xs
xsm
sm
md
lg

เสาร์๕ ทับทิมสยาม ตอนที่ 1

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เสาร์ ๕ ตอน ทับทิมสยาม
ตอนที่1

เครื่องบินส่วนตัวลำหนึ่ง กำลังบินอยู่บนท้องฟ้า ท่ามกลางอากาศสดใส ในเครื่องบิน แอร์โฮสเตจ เดินนำเครื่องดื่มมายังที่นั่งแบบวีไอพี ซึ่ง ดร.ฟอร์ด แม็คควีน นักวิทยาศาสตร์คนสำคัญขององค์การนาซ่า กำลังนั่งทำงานในคอมพิวเตอร์โน๊ตบุคอยู่ ดร.ฟอร์ด เงยหน้ามองมาที่โฮสเตจ

“อีก 1 ชั่วโมง จะเข้าเขตประเทศไทยแล้วค่ะ”
“ขอบคุณ”
“คุณสตีเฟ่น ลูกชายของท่าน แฟ็กซ์เอกสารฉบับนี้มาให้ค่ะ”
โฮสเตจ ส่งกระดาษแฟกซ์ให้ ดร.ฟอร์ดรับมาอ่าน แล้วยิ้มพอใจ
“เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ มันยังอยู่ในเมืองไทย”
“อะไรหรือคะ”
“ทับทิมสยาม”
โฮสเตจ ยิ้มรับ แต่ไม่เข้าใจลึกซึ้งนักว่าทับทิมสยามคืออะไร จากนั้นก็เดินแยกไป
ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คของดร.ฟอร์ด มีภาพ ดร.อัลเบิร์ท ไอน์ สไตน์ และมีสมการ E = MC 2 ปรากฏขึ้น จากนั้นดร.ฟอร์ด เปิดหน้าเว็บเพจเกี่ยวกับการทดลองระเบิดต่างๆ หลายๆ ภาพเป็นภาพระเบิดปรมาณูจากสงครามโลกครั้งที่ 2 มีภาพความทุกข์ทรมานของคนญี่ปุ่นจากสงครามครั้งนั้น

+ + + + + + + + + + + +

ในห้องประชุม...
ดร.อภิชัย กำลังคุยอยู่กับ ผู้พันอาจณรงค์ ด้วยท่าทีเคร่งเครียด หลังจากเปิดคอมพิวเตอร์ ให้ดูรายละเอียดของสมการ E = MC2
“คุณรู้ใช่มั๊ยว่ามันคืออะไร”ดร.อภิชัยถาม
ผู้พันอาจณรงค์พยักหน้ารับ
“สมการที่เป็นต้นกำเนิดของ ระเบิดนิวเคลียร์ครับท่าน”
“มีรายงานเข้ามาว่าดร.ฟอร์ด แม็คควีน นักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องนิวเคลียร์ กำลังบินเข้ามาเมืองไทยด้วยเครื่องบินส่วนตัว”
“มาทำอะไรครับ”
“ไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน คุณรีบส่งสายไปติดตามความเคลื่อนไหวด่วน ตอนนี้เครื่องบินข้ามเข้ามาในเขตเมืองไทยแล้ว”
“ครับท่าน”ผู้พันอาจณรงค์รับคำ

+ + + + + + + + + + + +

เครื่องบินบินอยู่ท่านกลางอากาศแจ่มใส ภายในห้องนักบินที่นักบินผู้ช่วยกำลังบังคับเครื่องอยู่ ครู่หนึ่งกัปตันเดินเข้ามา
“ทุกอย่างเรียบร้อยนะ”
“เรียบร้อยครับ ทางสุวรรณภูมิเคลียร์เส้นทางแลนด์ดิ้ง ให้เรียบร้อยแล้วครับ”
กัปตันมองเห็นความผิดปกติบางอย่าง ที่จอเรดาห์
“เดี๋ยว...นั่นมันอะไร”
ที่จอเรดาห์ มีกลุ่มก้อนบางอย่างกำลังเคลื่อนตัวเข้ามา
“เมฆฝนครับกัปตัน”
“ผมว่าไม่ใช่...”
ฉับพลัน เครื่องบินก็สั่น ไฟฟ้าในเครื่องเริ่มกระพริบดับไปมา กัปตันรีบเข้านั่งประจำที่ เพื่อทำการบังคับเครื่อง
ที่บริเวณห้องผู้โดยสาร ไฟฟ้ากระพริบดับ เครื่องบินสั่นไหว ทำให้ดร.ฟอร์ด ซึ่งเป็นผู้โดยสารคนเดียว เงยหน้าจากจอคอมพิวเตอร์ขึ้นมามอง แอร์โฮสเตสรีบเข้ามาหา
“รัดเข็มขัดด้วยค่ะ”
ดร.ฟอร์ดรีบทำตาม
“มีอะไร”
“อากาศแปรปวนค่ะ”
เครื่องเริ่มสั่นมากขึ้น ไฟฟ้าในเครื่องเริ่มดับ เครื่องบินเอียง เสียการทรงตัวเล็กน้อย ทำให้ของที่วางอยู่เริ่มตกลงมา แอร์โฮสเตสเสียการทรงตัว รีบลงนั่งรัดเข็มขัดให้ตัวเอง
ภายในห้องกัปตัน ไฟฟ้าดับวูบวาบ เครื่องสั่นไปมา กัปตันพยายามบังคับเครื่องบินด้วย สีหน้าเคร่งเครียด ผู้ช่วยหันมามองด้วยสายตาตื่นตระหนก
“กัปตันครับ ทำไมจู่ๆ อากาศก็แปรปวน”
“คุณลองดูรายงาน ในพยากรณ์อากาศซิ”
“พยากรณ์อากาศ ไม่มีรายงานเรื่องนี้ไว้เลยครับ”
เครื่องบินวูบ ตกหลุมอากาศอีกครั้ง ไฟกระพริบดับไปมา ทำให้ผู้ช่วยเริ่มวิตกมากขึ้น
“ผมว่านี่มันไม่ใช่แค่พายุธรรมดานะครับ”
“ใช่ มันเหมือนมีสนามแม่เหล็กหรืออะไรซักอย่าง ที่ทำให้หน้าปัดเครื่องรวนไปหมด”
ผู้ช่วยมองไปที่หน้าปัดเครื่องบิน และพยายามเช็คการทำงานด้วยมือที่สั่นเทา
“ระบบเครื่องรวนไปหมดแล้วครับกัปตัน”
ภายนอก...เครื่องบินโดนฟ้าผ่า ภายในห้องกัปตันเอียงวูบ เกิดอาการเสียหลัก กระแสไฟเริ่มช็อต
ที่ห้องผู้โดยสาร...
ดร.ฟอร์ด พยายามเปิดหน้าต่างตรงที่นั่งมองออกไปข้างนอก เพื่อสังเกตุการณ์ แอร์โฮสเตสหันมามอง
“ดร.คะ อย่าเปิดหน้าต่าง”
“ผมต้องการดูว่าเกิดอะไรขึ้น”
“แค่อากาศแปรปวน อย่าห่วงไปเลยค่ะ”
“คุณไปถามกัปตัน แล้วมารายงานผมว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
แอร์โฮสเตสรีบลุกออกจากที่นั่ง เดินโซเซ พยายามไปยังห้องกัปตัน เนื่องจากขณะนี้เครื่องบินเอียงและสั่นไปมา
ภายในห้องนักบิน...กัปตันพยายามบังคับเครื่อง ขณะที่เกิดกระแสไฟลัดวงจรช็อตตามจุดต่างๆ ทำให้ผู้ช่วยรีบเข้าไปแก้ไข แอร์โฮสเตสเปิดประตูเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้นคะ กัปตัน”
“ผมไม่รู้”
ผู้ช่วยดูที่หน้าจอเรดาห์ เห็นภาพกลุ่มเมฆ ก่อตัวเป็นพายุหมุนแล้วเคลื่อนตัวเข้ามา เป็นพายุหมุนลูกใหญ่น่ากลัว กำลังตรงเข้ามายังเครื่องบิน
“ข้างหน้า มีพายุหมุนครับกัปตัน”
“เปิดเครื่องสำรองเต็มกำลัง เราต้องรีบหักหลบ ก่อนจะโดนพายุดูดเข้าไป”
ที่ประตูห้องนักบิน ดร.ฟอร์ดเดินเข้ามา
“พวกคุณกำลังจะทำอะไร”
“เราเจอพายุหมุน ท่านรีบกลับไปนั่งเถอะ ตรงนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ผม”
“อย่าหักหลบนะ เครื่องจะเสียการทรงตัว”
“แต่เรากำลังจะโดนพายุดูดเข้าไปนะครับ”
“นั่นไม่ใช่พายุ อย่าหลบมัน บินตรงไป”
“ผมทำอย่างนั้นไม่ได้” กัปตันหันไปบอกแอร์โฮสเตส “พาดร.ฟอร์ดไปนั่ง”
“ท่านคะ กลับไปนั่งเถอะค่ะ”
“พวกคุณต้องเชื่อผม มันไม่ใช่พายุ อย่าทำให้เครื่องเสียหลัก”
ดร.ฟอร์ด พยายามเข้ามาหากัปตัน แต่ผู้ช่วย และแอร์โฮสเตสช่วยกันจับไว้แล้วดันออกจากห้อง ดร.ฟอร์ดก็ดิ้นรนไม่ยอมง่ายๆ
“ปล่อยผม ปล่อย”
“กลับไปนั่งที่เถอะครับดร.”
“มันเป็นภาพลวงตา อย่าๆ”
ดร.ฟอร์ด พยายามร้องห้ามกัปตัน แต่ช้าไปแล้ว เพราะทันทีที่กัปตันเปลี่ยนทิศทางเครื่องบิน กระแสลมก็ทำให้เครื่องเสียการทรงตัว ทุกคนล้มระเนระนาด เครื่องบินปริร้าว ทำให้ลมแทรกเข้ามา ทุกคนพยายามหาที่เกาะเอาไว้ เพื่อไม่ให้ปลิวไปตามกระแสลม
เครื่องบินหมุนคว้างตกลงสู่กลางป่าดงดิบ ชายแดนประเทศไทย

+ + + + + + + + + + + +

หนังสือพิมพ์พาดหัวข่าวตัวใหญ่...
“เครื่องบินตก ” มีรายละเอียดข่าวบางส่วนเขียนว่า ดร.ฟอร์ด แม็คควีน นักวิทยาศาสตร์จากนาซ่า หายสาปสูญกลางป่าจังหวัดกาญจนบุรี
สตีเฟ่น ลูกชายของ ดร.ฟอร์ดวางหนังสือพิมพ์ลง แล้วหันไปทางลูกน้องคนสนิทที่ชื่อ อับดุล ราฮีม หรือ ราฮีม
“เจอะเบาะแสหรือยัง ราฮีม”
“ยังไม่มีอะไรคืบหน้าครับคุณสตีเฟ่น”
“ฉันไม่สนนะว่าต้องใช้เงินเท่าไหร่ ยังไงพ่อฉันจะตายไม่ได้เด็ดขาด”
“แต่ป่าแถบนั้น เป็นป่าดงดิบ เรายังหาคนรู้เส้นทางไม่ได้”
“ถ้างั้นฉันจะหาเอง”
สตีเฟ่นเดินไปที่โทรศัพท์ แล้วโทรไปหานาตาชา น้องสาวของเขาที่อเมริกา และสั่งทันทีที่น้องรับสาย
“เจาะไปที่ฐานข้อมูลของนาซ่า หาแผนที่ตามพิกัดที่เครื่องบินตก แล้วเมล์มาให้พี่ด่วน”
“ตอนนี้เลยเหรอ”
“ชีวิตพ่อ จะช้าไม่ได้”
นาตาชาลุกจากที่นอนมาที่โต๊ะทำงาน เปิดคอมพิวเตอร์ แล้วเปิดเว็บไซค์ขององค์การนาซ่า จากนั้นก็เข้าไปที่แผนที่ประเทศไทย ตรงไปยังจังหวัดกาญจนบุรี แล้วค่อยๆ เข้าไปที่เขตป่าดงดิบ แล้วกดเซฟ

+ + + + + + + + + + +

เช้าวันใหม่...
ราฮีม ขับรถโฟร์วิลพาสตีเฟ่น มุ่งหน้าเข้าไปตามเส้นทางในป่า ระหว่างทางขณะรถวิ่งไปตามเส้นทางเปลี่ยว สตีเฟ่นหันไปมองที่บริเวณข้างทาง เห็นนักบวชทิเบตคนหนึ่งท่าทางแปลกๆ ปรากฏตัวยืนนิ่ง โดยนักบวชคนนี้คือซัมดอง ลิมโปเซ สายตาของซัมดอง มองสตีเฟ่น เหมือนมีจุดหมายบางอย่าง ทำให้สตีเฟ่นรู้สึกสะท้าน และจิตหวิวๆ อย่างแปลกประหลาด
รถแล่นผ่านซัมดองไป สตีเฟ่นหันกลับไปมอง อีกครั้งแต่แล้วก็มองไม่เห็นซัมดองอีก แม้ว่าเขาจะพยายามกวาดสายตามองไปตามมุมต่างๆ ราฮีมหันไปถาม
“มีอะไรครับ”
“เปล่า ไม่มีอะไร”
สตีเฟ่นเข้าใจว่าตัวเองตาฟาด รถแล่นต่อเนื่องมาตามทาง จนถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ราฮีมเดินนำสตีเฟ่นมายัง กลุ่มของชายชาวป่ากลุ่มหนึ่ง ซึ่งยืนคอยอยู่ หัวหน้าของกลุ่มชาวบ้าน ชื่อมั่น ซึ่งได้ติดต่อกับราฮีมเอาไว้แล้วเรื่องหาคนนำทาง
“หาคนนำทางได้หรือยัง” ราฮีมตรงเข้าไปถาม
“เอ้อคือว่า...”
“คือว่าอะไร”
“ตอนแรกก็หาได้แล้วครับนาย แต่ว่ามัน...”
“มันเรียกเงินเพิ่มหรือไง”
“ไม่ใช่อย่างงั้นหรอกนาย แต่ว่า...”
ราฮีมอารมณ์เสีย
“อะไรวะ อึกอักอยู่นั่นแหละ มีอะไรก็พูดมา”
“ก็ป่าที่เครื่องบินตกมันเป็นเขตสุสานช้าง แถวนั้นไม่มีใครกล้าเข้าไปหรอกครับนาย”
สตีเฟ่นถามทันที
“พวกแกจะเอาเท่าไร เรียกมาได้เลย ฉันจ่ายไม่อั้น”
“ถ้าเป็นที่อื่น ผมจะนำทางไปเอง แต่ป่าสุสานช้าง ไม่มีใครยอมไปหรอกครับนาย”
สตีเฟ่นหยิบเงินออกมาโชว์ปึกใหญ่
“ใครไป...ฉันจ่ายทันที ว่าไง”
ชาวบ้านมองหน้ากันในเชิงปรึกษา แล้วที่สุดก็ส่ายหน้าปฏิเสธ บางคนก็เดินหนีไปเลย
“นี่มันเงินสดๆเลยนะเว้ย พวกแกไม่เอาหรือไง” ราฮีมร้องถาม
“พวกเรายังไม่มีใครอยากตายหรอกครับนาย ป่าที่นั่นใครเข้าไป ไม่มีทางรอดออกมาซักราย”
ชาวบ้านเริ่มเดินหนีกันมากขึ้น ทำให้ราฮีมหงุดหงิด
“ไอ้พวกขี้ขลาด อย่าเพิ่งไปซิวะ มาคุยกันก่อน”
ชาวบ้านพากันเดินหนีห่างออกไป ในกลุ่มชาวบ้านมีชายอีกคนชื่อแห้ง ยืนแอบมองเงียบๆ ขณะที่สตีเฟ่นยืนมองสิ่งที่เกิดขึ้น ด้วยความหงุดหงิด

+ + + + + + + + + +

สตีเฟ่น และราฮีมพากันเดินมาขึ้นรถด้วยอาการเซ็งๆ แห้งวิ่งเข้ามายืนเกาะข้างรถ
“นายๆ”
“มีอะไร”
“นายจะไปสุสานช้างใช่มั๊ย”
“เออ แกจะนำทางใช่มั๊ย”
“คือว่า...”
สตีเฟ่นหยิบเงินออกมา
“ถ้าแกพาฉันไปได้ ฉันจะให้เพิ่มอีก”
“ไม่ๆ ผมไม่ไป”
ราฮีมหงุดหงิด
“ถุย...เสียเวลา”
ราฮีมขับรถออกไป แห้งพยายามวิ่งตาม
“นายเดี๋ยว อย่าเพิ่งไป เดี๋ยว”
รถเริ่มห่างออกไป แห้งซึ่งวิ่งตามจึงตะโกนออกมา
“อาจารย์เณร...อาจารย์เณรช่วยนายได้”
รถเบรค สตีเฟ่นหันไปมอง แห้งยืนหอบตัวโยนอยู่กลางถนน

+ + + + + + + + + + + +

รถแล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง แห้งเดินนำราฮีม และสตีเฟ่นลงจากรถมายังหน้าบ้าน
“นี่แหละครับ อาจารย์เณรอยู่บ้านนี้”
ราฮีมหันมาถาม
“อาจารย์เณรของแกนี่เป็นพรานป่าใช่มั๊ย”
“ไม่ใช่ๆ”
“อ้าว ไม่ใช่พราน แล้วพามาทำไม”
“อาจารย์เณรไม่ใช่พราน แต่เก่งกว่าพราน”
ราฮีมตัดบท...
“จะยังไงก็แล้วแต่ ขอให้นำทางไปที่สุสานช้างได้ก็แล้วกัน”
“ไม่ๆ อาจารย์เขาไม่ไปหรอก”
ราฮีมหงุดหงิด
“อุวะ นี่เอ็งล้อเล่นกับข้าหรือไง”
ราฮีมชักปืนออกมาทำท่าจะยิงแห้ง แห้งไหว้
“อย่านาย อย่ายิง ถ้านายจะไปสุสานช้าง นายต้องให้อาจารย์เณรดูก่อน อาจารย์เณรท่านดูหมอเก่ง”
“ที่แท้ก็พามาหาหมอดูนี่เอง ไป...กลับ...”
สตีเฟ่นเดินนำไปที่รถ ราฮีมปล่อยแห้งแล้วเดินตาม แต่แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงดังออกมาจากในบ้าน
“รถเอ็งสตาร์ทไม่ติดหรอก
ราฮีมเดินขึ้นรถแล้วเริ่มสตาร์ท แต่สตาร์ทไม่ติด
เสียงอาจารย์เณรดังออกมาอีก...
“เครื่องบินตก ทุกคนตายหมด แต่พ่อเอ็งยังไม่ตาย ข้ารู้ ข้าเห็น”
ราฮีมและสตีเฟ่นมองหน้ากัน

+ + + + + + + + + + + +

ภายในห้องพิธีกรรม อาจารย์เณรหันมามอง สตีเฟ่นและราฮีม ซึ่งเข้ามานั่งต่อหน้าโดยมีแห้งนั่งอยู่ห่างๆ ลูกน้องอาจารย์เณร 2-3 คนคอยรับใช้บริการอาจารย์เณรอยู่
“เอ็งกำลังคิดว่าข้าเป็นพวกหลอกลวงซินะ”อาจารย์เณรถามเสียงดุ
“จะให้เชื่อกันง่ายๆ มันก็เกินไป”ราฮีมว่า
อาจารย์เณรหยิบกระดาษขึ้นมาเขียนบาง อย่างแล้วส่งให้สตีเฟ่น
“นี่อะไร”
“แบงค์ดอลล่าในกระเป๋าเอ็ง ใบสุดท้ายหยิบออกมาดู”
สตีเฟ่นหยิบเงินออกมา แล้วเอาแบงค์ดอลล่าใบสุดท้ายมาวาง เทียบกับกระดาษที่อาจารย์เณรส่งให้ หมายเลขในแบงค์ดอลล่า กับ ตัวเลขที่อาจารย์เณรเขียน เป็นหมายเลขตรงกัน
สตีเฟ่นอ้าปากค้าง ขณะที่ราฮีมรีบคว้าไปดู
“นี่เล่นกลหรือเปล่า”
“ปากอย่างเอ็ง ข้าอยากจะเอาไฟเผาจริงๆ”
เมื่อพูดจบ กระดาษที่ราฮีมถืออยู่ก็ลุกเป็นไฟ ราฮีมตกใจสะบัดแล้วถอยหนี แต่แล้วจู่ๆ ราฮีมก็เห็นภาพหลอน โดนวิญญาณทำร้าย ราฮีมร้องโวยวาย
“ช่วยด้วย อย่าๆ โอ๊ย”
สตีเฟ่นทำท่าจะเข้าไปช่วย แต่อาจารย์เณรห้ามไว้
“เรื่องนี้เอ็งไม่เกี่ยว ปล่อยให้ลูกน้องเอ็งมันโดนซะบ้าง”
“ยอมแล้ว ผมยอมแล้ว อย่าๆ”
อาจารย์เณรยิ้มพอใจ ครู่หนึ่งภาพหลอนก็หายไป ราฮีมกำลังก้มลงกราบอาจารย์เณรทันที
“พวกฝรั่งอย่างเอ็งน่ะ ถ้าไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่”
“ผมขอโทษครับอาจารย์ ผมผิดไปแล้ว”ราฮีมบอกอย่างสำนึกผิด
“บอกแล้วว่าอาจารย์เณรน่ะไม่ธรรมดา”
“ไอ้แห้งมันพาพวกเอ็งมาหาข้า เอ็งจะตอบแทนอะไรมัน”
อาจารย์เณรถาม สตีเฟ่นหยิบเงินออกมาส่งให้แห้ง
“นี่เป็นค่าเสียเวลา เอาไปซิ”
แห้งรับเงินมาแล้วหันมากราบอาจารย์เณร
“ได้เงินแล้วก็ไปซะ ข้าจะคุยธุระกับพวกฝรั่ง”
แห้งคลานออกไป อาจารย์เณรหันมาหาสตีเฟ่น
“พ่อของเอ็งน่ะ ยังไม่ตาย แต่มันกำลังลำบาก”
สตีเฟ่นยังไม่ค่อยเชื่อสนิทใจนัก
“เอ็งอยากเห็นมั้ยล่ะ”
สตีเฟ่นพยักหน้า
อาจารย์เณร หันไปพยักหน้า ลูกศิษย์รู้งาน ยกบาตรใส่น้ำมาวางตรงหน้า อาจารย์เณร หันไปหยิบ ไม้แกะสลักรูปดอกบัว ลงมาจากแท่นบูชาดวงตาสวรรค์ มาถือไว้ แล้วเริ่มนั่งหลับตา สักครู่ก็เริ่มมีพลังงานบางอย่างจากดวงตาสวรรค์ วิ่งเข้าไปหาบาตรใส่น้ำซึ่งวางอยู่ไม่ห่างนัก
น้ำในบาตรเริ่มหมุนวน แล้วค่อยยกตัวขึ้นมาจากบาตร ค่อยๆลอยสูงขึ้นมา สตีเฟ่น และราฮีมมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความรู้สึกตื่นเต้น
“พ่อเอ็งอยู่นั่นไง”
สตีเฟ่นมองไปที่น้ำ ซึ่งกำลังลอยอยู่กลางอากาศ เห็นเป็นภาพของ ดร.ฟอร์ด กำลังเดินโซเซ เสื้อผ้าขาดวิ่นอยู่กลางป่า สตีเฟ่นตื่นเต้น
“ราฮีม แกเห็นหรือเปล่า”
“เห็นครับ”
ขณะสตีเฟ่นและราฮีมกำลังจ้องดูภาพ ดร.ฟอร์ด ซึ่งปรากฏอยู่กลางกลุ่มของน้ำ จู่ๆก็เกิดไฟลุกที่กลุ่มน้ำ ทำให้ภาพจางหายไป แล้วจากนั้นกลุ่มไฟก็ค่อยหายไป ทุกอย่างกลับคืนสู่เหตุการณ์ปกติ อาจารย์เณร ยกดวงตาสวรรค์ขึ้นมาไหว้ ด้วยความเคารพอย่างสูง
“นั่นอะไร”สตีเฟ่นสงสัย
“มันคือดวงตาสวรรค์ เป็นของวิเศษที่มาจากทิเบต พระองค์หนึ่งท่านให้ข้ามา ถ้าเอ็งอยากจะรู้อยากจะเห็นอะไร ก็ใช้ดวงตาสวรรค์นี่แหละมันจะทำให้เอ็งเห็นทุกอย่าง”
“ข้างในเป็นอะไรครับอาจารย์”
อาจารย์เณรยิ้ม ไม่ยอมตอบ เนื่องจากตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ทันใดร่างของซัมดองปรากฏกายขึ้น เดินเข้ามาด้วยท่าทางทะมึนทึง ไม่เป็นมิตร”
“หมอดูกระจอกอย่างเอ็ง ไม่มีวันรู้หรอกว่า ข้างในดวงตาสวรรค์มีอะไร ฮ่ะๆ”
ทุกคนชะงักหันมามอง อาจารย์เณรเก็บดวงตาสวรรค์ใส่ในย่าม แล้วลุกขึ้นมา
“เอ็งเป็นใคร”
“ยมทูตที่จะมาปลิดชีวิตเอ็ง”
อาจารย์เณรหันไปทางลูกน้องซึ่ง ชักปืนออกมาเตรียมพร้อม
“ยิงมัน”
ลูกน้องอาจารย์เณร พากันยิงปืนใส่ร่างซัมดอง แต่เมื่อกระสุนปืนวิ่งเข้าหาร่างซัมดอง มันก็แฉลบเปลี่ยนทิศทาง ไม่สามารถทำอันตรายซัมดองได้แม้แต่น้อย ปืนในมือของพวกลูกน้องเริ่มกลายเป็นเหล็กร้อน ทำให้พวกลูกน้องทิ้งปืนร้องโวยวายวิ่งหนีไป สตีเฟ่นและราฮีม มายืนหลบดูเหตุการณ์อยู่ที่มุมหนึ่ง ซัมดองหันไปหาอาจารย์เณร
“ถึงตาเอ็งแล้ว”
ซัมดองเดินเข้าหา อาจารย์เณรหันไปหยิบมีดดาบขึ้นมาแล้วเป่าคาถา จากนั้นก็โถมเข้าฟันร่างของซัมดองไปมา แต่แล้วร่างของซัมดองก็หายไป ทำให้อาจารย์เณรเสียหลัก รีบหันมองหา
ร่างของซัมดองมายืนปรากฏอยู่อีกมุมหนึ่ง แล้วเริ่มยิ้มเยาะ
“เก่งจริงเอ็งอย่าหนีซิวะ”
อาจารย์เณรเป่าเวทย์มนต์ จากนั้นก็เป็นกลุ่มของดวงไฟหลายดวง พุ่งเข้ามาใส่ ซัมดองใช้มือปัดดวงไฟไปมา ทำให้ดวงไฟตกลงไปลุกไหม้บนพื้นบ้าน จากนั้นซัมดองก็หายตัวไป ปรากฏอยู่ด้านหลังของอาจารย์เณร แล้วเอาแขนรัดคออาจารย์เณรไว้
“เอ็งไม่เคยรู้เลยใช่มั๊ยว่า ข้างในดวงตาสวรรค์มันคืออะไร”
ซัมดองเอาอีกมือ ล้วงเข้าไปในย่ามหยิบดวงตาสวรรค์ออกมา จากนั้นก็ร่ายคาถาทิเบต ดวงตาสวรรค์ เริ่มกลายเป็นดอกบัวบานออก ด้านในมีดวงแก้วใส ส่องแสงจ้าออกมาพุ่งเข้าใส่ใบหน้าของอาจารย์เณร
“มันคือที่กักกันวิญญาณของเอ็งไง ไอ้เณร”
อาจารย์เณรกรีดร้อง โหยหวน ราวกับว่ากำลังสัตว์ถูกเชือด จากนั้นวิญญาณของอาจารย์เณรถูกดูดเข้าไปในดวงแก้ว ของดวงตาสวรรค์ที่ภายในนั้นมีวิญญาณนับร้อยนับพัน ถูกขังเอาไว้ กำลังร้องโหยหวน ซัมดองปล่อยร่างของอาจารย์เณรทิ้งลงพื้น แล้วยกดวงตาสวรรค์ขึ้นมามองอย่างพอใจ
“ในที่สุด ดวงตาสวรรค์ก็เป็นของข้า”
ซัมดอง เดินออกจากบ้านไป สตีเฟ่นและราฮีมซึ่งแอบมองอยู่มุมหนึ่งมองเหตุการณ์อย่างตกใจ
“ตามไปเร็ว”
สตีเฟ่นบอก แล้ววิ่งนำออกไป

+ + + + + + + + + + +

ซัมดองเดินออกมาจากบ้าน แล้วเดินไปตามทาง สตีเฟ่น และราฮีมตามมาทัน
“เดี๋ยวท่าน อย่าเพิ่งไป”
ทั้งคู่วิ่งเข้าไปหาซัมดอง แต่แล้วเมื่อวิ่งเข้าไปใกล้จะถึง ร่างของซัมดองก็เลือนหายไป
สตีเฟ่นและราฮีมชะงัก งุนงง
“หายไปไหนแล้ว”
“เมื่อกี้ยังอยู่ตรงนี้อยู่เลย”
สตีเฟ่นและราฮีม ต่างช่วยกันมองหา ด้วยความรู้สึกพิศวง

+ + + + + + + + + + + +

เดี่ยว สมเด็จ ขับมาตามถนน โดยมีบุษกรนั่งมาด้วยกัน
“มีอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมทำท่าแปลกๆ”บุษกรสงสัย
“เขม่นตา รู้สึกเหมือนกำลังจะมีอะไรซักอย่าง”
ขณะเดียวกัน รถหน่วยกู้ภัย เปิดไซเรน วิ่งแซงรถเดี่ยวขึ้นไป
“นั่นไง ต้องมีอะไรแน่ๆ”
เดี่ยวรีบขับรถตามรถหน่วยกู้ชีพไป กระทั่งถึงตึกสูงแห่งหนึ่ง บนดาดฟ้ามีชายคนหนึ่งกำลังยืนเหม่อลอย น้ำตาไหล ราวกำลังคนที่กำลังมีเรื่องที่เจ็บปวดอย่างบาดลึก
ชายหนุ่มเดินมาหยุดที่ริมขอบตึก แล้วมองลงไป ด้านล่าง คนเริ่มมุงดูกัน รถของหน่วยกู้ภัยมาจอด เจ้าหน้าที่เอาเบาะลมมากาง
เดี่ยว และบุษกร ลงจากรถมายืนมอง บุษกรชี้ให้ดูที่ยอดตึก
“บนยอดตึกค่ะเดี่ยว”
“เดี๋ยวผมมานะ”
เดี่ยวรีบแยกตัววิ่งเข้าไปในตึก แล้วขึ้นไปบนดาดฟ้า เดี่ยวเดินย่องๆ เข้าไปหา ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนมีใครอยู่ด้านหลังจึงหันมามอง
“อย่าเข้ามานะ”
“เดี๋ยวครับน้อง ใจเย็นๆ”
“อย่าเข้ามา ไม่งั้นผมโดดจริงๆด้วย”
“น้องจำพี่ได้มั๊ย พี่เดี่ยว สมเด็จไง”
ชายหนุ่มมองอย่างจำได้
“พวกเสาร์ห้านี่ ไม่เอา อย่าเข้ามา อย่า ...เดี่ยวชะงัก”
“ไปให้พ้นนะ ออกไป”
“น้องจะตายไปทำไม คนเรากว่าจะเกิดมาก็แสนยากเย็น อกหักใช่มั๊ย”
ชายหนุ่มน้ำตาไหล
“แฟนผมมันโทรมาบอกเลิก มันบอกว่าเราเราเข้ากันไม่ได้ ฮื่อๆ”
เดี่ยวเดินเข้าไปแล้วยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ ชายหนุ่มรับผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา แล้วนึกได้ว่าเดี่ยวมาถึงตัวแล้ว
“เฮ้ยพี่ ออกไป อย่ามาห้ามผม”
เดี่ยวคว้าคอ ชายหนุ่มเอาไว้
“จะโดดใช่มั้ย”
“ปล่อยพี่ ปล่อย”
“มา โดดด้วยกันเลยดีกว่า”
เดี๋ยวล็อคชายหนุ่มเอาไว้ แล้วจากนั้นทั้งคู่ ก็ร่วงลงไปข้างล่างด้วยกัน บุษกรตกใจร้องลั่น ไทยมุงกรี๊ดหวาดเสียว ร่างของเดี่ยวและชายหนุ่มตกลงที่กลางเบาะลม อาสาสมัครรีบเข้าไปประคองร่างของเดี่ยว และชายหนุ่มออกมาจากเบาะ บุษกรรีบเข้าไปหา เดี่ยวแกล้งหลับตานิ่ง
“เดี่ยว...เดี่ยว...”
เดี่ยวค่อยๆลืมตาขึ้นมา
“นางฟ้า นางฟ้าจริงๆ ด้วย นี่....ผมตายแล้วใช่มั๊ยครับนางฟ้า”
“ตาบ้า”
บุษกรหยิก เดี่ยวร้องลั่น ไทยมุงหัวเราะกันกราว

+ + + + + + + + + + + +

กริ่ง คลองตะเคียน ไปเดินเล่นซื้อของกับยูกิ โดยเขาได้ซื้อไม้เบสบอล ยูกิมองอย่างแปลกใจ....
“คุณกริ่งซื้อไปทำไม มีก๊วนเล่นเหรอคะ”
“มีก๊วนสองก๊วน...น่าเสียดายที่กีฬาเบสบอล ไม่เป็นที่นิยมในประเทศเรา”
คนขายห่อไม้เบสบอลให กริ่งจ่ายเงินรับของแล้วเดินออกไปกับยูกิที่ถือถุงเสื้อผ้าที่ซื้อมาหลายถุง
ขณะเดียวกัน...กระเป๋าเงินของศูนย์การค้า กำลังถูกนำไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ด้านข้างศูนย์การค้า มีเจ้าหน้าที่ รปภ. คุ้มกันไป 4 คน
ทันใดนั้นโดยไม่มีใครคาดฝัน โจร 5 คน เข้าบล็อกเจ้าหน้าที่ 4 คน เพื่อปล้นเงินในกระเป๋า เจ้าหน้าที่ รปภ. ไม่ยอมจึงเกิดการต่อสู้กัน รปภ. ถูกยิง 3 คน อีกคนบาดเจ็บ โจรถูกยิงตายไปหนึ่ง....คนร้ายชิงกระเป๋าเงินไปได้
กริ่ง กับยูกิ ได้ยินเสียงปืนจึงวิ่งมายังที่เกิดเหตุ รปภ.หยิบวิทยุขึ้นมาเรียกกองปราบปรามจากศูนย์การค้า
“เราถูกโจรปล้นเงินของศูนย์การค้า ซึ่งเรากำลังจะเอาไปเข้าธนาคาร ขอกำลังช่วยเหลือด่วน”
“รับทราบ...”นายตำรวจของกองปราบตอบรับ
ทางด้านกริ่ง กับยูกิ เข้าประทะกับพวกโจร 4 คน ที่ชิงกระเป๋าเงินมาได้ กริ่งใช้ไม้เบสบอลซัดมันหมอบไปหนึ่งคน ที่เหลืออีกสามใช้ปืนยิงสกัดกริ่งและยูกิ กริ่งยิงโต้ตอบพวกมัน ที่ยิงไปถอยไป กริ่ง กับยูกิตามไปติดๆ

+ + + + + + + + + + + +

เดี่ยวซึ่งมีหูทิพย์ สามารถได้ยินเสียงจากระยะไหล ได้ยินเสียงปืน ขณะที่ขับรถมากับบุษกร เดี่ยวชะงักฟัง
“มีอะไรเหรอคะ”บุษกรถาม
“ผมได้ยินเสียงปืน ไม่ไกลจากที่นี่”
เดี่ยวเร่งรถไปตามถนน ช่วงเวลาเดียวกันนั้น โจร 3 คน พร้อมกระเป๋าเงินวิ่งออกมาจากศูนย์การค้าซึ่งมีกริ่งยูกิตามมา
มอเตอร์ไซค์ สแกมเบิล 2 คัน วิ่งด้วยความเร็วมารับโจร 3 คน คันแรกรับโจรที่ถือกระเป๋าเงิน คันที่สองรับโจรอีก 2 คน คอยยิงคุ้มกัน รถเดี่ยวเข้ามาขวางสกัดพวกโจร รถคันหน้าเบรคสไลด์ไปชนรถเดี่ยว ทำให้ตกลงมาจากรถมอเตอร์ไซด์ เดี่ยวและบุษกร รีบออกมาจากรถ เข้าจับกุมมันได้
กริ่งวิ่งมากระโจนใส่รถมอเตอร์ไซด์คันที่ 2 ล้มไปด้วยกัน แล้วสู้กัน โจรคนหนึ่งที่ล้มจะยิงกริ่ง เดี่ยวยิงปืนกระเด็นไป แล้วเข้าจับกุม รถกองปราบมาถึงพอดี เดี่ยวและกริ่งส่งตัวพวกมันให้ตำรวจพร้อมกระเป๋าเงินของกลาง

+ + + + + + + + + + + +

ที่คฤหาสถ์หรู มีรั้วรอบขอบชิด กลุ่มของคนร้ายแกงค์ลูกหมู จำนวน 5 คนกำลัง ต้อนหญิงสาวหลายคนขึ้นรถ 6 ล้อ จากนั้นคนร้าย 2 คนก็ขับรถเก๋งนำขบวน คนที่เหลือ ก็ขึ้นรถ 6 ล้อ ขับตามกันออกจากบ้า
ยูกิ และ เจนนี่ แอบซุ่มจอดรถสังเกตุการณ์อยู่แถวด้านหน้าบ้าน เจนนี่ยกโทรศัพท์ขึ้นมาโทรติดต่อกระแต
“กระแต รถพวกมันกำลังออกจากบ้านไปแล้ว เป็นรถเก๋งนำขบวน ตามด้วยรถ 6 ล้อ ติดสติกเกอร์สีแดงขาว เป็นจุดสังเกตุเขียนคำว่า....เลือดมังกร รีบแจ้งหน่วยเหนือเตรียมรับมือ”
เจนนี่วางสาย แล้วหันมาหายูกิซึ่งทำหน้าที่ขับรถ
“ตามไปห่างๆนะ อย่าให้ผิดสังเกต”
“ได้เลย ไม่ต้องห่วง”
ยูกิออกรถขับตาม คนร้ายไป ช่วงเวลาเดียวกันนั้น ชลดา และกระแต จอดรถซุ่ม อยู่แถวทางแยกเพื่อดักดูว่าคนร้ายจะไปถนนเส้นไหน ขณะที่รถตู้ต้องสงสัยซึ่งกำลังแล่นเข้ามา
กระแต ยกกล้องส่องทางไกลมาสังเกตภายในรถคนร้าย และรถ 6 ล้อ
“เห็นอะไรมั๊ย”ชลดาถาม
“มีผู้ชาย 5 คน นอกนั้นน่าจะเป็นเหยื่อประมาณ 12”
“มันเลี้ยวไปถนนศรีอักษรแล้ว”
คนร้ายผ่านแยก เลี้ยวไปตามถนนศรีอักษร กระแตยกโทรศัพท์ขึ้นมาโทรติดต่อเป็นระหัส
“อาเฮีย งิ้วมาแล้ว ตอนนี้วิ่งไปตามถนนศรีอักษร ไม่เกิน 10 นาทีถึง”
กระแตกดตัดสัญญาณ มองตามรถไป...
“นึกแล้วไม่ผิด ว่ามันต้องใช้ถนนเส้นนี้”ชลดาบอก
“งั้นเราเลี้ยวตาม แล้วเข้าซอยหน้าไปดักที่ศาลเจ้าเลยเดี๋ยวไก่ตื่น”

ชลดาเลี้ยวหลบเข้าซอย ปล่อยให้รถคนร้ายแล่นต่อไปตามถนน

อ่านต่อหน้า 2







เสาร์ ๕ ตอน ทับทิมสยาม
ตอนที่1 (ต่อ)

คณะเชิดสิงโตกำลังแข่งกันแสดงปีนเสา กระโดดต่อตัวกันอย่างหวาดเสียว...มุมหนึ่งหน้าศาลเจ้า ผู้พันอาจณรงค์ ปลอมตัวเป็น โฆษกของงาน เข้ามาหา ผู้พันเชษฐ์ที่แต่งตัวเป็นเถ้าแก่ ผู้พันอาจณรงค์รายงานสถานะการณ์เป็นรหัส

“งิ้วพร้อมแสดงเลี้ยวเถ้าแก่”
“ลื้อบอกพวกเด็กๆ ให้คอยต้อนรับกันดีๆ อย่าให้เสียชื่อ”
“ได้ครับ”
ผู้พันอาจณรงค์ เดินมาที่ประทัดที่แขวนไว้ แล้วเริ่มจุดประทัดเสียงดังสนั่น ติดกันไม่หยุด
คณะสิงโตแต้จิ๋ว 2 ตัว และ ขบวนแห่มังกร 1 ตัว กำลังแสดงฝีมือ ปีนป่าย ไปตามราวเหล็ก ท่ามกลางคนดูแน่นขนัด เสียงกลองเร้าใจ อาแป๊ะ หัวโตกำลังเต้นหลอกล่อสิงโตไปมา อย่างสนุกสนาน เสียงประทัดดังกึกก้องติดต่อกันยาวนาน ทำให้ ดอน ท่ากระดานที่เป็นคนตีกลองสิงโตชะงักหยุดตี หันมามอง พลางพึมพำ
“ได้เวลาแล้ว...”
ดอน ตีกลองรัว เป็นสัญญาณบางอย่างแตกต่างจากจังหวะเดิม ยอด นางพญา ซึ่งปลอมเป็นอาแปะหัวโตหยุดเต้น เปิดหัวโตออกแล้วหันมามองทางดอน
“มา เลี้ยว...มาเลี้ยว อุปรากรจีน มากันเลี้ยว”
สิงโตโดดลงมาจากเสาอย่างหวาดเสียว ข้างหน้าอาแปะ เทอด ยอดธง เป็นเชิดหัวสิงโต ยกหัวชูขึ้น
“อย่านิ่งซิอาแปะ เต้นมันๆ ไปเลย”
ดอนเปลี่ยนจังหวะกลองแล้วเริ่มตีจังหวะเต้นมันๆ อาแปะ และสิงโต เริ่มหยอกล้อ เต้นกันอย่างคึกคัก
สิงโต สอง สามตัวกำลังเต้นขวางถนนอย่างสนุกสนาน ขณะเดียวกัน เจนนี่ ยูกิ กระแต ชลดา เดินข้ามาหา พันเอกเชษฐ์ และพันเอกอาจณรงค์
“พวกเราพร้อมแล้วค่ะ” เจนนี่บอก
“หน้าที่พวกคุณคือ ปิดล้อมด้านหลัง หากพวกมันเอารถเข้ามาแล้ว อย่าให้มันออกไปได้ ส่วนกำลังสนับสนุน คุณพาไปอุดช่องว่างที่คิดว่ามันจะรอดออกไป”ผู้พันเชษฐ์ออกคำสั่ง
“รับทราบค่ะ”
เจนนี่ นำทีมทุกคนเดินปะปนไปกับฝูงชน โดยมีตำรวจนอกเครื่องแบบติดตามสนับสนุน
ขณะเดียวกันนั้น รถตู้แล่นเข้ามายังถนนหน้าศาลเจ้า แล้วเริ่มชะลอตัวเนื่องจากมีขบวนสิงโตและมังกร เต้นขวางอยู่ข้างหน้า เจนนี่ ยืนถือวิทยุสื่อสาร สั่งการตำรวจนอกเครื่องแบบ
“พวกมันติดกับแล้ว รีบเอารถมาปิดทางออก”
ตำรวจนอกเครื่องแบบรีบขับรถมาปิดท้าย และขวางทางกลับรถเอาไว้ คนขับรถตู้ 6 ล้อรู้สึกหงุดหงิด
“อะไรกันวะ เสียเวลาจริงๆ”
อาแปะ แยกตัวจากการหยอกล้อสิงโต เข้ามาเล่นกับรถตู้ โดยหยอกล้อไปมา แล้วเต้นไปรอบๆ ทำให้สิงโต อีกตัวละจากกลุ่มตามเอาแปะเข้ามา เล่นไปรอบๆรถ เทอดกับยอดแอบสังเกตการณ์ข้างในรถว่ามีคนร้ายกี่คน ดอน และกลุ่มตีกลองสิงโตเข็นกลองออกมาขวางหน้ารถ แล้วตีกลองให้สิงโต ตัวอื่นๆที่เหลือเต้นขวางถนนเอาไว้ เทอด กับยอด พยายามสอดส่องเข้าไปข้างในรถตู้ คนร้ายที่อยู่ในรถตู้รีบชักม่านมาปิดกระจก ไม่ให้ข้างนอกมองเห็น
ยอดที่ปลอมเป็นอาแปะ โผล่มาด้านข้างคนขับรถตู้ จ๊ะเอ๋ กับคนขับรถตู้ ในเชิงหยอกล้อ
“จ๊ะเอ๋...โทษทีนะเฮีย เสียเวลานิดหน่อยไม่ว่ากันนะ”
“เออ...อีกนานมั๊ยเนี่ยะ”
“จะไปไหนกันครับ”
“ลงใต้”
“ไปไกลนะเนี่ย ขนยาไปปล่อยเหรอเฮีย”
คนขับชักสีหน้าไม่พอใจ
“ล้อเล่นน่า...รถตู้แบบนี้ไม่ขนยาหรอก น่าจะขนลูกหมูไปขายมากกว่า”
คนขับชักโมโห
“เฮ้ย...พูดดีๆลูกหมูอะไร”
“โห...อาเฮีย เชย หรือแกล้งเชยเนี่ยะ พวกขนลูกหมูก็คือพวกค้ามนุษย์ไง”
“ไอ้นี่ปากเสีย”
“ปากผมไม่เสียหรอกเพ่ แต่รถเฮียดิ รู้สึกว่ามันจะเสียนะ”
ยอดแอบโยนตะปูเรือใบลงไปที่พื้น ทำให้ล้อรถวิ่งมาทับแล้วยางเริ่มแบน
“ยางแบนน่ะ เฮียดูซิ”
คนขับหงุดหงิด จอดรถ เปิดประตูลงมา
“อะไรวะ...แบนได้ไง...” คนขับหันมามอง ยอด “เอ็งทำใช่มั๊ย”
“อ้าว...พูดงี้ได้ไง”
“เก่งนักเหรอมึง”
คนขับชักปืนจะยิง ยอดบิดมือทำให้ปืนลั่นขึ้นฟ้า แล้วเตะขาพับทำให้คนขับล้มลงกับพื้น เสียงปืนทำให้ ขบวนสิงโตชะงัก พากันวิ่งกระเจิง ตำรวจนอกเครื่องแบบ ที่ปลอมตัวเป็นชาวบ้านกรูเข้ามาที่รถนำขบวน และรถ 6 ล้อ เทอด โยนหัวสิงโตทิ้ง แล้วกระชากประตูรถให้เปิด ชักปืนมาเล็ง คนร้ายในรถ 6 ล้อยื่นปืนออกมาจ่อ เทิด
“ใจเย็นพี่ชาย...ใจเย็น” เทิดพยกมือห้าม
ดอนขว้างไม้ตีกลองไปที่มือคนร้าย โดนปืนหล่นลงไป เทอดรีบกลิ้งตัวหลบ ขณะที่คนร้ายในรถ เริ่มเปิดฉากยิงใส่ตำรวจ แล้ววิ่งลงจากรถหาที่กำบังเพื่อยิงสู้ตำรวจ ดอน เทอด ยอด เจนนี่ ชลดา กระแต ต่างพากันหลบมุมยิงต่อสู้กับกลุ่มคนร้าย
รถตำรวจวิ่งเข้ามา หลังจากที่เหตุการณ์สงบลง เจนนี่พาเหยื่อในรถตู้ลงมา ขณะที่ตำรวจเข้าคุมตัวพวกคนร้าย
ผู้พันเชษฐ์กับผู้พันอาจณรงค์ ประสานงานกัน ยืนคุยกับตำรวจ ยอด เทิด ดอน ช่วยกันล็อคคนร้ายให้ตำรวจเอาตัวขึ้นรถ รถคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอด กริ่ง เดี่ยว ยูกิ และบุษกรเดินลงมา
“อ้าว...ยังไงเนี่ยะ งานเคลียร์ไปหมดแล้ว มาทำไมเอาป่านนี้ละครับพี่น้อง”ยอดถามกวนๆ
“ผมสองคนน่ะ มาเป็นกำลังใจ” กริ่งบอกยิ้มๆ
“ใช่...กลัวพวกคุณจะเหนื่อย”เดี่ยวเย้าแหย่
“กำลังใจน่ะผมมีของผมแล้ว”เทิดหันไปยิ้มให้ดอน “ใช่มั๊ย ดอน”
“ถูกต้องที่สุด ยิงปืนไป มองตาหวานไป...แบบนี้สู้ขาดใจเลย”
ชลลดากับเจนนี่ หมั่นไส้ เทอดกับดอน จึงหยิกบ้างเอาศอกกระทุ้งบ้าง ดอนกับเทอดร้องโอยๆ ทุกคนหยอกล้อกันเฮฮา

+ + + + + + + + + + + +
วันต่อมา...
ราฮีมในนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น กำลังเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อค้นหาเรื่องราวเกี่ยวกับ ซัมดอง ลิมโปเช โดยไปที่เว็บไซค์ข้อมูลของสำนักตรวจคนเข้าเมือง แล้วที่สุดก็พบภาพถ่ายของ ซัมดองและข้อมูลที่อยู่ ราฮีมสั่งเครื่องพิมพ์ปริ้นท์ออกมาทันที ขณะเดียวกันนั้นสตีเฟ่นเดินเข้ามา ราฮีมหันไปรายงาน
“ได้เรื่องแล้วครับคุณสตีเฟ่น”
“ได้เรื่องอะไร”
“ก็เรื่องผู้วิเศษ ที่เราเจอที่สำนักอาจารย์เณรวันนั้นน่ะครับ”
สตีเฟ่นสนใจ
“ว่าไง”
“ท่านเป็นนักบวชทิเบต ชื่อว่าซัมดอง ผมเข้าไปค้นข้อมูลจากเว็บไซค์สำนักตรวจคนเข้าเมือง และได้ที่อยู่มาแล้วครับ”
ราฮีมหยิบกระดาษข้อมูลจากเครื่องปริ้นท์ส่งให้ สตีเฟ่นยิ้มพึงใจ
“ดี...งั้นพาฉันไปที่นี่ด่วนเลย”
“ได้ครับ”
สตีเฟ่นมองไปที่ข้อมูลในมือ

+ + + + + + + + + + + +
รถแล่นมาจอดที่หน้าวัดจีนเก่าๆ แห่งหนึ่งดูรกร้าง สตีเฟ่นและราฮีมเดินลงมายืนมอง ลุงเฝ้าศาลเจ้ากำลังกวาดพื้นอยู่ ราฮีมเดินเข้าไปถาม
“ลุง...ที่นี่มีนักบวช เอ้อที่มาจากทิเบตหรือเปล่า”
ลุงคิดนิดนึงก่อนจะตอบ
“อ๋อ...ลิมโปเซ”
ราฮีมงงๆ
“อะไร...ลุงพูดอะไร”
“ท่านเป็นลิมโปเซ ชื่อว่าซัมดอง”
“ตกลงอยู่ที่นี่ใช่มั๊ย”
“ตามอั๊วะมา”
ราฮีมและสตีเฟ่นพากันเดินตามลุงเข้าไป
ซัมดองอยู่ในห้องส่วนตัว กำลังนั่งสวดมนต์อยู่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาราวกับรู้ว่ากำลังจะมีคนมาหา...ลุงเดินนำราฮีมกับสตีเฟ่นมายังหน้าห้อง แล้วเคาะประตู
“ลิมโปเซครับ...ลิมโปเซ”
ลุงดันประตูค่อยๆเปิดออก เดินนำเข้ามาข้างใน แต่กลับไม่พบใครอยู่ในนั้น
“อ้าว...ลิมโปเซ หายไปไหน”
ราฮีมมองไปรอบๆแล้วหันมาถาม
“ตกลงไม่อยู่ใช่มั๊ยลุง”
“อยู่ซิ...วันนี้ท่านไม่ได้ไปไหน เมื่อกี้ยังเห็น...”
“อยู่ข้างนอกหรือเปล่า”
ขาดคำสตีเฟ่นก็เดินออกจากห้อง ราฮีมกับลุงรีบตามไป...หลังจากทุกคนพากันออกไป ร่างของซัมดองก็ปรากฏตัวขึ้น หยิบดวงตาสวรรค์ลงมาจากแท่นบูชา แล้วร่ายคาถาทิเบต สักครู่ดวงตาสวรรค์ก็เปิดออกเห็นเป็นดวงแก้วส่องแสงข้างใน ซัมดองเพ่งมองไปที่ดวงแก้ว ภาพภายในดวงแก้ว มีใบหน้าของวิญญาณต่างๆ ปรากฏขึ้นมา
“พวกแกรู้มั๊ยว่า ไอ้ฝรั่งพวกนี้มันมาหาข้าทำไม” ซัมดองถามเสียงเข้ม
ภาพในลูกแก้วเริ่มเห็นเป็น ใบหน้า ดร.ฟอร์ด แล้วจากนั้นก็เห็นเป็นภาพทับทิมสยาม ซัมดองตาลุกวาว รับรู้ถึงพลังของทับทิมสยามที่ใฝ่หามานาน พึมพำออกมา
“พวกมันจะนำข้าไปหา ทับทิมสยาม พลังเหนือจักรวาลที่ข้าต้องการ”
ซัมดองเต็มไปด้วยความปิติ เมื่อได้พบกับสิ่งที่เขาพยายามค้นหามานาน
สตีเฟ่นกับราฮีมเดินกลับมาที่รถ ลุงเดินตามมา
“เอ...อั๊วะไม่รู้จริงๆ ว่าท่านไปไหน”
“ไม่เป็นไรลุง วันหลังพวกอั๊วะจะมาหาใหม่”
ราฮีมและสตีเฟ่นขึ้นรถแล้วขับออกไป ลุงยืนมองตาม แล้วสักครู่ก็เห็นซัมดอง เดินมายืนด้านข้าง ลุงหันไปมองแล้วตกใจ
“ไอหยา...ซัมดอง ลิมโปเซ ท่านไปอยู่ไหนมา เมื่อกี้มีพวกอั้งม้อมาหา”
“ข้ารู้แล้ว”
ซัมดองมองตามรถที่กำลังแล่นออกไป

+ + + + + + + + + + + +
ดร.อภิชัย ผู้พันเชษฐ์และผู้พันอาจณรงค์ เดินเข้ามาในห้องประชุมเห็นหน่วยปฎิบัติงานลับที่เรียกว่า “หน่วยเสาร์ห้า” ซึ่งประกอบด้วย เทอด ยอดธง,เดี่ยว สมเด็จ,ดอน ท่ากระดาน,ยอด นางพญา,และ กริ่ง คลองตะเคียน พร้อมทั้งหน่วยปฏิบัติงานลับหญิงทั้งไทยและสากลคือ ชลดา,บุษกร,เจนนี่, กระแต และ ยูกิ รออยู่แล้ว
ดร.อภิชัยกล่าวขึ้นก่อน...
“ขอบคุณมาก สำหรับภาระกิจที่ผ่านมา พวกคุณทำให้แกงค์ค้ามนุษย์ที่มันใช้เมืองไทยเป็นฐานต้องปิดตัวลง”
“แต่ผมคิดว่ามันคงเป็นการปิดตัวแค่ชั่วคราวเท่านั้น เมื่อใดที่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองของเราหละหลวม พวกมันก็จะกลับมาแน่” ผู้พันเชษฐ์บอกอย่างมั่นใจ
“แล้วสำหรับภารกิจต่อไปละครับ”เดี่ยวถาม
ดร.อภิชัยหันไปทางเจนนี่
“ไง...ฝ่ายข้อมูลของเรา พร้อมมั๊ย”
“พร้อมค่ะ”
เจนนี่พยักหน้าให้ทีมงาน ยูกิหยิบรีโมทขึ้นมา กระแตเดินไปหรี่ไฟ ชลดาเปิดไฟล์ในโน๊ตบุค จากนั้น ภาพก็ปรากฏขึ้นบนจอโปรเจกเตอร์ให้ทุกคนได้เห็น ภาพแรกเป็น ภาพถ่ายจากที่เกิดเหตุเป็นทองคำ และเงินสด มูลค่ารวม 100 ล้านบาท บุษกรเริ่มบรรยาย
“นี่คือของกลาง ที่ตำรวจส่วนภูมิภาคจับกุม ขณะแกงค์ค้ายาเสพติด กำลังมีการซื้อขายกันเมื่อสามวันที่ผ่านมา”
ภาพเปลี่ยนเป็นเหตุการณ์ ที่ตำรวจจับกุมคนร้ายหลายภาพ บุษกรบรรยายต่อ
“มูลค่าจากเงิน และทองคำที่มันใช้ในการซื้อขายกัน รวมแล้วประมาณ 100 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินก้อนใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยจับกุมมาค่ะ”
“แล้วตอนนี้ เงินของกลางอยู่ที่ไหนครับ”ยอดถาม
“กำลังจะมีการลำเลียงเข้ามาในวันพรุ่งนี้ ซึ่งหน่วยข่าวกรองของเรา ได้รายงานมาว่า อาจโดนดักปล้นโดยกองกำลังต่างชาติ”บุษกรบอกอย่างกังวล
“กองกำลังของฝ่ายไหน”เดี่ยวสงสัย
ภาพบนจอกลายเป็นภาพ นายพลจางลี่ ในชุดนักรบ
“นี่คือนายพลจางลี่ หัวหน้ากองกำลังชนกลุ่มน้อย ตามแนวตะเข็บชายแดน ซึ่งแยกมาตั้งตัวเป็นอิสระ ไม่ขึ้นกับฝ่ายใด” เจนนี่บรรยายภาพ
ภาพบนจอ เปลี่ยนเป็นภาพ เปาชาง หลานชาย นายพลจางลี่ เจนนี่บรรยายต่อ
“เปาชาง หลานชายคนเดียวของนายพลจางลี่ จบการศึกษาจากรัสเซีย เชี่ยวชาญเรื่องเทคโนโลยี่ และเคยเป็นแชมป์แม่นปืนสมัยเป็นนักศึกษา”
“แต่พวกชนกลุ่มน้อย ไม่เคยมีประวัติเข้ามาแทรกแซง กิจการภายในของไทยแบบนี้นี่ครับ” ดอนถามอย่างแปลกใจ
“แต่นายพลจางลี่คือข้อยกเว้น เพราะว่ากลุ่มของพวกมัน ถูกตัดขาดจากชนกลุ่มน้อยกลุ่มอื่น ทำให้ขาดท่อน้ำเลี้ยง” ผู้พันเชษฐ์บอกให้รู้
เจนนี่พยักหน้ารับ แล้วอธิบาย
“ใช่ค่ะ...จากที่เคยเป็นนายหน้า รับยาเสพติดจากกลุ่มอื่นมาขายต่อ เมื่อถูกตัดขาด พวกนายพลจางลี่จึงหันมาทำงานอาชญากรรมในเมืองไทย เมื่อเสร็จงานก็จะรีบข้ามชายแดนกลับไป ทำให้ไม่มีใครทำอะไรพวกมันได้
“และในวันพรุ่งนี้ เราได้รับรายงานมาว่า พวกมันมีแผน จะดักปล้นเงินของกลางที่จะลำเลียงเข้ามากรุงเทพ” ดร.อภิชัยบอกเสียงเครียด
“จุดที่เป็นไปได้น่าจะเป็น กิโลเมตรที่ 25 เพราะแถวนี้อยู่ท่ามกลางหุบเขา” ผู้พันเชษฐ์หันไปหา ผู้พันอาจณรงค์ “ผู้พันพรุ่งนี้คุณคุมกำลังทหารไปคอยสนับสนุนพร้อมอาวุธ ผมเชื่อว่าพรุ่งนี้คงไม่ใช่แค่การปล้นธรรมดาแน่นอน”
“ครับท่าน” ผู้พันอาจณรงค์รับคำ
เทิดคิดๆ
“แสดงว่า พวกเราต้องเจอกับอาวุธหนักแน่นอน”
“กลัวอะไร เรื่องวิ่งน่ะ ผมไม่เป็นรองใครอยู่แล้ว” กริ่งพูดขำๆ
ยอดหันไปโวย
“โห...คุณกริ่ง นี่กะจะรอดคนเดียวเลยนะครับ”
“ผมยังตายไม่ได้นี่ครับคุณยอด เพราะผมยังมะด้าย...แต่งงาน”
กริ่งหันไปยิ้มให้ยูกิ แต่ถูกสายตาดุๆมิงกลับมา
“ยูกิว่า...เรามาวางแผนสำหรับพรุ่งนี้กันดีกว่า”
“ถูกต้อง...เตรียมรับมือให้ดี เพราะพรุ่งนี้ไม่ใช่แค่การปล้น แต่เป็นสงครามย่อมๆ อย่างแน่นอน
ทุกคนเริ่มวางแผนการทำงานกัน” ผู้พันเชษฐ์สั่ง

+ + + + + + + + + + + +
เช้าวันใหม่...
รถซีเคียวริตี้ ขนเงินและทองคำ กำลังแล่นออกจากหน่วยราชการแห่งหนึ่ง โดยมีรถตำรวจแล่นนำ 1 คัน และปิดท้าย 1 คัน กริ่งกับยอดปลอมเป็นพนักงาน โดยกริ่งทำหน้าที่ขับรถซีเคียวริตี้ ขณะที่รถขนเงินวิ่งไปตามท้องถนนที่เปลี่ยว สายตาคู่หนึ่งที่มองผ่านกล้องส่องทางไกล กำลังจับตาขบวนรถ อาเตียว ลูกน้องคนหนึ่งของ นายพลจางลี่ ลดกล้องลงแล้วหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมาพูด
“เป้าหมายออกเดินทางแล้ว มีรถตำรวจคุ้มกัน 2 คัน คาดว่าพวกมันมีไม่เกิน 10 คน”
“อาเตียว ลื้อตามพวกมันมาเงียบๆ อย่าให้ไก่ตื่น” เสียงนายพลจางลี่ดังออกมาจากวิทยุ
“ครับท่าน”
อาเตียวเดินไปขึ้นรถกระบะเก่าๆ โดยมีคนขับติดเครื่องรออยู่ รถกระบะขับตาม รถขนเงินไปห่างๆ
ที่บริเวณถนนเปลี่ยวกิโลเมตรที่ 25 เปาชางกำลังยืนคุมลูกน้อง ให้ติดตั้งระเบิด เมื่อเสร็จเรียบร้อย ลูกน้องก็หันมาบอกเปาชาง
“พร้อมครับ...หัวหน้า”
“พวกเอ็งแยกย้ายไปซุ่มตามจุด รอคำสั่ง”
“ครับผม”
พวกลูกน้องพากันวิ่งออกไปซุ่มตามจุดต่างๆ นายพลจางลี่เดินข้ามาพร้อมลูกน้องคนสนิทที่คอยอารักขา 4-5 คน
“พวกมันออกเดินทางมาแล้วเปาชาง”
“ของผมก็พร้อมแล้วครับลุง”
“ดี...งั้นก็เริ่ม”
ทุกคนพากันแยกย้าย ไปซุ่มตามจุดต่างๆ

+ + + + + + + + + + + +
เดี่ยว ดอน เทอด และผู้พันอาจณรงค์ นำกองกำลังทหารเดินเท้าผ่านเส้นทางในป่า มุ่งหน้าไปยัง กิโลเมตรที่ 25
“ออกจากป่าไปไม่เกินร้อยเมตร ก็จะถึงกิโลเมตรที่ 25”เทิดบอก
ดอนหันไปหาผู้พันอาจณรงค์
“บอกพวกเราให้ระวังตัว ผมเชื่อว่าบางที พวกมันอาจซุ่มอยู่แถวๆนี้”
เดี่ยวหยุด เมื่อได้ยินเสียงบางอย่าง
“เดี๋ยวนะ ขอเงียบหน่อย”
เดี่ยวยืนฟัง ได้ยินเสียงค่อยๆ ดังขึ้นมาเรื่อยๆ เป็นเสียงของนาฬิกาซึ่งมาจากระเบิดนั่นเอง เดี๋ยวหันไปหาดอน
“คุณดอน ผมได้ยินคล้ายเสียงนาฬิกา น่าจะเป็นระเบิด”
ดอนเดินออกมายืนมองด้วยตาทิพย์ ทะลุไปเรื่อยๆ จนเห็นภาพของระเบิดที่ถูกวางเอาไว้ และพวกของนายพลจางลี่ซึ่งแฝงตัวตามจุดต่างๆ
“มันเล่นของหนักกันจริงๆด้วยคุณเดี่ยว”
“เห็นกี่จุด”เทอดถาม
“ไม่ต่ำกว่า 3” ดอนบอก
เทิดมองดอน
“เอาไงดี”
ดอนยกโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์หากยอด ที่นั่งข้างๆกริ่ง
“ไง...วันนี้คิดถึงผมบ่อยจังเลยนะ คุณดอน”
“ผมมีข่าวดีมาบอกน่ะคุณยอด”
“จัดมาๆ”
“ได้ข่าวว่าคุณชอบผลไม้ พอดีมีคนเขาจัดมะตูม กับน้อยหน่ารอคุณอยู่แถวทางโค้ง ประมาณกิโลเมตรที่ 25 ยังไงก็บอกคนอื่นๆ ต่อด้วย”
“ได้อยู่...กำลังเปรี้ยวปากพอดี”
ยอดกดวางสายแล้วหันมาหากริ่ง แต่กริ่งไม่รู้เรื่อง มัวแต่ฟังเพลง ยอดเลยดึงหูฟังออก
“หิวหรือยังคุณกริ่ง”
“หิวซิ...ถามได้”
ยอดยิ้มๆ
“งั้นถึง กิโลเมตร 25 แวะรับผลไม้ก่อนนะ”
กริ่งงงๆ
“ผลไม้อะไรคุณยอด”
“ถึงแล้วก็รู้เอง...ขอยืมก่อนนะ”
ยอดเอาหูฟังของกริ่งมาใส่แล้วนั่งฟังเพลงไม่สนใจ กริ่งขับรถไปเรื่อยๆ

+ + + + + + + + + + + +
รถขนเงินของธนาคาร กำลังแล่นมาตามถนน โดยมีรถขบวนตำรวจคุ้มกันหน้า หลัง และมีรถบรรทุกคนงานแล่นตามมาห่างๆ ขบวนรถขนเงิน แล่นมาที่มุมหนึ่ง นายพลจางลี่คุมกองกำลังซุ่มอยู่ ยกวิทยุสื่อสารขึ้นมาสั่งการ
“รถวิ่งเข้าพิกัดเมื่อไหร จัดการได้เลย ไม่ต้องรอสั่ง”
รถกำลังแล่นใกล้เข้ามา
กริ่ง หยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมาติดต่อกับ รถตำรวจนำขบวน
“หมวดตึ๋ง ช่วงนี้ขับช้าลงหน่อย เดี๋ยวต้องแวะรับของ”
รถตำรวจข้างหน้าเริ่มชะลอความเร็ว กริ่ง เหยียบเบรกชะลอความเร็วเช่นกัน ยอดซึ่งนั่งฟังเพลงอยู่หันมามอง
“เบรกทำไม” ยอดถามอย่างสงสัย
“ไหนล่ะผลไม้”
ยอดสะดุ้ง
“คุณกริ่ง ทำไมคุณซื่ออย่างงี้”
ทันใดนั้นระเบิดดังตูมขึ้นสองข้างทาง ทำให้รถทุกคันเสียหลักหักหลบระเบิดกันจ้าละหวั่น
“นั่นไงผลไม้ มะตูม กะน้อยหน่าไง หลบเร็ว ๆ” ยอดโวยวายเสียงดัง
กริ่งขับรถหลบระเบิดไปมา
รถทุกคันพากันจอดหลบข้างทาง กองกำลังของนายพลจางลี่โผล่จากข้างทางกราดกระสุนยิง เดี่ยว เทอด และ ดอน วิ่งเข้ามาสมทบ กับยอด และกริ่ง หาที่กำบังแล้วยิงตอบโต้ ผู้พันอาจณรงค์สั่งการกองทหาร ให้กระจายตัวแล้วยิงตอบโต้ รถอาเตียวซึ่งตามมาห่างๆ รีบจอดหลบข้างทาง ซึ่งมีรถอีกคันจอดซุ่มอยู่ก่อนแล้ว
“จอดรอตรงนี้ กลับรถไว้ด้วย รู้เส้นทางหนีใช่มั๊ย”อาเตียวสั่งคนขับ
“ครับพี่”
อาเตียวคว้าปืนแล้วรีบลงไปสบทบกับกองกำลัง ระหว่างที่สงครามย่อยๆ กำลังดำเนินไป ที่มุมหนึ่งบนต้นไม้ เปาชางกำลังเล็งปืนซุ่มยิง ฝ่ายทหารทีละคนอย่างใจเย็น

++++++++++++
นายพลจางลี่ เริ่มรู้สึกว่ากำลังตกเป็นรอง อาเตียววิ่งเข้ามาสมทบ
“รถอยู่ไหน”
“ผมจอดรอที่พุ่มไม้เดิมครับ”
“ดี...”
จางลี่ยกวิทยุสื่อสารเรียกเปาชาง
“เปาชาง”
“ครับลุง”
“ยกเลิกแผนด่วน ลุงกำลังจะไปที่รถ คุ้มกันให้ด้วย”
“ได้ครับ”
“อาเตียว และลูกน้องที่เหลือพากันยิงสกัดแล้วเริ่มถอยหนีไปที่รถ เปาชาง ซุ่มเล็งปืนยิงทีละนัด แต่ก็ทำให้ฝ่ายทหารล้มลง ทีละคนๆ นายพลจางลี่ และลูกน้องพากันหนีขึ้นรถที่จอดรอแล้วขับออกไปขณะที่ฝ่ายทหารระดมยิงตามหลัง อาเตียววิ่งไปหลบในรถที่จอดรอเปาชางอยู่อีกคัน
กองกำลังของนายพลจางลี่ที่เหลือยังคงสู้ต่อ เดี่ยวเริ่มสังเกตุเห็นเปาชาง แอบซุ่มยิงอยู่ที่มุมหนึ่งจึงทำสัญญาณให้ เพื่อนๆ มองไปที่จุดซ่อนตัวของมัน เปาชางกำลังปีนลงจากต้นไม้ที่ใช้ซ่อนตัว จากนั้นก็หลบเข้าป่า
เดี่ยว รีบตามเปาชางไป
เปาชางวิ่งเข้ามาแล้วหลบหลังต้นไม้แล้วหันไปยิงใส่ เดี่ยววิ่งตามแล้วยิงโต้ตอบ เปาชางได้จังหวะยิงสวนกลับไป ทำให้ทหารที่ติดตามมาล้มลง เดี่ยวยิงสวนแล้วรีบวิ่งไปลากทหารที่ถูกยิงหลบหลังต้นไม้ให้พ้นอันตราย
“ใจเย็นครับ ผู้กอง รออยู่นี่เดี๋ยวผมจัดการเอง”
เดี่ยวชะโงกหน้ามามองหาลู่ทางตลบหลังเปาชาง จากนั้นก็ส่งสัญญาณให้ ยอด และกริ่ง ซึ่งตามมายิงหลอกไปด้านซ้าย ทำให้เปาชางพะวงทางด้านซ้าย เดี่ยวอาศัยจังหวะเผลอรีบฉากออกไปทางด้านขวาแล้วตีอ้อมมาด้านข้าง เปาชางพักเปลี่ยนกระสุน จังหวะนั้นเองที่เดี่ยวโผล่เข้ามาเอาปืนจ่อไว้
“วางปืน “
เปาชางชะงักคาดไม่ถึง จึงค่อยๆ วางปืนลง แต่จังหวะที่กำลังย่อตัวนั้นเอง เปาชางอาศัยศิลปะการต่อสู้ที่ตัวเองฝึกมาดีดตัวพุ่งเข้าชนร่างของเดี่ยวล้มลง เปาชางเข้าไปกระชากคอเดี่ยวแล้วซัดหมัดล้วนๆ เข้าเต็มหน้า ทั้งคู่เริ่มต่อสู้กันอย่างไม่มีใครยอมแพ้ใคร

ยอดกับกริ่ง วิ่งเข้ามาช่วย แต่เจอกับลูกน้องเปาชางขวางเอาไว้ ยอดกับกริ่งอาศัยไหวพริบ ปล่อยหมัดออกไป จากนั้นก็เริ่มตะลุมบอนกันด้วยหมัดต่อหมัด ลูกน้องของเปาชาง เริ่มมาสมทบมากขึ้น บางคนเล็งปืนจะยิงยอด แต่ยอดพลิกตัว ทำให้ปืนถูกพวกเดียวกันตาย ยอดเข้าไปเตะคนที่ถือปืนหลุดกระเด็น แล้วเริ่มสู้กันด้วยมือเปล่า ลูกน้องเปาชางคนหนึ่ง โดนกริ่งกระแทกหมัดจน ล้มลงมันเห็นปืนหล่นอยู่ จึงคว้าปืนขึ้นมา กริ่งชะงัก แต่แล้วก่อนที่กระสุนจะลั่นออกไป ดอนก็โผล่เข้ามาเตะปืนกระเด็นหลุดมือ ดอนเข้ามาร่วมตะลุมบอนกับผู้ร้ายอีกคน

ขณะที่เดี่ยวกำลังสู้กับเปาชาง ลูกน้องอีกคนของเปาชางเข้ามาช่วยรุมเดี่ยว ทำให้เดี่ยวเสียเปรียบ
เทอดโผล่เข้ามาล็อคลูกน้องเปาชางเอาไว้ แล้วสู้กัน หนุ่มเสาร์ห้าต่างก็หันหลังชนกัน เนื่องจากกำลังโดนพวกเปาชางล้อมกรอบเอาไว้
เสาร์ห้าผนึกกำลัง...เมื่อมารวมตัวกันห้าคน ทำให้กระบวนหมัดมวยที่ปล่อยออกมาวิจิตรพิศดารทุกคนต่างเป็นกำแพงให้กันและกัน เมื่อคนใดเสียที คนที่เหลือก็จะเข้ามาช่วย กลายเป็นว่าพวกกองโจรต่างก็ถูกสอยร่วงลงไปทีละคน
เปาชางเห็นท่าไม่ดี เริ่มถอยฉาก หันไปคว้าปืนที่พื้นขึ้นมายิงกราด กลุ่มเสาร์ห้าพากันโดดหลบ กระสุนไปถูกพวกผู้ร้ายตาย เปาชางรีบวิ่งหนีไปยังถนน อาเตียวซึ่งรออยู่ในรถรีบขับออกจากที่ซ่อน

เปาชางกระโดดขึ้นรถแล้วหนีหลุดไปได้

อ่านต่อหน้า 3





เสาร์ ๕ ตอน ทับทิมสยาม
ตอนที่1 (ต่อ)

ค่ำคืนนั้น... บุษกรเอาสำลีเช็ดแผลให้เดี่ยว ซึ่งนอนสำออยอยู่ที่โซฟา กระแตและชลดา ยกอาหารจากในครัวมาวางเตรียมพร้อมบนโต๊ะ เจนนี่กำลังค้นข้อมูล จากคอมพิวเตอร์ ยูกิกับกริ่ง เพิ่งกลับมาจากข้างนอก ช่วยกันหิ้วถุงใส่ผลไม้ และขนมต่างๆเข้าบ้านมา

เจนนี่เงยหน้ามายิ้มให้ยูกิแล้วหันไปมอง กริ่งกับเดี่ยว ซึ่งใบหน้ามีร่องรอยบาดแผลจากการต่อสู้ ยังไม่หาย กระแตกับชลดา จัดโต๊ะอาหารเสร็จ กระแตตะโกนเรียกทุกคน
“ได้เวลาอาหารแล้ว มาเร็วๆ”
ทุกคนเริ่มมารวมตัวกันที่โต๊ะอาหาร เจนนี่มองหาดอน เทอด และยอด
“หายไปไหนอีกสาม”
ดอน ยอด เทอด โผล่เข้ามา พร้อมร่องรอยบาดแผลบนใบหน้า
“อยู่นี่ครับผม”
เจนนี่เห็นหน้าดอนก็ตกใจ
“ตายจริง...เดี๋ยวนี้เขาฮิตรอยแผลบนหน้ากันแล้วเหรอ ดูหน้าหนุ่มๆบ้านนี้ซิ”
“นั่นซิ...หน้ามีแต่แผลทุกคนเลย”กระแตส่ายหน้า
“สาวๆ ไม่รู้อะไรซะแล้ว เทรนนี้ปีหน้าฮิตแน่นอน” ยอดหยิบขนมใส่ปาก แล้วชะงัก เพราะแสบแผลในปาก “อู๊ย...”
“แสบปากเหรอ” กระแตถามอย่างห่วงๆ
“ตัวเอง...ทายาให้เค้าหน่อยซิ” ยอดอ้อน
บุษกรหยิบยาส่งให้กระแต
“นี่จ๊ะกระแต...อันนี้ทาภายนอก หลอดนี้ทาภายใน”
ยอดยื่นหน้าให้กระแตทายาให้ แล้วออเซาะต่างๆนานา เทอดทำหน้าอ้อนใส่ชลลดาบ้าง
“กับข้าวน่าอร่อยจัง”
“ปากคอเยินยังงี้ จะกินกับข้าวพวกเราได้เหรอ”
เทิดส่งยิ้มหวานให้ชลดา
“ถ้าเป็นฝีมือคนที่เรารักทำ ยังไงก็กินได้”
ชลดาค้อน
“ไม่ต้องมาหวานเลย”
“ผลไม้ก็มีนะ เราซื้อมาเผื่อด้วย” ยูกิบอก
กริ่งหยิบน้อยหน่า กับมะตูมมาวางตรงหน้ายอด แต่ยอดกำลังให้กระแตทำแผลจึงไม่ได้มอง
“อ้ะ...อันนี้ของโปรดคุณยอดเค้า”
“อะไรอ้ะ” ยอดถาม
กริ่งยิ้มๆ
“น้อยหน่า กะ มะตูม”
ยอดสะดุ้งผวา คิดถึงเหตุการณ์ที่รถหลบระเบิด
ทุกคนหยอกล้อ กันอย่างมีความสุข

+ + + + + + + + + + +
หมู่บ้านภายใต้การดูแลของนายพลจางลี่ เป็นหมู่บ้านแนวตะเข็บชายแดน ท่ามกลางบรรยากาศป่าไม้และทิวเขา มีการจัดเวรยามเดินถือปืนกันไปมา
ชาวบ้านในหมู่บ้าน หากเป็นชาย จะแต่งกายคล้ายทหารครึ่งท่อน ขณะที่ผู้หญิงและเด็ก จะเป็นเสื้อผ้าในลักษณะของชาวป่าชายแดน แม้จะเป็นหมู่บ้านในป่า แต่ก็มีความเจริญ จานดาวเทียม ระบบไฟฟ้า และเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆครบครัน
บ้านหลังใหญ่ซึ่งเป็นบ้านของนายพลจางลี่ ภายในห้องโถงใหญ่ทีวีกำลังเปิดช่องดาวเทียมจากจีนแดง เปาชางเดินมาที่อาเตียว ซึ่งนั่งอยู่ที่หน้าคอมพิวเตอร์ กำลังเปิดภาพแฟ้มประวัติของพวกเสาร์ห้า นายพลจางลี่นั่งดูทีวีอยู่ โดยมีสาวๆ หน้าจีนชื่อ อาเนี้ยวกับอาจู นั่งนวดฝ่าเท้าให้
เปาชาง อ่านประวัติในจอคอมพิวเตอร์แล้วพูดขึ้น…
“ที่แท้พวกก็คือกลุ่มเสาร์ห้านี่เอง”
นายพลจางลี่รู้สึกสนใจหันมามอง
“มิน่า”
เปาชางหันมามองนายพลจางลี่
“ลุงรู้จักพวกมันด้วยเหรอ”
“ได้ยินคนพูดถึงมานานว่า...พวกมันเป็นพวกเหนือมนุษย์”
“เก่งยังไงมันก็ต้องตายกันทุกคน”
นายพลจางลี่พยักหน้า
“ถูกต้อง...ถึงเราพลาด แต่จะให้ยอมแพ้ง่ายๆ มันเป็นไปไม่ได้”
“แต่ผมเสียดาย เงินเป็นร้อยล้านถ้าไม่ถูกขวาง พี่น้องเราคงสบายไปอีกนาน” เปาซางบอกอย่างเสียดายและเจ็บแค้น
“วันพระไม่ได้มีหนเดียวเปาชาง” นายพลจางลี่หันหันไปหาอาเตียว “ลื้อมีหน้าที่เช็คข่าวในเมืองไทย ถ้ามีงานไหนน่าสนใจรีบมาบอก”
“ได้ครับ” อาเตียวรับคำ
นายพลจางลี่หันไปสนใจทีวีดาวเทียมต่อ ขณะที่เปาชางและอาเตียวช่วยกันเช็คข่าวจากอินเตอร์เน็ต

+ + + + + + + + + + + +
บริเวณลานจอดรถของคอนโดยามค่ำ...
สตีเฟ่นเดินเข้ามานั่งในรถแล้วสตาร์ท แต่แล้วเมื่อหันมาก็พบว่า ซัมดองนั่งอยู่ที่เบาะด้านหน้าข้างๆ เขา สตีเฟ่นสะดุ้ง ตกใจ ไม่เข้าใจว่า ซัมดองมาอยู่ในรถตั้งแต่เมื่อไหร่
“เอ้อ...ท่าน...”
“ขับรถไป” ซัมดองสั่ง
สตีเฟ่นมอง ซัมดองอย่างอึ้งๆบนสงสัย
“เข้ามาในรถได้ไง”
“ไปตามทางที่ข้าบอก แล้วเอ็งจะเจอพ่อเอ็ง”
สตีเฟ่นชะงัก
“พ่อ...”
“ไปรับพ่อเอ็งกลับมา ไปซิ”
สตีเฟ่นเริ่มทำตามที่ซัมดองบอก ทั้งๆที่ไม่ค่อยอยากเชื่อว่าจะเป็นความจริง
รถของสตีเฟ่นแล่นมาตามถนนเปลี่ยว ท่ามกลางความมืด ซัมดองนั่งนิ่ง ไม่พูดจา สตีเฟ่นรู้สึกอึดอัด จึงเริ่มชวนคุย
“ทำไมจู่ๆ ถึงมา...”
“มันเป็นภารกิจที่ข้าต้องทำ”
“ภารกิจอะไร”
“พวกเอ็งไม่มีวันเข้าใจ”
“ตั้งแต่เห็นท่านไปที่บ้านอาจารย์เณรวันนั้น ผมก็ให้คนสืบหาที่อยู่ แต่วันที่ไปหา ท่านไม่อยู่”
“ข้าเห็นแล้ว แต่มันยังไม่ถึงเวลาที่ข้าจะพบเอ็ง”
สักครู่ซัมดองได้ยินเสียงบางอย่างนอกรถ
“อะไรครับ”
“จอดตรงนี้...จอด”
สตีเฟ่นหันมามองหน้าซัมดอง แต่พอหันกลับไปมองทางเพื่อหาที่จอดก็พบว่ามีร่างของใครคนหนึ่งพุ่งออกมาจากป่าข้างทาง สตีเฟ่นตกใจเหยียบเบรกกะทันหัน รถจอดเฉียดเส้นยาแดงก่อนที่จะชนเข้ากับชายแก่ลักษณะเหมือนคนบ้า มีหนวดเครารุงรัง เสื้อผ้าขาดวิ่น สตีเฟ่นหงุดหงิดเปิดประตูเดินลงไปโวยวาย
“เฮ้ย...อยากตายหรือไง”
ชายแก่ค่อยๆ หันหน้ามา ใบหน้าโดนไฟหน้ารถส่องชัดขึ้นมากกว่าเดิม สตีเฟ่นยืนจ้องหน้าชายแก่ แล้วเริ่มจำได้ว่านั่นคือ ดร.ฟอร์ด ผู้เป็นพ่อนั่นเอง
“พ่อ”
ดร.ฟอร์ดตะลึง
“สตีเฟ่น”
สตีเฟ่นโผเข้ากอดดร.ฟอร์ด ทั้งคู่ร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ผมไม่อยากเชื่อเลย ว่าจะเจอกับพ่อจริงๆ”
“ลูกมาได้ยังไง”
“พ่อขึ้นรถก่อนนะครับ กลับบ้านก่อน แล้วผมจะเล่าให้ฟัง”
สตีเฟ่นพาพ่อขึ้นรถ ดร.ฟอร์ดมองซัมดอง ด้วยความแปลกใจ
“ใคร”
“ข้าคือซัมดอง ลิมโปเซ” ซัมดองพูดเรียบนิ่ง
ดร.ฟอร์ดงุนงง สตีเฟ่นกลับรถ แล้วขับออกไป

+ + + + + + + + + + + +
หลังจากสตีเฟ่นพาทุกคนมาที่คอนโดของเขาได้สักพัก ดร.ฟอร์ด อาบน้ำโกนหนวดเคราเสร็จ เปลี่ยนเสื้อผ้าเดินออกมา เห็นซัมดอง นั่งกับพื้นหลับตา ไม่ยอมนั่งบนโซฟาก็แปลกใจหันไป กระซิบถามสตีเฟ่นที่เดินมาหา
“แน่ใจนะสตีเฟ่นว่าเราไม่โดนหลอก”
“ถ้าท่านไม่เก่งจริง ผมกับพ่อคงไม่เจอกันแน่คืนนี้”
“บางที...มันอาจจะ...”
ดร.ฟอร์ดยังพูดไม่ทันจบ ซัมดองลืมตาขึ้นมามองหน้า
“เอ็งคิดว่ามันบังเอิญงั้นรึ”
ดร.ฟอร์ดสะดุ้งเล็กน้อย แล้วรีบกลบเกลื่อนด้วยการเข้าไปนั่งใกล้ๆ
“ผมเป็นนักวิทยาศาสตร์ ถ้าไม่มีอะไรพิสูจน์ก็คงเชื่อยาก”
ซัมดอง หยิบดวงตาสวรรค์ออกมาจากย่าม จากนั้นก็ร่ายเวทย์ ดวงตาสวรรค์ค่อยๆ ผลิบาน ส่องประกายของดวงแก้วข้างใน ซัมดองเพ่งมองเข้าไปในดวงแก้ว ทันใดนั้นก็ปรากฏเป็นภาพเหตุการณ์ก่อนเครื่องบินของดร.ฟอร์ดตก...
“ที่เครื่องบินเอ็งตก เป็นเพราะพวกนักบินมันไม่เชื่อที่เอ็งบอก” ซัมดองอธิบาย
ดร.ฟอร์ดแปลกใจ
“ท่านรู้ได้ไง”
“ข้าเห็นพายุหมุน แต่มันไม่ใช่พายุ มันคือ...”
ซัมดองยังไม่ทันบอก ดร.ฟอร์ดถามสวนขึ้นทันที
“ภาพลวงตาใช่มั๊ย”
ซัมดองพยักหน้า
“ใช่...พื้นที่ตรงนั้น มีของล้ำค่าซ่อนตัวอยู่”
ดร.ฟอร์ดแปลกใจ
“ของล้ำค่าอะไรครับ”
ซัมดองเงยหน้ามามองดร.ฟอร์ด แล้วยิ้ม
“ทับทิมสยาม”
ดร.ฟอร์ดและสตีเฟ่นมองหน้ากันอย่างตื่นเต้น
“มันเป็นอย่างที่พ่อคิดไว้จริงๆ ทับทิมสยามอยู่ที่นั่น”
ดร.ฟอร์ดมองหน้าซัมดองด้วยความศรัทธา

+ + + + + + + + + + + +
เช้าวันใหม่...
สตีเฟ่นมารับนาตาชาที่เพิ่งบินมาจากอเมริกาที่สนามบิน ทั้งสองเดินไปยังลานจอดรถ ราฮีมช่วยลากกระเป๋าไปเก็บในรถ นาตาชาโผเข้ามากอด ดร.ฟอร์ด ซึ่งนั่งรออยู่ในรถ
“แด็ดดี้”
นาตาชากอดพ่อด้วยความดีใจที่เห็นว่าปลอดภัย
“ขอโทษนะลูกที่พ่อออกไปรับไม่ได้ พ่อไม่อยากให้ใครรู้ว่าพ่อยังมีชีวิตอยู่”
“ตอนเห็นข่าว หนูคิดว่าพ่อตายแล้วซะอีก”
“ถ้าการทดลองของพ่อยังไม่สำเร็จ รับรองพ่อไม่ยอมตายง่ายๆแน่”
“ถ้างั้นมีอะไรให้หนูช่วยบ้างคะ”
“มีแน่นอน และมีผู้หญิงสวยอย่างลูกคนเดียวเท่านั้น ที่จะทำงานนี้ได้”
“ค่ะ...พ่อจะให้หนูทำอะไร”
“ทำตามที่พ่อบอกทีละอย่าง”
ราฮีมสตาร์ทรถแล้วขับออกไป

+ + + + + + + + + + + +
ดร.ฟอร์ด ดูแผนที่ดาวเทียม เขตป่าสุสานช้าง จากจอคอมพิวเตอร์ อยู่ในห้องพัก เขาพยายาม ทบทวนเส้นทางที่เขาเดินออกมาเพื่อทำแผนที่ สตีเฟ่น นาตาชา ราฮีม นั่งมองอย่างสนใจ 
“ถ้าจำไม่ผิด เส้นทางเข้าออกน่าจะเป็นทางนี้ บริเวณที่เครื่องบินตก จะมองเห็นเจดีย์ใหญ่สูงกว่าต้นไม้ แต่บริเวณนั้นมันเป็นเขตอันตราย”
“อันตรายยังไงครับ” สตีเฟ่นถามอย่างสงสัย
“มันเหมือนแดนสนธยา เหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นแถวสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ทุกอย่างมันเหมือนจริง แต่มัน
ไม่ใช่ความจริง ลูกเรือที่รอดชีวิตมาพร้อมกับพ่อ ล้วนแล้วแต่ต้องจบชีวิตเพราะภาพลวงตาเหล่านั้น”
“อาจารย์ซัมดอง บอกว่าตรงนั้นมีทับทิมสยามซ่อนตัวอยู่”
“ใช่...มันต้องเป็นทับทิมสยาม สีม่วงเท่านั้นที่จะทำให้เกิดปรากฏการณ์แบบนี้ได้ ถ้าเครื่องมือเราพร้อม
เมื่อไหร่ ก็ออกเดินทางกันได้ทันที”
“ผมให้ราฮีมเตรียมพวกแรงงาน กับพวกลูกหาบเอาไว้แล้วครับ”
“รับรองคนพวกนี้ไม่ปลอดแหกแน่นอน เพราะพวกมันเป็นทหารรับจ้าง เอาเงินฟาดหัวไปไม่กี่หมื่นก็ตาโตกันแล้ว” ราฮีมบอก
ดร.ฟอร์ดหน้านิ่ง แล้วสั่งเสียงเฉียบ
“แต่ทุกอย่างต้องปิดเป็นความลับ อย่าให้ใครรู้เป็นอันขาด”
“รับรองครับดร. ทุกอย่างTOP SECRET” ราฮีมรับคำ
นาตาชาที่ฟังอยู่นานแล้วจึงถามขึ้น
“แล้วหนูละคะ พ่อจะให้ทำอะไร”
ดร.ฟอร์ดหันมายิ้มให้นาตาชา

+ + + + + + + + + + + +

รถของเจนนี่กำลังจะถอยเข้าซอง จอดรถในร่ม แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เจนนี่เบรคแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับ จังหวะนั้นเองที่นาตาชา ขับรถมาแล้วเลี้ยวเข้าไปจอดแทน เจนนี่มองตาค้าง วางโทรศัพท์แล้วลงจากรถทันที นาตาชาจอดเสร็จเปิดประตูลงมา เจนนี่ยืนมองอย่างไม่พอใจ
“นี่เธอ ไม่เห็นหรือไงว่าฉันมาก่อน”
“เธอช้าเอง ช่วยไม่ได้”
นาตาชายักไหล่ แล้วเชิดใส่ จะเดินไปแต่เจนนี่ขวางไว้
“เดี๋ยว”
นาตาชาสวนหมัดเปรี้ยงใส่ แต่เจนนี่ปัดออก แล้วจากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มต่อสู้ ซึ่งเป็นการต่อสู้ที่สูสีเนื่องจากทั้งคู่ต่างก็เก่งในเชิงการต่อสู้ การต่อสู้แสดงความเจ้าเล่ห์ของนาตาชาที่ใช้ทุกอย่างมาเป็นอาวุธ โดยไม่สนใจความถูกต้อง ขณะที่เจนนี่ก็เอาตัวรอดได้ แต่เธอมีคุณธรรมพอที่จะไม่ซ้ำคนที่กำลังเสียเปรียบ ทั้งคู่เป็นหญิงที่เก่งเรื่องต่อสู้ กว่าคนทั่วไป ยูกิกับกริ่ง ผ่านมาเห็นเหตุการณ์รีบเข้ามาห้าม
“หยุด...เจนนี่...อย่า”
“มีอะไรกันเหรอครับ” กริ่งถามอย่างสงสัย
“เปล่า...ก็แค่ทดสอบฝีมือกันเล็กน้อย” นาตาชาหันไปหาเจนนี่ “ฝีมือไม่เบาเลยนี่”
จากการต่อสู้และชั้นเชิง ทำให้เจนนี่รู้สึกว่า นาตาชาไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ
“เธอเป็นใคร”
“เดี๋ยวก็รู้”
นาตาชาเดินเชิดเข้าตึกสำนักงานไป เจนนี่ ยูกิ และกริ่งมองตามอย่างแปลกใจและสงสัย
+ + + + + + + + + + + +
นาตาชาเดินเข้ามาที่บริเวณสำนักงานของ กลุ่มเสาร์ห้าด้วยท่าทีมั่นใจ เธอเดินมาที่หน้าห้องของ ดร.อภิชัย แล้วหยุดที่โต๊ะเลขาหน้าห้อง
“ดิฉันมาขอพบ ดร.อภิชัย”
“นัดไว้หรือเปล่าคะ”
“เปล่า...บอกท่านว่า ฉันเป็น ลูกสาของ ดร.ฟอร์ด”
เลขายกหูโทรศัพท์แล้วกดหมายเลข
ไม่นานนัก...นาตาชาเดินเข้ามานั่งในห้องทำงาน ดร.อภิชัยที่ให้การรับรองอย่างดี
“เรื่องการค้นหาคุณพ่อของคุณ ตอนนี้ทาง ราชการต้องหยุดเอาไว้ก่อน เพราะว่าสภาพภูมิประเทศไม่เอื้ออำนวยจริงๆ ผมต้องเสียใจด้วยนะครับคุณนาตาชา”
“ดิฉันไม่ได้มาพบท่านเรื่องนี้หรอกค่ะ”
ดร.อภิชัยแปลกใจ
“ครับ...ถ้างั้นคุณนาตาชา มีธุระอะไร”
“คุณรู้เรื่องทับทิมสยามใช่มั๊ยคะ”
ดร.อภิชัยเงยหน้ามองนาตาชาอย่างสนใจ ขณะที่นาตาชาวางท่าเหนือกว่า
“ครับ...พอรู้บ้าง”
“ถ้างั้น คุณคงจะรู้ว่า ดิฉันคือผู้ที่ครอบครองทับทิมสยามสีชมพู หนึ่งในสามของทับทิมสยามที่มูลค่ามหาศาล”
“ถ้าจะให้เดา คุณคงกำลังต้องการให้คนของผม ช่วยดูแลความปลอดภัย”
“ใช่...เพราะในเมืองไทย มีแต่ทีมเสาร์ห้าของคุณเท่านั้น ที่มือถึงพอที่จะทำงานนี้ได้ สำหรับ
เรื่องค่าใช้จ่ายรับรองว่าคุ้มค่าแน่นอน”
นาตาชามีท่าทีเย่อหยิ่ง คิดว่าทุกคนจะต้องตาโต ที่เธอเสนอเงินก้อนโตเป็นค่าจ้าง ดร.อภิชัย นิ่งสงบ ครุ่นคิดบางอย่าง และเริ่มสงสัยในสิ่งที่นาตาชาต้องการ
“ถ้าจะรับงาน ผมต้องขอฟังรายละเอียดก่อน”
“ไม่มีปัญหาค่ะ แต่ฉันไม่ชอบพูดซ้ำซาก ถ้าไงนัดทีมของคุณให้พร้อม แล้วฉันจะเข้ามาบรีฟ
ทีเดียว”
นาตาชายิ้มเยาะ เธอคิดว่า ดร.อภิชัย ก็ไม่ต่างจากคนอื่นที่ต้องกระโดดงับเงินก้อนโตของเธอแน่นอน
+ + + + + + + + + + +
วันต่อมา...
ทีมเสาร์ห้า ยอด ดอน เทอด กริ่ง เดี่ยว และทีมหญิงคือ กระแต ชลลดา เจนนี่ ยูกิ และบุษกร กำลังนั่งประชุมกันอยู่ในห้องประชุม ดร.อภิชัย ผู้พันเชษฐ์และผู้พันอาจณรงค์ เข้าร่วมประชุมด้วย สักครู่เจนนี่ก็ลุกขึ้นมา
“ข้อมูลพร้อมแล้วค่ะ”
“งั้นก็เริ่มได้เลย ไม่ต้องรอ” ดร.อภิชัยสั่ง
เจนนี่ และเพื่อนๆ ทีมหญิงช่วยกันเปิด วีดีโอสรุปเรื่องราวทับทิมสยามที่ฉายบนจอใหญ่ ภาพวีดีโอสรุปเรื่องราวของทับทิมสยาม โดยมีภาพประกอบและบทบรรยาย...

“ทับทิมสยาม ตำนานแห่งอัญมณีระดับโลก จากบันทึกของ กินเนสท์บุ๊ค ทับทิมสยามที่ใหญ่ที่สุดในโลกประกอบไปด้วยทับทิม 3 ก้อน คือ ทับทิมสีชมพู ทับทิมสีแดง และทับทิมสีม่วง ซึ่งทับทิมแต่ละก้อน ต่างก็มีผู้ครอบครองสืบต่อกันมานานนับพันปี

ทับทิมสีม่วง ตกอยู่ครอบครองของในหมู่เจ้านายแห่งล้านนาอยู่หลายชั่วอายุคน แต่แล้วก็หายสาบสูญไป จนมีการค้นพบอีกครั้งที่หลุมฝังศพโบราณแห่งหนึ่งทางเหนือ แต่เมื่อข่าวสะพัดออกไป ทับทิมสีม่วงก็ถูกปล้น และสูญหายไประหว่างการตามล่าของตำรวจระหว่าง พ.ศ.2500

ทับทิมสีแดง อยู่ในการครอบครองของเทวีแห่งเชียงรุ้ง แคว้นสิบสองปันนา โดยประดับไว้บนมงกุฏเทวี และสืบทอดส่งต่อกันมาหลายรุ่น จนกระทั่งยุคล่าอาณานิคม เชียงรุ้ง กลายเป็นส่วนหนึ่งของจีน ราชวงศ์เชียงรุ้ง ถูกคุกคาม จึงหลบหนีมาเมืองไทย และนำมงกุฎเทวีติดมาด้วย แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเปิดเผยว่าเป็นผู้ครอบครองมงกุฏเทวีที่มีทับทิมสยามสีแดงประดับอยู่ เชื่อว่า ขณะนี้...ทับทิมสีแดงยังคงอยู่ในเมืองไทย และมีผู้ครอบครองเอาไว้อย่างลับๆ

ทับทิมสีชมพู ตกอยู่ในครอบครองของ เจ้าฟ้าเมืองนาย แต่ต่อมาเมื่ออังกฤษเข้ายึดรัฐฉานและพม่าเป็นเมืองขึ้น ทับทิมสีชมพูจึงตกไปอยู่ในมือของชาวอังกฤษคนหนึ่ง จากนั้นอีกหลายร้อยปี ทับทิมสีชมพูก็มาปรากฏตัวอีกครั้งที่อเมริกาโดย ผู้ที่ครอบครองทับทิมสีชมพูในปัจจุบันก็คือ มิส นาตาชา แม็คควีน บุตรสาวของ ดร.ฟอร์ด แม็คควีน”

เมื่อจบวีดีโอ ไฟในห้องก็สว่างขึ้น นาตาชาเปิดประตูห้องเดินเข้ามาแล้วตบมือ ชมเชยขณะที่ปลายตามาทาง เจนนี่
“ไม่เลวค่ะ สำหรับข้อมูลพื้นฐานในเรื่องทับทิมสยาม หาข้อมูลได้โอเค”
นาตาชาหันมาสบตาเจนนี่ ขณะที่เจนนี่รับรู้ได้ถึงความไม่เป็นมิตร
“ขอโทษนะคะที่มาช้า หวังว่าพวกคุณคงไม่โกรธดิฉัน นาตาชา แม็คควีนยินดีที่ได้รู้จักกับพวกคุณทุกคน
ค่ะ”
นาตาชายิ้มอย่างเป็นมิตรให้หนุ่มเสาร์ห้า และคนอื่นๆ ยกเว้นเจนนี่ ผู้พันอาจณรงค์ขยับลุกขึ้น เพื่อหาที่นั่งให้นาตาชา
“เชิญนั่งก่อนครับคุณนาตาชา”
“ค่ะ ขอบคุณ ผู้พันอาจณรงค์”
ผู้พันอาจณรงค์แปลกใจที่นาตาชารู้จักชื่อ เช่นเดียวกับคนอื่นๆ
“นี่คุณรู้จัก...”
นาตาชายิ้มๆ
“ค่ะ...ดิฉันรู้จักทุกคนดีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น พันเอกเชษฐ์ คุณยอด คุณดอน คุณเดียว คุณเทอด คุณกริ่ง และคนอื่นๆ เหตุที่ดิฉันต้องมาที่นี่ ก็เพราะดิฉันต้องการมืออาชีพที่ให้ความมั่นใจกับดิฉันในเรื่องการรักษาความปลอดภัย”
“ทุกครั้งที่มีการนำออกมาจัดแสดงแก่สาธารณะชน ทับทิมสยามจะตกเป็นเป้าหมายของกลุ่มคนร้ายอยู่เสมอ คุณนาตาชาจึงต้องการให้ทีมเสาร์ห้ามาช่วยดูแลความปลอดภัยให้กับเธอ” ดร.อภิชัยอธิบาย
นาตาชากวาดสายตามองทุกคน
“งานแสดงอัญมณีแห่งตำนานในครั้งนี้ คือการกลับคืนสู่แผ่นดินแม่อีกครั้ง เพราะอย่างที่พวกคุณรู้ ทับทิมสยามสีชมพูถูกนำออกจากเมืองไทยไปเมื่อเกือบร้อยปีที่แล้ว”
“คุณมีจุดประสงค์อะไรที่เอาทับทิมสยาม มาจัดแสดงทั้งๆที่รู้ว่ามันเสี่ยงต่อความปลอดภัย”เจนนี่ถาม
“เรื่องนี้ฉันจะแถลงข่าวให้ทุกคนรู้พร้อมๆ กันในวันงาน”
“แต่ถ้าพวกเราต้องร่วมงานกัน เราก็น่าจะมีสิทธิ์รู้ข้อมูลให้มากที่สุด”เจนนี่แย้ง
“แต่บางข้อมูล มันก็เป็นเรื่องส่วนตัว ซึ่งฉันก็มีสิทธิที่จะไม่เปิดเผย ยังไงก็ตาม ฉันขอให้พวกคุณวางระบบ
รักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุด”
นาตาชาหยิบเอกสารออกมาส่งให้ ผู้พันอาจณรงค์
“สำหรับรายละเอียดในวันงานทั้งหมด อยู่ในเอกสารของบริษัทออร์แกนไนซ์ฉบับนี้ ถ้ามีคำถามเกี่ยวกับรูปแบบของการจัดงาน ก็โทรถามฝ่ายประสานงานได้เลย”
นาตาชาหันมาทางดร.อภิชัย
“ดร.อภิชัยคะ”
“ครับ”
“คงหมดคำถามแล้วนะคะ ดิฉันต้องขอตัว”
“เชิญครับ”
“จะเป็นไปได้มั๊ยคะ ถ้าจะมีใครสักคนในทีมของคุณ ช่วยดูแลความปลอดภัยให้ดิฉัน ระหว่างเดินไปที่รถ”
“มีคนแอบตามคุณ หรือมีอะไรผิดปกติหรือเปล่าครับ” ผู้พันเชษฐถามอย่างสงสัย
นาตาชายิ้ม
“ตอนนี้ยังค่ะ เพียงแต่ดิฉันจะอุ่นใจกว่าถ้ามีคนเดินไปส่งที่รถ”
“ไม่มีปัญหาครับ เดี๋ยวผมให้...”
ดร.อภิชัยยังพูดไม่จบ นาตาชาพูดต่อทันควัน
“คุณดอนค่ะ...น่าจะเหมาะที่สุด”
ดอนรู้สึกแปลกใจ ขณะที่นาตาชามองมาทางเจนนี่ยิ้มๆ
“ครับ” ดร.อภิชัยหันไปหาดอน “งั้นดอนไปส่งคุณนาตาชาที่รถที่นะ”
“ครับผม”
นาตาชาลุกขึ้นหันมายิ้มให้ทุกคน
“ขอตัวนะคะทุกคน ยินดีที่รู้จักค่ะ”
นาตาชา เดินออกไปโดยมีดอนเดินตามไป เจนนี่มองนาตาชารู้สึกสงสัยในพฤติกรรม

+ + + + + + + + + + + +
ดอนเดินตามนาตาชาออกมา โดยนาตาชาเริ่มหว่านเสน่ห์
“นี่ดิฉัน รบกวนคุณดอนหรือเปล่าคะ”
“ไม่หรอกครับ”
“แล้วรู้มั๊ยคะว่าทำไมฉันต้องการให้คุณมาส่งที่รถ”
“ผมไม่ทราบครับ”
“คุณอย่าโกรธนะคะ ถ้าฉันมีบางอย่างอยากให้คุณช่วย”
“คุณจะให้ผมช่วยอะไร”
ทั้งคู่เดินมาถึงรถ นาตาชาหันมายิ้มให้ดอน
“คือฉันทำแหวนหล่นหายในรถ หายังไงก็ไม่เจอ...ถ้าเป็นไปได้ อยากจะให้คุณดอนช่วยใช้ความสามารถพิเศษของคุณช่วย...”
ดอนมองนาตาชาอย่างสงสัย
“คุณทราบเรื่องความสามารถพิเศษของผมได้ยังไง”
“ถ้าจะบอกว่าฉันเป็นแฮกเกอร์คนหนึ่ง ที่พอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง คุณจะเชื่อมั๊ยคะ”
“แสดงว่าคุณคงแฮกค์ข้อมูลผมแล้วก็เพื่อนๆ หมดแล้ว”
นาตาชายิ้มๆ
“ก่อนจะร่วมงานกับใคร ฉันต้องศึกษาข้อมูลของทุกคนเสมอค่ะ”
ดอนมองนาตาชาอย่างรู้ทัน ว่าเรื่องแหวนที่เธอบอกเมื่อสักครู่ เป็นแค่การทดสอบตาทิพย์ของเขา
“ถ้างั้นเรื่องแหวนที่คุณบอกว่าหาย ก็คงเป็นแค่บทพิสูจน์ที่คุณอยากให้ผมแสดงให้ดูใช่มั๊ยครับ”
นาตาชายั่วยวน
“แล้วคุณอยากจะให้ดูหรือเปล่าคะ”
“ผมมันก็แค่คนธรรมดา ไม่ได้มีอะไรพิเศษหรอก...อย่าเชื่อข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตมากเลยครับ มันไม่จริงเสมอไปหรอก ขอตัวนะครับ”
ดอนยิ้มให้แล้วเดินเข้าตึกทำงานไป นาตาชาผิดหวังเล็กน้อยที่ดอนฉลาดพอที่จะรู้ทันเธอ แต่คนอย่างเธอไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
ดอนเดินเข้ามาในห้องประชุม ขณะที่ดร.อภิชัยกำลังเริ่มคุยงานพอดี
“พวกคุณรู้มั๊ย ว่าทำไม ดร.ฟอร์ด แม็คควีนถึงต้องเดินทางเข้ามาในเมืองไทย”
“เข้ามาเพื่อ...ทำการทดลองบางอย่างแบบลับๆ” ยอดบอก
“ดร.ฟอร์ด เชี่ยวชาญเรื่องระเบิดนิวเคลียร์ แสดงว่าการทดลองที่เขาต้องการทำก็ต้องเป็นเรื่องระเบิดนิวเคลียร์ซิคะ” บุษกรออกความเห็น
เทิดถอนใจ
“โชคดีนะครับที่เครื่องบินเขาเกิดอุบัติเหตุ ไม่งั้นป่านนี้ประเทศของเราจะเป็นยังไงก็ไม่รู้”
“การที่นาตาชา มาขอให้พวกคุณ ดูแลความปลอดภัยในงานแสดงอัญมณี ครั้งนี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องธรรมดา
แน่นอน” ดร.อภิชัยบอกอย่างเคลือบแคลงใจ
“เธอต้องการอะไรครับท่าน เพราะการเอาของมีค่าออกมาโชว์ให้คนเห็นแบบนี้มันเหมือนกับเป็นการล่อเป้าชัดๆ” กริ่งถามอย่างไม่เข้าใจ
ดอนคิดๆ
“หรือว่า...นาตาชา กำลังต้องการให้ คนที่ครอบครองทับทิมสยามอีก 2 ก้อนแสดงตัวออกมา”
ทุกคน หันมามองดอน รู้สึกเห็นด้วยกับเหตุผล
เจนนี่เห็นด้วย
“จริงซิ...ถ้ายอมเสี่ยงแบบนี้ แล้วได้ครอบครองทับทิมสยาม อีก 2 ก้อน ก็ถือว่าคุ้มมาก”
“แต่เธอจะต้องการทับทิมสีแดง กับสีม่วงไปทำไม ในเมื่อเธอก็มีสีชมพูอยู่แล้ว” กระแตถามอย่างสงสัย
ชลดาหันมาหากระแต
“คนบางคนก็ไม่รู้จักพอนะกระแต”
ยูกิครุ่นคิด
“มันน่าจะมีเหตุผลอื่นอีกนะคะ เพราะหากเธอต้องการซื้อทับทิมอีกสองก้อนที่เหลือ ก็ต้องใช้เงินอีกมหาศาล มันต้องมีเหตุผลอื่นอีกแน่ๆ ที่จะทำให้นาตาชายอมเสียเงินมากขนาดนั้น”
“แล้วถ้าเป็นเหตุผลเกี่ยวกับ การทดลองทางวิทยาศาสตร์ละคะ”บุษกรถาม
“หรือว่าทับทิมสยาม เกี่ยวพันกับการทดลองเรื่องนิวเคลียร์ของดร.ฟอร์ด” เดี่ยวโพล่งออกมา
ทุกคนชะงักหันมามองหน้าเดี่ยว ดร.อภิชัยยิ้ม

“เรื่องนี้พวกคุณต้องเป็นคนหาคำตอบมาให้ผม และหากมันเกี่ยวพันกันจริง ภาระกิจของพวกคุณก็คือ...ต้องยับยั้งอย่าให้พวกมันทำสำเร็จเป็นอันขาด และสำหรับนาตาชา เกมส์นี้เธอต้องการเป็นผู้กำหนด พวกคุณก็ต้องทำตัวเป็นหมากที่ดี ทำทุกอย่างที่เธอต้องการ ผมเชื่อว่าอีกไม่นาน ความจริงจะต้องเปิดเผยอย่างแน่นอน”

เสาร์ห้า พยักหน้ารับ อย่างมุ่งมั่นที่จะทำงานเพื่อชาติ

โปรดติดตามอ่านต่อวันพรุ่งนี้







กำลังโหลดความคิดเห็น