เสาร์๕ ทับทิมสยาม ตอนที่ 6
ดอนกับเดี่ยว รีบพานาตาชามาหลบที่ด้านหลังต้นไม้
“พวกที่โจมตีเป็นใคร” ดอนถามอย่างสงสัย
“ได้ยินว่าเป็นทหารญี่ปุ่น” เดี่ยวบอกอย่างไม่มั่นใจนัก
ดอนไม่อยากจะเชื่อ
“เป็นไปไม่ได้...ทหารญี่ปุ่นจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“ดูโน่นซิ”
เดี่ยวชี้ให้ดอนดูฝ่ายตรงข้าม เห็นเป็นกลุ่มทหารญี่ปุ่นจริงๆ ดอนมองตาม
“เหมือนทหารจากยุคสงครามโลก ดูอาวุธที่ใช้ซิ ของโบราณทั้งนั้น”
อาวุธซึ่งทหารญี่ปุ่นกำลังใช้โจมตี ล้วนแล้วแต่เป็นอาวุธโบราณ จากยุคสงครามโลกครั้งที่สองทั้งสิ้น เดี่ยวอึ้งตะลึง
“เหลือเชื่อจริงๆ”
“นั่นไม่ใช่เรื่องจริง” นาตาชาบอก
ดอนหันมามองนาตาชางงๆ
“คุณหมายความว่ายังไง”
“เชื่อฉันซิว่านี่เป็นภาพลวงตา” นาตาชายืนยัน
เดี่ยวกับดอน อึ้งพูดออกมาพร้อมกัน
“ภาพลวงตา”
ฮวง เจ้าพ่ออินทร์ เสือสนธิ์ ดร.วิทยา และลูกน้องกำลังช่วยกันยิงโต้ตอบฝ่ายตรงข้าม
“พวกมันมาจากไหนกัน เยอะแยะไปหมดเอาไงดีครับ” เสือสนธ์ถามอย่างหนักใจ
เจ้าพ่ออินทร์ หันไปบอก ดร.วิทยา
“พวกเรา ถอยกันดีกว่า ด๊อกเตอร์ว่าไง”
ดร.วิทยาหันไปเรียกนาตาชา
“นาตาชาพาพวกนั้นมาทางนี้”
“พวกเราถอย” เสือสนธ์ตะโกนสั่ง
ดร.วิทยา เล็งปืนจ่อ เพื่อกันนาตาชาหนี
“นำไปซิ” นาตาชาบอกห้วนๆ
เสือสนธิ์หันไปหาดร.วิทยา
“ด็อกเตอร์ ตามผมมา”
เสือสนธิ์ นำ ดร.วิทยา ถอย นาตาชากับสองหนุ่มรีบตาม ขณะที่เจ้าพ่ออินทร์ ฮวง และคนอื่นๆ คุ้มกันให้ แล้วจากนั้นก็เริ่มพากันถอนตัวตามไป
+ + + + + + + + + + + +
เสือสนธิ์ วิ่งนำคนอื่นๆ ลัดเลาะไปตามต้นไม้ แต่แล้ว ก็ถูกกองทหารญี่ปุ่น ขว้างระเบิดไล่หลัง ทำให้ต่างคนต่างก็หนีเอาตัวรอด นาตาชา ดอน เ ดี่ยว ได้จังหวะรีบพากันวิ่งหลบ แล้วแยกตัวหนีไป
ดร.วิทยา เสือสนธิ์ และคนอื่นๆ ต่างพากันหลบระเบิด และยิงสกัดทหารญี่ปุ่น จนลืมไปว่านาตาชา ดอน และเดี่ยว หนีไปแล้ว เจ้าพ่ออินทร์ ฮวง และพวก วิ่งมาสมทบ พลางหันไปยิงสกัด ทหารญี่ปุ่นที่กำลังดาหน้ากันเข้ามา สักครู่ ดร.วิทยา มองหานาตาชาแต่ไม่เห็นก็ถาม
“นาตาชาล่ะ”
ฮวงมองหา
“หายไปแล้ว”
ดร.วิทยาหงุดหงิด
“ปัดโธ่เว้ย หนีได้ไงวะ”
เจ้าพ่ออินทร์รีบเข้ามาหา ดร.วิทยา
“ด็อกเตอร์ เราต้านมันไม่อยู่แน่ รีบหนีก่อนที่พวกมันจะบุกเข้ามาถึงตัว”
“ฮวงแกไปตามเอาตัวนาตาชากลับมา” ดร.วิทยาสั่ง
“ผมขอเอาคนไปช่วยไอ้ฮวงด้วย” เสือสนธ์บอก
ดร.วิทยาพยักหน้า
“ได้เอาไป ไอ้พวกเสาร์ห้ามันไม่ธรรมดา ระวังตัวให้ดี”
+ + + + + + + + + + +
นาตาชา ดอน เดี่ยว พากันวิ่งหลบไปในป่า ได้ยินเสียงปืนที่กลุ่มของดร.วิทยา ยิงใส่ทหารญี่ปุ่นดังก้องป่า
“ตามมาทางนี้เร็ว”
นาตาชาวิ่งนำดอน และเดี่ยวมายังมุมหนึ่ง จากนั้นเธอก็หยุดมองหาบางอย่างไปรอบๆ
“หาอะไร” ดอนถามอย่างสงสัย
“เจดีย์...เราต้องหาเจดีย์ให้เจอ” นาตาชาบอกอย่างร้อนใจ
เดี่ยวมองนาตาชาอย่างแปลกใจ
“ในป่านี้นี้มีเจดีย์ด้วยเหรอ”
นาตาชาพยักหน้า
“ใช่...เราต้องไปที่นั่น”
ฮวง และพวก โผล่ออกมาจากมุมหนึ่ง ดอนหันไปเห็น
“ระวังพวกมันมาแล้ว”
ฮวงกราดยิงใส่ ดอนแ และเดี่ยวยิงสกัด แล้วพากันวิ่งหนีไป
“ตามไป”
ฮวงสั่งลูกน้องให้วิ่งตามไป นาตาชา และ ดอน พากันวิ่งนำหน้าไป แต่เดี่ยวแยกออกมาซุ่มอยู่ที่มุมหนึ่ง ฮวงและพวกพากันวิ่งตามมา เดี่ยวซุ่มยิงใส่ลูกน้องของฮวงทำให้ กลุ่มของฮวงชะงักพากันหลบแล้วยิงตอบโต้
“ดอน...นายพานาตาชาไปก่อน เดี๋ยวฉันตามไป”
เดี่ยวรีบวิ่งหลบแล้วแฝงกายหายไปในป่า ฮวงและพวกออกตาม แต่ไม่เจอ ฮวงมองไปรอบๆแล้วหันไปสั่งลูกน้อง
“พวกมันต้องอยู่แถวนี้แน่ พวกเอ็งแยกกันออกไป...ลากหัวมันมาให้ได้ เอ็งสองคนไปทางโน้น สามคนไปทางนี้”
ฮวงและพวกพากันแยกย้ายออกตาม
ลูกน้อง 2 คน เดินหาร่องรอยตามพื้นดิน แต่แล้วสักครู่ ดอน ก็โผล่มาแล้วบิดคอคนหนึ่งล้มลง ขณะที่นาตาชาจัดการอีกคนได้เช่นกัน
ฮวง และ ลูกน้องอีก 2 คน พากัน เดินมาอีกมุม เดี่ยว เข้าล็อกคอลูกน้องคนหนึ่ง ที่เดินแยกตัวออกมาแล้วลากหายไปในพุ่มไม้ ฮวง และลูกน้องอีกคนได้ยินเสียงจึงหันมายิงใส่ เดี่ยวยิงตอบโต้ ขณะที่ดอน และนาตาชา วิ่งเข้ามาช่วยแล้วพากันแยกไปตลบหลัง
ดอน และนาตาชา พากันแยกมาซุ่มยิงใส่ฮวง และลูกน้องจากคนละทิศ ทำให้ฮวง และลูกน้อง รู้สึกสับสนหากอยู่ต่ออาจจะเสียเปรียบ ฮวงและลูกน้องจึงรีบพากันหนีไป
ฮวง กำลังวิ่งหนี แต่โดนซุ่มยิงจากเดี่ยว ฮวงรีบหลบ หนีไปยังมุมหนึ่งแต่ นาตาชาก็ปรากฏตัวด้านหลัง เล็งปืนมายังฮวง
“หยุดนะ”
ฮวงอาศัยความเร็ว พลิกตัวเตะปืนนาตาชาหล่นไป ขณะที่นาตาชาต่อสู้ ทำให้ปืนของฮวง ก็หลุดออกจากตัวเช่นกัน แต่ด้วยกำลังที่เหนือกว่า ทำให้ฮวงพลิกตัวมาล็อคนาตาชาไว้ได้ ลูกน้องของฮวง ที่เหลือวิ่งมาสมทบ
“นี่แกจะพาฉันไปไหน”
“พาแกไปลงนรกไง” ฮวงเสียงเหี้ยม
“ฉันว่าเป็นแกมากกว่ามั้ง”
ฮวงหันไปสั่งลูกน้อง
“หยิบปืนมาให้ข้า...เร็ว”
ลูกน้องรีบก้มไปทื่พื้นเพื่อหยิบปืน แต่แล้วเสียงปืนดังขึ้น ลูกน้องถูกยิงล้มลง ดอนเดินออกมาจากมุมหนึ่ง
“ปล่อยผู้หญิง”
เดี่ยวเดินออกมจากอีกมุม ทำให้ฮวง ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ
“ระยะแค่นี้ ฉันยิงไม่พลาดแน่” เดี่ยวขู่
ฮวง เริ่มถอยหนี ขณะที่มือข้างหนึ่งล็อคนาตาชาไว้ แต่มืออีกข้างคว้านหาอาวุธที่ยังเหลือติดตัว
“หนึ่ง...” ดอนนับ
“สอง...” เดี่ยวนับต่อ
แต่ก่อนที่จะนับถึงสาม ฮวงก็คว้าระเบิดออกมาจากกระเป๋า ชูให้ดอนและเดี่ยวเห็น
“ยิงซิ ยิง...ถ้าข้าตาย นังแหม่มนี่ก็ตายด้วย”
ฮวง ใช้ปากกัดสลักระเบิดออก เพื่อให้ระเบิดพร้อมสำหรับทำงานทันที จากนั้นก็ค่อยๆ ถอยหลังหาทางหนี
“เข้ามาซิ...เข้ามาเลย”
ดอน และเดี่ยว ชะงัก แล้วเดินตามช้าๆ ขณะที่ตามองไปที่ฮวงเขม็งเพื่อพยายามเดาใจว่าฮวง จะทำยังไงต่อ จนกระทั่งฮวงพานาตาชา มาสุดทางที่หน้าผา ขณะที่นาตาชาแกล้งร้องโอดโอย
“โอ๊ย...เจ็บ...ฉันเจ็บ”
“หุบปาก” ฮวงตวาด
“เบาๆ ซิ ฉันเจ็บนะ หยุดก่อน...หยุด” นาตาชาโวยวาย
“นังบ้า บอกให้หุบปาก”
ฮวงหงุดหงิด ทำให้เสียจังหวะ นาตาชารีบคว้ามือที่ถือระเบิดแล้วบิดตัวหนี ฮวงดิ้นต่อสู้ ทำให้ระเบิดหลุดมือ ลอยขึ้นกลางอากาศ เดี่ยวรีบวิ่งเข้าไปรับระเบิดไว้ ขณะที่ดอนเข้าไปช่วยนาตาชา แต่ฮวงถีบเซล้มลงไป ฮวงผลักนาตาชากลิ้งไปทางเหวแล้ววิ่งหนี
เดี่ยวรับระเบิดได้ ลุกขึ้นแล้ว ขว้างระเบิดไปทางฮวง ขณะที่กำลังวิ่ง ระเบิดตูม ไม่มีใครรู้ว่าฮวงโดนระเบิดหรือไม่ เพราะหลังจากนั้น เสียงของนาตาชาก็ดังขึ้น
“ช่วยด้วย ๆ”
ดอนได้สติ รีบไปที่หน้าผา เห็นนาตาชากำลังโหนรากไม้แถวริมหน้าผา กำลังจะหลุดมือ ดอนรีบเข้าไปคว้ามือไว้ทัน เดี่ยวรีบเข้ามาแล้วช่วยดึงอีกแรง จนที่สุดนาตาชา ก็ขึ้นมาสำเร็จ
ทั้งสามคนนั่งเหนื่อยหอบกันตัวโยน แล้วสักครู่ นาตาชาก็ตาเบิกโพลงเมื่อมองไปเบื้องหน้า เนื่องจากเธอเห็นสิ่งที่กำลังค้นหา นั่นคือ เจดีย์ร้างกลางป่านั่นเอง
“นั่นไงๆเจดีย์อยู่ที่นั่น”
“เจดีย์กลางป่า” เดี่ยวพึมพำ
ดอนและเดี่ยวหันไปมองเห็นเจดีย์ร้าง ตระหง่านอยู่กลางป่า
+ + + + + + + + + + + +
นาตาชา ดอน และเดี่ยว พากันเดินตัดตรงไปยังเจดีย์กลางป่า แต่เมื่อยิ่งใกล้เข้าไป บรรยากาศของป่า ก็เริ่มแปลกไป โดยเริ่มมีภาพซ้อน เหลือบเหมือนอยู่ในมิติที่ซ้อนกันอยู่
“เดี่ยว...นายเห็นอะไรบ้าง” ดอนถาม
เดี่ยวเพ่งมองอย่างแปลกใจ
“ป่า...มันมีภาพแปลกๆ ผมอธิบายไม่ถูก”
“ที่นี่คือเขตภาพลวงตา พลังงานบางอย่างทำให้บรรยากาศบริเวณนี้ เต็มไปด้วยมิติที่ซ้อนทับกันอยู่ เหมือนกับแถวสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า หรือไม่ก็ทะเลปีศาจของญี่ปุ่น” นาตาชาอธิบาย
“แล้วทหารญี่ปุ่นที่เราเห็นเมื่อกี้ล่ะ” เดี่ยวถามอย่างแปลกใจ
“พลังงานที่อยู่ในเขตภาพลวงตา จะดึงเอาจิตใต้สำนึก ออกมาสร้างเป็นภาพเสมือนจริง กองทัพทหารญี่ปุ่นพวกนั้นก็คือภาพลวงตา จากจิตใต้สำนึกของใครสักคนนึงในกลุ่มดร.วิทยา ซึ่งเมื่อคนหนึ่งเห็น...ภาพก็จะชัดขึ้น แล้วทำให้คนที่อยู่ใกล้เคียงพลอยเห็นไปด้วย”
“แล้วอาวุธ กระสุนปืนที่ พวกทหารญี่ปุ่นพวกนั้นยิงมา ทำไมมันเหมือนของจริง” ดอนถามอย่างแปลกใจ
“ปรากฏการณ์พวกนี้ มันเกิดมาจากอะไร” เดี่ยวถามอย่างไม่เข้าใจ
นาตาชายิ้มนิดๆ มองไปรอบๆ
“ฉันกับพ่อศึกษาเรื่องแบบนี้มามาก...จนแน่ใจ ว่ามีแต่พลังงานจากทับทิมสยามสีม่วงเท่านั้น ที่จะสร้างภาพลวงตาแบบนี้ขึ้นมาได้ และนี่ก็คือหน้าที่ของพวกคุณ ที่ต้องมาช่วยฉันค้นหาทับทิมสยามสีม่วง”
ดอน และเดี่ยวนิ่งอึ้ง
นาตาชาเดินนำ ดอน และเดี่ยว เดินมุ่งหน้าไปที่เจดีย์ซึ่งโผล่ยอดมาจากพุ่มไม้ที่อยู่ไกลออกไป สักครู่ที่พุ่มไม้แห่งหนึ่งมีเงาใครบางคนก็ปรากฏขึ้นมา นาตาชาชะงักมองนิ่งทำให้ดอนและเดี่ยวกระชับปืนเตรียมพร้อม เงาที่พุ่มไม้เดินเข้ามา ทำให้มองเห็นเป็นร่างของดร.ฟอร์ด ซึ่งเป็นภาพลวงตา ที่ใบหน้าเฉยเมย มองตรงมาที่นาตาชา
“พ่อ...”
นาตาชา หลงเชื่อรีบเดินไปหาด้วยความดีใจ
“พ่อจริงๆ ด้วย”
“แกมาช้า...”
“พวกดร.วิทยามันคุมตัวหนูไว้ กว่าจะหนีออกมาได้...”
ดร.ฟอร์ดตบหน้านาตาชา ฉาดใหญ่ ตวาดลั่น
“แกทำให้งานฉันเสีย”
นาตาชาน้ำตาคลอ
“แต่ว่าหนู...”
“หุบปาก” ดร.ฟอร์ดตบหน้านาตาชาอีกครั้ง “กี่ครั้งแล้วที่การทดลองของฉันล้มเหลวเพราะแก” ดร.ฟอร์ดบีบปากนาตาชา “แกเกิดมาทำไม แกเป็นลูกที่ฉันไม่ต้องการ แกมันสมควรตายนาตาชา”
ดร.ฟอร์ดบีบคอจนนาตาชาล้มลง แล้วดึงปืนจากนาตาชา แล้วเล็งไปยังร่างของเธอ ดอน และเดี่ยว รู้สึกว่านี่มันรุนแรงเกินความเป็นพ่อลูก จึงรีบเข้าไปแย่งปืนแล้วเกิดการต่อสู้จนปืนลั่น ทุกคนชะงักแล้วค่อยๆแยกออกจากกันทำให้เห็นว่า ดร.ฟอร์ด ถูกปืนยิงทรุดตัวลง ดอนและเดี่ยวตกใจ ปืนอยู่ในมือของดอน
“ผมไม่ได้ตั้งใจ”
แต่แล้ว...แทนที่ดร.ฟอร์ด จะล้มลงไปเนื่องจากถูกยิง เขากลับลุกขึ้นดึงกระสุนปืนจากท้องออกมา แม้ว่าเลือดจะไหลทะลักน่ากลัว
“ฉันจะฆ่าแก”
นาตาชารู้ได้ทันทีว่านั่นไม่ใช่พ่อ แต่เป็นภาพลวงตา นาตาชารีบบอกดอนและเดี่ยว
“หนีเร็ว...นั่นไม่ใช่เรื่องจริง มันคือภาพลวงตา”
ดอนและเดี่ยวได้สติ รีบตามนาตาชาไป ขณะที่ ภาพลวงตาของ ดร.ฟอร์ด กำลังเดินตามมา นาตาชามองไปที่ยอดเจดีย์เห็นเงาของเจดีย์ พาดลงมาบนพื้นดิน จึงรีบหันไปบอกดอน และเดี่ยว
“ตามมาเร็ว เราต้องเดินตามเงาของเจดีย์ อย่าหลุดออกจากเงาเด็ดขาด”
เดี่ยวชะงักแปลกใจ
“เราต้องเดินไปตามเงาเจดีย์”
“ค่ะ”
“มันเป็นปรากฎการทางวิทยาศาสตร์ หรือไสยศาสตร์กันแน่...” ดอนถามงงๆ
นาตาชา ดอน และเดี่ย เดินตามกันบนเงาของเจดีย์ ที่พาดอยู่บนพื้น
+ + + + + + + + + +
บริเวณฐานเจดีย์ใหญ่...
นาตาชา ดอน เดี่ยว ค่อยๆปรากฏขึ้นมา หลังจากหลุดผ่านเขตภาพลวงตาเข้ามาได้ บรรยากาศในเขตนี้ ดูสดใส แตกต่างจากที่ผ่านมา นาตาชา ดอน เดี่ยว มองไปรอบๆ ด้วยอารมณ์ประหลาดใจ แต่แล้ว จู่ๆบรรยากาศที่สดใสก็เริ่มแปรปวน ฝนลอยมารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว สายฟ้าฟาด เดี่ยวตกใจรีบบอก
“เข้าไปหลบในเจดีย์กันเร็ว”
เดี่ยว นำนาตาชา และดอน เข้าใปในเจดีย์
ในเจดีย์มีพระพุทธรูปเก่าปางห้ามญาติองค์หนึ่ง เด่นอยู่มุมหนึ่งของเจดีย์ ดอน รับรู้ถึงพลังบางอย่างที่อยู่ในบริเวณนั้น เขาหยุดมองหาที่มา แต่ไม่สามารถระบุได้ว่ามันคืออะไร มาจากไหน
“มีอะไร...ดอน” เดี่ยวถามอย่างสงสัย
“ฉันรู้สึกเหมือนมีพลังบางอย่างในบริเวณนี้”
นาตาชาชะงักหันมาบอก
“ลองใช้ตาทิพย์ของคุณมองหาซิคะ ว่าพลังที่คุณสัมผัสได้มาจากที่ไหน”
ดอนเริ่มใช้ตาทิพย์มองไปรอบๆแต่แล้ว ตาทิพย์ของเขาไม่สามารถมองได้ชัดเจนเหมือนที่ผ่านมา เนื่องจากมีพลังงานบางอย่างมาปกคลุม ราวกับว่าเขาอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก
“เป็นไงคะ” นาตาชาถามอย่างร้อนใจ
ดอนส่ายหน้า
“ตาผม...เหมือนมีเมฆหมอกมาบดบัง ผมมองไม่เห็นอะไรเลย”
เดี่ยวที่พยายามใช้หูพิเศษ แต่ใช้ไม่ได้
“หูผมก็เหมือนกัน มันไม่ชัดเจนเหมือนเมื่อก่อน”
นาตาชาแปลกใจ
“ทำไมเป็นแบบนี้”
“ผม...ก็ไม่รู้เหมือน”
ดอนมองไปที่ พระประธานซึ่งประดิษย์ฐานอยู่บริเวณกลางเจดีย์ สื่อถึงพลังพุทธคุณที่เหนือกว่าพลังอื่นใด ดอนมองเห็นบันไดเล็กๆที่ใช้ปีนขึ้นไปด้านบนยอดของเจดีย์
“เราลองขึ้นไปดูข้างบนกันมั๊ย” ดอนบอก
เดี่ยวเห็นด้วย
“ไปซิ”
“ฉันไปด้วย”
นาตาชาจะตามไปด้วย เดี่ยวหันมาห้าม
“เอ้อ...ผมว่า...คุณไม่ควรขึ้นไปนะนาตาชา”
“ทำไมล่ะ”
“คุณเป็นผู้หญิง ไม่ควรที่จะปีนขึ้นไปอยู่บนที่สูงเหนือพระประธาน” เดี่ยวอธิบาย
“งั้นฉันรอข้างล่างก็ได้”
ดอน...เดี่ยว พากันขึ้นไป นาตาชา ยืนรอข้างล่าง...ดอน และเดี่ยวพากันปีนขึ้นไปเรื่อยๆ ที่บริเวณด้านบนของเจดีย์ ซึ่ง มีช่องแสงส่องผ่านมาเป็นระยะ ดอน และเดี่ยวมาหยุดพักที่มุมหนึ่งซึ่ง เป็นช่องหน้าต่างสำหรับออกไปด้านนอกของเจดีย์ เดี่ยวลองมุดช่องออกมา แล้วมองไปด้านนอก
“ข้างนอกมีบันไดขึ้นมาครับ”
เดี่ยวเริ่มปีนขึ้นไป จนใกล้กับยอดเจดีย์ เดี่ยวค่อยๆ เอื้อมมือขึ้นไปหาที่ยึด โดยไม่รู้ว่าด้านบนมีอะไรบ้าง...งูพิษ ตัวหนึ่งซึ่ง ขดตัวอยู่บนช่อง ของยอดเจดีย์ เริ่มแผ่แม่เบี้ย เมื่อเห็นมือของเดี่ยวเอื้อมเข้ามา เดี่ยวได้ยินเสียงงู
“ดอนฉันได้ยินเหมือนเสียงงู”
ดอน สะดุ้ง ทันใดนั้นตาทิพย์ของเขาเริ่มทำงาน เขาเห็นภาพงู กำลังเตรียมพร้อมที่จะฉกเดี่ยว
“เดี่ยว นิ่ง...อย่าขยับ”
“งูอะไรดอน”
“งูเห่า”
เดี่ยวค่อยๆ ยกตัวเองขึ้นไปแล้ว ยื่นหน้าตัวเองขึ้นไปมอง บนช่อง ยอดเจดีย์ เห็นงูกำลังแผ่แม่เบี้ย พร้อมจะฉกทุกเมื่อ เดี่ยว กับ งู มองกันและกันไม่กระพริบตา ราวกับวัดใจว่าใครจะเผลอก่อนกัน
ทันใดนั้นเสียงฟ้าลั่นครืน น่ากลัวและแล้วสายฟ้าก็ผ่าลงมาที่เจดีย์ เป็นจังหวะเดียวกับงู ที่ฉกไปยังมือของเดี่ยว แต่เดี่ยว ปล่อยมือออกก่อน แล้วลื่นไถลลงมา ดอนรีบเข้าไปช่วยดันเดี่ยวเอาไว้ แผ่นดินเริ่มไหว ดอนกับเดี่ยวรีบลงมาด้านล่าง ขณะที่เศษหิน เศษดิน ร่วงกราว
ดอนกับเดี่ยวปีนลงมา นาตาชาวิ่งเข้ามาสมทบ
“รีบออกไปข้างนอกกันเร็ว”
ดอน เดี่ยว และนาตาชา พากันวิ่งหนีออกไปด้านนอก
+ + + + + + + + + + +
ด้านนอกเจดีย์...
อากาศมืดครึ้ม ฟ้าคะนอง ดอน เดี่ยว และนาตาชา พากันวิ่งเซไปเซมา เนื่องจาก แผ่นดินไหว ทุกคนล้มลงมากองกันที่มุมหนึ่ง ขณะที่ลมพัดแรง เศษหินและฝุ่นคลุ้งกระจาย ดอน เดี่ยว นาตาชา นอนหมอบอยู่กับพื้น ท่ามกลางอากาศที่มืดครึ้ม แล้วสักครู่ อากาศก็เริ่มเปลี่ยนไป แผ่นดินหยุดไหว แดดออกอีกครั้ง
“แสงพระอาทิตย์ออกแล้ว” นาตาชาบอก
นาตาชาดึง ดอน
“นี่คุณจะพาเราไปไหน” ดอนถามอย่างสงสัย
“จะพาไปที่พักของพ่อคงอยู่บริเวณนี้”
ทั้งสามคนเงยหน้าขึ้นมามองไปรอบๆแล้วตกใจ เมื่อพบว่า มีกลุ่มลูกน้องของมะโหนก และราฮีมหลายคน อาวุธครบมือมายืนล้อมรอบพวกเขาไว้ เมื่อดอน และเดี่ยวขยับ คนในกลุ่มก็ขยับปืน พร้อมจะยิงใส่ นาตาชา มองไปรอบๆ เห็นชายคนหนึ่งเดินแหวกออกมาจากด้านหลังของกลุ่มชายฉกรรจ์ ชายคนนั้นคือ ดร.ฟอร์ด นั่นเอง
“นาตาชา”
นาตาชาสะดุ้งเมื่อเห็นพ่อ เธอไม่แน่ใจว่า สิ่งที่เธอเห็น จะเป็นของจริงหรือภาพลวงตา ดร.ฟอร์ดขยับเข้ามาหา แต่นาตาชาหวาดๆ
“อย่านะ”
ดร.ฟอร์ดแปลกใจ
“นี่แกจำพ่อไม่ได้หรือไง”
สตีเฟ่นเดินเข้ามายืนข้างๆ ดร.ฟอร์ด
“พี่เอง...นาตาชา”
นาตาชายังไม่ไว้ใจ
“พี่สตีเฟ่น...จริงๆ ใช่มั๊ย”
“ใช่”
สตีเฟ่นส่งมือมาให้นาตาชาจับ นาตาชา ค่อยๆ เอื้อมมือไปจับ
“แกเป็นอะไรไป กลัวพ่อทำไม” ดร.ฟอร์ดถามอย่างไม่เข้าใจ
“นาตาชาเพิ่งผ่านเขตภาพลวงตาเข้ามา เธอยังสบสนอยู่ครับพ่อ” สตีเฟ่นบอก
“หนูขอโทษค่ะ”
ดร.ฟอร์ดมองไปที่ดอนกับเดี่ยว ซึ่งยืนอยู่ด้านหลัง
“แล้วนี่คงจะเป็น...”
ดอนพยักหน้า
“ผมดอน”
“ผมเดี่ยว”
ดร.ฟอร์ดยิ้มแย้ม ยื่นมือให้ดอนกับเดี่ยวจับ
“ยินดีที่ได้ร่วมงานกัน คุณดอน คุณเดี่ยวคงรู้แล้วนะว่าพวกคุณต้องทำอะไร”
“พวกเขาจะทำทุกอย่างที่เราสั่ง” นาตาชาบอก
“ใช่ครับ...นาตาชา” เดี่ยวรับคำ
ดร.ฟอร์ด มองดอน และเดี่ยวด้วยความพอใจ
“ไปที่พักเรากันเถอะ”
+ + + + + + + + + + + +
บริเวณ แคมป์ที่พัก ของกลุ่มดร.ฟอร์ด พร้อมสรรพไปด้วย บ้านพักที่สร้างขึ้นอย่างง่ายๆ เต้นท์เดินป่า มุมทำงาน จานดาวเทียม เครื่องปั่นไฟ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ ตามแบบฉบับนักวิทยาศาสตร์ฝรั่งที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยี่
ดร.ฟอร์ด และสตีเฟ่น เดินนำ ดอน เดี่ยว นาตาชา มายังที่พัก มะโหนก ราฮีม และลูกน้องแยกย้ายกันไปทำงาน ตามหน้าที่ สตีเฟ่นหันไปบอกดอนกับเดี่ยว
“คุณสองคน พักที่นั่น” สตีเฟ่นชี้ไปยังที่พักของดอนและเดี่ยว “ถ้าจะอาบน้ำ เดินไปทางโน้น จะมีลำธาร”
ดอนมองไปที่มุมคอมพิวเตอร์ และจานดาวเทียม
“ที่นี่มีสัญาณโทรศัพท์ด้วยเหรอครับ”
ดร.ฟอร์ดยิ้มๆ
“ผมอยู่ที่ไหน ที่นั่นต้องพร้อมทำงานได้ทุกอย่างทั้งอินเตอร์เน็ต โทรศัพท์ สัญญาณดาวเทียม ไม่ว่าคุณต้องการอะไร ผมมีทุกอย่าง”
“แต่พวกคุณ ห้ามใช้โทรศัพท์ ห้ามติดต่อกับคนภายนอก ทุกอย่างที่นี่เป็นความลับ” สตีเฟ่นสั่งเสียงเข้มจริงจัง
“แต่ทีมของคุณดอน คุณเดี่ยว กำลังพาตัวอาจารย์ซัมดองมาที่นี่ ต้องมีใครออกไปรับเข้ามา” นาตาชาบอก
ดร.ฟอร์ดหันไปหาลูกชาย
“คงต้องเป็นแก...สตีเฟ่น...ออกไปพาอาจารย์ซัมดองเข้ามาที่นี่ให้เร็วที่สุด”
“ได้ครับพ่อ”
เดี่ยวหยิบโทรศัพท์ แล้วกดหมายเลข ของบุษกร ส่งให้สตีเฟ่น
“นี่เป็นหมายเลขทีมของผม คุณใช้สแกนหาพิกัดของเธอได้”
สตีเฟ่น รับโทรศัพท์จากเดี่ยวแล้วเดินไปที่คอมพิวเตอร์ จากนั้นก็ กรอกหมายเลขโทรศัพท์ของบุษกร ลงไปในคอมพิวเตอร์ เพื่อสแกนหาพิกัด สักครู่ คอมพิวเตอร์ก็แสกนสำเร็จ สตีเฟ่นสั่งให้ปริ้นท์ แผนที่ออกมา ทันที
“พวกนั้นอยู่ที่ป่าตะวันตก ห่างจากที่นี่ประมาณ 8 กิโล” สตีเฟ่นหันไปหาดร.ฟอร์ด “ผม จะพาราฮีม กับพวกออกไป ส่วนมะโหนกให้ดูแลความเรียบร้อยทางนี้ อย่างช้าไม่เกินพรุ่งนี้คงเจอตัว”
“เก่งมาก...สตีเฟ่น แกช่วยฉันได้เสมอ”
ดร.ฟอร์ด ชื่นชมสตีเฟ่น นาตาชาน้อยใจ ที่พ่อไม่เคยชื่นชมเธอเหมือนที่ทำกับพี่ชาย
+ + + + + + + + + + + +
อีกด้านของป่า...
เสือสนธิ์กับเจ้าพ่ออินทร์ กำลังช่วยกันปฐมพยาบาล ลูกน้องที่บาดเจ็บจากการถูกยิง ฮวง นั่งหน้าจ๋อย อยู่ต่อหน้า ดร.วิทยาซึ่งกำลังหงุดหงิดที่ฮวงทำงานไม่สำเร็จ
“แกมันไม่ได้ความเลยไอ้ฮวง ปล่อยให้พวกมันหนีไปได้ยังไงวะ”
“พวกมันไม่ธรรมดานะครับ ด็อกเตอร์ แม้แต่นังนาตาชา มันก็เป็นมวยเหมือนกัน”
“หุบปาก...กะอีแค่ผู้หญิงก็สู้ไม่ได้ แล้วยังงี้เอ็งจะทำงานให้ข้าได้ไง”
เสือสนธิ์หันไปหาฮวง
“แล้วพวกมันไปทางไหน จำทางได้มั๊ย”
“ได้ครับ ผมจำได้”
“แต่ ผมกลัวจะเจอทหารญี่ปุ่นอีก พวกมันเหมือนไม่ใช่คนยิงมันก็ไม่ตาย” เจ้าพ่ออินทร์บอกอย่างกังวล
เสือสนธิ์ครุ่นคิด
“หรือว่าพวกมันเป็นทหารผี”
ดร.วิทยาส่ายหน้า
“ไม่...ผมว่าไม่น่าใช่”
“แล้วพวกมันเป็นอะไรด็อกเตอร์” เจ้าพ่ออินทร์ถาม
“ผมไม่รู้ ผมต้องหาคำตอบมาให้ได้” ดร.วิทยาหันมาหาฮวง “ฮวง ไปบอกคนอื่นๆ ให้เตรียมพร้อม อีก 5นาที เราจะออกตามเอาตัวนังแหม่มนาตาชามาให้ใช้”
“ครับด็อกเตอร์”
ทุกคนพากันเตรียมพร้อมเดินทาง
+ + + + + + + + + + + +
ม่านฟ้าและบัวชุม ยืนมองไปรอบๆเนื่องจากทั้งคู่กำลังเริ่มรู้สึกตัวว่าหลงทาง
“เดินไปเดินมาเหมือนป่าที่เราเคยผ่านมาแล้วนะ พี่บัวชุม”
“นั่นซิคุณหนู งั้นเราไปทางโน้นก็แล้วกัน”
“ทางโน้นเราก็เพิ่งผ่านมา จำไม่ได้เหรอ”
บัวชุมเริ่มใจเสีย
“ท่าทางเราจะหลงป่ากันแล้วนะคะคุณหนู”
“ใจเย็นๆซิ งั้นเราพักกันตรงนี้ก่อนก็แล้วกัน”
“ค่ะ...ดีเหมือนกัน บัวชุมก็เมื่อยเต็มทนแล้ว”
บัวชุมนั่งลงพัก ขณะที่ม่านฟ้า เดินสำรวจไปมาเนื่องจากได้ยินเสียงบางอย่าง
“คุณหนู...ไม่พักก่อนเหรอคะ”
ม่านฟ้าจุ๊ปากให้บัวชุมเงียบ
“ฟังซิ...ได้ยินเหมือนเสียงน้ำไหล”
บัวชุมและม่านฟ้าเงี่ยหูฟัง
“ต้องมีลำธารอยู่แถวนี้แน่เลย”
บัวชุม และม่านฟ้ารีบเดินตามเสียงน้ำไปเรื่อยๆ
+ + + + + + + + + + + +
ม่านฟ้าและบัวชุมเดินมาถึงที่ริมลำธาร ต่างก็ดีใจ รีบลงไปล้างหน้าล้างตัวกันอย่างสดชื่น
“อย่างงี้ค่อยสดชื่นหน่อยนะคะคุณหนู”
“สงสัยคืนนี้เราพักกันแถวนี้ก่อนดีกว่า”
“ดีค่ะ...ดี...บัวชุมจะได้หาปลามาทำของอร่อยๆให้คุณหนูกิน”
บัวชุมหันไปมองที่ริมฝั่งมุมหนึ่ง เห็นร่างของเปาชางนอน สลบไสลอยู่ริมฝั่ง
“นั่นคนนี่ ลอยมาติดตรงนั้น” บัวชุมบอกอย่างตกใจ
“อย่าไปยุ่งเลยพี่บัวชุม ไม่รู้ว่าเป็นคนดีหรือคนร้าย รีบไปจากที่นี่เถอะ”
ม่านฟ้ารีบพาบัวชุมเดินหนี แต่เมื่อเดินไปสองสามก้าว เธอก็หยุดชะงักรู้สึกไม่ดีถ้าตนเองจะทิ้งคนที่กำลังลำบากไป
“เดี๋ยวคะคุณหนู ไม่รู้ว่าตายหรือเปล่า...ไม่ช่วยเขาหน่อยเหรอค่ะคุณหนู” บัวชุมถาม
“นั่นซิถ้าเราไป เขาต้องตายแน่ๆ”
“หรือไม่ก็โดนเสือกิน”
“ไปดูเขาหน่อย”
ม่านฟ้าตัดสินใจเดินกลับไป แล้วดึงร่างของเปาชางให้ขึ้นจากฝั่ง เอาตัวเขานอนลงแล้วจับชีพจร
“เขายังไม่ตาย ช่วยเขาก่อนนะพี่บัวชุม ให้เขาพอมีแรงแล้วเราค่อยไปกัน”
“ค่ะ”
ทั้งคู่ช่วยกันดึงร่างเปาชางขึ้นมาแล้วเริ่มปฐมพยาบาล บัวชุม โยนปืนและกระเป๋าออกไปที่มุมหนึ่ง แล้วหันมาดูบาดแผลเปาชาง
อ่านต่อหน้า 2
เสาร์๕ ทับทิมสยาม ตอนที่ 6 (ต่อ)
บัวชุมก่อไฟ เพื่อให้ความอบอุ่นกับเปาชาง ขณะที่ม่านฟ้าเอาสมุนไพรมาทำแผลให้ เปาชางค่อยๆ ลืมตาขึ้นมามอง ม่านฟ้าหันมาเห็นแล้วชะงัก ทั้งคู่มองกันนิ่ง
“เธอเป็นใคร”
บัวชุมได้ยินรีบเข้ามาดู
“ฉันชื่อบัวชุม แล้วนี่ก็เจ้านายฉัน ชื่อม่านฟ้า
“ขอบใจที่ช่วย”
“คุณเป็นใคร” ม่านฟ้าถามเสียงนิ่ง
“ฉันชื่อเปาชาง”
บัวชุมแปลกใจ
“ชื่อไม่ใช่คนไทยนี่”
“โดนใครยิงมา” ม่านฟ้าถาม
เปาชาง รู้สึกชอบม่านฟ้า และอยากจะอยู่ใกล้ชิดเธอให้มากขึ้น จึงโกหกออกไป
“ฉัน...โดนปล้น”
“แล้วมาทำอะไรแถวนี้” บัวชุมถามอย่างสงสัย
“กลับบ้าน...ฝั่งโน้น”
“งั้นก็ต้องรอให้แผลหายก่อน” ม่านฟ้าบอก
เปาชางท่าทางกระหายน้ำ
“น้ำ...คอแห้งจังเลย”
บัวชุมเอาน้ำในกระติกให้ เปาชางกิน
“กินน้ำไปก่อนก็แล้วกัน เดี่ยวฉันจะหาอะไรให้กิน”
บัวชุม และม่านฟ้าต่างแยกย้ายกันไปเตรียมทำของกิน เปาชางแอบมองม่านฟ้า อย่างพอใจ
+ + + + + + + + + + + +
ยอด เทอด กริ่ง ช่วยกันแกะรอยเส้นทาง จากร่องรอยที่ปรากฏอยู่ในป่า เทอดมองรอยเท้าเหล่านั้นอย่างสงสัย
“ทำไมส่วนใหญ่เป็นรอยรองเท้าผู้ชาย น่าจะมีไม่ต่ำกว่า 10 คน”
“ไม่มีรอยรองเท้าผู้หญิงเลยเหรอคุณเทิด” ยอดถาม
เทิดมองๆ
“เดี๋ยวนะ”
กริ่งมองเห็นรอยเท้าที่แตกต่างจากรอยเท้าอื่นๆ
“ดูนี่ซิ...มีรอยรองเท้าผู้หญิงสามรอยมุ่งหน้า ไปทางเหนือ”
ยอดครุ่นคิด
“น่าจะเป็นเจนนี่ ยูกิ แล้วก็ชลดา งั้นไปทางนี้”
สามคนพากันเดินไปตามรอยเท้า สักครู่ยอด ก็ทำสัญญาณให้ทุกคนเงียบ
“มีอะไร” กริ่งกระซิบถาม
“เสียงคน” ยอดบอกเบาๆ
เทอดก้มลงฟังที่พื้นดิน
“มาจากด้านหลัง”
ยอดรีบบอก
“หลบก่อน”
สามหนุ่มพากันซ่อนตัวตามมุมต่างๆ สักครู่ก็พบว่า เป็นกลุ่มของสตีเฟ่น ราฮีม และลูกน้อง 10 คน กำลังเดินมา โดยไม่มีใครสังเกตกลุ่มของสามหนุ่ม สตีเฟ่นใช้จีพีเอสแบบมือเป็นเครื่องกำหนดเส้นทาง
“มีคลื่นสัญญาณโทรศัพท์อ่อนๆ อยู่ห่างไปไม่เกิน 2 กิโล”
“ไม่รู้ว่าพวกไหน” ราฮีมหันไปสั่งลูกน้อง “เอ็ง 2 คนไปทางนี้ อย่าส่งเสียง”
เมื่อกลุ่มสตีเฟ่นผ่านไปแล้ว ยอด เทอด กริ่งก็ออกมารวมตัวกัน
“พวกมันกำลังจะไปไหน” ยอดถามอย่างสงสัย
“ตามมันไป” เทิดบอก
ยอด เทอด กริ่ง รีบตามกลุ่มของสตี่เฟ่นไปอย่างเงียบๆ
+ + + + + + + + + + + +
อาจารย์ซัมดอง นั่งหลับตาอยู่ในมุมสงบ ขณะที่ กระแต บุษกร กำลังพยายามหาคลื่นโทรศัพท์ ติดต่อกับดอนกับเดี่ยว
“ไม่มีคลื่นเลย” กระแตบ่น
“ของเราแบตจะหมดแล้วด้วย” บุษกรบอกอย่างเซ็งๆ
“งั้นเราน่าจะเดินทางต่อ เพราะอย่างน้อยเราก็มี แผนที่”
“แต่อาจารย์บอกว่าจะรออยู่ที่นี่”
บุษกรบุ้ยใบ้ไปทางอาจารย์ซัมดอง ที่ไม่ยอมไปไหน
“ฉันจะไปพูดเอง”
กระแตหันไปหาอาจารย์ซัมดอง แต่กลับมองไม่เห็น เนื่องจากอาจารย์ซัมดองหายตัวไปแล้ว
“อ้าว...หายไปไหน”
บุษกรมองหา แล้วเรียก
“อาจารย์คะ...อาจารย์”
กระแตและบุษกร เดินมองหาแล้วพบกับกลุ่มของ ลูกน้อง 2 คนของสตีเฟ่นที่ราฮีมให้แยกมา กระแตตกใจ
“แกเป็นใคร”
กระแตและบุษกร ชักปืนออกมาลูกน้อง2 คนเข้ามาประชิดจะปลดอาวุธ
“วางปืน”ลูกน้องคนหนึ่งสั่ง
“ถอยไป” บุษกรตวาด
กระแต และบุษกรต่อสู้ ไม่ยอมให้ลูกน้องสตีเฟ่นปลดอาวุธง่ายๆ กระแตและบุษกร ซึ่งมีฝีมือ เหนือกว่า ทำให้ลูกน้องทั้งสอง ถึงกับทรุดแต่แล้วราฮีม สตีเฟ่น และพวกที่เหลือ ซึ่งมาสมทบก็เข้ามาล้อมกระแตกับบุษกรไว้
“ฝีมือไม่เลวนี่ หน้าตาก็ดีซะด้วย” ราฮีมพูดยียวน
สตีเฟ่นยิ้มกริ่ม
“กุหลาบงามหนามคม”
กระแต มองอย่างหวาดระแวง
“อย่าเข้ามานะ ถอยไป”
กระแตและบุษกรหันหลังชนกัน เล็งปืนไปรอบๆ ขณะที่สตีเฟ่น และพวกไม่มีทีท่าหวาดกลัว
“วางปืนซะ อย่าต้องให้ใช้กำลัง” สตีเฟ่นขู่
“แกเป็นใครมาสั่งฉัน” บุษกรถามเสียงเข้ม
สตีเฟ่นยิ้ม
“เป็นใครไม่สำคัญ มันสำคัญที่ว่า ฉันอยากเป็นมิตรกับพวกเธอ”
ทันใดนั้น ราฮิมกับลูกน้องก็เข้าชาร์ต จับกระแตกับบุษกรไว้ได้
ยอด เทอด กริ่ง ซุ่มดูเหตุการณ์ เมื่อเห็น กระแต กับบุษกร สู้ไม่ได้ ยอดจึงลุกขึ้นจะออกไปช่วย แต่ กริ่งกับเทอด ดึงเอาไว้
“อย่ายอด” กริ่งห้าม
“ฉันทนไม่ได้ ที่กระแตกับบุษกรถูกรังแก”
“ใจเย็น...ออกไปตอนนี้เราเสียเปรียบ” เทิดปราม
ทันใดนั้น กริ่งก็ชี้ไปที่มุมหนึ่ง เห็นร่างของซัมดอง ค่อยๆ ปรากฏขึ้น ใกล้ๆ กับกลุ่มของสตีเฟ่น
“ดูนั่นซิ”
“ใครแต่งตัวประหลาดๆ” ยอดถามอย่างแปลกใจ
เทอด มองอย่างสงสัย
“มันคงไม่ธรรมดา”
+ + + + + + + + + + + +
ลูกน้องบางคนของสตีเฟ่นที่ไม่รู้จัก ซัมดองก็ตกใจ เล็งปืนพร้อมยิง กระแตรีบขอความช่วยเหลือ
“อาจารย์ ช่วยด้วย”
สตีเฟ่นหันไปเห็น
“อาจารย์”
ซัมดองยิ้ม
“ในที่สุดแกก็มา...สตีเฟ่น”
“ผู้หญิงสองคนนี่มากับอาจารย์ใช่มั๊ยครับ” ราฮีมถาม
“มันพาข้ามาที่นี่”
สตีเฟ่น พยักหน้าให้ลูกน้องปล่อย บุษกร กับ กระแต
“ผมชื่อสตีเฟ่น ยินดีที่ได้รู้จักครับและผมต้อง ขอโทษที่เราเข้าใจผิด”
กระแตและบุษกร ตาขวาง ขณะที่สตีเฟ่นยิ้มกรุ้มกริ่ม
“รีบกลับกันเถอะครับ พระอาทิตย์จะตกอยู่แล้ว” ราฮีมรีบบอก
ทุกคนเริ่มออกเดินทาง ยอด เทอด กริ่ง ซุ่มมองเหตุการณ์อยู่ที่มุมหนึ่ง จึงแอบตามไปเรื่อยๆ
+ + + + + + + + + +
พระอาทิตย์พ้นขอบฟ้า ผืนป่าเริ่มมืดลง...
กลุ่มของสตีเฟ่น ยังคงเดินทางไปเรื่อยๆ ตามทิศที่จีพีเอสของสตีเฟ่นนำทางไป จนกระทั่งสตีเฟ่นให้สัญญาณพัก ทุกคนจึงพากันหยุดพัก
ซัมดองหามุมสงบนั่งลงหลับตาทำสมาธิ ขณะที่คนอื่นๆ ก่อไฟ ปรุงอาหารกัน สตีเฟ่น นำอาหารมาให้ ซัมดอง
“อาจารย์ครับ”
“ข้าไม่กิน”
“จริงซิ ผมลืมไปว่า...”
ซัมดองยกมือไม่ให้สตีเฟ่นพูดต่อ สักครู่ ซัมดองก็เอ่ยขึ้นมา
“มีใครบางคน แอบมองพวกเรา”
สตีเฟ่นหันไปมองรอบๆ ซึ่งมีแต่ความมืด
“ใครครับ”
“ผู้ชาย...สามคน...ซ่อนตัวในพุ่มไม้ใหญ่”
สตีเฟ่น ส่งสัญาณเรียกราฮีมเข้ามา แล้วคุยวางแผนกันเงียบๆ
+ + + + + + + + +
กระแตกับบุษกรกำลังนั่งอุ่นเครื่องกระป๋อง ขณะที่กลุ่มลูกน้องผู้ชาย ของสตีเฟ่นพากันเดินเข้ามากระลิ้มกระเหลี่ย หยอกล้อ ส่งสายตากรุ้มกริ่ม
“สวยๆ อย่างงี้ ทำอะไรก็อร่อย”
“พี่ขอชิมหน่อยได้มะ”
กระแตและบุษกร มองหน้ากัน คงต้องสั่งสอนให้รู้บ้างว่าใครเป็นใคร
“อยากชิมจริงๆเหรอ” กระแตถาม
ลูกน้องยิ้มหวาน
“จริงซิ...ชิมทั้งตัวเลยได้ปะ”
กระแตลูกขึ้นเตะเสยแล้วตามด้วยจรเข้ฟาดหาง ขณะที่บุษกรใช้ยูโดทุ่มอีกคนลงไปนอน ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน กระแตประกาศต่อหน้าทุกคน
“บอกทุกคนให้รู้ไว้ล่ะว่าต่างคนต่างอยู่ อย่ามาทำลามปามกับพวกฉัน”
“หรือใครอยากจะลองอีก”
สองสาวมองหน้า คนอื่นๆ ที่พากันมองนิ่ง รู้สึกเกรงกันมากขึ้น สักครู่ ลูกน้อง 2 คนก็ถูกเพื่อนๆ พยุงตัวแยกไปนั่งห่างออกไป กระแต และบุษกร นั่งลง อุ่นเครื่องกระป๋องกันต่อ ยอดซึ่งซุ่มดูเหตุการณ์อยู่ ค่อยๆ หาจังหวะปลอดคน แล้วเข้ามาหากระแต และบุษกร
“กระแต...กระแต”
กระแตชะงักอึ้ง ไม่คิดว่ายอดจะมาโพล่ที่นี่ได้
“นี่คุณมาได้ยังไง”
“ก็เห็นพวกคุณหายไป ผมคุณเทอด คุณกริ่งเลยมาตาม”
“แล้วคุณกริ่ง คุณเทิดล่ะ” บุษกรถามเบาๆ
“อยู่ด้านโน้น นี่ผมหลบพวกเขามา”
กระแต และบุษกรหันมามองหน้ากัน กระแตพยักหน้าให้สัญญาณ ให้บุษกรไปบอกสตีเฟ่นเนื่องจากขณะนี้ กระแตและบุษกร ถูกครอบงำจากมนต์ดำอยู่
บุษกร ยิ้มแล้วเดินออกไป ยอด รู้สึกถึงสัญญาณบางอย่างที่อันตราย
“บุษกรจะไปไหน”
“ก็ปล่อยให้เราอยู่กันตามลำพังไง”
กระแตยิ้มหวานเข้ามาหายอด
“ผมอยากให้คุณกับบุษกร หนีออกมาจากคนพวกนี้ มันอันตราย”
“ไม่เชื่อใจเราเหรอ”
“เปล่า แต่ผมเป็นห่วง”
กระแต เคล้าเคลียยอดและหว่านเสน่ห์ให้อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ทำให้ยอดรู้สึกแปลกใจ และไม่วางใจ
“รู้ไหมว่าฉันมีความรู้สึกดีๆ แค่ไหนที่คุณเป็นห่วง”
“กระแต...นี่คุณปกติดีหรือเปล่า”
“ยอด...คุณกลัวอะไร...คุณลืมความรักที่เรามีให้ต่อกันแล้วเหรอ”
ขณะเดียวกันนั้น ยอดหันไปเห็น เงาของกลุ่มคนกำลังเดินเข้ามา
“มีคนมา”
ยอดทำท่าจะหลบไป แต่กระแตฉุดมือไว้ พูดเสียงแข็ง
“คิดว่าจะหนีง่ายๆ เหรอ”
ยอดตกใจ
“นี่อะไรกันนี่ กระแต”
“แกเป็นศัตรู...ฉันต้องกำจัดเสาร์ห้าทุกคน”
กระแตพยายามจะล็อคยอดไว้ แต่ยอดสะบัดหลุด ขณะที่บุษกรเดินนำสตีเฟ่น ราฮีม และพวกเข้ามา บุษกร รีบบอกสตีเฟ่น
“พวกเสาร์ห้ามันมาอยู่อยู่ทางโน้น”
สตีเฟ่นมองไปเห็นยอดก็ตะโกนสั่งลูกน้อง
“ฆ่ามัน!”
ยอดกระโดดหนีเข้าป่าแล้ววิ่งไ ปขณะที่ สตีเฟ่น ราฮีมและพวก กระหน่ำยิงใส่แล้วตามไป กระแต และบุษกร ยืนมอง ด้วยสายตาแช็งกร้าว
+ + + + + + + + + +
กริ่ง และเทอด ลุกขึ้นยืนมอง เนื่องจากได้ยินเสียงปืนดังขึ้น แล้วสักครู่ก็เห็นยอด วิ่งเข้ามา
“ฉันเอง...พวกมันเห็นฉันแล้ว”
“ตามฉันมาทางนี้”
เทอดนำกริ่งและยอด วิ่งไปหลบที่มุมหนึ่งซึ่งมืดทึบ เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ สักครู่ สตีเฟ่น ราฮีม และลูกน้อง วิ่งตามเข้ามา ราฮีมดูร่องรอยที่พื้นแล้วบอกอย่างมั่นใจ
“พวกมันต้องอยู่แถวนี้”
“ดูรอยพวกมันซิ” สตีเฟ่นสั่ง
ราฮีมสำรวจที่พื้น แล้วจากนั่นก็ส่งสัญญาณให้ทุกคนรู้ว่า สามคนไปทางไหน
“มันไปทางนี้ตามไปให้เงียบที่สุด”
ทุกคนค่อยๆ ตามไปเงียบๆ
+ + + + + + + + + + + + +
สตีเฟ่น ราฮีมและลูกน้องอีก 2 คน กำลังย่องเงียบ เพื่อค้นหาร่องรอย สักครู่ ราฮีมเห็นความเคลื่อนไหวภายในพุ่มไม้จึงส่งสัญญาณให้คนอื่นๆ รู้ สตีเฟ่น และลูกน้องพากันกระจายตัว เพื่อเตรียมดักทางหนีเอาไว้ ราฮีมตรงไปยังพุ่มไม้ ซึ่งมีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ ราฮีมเล็งปืนเตรียมพร้อม
“ออกมาไม่งั้นข้ายิง”
ยอด เทอด กริ่ง แอบอยู่อีกพุ่มไม้หนึ่งไม่ไกลนัก ชะงักเมื่อได้ยินเสียงราฮีม ทั้งสามคนชักปืนออกมาเตรียมพร้อมที่จะลุย
พุ่มไม้ที่ถูกล้อม ยังคงสั่นไหว ราฮีมเริ่มกระหน่ำยิงเข้าไป ทำให้สตีเฟ่น และลูกน้องช่วยกันยิงสมทบ ที่พุ่มไม้ เห็นฝูงนกพากันแตกตื่น บินพรึ่บพรั่บหนีกันจ้าละหวั่น ราฮีมและคนอื่นๆหยุดยิง รีบเข้าไปเคลียร์ จึงพบว่าภายในพุ่มไม้ไม่มีคนอยู่นอกจากนก
ยอด เทอด กริ่ง ต่างพากันเคลื่อนตัวเพื่อหาที่ซ่อนที่มิดชิดขึ้น แต่การเคลื่อนไหวของทั้งสามคน ทำให้นกป่า ซึ่งอาศัยอยู่แถวนั้นพากันตกใจ บินหนีออกมา สตีเฟ่นหันไปมอง แล้ววิ่งไปหาแล้วยิงใส่พุ่มไม้เป้าหมายทันที
“รอดก็ให้มันรู้ไป ยิง”
ราฮีมและลูกน้อง พากันถล่มใส่เป้าหมาย ยอด เทอด กริ่ง หลบหลังต้นไม้ใหญ่ กระสุนปืนปลิวว่อนเฉียดฉิวไปมา
“ซัดกับมันเลย” ยอดคำราม
ยอดกับกริ่งลุกขึ้นเลื่อนปืน M 16 เทอดห้าม
“อย่า! ฉันว่าสงวนลูกปืนไว้ดีกว่า อย่ายิงโดยไม่จำเป็น กระสุนเรามีจำกัด”
“แล้วจะเอายังไง” กริ่งถามอย่างสงสัย
“เราจะใช้วิชาของเราหลอกล่อพวกมันดีกว่า” เทอดแนะ
ยอดยิ้มเห็นด้วย
“ฟังแล้วน่าสนุก โอเค งั้นเราแยกกัน”
“ฉันจะล่อมันไปทางนี้”
ขาดคำ กริ่งวิ่งฉิวปลิวลมวูปหายไป
ยอดหน้าเหวอ
“อ้าว...ไปซะแล้ว”
เทิดหันมาบอก
“ฉันจะไปล่อมันทางโน้น...แล้วนายล่ะยอด”
ยอดยิ้มแย้ม
“ไม่ต้องห่วงฉัน”
เทอดหายตัวทันที
+ + + + + + + + + + + +
สตีเฟ่น ราฮีมและลูกน้องรีบพุ่งเข้ามาสำรวจในพุ่มไม้ ยอดรีบแทรกตัวเข้าไปซ่อนในต้นไม้ใหญ่ทันที สตีเฟ่น ราฮีมลูกน้องพากันเดินสำรวจแล้วอ้อมมาดู ต้นไม้ที่ยอดแทรกตัวเข้าไป ซึ่งมีแต่ความว่างเปล่า
“มันหายไปไหนกันหมด” ราฮีมบ่นอย่างแปลกใจ
สตีเฟ่นงุนงงสงสัย
“เมื่อกี้เหมือนได้ยินเสียงมันคุยกันอยู่”
ทันใดนั้น กริ่งวิ่งล่อพวกมันเร็วปานลมพัดผ่านวูบ พวกสตีเฟ่น ราฮีม หันขวับไปยิงแต่กริ่งเร็วกว่าที่ลูกปืนจะทำอะไรได้ พวกสตีเฟ่นวิ่งไล่กระหน่ำยิงตามแต่จะเห็นใบไม้ไหวที่ไหน กริ่งวิ่งไปหลบที่มุมต่างๆแล้วถูกกระสุนกระหน่ำตามไปทุกที่ กริ่งเริ่มเหนื่อย พลังเริ่มอ่อนลง การวิ่งเริ่มทำได้ยากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งหมดแรงทรุดตัวลงกับพื้น หอบตัวโยน
พวกสตีเฟ่น ค่อยๆ เดินใกล้เข้ามา เทอด โผล่มาที่ด้านหลังของทุกคน แล้ว หยิบก้อนหินขว้างไปทิศทางอื่น จากนั้นก็หายตัวไป สตีเฟ่น และลูกน้อง หันไปตามทิศทางที่เทอดโยนก้อนหิน แล้วแยกกันไปดู ยอดโผล่จากต้นไม้อีกต้น แล้วดึงกิ่งไม้ใกล้ๆ เขย่า จากนั้นก็แทรกตัวเข้าต้นไม้ไป ราฮีม และพวกที่เหลือ หันมามองแล้วกระหน่ำยิง จากนั้นก็วิ่งเข้าไปตรวจหาร่องรอย
กริ่งนั่งหลบอยู่อย่างหอบเหนื่อย เห็นเทอดปรากฏตัวขึ้นมา กริ่งรีบคว้าปืนเล็งไปตามสัญชาตญาณ
“ฉันเอง”
เทอดมีท่าทีเหนื่อยอ่อน แล้วสักครู่ก็เห็นยอด โผล่จากต้นไม้ออกมาทรุดตัวนิ่งหอบ
“เกือบไป”
กริ่งหันมองเพื่อนอย่างซึ้งใจ
“ขอบใจมากเทอด ยอด ที่ช่วยฉันไว้”
เทอดหอบเหนื่อย
“พวกเราใช้พลังกันมากไป”
ทุกคนพากันหอบเหนื่อย กริ่งยิ้ม ขอบใจในความเป็นเพื่อน
เทอด บอกให้เพื่อนพักผ่อนแล้วออกไปล่อ พวกสตีเฟ่น...เทอดปรากฏตัวขึ้นยิงล่อ พวกสตีเฟ่น ราฮีม และสมุนหันมาไล่ยิง เทิดวิ่งหนีแล้วหายตัวไป ราฮีมหน้าตื่นแปลกใจ
“เมื่อกี้เห็นในอยู่ตรงนี้ไม่รู้มันหายไปได้ยังไง ผมว่าพวกมันไม่ธรรมดาเจ้านาย”
“งั้นกลับไปหาซัมดองกันดีกว่า”
สตีเฟ่น ราฮีมและพวกต่างก็แยกย้ายกันเดินกลับไป
+ + + + + + + + + + +
เมื่อกลับมาที่พัก สตีเฟ่นกับ ราฮีม ไปปรึกษาซัมดองเรื่องที่จะจัดการกับ สามหนุ่ม ซัมดองนั่งหลับตาทำสมาธิ สักครู่ก็ลืมตาขึ้นมา
“มีวิธีที่จะจัดการกับพวกมันมั๊ยครับอาจารย์” สตีเฟ่นถามทันที
ซัมดองส่ายหน้า
“พวกมันไม่ใช่คนธรรมดา ถ้าจะจัดการกับพวกมันไม่ใช่เรื่องง่าย”
“แล้วจะให้พวกเราทำไงดีครับ” ราาฮีมถาม
“ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ปล่อยมัน” ซัมดองพูดเรียบนิ่ง
สตีเฟ่นไม่พอใจ
“ปล่อยพวกมันอย่างงั้นเหรอครับ...”
ซัมดองยิ้มมุมปาก
“ปล่อยให้พวกมันตายใจ ได้โอกาสเมื่อไหร่เราค่อยจัดการ”
สตีเฟ่น พยักหน้าเห็นด้วย
“งั้นคืนนี้ เราพักที่นี่ก่อนเช้าค่อยเดินทางต่อ”
“ดี”
สตีเฟ่นและราฮีมแยกย้ายกันไป ซัมดอง หยิบดวงตาสวรรค์ ออกมาแล้วเริ่มร่ายมนต์ จากนั้นดวงตาสวรรค์ก็ค่อยๆ เปิดออกมา ดวงแก้วส่องประกายจ้า ภายในดวงแก้วมีวิญญาณมากมาย กำลังส่งเสียงกรีดร้อง น่าสะพรึงกลัว ซัมดอง เพ่งมองแล้วพูดกับวิญญาณในดวงแก้ว
“จงเปิดภาพให้ข้าเห็น พวกมัน”
ภาพในดวงแก้ว เริ่มเปลี่ยนไป กลายเป็นภาพของ ยอด เทอด และกริ่ง ซึ่งกำลังนั่งพักเอาแรงกันอยู่ แล้วจากนั้นภาพก็เริ่มย้อนอดีตของ เทอด ยอด กริ่ง ตอนอาจารย์ปลุกเสกพระประจำตัวเข้าร่างของแต่ละคน ทั้งสามคนคือกลุ่มเสาร์ห้า ซัมดองพึมพำ
“ที่แท้ก็พวกเสาร์ห้า...ดี...สักวัน อำนาจพุทธคุณที่อยู่ในตัวพวกมันจะต้องมาเป็นของข้า”
ซัมดอง ยิ้มเหี้ยมเกรียม
+ + + + + + + + + + + +
ค่ำคืนนั้น ใบหน้าของซัมดองดูน่าสะพรึงกลัว ปรากฏอยู่ในความฝันของเคน ซึ่งกำลังนอนหลับอยู่ ทันใด แคน พี่ชายฝาแฝดของเขาก็ปรากฏตัวขึ้นมาในฝัน บอกกับเคนเสียงเย็น
‘...ดวงวิญญาณบรรพบุรุษของเรา ถูกขังไว้ในลูกแก้วดวงตาสวรรค์นั่น มีเจ้าคนเดียวที่จะช่วยให้พ้นการทรมาณจากตวงตานั่นได้…’
ในฝัน...เคนมองไปที่บัวสวรรค์ ซึ่งภายในลูกแก้ว ปรากฏเป็นภาพของวิญญาณมากมาย ถูกขังเอาไว้ บรรดาวิญญาณส่งเสียงร้อง ขอความช่วยเหลืออย่างน่าเวทนา...เคนนอนหละบกระสับกระส่ายแล้ว สะดุ้งตื่นขึ้นมา ชลดากับ ยูกิ นอนหลับอยู่ ขณะที่เจนนี่ นั่งมองมาที่เคน
“คุณฝันร้าย”
เคนหันไปเห็นเจนนี่ จึงรู้สึกอายกับอาการฝันร้ายที่เขาเป็น เคนหันหน้าหนี ลุกชึ้นแล้วเดินหนีไป
เจนนี่เดินไปที่เคนซึ่งยืนอยู่ที่มุมหนึ่ง เคนหันมามอง
“ขอโทษนะ ฉันพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า”
“เปล่า...”
เคนหันมามองแล้วทำท่าจะเดินหนีอีกครั้ง แต่เจนนี่รีบชิงพูดเสียก่อน
“คุณคงไม่พอใจที่พวกฉันอยู่ที่นี่ เอาเป็นว่าพรุ่งนี้พวกฉันจะไป ขอบคุณมากที่ช่วยฉันกับเพื่อนๆ ไว้”
พูดจบ เจนนี่ก็เป็นฝ่ายเดินจากไป ปล่อยให้เขายืนมองตามครุ่นคิด ทบทวน ว่าต่อไปนี้เขาจะทำยังไงดี ระหว่างการปล่อยให้พวกผู้หญิงสามคนเดินทางไปกันเอง หรือว่า เขาจะทำตามความฝัน
+ + + + + + + + + + +
เช้าวันใหม่...
เจนนี่ ยูกิ และชลดากำลังเตรียมตัวออกเดินทาง ขณะที่เคนหายไป สามสาวมองหาคนละด้าน...ยูกิหันไปถามชลดาที่มองหาอยู่อีกด้าน
“เป็นไงเจอไหม”
ชลดาส่ายหน้า
“ไม่เจอ”
เจนนี่ กวาดสายตามองอยู่อีกด้านหันไปบอกเพื่อน
“ทางโน้นก็ไม่มี”
“คุณเคน...อยู่ไหนคะ” ยูกิตะโกนเรียก
“หายไปไหนของเขานะ” ชลดาบ่น
เจนนี่คิดๆ
“ถูกเสือกินไปแล้วมั้ง”
ยูกิสะดุ้ง
“บ้า...อย่าพูดแบบนั้นซิ”
เจนนี่ยิ้ม
“ขอโทษ”
“เราจะรอเขามั๊ย” ชลดาถาม
“คงไม่ต้องก็ได้ ดูเขาไม่ค่อยชอบที่เรามาอาศัยอยู่ที่นี่นักหรอก” เจนนี่ประชด
“คิดมากน่ะ เจนนี่” ยูกิแย้ง
“ก็ท่าทางเขาแปลกๆ ไม่พูดไม่จา” เจนนี่บ่น
“งั้นเราออกเดินทางกันเลยดีกว่า” ชลดาตัดบท
“แล้วจะไปทางไหนกันดีล่ะ แผนที่ก็หายไปแล้ว” เจนนี่ถาม
“จำได้ว่าต้องเดินไปทางเหนือ” ยูกิบอก
ชลดาคิดๆ
“ไปทางเหนืออืม...งั้นก็ทางนี้”
สามสาวเริ่มออกเดินไป แต่แล้วเสียงแคนก็ดังขึ้นมาทุกคนหยุดหันไปมอง เห็น เคน เดินออกมาจากมุมหนึ่ง
“เคนคุณหายไปไหนมาทั้งคืน” ชลดาถามอย่างสงสัย
“ป่าคือบ้านของผม...ที่ผมกลับมาเพราะเป็นห่วงพวกคุณ”
“งั้นพาพวกเราไปป่าสุสานบ้างซิ...เคนช่วยพวกเราหน่อย” ยูกิขอร้อง
เคน พยักหน้ารับ
“ได้...งั้นตามผมมา”
เจนนี่ ชะงักอึ้ง
“นี่หมายความว่า...”
“ผมจะพาพวกคุณไปแต่ผมเดินเร็ว ตามให้ทันก็แล้วกัน”
เคนออกเดินไป ทำให้สามสาวรีบเดินตามกันไป
อ่านต่อวันพรุ่งนี้