจำใจ
“พวกเอ็งไปได้แล้ว” นายพลจางลี่สั่งเสียงเข้ม
“พวกเอ็งไปกับข้า”
อาเตียวเดินนำลูกน้องออกไป นายพลจางลี่ยืนมองตามอย่างกังวลใจเป็นห่วงหลานชาย
+ + + + + + + + + + + +
ม่านฟ้าและบัวชุม เดินลัดเลาะมาตามทางเงียบๆ เพื่อเฝ้าติดตาม กลุ่มของ ดร.วิทยา กับพวก บัวชุม เดินมาที่มุมหนึ่งแล้วหันมาเรียกม่านฟ้า
“คุณหนู ทางนี้ค่ะ”
ม่านฟ้ารีบเข้ามาหาบัวชุม มองเห็น เดี่ยว และดอน กำลังดูแผนที่และชี้เส้นทางที่จะไป บัวชุม และม่านฟ้า มองไปที่เดี่ยว ซึ่งทั้งสองคน เคยเจอกันในงานเปิดตัวเครื่องเพชร
“ผู้ชายคนนั้น...จำได้มั๊ย” ม่านฟ้าถาม
“ค่ะ...เขาเคยช่วยเราไว้...” บัวชุมมองอย่างแปลกใจ “แต่ทำไมเขามาอยู่กับ ดร.วิทยา”
ระหว่างที่เดี่ยวกับดอน กำลังบอกเส้นทางนั้น ม่านฟ้าสังเกตุเห็นฮวง ถือปืน คุมไว้ตลอดเวลา เพียงแต่ในยามนี้ เธอยังไม่แน่ใจนักว่าใครเป็นมิตร หรือศัตรู
“พวกมันกำลังออกเดินทาง มุ่งไปทางเหนือ เรารีบไปดักรอข้างหน้าดีไหมคะ” บัวชุมกระซิบ
ม่านฟ้าส่ายหน้ากระซิบตอบ
“อย่า...ตามมันไปก่อน อย่าให้มันรู้ตัว”
กลุ่มของดร.วิทยา พากันออกเดินทาง ขณะที่ ม่านฟ้า และบัวชุม แอบซุ่มตามไปเงียบๆ
+ + + + + + + + + + +
กลุ่มของดร.วิทยา เดินคุม ดอน เดี่ยว และนาตาชามาตามทาง สักครู่กลุ่ม ดร.วิทยา ก็ให้สัญญาณว่าหยุดพัก ทุกคนพากันยืดเส้นยืดสาย หามุมนั่งพัก ดร.วิทยา เดินเข้ามาหาเดี่ยวและดอน
“แน่ใจนะว่าแกพามาถูกทาง”
“ถ้าไม่เชื่อกันก็ไม่เป็นไร” เดี่ยวพูดเรียบนิ่ง
นาตาชามอง ดร.วิทยา
“ยังไงคุณก็ไม่มีทางเลือกอยู่แล้ว ด็อกเตอร์”
ดร.วิทยายิ้มเยาะ
“มีเธอเป็นตัวประกัน ยังไงฉันก็ถือไพ่เหนือเธอวันยังค่ำ”
“คิดว่าพ่อจะรักฉัน มากกว่าทับทิมสยามงั้นเหรอ”
ดร.วิทยาหันมามองหน้านาตาชา เนื่องจากรู้สึกแปลกใจที่นาตาชาพูดราวกับว่า ดร.ฟอร์ดไม่ค่อยรักเธอ
“คนอย่างดร.ฟอร์ดน่ะ ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการทดลองของเขาหรอก” นาตาชาหน้าสลดลง
ดร.วิทยามองนาตาชาอย่างไม่เชื่อในคำพูด
“อย่ามาหลอกซะให้ยาก คิดว่าฉันจะหลงกลคนอย่างเธอ งั้นเหรอ”
ดร.วิทยาเดินออกไป ขณะที่นาตาชา ทำเหมือนไม่มีอะไรขณะที่ในใจเธอ รู้ว่าสิ่งที่เธอพูดออกไปนั้น คือสิ่งที่เธอรู้สึกอย่างแท้จริง ดร.ฟอร์ด เป็นพ่อที่รักงานมากกว่าลูก...ดอนหยิบเข็มทิศขึ้นมาดู
“คุณเดี่ยว...ผมว่าที่นี่มันแปลกๆ นะ”
“แปลกยังไงคุณดอน”
“ดูเข็มทิศซิ”
ดอนส่งเข็มทิศให้เดี่ยวดู เข็มทิศวิ่งไปรอบๆ อย่างไร้ทิศทาง
“เสียหรือเปล่า”
นาตาชาเข้ามาดูด้วย
“เข็มทิศวิ่งรวน”
นาตาชามองไปรอบๆ แล้วเริ่มรู้สึกแน่ใจว่าบริเวณนี้ อาจจะอยู่ในเขตภาพลวงตาที่พ่อเธอเคยเล่าให้ฟัง...แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ป่าธรรมดา แต่บางจังหวะก็เหมือนกับมีอีกมิติซ้อนอยู่ ไม่นานก็หายไป กลับกลายเป็นป่าเช่นเดิม ซึ่งปรากฏการณ์นี้ทำให้คนที่เห็นมักคิดว่ตัวเองตาฝาด นาตาชา พยายามมองไปรอบๆ แล้วฟังหาเสียงป่าที่คุ้นหู แต่ไม่มีเสียงเลยทุกอย่างดูเงียบวังเวง
“ได้ยินเสียงนกหรือ เสียงสัตว์อะไรกันบ้างหรือเปล่า” นาตาชาถาม
ดอนและเดี่ยวนิ่งฟัง เดี่ยวใช้หูทิพย์แล้วหันมาหานาตาชา
“แถวนี้ไม่มีเสียงนกร้อง ไม่มีแม้แต่เสียงแมลงครับนาตาชา”
นาตาชา มั่นใจในทันทีรีบกระซิบบอกดอนกับเดี่ยว
“ถ้างั้นก็ใช่...จากนี้ไประวังตัวให้ดี ถ้าฉันไปไหน คุณสองคนต้องตามให้ทัน อย่าห่างฉัน”
ดอนกับเดี่ยวมองหน้ากันแล้วพยักหน้ารับคำ
“ครับ...นาตาชา”
“พวกเรากำลังอยู่ในเขตอาถรรพ์ภาพลวงตา” นาตาชาบอกเบาๆ
นาตาชา ดอน และเดี่ยวมองไปรอบๆอย่างระแวดระวัง ขณะที่คนอื่นๆ ยังใช้ชีวิตปกติ
+ + + + + + + + + + + +
ม่านฟ้าและบัวชุม ซุ่มแอบมองอยู่มุมหนึ่งห่างออกไป ม่านฟ้าเองก็รู้สึกถึงความผิดปกติของป่าแถวนั้น เธอลุกขึ้นมองสังเกตุไปมา
“มีอะไรคะคุณหนู” บัวชุมถามอย่างแปลกใจ
“ทำไมฉันรู้สึกเหมือน...”
“อะไรคะ”
“เหมือนมีใครกำลังมองเราอยู่”
“ไหนคะ...ตรงไหน”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน เพียงแต่มันแปลกๆ ยังไงไม่รู้”
บัวชุมมองไปรอบๆ จากนั้นก็เดินสำรวจไปมา สักครู่เธอก็รู้สึกว่าที่นี่ไม่เหมือนที่อื่น เนื่องจากต้นไม้ และบรรยากาศบริเวณนั้น บางครั้งก็เหมือนมีอีกมิติหนึ่งซ้อนอยู่ แต่พอจะสังเกตจริงๆ บรรยากาศก็กลับเป็นปกติ แต่หากเผลอเมื่อไหร่ ก็จะคล้ายมีภาพซ้อนของอีกมิติหนึ่งปรากฏขึ้น บัวชุมพยายามขยี้ตาเนื่องจากนึกว่าเธอตาฝาดไป
“บัวชุมเห็นอะไรบ้าง” ม่านฟ้าถามอย่างสงสัย
“ไม่รู้ซิคะ...บางทีก็เหมือนเห็น แต่พอจะมองอีกทีก็ไม่เห็น”
“เหมือนมีสถานที่อีกแห่งซ้อนอยู่ใช่มั๊ย”
“ค่ะ...คุณหนูก็เห็นใช่มั๊ยคะ แสดงว่าบัวชุมไม่ได้ตาฝาด”
“ลางสังหรณ์ของฉันมันกำลังเตือนให้ระวังอันตราย”
“อยู่ใกล้ๆ กันไว้นะคะ เกิดอะไรขึ้นจะได้ช่วยกันได้”
ม่านฟ้ากับบัวชุม ระแวดระวังตัวมากขึ้น
+ + + + + + + + + + + +
เสือสนธิ์ รู้สึกถึงความผิดปกติของป่าเช่นกัน คิดว่าตัวเองตาฝาด แต่เพื่อให้แน่ใจเขาจึงหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมา แล้วส่องมองไปรอบๆ เจ้าพ่ออินทร์เดินเข้ามาหา
“ดูอะไรครับ”
“ก็แค่ส่องดู ไม่มีอะไรหรอก”
“ผมว่าป่าแถวนี้มันเย็นๆพิกล”
เสือสนธิ์พยักหน้า
“นั่นซิ...ผมก็ว่ามันแปลกๆ”
“คือผมรู้สึกว่า...”
เจ้าพ่ออินทร์ไม่รู้จะอธิบายถึงความรู้สึกตัวเองยังไง เนื่องจากเขารู้สึกว่าป่าแถวนี้ผิดปกติแต่ก็อธิบายไม่ได้ว่าผิดปกติยังไง แต่ขณะที่กำลังจะหาคำอธิบาย สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในเงามืดของต้นไม้ห่างออกไป
“เอ๊ะ...นั่น...”
เสือสนธิ์หันมองเจ้าพ่ออินทร์
“มีอะไรหรือเปล่า”
“ขอยืมกล้องส่องทางไกลหน่อยครับ”
เจ้าพ่ออินทร์รับกล้องจากเสือสนธิ์มาส่องไปยังพุ่มไม้ข้างหน้า ภาพที่ปรากฏเห็นคล้ายกับกองกำลังทหารญี่ปุ่น แต่งตัวเหมือนยุคสงครามโลกครั้งที่สอง กำลังซุ่มมองรอจังหวะโจมตี เจ้าพ่ออินทร์ตกใจ
“เฮ้ย...อะไรวะ”
“เห็นอะไร” เสือสนธิ์ถามอย่างแปลกใจ
“ที่...พุ่มไม้...”
เสือสนธิ์ รับกล้องจากเจ้าพ่ออินทร์แล้ว ส่องออกไป ดร.วิทยา ซึ่งอยู่ไม่ห่างนัก เดินเข้ามาภาพในกล้องส่องทางไกลของเสือสนธิ์ ไม่เห็นอะไร
“ไม่เห็นมีอะไรนี่”
“มีครับ...ผมเห็นเหมือนพวกกองทหาร”
ดร.วิทยา ดึงกล้องจากเสือสนธิ์มาส่อง
“กองทหารอะไร ไม่เห็นมีอะไรเลย”
“มีซิกองทหาร...ญี่ปุ่น” เจ้าพ่ออินทร์ยืนยัน
แต่แล้วภาพในกล้องส่องทางไกลจากเดิมที่เป็นแค่พุ่มไม้ธรรดา ไม่มีอะไรผิดปกติ แต่พอเจ้าพ่ออินทร์พูดถึงคำว่ากองทหารญี่ปุ่น ภาพกองทหารนั้นก็ปรากฏขึ้นมาทันที ดร.วิทยา ชะงักอึ้ง
“ผมเห็นแล้ว”
เสือสนธิ์รับกล้องส่องทางไกลมามองบ้าง
“ไหน...อยู่ไหน”
“ที่พุ่มไม้ กองทหารญี่ปุ่นซุ่มอยู่ที่พุ่มไม้” ดร.วิทยาบอก
ภาพในกล้องส่องทางไกลปรากฏภาพตามที่ ดร.วิทยาพูดขึ้น เสือสนธิ์เห็นทหารบางคนกำลังยกปืนประทับเล็งมาที่ตน
“มันยิงมาแล้ว หลบ”
ขาดคำ กระสุนปืนก็พุ่งเข้ามาทุกคนพากันหลบ ทำให้กระสุนถากต้นไม้ไป ดร.วิทยาตกใจตะโกนลั่น
“ฮวง...พวกเราโดนโจมตี”
ฮวงและลูกหาบรีบคว้าปืนขึ้นมาแล้วกราดกระสุนเข้าใส่พวกทหารญี่ปุ่น จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็เปิดฉากยิงใส่กัน
+ + + + + + + + + + + +
ม่านฟ้า และบัวชุม ซึ่งซุ่มมองอยู่ รู้สึกแปลกใจเนื่องจากเธอมองไม่เห็นว่า กลุ่มของ ดร.วิทยากำลังยิงกับใคร
“พวกมันยิงอะไรกัน”บัวชุมถามอย่างสงสัย
“ไม่รู้ซิ...มองไม่เห็นเลย พวกมันยิงอะไร”
“เราหนีกันเถอะค่ะ”
บัวชุมรีบพาม่านฟ้าหนี แต่แล้ว หางตาของม่านฟ้า ก็รู้สึกเหมือนมีใครกำลังยืนอยู่เมื่อเธอหันไปมอง ก็พบว่า ร่างที่ยืนอยู่ก็คือหนานคำนั่นเอง ซึ่งมันเป็นภาพลวงตาที่ฝังในจิตสำนึกของม่านฟ้า
“ไอ้หนานคำ”
บัวชุมชะงักหันไปมอง ในตอนแรกเธอไม่เห็น แต่ สักครู่ร่างของหนานคำ ก็ปรากฏขึ้นมาให้เห็นในที่สุด บัวชุมกับม่านฟ้าอยู่ในเขตภาพลวงตาพลังลึกลับจะดึงจิตใต้สำนึกของเป้าหมายออกมาแล้วสร้างภาพให้คนอื่นเห็นไปด้วย
“แต่ไอ้หนานคำ มันตายไปแล้วนี่คะคุณหนู” บัวชุมบอก
“ก็นั่นไง มันเดินมาแล้ว”
“ไอ้หนานคำมันเป็นผีหรือเปล่าคะคุณหนู” บัวชักหวาดๆ
หนานคำเดินเข้ามาแล้วตรงเข้าทำร้าย ม่านฟ้า ขณะที่บัวชุมพยายามช่วยเหลือ
“ไอ้ผีบ้า ปล่อยคุณหนูนะ...ปล่อย”
ม่านฟ้า หลุดเซออกจากการต่อสู้เธอได้จังหวะชักมีดออกมา แล้วพุ่งเข้าแทงหนานคำ
“แกฆ่าพ่อแม่ฉัน ไอ้คนสารเลว”
หนานคำสะดุ้ง ชะงัก ปล่อยมือจากบัวชุม จากนั้นก็ก้มลงมองมีดที่เสียบท้อง สักครู่ก็ชักมีดออกมา ม่านฟ้า และบัวชุม ตกใจ ไม่คิดว่าหนานคำจะยืนอยู่ได้
“หนีเร็วคุณหนู มันไม่ใช่คน หนีเร็ว”

บัวชุมรีบดึงม่านฟ้าให้วิ่งหนี ขณะที่ร่างของหนานคำ ค่อยๆ เลือนหายไปในที่สุด

อ่านต่อวันพรุ่งนี้
(อังคาร 18 ตุลาคม 2554)





กำลังโหลดความคิดเห็น