เสาร์๕ ทับทิมสยาม ตอนที่ 3
เดี่ยวเดินนำบุษกรมาพร้อมกับเจนนี่ ไปตามทางเดินของโรงพยาบาล แพทย์หญิงคนหนึ่ง เพิ่งเดินออกมาจากห้อง ระหว่างนั้นเธอหันมาเห็นบุษกร เลยจำกันได้ว่าเคยเรียนด้วยกัน
“บุษกร”
“หมอหน่อย”
“มาทำอะไรที่นี่ค่ะ” หมอหน่อยถาม
“มาเยี่ยมคนไข้ค่ะ”
“แล้วนี่...”
หมอหน่อยมองไปทางเดี่ยว...
“คุณเดี่ยว แล้วนี่ คุณเจนนี่”
เดี่ยวและเจนนี่ยิ้มทักทาย บุษกรกับหมอหน่อย สนทนากันอย่างสนิทสนม เดี่ยวมองดูรูปการณ์แล้วท่าจะยาว จึงหันมาหาเจนนี่
“ผมว่างานนี้คงยาว เดี๋ยวเราแยกกันไปก่อนดีกว่า”
“คุณอยู่เป็นเพื่อนบุษกรเถอะค่ะ ฉันไปเองก็ได้ห้องหมายเลขอะไรนะคะ”
“102 ครับ ทางขวามือ”
เจนนี่แยกตัวเดินไป ปล่อยเดี่ยวอยู่เป็นเพื่อนบุษกรที่กำลังคุยกับเพื่อนเก่า
+ + + + + + + + + + + +
ในห้องพักฟื้นของนาตาชา
ดอนนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ นาตาชาพลิกตัวมามอง แล้วลุกขึ้นมานั่ง นาตาชาเริ่มแผนการณ์บางอย่าง จึงแกล้งหาเรื่องใกล้ชิดกับดอน
“อุ๊ย...เจ็บ...เจ็บ...”
ดอนหันมามอง
“มีอะไรครับ”
“ตัวแมลงอะไรก็ไม่รู้ กัดที่หลัง เจ็บ...เจ็บมากเลย...”
นาตาชาพยายามเอื้อมมือไปด้านหลังแต่ไม่ถึง จึงหันมาหาดอน
“คุณดอน ช่วยหน่อนค่ะ สงสัยจะเป็นแมลงวตัวเล็กๆ โอ๊ย...เร็วค่ะ เร็ว...”
ดอนรีบลุกมาหานาตาชา มองหาแมลง แต่ไม่เห็นอะไร
“ไม่เห็นมีอะไรนี่ครับ”
“มันไต่เข้าไปข้างในแล้วค่ะ เร็วค่ะ จับมันที”
“แต่ว่า...”
“มาที่ข้างหูแล้วค่ะ”
ดอนชะโงกมาที่ข้างหูนาตาชา ขณะที่นาตาชาแกล้งหันหน้าไปชน ทำให้จมูกของดอน ชนกับแก้มของนาตาชาอย่างจัง ทั้งคู่ชงักมองหน้ากัน ดอนเขิน เจนนี่เดินเข้ามาหยุดมอง ในจังหวะที่ทำให้เข้าใจผิดคิดว่าดอนกำลังจูบนาตาชา
นาตาชาหันมาเห็นเจนนี่
“ดอนคะ”
ดอนหันมาเห็นเจนนี่ยืนมองนิ่ง
“ขอโทษค่ะ ที่มารบกวน”
เจนนี่หันกลับ กำลังจะเดินออกไป แต่ดอนเรียกไว้
“เจนนี่”
เจนนี่ชะงักหันมา นาตาชารีบเปลี่ยนสายตาเป็นสาวสวยใจดี เป็นมิตรกับเจนนี่เพื่อไม่ให้ดอนรู้แผนของเธอ
“อย่าพึ่งไปซิค่ะคุณเจนนี่ ดิฉันกำลังต้องการให้คุณช่วยพอดี”
นาตาชาหันไปหาดอน กระซิบเบาๆ
“ดอนคะ เดี๋ยวฉันเคลียร์เรื่องๆเมื่อกี้ให้ คุณออกไปก่อน”
“ได้ครับ”
ดอนเดินมายิ้มให้เจนนี่ แล้วเดินออกจากห้องไป นาตาชาเปลี่ยนสายตาจากมิตร กลายเป็นคู่แข่งทันที
“จะให้ฉันช่วยอะไร”
“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ฉันคงไม่สามารถปิดบังอะไรเธอได้อีก ในความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับดอน”
“มาบอกฉันทำไม”
“ดอนเขาเป็นคนใจอ่อน แล้วก็ไม่อยากทำร้ายจิตใจของเธอ พวกผู้ชายน่ะยังไงก็ไม่ยอมรับเรื่องที่เขานอกใจง่ายๆหรอก”
เจนนี่ไม่พอใจ
“ฉันกับดอน ไม่ได้เป็นอะไรกัน”
“นั้นมันเรื่องของเธอ แต่เวลานี้ ระหว่างเธอกับดอน มีฉันเพิ่มมาอีกหนึ่งคน หวังว่าเธอคงไม่รังเกียจนะ”
“ฉันไม่เคยได้ยินใครพูดจาได้น่าเกลียด เท่าเธอมาก่อนเลยนาตาชา”
เจนนี่รู้สึกสะอิดสะเอียนนาตาชา จนทนไม่ไหวเธอจึงรีบเดินออกจากห้องไป นาตาชายิ้มอย่างมีชัย
+ + + + + + + + + + + +
เจนนี่เดินออกมาหน้าห้อง ดอนหันมายิ้มให้ เจนนี่รู้สึกหงุดหงิดรีบเดินหนี
“เดี๋ยวซิ จะไปไหน”
“ฉันขออยู่คนเดียว”
ดอนชะงัก ไม่กล้าเดินต่อ ปล่อยให้เจนนี่เดินจากไป ดอนรีบหันกลับแล้วเปิดประตูเข้าห้องไป นาตาชาตีหน้าเศร้าทันที...
“เมื่อกี้คุณกับเจนนี่คุยอะไรกัน”
“คือฉันพยายามอธิบายให้คุณเจนนี่เข้าใจ ว่าสิ่งที่คุณเจนนี่เห็นมันมีที่มาที่ไปยังไง แต่ว่า....”
“มีอะไรครับ”
“คุณเจนนี่เธอไม่ยอมเข้าใจค่ะ เธอ...”
นาตาชาแสร้งทำอ้ำอึ้งชวนให้สงสัย แต่ไม่ยอมพูดออกมา ขณะเดียวกัน เดี่ยว และบุษกร เดินเข้ามาในห้อง
“มีอะไรครับ”เดี่ยวถามอย่างแปลกใจกับท่าทางของทั้งคู่
“คือเจนนี่เขาเข้าใจผิด” ดอนหันกลับมาบอก
“เข้าใจผิดเรื่องอะไร”
ดอนอ้ำอึ้ง
“เรื่องฉันกับคุณดอนน่ะค่ะ”
“คุณเจนนี่กำลังอารมณ์ไม่ดี รอให้เธอเย็นลงแล้วค่อยปรับความเข้าใจกันดีกว่าค่ะ”
เดี่ยว ตบบ่าดอนเพื่อให้กำลังใจ บุษกรเข้ามาหานาตาชา
“ยังเจ็บแผลอยู่หรือเปล่าคะ”
“ไม่เท่าไหร่ค่ะ ฉันทนได้”
“ดิฉันคุยกับหมอเจ้าของไข้แล้ว คิดว่าอีกสองสามวัน คุณก็คงกลับบ้านได้”
นาตาชาแกล้งตีหน้าเศร้า
“ค่ะ ฉันเองก็อยากกลับบ้านให้เร็วที่สุด”
บุษกรเดินเข้ามาดูแผล
“รู้สึกว่าแผลคุณต้องพันใหม่แล้วนะคะ งั้นเดี๋ยวฉันจัดการให้”
บุษกรกดอินเตอร์คอมเรียกเค้าท์เตอร์ บริการ
“พยาบาลขอเครื่องมือมาทำแผลให้คนไข้ด้วยค่ะ”
“รอสักครู่นะคะ” พยาบาลตอบรับกลับมา
ครู่หนึ่งพยาบาลเข็นรถมา มีเครื่องมือทำแผลพร้อม
“ตามสบายนะครับ”
เดี่ยว ดอน ออกไปข้างนอก บุษกรเริ่มทำแผลให้นาตาชา โดยมีพยาบาลคอยช่วยเป็นลูกมือ
“คุณทำอย่างกับเป็นหมอ”
“ฉันเคยเป็นหมอมาก่อน”
“เหรอค่ะ...คุณดีกับฉันเหลือเกินค่ะ คุณบุษกร”
“พวกเราเป็นมิตรกับทุกคนค่ะ”
นาตาชาแกล้งทำน้ำตาคลอ ให้ดูน่าสงสาร
“ค่ะ ฉันก็อยากเป็นเพื่อนกับพวกคุณทุกคน แต่ว่า...”
“มีอะไรเล่ามาเถอะค่ะ ถ้ามีปัญหาอะไร ฉันจะได้ช่วย”
“เรื่องคุณเจนนี่นั่นแหละค่ะ ฉันไม่อยากเป็นต้นเหตุให้ดอนกับเจนนี่ทะเลาะกัน แต่ฉันไม่มีโอกาสได้อธิบาย...ถ้าเขาสองคนต้องมา เลิกกันเพราะฉันเป็นต้นเหตุ ฉันคงรู้สึกไม่ดีแน่ๆ”
“อย่าพึ่งคิดไปไกลขนาดนั้นเลยค่ะ อีกหน่อยก็คงจะดีขึ้นเอง อย่ากังวลไปเลย”
“ค่ะ ฉันก็หวังว่าอย่างนั้น”
นาตาชาแสดงละครเพื่อทำให้บุษกรเชื่อเธอ
+ + + + + + + + + + + +
เจนนี่กำลังยืนทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นเงียบๆ เธอรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างในการกระทำของนาตาชา เพียงแต่ยังไม่แน่ใจในตอนนี้
“มาหลบอยู่นี่เอง”
เจนนี่หันมามองดอน แล้วยิ้มให้
“ขอโทษนะคะดอน เมื่อกี้ฉันวู่วามไปหน่อย”
“คุณโกรธผมเรื่องนาตาชาใช่มั๊ย”
“เราอย่าพึ่งพูดอะไรกันตอนนี้เลยค่ะ”
“งั้นเราไปหาเพื่อนๆกันเถอะ”
“ค่ะ”
เจนนี่และดอนเดินไปด้วยกัน
+ + + + + + + + + + + +
บ้านนายพลจางลี่...
เปาชางกำลังสแกนไปตามแผนที่ต่างๆ เริ่มจากกรุงเทพฯแถวๆชานเมือง แล้วจากนั้นก็หยุดที่พิกัดโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
“ได้พิกัดแล้วครับลุง”
“พวกมันอยู่ที่ไหน”
“เป็นโรงพยาบาลแห่งหนึ่งแถวๆชานเมือง”
“ส่งคนไปจัดการพวกมัน พวกมันคืออุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางเรา”
“งานนี้ต้องถึงมือไอ้แซม”
“ไอ้แซมรถซิ่งนะเหรอ...”
“ครับลุง ถึงค่าจ้างจะแพง แต่งานมันไม่เคยพลาด”
“ถ้างั้นลงมือได้เลย”
เปาซางเปิดมือถือเรียกรูปแซมขึ้นมาหน้าจอ
“แซมนี่ฉันเปาชางพูด”
“สวัสดี เจ้านาย มีอะไรจะให้ผมรับใช้ครับเจ้านาย”
“มีงานช้างให้แกทำ ถ้าแกทำสำเร็จ ฉันจะจ่ายให้แก ห้าแสน...ฉันจะจ่ายล่วงหน้าแกครึ่งนึงพอใจไหม”
“ได้เลยครับ เจ้านาย บอกมาเลยว่ามันเป็นใคร”
“ฉันจะเมลล์ที่อยู่พวกมันไปให้แก”
เปาชางบอกแล้ววางสายตรงไปที่คอมพิวเตอร์ทันที
+ + + + + + + + + + + +
ในห้องนาตาชา
กระแตกำลังนั่งอยู่ข้างเตียงนาตาชา โดยกระแตให้นาตาชาดูภาพดอกไม้ต่างๆที่กระแตสะสมเอาไว้ จากโทรศัพท์มือถือ ทั้งคู่คุยกันอย่างถูกคอ เพราะสนในเรื่องดอกไม้เหมือนกัน บุษกรกำลังจัดยาอยู่มุมหนึ่ง
“ไม่คิดมาก่อนเลยว่า เมืองไทยจะมีดอดไม้สวยขนาดนี้”นาตาชาบอก
“ยังมีสวยกว่านี้อีกเยอะค่ะ ฉันทำเป็นคอลเล็กชั่นเก็บไว้ในคอมฯ”
“ของฉันก็มีนะคะ เก็บทั้งรูปถ่าย แล้วก็ดอกจริง ทำเป็นซีรีย์เลยค่ะ”
“งั้นเราก็คอเดียวกันเลยซิ”
ขณะเดียวกัน ดอนพาเจนนี่เดินเข้ามา
“เอ...คุณเดี่ยว คุณยอด หายไปไหนครับนี่”
บุษกรหันไปบอก...
“ไปคุยกับคุณกริ่ง คุณเทอดที่ห้องโน้นค่ะ”
นาตาชาหันไปชวน...
“คุณเจนนี่มาดูรูปดอกไม้นี่ซิคะ สวยมากเลย”
นาตาชาทำตัวสุภาพ หวานใสเพื่อสร้างภาพ เจนนี่ยิ้มแบบไม่เต็มที่ เพราะเธอไม่แสแสร้ง
“เรื่องดอกไม้ ฉันไม่ค่อยสนหรอกค่ะ”
“แหม...แปลกจังเลยคะ เป็นผู้หญิงแต่ไม่สนใจดอกไม้”
บุษกรตอบแทน...
“คุณเจนนี่เค้าสนใจเรื่องจิตวิทยา ชอบศึกษาเรื่องพฤติกรรมมนุษย์ อะไรพวกนี้แหละค่ะ”
“พฤติกรรมของมนุษย์ มีอะไรหน้าสนใจหรือคะ” นาตาชาหันไปถาม
“ก็อย่างบางคนชอบเสแสร้ง บางคนชอบปั่นให้คนอื่นแตกกัน แล้วที่สำคัญพวกนี้ชอบตีสองหน้า คนแบบนี้คุณนาตาชาเคยเห็นบางไหมค่ะ”
นาตาชา รู้ว่ากำลังโดนเจนนี่กระแทก เธอฉลาดที่จะไม่โต้ตอบ แต่เปลี่ยนประเด็นให้อยู่ในเกมส์ที่เธอต้องการ หันไปหาดอน...
“ดอนคะ คุณต้องดูแลคุณเจนนี่ให้ดีๆนะคะทั้งสวย ทั้งเก่งแบบนี้ หาไม่ได้ง่ายๆ หรอกค่ะ”
นาตาชาแอบทำสายตาเยาะเย้ยใส่เจนนี่
+ + + + + + + + + + + +
ที่จอดรถบริเวณโรงพยาบาล...
เดี่ยวเดินมากดรีโมท เปิดประตูรถจะเข้าไป ยอดตามมา
“พวกนั้นยังไม่กลับเหรอ” เดี่ยวหันไปถาม
“เขาขออยู่เป็นเพื่อนกริ่งกับนาตาชาก่อน”
เดี่ยว ยอด ขึ้นรถแล้วขับออกไป ขณะเดียวกันที่ลูกน้องของแซมซุมอยู่ แล้วโทรหาแซมทันที...
“พี่แซมเหยื่อออกไปแล้ว รถหมายเลขทะเบียน.....มุ่งหน้าไปทางถนน….”
“เออ!” แซมกดวางสาย หันไปหาสมุนอีกสองคน “คราวนี้เปาชางมันจ่ายงาม...พวกเองเอาไปใช้ก่อนคนละสองหมื่น ถ้าเก็บพวกเสาร์ห้าได้หมด เองจะได้อีกคนละสามหมื่น”
“แต่พวกเสาร์ห้ามันมีวิชานะพี่แซม” สมุนแย้ง
“มีวิชาจะทนลูกปืนได้ก็ให้มันรู้ไปซิวะ”
รถเดี่ยวผ่านไปพอดี
“รถคันนี้แหละใช่แล้ว...ไปขึ้นรถ”
แซมตามรถเดี่ยวไปทันที
ภาพในรถเดี่ยว...
“เออ...เห็นบุษกรเล่าว่านาตาชามีเรื่องอะไรกับเจนนี่เหรอ” เดี๋ยวหันมาถามยอด
“คงเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันละมั้ง ระหว่าง เจนนี่กับนาตาชา”
“ยังไงก็อย่าให้กระทบกระเทือนพวกเราก็แล้วกัน ผมนะหวั่นใจจริงๆ”
รถเดี่ยววิ่งมาตามถนน รถแซมไล่มา ยอดมองกระจกหลัง
“พี่เดี่ยวมีรถตามมารู้สึกมันแปลกๆนะ”
แซมเร่งรถเข้ามาใกล้แล้วยิงด้วยปืนยิงเร็ว ถูกกระจกหลังรถเดี่ยวแตกเป็นรูพรุน...เดี่ยว และยอดหลบลงต่ำ
“นึกแล้ว !”
ยอดหยิบ M 16 สั้นที่ซ่อนอยู่ใต้เก้าอี้ออกมาขึ้นลำ
“คิดว่าเองมีคนเดียวเหรอ”
“ใจเย็นๆ...เดี๋ยวจะให้พี่ยอดยิงให้ถนัดๆหน่อย”
เดี่ยวเหยียบรถห่างออกไป แซมยิ้มสะใจ
“ไอ้พวกเสาร์ห้าไหนว่าเจ๋งนักไง...ปอดแหกหนีไปแล้ว”
“ตามไปเก็บมันให้ได้พี่แซม”
“เออน่าข้ารู้แล้ว”
แซมบึ่งรถตามไป เดี่ยวขับรถรอจังหวะ แล้วสไลด์รถขวางถนน ทำให้ยอดยิงได้ถนัด ยอดยิงรถของแซททันที กระสุนเจาะกระจกหน้า และตัวถังกระจาย แซมหักรถหลบลงข้างทาง เลยรถเดี่ยวไป แล้วหักรถกลับมาวิ่งเข้าหารถเดี่ยว
เดี่ยวขับตรงไปยิงรถของแซม รถทั้งสองวิ่งเข้าหากันด้วยความเร็วพอได้ระยะยิง ยอดยื่นตัวออกมายิงทางหน้าต่าง
ยอดยิงปืน M 16 เข้าใส่รถแซมไม่ยั้งฝากระโปรงระเบิด ยอดยิงเข้าไปในเครื่อง ไฟลุกรถแซมแฉลบลงข้างทาง พลิกคว่ำระเบิดสนั่น เดี่ยวหักรถเลี้ยวกลับมาจอดตรงที่รถมันกำลังไฟรุกและระเบิดอีกครั้ง
“พวกมันเป็นใคร พี่เดี่ยว”
“ถ้าฉันเดาไม่ผิด มันต้องเป็นคนของนายพลจางลี่”เดียวบอกอย่างค่อนข้างมั่นใจ
ทางด้านนายพลจางลี่ได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็โวยวายใส่เปาชาง
“พลาดจนได้ ไหนแกว่าไอ้แซมมือมันแน่ไง”
“ผมขอแก้ตัวอีกครั้งนึงครับ”
“ขอแก้ตัว...แกก็พูดอยูอย่างนี้”
“คราวนี้สำเร็จแน่ครับ ผมมีแผนแล้ว”
ซางเปาบอกอย่างมั่นใจ แต่นายพลจางลี่ยังอารมณ์เสีย
+ + + + + + + + + + + +
ภายในห้องพักฟื้นกริ่ง...
ขณะที่กริ่งนอนให้น้ำเกลืออยู่ เดี่ยว ยอด เทอด กระแต เจนนี่ และบุษกรกำลังคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น...
เทอดถามย้ำ
“นายพลจางลี่...พี่เดี่ยวแน่ใจนะ”
“พวกที่เป็นศัตรูกับเรา เวลานี้ก็มีอยู่พวกเดียว”
กริ่งที่นอนฟังอยู่ออกความเห็น
“แสดงว่าพวกมันรู้แล้วว่าเราหลบมาอยู่ที่นี่”
เดี่ยวพยักหน้า
“ผมเชื่อว่านี่เป็นแค่จุดเริ่มต้น ถ้าเรายังเป็นเป้านิ่ง พวกมันมาเยี่ยมเราถึงที่นี่แน่”
“จริงอย่างที่เดี่ยวว่า ผมว่าเป้าหมายของมันคือนาตาชา” ยอดออกความเห็น
“แล้วเราจะพานาตาชาไปอยู่ที่ไหน”ดอนถาม
“เราไม่ไปไหนทั้งนั้น เพราะถ้ามันคิดว่าเราเป็นเป้านิ่ง เราก็ต้องเป็นอย่างที่มันคิด” เดี๋ยวมีแผน...
“แสดงว่าจะซ้อนแผนพวกมัน” กริ่งถาม
เทอดพยักหน้า
“แน่นอน...”
“ใช่ !....” ยอดตบแผล กริ่งสะดุ้ง
เดี่ยวประกาศทันที
“ประชุม”
+ + + + + + + + + + + +
เมื่อแผนการณ์เริ่มต้น เดี่ยว ยอด กระแต บุษกร และยูกิ เดินออกมาจากโรงพยาบาล โดยมีบุรุษพยาบาลเข็นรถคนไข้ขึ้นรถพยาบาล แล้วทั้ง 5 คน แยกไปขึ้นรถอีกคัน และนำรถพยาบาลออกไป ผ่านรถที่ซุ่มดูอยู่ในบริเวณนั้น
คนในรถค่อยๆ ลดกระจกลงมามอง เขาคือ ดร.วิทยา เกิดประกาย นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังคนหนึ่ง ซึ่งแอบซุ่มมองในรถกับลูกน้องคือชาติ สุทิน ฮวง และคนขับรถ
“นึกแล้วว่าพวกมันต้องหลบมาอยู่ที่นี่”ดร.วิทยาบอก
“ถ้างั้นคืนนี้ลงมือเลยนะครับด็อกเตอร์” ชาติเสนอ
“ว่าไงฮวง”
วิทยาหันไปถามความเห็น ฮวงพยักหน้า
“ลงมือคืนนี้เลยก็ดีครับ ก่อนที่พวกมันจะรู้ตัว”
ดร.วิทยามองเข้าไปด้านในโรงพยาบาล ยิ้มอย่างมั่นใจ!
+ + + + + + + + + + + +
เดี่ยวขับรถนำรถพยาบาลเข้ามาจอด และช่วยกันนำคนไข้ในรถพยาบาลออกมา ซึ่งก็คือนาตาชา
“เชิญครับคุณนาตาชา”เดี่ยวหันมาบอก
นาตาชางงๆ
“พวกคุณพาฉันมาที่นี่ทำไม”
“ที่นี่เป็นที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับคุณ” ยอดอธิบาย
ชลดาเสริม
“ที่นี่จะมีฉัน ยูกิ กระแต และบุษกร คอยดูแลความปลอดภัยให้คุณ หวังว่าคุณคง...”
พูดยังไม่ทันจบ นาตาชาขัดขึ้น...
“ค่ะ...ฉันเชื่อในฝีมือพวกคุณ...แต่เวลานี้ ฉันอยากจะติดต่อกับพี่ชายฉัน จะมีปัญหาอะไรไหมคะ”
“เพื่อความปลอดภัยของคุณ ช่วงนี้กระแตว่าอย่าเพิ่งดีกว่า มันอาจจะแกะรอยเราได้อีก” กระแตแนะนำ
บุษกรเสนอ...
“ถ้ายังไง จะฝากข่าวให้ฉันไปบอกพี่ชายคุณก็ได้”
นาตาชาเซ็ง แต่ก็ตัดบท...
“ไม่เป็นไรค่ะ...ถ้างั้นช่วยพาฉันไปห้องพักเถอะค่ะ ฉันอยากจะพักผ่อน”
“เชิญค่ะ ทางนี้ เรื่องเสื้อผ้ากับของใช้จำเป็น ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ เราเตรียมเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว”
ชลดา และะยูกิ เดินพานาตาชาไปที่ห้อง เดี่ยวและยอด ร่ำลากระแตกับบุษกร
“ผมคงต้องไปแล้วนะ” เดี่ยวบอก
“โชคดีค่ะ ระวังตัวด้วย”
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ คุณเดี่ยวเขายังไม่ยอมตายง่ายๆหรอก ถ้าผมยังไม่ได้แต่งงาน ใช่ปะกระแต”ยอดแหย่
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกันด้วย” กระแตสวน
“ไปดีกว่าพี่เดี่ยว แถวนี้มีแต่คนใจดำ”
ยอดยักคิ้วทะเล้นๆ แล้วเดินออกไปพร้อมกับเดี่ยว
“ตาบ้า” กระแตบ่น
“ถึงบ้า แต่เค้าก็น่ารักนะกระแต” บุษกรแหย่
“เชอะ น่ารักตายละ”
บุษกรยิ้มเอ็นดูในความน่ารักของกระแต
อ่านต่อหน้า 2
เสาร์๕ ทับทิมสยาม ตอนที่ 3 (ต่อ1)
รถโฟร์วิลล์ของดร.วิทยา เข้ามาจอดหน้าตึกโรงพยาบาล ชาติที่แต่งตัวเป็นหมอลงจากรถ ตามด้วย สุทินซึ่งแต่งตัวเป็นผู้ช่วย ทั้งสองเดินเข้าไปในตึก รถโฟร์วิลล์คันเดิมแล่นไปช้าๆ บริเวณรอบๆ ตึก ดร.วิทยาที่อยู่ในรถเป็นผู้สั่งการเป็นระยะๆ
“ฮวง ดูซิว่านาตาชาห้องไหน”
รถเคลื่อนไปอย่างช้าๆ โดยไม่รู้ว่าเดี่ยว เทอด และกริ่งซึ่งแอบอยู่มุมหนึ่ง มองตามรถ ดร.วิทยาไป
ชาติกับสุทิน เดินผ่านเคาท์เตอร์ มีพยาบาลอยู่เวร 2 คน
“คุณนาตาชา อยู่ห้องไหน“ ชาติถาม
“ห้อง 302 ค่ะ”
ชาติ กับสุทินที่เข็นรถยาเดินไปยังห้อง 302 เมื่อเข้าไปในห้อง ดอนทักทาย
“สวัสดีครับหมอ”
“คนไข้หลับหรือยังครับ” ชาติถาม
“ไม่ทราบมีอะไรเหรอครับ”
“ไม่มีอะไร ผมจะมาเช็คร่างกายคนไข้ ก่อนจะออกจากโรงพยาบาลพรุ่งนี้”
“งั้นเชิญเลยครับ”
ชาติ และสุทิน เข็นรถยาเข้าไปในห้อง สุทินล็อคประตู หน้าประตูด้านนอก ดอนพูดไมค์ที่นาฬิกา
“ยอด...มันมาแล้ว เร็ว”
“รับทราบ ผมกำลังเข้าไป”
ดอนกดไมค์หาเดี่ยวต่อ...
“เดี่ยวพวกมันมากันแล้ว”
เดี่ยวหันมาถามเทอด...
“ดอนแจ้งมาว่ามันมากันแล้ว...เอาไงเทอด”
“นายขึ้นไปช่วยดอนด้านบน...ข้างล่างฉันจัดการเอง...”
เดี่ยวแยกไป เทอดจึงสั่ง...
“กริ่ง คุณดูแลข้างล่างนะ”
เทอดแยกไปอีกคน....
+ + + + + + + + + + + +
ที่ห้องพักนาตาชา มีห้องรับแขกเชื่อมต่อกับห้องคนไข้ ชาติเดินนำสุทินผ่านห้องรับแขกเข้ามายังห้องคนไข้ซึ่งดับไฟ มีเพียงแสงไฟจากห้องรับแขกสาดเข้ามา เจนนี่ที่ปลอมเป็นคนไข้นอนอยู่บนเตียง สุทินดูดยาเข้าสลิ้ง
“นั่นใคร” เจนนี่ถาม
“หมออนุญาตให้คุณกลับบ้านได้พรุ่งนี้ ก็เลยเข้ามาฉีดยาบำรุงให้” ชาติบอก
“เชิญเลยค่ะหมอ...”
ชาติกับ สุทินที่ถือหลอดยาฉีดเข้าไปหาเจนนี่ ยกหลอดยาจะฉีด แต่เจนนี่เตะหลอดสลิงกระเด็น...ทั้งสามเข้าต่อสู้กัน
ดอนกับยอดอยู่หน้าประตูห้อง พยายามบิดลูกบิดแต่ประตูไม่เปิด
“มันล็อคทั้งสองประตูเลยเอาไงดี” ยอดถาม
ขณะเดียวกันนั้น พยาบาลออกมาจากประตูห้องตรงเข้ามา มองอย่างสงสัย
“มีอะไรเหรอค่ะ”
“คือประตูห้องถูกล็อคครับ” ดอนหันไปบอก
“ไม่เป็นไรคะ ดิฉันมีกุญแจสำรอง เดี๋ยวจะเอามาให้”
พยาบาลขัยจะไป ยอดห้ามไว้
“ไม่ต้องครับ ผมจัดการเองได้”
ขาดคำ ยอดก้มตัวทะลุประตูเข้าไปครึ่งตัว...พยาบาลตกใจหน้าตื่น
ยอดทะลุเข้ามาในห้องครึ่งตัว และเอื้อมมือไปไขลูกบิดออก แล้วดึงตัวออกมาจากประตู
“ประตูเปิดแล้ว...”
พยาบาลตกใจวิ่งหน้าตาตื่นไป ดอนกับยอดพรวดเข้าไปในห้อง เจนนี่เสียท่าถูกจับได้
“แกเก็บทับทิมสยามไว้ที่ไหน...บอกมา” ชาติตะคอก
“ทับทิมอะไร ฉันไม่มี”
สุทินชักปืนออกจ่อ
“แกไม่บอกแกตาย”
ดอนกับยอดเข้ามา...สุทินหันไปยิง ดอนกับยอดหลบ กระสุนเฉี่ยวไปถูกผนังตึกกระจุย ดอนหันไปเตือนเพื่อน
“ระวังยอด พลังนายอ่อนแล้ว...ฉันเอง”
สุทินจี้เจนนี่ เดินตรงไปที่ระเบียง ดอนโผล่ออกมาจะยิง แต่สุทินตะโกนขู่
“อย่านะ...ไม่งั้นนังนี่ตาย”
ยอดลุกขึ้นกลั้นใจรวมพลังอีกครั้ง วิ่งทะลุผนังตึกออกมาด้านหลัง ชาติกับสุทินที่กำลังจี้เจนนี่ไปที่ระเบียงตกใจ สุทินหันไปจะยิงยอด ดอนออกมายิงสุทินล้มคว่ำในทันที...เจนนี่หลุดมาได้ ชาติเห็นท่าไม่ดีหนีออกไปทางระเบียง
รถ ดร.วิทยา เคลื่อนมาที่ระเบียงห้องนาตาชา กริ่งตามรถ ดร.วิทยามา และถ่ายรูปเก็บไว้ทุกอิริยาบถ รถ ดร.วิทยามาถึงระเบียงห้องนาตาชา ชาติโผล่มาที่ระเบียง...ดร.วิทยาตะโกนเรียก
“ชาติโดด”
ดอนตามชาติออกมากระชั้นชิด...ชาติโดดข้ามไปยังระเบียงห้องถัดไป...เดี่ยวพรวดออกมาจากห้องดักชาติไว้ ทั้งสองเข้าต่อสู้กัน จนชาติพลาดตกจากระเบียงลอยลงมากระแทกพื้นดังสนั่น เทอดวิ่งมาดักหน้ารถ ดร.วิทยาขับรถหนีไปได้ เทอดกับกริ่งจึงวิ่งมาที่ชาติ เทอดจับชาติพลิกขึ้นมา
“แกเป็นคนของใคร...”
ชาติค่อยๆ ลืมตา เลือดไหลจากจมูกและปาก
“ใครใช้แกมา...” กริ่งถามเสียงเข้ม
“ด๊อก...เตอร์...”
ชาติพูดได้แค่นั้นก็ขาดใจตาย เทิดพึมพำ
“ด๊อกเตอร์...ดร.ฟอร์ดหรือเปล่า”
+ + + + + + + + + + + + + +
เช้าวันใหม่...
ยอดกับเจนนี่ กำลังใช้โน้ตบุคส์ระหว่างประชุม ดร.อภิชัยและผู้พันเชษฐ์ เข้ามานั่งร่วมการประชุม ดร.อภิชัยมองหาดอน ซึ่งไม่ได้อยู่ในห้อง
“คุณดอนไปไหน“
“เฝ้านาตาชา อยู่ที่เซฟเฮ้าส์ค่ะ” ชลดาบอก
ดร.อภิชัยพยักหน้ารับรู้
“ดี...เกมนี้ ปล่อยให้นาตาชาเป็นคนนำ พวกคุณทุกคนต้องทำให้เธอตายใจ โดยเฉพาะคุณดอน พยายามสืบมาให้ได้ว่าผู้หญิงคนนี้ต้องการอะไรจากเรา”
ผู้พันเชษฐ์เปิดแฟ้ม
“ตามรายงานของพวกคุณ คนร้ายเมื่อคืน อาจจะเป็นคนที่ดร.ฟอร์ดใช้มา”
“ผมว่าไม่น่าจะใช่ เพราะมันไม่มีเหตุผลอะไรที่ดร.ฟอร์ด จะส่งคนมาปล้นทับทิมสยามจากลูกสาวของตัวเอง” เทอดแย้ง
เจนนี่เห็นด้วยกับเทอด
“ใช่ค่ะ...แล้วถ้าเป็นคน ของดร.ฟอร์ดจริง มันก็น่าจะจำ ได้ว่า ดิฉันไม่ใช่นาตาชา”
เดี่ยวครุ่นคิด
“คนร้ายมันจะจับนาตาชาไปเพื่ออะไร...นั่นคือปัญหาที่เราต้องพิสูจน์ว่าใครเป็นผู้บงการ”
ผู้พันอาจณรงค์เดินเข้ามาพร้อมกับแฟลชไดร์ฟ
“เฟรชไดร์ฟนี่บันทึกภาพที่คุณกริ่ง ถ่ายได้เมื่อคืน ผมไปจัดการขยายให้เรียบร้อยแล้วครับ”
กริ่งยิ้ม
“ขอบคุณครับ...ฉายขึ้นจอใหญ่เลยครับ”
อาจณรงค์ส่งแฟลชไดร์ฟให้ ยอดเสียบเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ ภาพบนจอเป็นภาพที่กริ่งถ่ายจากระยะไกลเห็นรถกระบะ และคนในรถไม่ค่อยชัดนัก
“นี่เป็นรถคนร้ายเมื่อคืนครับ ผมถ่ายได้ก่อนที่พวกมันจะหนีไป ข้างในมีคนประมาณ 3 คน มีลักษณะเป็นหัวหน้าอยู่คนนึงครับ คือคนที่นั่งเบาะด้านหลัง” กริ่งอธิบาย
ดร.อภิชัยเพ่งมองภาพแล้วสั่ง
“ขอขยายภาพอีกหน่อย”
ยอด ขยายภาพเข้าไปใกล้ขึ้น ทำให้เริ่มมองเห็นใบหน้าคนในรถได้บ้าง ผู้พันเชษฐ์มองๆแล้วรู้สึกคุ้นๆ
“ผมว่า...ผมคุ้นหน้าผู้ชายที่นั่งข้างหลังนะ เสียดายที่ภาพ ไม่ค่อยชัด”
ดร.ภิชัยหันไปหายอด
“งั้น ลองขยายภาพตรงทะเบียนรถหน่อย”
“ได้ครับ”
ยอดขยายภาพที่ทะเบียนรถ ทำให้มองเห็นเลขทะเบียนชัดขึ้น เจนนี่เปิดโน๊ตบุคส์ แล้วลองเซิร์จหา เลขทะเบียน และรายละเอียดเกี่ยวกับเจ้าของรถจาก เว็บไซค์ กรมการขนส่ง
“ได้ข้อมูลแล้วค่ะ”
จอ คอมพิวเตอร์เริ่มปรากฏข้อมูล ของรถและเจ้าของ
“เป็นรถของทางราชการ สังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์” เจนนี่คิดนิดนึง “เอ๊ะ...แสดงว่า คนร้ายเกี่ยวพันกับหน่วยงานราชการเหรอคะ”
บุษกรนึกได้รีบบอก
“จำได้แล้วค่ะ ถ้าสังกัดหน่วยงานของกระทรวงวิทยาศาสตร์ละก็ มีอยู่คนหนึ่ง ที่หน้าตาคล้ายๆ แบบนี้”
“ใคร...” ผู้พันเชษฐ์ถามทันที
“ดร.วิทยา เกิดประกาย นักวิทยาศาสตร์ชื่อดัง”
ดร.อภิชัยจำได้
“จริงซิ...แต่ ดร.คนนี้ เคยเป็นอาจารย์ของลูกไม่ใช่เหรอ”
บุษกรพยักหน้ารับ
“เป็นอาจารย์พิเศษ ที่เคยมาบรรยายเกี่ยวกับเรื่องพลังงานนิวเคลียร์ 2-3 ครั้งค่ะ”
“รอเดี๋ยวนะครับ...เดี๋ยวผมหาภาพชัดๆ ของ ดร.วิทยา เกิดประกาย มาลองเทียบกันดู”
ยอด เข้าไปดึงรูปของ ดร.วิทยา เกิดประกายมาจากเว็บไซค์ของกระทรวงวิทยาศาสตร์ แล้วจากนั้นก็ฉายขึ้นจอ เทียบกับ ภาพผู้ชายในรถ
“นี่คือใบหน้าที่ชัดเจน ของ ดร.วิทยา เกิดประกาย สังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ ถ้าเป็นคนๆ เดียวกันกับผู้ชายในรถ ก็น่าจะมีอะไรที่แอบแฝงว่า ดร.วิทยาทำเพื่ออะไร”
ยอด ค่อยๆ ย่อรูปใบหน้าของ ดร.วิทยา กับผู้ชายในรถให้มาอยู่ในตำแหน่งเทียบเคียงกัน ทำให้มองเห็นชัดขึ้นว่า น่าจะเป็นคนๆ เดียวกัน
“ผมว่าใช่แน่นอน เพราะว่าผมเห็นหน้า ดร.คนนี้ก่อนจะหนี” กริ่งบอกอย่างมั่นใจ
ผู้พันเชษฐ์ หันไปหาบุษกร
“พอจะรู้อะไรเกี่ยวกับคนๆนี้บ้างบุษกร”
“ดร.วิทยา เป็นนักวิทยาศาสตร์ ที่ได้รับการคัดเลือกจากองค์การนาซ่า ให้เข้าไปฝึกงานประมาณ 3 ปี ตอนฝึกงานที่องค์การนาซ่า ดร.วิทยา เคยเป็นผู้ช่วยของดร.ฟอร์ด หลังจากนั้นดร.วิทยาก็กลับมาเมืองไทย ได้เงินสนับสนุนจากรัฐบาล ให้ทำโครงการวิจัยเกี่ยวกับพลังงานจากแร่ธาตุ” บุษกรอธิบาย
ดร.อภิชัยนิ่งคิดสักครู่ก่อนจะพูดขึ้น
“ถ้างั้น ดร.ฟอร์ด น่าจะมีเงื่อนงำบางอย่างในการเดินทางเข้ามาเมืองไทย ครั้งนี้”
เจนนี่คิดตาม เริ่มเข้าใจบางอย่าง
“และก็ บังเอิญเหลือเกิน ที่นาตาชา นำทับทิมสยามสีชมพูของเธอมาเปิดตัวในเมืองไทย และประกาศขอซื้อทับทิมสยาม สีแดงและสีม่วง จากผู้ที่ครอบครอง”
“แต่มันน่าจะเกี่ยวพันอะไรบางอย่าง กับการทดลองทางวิทยาศาตร์” เทิดออกความเห็น
“ไหนเมื่อกี้คุณบุษกรบอกว่า ดร.วิทยากำลังทำวิจัยเรื่องอะไรนะ” ผู้พันเชษฐ ถามย้ำ
“พลังงานจากแร่ธาตุค่ะ”
“แล้วแร่ธาตุที่ว่ามันมีพลังงานอะไรกันบ้าง” ผู้พันเชษฐถามอีก
บุษกร หยิบรีโมท เปลี่ยนภาพบนจอเป็นภาพไอน์สไตล์และ สมการ E = MC2 และภาพระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโรชิมา แล้วอธิบาย
“นี่คืออัลเบริต์ ไอนสไตร์ นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังของโลก แร่ยูเรเนี่ยม เมื่อนำมาทดลองตามสมการของไอน์สไตล์แล้ว จะให้พลังงานที่ร้ายแรงที่สุด นั่นก็คือ ระเบิดนิวเคลียร์”
“หรือว่าพวกเขากำลังแย่งชิงทับทิมสยามกันเพื่อใช้ใน การทดลองระเบิดชนิดใหม่” ชลดาโพล่ขึ้นมา
“เป็นไปได้ คนญี่ปุ่นรู้ดีว่าผลกระทบของระเบิดนิวเคลียร์โหดร้ายแค่ไหน ดิฉันจะไม่ยอมให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น อีกครั้งในเมืองไทย” ยูกิพูดเสียงเครียด
ภาพบนจอสไลด์เป็นภาพ คนญี่ปุ่นที่ทุกข์ทรมานจากระเบิดนิวเคลียร์ เดี่ยวมองภาพอย่างสลดใจ
“ถ้าข้อสันนิษฐานนี้เป็นเรื่องจริง ผมจะไม่ยอมให้ดร.ฟอร์ดกับ ดร.วิทยาทำการทดลองบ้าๆ พวกนี้เด็ดขาด”
ภาพบนจอสไลด์ เปลี่ยนเป็นภาพของ ดร.ฟอร์ด กับ ดร.วิทยา คู่กัน
+ + + + + + + + + + + + +
ราฮีมขับรถแล่นมาตามทางซึ่งค่อนข้างกันดาร สตีเฟ่นกับดร.ฟอร์ด อยู่ในชุดเดินป่านั่งมาด้วยกันโดยทั้งคู่กำลังช่วยกันดูแผนที่
“จุดหมายของเราคือ หมู่บ้านช้างร้อง จากที่นั่นเราจะเดินทางโดยรถยนต์ไปจนสุดทาง ต่อจากนั้นเราจะเดินทางด้วยกันเส้นทางนี้ผมคำนวณดูแล้วน่าจะเป็นเส้นทางที่ใกล้ที่สุด” สตีเฟ่นอธิบาย
“พ่อจำได้แล้ว ถ้าไปตามลำธาร เดินไปเรื่อยๆ จนมองเห็นยอดเจดีย์บนเนินเขา ก็แสดงว่าเรามาถูกทางแล้ว”
“ผมนัดพวกลูกหาบ แล้วก็พวกแรงงานรับจ้างไปรอที่หมู่บ้านช้างร้องเรียบร้อยแล้วครับ” ราฮิมบอก
สตีเฟ่น หันไปมองราฮิม
“ไว้ใจได้นะว่าพวกมันจะไม่หนีงาน”
“ไม่ แน่นอนครับ มันเป็นพวกกองกำลังรับจ้าง นอกจากจะเป็นแรงงานให้เราแล้ว มันยังชำนาญเรื่องใช้อาวุธ ทำหน้าที่คอยคุ้มกันพวกเราได้”
“แกแน่ใจได้ยังไงว่าคนงานพวกนี้ มันจะไม่ปล้นเรา” ดร.ฟอร์ดถามอย่างไม่ค่อยไว้ใจ
“หัวหน้าของพวกมัน เป็นพี่เมียผมเองครับ ดร. รับรองว่า มันไม่ทรยศ ดร.แน่นอน” ราฮิมบอกอย่างมั่นใจ
“ผมให้ราฮิม เจรจากับพวกมันว่า ถ้าทำงานสำเร็จมันก็จะได้ค่าจ้างคุ้มค่าเหนื่อย” สตีเฟ่นบอก
ดร.ฟอร์ดพยักหน้าพอใจ
+ + + + + + + + + + + +
รถแล่นเข้ามาจอดที่ลานกลางหมู่บ้านแก่งเสือเต้นแล้ว ชายที่เป็นหัวหน้าคนงานชื่อ มะโหนก เดินออกมารับ ดร.ฟอร์ด สตีเฟ่น และราฮิม ลงจากรถ มะโหนกและราฮิมยิ้มทักทายกัน
“หวัดดีพี่ฮีม”
ราฮิมเข้าไปทักทายยิ้มแย้ม
“เป็นไงมะโหนก”
“เรื่อยๆครับ”
ราฮิมหันไปแนะนำมะโหนกกับ ดร.ฟอร์ดและสตีเฟ่น
“คนนี้ชื่อมะโหนก เป็นหัวหน้าคนงาน เคยทำงานร่วมกับผม ฝีมือใช้ได้ ชอบทำงานโหดๆ...นี่ดร.ฟอร์ด และนี่สตีเฟ่น”
“สวัสดีครับนาย...คนของผมพวกนี้แหละครับ ที่จะไปกับเราครับ”
มะโหนกตบมือตะโกนเรียกคนงาน ดร.ฟอร์ด มองสำรวจอย่างพอใจ
“ทุกคนดูแข็งแรงดี”
มะโหนกยิ้มแย้มรับประกันคุณภาพ
“รับรองทนยิ่งกว่าแรดครับนาย...พวกมันหลายคนถูกฝึกมาอย่างดี”
ดร.ฟอร์ดยิ้มพอใจ
“ถ้าได้คนงานแบบนี้ งานของเราคงสำเร็จ” ดร.ฟอร์ดหันไปหาลูกชาย “พาพ่อไปดูอาวุธหน่อยสตีเฟ่น”
“ทางนี้ครับ”
สตีเฟ่นเดินนำ ดร.ฟอร์ด ไปยังบ้านหลังหนึ่ง ราฮิมเดินตามไป
+ + + + + + + + + + +
ดร.ฟอร์ด สตีเฟ่นและราฮิม เดินเข้ามาสำรวจดู ภายในบ้านหลังหนึ่ง เห็นอาวุธพร้อมกระสุนนานาชนิดซึ่งบรรจุอยู่ในลัง ดร.ฟอร์ดยิ้มพอใจ
“ดีมากสตีเฟ่น ลูกทำได้ดีมาก”
“ผมสั่งตรงมาจากตะวันออกกลาง รับรองสดใหม่ทุกนัดครับพ่อ”
“ขนไปให้หมด เราคงอยู่ในป่ากันหลายเดือน” ดร.ฟอร์ดสั่ง
มะโหนกเดินเข้ามารายงาน
“ทุกคนพร้อมแล้วครับนาย”
“งั้นก็เดินทางกันเลย”
ดร.ฟอร์ด เดินนำคนอื่นๆ ออกจากห้องไป
“นี่คือทางเข้านะครับเจ้านาย จากนี้ไปเราต้องเดินทางด้วยเท้า” มะโหนกแนะนำ
ดร.ฟอร์ดยิ้มๆ
“ไม่มีปัญหา”
มะโหนกตะโกนบอกลูกน้องให้มาช่วยกันขนลังใส่อาวุธ
“เฮ้ย! ขนของ”
“ทุกคนเดินทางได้” สตีเฟ่นตะโกนสั่ง
ขบวนของ ดร.ฟอร์ดและลูกหาบเริ่มออกเดินทางเข้าไปในป่า
เวลาผ่านไปนานหลายชั่วโมง ขบวนก็เดินมาหยุดที่มุมหนึ่งกลางป่า ทันใดนั้นเสียงนกป่า ก็ดังขึ้นอย่างน่าประหลาด เป็นเสียงหวีดร้องก้องมาจากทิศหนึ่ง สักครู่ก็มีเสียงนกป่าจากอีกทิศหนึ่งส่งเสียงขานรับกลับมา แล้วเสียงนกป่าก็เริ่มดังระงมไปทุกทิศทาง
ดร.ฟอร์ด สตีเฟ่น ราฮิม มะโหนกและทุกคน พากันหยุดยืนมองเนื่องจากเป็นเสียงที่ผิดปกติ
“ดูเหมือนว่าเรากำลังถูกล้อม” สตีเฟ่นบอกอย่างหวาดๆ
“พวกมันเป็นใคร” ดร.ฟอร์ดถามเสียงเข้ม
มะโหนกหันไปมองรอบๆ แล้วถอยหลังหาที่กำบังแต่แล้วจู่ๆ มะโหนกก็ถูกกับดัก โดนแหดีด รวบตัวลอยขึ้นไปค้างเติ่งอยู่บนต้นไม้ ทุกคนออกอาการตกใจ
ทันใดนั้นเสียงปืนกระหน่ำมาจากทุกทิศทาง ดร.ฟอร์ด และคนอื่นๆ ต่างพากันดีดตัวพุ่งเข้าหาที่กำบัง
อ่านต่อหน้า 2
เสาร์๕ ทับทิมสยาม ตอนที่ 3 (ต่อ2)
ที่แท้เป็นนายพลเปาชางซึ่งนำทีมลูกน้องมาเล่นงานกลุ่มดร.ฟอร์ด เปาชางสั่งการลูกน้องโดยใช้วิทยุสื่อสาร
“ล้อมมันไว้ อย่าให้หนีรอด”
อาเตียวหันมาถาม
“พวกมันเป็นใคร เปาชาง”
“น่าจะเป็นพวกนักท่องเที่ยว”
“แต่ป่าแถวนี้ไม่ใช่เขตท่องเที่ยว”
“จะยังไงก็ช่าง ถ้ายกขบวนมาขนาดนี้ พวกมันก็ต้องมีเงินแน่ๆ” เปาซางบอกอย่างมั่นใจ
ขณะเดียวกัน ที่มุมซ่อนตัวของ ดร.ฟอร์ด สตีเฟ่น และราฮีม ซึ่งต่างก็รับอาวุธที่พวกลูกหาบโยนมาให้ แล้ว จากนั้นก็เริ่มยิงตอบโต้
“พวกมันไม่ธรรมดานะเปาชาง” อาเตียวบอก
“อย่างงี้ซิมันดี”
เปาชางกระหนำยิงตอบโต้อย่างเมามัน ขณะทีอาเตียวหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูป โดยเล็งไปที่ ดร.ฟอร์ด สตีเฟ่น และราฮีม
+ + + + + + + + + + + +
มะโหนกซึ่งถูกแห ดึงตัวลอยขึ้นไปห้อยบนต้นไม้กำลังดิ้นรน แล้วชักมีดสั้นออกมาจากที่ซ่อน แล้วจากนั้นก็พยายามเอามีดตัดเชือกให้ขาดออกจากกัน โดยตัดเชือกด้านบน เพื่อให้หัวตัวเองรอดออกไปจากแห
อาเตียว เงยหน้าขึ้นไปมองเห็นมะโหนก ที่กำลังพยายามหนีออกจากแห ด้วยท่าทางที่คล่องแคล่วดูเก่งเกินกว่าชาวบ้านธรรมดา อาเตียวรีบหันไปบอกเปาชาง
“เปาชาง ดูข้างบน”
เปาชางมองขึ้นไปยังมะโหนก เห็นมะโหนกตัดเชือกขาด และหลังจากเชือกขาด มะโหนกก็เริ่มใช้กำลังแขนดึงตัวเองไต่เชือกขึ้น เพื่อให้หลุดจากแห แล้วจากนั้นก็โหนไปเกาะกิ่งไม้
“เก่งนักใช่มั๊ย”
เปาชาง ยกปืนขึ้นเล็งแล้วสาดกระสุนใส่ แต่แล้วมะโหนกกลับโหนตัว แล้วโดดหนีลงพุ่มไม้อย่างคล่องแคล่ว เปาชางหงุดหงิดที่มะโหนกรอดกระสุนของเขาไปได้ จึงระดมยิงออกไป
อาเตียวมองไปยังกลุ่มลูกหาบคนอื่นๆ อย่างเริ่มมองออกว่า ลูกหาบพวกนี้ ไม่ใช่ชาวบ้านแน่นอน เนื่องจากลักษณะการจับ การใช้อาวุธ การหลบ จะมีระบบราวกับทหารที่ถูกฝึกมาเป็นอย่างดี
“เปาชาง อย่าประมาท พวกมันไม่ใช่คนธรรมดา” อาเตียวเตือน
“แล้วไง”
“บางที พวกมันอาจเป็นพวกทหาร”
เปาชางได้สติ ชะงักแล้วหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมาดูบ้าง กลุ่มลูกหาบและมะโหนก กำลังใช้อาวุธยิงโต้ตอบอย่างคล่องแคล่ว และมีระบบ อาเตียวมองอย่างไม่สบายใจ
“พวกเราไม่ควรขัดแย้งกับพวกทหารไทย ไม่งั้นจะเป็นการเพิ่มศัตรูโดยไม่จำเป็น”
เปาชางยกวิทยุสื่อสารขึ้นมาสั่งลูกน้อง
“พวกเรา...ถอยด่วน”
เปาชางและอาเตียวรีบถอย แล้วหายเข้าไปในป่าเช่นเดียวกับลูกน้อง
สตีเฟ่น เห็นเปาชางกับพวกกำลังหนี จึงรีบรุกต่อเพื่อตามเอาคืน มะโหนกรีบร้องห้าม
“อย่าครับนาย อย่าตาม”
“ทำไมฉันต้องเชื่อแกด้วย”
สตีเฟ่นทำท่าจะตามไป แต่ดร.ฟอร์ดร้องทักเอาไว้
“แกอยากตายหรือไงสตีเฟ่น”
สตีเฟ่นหันมามอง
“พวกเราต้องเกาะกลุ่มกันไว้ครับ บางทีอาจจะเป็นแผนลวงของพวกมัน” ราฮีมเตือน
สตีเฟ่นไม่พอใจ
“ก็เห็นอยู่ว่ามันสู้เราไม่ได้ จะปล่อยให้พวกมันหนีง่ายๆ ได้ยังไง”
“แต่งานของเราสำคัญกว่า...”
ดร.ฟอร์ดมองสตีเฟ่นเพื่อเตือนให้ใจเย็น ทำให้สตีเฟ่นสงบลง ราฮีมหันไปถามมะโหนก
“แกพอจะรู้มั๊ยว่ะ พวกมันเป็นใคร”
“กองกำลังต่างชาติที่อยู่ตามชายแดน”
“แล้วพวกมันต้องการอะไร” ดร.ฟอร์ดถามเสียงเข้ม
“เงิน!”
สตีเฟ่นแปลกใจ
“นี่มันคิดจะมาปล้นเราอย่างงั้นเหรอ”
มะโหนกพยักหน้า
“ครับ”
ดร.ฟอร์ดหันไปสั่งราฮีม
“แกรู้นะว่าควรทำอะไร”
“ครับดร. ผมจะจัดเวรยามดูแลเอง วางใจเถอะครับ”
ทุกคนเริ่มเดินทางต่อ โดยราฮีมสั่งให้มะโหนกจัดแบ่งกองกำลังคุ้มกันด้านหน้า และด้านหลัง ระแวดระวังมากขึ้นกว่าเดิม
+ + + + + + + + + + + +
เมื่อกลับไปที่ฐาน เปาชางตรงไปนั่งที่คอมพิวเตอร์ นำภาพที่อาเตียวถ่าย ดร.ฟอร์ด สตีเฟ่นและลูกน้อง จากการต่อสู้กันในป่าที่ผ่านมา ใส่ในโปรแกรมค้นหาข้อมูล ครู่หนึ่งเปาซางก็บอกนายพลจางลี่
“ลุงครับ เราเสิร์ชหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต ได้เรื่องแล้วครับ”
นายพลจางลี่กับอาเตียว เดินเข้ามาดู
“ฝรั่งคนนี้ใคร เปาชาง”นายพลจางลี่ถาม
“ฝรั่งคนนี้ คือดร.ฟอร์ด แม็คควิน นักวิทยาศาสตร์แห่งองค์การนาซ่า...ลูกสาวของมันเป็นผู้
ครอบครองทับทิมสยามสีชมพู”
“แต่ ดร.ฟอร์ดเครื่องบินตกตายไม่ใช่เหรอครับ” อาเตียวถามอย่างสงสัย
นายพลจางลี่ยิ้ม
“ถ้าตายมันจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง...ไอ้นั่นเป็นเรื่องกุขึ้นมาเพื่อหลอกคน”
เปาชางชี้ไปที่รูปของสตีเฟ่น
“ส่วนคนนี้ ก็คือ สตีเฟ่น ลูกชายดร.ฟอร์ด แล้วนี่ก็ไอ้ราฮีมจอมโหด นักฆ่าที่ถูกส่งไปฝึกในหน่วยจู่โจมที่ตะวันออกกลาง แล้วพวกที่มากับมันก็ลักษณะเหมือนทหาร พวกมันมุ่งหน้าไปทางป่าสุสานช้าง” เปาซางลุกขึ้น “ถ้าเครื่องบินมันตกแถวนั้น มันก็ต้องกลับไปเอาของสำคัญออกมา”
อาเตียวคิดๆ
“เงิน...หรือไม่ก็พวกของมีค่าอื่นๆ”
“หรือไม่ก็ทับทิมสยาม” นายพลจางลี่พูดขึ้น
เปาชาง และอาเตียวชะงัก หันมามองนายพลจางลี่อย่างแปลกใจ
“แต่ทับทิมสยามอยู่กับนาตาชา ลูกสาวของมันนี่ครับลุง” เปาชางแย้ง
“นั่นมันทับทิมสยามสีชมพู อย่าลืมซิว่าทับทิมสยามสีม่วง กับสีแดงยังไม่มีใครหาพบ บางทีพวกมันอาจจะรู้ระแคะระคายอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้”
เปาชาง มองนายพลจางลี่อย่างสงสัย
“รู้สึกลุงรู้เรื่องทับทิมสยามดีนะครับ”
“ลุงค้นคว้าเรื่องทับทิมสยามมานานแล้ว ลุงรู้ประวัติที่มาที่ไปของทับทิมสยามมาก และรู้ว่ามันมีค่ามาก”
“ถ้างั้นผมจะส่งคนไปติดตามพวกมันเงียบๆ ถ้าพวกมันมีทับทิมสยามจริง เราค่อยลงมือ”
นายพลจางลี่ ยิ้มพอใจ
“ดีมาก...หลานรัก ส่วนนาตาชา ลูกสาวมัน ตอนนี้อย่าเพิ่งทำอะไร ปล่อยให้ไอ้พวกเสาร์ห้ามันตายใจไปก่อน ยังไงลุงจะต้องเอาคืนพวกมันให้ได้”
สายตาของนายพลจางลี่ เต็มไปด้วยความมุ่งหวังและแผนการณ์ร้าย
+ + + + + + + + + + +
ในป่า...
ไก่ชนลักษณะสง่างามกำลังหาอาหาร ทันใดนั้นมีมือคนเข้ามาตะครุบมัน แต่มันดิ้นหลุดไปได้วิ่งหนีอย่างเร็ว ชายแปลกหน้าสองคนไล่จับ ไก่ชนวิ่งหนีไปจนไปเข้ามือของต่ำ เขาจับมันได้แล้วอุ้มขึ้นมา ชายสองคนตามมาทันก็ชะงัก
“เองวิ่งไล่จับมันทำไมวะ” ต่ำเสียงเข้ม
“อ้าวถามได้ ก็เอาไปขายนะซิ ไก่ลักษณะอย่างนี้ขายได้เป็นแสนนะโว้ย” ชายคนหนึ่งบอก
“พวกเองรู้ไหมว่า ไอ้โต้งนี่มันไก่ของใคร”
“ของใครไม่สำคัญ แต่ข้าจะเอาซะอย่างใครจะทำไม...เอามานี่”
มันสองคนเข้าไปแย่งไก่ ต่ำหลบไปมา
“เฮ้ย...ไม่ได้ ไอ้นี่ไม่รู้จักตายซะแล้ว...ไอ้สะท้านฟ้านี่เป็นไก่ชนของเจ้าพ่ออินทร์นะโว้ย”
“เองอย่ามาโกหกข้าเลยว่ะ ส่งไก่มา ซะดีๆ...”
ทั้งสองคนเข้ามาหาต่ำ หวังจะแย่งไก่มาให้ได้ ต่ำอุ้มไก่วิ่งหนี ทั้งสองคนวิ่งตาม ต่ำวิ่งหนีสะดุดกิ่งไม้ล้มลง ไก่ชนหลุดจากมือวิ่งหนีไป ทั้งสองคนวิ่งตามไก่จนขาเข้าไปติดบ่วง กระชากลอยขึ้นไปห้อยอยู่กลางอากาศ ทั้งสองคนร้องโวยวาย ต่ำลุกขึ้นเดินเข้ามาดู
“เป็นไงข้าบอกแล้วไม่เชื่อ พวกเองมันรนหาที่ตายชัดๆ”
ชายสองคนร้องอย่างตื่นกลัว
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย...เอาข้าลงไปที”
ต่ำมองหยัน
“ห้อยอยู่อย่างนั้นละดีแล้ว...นี่ถ้าไก่ชนของเจ้าพ่ออินทร์หายไปละก้อ พวกเอง...ตาย”
ต่ำเดินไป ชายสองคนรีบเรียกไว้
“เฮ้ยอย่าเพิ่งไป...ช่วยด้วย...ช่วยด้วย !”
ทันใดนั้นเองเสียงปืนดังขึ้น เชือกที่หิ้วมันสองคนขึ้นไปขาด ทั้งสองคนตกลงถึงพื้นเสียงดังพลั่ก!
เจ้าพ่ออินทร์ ถือปืนสั้นอยู่ในมือ เดินเข้ามาหาทั้งสองคนที่กำลังจุกอยู่
“เอ็งสองคน แอบเข้ามาในบ้านเสือหมอบของข้าทำไม”
คนหนึ่งยกมือไหว้
“ฉันสองคน เข้ามาสมัครทำงานกับเจ้าพ่ออินทร์”
ต่ำเดินเข้ามา
“มันโกหก ไอ้สองคนนี่มันเข้ามาจะขโมยไก่ชน ตัวโปรดของเจ้าพ่ออินทร์”
เจ้าพ่ออินทร์ตกใจ
“ไอ้สะท้านฟ้าของข้านะหรอ มันหลุดออกมาได้ยังไงว๊ะ...แล้วตอนนี้มันหนีไปไหน”
ขณะเดียวกันนั้น เสียงไก่ชนร้องดังขึ้น เจ้าพ่ออินทร์หันไปทางเสียงไก่ชน
“มันไปไหนหรอกครับ...มันอยู่นี่”
ฮวงอุ้มไก่ชน เดินมาและส่งไก่ชนให้ต่ำ
“เองเป็นใคร” เจ้าพ่ออินทร์ถามอย่างสงสัย
“ผมมาตามหาเจ้าพ่ออินทร์”
“เองเป็นคนต่างถิ่นซิท่า...ถึงไม่รู้จักข้า...”
ฮวงดีใจยกมือไหว้
“เจ้าพ่ออินทร์ สวัสดีครับ คือ ผมมาจากกรุงเทพฯ มีเรื่องจะมาคุยกับเจ้าพ่อครับ”
“มาจากกรุงเทพฯ...ถ้าเป็นเรื่องผิดกฎหมาย เองไม่ต้องมาคุยกับข้า...ข้าวางมือแล้ว”
ฮวงยิ้ม
“ไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมายหรอกครับ...แค่เป็นงานที่จะมาขอความช่วยเหลือจากเจ้าพ่ออินทร์”
“เรื่องขอความช่วยเหลือ พอกันที...”
“แต่มันเป็นงานที่ต้องจำเพื่อชาติบ้านเมือง คนมีฝีมืออย่างเจ้าพ่ออินทร์เท่านั้นที่จะทำได้...”
เจ้าพ่ออินทร์นิ่งคิด
“ถ้าเจ้าพ่อไม่ปฏิเสธ ผมจะพาเจ้านายผมมาพบ”
“เจ้านายเอง...ใครวะ” เจ้าพ่ออินทร์ถามอย่างแปลกใจ
ดร.วิทยา เดินเข้ามาหาเจ้าพ่ออินทร์
“ผมดร.วิทยา เกิดประกาย ครับ”
เจ้าพ่ออินทร์พึมพำเหมือนเคยได้ยินมาก่อน
“...ดร.วิทยา!”
ฮวงยิ้มให้เจ้าพ่ออินทร์แล้วบอก
“ครับ...ดร.วิทยา นักวิทยาศาตร์ไทย เคยทำงานให้กับองค์การนาซ่า ที่เป็นข่าวดังเมื่อปีก่อนไงครับ”
เจ้าพ่ออินทร์พยักหน้า
“อื้อ...พอจะจำได้”
“ตอนนี้บ้านเมืองกำลังต้องการความช่วยเหลือ เพราะผมเห็นว่าเจ้าพ่ออินทร์กับเสือสนธิ์เท่านั้น ที่พอจะช่วยประเทศของเราได้”
“ต้องการความช่วยเหลือเรื่องอะไร”
“ค้นหาทับทิมสยาม”
“ทับทิมสยาม...ก็เคยได้ยินมาบ้าง”เจ้าพ่ออินทร์บอก
“ถ้างั้นผมอยากจะขอความช่วยเหลือ ขอให้ท่านช่วยพาผมไปพบเสือสนธิ์ได้ไหมครับ ผมทราบมาว่าท่านสนิทกับเสือสนธิ์” ดร. วิทยาขอร้อง
อินทร์นิ่งคิด
“เอาละ ผมจะลองนัดเสือสนดูก่อน...แต่ผมยังไม่แน่ใจว่า เสือสนธิ์จะให้ความร่วมมือหรือเปล่า”
ดร.วิทยายิ้มพึงใจ
“ขอบคุณครับ”
+ + + + + + + + + + +
ที่บ้านเสือสนธิ์...
เสือสนธิ์ หยิบกระโทน บ้วนน้ำหมากลงกระโถน แล้วหันมาคุย
“เรื่องทับทิมสยามสามก้อนที่ ดร.เล่ามา ผมก็พอจะรู้ประวัติที่มาที่ไปของมัน”
“แต่ถ้าทับทิมสยามทั้งสามก้อน ตกไปอยู่ในมือของ ดร.ฟอร์ด จะเป็นอันตรายต่อประเทศไทยอย่างมาก” ดร.วิทยาบอกอย่างกังวลใจ
“อัตรายยังไง” เจ้าพ่ออินทร์ถามอย่างแปลกใจ
“ดร.ฟอร์ด เดินทางเข้ามาประเทศไทยครั้งนี้ ก็เพื่อจะมาทดลองระเบิดชนิดใหม่ที่ร้ายแรงกว่าระเบิดปรมาณู” ดร.วิทยาบอกความจริง
เจ้าพ่ออินทร์ฟังอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“แค่ทับทิมสามก้อนจะมาทำระเบิด”
“มันเป็นเรื่องจริงนะครับ...ดร.ฟอร์ด เป็นนักวิทยาศาตร์ จากองค์การนาซ่า มีความรู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับสูตรระเบิดปรมาณู และขณะนี้เขาได้คิดค้นสูตรขึ้นมาใหม่...โดยใช้พลังแสงที่เกิดจากทับทิมสยามสามก้อน แปลงเป็นพลังระเบิดแบบใหม่ ซึ่งมีอนุภาพร้ายแรงกว่าระเบิดปรมาณูหลายเท่า”
เจ้าพ่ออินทร์และเสือสนธิ์คิดหนัก
“ถ้าหากคุณสองคนไม่เชื่อ...ผมก็ไม่ทราบว่าในอนาคต ยังจะมีประเทศไทยอยู่อีกหรือเปล่า...งั้นผมลาละครับ”
ดร.วิทยาและฮวงขยับจะไป เจ้าพ่ออินทร์ตัดสินใจถามขึ้น
“เอาละ ๆ ดร.จะให้ผมช่วยอะไร”
ดร.วิทยายิ้มพอใจ
“ผมอยากจะขอความช่วยเหลือ จากพวกคุณทั้งสอง หาทางชิงเอาทับทิมสยามทั้งสามก้อน ไม่ให้ตกไปอยู่ในมือ ดร. ฟอร์ด เพื่อไม่ให้พวกมันทำการทดลองระเบิดบ้าๆนั่นสำเร็จ”
“ดร. มีข้อมูลไหมว่า ไอ้ทับทิมทั้งสามก้อน มันอยู่ที่ไหนกันบ้าง” เสือสนธิ์ถาม
“เท่าที่รู้ตอนนี้ ทับทิมสยามสีชมพูอยู่กับนาตาชา ลูกสาวของ ดร.ฟอร์ด ทับทิมสยามสีม่วง ผมเชื่อว่าต้องอยู่ในสุสานช้าง เพราะสายของผมรายงานมาว่า ดร.ฟอร์ดกับลูกสาวของมันกำลังค้นหาอยู่ ส่วนทับทิมสยามสีแดง ข้อมูลล่าสุดอยู่กับผู้ชายที่ชื่อ หนานคำ” ดร.วิทยาอธิบาย
ฮวงหยิบรูปถ่ายหนานคำ ส่งให้เสือสนธิ์และอินทร์
+ + + + + + + + + + + +
วันต่อมา...ลูกน้องของหนานคำ 3 คนคือ จันตา จันเป็ง และคำปัน กำลังยืนสอดส่องอยู่หน้าร้านอาหารซึ่งเป็นห้องแถวเล็กๆ คอยกันไม่ให้คนที่ผ่านไปมาเข้าใกล้ เพราะด้านใน หนานคำ กำลังนั่งคุยอยู่กับนั้ม ผู้สื่อข่าวต่างจังหวัด ด้วยท่าทีที่ไม่ค่อยอยากให้ใครได้ยิน
“ถ้าพี่ติดต่อกับ แหม่มที่ประกาศซื้อทับทิมสยามได้ ผมจะแบ่งค่านายหน้าให้พี่สามสิบเปอร์เซ็นต์ของราคาของ”
นั้มยิ้มๆ
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาหนานคำ แต่ผมสงสัยว่าไอ้ทับทิมสยามของหนานคำน่ะ มันจริงหรือปลอม”
“ผมจะเอาของปลอมมาหลอกขายได้ยังไง พวกฝรั่งมันไม่โง่หรอก”
“แล้วหนานคำไปได้มายังไง”
“เอ้อ...”
หนานคำอ้ำอึ้ง ไม่ค่อยอยากเล่า นั้มจึงคาดคั้น
“ว่าไง...ถ้าไม่รู้ที่มาที่ไป ผมจะเชื่อหนานคำได้ไงเล่า”
“มันเป็นความจริงที่ผมไม่อยากจะเปิดเผย”
“โธ่...ก็มีแค่ผมกับหนานคำ แล้วก็ไอ้สามคนนั่น มันก็ลูกน้องหนานคำไม่ใช่เหรอ”
หนานคำ มองไปที่ลูกน้อง ซึ่งยืนคุมอยู่ด้านนอก จากนั้นก็มองซ้ายขวา เกรงจะมีใครแอบฟัง
“คือว่า...ไอ้ทับทิมสยามที่ผมได้มาน่ะ เดิมมันเป็นของ เจ้าจันทร์ทิพย์ กับแม่นายแพรตอง”
นั้มนึกตาม
“เจ้าจันทร์ทิพย์ ที่เป็นหลานเจ้า พวงจันทร์ เชื้อสายเจ้าเชียงรุ้งใช่มั๊ย”
“นั่นแหละ ตอนที่ผมหนุ่มๆ ผมเข้าไปทำงานรับใช้ที่คุ้มเจ้าจันทร์ทิพย์ กับแม่นายแพรตอง ตอนนั้นม่านฟ้าเพิ่งอายุ 7 ขวบ มีบัวชุมเป็นพี่เลี้ยง”
หนานคำค่อยๆ รำลึกถึงเรื่องราวอดีต...
+ + + + + + + + + + + +
ในอดีต...
ที่คุ้มเจ้าจันทร์ทิพย์...
เจ้าจันทร์ทิพย์เดินมาหน้าห้องแพรตอง แล้วร้องเรียก...
“แพรตอง...แพรตอง”
แพรตองออกมาจากห้อง
“ฉันเสร็จแล้วเจ้าพี่”
“ม่านฟ้าหายไปไหน ไปเรียกมาเร็วเดี๋ยวไม่ทัน”
แพรตองมองหา เห็นม่านฟ้าอยู่กับบัวชุม ที่โต๊ะใต้ถุนเรือน
“ม่านฟ้า...มาเร็วลูก ได้เวลากินข้าวแล้ว”
“ม่านฟ้ายังไม่หิวจ๊ะแม่”
“มาเร็วๆ ลูก เจ้าพ่อท่านรออยู่ วันนี้เจ้าพ่อจะพาไปไหว้พระธาตุ”
ม่านฟ้าดีใจ หันไปบอกบัวชุม
“ไปไหว้พระธาตุ บัวชุมรีบไปแต่งตัวเร็ว”
“คุณหนูรีบไปเถอะค่ะ ไม่ต้องห่วงบัวชุมหรอก”
แพรตองพาม่านฟ้า เดินเข้าไปด้านในเรือน บัวชุมเดินตาม หนานคำวัยหนุ่ม ซึ่งทำงานอยู่แถวนั้นมองตามอย่างมีเลศนัย แพรตองหันไปสั่ง
“หนานคำเตรียมรถให้พร้อม เดี๋ยวเราจะไปไหว้พระธาตุกัน”
“ได้ครับ เจ้านายแพรตอง” หนานคำรับคำ
+ + + + + + + + + + +
หนานคำเล่าต่อให้นั้มฟังต่อว่า...
“เดิมทับทิมสยาม ประดับอยู่บนมงกุฎของเจ้าเชียงรุ้ง ไม่ทราบด้วยเหตุผลอันใด มงกุฎหายไปเหลือแต่ทับทิม ผมทราบดีว่าเจ้าจันทร์ทิพย์จะต้องนำ ทับทิมสีแดง ไปไหว้พระธาตุที่วัดทุกปี และปีนี้ก็เช่นกัน ผมจึงวางแผนที่จะชิงทับทิมสีแดง เพราะรู้มาว่า ทับทิมสยามมีค่ามาก”
หนานคำนึกย้อนไปในอดีต....
ช่วงเวลานั้น...เขาขับรถตู้นำเจ้าจันทร์ทิพย์ แพรตอง ม่านฟ้า และบัวชุม ไปนมัสการพระธาตุ โดยนำทับทิมสยามติดตัวไปด้วย ขณะที่รถกำลังวิ่งอยู่บนทางขึ้นเขากลางป่า สักครู่ก็มีอาการกระตุกๆ คล้ายกับเครื่องยนต์กำลังรวน
“รถเป็นอะไรหนานคำ” จันทร์ทิพย์ถามขึ้น
“สงสัยเครื่องจะน็อคครับเจ้า”
หนานคำรีบเลี้ยวรถเข้าป่าข้างทาง ซึ่งค่อนข้างลับตา เจ้าจันทร์ทิพย์แปลกใจ
“นั่นแกจะเลี้ยวไปไหน”
“ผมจะจอดดูเครื่องครับเจ้า”
“จอดข้างทางก็ได้นี่ ทำไมต้องเลี้ยวเข้ามาจอดซะลึกหนานคำ” แพรตองถามอย่างสงสัย
“จอดข้างทาง ผมกลัวสิบล้อมวิ่งมาเสยน่ะครับ”
หนานคำลงจากรถมาเปิดกระโปรงหน้า แล้วหยิบปืนที่ซ่อนไว้ตามเครื่องยนต์ออกมา ทุกคนที่เหลือลงจากรถ มายืดเส้นยืดสาย ม่านฟ้าหันไปกระซิบบัวชุม
“พี่บัวชุมหนูปวดท้องเบา”
บัวชุมยิ้มๆหันไปบอกแพรตอง
“เดี๋ยวบัวชุมเอาคุณหนูไปฉิ้งฉ่องก่อนนะคะ”
“ระวังอย่าให้โดนตัวอะไรต่อยนะบัวชุม” แพรตองหันไปบอก
“ค่ะแม่นาย เดี๋ยวบัวชุมจะเอากระเป๋ายาไปด้วย”
บัวชุมพาม่านฟ้า เดินเข้าป่าไปพร้อมกระเป๋าสะพายสำหรับใส่ยา
บัวชุมเดินจูงม่านฟ้ามายังที่ลับตา แล้วใช้ไม้ตีเพื่อไล่สัตว์เลื้อยคลาน และแมลงต่างๆ จากนั้นก็หันมาหาม่านฟ้า
“เรียบร้อยแล้วค่ะคุณหนู มาเดี๋ยวบัวชุมช่วย”
“ไม่เอาๆ ม่านฟ้าอาย”
“อายเป็นด้วย สงสัยจะเป็นสาวแล้วนะคะ งั้นเดี๋ยวพี่บัวชุมจะปิดตา...ตรงนี้แหละค่ะคุณหนู”
ม่านฟ้าเริ่มทำธุระส่วนตัว แล้วสักครู่ก็ได้ยินเสียงปืนดังปังๆ บัวชุมและม่านฟ้าต่างก็ตกใจ รีบเข้ามากอดกันไว้
“เสียงอะไร”
“ปืนค่ะ”
“ใครยิง”
บัวชุมรีบเอามือจุ๊ปาก เป็นสัญญาณห้ามส่งเสียงแล้วจากนั้นก็พาม่านฟ้าไปดู
หนานคำ กำลังต่อสู้กับเจ้าจันทร์ทิพย์ ขณะที่แพรตองถูกยิงได้รับบาดเจ็บ บัวชุมพาม่านฟ้ามาแอบดูอยู่ที่มุมหนึ่งไม่ห่างกันนัก ม่านฟ้าตกใจ พยายามจะวิ่งเข้าไปหาแม่ ที่กำลังบาดเจ็บ แต่บัวชุมรีบรั้งเอาไว้
“แม่”
“อย่าเสียงดังค่ะคุณหนู...เงียบไว้”
บัวชุมเอามืออุดปากม่านฟ้าไว้ เจ้าจันทร์ทิพย์พลาดท่าถูกหนานคำยิงล้มคว่ำ แพรตองกรีดร้องรีบเข้าไปหาเจ้าจันทร์ทิพย์ แล้วที่สุดก็โดนหนานคำยิงซ้ำจนนิ่งไป หนานคำรีบค้นหาทับทิมสยาม แล้วหยิบออกมามอง
“ทับทิมสยามจริงๆ ด้วย ข้าจะได้รวยกับเค้าซะที”
ม่านฟ้าตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นน้ำตาไหลสะอึกสะอื้น ขณะที่บัวชุมเองก็ตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว จนเผลอไปเหยียบกิ่งไม้ทำให้เกิดเสียงดังจนหนานคำหันมามอง แต่เมื่อมองหาก็ไม่เห็นมีใคร จึงรีบกลับไปที่รถแล้วลากศพของจันทร์ทิพย์ และแพรตอง ขึ้นรถสตาร์ทเครื่องยนต์ แล้วดันให้รถ แล่นลงไปตามทางจนรถตกหน้าผาระเบิด
+ + + + + + + + + + + +
หนานคำหน้าสลดลง เมื่อนึกถึงเรื่องราวโหดร้าย จากการกระทำของตัวเองที่ผ่านมา
“หลังจากนั้นผมก็เอาศพของเจ้าจันทร์ทิพย์ และแม่นายแพรตองใส่รถและเอารถไปทิ้งหน้าผา ฌาปนกิจ เรียบร้อย ไม่มีใครสงสัยอะไร เพราะคิดว่ารถของ เจ้าตกเขา ไฟคลอกตายทั้งครอบครัว เรื่องทับทิมสยามก็ไม่มีใครรู้นอกจากผมคนเดียว”
“มิน่าล่ะ แกถึงได้รอดคดีมาได้เป็นสิบปี”
“ผมซ่อนทับทิมสยามเอาไว้ยังไม่รีบขายให้ใคร ก็เพราะอยากให้ทุกคนลืม จนมาเห็นแหม่มที่ประกาศหาซื้อทับทิมสยามสีแดงในทีวีนี่แหละ”
“แล้วแกเก็บทับทิมสยามสีแดงไว้ที่ไหน”
หนานคำลังเล...
“เอ้อ...”
“ถึงขนาดนี้แล้ว ยังไม่ไว้ใจกันอีกหรือไงวะ”
“เปล่าพี่เปล่า ผมซ่อนไว้ที่บ้านนั่นแหละ”
นั้มยิ้มให้
“แกได้เป็นเศรษฐีแน่หนานคำ เอาไว้ฉันติดต่อแหม่มได้เมื่อไหร่ ฉันจะไปหาแกที่บ้าน”
“ถ้างานนี้สำเร็จ เราก็รวยด้วยกัน ผมไม่ลืมพี่นั้มแน่นอน”
หนานคำเดินออกจากร้านอาหาร พร้อมกับลูกน้องทั้งสามคน เมื่อลับตา นั้มก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาหมุนหมายเลข
“ฮัลโหล...พี่อินทร์...นั้มพูด”
“เออ...ว่าไงไอ้นั้ม เรื่องที่ให้ไปสืบ”
“ทับทิมสยามสีแดงอยู่กับไอ้หนานคำแน่นอน มันบอกผมว่า มันซ่อนไว้ที่บ้านมัน”
“แล้วบ้านมันอยู่ไหน”
“ในป่าครับพี่...บ้านมันหายาก ผมเองยังจำไม่ค่อยได้”
“ถ้างั้นข้าจะส่งคนไปหาเอง เอ็งช่วยดูแลให้ด้วยก็แล้วกัน”
“ได้ครับพี่...เรื่องนี้ผมช่วยเต็มที่ ไม่ต้องห่วง”
จากนั้นนั้มหมุนโทรศัพท์หาฮวง
“ฮัลโหล...” ฮวงรับสาย
“นั่นฮวงใช่ไหม”
“ใช่ฉันเอง...ได้เรื่องไหม...”
นั้มพูดคุยวางแผนกับฮวงทางโทรศัพท์ ฮวนฟังแล้วเข้าใจในแผนการแล้วตอบรับ
“โอเค...ฉันจัดการเอง...”
จบตอน 3
โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป