เสาร์๕ ทับทิมสยาม ตอนที่ 7
เปาชางลืมตาขึ้นมา รู้สึกแข็งแรงมากขึ้นกว่าเดิม เขาหันไปมองรอบๆเห็นบัวชุม กับม่านฟ้า กำลังช่วยกันเผาหัวมัน เพื่อเอามาเป็นอาหาร บัวชุมกำลังผูกมีดกับไม้ เปาชางแกล้งหลับแล้วแอบฟังสองสาวคุยกัน
“พี่บัวชุมเอาไปกิน 3 หัวเลย ไม่ต้องเผื่อฉันหรอก”
บัวชุมรีบบอก
“คุณหนูเก็บไว้กินนั่นเถอะค่ะ เดี๋ยวบัวชุมจะไปหาปลามาตุนไว้”
“พี่บัวชุมจะไปไกลมั๊ย”
“ลำธารแถวนี้แหละคะ ได้ปลาแล้วพี่บัวชุมจะรีบกลับมา”
“งั้นฉันไปช่วยหาด้วย สนุกดี”
“ไม่ต้องเลยคุณหนู ตากแดดมากๆ เดี๋ยวผิวเสียหมด อยู่ที่นี่จะได้คอยดูไม่ให้เสือมันมาคาบ ผู้ชายคนนั้นไปกินไงละคะ”
“ก็ได้”
“พี่บัวชุมไปนะคะ”
บัวชุมลุกเดินออกไป ปล่อยให้ม่านฟ้า เผาหัวมันต่อ สักครู่เปาชางก็ลุกขึ้นมานิ่ง ม่านฟ้าหันไปมอง
“ท่าทางนายจะหายดีแล้วใช่มั๊ย”
“ไม่มีไข้แล้ว”
“แล้วแผลล่ะ แห้งหรือยัง”
“ม่านฟ้าลุกขึ้นมาดูแผลที่ไหลของเปาชาง แล้วเริ่มทำแผลให้ใหม่ ขณะที่เปาชาง แอบมองม่านฟ้า อารมณ์ดิบเริ่มครุกรุ่น
“แผลแห้งเร็วดี แต่อย่าให้ถูกน้ำ อีกไม่เกินเจ็ดวันแผลก็จะสนิท”
“เป็นเพราะสมุนไพรของคุณ แผลจึงหายเร็วบ้านเธออยู่ไหน”
“ถามทำไม”
“เธอช่วยฉัน ฉันอยากตอบแทน”
“ไม่เป็นไร...เราคงไม่เจอกันอีกแล้ว”
เปาชางแอบเอาปลายผมของม่านฟ้า ขึ้นมาสูดกลิ่นอย่างชื่นใจ ม่านฟ้าสะดุ้งหันไปมอง
“นี่จะทำอะไร”
“ฉันชอบเธอนะม่านฟ้า”
ม่านฟ้าลุกขึ้น รู้สึกไม่พอใจ ที่คนแปลกหน้าอย่างเปาชางมาพูดจาแบบนี้กับเธอ
“เดี๋ยวซิ เธอโกรธฉันเหรอ”
“ไปได้แล้ว เราแยกกันตรงนี้ จะไปไหนก็ไป”
“ไม่ ฉันอยากให้เธอไปกับฉัน”
“ฝันไปเถอะ”
ม่านฟ้าเดินหนีไป แต่เปาชางรีบลุกขึ้นเข้าไปฉุดเอาไว้
“ฉันไม่เคยรู้สึกกับใคร เหมือนกับที่รู้สึกกับเธอมาก่อนเลยม่านฟ้า”
“ปล่อยนะ ไอ้บ้า”
ม่านฟ้าดิ้นรน แต่เปาชางไม่ยอมปล่อย ทำให้ทั้งคู่เริ่มต่อสู้กัน แต่แล้วม่านฟ้าเสียหลัก และแพ้แรงของเปาชาง ทำให้เธอล้มลง ขณะที่เปาชางโถมตัวลงไปกดทับไว้แล้วกอดปล้ำ”
“เป็นเมียฉันนะม่านฟ้า ฉันชอบเธอจริงๆ”
“ปล่อย ปล่อย”
“เปาชางกอดปล้ำขณะที่ม่านฟ้า เริ่มแพ้แรง ได้แต่กรีดร้อง แต่แล้ว บัวชุมก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลัง หยิบกิ่งไม้มาฟาดที่หัวเปาชางล้มเซลงไป ม่านฟ้ารีบออกมาแล้วหนีมายืนด้านหลังของบัวชุม
“ไอ้สารเลว ไอ้งูเห่า ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ อย่างงี้มันต้องฆ่าให้ตาย”
บัวชุมแค้นใจที่เจ้านายโดนย่ำยี ชักมีดออกมาหมายจะแทง แต่เปาชางพลิกตัวหลบ แล้วกลิ้งไปคว้าปืนออกมา
“หนีเร็วพี่บัวชุม หนี”
ม่านฟ้าเข้าไปดึงบัวชุมให้วิ่ง ขณะที่เปาชาง พยายามลุกขึ้นตาม แต่เพราะถูกฟาดที่ท้ายทอย ทำให้เขายังโซเซ ตามไปไม่ได้ ได้แต่ทรุดตัวลงมองตามไป
ม่านฟ้า และบัวชุม พากันวิ่งหนีจนกระทั่งมาหยุดที่หน้าผา ม่านฟ้าเดินแยกออกไปยืนน้ำตาคลอ แค้นใจที่เธอช่วยคนผิด บัวชุมสังเกตเห็นรีบเข้าไปหา
“บัวชุมขอโทษนะคะ ที่...”
“พี่บัวชุมไม่ผิด ฉันผิดเองที่ใจอ่อนสงสารไอ้คนสารเลว”
“พวกผู้ชาย ไว้ใจไม่ได้ทั้งนั้น ถ้าเจอกมันอีกบัวชุมไม่ปล่อยไว้แน่ ตายเป็นตาย”
ม่านฟ้ารู้สึกซาบซึ้งที่บัวชุม รักและภักดีกับเธอเสมอ
“พี่ดีกับฉันเหลือเกิน”
“คุณหนูคือเชื้อสายของเจ้าชีวิต บัวชุมต้องจงรักภักดี ไม่ว่าคุณหนูจะตกทุกข์ได้ยากยังไง บัวชุมก็ทิ้งคุณหนูไม่ได้”
ม่านฟ้าน้ำตาไหล โผเข้ากอดบัวชุมเอาไว้
“บัวชุมคือครอบครัวของฉัน ชีวิตฉันเหลือบัวชุมเพียงคนเดียว”
“ไม่ค่ะ บัวชุมไม่ตีเสมอนาย ขอบัวชุมเป็นแค่ข้ารับใช้ มันก็เป็นบุญหัวกับวงศ์ตระกูลของบัวชุมแล้วค่ะ คุณหนูต้องเข้มแข็งนะคะ ราชวงศ์เชียงรุ้งมีคุณหนูเป็นผู้สืบทอด สักวันคุณหนูจะต้องเป็นผู้นำของชาวเชียงรุ้งที่เหลืออยู่ อย่าร้องไห้ค่ะ”
ม่านฟ้าปาดน้ำตา
“จ๊ะ ฉันจะเข้มแข็ง ฉันจะไม่ทำให้บัวชุมผิดหวัง เราต้องเอาทับทิมสยามสีแดงกลับคืนมาให้ได้”
บัวชุมมองไปรอบๆ เพื่อหาทิศทางที่จะเดินต่อไป
“แล้วจากนี้เราจะไปทางไหนกันดีคะคุณหนู”
ม่านฟ้ามองไปที่ยอดไม้จากริมหน้าผา เห็นยอดเจดีย์โผล่อยู่ลิบๆ ไกลออกไป
“มีเจดีย์อยู่ที่นั่น เห็นมั๊ยพี่บัวชุม”
“จริงด้วยค่ะ เจดีย์แบบนี้มาอยู่กลางป่าได้ยังไงกัน”
“ไปที่นั่นกันเถอะ พี่บัวชุม”
ทั้งคู่ออกเดิน มุ่งหน้าไปยังเจดีย์กลางป่า
+ + + + + + + + + + + +
เปาชางพยายามลุกขึ้น เดินโซเซไปมา เพื่อตามหาม่านฟ้า เขารู้สึกเสียใจที่ทำให้ม่านฟ้าหนีไป และยากที่จะติดตามเอาตัวม่านฟ้ากลับคืนมา
ขณะที่เปาชางทรุดตัวนั่งหอบ เหนื่อย เขาได้ยินเสียงใครบางคนกำลังเดินมา จึงรีบหลบไปที่พุ่มไม้ กลุ่มของอาเตียว และลูกน้อง กำลังเดินมาตามทาง ลูกน้องคนหนึ่งสังเกตเห็นพุ่มไม้ไหว จึงส่งสัญญาณให้ทุกคนรู้
“เอ็ง...อ้อมไปดู ถ้าเป็นกวางก็จัดการเลย”
ทุกคนค่อยๆคืบคลาน ตีวงล้อม เนื่องจากคิดว่า สิ่งที่อยู่ในพุ่มไม้เป็นกวาง หรือไม่ก็สัตว์ป่า แต่แล้วขณะที่ทุกคนใกล้เข้ามา กระสุนก็ถูกสาดออกมาจากพุ่มไม้ ทำให้ทุกคนชะงัก พากันหลบแล้วสาดกระสุนเข้าใส่พุ่มไม้ เปาชางขดตัวหลบกระสุนที่วิ่งผ่านไปมา เสียงปืนเงียบลง อาเตียวตะโกนออกมา
“เฮ้ย...ออก ไม่งั้นเอ็งตาย”
ในพุ่มไม้ เปาชางชะงักเมื่อได้ยินเสียงอาเตียว เปาชางรีบตะโกนตอบออกไป
“อาเตียว ฉันเอง เปาชาง”
อาเตียวจำได้ว่าเป็นเสียงของเปาชาง จึงรีบไปยังพุ่มไม้ เปาชางค่อยๆ ยืนขึ้นมา
“เปาชาง”
เปาชาง ยิ้มดีใจ แล้วค่อยๆทรุดตัวลง อาเตียวและพวกรีบเข้าไปช่วยพยุง
“พากลับหมู่บ้านเร็ว”
ทุกคนช่วยกันประคองร่างของเปาชาง มุ่งหน้ากลับหมู่บ้านทันที
+ + + + + + + + + + + +
กลุ่มของสตีเฟ่น พากันเดินมุ่งหน้าไปยังเจดีย์กลางป่า เริ่มเข้าเขตภาพลวงตา ซัมดองมองไปรอบๆ ด้วยความรู้สึกพิศวง เช่นเดียวกับ กระแต และบุษกร ซึ่งไม่เคยเห็นบรรยกาศแปลกๆแบบนี้มาก่อน
สตีเฟ่น เดินเข้ามาหา กระแต และบุษกร
“ทำไมป่าแถวนี้ ดูแปลกๆ”บุษกรถาม
“มีอีกหลายอย่างที่แปลกกว่านี้ รอเธออยู่”ซัมดองบอก
“ได้ยินเสียงอะไรมั๊ย”กระแตถาม
เขตภาพลวงตาเริ่มจับเอาจิตใต้สำนึก ของกระแตออกมาสร้างเป็นภาพ โดยเริ่มที่เสียงดนตรีพื้นบ้านแบบอีสาน
“เสียงอะไร”บุษกรถาม
“เสียงดนตรี...เหมือนที่เราเคยเรียนตอนเด็กๆ เสียงอยู่ใกล้ๆนี่เอง”
เสียงดนตรีกันตรึมเริ่มดังขึ้นมาเรื่อยๆ ทำให้ทุกคนเริ่มได้ยินกันทั่วทั้งคณะ
ภาพลวงตาเริ่มทำงาน...ในป่ารกชัฏเริ่มค่อยๆ เลือนหายไป กลายเป็นภาพปราสาทหินแบบขอม แล้วจากนั้นก็เริ่มปรากฏร่างของหญิงสาว นุ่งผ้าซิ่นแบบอีสาน กำลังร่ายรำ ฟ้อนกันตรึมกันไปมา ขบวนกันตรึมเริ่ม เคลื่อนเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ แล้วจากนั้นพวกนางฟ้อน ก็พากันเข้ามาหากระแต และบุษกร แล้วดึงสองสาวให้หายไปในปราสาทหิน แล้วกลับออกมาด้วยเสื้อผ้าในชุดนางฟ้อน จากนั้นสองสาว และบรรดานางฟ้อนก็พากันร่ายรำกับวงกันตรึมด้วยท่าทียั่วยวน
สตีเฟ่นยืนอึ้ง มองกระแต และบุษกร ด้วยความหลงใหล ขณะที่หญิงสาว ต่างก็พาโปรยเสน่ห์ให้กับชายหนุ่มตามลีลาของการฟ้อนรำ
สตีเฟ่น ราฮีม แ ละชายหนุ่มทุกคน เริ่มหลงใหล เคลิ้มไปกับเสียงดนตรีและนางฟ้อน
มุมหนึ่ง...
ยอด เทอด กริ่ง ซึ่งติดตามมา แอบมองอยู่มุมหนึ่ง
“เกิดอะไรขึ้นเทอด ฉันไม่เข้าใจเลย พวกที่ฟ้อนรำนั่นมาจากไหนกัน”กริ่งแปลกใจ
“ดูคุณกระแต กับคุณบุษกรซิ ถ้าไม่เห็นกับตา ฉันก็ไม่เชื่อเหมือนกัน”เทอดบอก
“เขาไม่ใช่คนเดิมที่เรารู้จักอีกต่อไปแล้ว”
ยอดรู้สึกเศร้าใจกับสิ่งที่กระแต และบุษกรทำ
+ + + + + + + + + + + +
กระแต และบุษกร ยังคงร่ายรำ ต่อหน้าสตีเฟ่น ในลักษณะยั่วยวน ทำให้สตีเฟ่นรู้สึกเคลิ้มไป ซัมดองซึ่งยืนมองเหตุการณ์อยู่ รับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากล
“สตีเฟ่น”
สตีเฟ่น ราฮีม และคนอื่นๆ ยังไม่ได้สติ จนซัมดองต้องร่ายมนต์แล้วเป่าออกไป ทำให้สตีเฟ่น และคนอื่นๆ สะดุ้งคืนสติกลับมา ยกเว้น กระแตและบุษกร ซึ่งร่ายรำอยู่ ซัมดองรีบบอก
“ตั้งสติไว้ อย่าหลงกลภาพลวงตา”
“จริงซิ นี่มันภาพลวงตา ผมเผลอไป”สตีเฟ่นบอก
“รีบพาทุกคนเดินทางต่อ”
“เราจะเดินตามเงาของเจดีย์เข้าไป ห้ามออกจากเงาเด็ดขาด”สตีเฟ่นบอกทุกคน
“แล้วกระแต กับบุษกร ล่ะสตีเฟ่น”ราฮัมหันมาถาม
“ฉันจัดการเอง แกนำพวกเราเดินไป”
ราฮีมนำขบวน ขณะที่สตีเฟ่นเข้าหากระแต และบุษกร แล้วดึงร่างของสองสาว ให้หลุดออกมาจากวงล้อม ของเหล่านางฟ้อน
ร่างของนางฟ้อน และวงกันตรึม กลายเป็นฝูงปีศาจ กรีดร้อง ยื้อยุด กระแต และบุษกรเอาไว้ เมื่อภาพลวงตาที่สวยงามเปลี่ยนไป กลายเป็นฝันร้าย เสื้อผ้าของ กระแตและบุษกร ก็คืนสภาพกลับมา
สตีเฟ่นกระชากสองสาวให้หลุดออกจากฝูงปีศาจแล้ว วิ่งตามขบวนไปตามเงาของเจดีย์ ฝูงปีศาจที่ติดตามมา ต่างพากันกรีดร้อง พยายามติดตามเข้าไป แต่ไม่สามารถเข้าไปในเขตเงาเจดีย์ได้ จนกระทั่งกลุ่มของสตีเฟ่น เลือนหายข้ามมิติเข้าไป
ยอด เทอด กริ่ง ซึ่งแอบติดตามมา ปรึกษากันว่าจะทำยังไงต่อไปดี
“ผีเต็มไปหมดเลย เอาไงดีเทอด”ยอดถาม
“ก็ไปตรงที่ไม่มีผีซิ คุณยอด”เทอดบอก
“เดี๋ยวฉันนำไปเอง”กริ่งเสนอ
“ไม่ได้นะนายกริ่ง ถ้านายนำไป พวกฉันตามไม่ทันแน่ ฉันว่านายเป็นฝ่ายตามดีกว่า”ยอดแย้ง
“งั้นตามฉันมา”
เทอดบอกแล้ววิ่งไปในทิศเดียวกับ ที่ขบวนของสตีเฟ่นไป แต่ไม่ได้วิ่งตามเงาของเจดีย์ ดังนั้นเมื่อวิ่งไปสักครู่ก็ปรากฏว่า ตัดสินใจผิด เพราะพวกปีศาจปรากฏตัวล้อมรอบ ยอด เทอด กริ่ง เต็มไปหมด
ปีศาจพากันรุมทึ้งสามหนุ่ม มะรุมมะตุ้มนัวเนีย เต็มไปหมด
“มาจากไหนกันนักหนา”กริ่งโวยวาย
“อยู่ไม่ได้แล้วโว้ย”
ยอดวิ่งเตลิดไป เทอดหน้าแหย
“ข่าวดีว่ะทำอะไรมันไม่ได้เลย”
“มีข่าวดีจะบอกเหมือนกัน กระสุนก็ทำอะไรมันไม่ได้เลย”กริ่งไม่รู้จะหันไปทางไหนดี
“เจริญ”เทอดบ่น
ยอดวิ่งกลับมารวมตัว เพราะไม่รู้จะหนีไปไหน
“ไปไม่รอดว่ะ”
กริ่งหันไปบอก
“ยอด...รวมกันเราตายหมู่”
“แยกกันอยู่ ตัวใครตัวมัน”เทอดบอก
“ไปก่อนนะ”
กริ่งวิ่งจู๊ด เป็นสายลมหายไป เทอดหายตัวปิ๊ง ขณะที่ยอด ตกอยู่ในวงล้อมคนเดียว
“ไม่มีอะไรทะลุเลย งั้นใช้แรงตัวเองแล้วกันอย่าตามมานะโว้ย”
ผีกรุ้มรุมเข้ามา ยอดย่อตัวลงแล้วมุดหว่างขาผี หลุดจากวงล้อมแล้ววิ่งหนีหน้าตั้ง หายเข้าป่าไป
+ + + + + + + + + +
ยอดวิ่งหนีมาหยุดหอบตัวโยนอยู่ที่โคนต้นไม้ พอหันไปข้างๆ เห็นเทอดปรากฏตัว แต่ยอดยังผวาอยู่ เลยตกใจ
“เฮ้ย...”
“ฉันเอง”
ยอดถอยหลังมอง มีมือยื่นมาจับไหล่ยอด ยอดตกใจร้องลั่น
“เฮ้ย...มันมาแล้ว”
“ใครมา”
ยอดหันมอง พบว่าเป็นกริ่ง
“ปัดโธ่ นึกว่าผี”
“หล่ออย่างงี้ เมืองผีเขาไม่รับ”
เทอดถอนใจ
“พวกนั้นหายไปหมดแล้ว เอาไงกันดี”
“ยังไงก็ต้องตาม แต่รอให้ผีพวกนั้นเผลอก่อนดีไหม”กริ่งเสนอ
“ดี ฉันเหนื่อยเต็มทนแล้ว ขอพักก่อน”ยอดรีบบอก
“ตามสบาย ฉันว่าแถวนี้เหมาะที่สุด ร่มเย็นจะได้หลับสบายๆ”
เทอดเดินนำ ยอด และกริ่งไป
+ + + + + + + + + +
เทอด ยอด กริ่ง พากันเดินมายังมุมหนึ่งซึ่งชัยภุมิเป็นลักษณะหินผา ดูโปร่งสบาย
“งั้นฉันจองมุมนี้ก็แล้วกัน”กริ่งบอก
“ของฉันมุมนี้”ยอดเดินไปอีกทาง
“มุมไหนก็สบายเหมือนกัน”
เทอดเริ่มบิดขี้เกียจ ขณะที่กริ่งสะดุ้งลุกขึ้นมามองไปมา เพราะได้ยินเสียงบางอย่าง ยอดหันไปถาม
“อะไรกริ่ง”
“เสียงอะไร”
“พวกผีตามมาอีกเหรอ”
“ไม่ เหมือนเสียงต้นไม้ล้ม”
เสียงหนักๆ คล้ายเสียงเดินของสัตว์ตัวใหญ่ดังขึ้นต่อเนื่อง
“สงสัยจะช้าง”เทอดบอก
“ช้างเหรอ”กริ่งเริ่งกังวล
“ก็แถวนี้เขาเรียกป่าสุสานช้าง ก็แสดงว่าต้องมีช้างอยู่แถวนี้”เทอดบอก
ยอดตาเบิกโพลง ตกใจเมื่อเห็นบางอย่างที่น่ากลัวกว่าที่คิด
“ไม่...ใช่....ช้าง....”
กริ่งแย้ง
“แต่ฉันว่า...มันก็น่าจะเป็นช้าง”
“ไม่...ไม่..ใช่...ช้าง...กิ้ง...ก่า...กิ้งก่ายักษ์...โน่นไง....”
เทอด และกริ่งหันไปมองตามที่ยอดชี้ให้ดู แล้วก็ชะงัก อ้าปากค้าง เมื่อเห็นกิ้งก่ายักษ์ กำลังจ้องอยู่นิ่ง หมายจะขย้ำเหยื่อ
“โฮ่...พูดมาได้ว่า ที่นี่หลับสบายทุกมุม...”ยอดโวย
“ใช่ ยกเว้นที่เดียว”ยอดยิ้มแหย
“ที่ไหน”กริ่งสงสัย
“ในท้องกิ้งก่า... ไงฉันไปก่อนละ”
เทอดวิ่งนำตามด้วยกริ่ง กิ่งก่าเดินเข้ามาหมายจะขย้ำยอดที่ถอยหลังไปเรื่อยๆ จนได้จังหวะ ยอดผลุบเข้าไปใยซอกหิน รวมตัวกับเทอด และกริ่งซึ่งอยู่ด้านใน กิ้งก่าเอาหัวชนกับหินโครม หินสะเทือน ทำให้ในโพรงมีฝุ่นตลบ จากนั้นกิ้งก่าก็แลบลิ้นเข้ามาในโพรงเพื่อตวัดดึงร่างของ สามหนุ่ม คนใดคนหนึ่งออกไปกิน
สามหนุ่มร้องโวยวาย ลิ้นมาแล่บไม่ถึง เพราะสามหนุ่มซุกตัวแอบอยู่ลึกสุด สักพักมันก็ไป
“สงสัยมันไปแล้ว ออกไปดูมั๊ย”
เทอดทำท่าจะโผล่ไปดู แต่ลิ้นกิ้งก่าโผล่เข้ามาอีก ยอดโวยวาย
“มาอีกแล้ว หลบเร็ว”
กิ้งก่าแล่บลิ้นเข้ามากวาด ไปมา เพื่อตวัดร่างใครสักคนออกไปกิน สามหนุ่มพากันหลบไปมา และแล้ว เทอดก็โดนลิ้นมันตวัดเข้าที่ขา กริ่งช่วยกันดึงเอาไว้ได้ทัน
“เฮ้ย...ปล่อย ปล่อย”
ยอดเข้าไปช่วยกริ่งอีกแรง
“ดึงเร็วคุณกริ่ง ดึง...”
ยอด และกริ่งช่วยกันดึง ยอดหยิบปืนยิงไปที่ลิ้นกิ้งก่า...มันปล่อยทันที เทอดหลุดออกมา กิ้งก่าเงียบหายไป
ทั้งสามค่อยๆ ออกมาจากซอกหิน เห็นกิ้งก่ายักษ์เดินไปอีกทางหนึ่ง ทั้งสามวิ่งหลบไป
อ่านต่อหน้า 2
เสาร์๕ ทับทิมสยาม ตอนที่ 7 (ต่อ)
กิ้งก่าพยายามพุ่งตัวเข้าชนโพรงหิน แล้วจากนั้นก็เอาลิ้นแหย่เข้าไปในโพรงอีกครั้ง ยอดก้มหน้าหลับตา เทอดและกริ่งมองเห็นลิ้นกิ้งก่าเข้ามาในโพรงจึงรีบหลบ เทอดรีบดึงยอดให้หลบ ยอดจึงรอดหวุดหวิด
“มัวทำอะไรคุณยอด เดี๋ยวก็ได้ไปนอนในท้องกิ้งก่าหรอก”
“ผมแค่อยากให้มันเหมือนในหนัง”
“เหมือนยังไงครับ”
“ก็พระเอกกำลังจนตรอก แล้วจู่ๆ ก็มีสัตว์อีกตัวโผล่มา แล้วไล่กัดไอ้กิ้งก่าตัวแรกหนีไป”
“สัตว์อีกตัวเหรอ” กริ่งถาม
ยอดพยักหน้า
“ช้าง ช้างตัวใหญ่ๆ โผล่มาไล่กิ้งก่า”
ขณะเดียวกันที่ด้านนอก ช้างค่อยๆปรากฏตัวขึ้นมา แล้วจากนั้นก็ส่งเสียงร้องดัง สามหนุ่มได้ยินเสียงแล้วสะดุ้งเฮือก
“อย่าบอกนะว่าเสียงกิ้งก่า”
เทอดพยายามฟัง
“ไม่ซิ ผมว่าเสียงช้างนะ”
ด้านนอก กิ้งก่าซึ่งอยู่หน้าโพรงดิน หันไปมองช้าง แล้วจากนั้นทั้งคู่ก็พุ่งเข้าหากัน เทอด ยอด กริ่ง มองไม่เห็นข้างนอก รู้แต่ว่ามีเสียงเหมือนสัตว์สู้กัน เทอดโผล่ออกไปดู
“โห...คุณยอด คุณคิดอะไร ก็ได้ยังงั้นเลยนะ”
ยอดตาโต
“หา...นางแบบปฏิทินมาทำไมแถวนี้”
เทอดหันมามอง
“นางแบบอะไร”
“อ้าว...ก็คุณบอกว่า ผมคิดอะไรก็ได้ยังงั้น”
“ม่ายช่าย ผมหมายถึงช้าง มันโผล่มาช่วยเราแล้ว ดูซิ”
เทอด ยอด และกริ่ง โผล่ออกมาดูพร้อมกัน เห็นกิ้งก่ากำลังถูกช้างวิ่งไล่หายไปในป่า
“ผมว่ารีบหนีไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดดีกว่า”กริ่งบอก
“นั่นซิ เร็วตามผมมา”
เทอด ออกจากโพรงแล้ววิ่งนำไป กริ่งและยอดรีบตาม ไม่นานนัก 3 หนุ่มวิ่งออกจากเขตภาพลวงตา แล้วมาหยุดเหนื่อยหอบที่บริเวณลำธาร เทอดลงไปวักน้ำล้างหน้า
“ชื่นใจ”
กริ่งและยอด ทำตาม แล้วจากนั้นทุกคนก็มานั่งพักเหนื่อย
“ป่าบ้าอะไรก็ไม่รู้ มีทั้งผี ทั้งกิ้งก่ายักษ์”
“อย่าพูดๆ เดี๋ยวมันโผล่มาอีก ตับผมจะแล่บอยู่แล้ว”
เทอดครุ่นคิดบางอย่าง หันไปถามยอด
“ถามจริงๆ นะคุณยอด ก่อนที่จะเจอกิ้งก่า คุณกำลังคิดอะไร”
ยอดร้อนตัว
“โห...แค่คิดถึงผู้หญิงสวยๆ มันไม่ผิดอะไร ไม่ใช่เหรอครับคุณเทอด”
“แล้วกิ้งก่าล่ะ มีคิดแวบๆ บ้างมั๊ย”
“ก็ต้องมีซิ คือผมไม่ค่อยชอบสัตว์เลื้อยคลาน กลัวมันจะโผล่มา”
“เอ๊ะ...มีอะไรหรือเปล่าครับคุณเทอด คุณสงสัยอะไรหรือครับ”
“คือผมแค่สงสัยว่า บางที ไอ้กิ้งก่ายักษ์ ที่เราเจอเมื่อกี้ มันเป็นเรื่องจริงหรือภาพลวงตา”
ยอดและกริ่งมองหน้ากัน
“ภาพลวงตาอะไรครับ” ยอดงง
“ลองคิดดูซิ โลกยุคนี้ จะมีกิ้งก่ายักษ์ได้ยังไง”
“แสดงว่ามันมาจากความคิดของผมหรือครับ”
“ใช่”เทอดพยักหน้ารับ
กริ่งเริ่มเห็นด้วย
“นั่นซิ ผมว่ามันก็น่าจะเป็นไปได้นะ”
“แล้วเวลาที่ผมคิดถึงนางแบบล่ะ ไม่เห็นมีมาสักคน”
“แล้วคุณกลัวนางแบบหรือเปล่าคุณยอด”
“กลัวก็บ้าแว้ววววว”
“ผมว่าภาพลวงตา มันอาจจะเกิดขึ้นเฉพาะสิ่งที่เรากลัวเท่านั้น” เทอดบอกด้วยความมั่นใจ
“แล้วนี่จะมีอะไรโผล่มาอีกหรือเปล่า” กริ่งถาม
“ถ้าไม่อยากให้มา ก็อย่าไปคิดถึงสิ่งที่เรากลัวซิ”
กริ่งหน้าเหวอ
“โห....พูดง่าย แต่ทำยาก”
ยอดมองไปรอบๆ เห็นบรรยากาศป่าเป็นปกติ เต็มไปด้วยเสียงนกร้อง จิ้งหรีด แมลงป่า
“จริงซิ ป่าที่มีภาพลวงตา บรรยากาศไม่เหมือนกับป่าปกติแบบนี้เลย”
กริ่งพยักหน้า
“อื้อ...ผมเห็นด้วย”
เทอดมองไปรอบๆ
“คืนนี้เราก็นอนพักกันแถวนี้แล้วกันนะคุณกริ่ง คุณยอด”
ทุกคนพากันแยกย้ายหาทำเล
+ + + + + + + + + + + +
บริเวณ ที่พักของดร.ฟอร์ด
ซัมดองนั่งสมาธิ หลับตาอยู่มุมหนึ่ง นาตาชาหันไปบอกกับดร.ฟอร์ดที่นั่งคุยกับทุกคนอยู่
“เรื่องที่พัก ของกระแต และบุษกร ไม่ต้องเป็นห่วง ให้พักที่เดียวกับหนูก็ได้”
“ดี จะได้แยกหญิงชายไม่ให้ปะปนกัน”
ดร.ฟอร์ดเห็นด้วย แต่สตีเฟ่นแย้ง
“ผมว่า...ให้กระแตกับบุษกรแยกไปพักดีกว่า”
สตีเฟ่น อยากแยกสองสาวออกมา เพื่อให้เปิดโอกาสให้ตัวเอง
“ไม่ต้อง ให้อยู่กับนาตาชาดีแล้ว และฉันขอบอกเดี๋ยวนี้เลยนะว่า อย่าให้มีเรื่องชู้สาวเกิดขึ้นที่นี่ งานต้องมาก่อนเรื่องอื่นใด”
ดร.ฟอร์ดประกาศเสียงเข้ม สตีเฟ่นผิดหวังเล็กน้อย ซัมดองซึ่งนั่งหลับตาอยู่ ลืมตาขึ้นมาบอกกับทุกคน...
“ป่าแถวนี้ มีพลังบางอย่างปกคลุม”
“พลังงานของทับทิมสยามสีม่วง”
ซัมดองส่ายหน้า
“ไม่ใช่”
ดร.ฟอร์ดรู้สึกแปลกใจ
“ยังมีพลังงานอะไรอีก นอกจากพลังของทับทิมสยาม”
“พลังบริสุทธิ์ ใส สะอาด บางเบาแต่แรงกล้า มีอำนาจเหนือสิ่งใด...”
“พลังพุทธคุณ” ดอนบอก
ซัมดองหันมามองดอน
“จริงซิ แกมีตาที่สาม แกเห็นใช่มั๊ย”
“ผมไม่เห็น...แต่ผมสัมผัสได้”
ซัมดองมองเดี่ยว
“แกก็อีกคน...เสียงที่ปกคลุมแถวนี้เป็นเสียงอะไร”
“เสียงสวดมนต์” เดี่ยวบอก
“ใครสวดมนต์ ทำไมพวกเราไม่เห็นได้ยินอะไรเลย” สตีเว่นสงสัย
“เรื่องนี้พวกฝรั่งไม่มีวันเข้าใจ อย่าคิดว่าวิทยาศาสตร์คือคำตอบของทุกสิ่ง ยังมีอีกหลายเรื่องที่วิทยาศาสตร์ยังก้าวไปไม่ถึง”
“ถูกต้อง ศาสนาพุทธพูดถึงสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ที่เรียกว่าเชื้อโรค ก่อนที่วิทยาศาสตร์ของพวกเราจะค้นพบเป็นพันปี แต่คนปัจจุบันกลับหลงผิด คิดว่าอะไรที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ เป็นเรื่องเหลวไหลฮ่ะๆ แต่ก็ดีเหมือนกัน เพราะผมจะได้เป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรก ที่ค้นพบพลังงานเหนือธรรมชาติคือพลังพุทธคุณ...ผมจะต้องยิ่งใหญ่กว่าอัลเบิร์ตไอน์สไตน์ ฮ่ะๆ”
ดร.ฟอร์ดมีความสุขเมื่อคิดถึงชื่อเสียงของตัวเอง ราฮีมขัดขึ้น...
“เอ้อ...ขอโทษครับ ด็อกเตอร์ แล้วพวกเสาร์ห้าที่แอบติดตามพวกเรามา จะจัดการยังไงกับพวกมันดีครับ”
สตีเฟ่นหันไปบอกดร.ฟอร์ด
“พวกมันอยู่นอกเขต ข้ามเข้ามาที่นี่ไม่ได้ครับพ่อ”
“ถ้างั้นก็ไม่ต้องเป็นห่วง แต่ถ้าจะให้ดี ก็ออกไปจัดการเก็บพวกมันซะ”
ซัมดองขัดขึ้น...
“ไม่...ต้องจับเป็น...แล้วพาตัวมาหาข้า พวกมันมีประโยชน์สำหรับงานของเรา ห้ามฆ่าพวกมันเด็ดขาด”
“โอเค...งั้นก็ตามนั้น”
ดอนและเดี่ยวหันมามองหน้ากันอย่างกังวล
+ + + + + + + + + + + +
ค่ำคืนนั้น...
ชลดา ยูกิ กำลังช่วยกันก่อไฟ และปิ้งปลาที่จับได้มาเป็นอาหาร เคนเดินหอบ ฟืนเข้ามาวางไว้ใกล้ๆ กองไฟ เจนนี่ปีนลงมาจากห้างบนต้นไม้
“ค่อยยังชั่วหน่อย มื้อนี้มีปลาให้กิน” เจนนี่ยิ้ม
“นี่ถ้าไม่ได้คุณเคน พวกเราก็คงกินแต่ปลากระป๋องทุกมื้อ” ชลดาบอก
“ปลาสุกได้ที่แล้ว กินกันเหอะ”
ยูกิชวน สาวๆเริ่มแบ่งปลากัน
“เป็นไงอร่อยไหม” เคนถามยิ้มๆ
“อร่อยมากคุณเคน” ชลดาพยักหน้ารับ
“ขอบคุณ คุณเคน”
เคนได้ยินบางอย่างจึงทำสัญญาณให้ทุกคนเงียบ จากนั้นก็เอาหูแนบฟื้นฟังเสียง
“เสียงคนเดิน มาจากทิศตะวันตก พวกคุณดับไฟกลบให้เรียบร้อย...แล้วอย่าไปไหน รอผมอยู่ที่นี่”
ทุกคนช่วยกันพรางไฟ แล้วจากนั้นก็ ก็พากันปีนขึ้นไปบนห้าง เคนคว้าแคน แล้วเดินออกไป
เคนเดินซุ่มอย่างระมัดระวัง เพื่อสำรวจที่มาของเสียง จนกระทั่งมาถึงชายป่า เคนมองไปรอบๆแล้วเห็นอะไรบางอย่าง จึงรีบหลบมุมซุ่มดู
ลูกน้องของเจ้าพ่ออินทร์ มาพร้อมกับลูกน้อง อีก 10 คนซึ่งแบกสัมภาระ เครื่องอำนวยความสะดวกมากมาย มีทั้งเครื่องปั่นไฟ จานดาวเทียม คอมพิวเตอร์ และเครื่อไฟฟ้าอื่นๆ เพื่อไปส่งให้ กลุ่มของเจ้าพ่ออินทร์ นั้มก้มลงแกะรอยเท้าจากพื้นดิน แล้วฟังเสียงจากพื้น เคนหยุดเคลื่อนไหว เกรงนั้มจะจับได้
“พวกเอ็งตามข้ามา”
ลูกน้องทุกคนมองหน้ากัน ทุกคนเหนื่อยล้าอยากพัก”
“แต่เราน่าจะพักกันก่อนนะพี่”
นั้มยิ้ม
“ทำไม เอ็งเหนื่อยเหรอ”
“เดินกันมาตั้งแต่เช้ามืด ไม่ได้หยุดเลย ของก็หนักจะตาย ทั้งเครื่องปั่นไฟ จานดาวเทียม คอมพิวเตอร์ มีแต่ของใหญ่ๆ หนักๆ”
“เจ้าพ่ออินทร์สิ่งให้ข้ากลับไปเอาของพวกนี้มา เอ็งรู้มั๊ยว่าของพวกนี้ สำคัญแค่ไหน”
“รู้ครับ...พวกเราต้องเอาของพวกนี้ไปให้ ดร.วิทยาทำงาน แต่พวกผมทั้งหนักทั้งเหนื่อย มันไม่คุ้มกันเลย”
นั้มไม่ปล่อยให้ลูกน้องพูดจบ ชักปืนออกมายิงเปรี้ยง ลูกน้องล้มลงขาดใจตาย ท่ามกลางความตกใจของคนอื่นๆ
“มีใครจะกลับอีกไหม”
ทุกคนเงียบ ก้มหน้า
“ข้าบอกให้เดินพวกเอ็งก็ต้องเดิน อย่าขัดคำข้า...ไปเดินทางต่อ”
เคนซึ่งแอบดูอยู่หลังต้นไม้ค่อยๆ ซ่อนตัวขณะที่นั้มและพวก เดินใกล้เข้ามา เสียงความเคลื่อนไหวของเคน ทำให้นั้มชะงัก หันมามองแล้วจากนั้นก็ระดมยิงใส่จุดที่เคนซ่อนตัว เคนวิ่ง หลบกระสุนหายไปในป่า ขณะที่นั้มไล่ยิน แต่เคนชำนาญป่า ทำให้หาที่ซ่อนตัวได้อย่างรวดเร็ว นั้มสั่งแล้วตามไป
“5 คนไปกับข้า ที่เหลือเฝ้าของไว้นะโว้ย...ตามมา”
นั้มและพวกเดินวนเวียน พยายามหาว่าเคนซ่อนอยู่ไหน
“ใคร...ออกมา...”
นั้มยิง นั้มพร้อมลูกน้อง 5 คนตามเคนไป เคนหนีลอยตัวเข้าไปในป่าละเมาะ นั้มตามไป
นั้มเฮ้ยมันอยู่โน้น เร็ว”
นั้มและพวกตามเข้าไปในป่าละเมาะ เคนปรากฎตัวด้านหลังพวกนั้ม ใช้ด้ามแคนกระแทกเข้าที่หน้าลูกน้องแล้วหายไป
ลูกน้องหันมาทางเคน เคนเข้าประชิดตัวมัน แล้วฟาดบั้นท้ายด้วยปืนแคน เป็นขณะเดียวกับที่นั้มหันมายิง เคนจับตัวลูกน้องมาบังกระสุนของนั้มถูกมันอย่างจัง เคนผลักลูกน้องไปหานั้มแล้วหลบไป ลูกน้องที่เหลือคนมารวมตัวที่นั้ม
“พี่ท่าทางเหมือนเป็นคนหาของป่า”
“คนหาของป่ากะผีอะไร...มันเก่งเกินกว่าที่เอ็งพูด ตามมันไป...เร็ว...”
เคนโยนท่อนไม้เบนความสนใจพวกมัน
“พี่นั้มทางโน้น”
“เอ็งสามคนไปดูซิ...ข้าจะดักมันอยู่ทางนี้...”
สามคนแยกไป เคนโผล่มายิง 3 คนตายเรียบ จนกระสุนหมด นั้มวิ่งเข้ามายิงเคน เคนหลบไปได้ นั้มตาม เคนวิ่งขึ้นไปบนต้นไม้ ขณะที่นั้มละลูกน้องพากันวิ่งตามมา แต่แล้วก็ถูกเคนยิงโต้กลับตายไปอีกคน
+ + + + + + + + + + +
เจนนี่ ชลดา และยูกิ ทุกคนชักปืนออกมาเตรียมพร้อมที่จะลุย
“เคนกำลังอยู่ในอันตราย รีบไปช่วยเร็ว” เจนนี่บอก
“เดี๋ยว...ถ้าเราไปช่วยเคนตอนนี้ เราอาจเสียเปรียบนะ” ชลดาแย้ง
“ใช่ เรามีวิธีที่จะให้พวกมันเลิกตามเคน” ยูกิเห็นด้วย
“ทำไงยูกิ”
“ตามมา”
ยูกิวิ่งนำทุกคนเข้าป่าไป ขณะเดียวกันกองลำเลียงสัมภาระ ซึ่งมีแต่ลูกน้องของนั้ม ถือปืนคุ้มกัน ยูกิ วิ่งนำชลดา และเจนนี่มาซุ่มอยู่ที่มุมหนึ่ง เห็นลูกน้องของนั้ม กำลังเล็งปืนระแวดระวังภัย
“ถ้าเรายิงใส่กองคาราวานพวกนี้ ยังไง พวกที่กำลังตามล่าเคนต้อง รีบกลับมารวมกันที่นี่”ยูกิบอกแผน
“จริงซินะมันคงคิดว่าพวกเรา เป็นกองโจรดักปล้นมัน” ชลดาเห็นด้วย
“ถ้างั้นก็ทำให้ดูเหมือนว่า พวกเรามีมากกว่าสามคน ตกลงมั๊ย” เจนนี่ออกความเห็น
“ได้...ยิง เปลี่ยนจุดไปเรื่อยๆเริ่มได้”
ยูกิสรุป เจนนี่ประทับปืนขึ้นแล้วเริ่มยิงทันที ยูกิ และชลดา พากันแยกย้าย สลับกันยิง ตามมุมต่างๆ เพื่อให้ดูเหมือนมีโจรหลายคน
ลูกน้องของนั้มพากันหลบ แล้วซุ่มยิงตอบโต้ ทางด้านนั้ม กำลังได้จังหวะ รีบหันมาสั่งลูกน้อง
“พวกเอ็งแยกไปทางโน้น ข้าจะดักทางนี้เอง”
ลูกน้อง 3 คนแยกไป นั้มจ้องปืนคอยจะวัง ลูกน้อง 3 คนย่องไปทางเสียง ทันใดนั้นเคนโผล่ขึ้นมายิงพวกมันตายเรียบ นั้มได้ยินเสียงรีบวิ่งมา เคนยิงนั้มแต่กระสุนหมด นั้มไล่ยิง เคนหลบไป นั้มตามออกมาจากป่าละเมา ลูกน้องที่เฝ้าของวิ่งมา
“พี่นั้ม”
“ข้าบอกให้เฝ้าของเองมาทำไม”
“พวกเราถูกปล้นพี่ รีบกลับไปช่วยเร็ว”
“ใครปล้น”
“ไม่รู้ครับ พวกมันมากันหลายคน”
นั้มวิ่งมายังกองคาราวาน ที่กำลังซุ่มยิงตอบโต้กับ เจนนี่ ชลดา ยูกิ
“ไหนว๊ะ...พวกโจรข้าไม่เห็นมีสักตัว ตามฆ่ามันให้ได้”
เจนนี่ ชลดา และยูกิ มารวมตัวกัน ทุกคนรีบวิ่งตาหาเคนในป่าละเมาะ เจอศพลูกน้องที่ถูกเคนยิง
“คงเป็นสมุนพวกมันทีถูกเคนยิง”
“เรามาถูกทางแล้ว” เจนนี่บอก
“รอยไปทางนั้นเร็ว...” ยูกิดูรอยแล้วชี้
“ไหนล่ะเคน”
ทุกคนจะออกจากป่าละเมาะ เคนโผล่มาจากหลุ่มพรางที่ทำไว้
“ทางนี้ลงมาเร็ว”
“นี่มันหลุมอะไรของคุณ” ชลดางง
เจนนี่ ชลดา ยูกิ พากันวิ่งเข้าไปในหลุมพราง
“คุณนี่หลอกล่อพวกมันเก่งจริง” เจนนี่ชม
เคนจุ๊ปาก
“ชู่.....พวกมันมาแล้ว”
นั้มและลูกน้องพากันวิ่ง ไล่มา แล้วมองหา แต่ไม่มีใครสังเกตหลุมพราง ซึ่งทุกคนหลบอยู่ นั้มโมโห
“เมื่อกี้มันหายไปตรงนี้”
นั้มและลูกน้องพากันเดินกลับไป
“ป่านนี้มันหนีหายไปแล้วพี่นั้ม”
“เพราะเอ็งเดียวที่ทำให้มันหนีไปได้”
พวกนั้มเดินผ่านหลุมพรางไป โดยที่นั้มยังยืนมองหาอยู่หน้าหลุม
+ + + + + + + + + + + +
เจนนี่ ชลดา ยูกิ และเคน ออกมาจากหลุมพราง
“ผมบอกแล้วว่า ให้พวกคุณซ่อนตัวอยู่ที่นั้น ออกมายุ่งอะไรครับ” เคนถาม
เจนนี่มองค้อน
“นี่คุณเคน...เราอุตส่าห์มาช่วย ยังจะหาว่าพวกเรายุ่งอีก”
“ช่วยยังไง”
“ก็ช่วยเบี่ยงเบนความสนใจ ไม่ให้พวกมันไล่คุณจนมุมน่ะซิ” ชลดาบอก
“รู้งี้ไม่ช่วยดีกว่า” ยูกิงอน
“เหรอ...งั้นก็ขอโทษ”
เคนยิ้มให้ สามสาวอารมณ์ดีขึ้น
“แล้วพวกมันเป็นใคร คุณพอจะรู้ไหม”
“ได้ยินว่า พวกมันกำลังขนของไปให้คนที่ชื่อดร.วิทยา”
สามสาวพูดพร้อมกัน
“ดร.วิทยา”
ยูกิรีบสรุป
“ถ้างั้น เราจะต้องสะกดรอยตามพวกมันไป จนกว่าจะเจอกลุ่มของดร.วิทยา”
“ดร.วิทยาคือใคร” เคนสงสัย
“เรื่องมันยาว แล้วฉันจะเล่าให้ฟังที่หลัง” ชลดาบอก
“เรารีบตามมันไปเถอะ...”
เจนนี่พยักหน้าบอกทุกคน เคนจึงบอกให้ตามตัวเองไป
+ + + + + + + + + + + +
มะโหนก ราฮีม สตีเฟ่น และลูกน้อง 5 คน ซุ่มเดินอยู่ในป่าอย่างเงียบๆ ทุกคนสะกดรอยตามรอยเท้าของ เทอด ยอด กริ่ง ไปจนกระทั่งมาถึงบริเวณที่ทั้งสามคนพักอยู่ สตีเฟ่นหันมาสั่ง
“มะโหนก งานนี้ แกแสดงฝีมือให้ฉันดูหน่อยได้มั๊ย”
“ไม่มีปัญหา”
“จำไว้นะ จับเป็นเท่านั้น อย่าให้พวกมันเป็นอะไรเด็ดขาด”
“แล้วถ้าจำเป็นละครับ” ราฮีมถาม
“จำเป็นยังไงพวกมันก็ตายไม่ได้ ซัมดองต้องการตัวมันเป็นๆ”
“งั้นพวกนายรอที่นี่ ผมกับพวกจะลงมือเอง”
มะโหนกคุมลูกน้องแยกออกไป ขณะที่สตีเฟ่นและราฮีม ซุ่มรออยู่ที่มุมหนึ่ง
+ + + + + + + + + + +
เทอด ยอด กริ่ง กำลังนั่งดื่มกาแฟ กันที่ข้างกองไฟ บรรยากาศรอบข้างที่เคยมีเสียงหรีดหริ่ง เรไร ร้องระงม จู่ๆ ก็เงียบลงไป
เทอดวางกาแฟแล้วมองหน้ายอด และกริ่ง ทั้งสามรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ก็แสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เดี๋ยวฉันไปทำธุระส่วนตัวก่อน” เทอดบอก
เทอดเดินออกจากกลุ่ม ปล่อยให้ยอด และกริ่ง อยู่ใกล้กองไฟต่อไป ยอดและกริ่งดึงกระเป๋าใส่ปืน มาใกล้ๆ ตัวเพื่อเตรียมพร้อม เทอดเดินแยกตัวออกมาที่มุมหนึ่ง ยืนหัสหละงทำท่าเหมือนจะปัสสาวะ ลูกน้องของมะโหนก 2 คน ย่องมาด้านหลังเพื่อล็อคตัว แต่เมื่อเข้ามาใกล้ๆ จู่ๆ ร่างของเทอดก็หายไป ลูกน้องมะโหนกเริ่มตื่นตระหนก
“เฮ้ย....อะไรวะ”
“มันหายไปไหน”
เทอดปรากฏตัวขึ้นด้านหลัง แล้วเข้าชาร์จ ลูกน้องทั้งสองคน
“อยู่นี่ครับ”
เมื่อจัดการลูกน้องทั้งสองคนจนสลบไป จากนั้นเทอดก็หายตัว
อ่านต่อวันพรุ่งนี้ 19 ตุลาคม 2554