xs
xsm
sm
md
lg

เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 2

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 2

ค่ำคืนนั้นศรีไพรเดินนำหน้าแสนที่ถือตะเกียงขึ้นมาบนเรือน ทั้งสองมองไปยัง ศรีแพรซึ่งกำลังนั่งท้าวคางใจลอยอยู่ที่หน้าต่าง ศรีไพรหันไปสั่งแสน
“สุมไฟไล่ยุงให้แล้ว ไฉไลเฉิดมันคงนอนสบาย เอาตะเกียงไปเก็บแล้วนอนซะ พรุ่งนี้ตื่นก่อนตะวันขึ้นนะ เราต้องออกไปไถนาแต่เช้า สายนักไอ้ไฉไลเฉิดมันจะร้อน”
“จ้ะ พี่”
แสนถือตะเกียงแยกออกไป ศรีไพรเดินเข้ามาหาพี่สาว มองท่าทางที่เศร้าหมองด้วยความกังวล
“พี่ศรีแพร พี่คิดถึงพี่เมินใช่มั้ย ฉันรู้นะว่าไอ้แมวขโมยตัวที่พ่อไล่ยิงไปเมื่อวานนี้น่ะ ต้องเป็น...”
“พี่เมิน ที่พี่เมินต้องทำตัวเป็นแมวขโมย ก็เพราะพ่อพ่อไม่ยอมให้เราพบกัน พ่อจะให้พี่แต่งงานกับผู้ชายรวยๆ พ่อไม่เคยถามเลยว่าพี่รักเขามั้ย”
“ที่พ่อคิดแบบนั้นก็เพราะพ่อรักพี่ อยากให้พี่สุขสบาย ฉันก็ไม่ได้เห็นด้วยกับความคิดของพ่อหรอกนะ แต่เราต้องค่อยๆ เปลี่ยนความคิดของพ่อ”
ศรีแพรถอนใจ
“เมื่อไหร่ล่ะ...เมื่อไหร่พ่อจะเปลี่ยน”
“พี่รอเขามาได้ตั้งสิบปี พี่ไม่มีความหวังเลยด้วยซ้ำไปว่าเขาจะกลับมาบ้านนา ถ้าเขารักพี่จริงเขาต้องทำให้พ่อเปลี่ยนใจได้ ใครจะรักพี่แค่ไหนก็ไม่เท่าพี่รักตัวเองหรอกนะ พี่ศรีแพร”
“พี่เข้าใจว่าน้องกำลังจะพูดอะไร พี่สัญญาว่าพี่จะไม่ชิงสุกก่อนห่าม”
“ฉันรักพี่ ฉันจะปกป้องพี่ด้วยชีวิตของฉันเอง ฉันจะไม่ยอมให้มดไต่ไรกัดพี่เป็นอันขาด ฉันขอสาบาน...”
ศรีไพรเข้ามากอดเอวศรีแพรไว้ด้วยกิริยาอ่อนโยน แต่น้ำเสียงมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว

+ + + + + + + + + + + +

แสงสลัวของคืนเดือนมืด...
เสียงสุนัขหอนเยือกเย็นดังแว่วมา มหาเฉื่อยถือตะเกียงส่องทาง เข้ามายังป่าช้าที่สงัดวังเวง มหาเฉื่อยชะงัก มองไปรอบๆ ตัวอย่างหวั่นๆ
“เสียงอะไรวะ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมต้องมาส่งเสียงหอนเอาตอนมหาเฉื่อยเดินผ่านป่าช้า โธ่ๆๆๆ หลวงพ่อท่านก็ไม่รู้จะใช้มาดูพวกไอ้ทวนกับไอ้เมินทำไมดึกๆ ดื่นๆ เอาไว้พรุ่งนี้ก็ได้”
ทันใดนั้นมีเสียงนกแสกร้องดังขึ้น มหาเฉื่อยเริ่มหนาวสะท้าน
“เสียงนกแสก เขาว่านกแสกร้อง กับหมาหอนก็เพราะว่ามันเห็น...เห็น...เห็น...”
“เ ห็ น ผี”เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้น
“ก็ใช่น่ะซีวะ ไม่เห็นผีแล้วมันจะหอนทำไม” มหาเฉื่อย นึกได้ “เฮ้ย...ว๊าก เมื่อกี้นี้เสียงใครวะ”
“เ สี ย ง ข อ ง ข้ า เ อ ง พ่ อ ม ห า เ ฉื่ อ ย” เสียงผีดังขึ้นอย่างเยือกเย็น
มหาเฉื่อยมองรอบๆอย่างหวาดหวั่น
“ข้าน่ะใคร กลางค่ำกลางคืนยังงี้ ใครเข้ามาทำอะไรในป่าช้า มีแต่...แต่...”
“ผี...”
“ใช่ ผี โว้ย...ช่วยด้วย ผะ...ผะผี ผีหลอกโว้ย”
มหาเฉื่อยวิ่งหนีผีออกไปจากป่าช้า เสียงผีหัวเราะเยือกเย็นค่อยๆ เลือนหาย

+ + + + + + + + + + + +

ทวนกับเมินกางมุ้งนอนอยู่ในเพิง ทอกและหมอกนอนขดตัวหลับอยู่ข้างกองไฟ มหาเฉื่อยวิ่งหนีผีในป่าช้า กระโดดข้ามทอกและหมอก มุดเข้าไปในมุ้งของทวน ทุกคนสดุ้งตื่น เมินรีบโผล่ออกมาจากมุ้งข้างๆ
“ช่วยด้วย ผี...ผีหลอกโว้ย ไอ้ทวน ไอ้เมิน ช่วยท่านมัคทายกด้วย มัคทายกโดนผีหลอก”
“ลุงมหา” ทวนอุทาน
“ลุง เป็นอะไรน่ะ มาดีๆ ก็ได้ ไม่ต้องพรวดพราดเข้ามายังงี้หรอก”
มหาเฉื่อยสั่นไปทั้งตัว เมินมองอย่างแปลกใจ
“ลุงมหาเฉื่อย ทำไมถึงได้ตัวสั่น หลับตาปี๋ยังงี้ล่ะ”
“ลุงมหาเฉื่อยเป็นอะไร” ทอกเข้าไปถาม
“จับตัวลุงมหาเขย่าซีวะ” หมอกสั่ง
ทุกคนจับตัวมหาเฉื่อยเขย่าจนหัวสั่นหัวคลอน ทวนพยามเรียกสติให้มหาเฉื่อย
“ลุง เป็นยังไงมั่งครับ ตั้งสติไว้แล้วท่อง...นะโม...นะโม ปีศาจสัมปันโน ฯลฯ”
มหาเฉื่อยหันมาค้อน
“เอ็งไม่ต้องมาสอนท่านมัคทายก เพราะพวกเอ็งน่ะซีข้าถึงได้โดนผีในป่าช้าหลอก โธ่ๆๆๆ เป็นไวยาวัจกรมาตั้งนานเพิ่งจะโดนดีคืนนี้แหละ”
เมินตกใจ
“ผี...ผีหรือ”
“ผีหลอกลุงมหาเฉื่อย” ทวนอุทาน
ทอกกับหมอก รีบกระโดดเข้ามากอดมหาเฉื่อยเพราะความกลัวผี
“ว๊ากกกกก” ทอกร้องลั่น
หมอกหวาดกลัวสุดๆ
“ผีหลอก”
“เฮ้ย...ผีเผอที่ไหนกันวะออกมาหลอกคน เป็นผีก็ต้องอยู่ในหลุมน่ะซี” ทวนโวยขึ้น
“แต่หลุมมันอยู่ในป่าช้านะ” เมินแย้งกลัวๆ
“แล้วที่ที่พวกเอ็งมาปลูกเพิงอยู่นี่ ก็อยู่ในป่าช้า” มหาเฉื่อยนึกได้ก็ร้องลั่น “ว๊ากกก ผีหลอกโว้ย”
“รู้ว่าผีอยู่ในป่าช้า แล้วลุงมหามาเดินเพ่นพ่านทำไมแถวนี้ล่ะ” ทวนถามอย่างสงสัย“หลวงพ่อท่านใช้ข้ามาดูพวกเอ็งว่าอยู่กินกันยังไง ถึงเอ็งจะโตแล้วท่านก็ยังห่วงเหมือนตอนที่เอ็งยังเป็นเด็กกำพร้า ไอ้ทวน ไอ้เมิน ที่หลวงพ่อท่านไม่อยากรู้ไม่อยากเห็นว่าเอ็งหายไปไหนมาน่ะ เพราะท่านวางแล้ว เพราะฉะนั้น...”
มหาเฉื่อยยังพูดไม่จบ เมินขัดขึ้น
“จ้ะ ลุงมหาเฉื่อย...สาธุ”
มหาเฉื่อยส่ายหน้า
“เดี๋ยว ข้ายังไม่ได้สอน เพราะฉะนั้นเอ็งจะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเอ็งไม่ได้เป็นภัยสังคม เอ็งจะต้องช่วยบ้านนาเราให้หลุดพ้นจากอิทธิพลของผู้ยิ่งใหญ่ให้ได้”
เมินกับทวนหันมาสบสายตากันและกัน ต่างก็ไม่พูด แต่ในใจนั้นคิดอยู่แล้ว...

+ + + + + + + + + + +

เช้าวันต่อมา...
ศรีไพรเตรียมตัวออกไปไถนา แสนเตรียมปิ่นโตข้าวออกไปนาด้วย ศรีไพรเดินไปออดอ้อนกับควายด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน รักใคร่
“ไฉไลเฉิดลูกรัก แม่จะพาเอ็งออกไปปฏิบัติภารกิจสำคัญ เราต้องไถนาให้ได้สิบไร่ เพื่อพิสูจน์ว่าคนกับควาย รวมพลังกันแล้วดีกว่าเครื่องจักร ต้องทำให้ชาวบ้านเห็นว่า...”
ศรีไพรยังพูดไม่จบ แสนรีบเสริม
“เกิดเป็นควายดีกว่า”
ศรีไพรมองหน้าแสนอย่างไม่ชอบใจนัก
“นี่ ไอ้แสน เวลาพี่เปิดคอร์สอบรมไฉไลเฉิด ห้ามขัดคอเด็ดขาดเพราะมันเป็นหลักสูตรเฉพาะกิจ เดี๋ยวอารมณ์มันไม่ต่อเนื่อง เอ็งอยากเห็นพวกไอ้ชิงชัยมันดูถูกว่าไฉไลเฉิดโง่หรือยังไง”
“มอๆๆๆ” ควายร้องฟึดฟัดไม่พอใจ
ศรีไพรหันไปยิ้มให้ควาย
“จ้ะๆๆ ไม่โง่จ้ะ แม่รู้ว่าลูกของแม่ฉลาด เข้าใจคำสั่งของแม่ ออกมาจากคอกได้แล้วละลูกรัก”
ขณะเดียวกันนั้น พรกับสด หิ้วสัมภาระ เตรียมตัวออกไปทำนา ทั้งคู่ยืนฟังศรีไพรพูดกับควายแล้วพากันส่ายหัว
ศรีไพรจูงควายแล้วหันไปบอกแสน
“ไป...ไปไถนากัน ควายต้องทำหน้าที่ของควาย คน...ก็ต้องทำหน้าที่ของคนให้ดีที่สุด เข้าใจมั้ย...ไม่ยังงั้นเอ็งจะอาย...ควาย”
แสนจ๋อยๆ
“เข้าใจจ้ะ พี่ศรีไพร”
“ไป”
แสนและศรีไพร ขึ้นหลังควายออกไปท้องนา พรและสดต่างส่ายหน้า พรมองลูกสาวอย่างเหนื่อยใจ
“ฮึ...เดี๋ยวนี้มันนับญาติกับควายแล้ว นี่ไอ้ศรีไพรมันไปเป็นแม่เป็นลูกกับไอ้ไฉไลเฉิดตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”
สดจ้องหน้าผัวแล้วตาโต
“หรือว่า...แก...แก...”
พรสะดุ้ง
“เฮ้ย...แกจะบ้าหรือ ไอ้ไฉไลเฉิดน่ะมันควายตัวผู้นะโว้ย เออ...ถ้าเป็นตัวเมียก็ไปอย่าง เอ๊ย...ไม่ใช่ ไป...ไปนาเถอะ เดี๋ยวจะสายตายชัก โอย...กูปวดหัวแต่เช้าเลย”
พรเดินนำหน้าสดออกไปยังท้องนา

+ + + + + + + + + + +

สไบเดินนวยนาดเชิดหยิ่งเข้ามาในตลาดบ้านนา โดยแหว่งสาวใช้คนสนิท ถือตะกร้าตามหลัง สไบวางตัวเป็นเมียของเศรษฐีบุญช่วย หลิมและเลิศตามหลังสไบ คอยชำเลืองมองสะโพกยักย้ายส่ายแกว่งอย่างมีจริตของสไบ
แหว่งหันไปเห็นก็ตวาด
“เป็นอะไร...ไอ้หลิม ไอ้เลิศ”
“เป็น...เป็นโรคน้ำลายหกตามไรฟัน เพราะขาดวิตามินซี...เซ็กส์” หลิมพูดอย่างหื่นๆ
สไบถลึงตาใส่อย่างไม่พอใจ
“ทะลึ่ง ทำเป็นสะเออะอยากจะเห่าเครื่องบิน จะฟ้องท่านเศรษฐี”
ขณะเดียวกันนั้น ศรีแพรกำลังเลือกผักอยู่ สไบเห็นศรีแพรก็ ตวัดสายตามองค้อนแล้วแทรกตัวเข้ามาแย่งผักในมือของศรีแพร สไบนั้นริษยาที่ศรีแพรมีตำแหน่งเป็นนางงามท้องถิ่น จึงคอยหาเรื่องอยู่เรื่อยๆ
“ทั้งหมดนี่...เท่าไหร่ จะซื้อไปให้หมูหมากาไก่ที่บ้านกิน เอาไอ้นี่ ไอ้นี่ แล้วก็...ไอ้โน่นด้วย มีเงินซะอย่างซื้อซะคนเดียวทั้งตลาดยังได้เลย”
“ทั้งตลาดนี่ราคาเท่าไหร่” แหว่งลอยหน้าลอยตาถามเอาใจนายหญิง
ศรีแพรขยับก้าวจะหันหลังกลับ แต่สไบก้าวออกมาขวางไว้
“เดี๋ยวก่อน ฉันมีเรื่องจะพูดด้วย”
ศรีแพรจ้องหน้าไม่พอใจ
“แต่ฉันไม่มีเวลาฟัง ถอยไป...”
“ไม่ถอย ที่ในตลาดนี่ติดจำนองท่านเศรษฐี ทำไมบริวารของท่านเศรษฐีต้องถอยก้าวให้คนอื่น อย่าถือว่าเป็นนางงามแล้วเดินไม่ติดดินนะ มันก็แค่นางงามบ้านนอก”
“จะถอยหรือไม่ถอย” ศรีแพรถามเสียงเข้ม
“แล้วเรื่องที่ชอบทำตัวสูงส่ง หวังจะแต่งงานกับคุณชิงชัยน่ะ เลิกคิดซะ เพราะคุณชิงชัยเขาคงไม่ลดตัวลงไปแต่งงานกับลูกสาวตาพร ยายสดชาวนาหรอก เขามีเงินเป็นล้านเป็นชั่ง ใครจะโง่เอาผู้หญิงชาวนามาเป็นลูกเป็นเมีย”
ศรีแพรมองหน้า
“ไม่ถอยแน่นะ”
“ไม่...”
สไบมองมองอย่างท้าทาย ทันใดนั้นศรีแพรเหยียบลงไปบนหลังเท้าของสไบก่อนเดินออกไป สไบส่งเสียงร้องกรีดด้วยความเจ็บและโกรธ
“ว้าย นัง...นังศรีแพร”
แหว่งตกใจ
“ว๊าย...คุณสไบของบ่าวขา...”
สไบหันไปตวาด หลิมกับเลิศ
“มัวยืนเซ่ออะไรอยู่ล่ะไอ้โง่ ไป...ตามไปตบมัน”
หลิมกับเลิศหันมามองสบสายตากันอย่างแหยๆ ไม่กล้าตามไปตบศรีแพร เพราะกลัวฤทธิ์เดชของศรีไพร และควาย
แหว่งมองหลิมกับเลิศไม่พอใจ
“คุณสไบของบ่าวขาสั่ง ทำไมแกไม่ไปตบมัน”
หลิมอึกอัก
“ฉัน...ฉันไม่ทำร้ายผู้หญิงยกเว้นฉุด เจ๊อยากจะตบแม่ศรีแพรก็เชิญเจ๊ตบเองเถอะจ้ะ”
สไบโมโหมาก
“แกกลัวอะไร”
เลิศยิ้มแหยๆ
“กลัวไอ้ศรีไพร กับควายของมันจ้ะ แฮ่ะๆๆ”

+ + + + + + + + + + + +

ศรีแพรขี่จักรยานกลับจากตลาด สวนทางกับชิงชัยที่ขับรถจิ๊ปมา ชิงชัยเบรคเอี๊ยดแล้วรีบถอยมาตัดหน้า ศรีแพรรีบลงจากจักรยาน
“นี่มันอะไรกันนี่นายชิงชัย ทำไมต้องขับรถตัดหน้าฉัน”
“วันนี้มีลาภอันประเสริฐแต่เช้า มิน่าล่ะเมื่อคืนนี้พี่ถึงได้ฝันว่ามีอ้อยเข้าปากช้าง รู้นะ...ว่าตาพรกับยายสดกำลังหาลูกเขยรวยๆ เอาไว้ประดับเกียรติชาวนา มา...จะช่วยสงเคราะห์ให้”
ชิงชัยเข้ามาฉุดแขน ศรีแพรสะบัด
“ปล่อยฉันนะ...ไอ้ลูกหมา”
ชิงชัยจับไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
“ปากดีเหมือนไอ้ทะโมนไพรน้องสาวไม่มีผิด ไอ้นั่นน่ะปากมันยังกับกรรไกรผ่าตัด มา...เป็นเมียพี่แล้ว พี่จะช่วยผ่าปากเอาสุนัขออกให้”
ชิงชัยล็อกตัวไว้แน่น ศรีแพรดิ้นรน
“ปล่อย...”
“เรื่องอะไรจะปล่อย โอกาสเป็นใจ ไหนจะที่เปลี่ยวอีกล่ะ จะบอกอะไรให้นะ คนอย่างคุณชิงชัยลูกชายเศรษฐีบุญช่วยน่ะ อยากได้ผู้หญิงคนไหนในบ้านนา...ต้องได้”
“ช่วยด้วย...” ศรีแพรตะโกนลั่น
ชิงชังหัวเราะเยาะ
“อย่าร้องซะให้ยากเลย ป่านนี้ตาพรกับยายสดคงอยู่กลางนา ส่วนไอ้ศรีไพรกับไอ้แสน ก็คงจะอยู่บนหลังควาย มาเป็นเมียพี่ซะดีๆ ถ้าพี่ติดใจจะให้พ่อไปขอ”
ศรีแพรสะบัดอย่างแรงแล้วตบหน้าชิงชัย
“ไอ้คนสารเลว เสียแรงพ่อแม่ทำให้เกิด แต่เลวเสียยิ่งกว่าชิงหมาเกิดอีก”
ชิงชังโมโห
“ปากนะ ปากไวพอๆ กับมือเลยนังนี่ อยากเจ็บตัวหรือยังไง ไม่ต้องร้อง...ร้องไปก็ไม่มีใครได้ยินหรอก”
ทันใดนั้นเสียงทวนก็ดังขึ้น
“แต่ข้าได้ยินว่ะ...”
ทวนนั่งอยู่บนต้นไม้ ท่าทีสบายอารมณ์ น้ำเสียงของเขากวนๆ โทสะ
“ไอ้ทวน...”
ศรีแพรหันไปเห็นทวนก็ตะโกนเรียก
“พี่ทวน ช่วยด้วย...”
ทวนกระโดดลงมาจากต้นไม้ ใช้ศอกสับใส่ใบหน้าของชิงชัยที่แสกหน้า แล้วต่อยตามจนชิงชังสลบคารถจี๊ป
อ่านต่อหน้า 2





เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 2 (ต่อ)

บุญช่วยเดินนำหน้าสไบ หลิมและเลิศลงมาจากบ้านด้วยท่าทีโกรธจัด คนอื่นๆ ต่างตื่นตระหนก สไบรีบวิ่งลงมาจากบันได โดยมีแหว่งตามมาติดๆ สไบเข้าประคองร่างของชิงชัยซึ่งนอนหมดสติอยู่บนรถจี๊ป ขณะที่ทวนนั่งเอกเขนกอยู่ที่ฝากระโปรง
“คุณชิงชัยค่ะ คุณสไบของบ่าวขา...” แหว่งโวยวาย
สไบตกใจเมื่อเห็นสภาพของชิงชัย
“ว้าย คุณชิงชัย...คุณชิงชัยไปทำอะไรมานี่ หน้าตาถึงได้แตกยับเยินยังงี้”
แหว่งหน้าตื่น
“แตกยับไม่มีชิ้นดีเลยค่ะ คุณสไบของบ่าวขา...”
บุญช่วยมองทวนอย่างไม่พอใจ
“ไอ้ทวน เอ็งทำอะไรลูกข้า”
ทวนยิ้มกวนๆ
“สั่งสอนด้วยกำลังนิดหน่อยน่ะท่านเศรษฐี ไม่ได้สั่งสอนมันด้วยวาจา เพราะนั่นเป็นหน้าที่สายตรงของคุณพ่อ มีลูกน่ะ...อย่าสักแต่ใช้เงินเลี้ยง ใช้คุณธรรมเลี้ยงมันหน่อย มันจะได้ไม่ออกไปก่อความเดือดร้อนให้คนอื่น”
“คุณชิงชัยไปทำอะไรให้ใคร” สไบตวาดถามอย่างไม่พอใจ
แหว่งรีบเสริมนายสาว
“ฮึ ให้ใคร๊”
“มันไปดักปล้ำศรีแพรที่ทางเปลี่ยว”ทวนบอกทันที
สไบร้องลั่น
“ไม่...ไม่จริง...”
แหว่งหน้าตื่น
“โอ...ไม่อยากเชื่อ...”
ทวนยิ้มกวนๆ
“เจ๊ ไหนๆ ก็ได้ชื่อว่าเป็นแม่เลี้ยงไอ้ชิงชัยแล้ว เลี้ยงมันให้อิ่มหนำสำราญหน่อยเด๊ ลูกเลี้ยงของเจ๊จะได้ไม่ออกไปขอส่วนบุญใคร”
บุญช่วยโกรธลมออกหู
“ไอ้...”
ทวนมองหยัน
“จะไม่ขอบใจผมสักคำหรือครับท่านเศรษฐี ผมอุตส่าห์ใช้กำลังสั่งสอนลูกชายของท่านเศรษฐีให้ แล้ว ไหนจะเก็บซากมาส่งถึงที่ด้วย”
บุญช่วยโกรธมากหันไปสั่งหลิมกับเลิศ
“เอ็งเฉยอยู่ทำไมวะ จัดการมันเลย...”
ทวนชักปืนออกมาควงเล่น
“อ๊ะๆๆๆ อย่านะ ปืนกระบอกนี้มันเข้าคนออกคนดีนัก ระยะเผาขนยังงี้เปรี๊ยงเดียว...หาทางไปนรกแทบไม่ทัน”
หลิมกับเลิศชะงัก ไม่กล้า ทวนก้าวลงจากรถ แล้วเดินออกไปด้วยท่าทียียวน

+ + + + + + + + + + + +

ศรีแพรร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของสด ขณะที่ศรีไพรเกรี้ยวกราดใส่หน้าพร ด้วยน้ำตาที่คลอดวงตา
“เห็นมั้ยพ่อ ไง ไอ้คนที่พ่อหวังจะได้เป็นลูกเขยน่ะมันทำระยำกับพี่ศรีแพรยังไง นี่ถ้าไม่มีคนไปช่วยไว้ทันการละก็ ป่านนี้พี่สาวของฉันก็คงจะเยินยับ เหมือนผู้หญิงบ้านนา ที่ตกเป็นเหยื่อไอ้พวกนี้ ไง...ยังจะเทิดทูนเงินของมันอีกมั้ย”
สดจ้องหน้าพร
“แกเลิกคิดเลยนะ เรื่องจะให้ลูกไปเกี่ยวดองกับเศรษฐีบุญช่วยน่ะ ดูมันทำกับลูกของแกซี เหมือนมันทำกับคนมั้ย”
ศรีไพรแค้นใจมาก
“มันถือว่ามันมีเงิน มีอิทธิพลเหนือชาวบ้าน มันอยากจะฉุดคร่าใคร ไปต้มยำทำแกง มันก็ทำได้ อีกหน่อย...พอมันผลาญพร่าพี่ศรีแพรแล้ว มันก็คงจะฉุดฉันไปทำอะไรรู้มั้ย...ข่มขืน...ฆ่า”
พรแผดเสียงดังลั่น ร้องไห้ด้วยความแค้นใจ
“หยุด...หยุดด่าข้าเสียทีเถอะ ไปเอาปืนมา...”
ศรีแพรชะงัก
“พ่อ...พ่อจะเอาปืนไปทำไม”
พรหันไปสั่งแสน
“ไปเอาปืนมาให้ข้า”
แสนวิ่งเข้าเรือนไปเอาปืนยาวมาส่งให้
“ไปพ่อ ไปฆ่ามันเลย ฉันไปด้วย” แสนบอกอย่างแค้นใจ
ศรีแพรรีบห้าม
“อย่านะพ่อ ขืนพ่อเข้าไปในบ้านมัน มันต้องฆ่าพ่อแล้วยัดข้อหาบุกรุก ฉันไม่เป็นไร พี่ทวนเขาช่วยไว้”
ศรีไพรอึ้งไป
“ใครนะ”
“พี่ทวน พ่อ...แค่พ่อเปลี่ยนใจ เลิกคิดเรื่องที่จะให้ฉันแต่งงาน กับไอ้ชิงชัยฉันก็พอใจแล้ว”
สดมองลูกสาวอย่างสงสาร
“ศรีแพร แม่ขอโทษ แม่เกือบจะผลักเอ็งลงนรก”
“พ่อ ต่อไปนี้ฉันจะตั้งตัวเป็นผู้นำชาวบ้าน ต่อต้านพวกเศรษฐีบุญช่วย ถึงมันจะมีจ่าสินเป็นช้างเท้าหลัง แต่ฉันมีวิธีจะเอาคนชั่วออกจากราชการให้ได้” ศรีไพรบอกอย่างมุ่งมั่น
พรมีท่าทีเซื่องซึม ศรีไพรมองพ่ออย่างขอร้อง
“ฉันคนเดียวทำไม่ได้หรอก พ่อต้องปลุกระดมชาวบ้านขึ้นมาช่วยฉัน บอกฉันซีพ่อ ว่าตอนนี้พ่อเปลี่ยนความคิดแล้ว เราจะสู้ด้วยกัน”
พรพยักหน้ารับ
“เออ ข้าจะสู้ ข้าจะทำให้ชาวบ้านหันมาทำนาด้วยวิธีดั้งเดิมเหมือนตอนที่ปูย่าตายายเราอยู่กันมา” แววตาของพรมุ่งมั่น คั่งแค้น “แต่เราต้องหาแนวร่วม”

+ + + + + + + + + + + +

วันต่อมา...ชาวบ้านเดินเข้ามา วางมือลงบนหลังมือของศรีไพร
“ข้า...เอาด้วย”
กล่ำเดินต่อจากคนอื่นเข้ามา
“ข้าด้วย...”
ช้อยเข้ามาอีกคน
“ข้า อีกคน”
ชาวบ้านต่างเข้ามาเป็นแนวร่วมกับศรีไพรและพร ขณะเดียวกัน เมิน ทวน ทอกและหมอกมองอยู่ไกลๆ ด้วยแววตาเคร่งเครียดก่อนที่จะหันมาสบสายตากัน
“แก เอาไง” ทวนถาม
เมินตัดสินใจ
“เอาด้วย...”
หมอกกับทอกก็เข้าร่วมด้วย
“ฉันก็เอาด้วย...”
“ฉันด้วย...”
ทวนกับเมิน เดินนำหน้าทอกกับหมอกเข้ามา พรรีบเข้ากันศรีแพรไว้เมื่อเห็นศรีแพรส่งเสียงอุทานด้วยความดีใจที่ได้พบเมิน
“พี่เมิน...”
พรเลงปืนใส่
“หยุด...หยุดอยู่แค่นั้น อย่าเข้ามาในที่นาของข้าแม้แต่ก้าวเดียว ไม่ยังงั้นข้าจะยิงเอ็งทิ้งแล้วแจ้งตำรวจว่า จำเป็นต้องทำวิสามัญฆาตกรรมเอ็งทั้งฝูง เพื่อปกป้องตัวเอง...ลูกเมียและทรัพย์สินโว้ย”
ศรีแพรตกใจหันไปแย้ง
“พ่อ...พี่เมินกับพี่ทวนเขามาดีนะ”
พรไม่ฟัง
“ดีไม่ดีไม่ไว้ใจโว้ย ข้าเป็นผู้ชายข้ารู้ว่ามันคิดยังไง ไอ้เรื่องที่ไอ้ทวนช่วยลูกข้าไว้ ข้าจะขอบใจมันเมื่อข้าพอใจ”
“พ่อครับ...” เมินพูดขึ้น
“อย่ามาเรียกข้าว่าพ่อ ถอยออกไปไม่ยังงั้นยิงเละ”
ศรีไพรเข้าห้าม
“พ่อ ใจเย็นๆ ฉันกับไฉไลเฉิดจัดการพวกนี้ได้” ศรีไพรหันไปสั่งแสน “ไอ้แสน...เอ็งไปเอาไอ้ไฉไลเฉิดมาประจำการ”
หมอก ทอก เมิน ทวน ต่างหน้าเสียเพราะกลัวควายขวิด รีบขยับตัวเข้ามาชิดกันแน่น ศรีไพร กวาดสายตามองสี่หนุ่ม
“ส่วนสี่คนนี่ตอบคำถามมา...”
ทวนยิ้มแหยๆ
“จะถามอะไรครับมู่ทู่”
“ลูกผู้ชาย อะไรที่ต้องเทิดทูนเหนือชีวิต”
“ชาติ...ศาสตร์...กษัตริย์...ครับ...ผ๊ม” ทวนตอบอย่างขึงขัง
ศรีไพรหันไปหาเมิน
“ลูกผู้ชายตัวจริง อะไรที่สำคัญที่สุด”
“เมีย...และ...แม่...ครับผม” เมินตอบอย่างจริงจัง
ศรีไพรพยักหน้า
“ผ่าน รับไอ้สองตัวนี่เข้าคอกได้”
พรหน้าเหวอ
“อ้าว...เฮ้ย ไอ้ศรีไพร ทำไมมันผ่านการทดสอบง่ายดายยังงี้วะ คนจะเป็นชาวนาต้องรู้วิธีการทำนา ต้องมีน้ำอดน้ำทนถึงจะเป็นตัวอย่างที่ดีได้ เพราะฉะนั้น...” พรแววตาเจ้าเล่ห์ “ให้มันไปไถนากับควาย...”

+ + + + + + + + + + + +

เมิน ทวน ทอก และหมอก ถูกศรีไพรแกล้งให้ไถนาด้วยควาย ต่างเหน็ดเหนื่อย ส่งเสียงตะโกนกล่าวโทษกันไปมา
“เพราะแกเชียวไอ้เมิน เพราะแก...ฉันถึงต้องมาไถนากับควายยังงี้” ทวนบ่นอย่างหงุดหงิด
ควายไม่พอใจร้องขึ้น
“มอๆๆ”
ทวนตกใจหน้าตื่น
“เปล่า ไม่ได้ว่าอะไรพี่ครับ ว่าไอ้เมิน เจ้าความคิดดีนัก อยากจะร่วมต่อต้านอิทธิพลของผู้ยิ่งใหญ่กับชาวบ้าน”
เมินปาดเหงื่อออกจากหน้า
“ความคิดฉันคนเดียวที่ไหนล่ะ ความคิดแกด้วย ฉันรู้นะว่าแกกำลังทำคะแนนกับศรีแพรของฉัน”
ทวนจ้องหน้าเมิน
“ยังไงฉันก็ต้องชนะใจศรีแพร”
“แต่ฉันรักศรีแพรนะโว้ย”
“ฉันก็รักศรีแพร”
ควายไม่พอใจมากขึ้นร้องขู่ลั่น
“มอๆๆๆ”
ทวนยิ้มแหยๆให้ควาย
“ครับ พี่...ไถนาครับ” ทวนลดเสียงลง “ค้าแรงงานเกินควรเหมือนเจ้าของไม่มีผิด”
ขณะเดียวกัน เนี้ยวถือปิ่นโตเดินมาตามคันนา ส่งเสียงมาแต่ไกล เจ๊กตงตามมาติดๆ เพราะหวงลูกสาว
“พี่ทวน...พี่ทวนจ๋า เนี้ยวรู้ว่าพี่ทวนมาไถนากับควาย เลยเอาปิ่นโตมาส่งพี่ทวนจ้ะ”
ทอก หันไปยิ้มหวานให้เนี้ยว
“แล้วพี่ทอกกับพี่หมอกล่ะจ๊ะ กิมเนี้ยว ทำปิ่นโตมาเผื่อควาย...เอ๊ย...พี่สองตัวหรือเปล่าจ๊ะ”
เจ๊กตงเข้ามาถลึงตาใส่
“อั๊วเอาหญ้ามาฝากลื้อสองตัว” เจ๊กตงค้อนทอกแล้วหันไปสั่งลูกสาว “นี่...อาเนี้ยว กลับไปขึ้นเล่าเต๊งเดี๋ยวนี้ เราเป็นคนค้าขาย เข้ากับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ได้ เราต้องทำธุรกิจกับทั้งสองฝ่าย”
เนี้ยวหน้าสลดลง
“เตี่ย ก็ชาวนาโดนรังแก พวกเศรษฐีบุญช่วยทำตัวใหญ่คับฟ้าขึ้นทุกวัน เตี่ยจะมาเหยียบเรือสองแคม ไม่เลือกฝ่ายไม่ได้นะ”
“ทำไมจะม่ายล่าย เราก็ขายๆๆๆ ขายกาแฟขายของชำขายน้ำมันให้ทั้งสองฝ่าย เราก็รวยๆๆๆ รวยแล้วผิดตรงไหน”
ศรีไพรมองเจ๊กตงอย่างไม่ชอบใจนัก
“มันก็ไม่ผิด แต่มันไม่เข้าท่า ยังงี้เจ๊กตงเห็นแก่ได้นี่ เงินที่ชาวนาเอาไปจับจ่ายที่ร้านเจ๊กตง ก็มาจากการปลูกข้าว ไม่ช่วยชาวนา เจ๊กตงจะช่วยใคร”
เจ๊กตงไม่อยากเถียงกับศรีไพร หันไปไล่ลูกสาว
“กลับ...กลับๆๆๆ อาเนี้ยว ปิ่นโตนี่ก็เอากลับ”
เนี้ยวหน้าเสีย
“โธ่...เตี่ย”
“กลับก็ได้ แต่ปิ่นโตนี่ไหนๆ ก็เอามาแล้ว อย่าให้เสียเที่ยว” ศรีไพรหันไปสั่งแสน “ไอ้แสน เอาปิ่นโตไปเก็บ กินเสร็จแล้วค่อยล้าง แล้วเอาไปส่งกิมเนี้ยวที่ร้านเจ๊กตง”
“จ้ะ พี่ศรีไพร”
แสนดึงปิ่นโตจากมือเนี้ยว เจ๊กตงคว้าแขนของเนี้ยวดึงกลับ
“ไป...กลับไปขึ้นเล่าเต๊ง อั๊วไม่ไว้ใจอาทวนกับอาเมิน ไป...”
เจ๊กตงลากตัวเนี้ยวกลับออกไป ศรีไพรหันมาส่งเสียงเร่งพวกหนุ่มๆ
“เอ้า...มัวทำอะไรอยู่ ไถนาต่อ จะได้รู้คุณข้าว ว่าก่อนที่ข้าวท่านจะงอกออกมาเป็นเมล็ดน่ะ ยากแค้นแสนลำบากแค่ไหน เร็วๆ เข้า ไม่ยังงั้น...”
ทวนเซ็งๆ
“ฮึ ไถนาต่อก็ได้วะ นี่ถ้าไม่คิดว่า...”
ทวนพูดได้แค่นั้น เมินพูดต่อทันที
“มีพี่สาวสวยละก็ จ้างให้ก็ไม่...”
ควายไม่พอใจร้องขู่ขึ้นมาอีก
“มอๆๆ”
เมินยิ้มแหยๆให้ควาย
“ครับ พี่ ไถเดี๋ยวนี้ละครับ โธ่ๆๆๆ หมดไม่เหลือเลย ความเท่ห์ที่ฝากบัญชีออมหล่อไว้ โธ่โว้ย...”
สองหนุ่มต่างไถนากันต่อด้วยความยากลำบาก ศรีไพรยืนกอดอก มองไปยังทวนและเมิน แล้วยิ้มเยาะ

อ่านต่อหน้า 3





เพลงรักบ้านนา ตอนที่2 (ต่อ)

ทวน เมิน ทอก และหมอก กลับมาจากไถนามาถึงเพิงพักก็มืดค่ำแล้ว ทั้งหมดเนื้อตัวหน้าตาเปื้อนเปรอะไปด้วยโคลน เหน็ดเหนื่อยกันมาก ต่างล้มตัวลงนอนก่ายกัน หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย มหาเฉื่อยหิ้วปิ่นโต เดินเข้ามา
“ข้าก็ว่าจะไม่ผ่านป่าช้าแล้วเชียวแต่มันไม่มีทางเลือก ไอ้จะไม่มาก็กลัวจะบาป เพราะหลวงพ่อท่านสั่งให้เอาข้าวเหลือบาตรพระมาให้ไอ้พวกนี้”
มหาเฉื่อยบ่นๆ ก่อนมองเห็นสี่หนุ่ม นอนก่ายกันอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง
“ไอ้ทวน ไอ้เมิน ไอ้ทอก ไอ้หมอกโว้ย นี่มันไปทำอะไรมา เนื้อตัวถึงได้เลอะเทอะเปรอะโคลนยังงี้ หรือว่า...มันไปไถนากับควาย”
ทวน เมิน ทอกและหมอกนอนหลับสนิทด้วยความเหน็ดเหนื่อย

+ + + + + + + + + + + +

เช้าวันใหม่...
จ่าสินนั่งมองสไบทำแผลให้ชิงชัยที่โดนทวนอัดมา แหว่งคอยส่งยาให้สไบ มองค้อนชิงชัย หึงแทนสไบ
“เฮ้ย...เบามือหน่อยซีวะ นี่คนนะไม่ใช่ควาย” ชิงชัยโวยวาย
สไบมองขิงชัยอย่างหึงหวง
“ทียังงี้ละร้องว่าเจ็บ ถ้ารู้ตัวว่าเป็นคน ก็ไม่น่าไปดักปล้ำนังศรีแพรมันเลย ยังกับนังนั่นมันสวยนักหนา กะอีแค่...”
ชิงชัยหันขวับมาจ้องหน้าสไบอย่างไม่พอใจ
“อย่ายุ่งได้มั้ย ฉันจะไปปลุกปล้ำข่มขืนใคร ไม่ใช่กงการอะไรของเธอ”
“คนเขาหวังดีไม่รู้หรือ พูดไม่ฟังก็ตามใจ สมน้ำหน้า ทีหลังไม่ต้องมา...ฮึ หมั่นไส้”
สไบมองหน้าจ่าสิน แล้วสะบัดหน้าเดินเข้าบ้านไป จ่าสินมองตามยิ้มๆแหว่งรีบตามสไบไป หันมาค้อน
“หมั่นไส้ๆๆๆ นัก”
“ท่านเศรษฐีรู้มั้ยนี่ ว่าถูกลูกชายตีท้ายครัว”
จ่าสินพูดแหย่อย่างดูออก ชิงชัยรีบตัดบท
“เฮ่ย ช่างเถอะ มาพูดเรื่องของเราดีกว่า...จ่าต้องจัดการไปสืบมาว่าไอ้ทวนกับไอ้เมิน มันไปติดคุกคดีอะไรมา”
“อยากรู้ไปทำไม”
“ตอนนี้มันไปเข้าพวกกับไอ้ศรีไพร นำชาวนาต่อต้านพ่อเศรษฐี ถ้าไอ้ศรีไพรได้ไอ้ทวนกับไอ้เมินไปเป็นพวก ก็ได้ไอ้ทอก ไอ้หมอก แล้วก็อาเนี้ยว อีกหน่อยเจ๊กตงก็คงจะแปรพักตร์ไปอีกคน เราต้องตัดไฟแต่ต้นลม”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ผมมีเส้นสายอยู่เยอะ จะให้เขาสืบให้ว่าไอ้ทวนกับไอ้เมินติดคุกคดีอะไร ส่วนเรื่องชาวนาหัวแข็ง เป็นเรื่องของท่านเศรษฐี เอาไว้รับมือไม่อยู่ค่อยถึงมือสังหารอย่างผม”
ชิงชัยหันไปตะโกน
“ไอ้หลิม ไอ้เลิศ...”
“จ๋า ลูกพี่” เสียงหลิมดังมา
ชิงชัย มองหลิมกับเลิศที่เข้ามาหา แล้วออกคำสั่งอย่างคั่งแค้น
“คืนนี้ เอ็งไปเผาบ้านไอ้ทวน...กับไอ้เมิน”

+ + + + + + + + + + + +

ค่ำคืนนั้น...
มหาเฉื่อยเดินขาสั่นหิ้วตะเกียงกับปิ่นโต เอาข้าวมาส่งทวนและเมินที่เพิงพักท้ายป่าช้า
“โธ่ๆๆๆ หลวงพ่อนะหลวงพ่อ ใช้ให้เอาข้าวก้นบาตรมาส่งไอ้พวกนี้อีกแล้ว ให้มันหุงหากินกันเอง จะได้ไม่เดือดร้อนท่านมัคทายกก็ไม่เชื่อ เมื่อไหร่บ้านนาจะมีทางด่วนเสียทีโว้ย ข้าจะได้เดินลัดขึ้นทางด่วน ไม่ต้องผ่านป่าช้า”
ทันใดนั้น มหาเฉื่อยได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง
“เอ๊ะ เสียงอะไรวะ”
หลิมกับเลิศ ถือคบไฟเดินผ่านป่าช้า เพื่อจะไปเผาบ้านของทวนและเมิน มหาเฉื่อยรีบหลบหลังต้นไม้
“เอาโว้ย ข้ามีปัญหากับความหล่อของไอ้ทวนมานานแล้ว ตั้งแต่มันกลับบ้านนา ข้าหมองไปเยอะ” หลิมบอกอย่างเจ็บแค้น
“ข้าก็เหมือนกันว่ะ ตั้งแต่ไอ้เมินมันกลับมานี่ ความคมของข้าทื่อไปมาก”
“ยังงี้มันต้องเผาให้ดำเป็นตอตะโก”
มหาเฉื่อยค่อยๆ โผล่หน้าออกมาจากหลังต้นไม้
“นั่นมันพวกไอ้ชิงชัยนี่ มันมาทำอะไรในป่าช้านี่วะ ฟังเหมือนมันไม่ได้ไปทำบุญทำทาน แต่กำลังจะไปทำบาป”
หลิมเดินนำหน้าเลิศ ถือคบไฟไปในป่าช้า
“พอเผาเสร็จเอามันขึ้นเมรุแล้วเผาซ้ำ ข้าจะได้หายสงสัยซะทีว่าใครหล่อกว่าใคร” หลิมพูดแค้นๆ
เลิศนึกอะไรบางอย่างขึ้นมา
“ต้องมีบริการเสริม เผากุฏิหลวงตาซะด้วย เพราะหลวงตาฉุนเป็นคนเลี้ยงไอ้สองคนนั่นให้เป็นคู่แข่งของลูกพี่เรา”
มหาเฉื่อยพึมพำด้วยความแค้นใจ
“หนอย...ไอ้คนใจบาป บังอาจจะเผากุฏิพระแน่ะ มีที่ไหนวะ ยังงี้มันต้องทำผีหลอก”
ทันใดนั้นมีเสียงหมาหอนเยือกเย็นดังขึ้น มหาเฉื่อยชะงัก
“หมา...หมาหอนอีกแล้ว”
หลิมกับเลิศก็ชะงัก หยุดเดินมองไปรอบๆ
“ได้ยินอะไรมั้ย” หลิมถามเบาๆ
เลิศพยักหน้า
“ได้ยิน เสียงหมาหอนว่ะ เสียงมันเย็นยะเยือก ฟังแล้วเปลี่ยวใจ...”
“แต่ทำไมหมามันต้องหอนคืนนี้ด้วยวะ”
“ผีมันอยากจะออกมาหลอกเอ็งกับข้าละมั้ง ขอให้เป็นผู้หญิงทีเถิ๊ด ข้าจะปล้ำผีซะให้กลับหลุมไม่ถูกเชียว ฮิๆๆๆ” เลิศพูดขำๆอย่างไม่เกรงกลัว
ทั้งสองหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน แล้วออกเดินต่อ แต่ขณะที่ทั้งสองเดินผ่านต้นไม้ ทันใดนั้นมีเท้าสวมรองเท้าผ้าใบเก่าเปื่อย ผุพัง ยื่นลงมาจากกิ่งไม้แกว่งเบาๆ ตรงหน้า หลิมสะดุ้ง
“เฮ้ย นี่มันอะไรวะ”
เลิศจ้องเท้านั้น
“ขาว่ะ ฝ่าเท้ายังงี้เย๊นเย็น แกว่งเบาๆ เหมือนจะหนาวยะเยือก ดูซีวะ จังหวะเข้ากับเสียงหมาหอนเลย สงสัยจะเป็นผู้หญิง แต่เอ...”
หลิมชักหวาดๆ
“ผู้หญิงที่ไหนวะ ปีนขึ้นไปนั่งเล่นบนต้นไม้ดึกๆ ดื่นๆ ยังงี้”
“คำตอบมี...มองขึ้นข้างบนเดี๋ยวรู้ เพื่อไม่ให้เกิดการเอาเปรียบเสียเปรียบ พร้อมๆ กันเลย” เลิศนับ “หนึ่ง...สอง...สาม...จ๊ะเอ๋”
สองคนมองขึ้นไปบนต้นไม้พร้อมๆ กัน ต่างส่งเสียงร้องแล้ววิ่งหนีออกไปจากป่าช้า เพราะเห็นผี ทางด้านมหาเฉื่อยที่เดินตามมาช้าๆ เห็นผีเช่นกัน ทรุดตังลงนั่งยองๆ ตัวสั่น หลับตาปี๋
“พ่อแก้วแม่แก้วจ๋า ลูกมหาเฉื่อยไม่ได้นึกถึงพ่อแก้วแม่แก้วมาหลายปีแล้ว พ่อจ๋าแม่จ๋าอยู่ไหน ช่วยด้วย ผี...ผีหลอก”
มหาเฉื่อยตกใจสุดขีด เป็นลมล้มพับไป

+ + + + + + + + + + + +

เช้าวันใหม่...
ศรีไพรให้หญ้าเป็นอาหารควาย สดและชาวนาอื่นๆ กำลังเตรียมตัวลงทำงานในท้องนา ศรีไพรชะเง้อรอพวกของทวนและเมิน พลางบ่น
“ทำไมยังไม่มาอีก ตะวันขึ้นจนสายโด่งแล้ว ตื่นสายยังงี้แล้วจะหากินแข่งนกแข่งกาได้ยังไง”
พรยิ้มหยัน
“มันคงจะยอมแพ้ไปแล้วละ ไอ้ผู้ชายสมัยนี้น่ะมันหยิบโหย่งจะตายไป การกินการอยู่ละ...ไม่สู้พ่อ แต่การแจวการถ่อ...เช๊อะ...พ่อไม่สู้ใคร”
“พ่อ ให้โอกาสเขาหน่อยเถอะน่า ถ้าทำนามันง่าย ป่านนี้ข้าวท่านก็ไม่มีพระแม่โพสพเป็นเทพผู้พิทักษ์น่ะซี จะสู้กับเครื่องจักรของเศรษฐีบุญช่วย เราต้องมีแรงคนเยอะๆ”
ควายไม่ชอบใจร้องขึ้น
“มอๆๆๆ”
ศรีไพรหันไปยิ้มให้ควาย
“จ้ะๆๆ มีแรงควายด้วย แหม...นอยเหมือนกันนะ ไฉไลเฉิด”
พรถอนหายใจเซ็งๆ
“เฮ้อ ข้าละเบื่อเต็มที ถึงมันจะผ่านการทดสอบของเอ็ง ข้าก็ไม่ยอมยกลูกสาวให้มันหรอกโว้ย ข้าจะให้ลูกสาวของข้า แต่งงานกับพวกอำเภอ”
ศรีไพรหันไปตะโกนเรียน
“แสนโว้ย...”
“จ๋า พี่ศรีไพร”
ศรีไพรดึงแสนออกมาสั่งเบาๆ
“เอ็งไปดูดิ๊ ไอ้พวกนั้นมันทำอะไรอยู่”

+ + + + + + + + + + +

ทวน เมิน ทอก และหมอก เดินเรียงแถวกันหลับๆ ตื่นๆ เพื่อไปไถนาตามที่ตกลงกับศรีไพรและพรไว้
“โอย ทำไมต้องปลุกกันตั้งแต่ไก่ยังไม่ขันวะ นอนอีกงีบก็ยังทันควายน่ะ” ทวนบ่น
เมินส่ายหน้า
“ขืนปล่อยให้แกนอนอีกงีบ มีหวังนอนยาวไปถึงบ่าย ฉันเสียแต้มไปทีนึงแล้ว ตอนที่แกช่วยศรีแพรจากไอ้ชิงชัย ฉันจะทำแต้มเสียอีกไม่ได้”
“มัวแต่แข่งกันทำแต้มอยู่นั่นแหละ ระวังควายจะยิ้ม” ทอกเตือน
“ยิ้มทำไมวะ” หมอกถามอย่างไม่เข้าใจ
“อ๊าว ก็มัวแต่กันกันเอง แบบตาอินกับตานาไง ควายอยู่ข้างหลังเลยคว้าเอาพี่ทวนกับพี่เมินไปกิน”
ทันใดนั้น ทุกคนก็เห้น มหาเฉื่อยนอนสลบอยู่ในป่าช้า
“เฮ้ย นั่นลุงมหานี่ ลุงมหามานอนทำไมที่นี่” ทวนบอกอย่างตกใจ
เมินรีบเข้าไปที่มหาเฉื่อย
“ช่วยกันปลุกเร็ว ลุงมหา...ลุงมหาเฉื่อย”
มหาเฉื่อย ได้ฟื้นขึ้นมาก็ร้องโวยวาย
“โอย ช่วยด้วย ผี...ผีหลอก...”
ทวนถอนใจ
“สว่างโทนโท่ยังงี้ผีที่ไหนกันล่ะลุงมหา นึกดีๆ ทำไมลุงมหามานอนอยู่ที่นี่”
มหาเฉื่อยนิ่งคิดนิดนึง
“ไอ้ทวน ไอ้เมิน ข้านึกออกแล้ว เมื่อคืนพวกไอ้ชิงชัย มันจะมาเผาบ้านเอ็งกับเผากุฏิหลวงตา แต่ผี...มันโดนผีหลอกซะก่อนเลยเปิดแน่บ ข้า...ข้าเห็นกะตาเลยนะ”
ทวนแปลกใจ
“ผีหรือ”
“ผีหลอกไอ้สองตัวนั่น ผีมันช่วยเอ็งไว้ไม่ให้ถูกเผาบ้าน”
ทวนกับเมิน มองสบสายตากันอย่างเคร่งเครียด

+ + + + + + + + + + + +

ขณะที่ศรีไพรให้ควายกินหญ้าแห้ง แสนวิ่งกลับมาหาเพราะไปเจอกลุ่มของทวนพอดี ทั้งสี่หนุ่มเดินตามหลังแสนเข้ามาในท้องนา ศรีไพรทำหน้าเมินๆ ยิ้มเยาะหยัน
“พี่ศรีไพร พี่ทวนกับพี่เมินมาแล้ว”
“ฮึ ชาวนารุ่นใหม่ ตื่นสายจนไก่กลับไปตายรัง ยังมาไม่ถึงท้องนาอีก ยังงี้จะไปทำมาหากินเลี้ยงใครได้” ศรีไพรประชดประชัน
“ฮึ จะลองให้เลี้ยงมั้ยล่ะ จะขุนให้อ้วนเลย” ทวนพูดกวนๆ
ศรีไพรไม่พอใจ
“นี่ พูดดีๆ นะ อย่ามาพูดจาสามง่ามสามแง่ เป็นไอ้พวกกระล่อนผ่อนผ้า มีสัญญากันว่ายังไง จะไถนากับควายเพื่อพิสูจน์ว่ามีน้ำยา เป็นชายไทยแท้ มีหน้าที่พัฒนาชาติ แล้วนี่...กี่โมง”
“คือว่ายังงี้นะศรีไพร...” เมินพยายามอธิบาย
“ไม่ต้องแก้ตัว ยิ่งแก้...ยิ่งหมด ไป ลงไปไถนา”
ขณะเดียวกันนั้น เนี้ยวหิ้วปิ่นโตส่งเสียงมาแต่ไกล เจ๊กตงวิ่งตาม
“เนี้ยวขอร้อง อย่าใช้งานพี่ทวนให้หนักนักเลย พี่ทวนเขาไม่ใช่ควายนะ ให้เขาพักกินข้าวก่อนเถอะ นี่มันเพลแล้ว”
ทวนยิ้มดีใจมีตัวช่วย
“จริงๆ ด้วย นี่เพลพอดี กินข้าวกันดีกว่า”
เมินได้ทีรีบบอก
“เอ็งกินปิ่นโตของอาเนี้ยวนะ ข้าจะไปกินปิ่นโตที่ศรีแพรจัดมาให้”
เจ๊กตงวิ่งมาดึงแขนลูกสาว
“กลับร้านเดี๋ยวนี้นะอาเนี๊ยว ลื้อนี่เผลอม่ายล่าย หมูเห็ดเป็ดไก่มีเท่าไหร่ เอามาให้อาทวนกินหมด ทีเตี่ย...ลื้อให้ดูดก้อนกรวดผัดเกลือ แถมดูดเสร็จเอากลับไปล้างใหม่ มาผัดให้เตี่ยเจี๊ยะอีก”
เนี้ยวหันไปอ้อนพ่อ
“เตี่ยจ๋า ก็เตี่ยเป็นทั้งเบาหวานทั้งความดัน อั๊วก็เลยเอาของมันๆ อร่อยๆ มาให้พี่ทวนเค้า”
เจ๊กตงไม่พอใจ
“กลับร้านเดี๋ยวนี้ไม่ยังงั้นเตี่ยจะตีลื้อ”
“เตี่ย ฮึ ตีๆๆๆ เดี๋ยวนี้เขาเลิกตีกันแล้ว” เนี้ยวโวย ก่อนจะหันมายิ้มหวานเยิ้มให้ทวน “กินให้อร่อยนะจ๊ะพี่ทวนจ๋า”
เจ๊กตงหวงลูกสาวมาก ดึงมือเนี้ยวออกไป ทวนปราดเข้าหาปิ่นโต แต่ศรีไพรแย่งไว้
“โอย...หิวข้าว”
“ไม่ได้ ต้องไถนาก่อนถึงจะได้กิน เห็นไฉไลเฉิดมั้ย ควายที่น่านับถือตัวนี้ ต้องไถนาก่อนรับประทานทุกวัน ไม่ร้อง...ไม่นอน...ไม่ตะกละจะกินนั่นกินนี่ เอาไง...จะยอมแพ้ควายมั้ย”
เมินกับทวนหันมาสบสายตากัน ถอนหายใจอย่างจำนน

+ + + + + + + + + + + +

ศรีแพรคอนหาบอาหารกลางวัน เอาข้าวมาส่งพวกทำนา เมินกับทวนพากันดีใจที่ได้เห็นหน้าศรีแพร
“ศรีแพร...”
เมินทิ้งคันไถขยับจะวิ่งแต่ถูกทวนคว้าไว้
“อย่า...ต้องไถนากับควายให้เสร็จ ถึงจะมีสิทธิ์กินข้าวได้ ไม่ได้ยินหรือเมื่อกี้นี้ยายมู่ทู่นั่นว่ายังไง”
เมินมองศรีแพร แล้วตะโกนลั่น
“ศรีแพร แค่ได้กลิ่นศรีแพรโชยมากับลม พี่ก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง”
ทวนหันไปสั่งควาย
“เฮ้ย ไอ้ไฉไลเฉิด ไถเต็มสตีมเลยโว้ย คะแนนของฉันจะได้ทิ้งห่างไอ้เมิน”
เมินไม่ยอม
“ไม่ได้ ฉันต้องเอาชนะใจศรีแพรให้ได้”
“งั้นมาแข่งกัน”
เมินและทวนไถนาแข่งกัน แสดงความขยันให้ศรีแพรเห็น ขณะเดียวกัน ศรีไพรเดินลุยท้องนาเข้ามาหาศรีแพรที่นั่งจัดอาหารใต้ต้นไม้
“ทำไมแม่ไม่มาส่งข้าวเองล่ะ”
“แม่ไม่ค่อยสบาย นี่ถ้าไม่ติดว่าเอ็งจะอดข้าวละก็ พ่อไม่ให้พี่มาหรอก อย่าใช้งานเขาหนักนักเลย สงสารเขาบ้างเถอะ พี่เมินกับพี่ทวนเขาเคยทำนาเสียที่ไหนล่ะ เขากินข้าววัดจนโต”
“เพราะกินข้าววัดนี่แหละ ถึงต้องใช้ให้หนัก จะได้รู้คุณของข้าวท่าน”
“พี่ไม่สบายใจเลยนะ เราประกาศสงครามกับเศรษฐีบุญช่วยยังงี้ มันต้องมีปัญหาแน่ ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นลูกหนี้ของเศรษฐีบุญช่วย”
“ถ้าเรารวมตัวกันได้ แล้วทำให้ชาวบ้านเขาเห็นว่า วิธีทำนาแบบดั้งเดิมช่วยให้อยู่ได้โดยไม่มีหนี้ เราก็จะมีกำลังต่อรอง” ศรีไพรชะงักไปเมื่อเห็นพี่สาวมองไปที่เมินทั้งๆที่คุยกับเธออยู่ “พี่ศรีแพร นี่ พูดอยู่กับฉัน ตาพี่ไปมองใคร ยังไงละก็...ต้องแยกให้ถูกนะ คนไหนคน คนไหน...ควาย”
ศรีแพรมองไปยังเมิน ยิ้มขบขันเมื่อเห็นทวนและเมิน ทำงานแข่งกันเพื่อเอาชนะใจเธอ ศรีไพรมองตามแล้วส่ายหน้าเบื่อๆ

อ่านต่อหน้า 4





เพลงรักบ้านนา ตอนที่2 (ต่อ)

ค่ำคืนนั้น ทวน เมิน ทอกและหมอก เดินเรียงแถวท่าทีเซื่องซึมเหน็ดเหนื่อยเข้ามาที่เพิง ทั้งหมดทิ้งตัวลงนอนกับพื้นทีละคนๆ ต่างหลับใหลไป เวลาผ่านไปสักครู่ เมินก็ค่อยๆลืมตาขึ้น ขยับตัวลุกขึ้นจะหนีไปหาศรีแพร แต่ทวนเอาขาขัดไว้
“ไอ้ทวน นี่แกจะทำอะไรวะ”
“ฉันรู้นะว่าแกจะไปไหน แกจะแอบไปหาศรีแพรใช่มั้ยล่ะ”
“แล้วไง”
“ไม่ให้ไป”
“แกมีสิทธ์อะไรมาห้ามฉัน”
“แกลืมไปแล้วหรือวะ ในป่าช้ามีอะไร ผี...ผีดุ”
เมินกลัวผีรีบทิ้งตัวลงนอน ทวนเอนตัวลงนอน แต่แอบยิ้ม

+ + + + + + + + + + +

ณ บรรยากาศมืดครึ้มวังเวง ทวนค่อยๆ ย่องเข้ามาในป่าช้า เหลียวซ้ายแลขวาก่อนถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ไม่มีเมินตามมา
“มือมันคนละชั้นกัน ไอ้น้องเอ๋ย พี่น่ะ...เกิดก่อน น้ำร้อนน้ำชาพี่ผ่านมาเยอะ นอนฝันถึงกลิ่นแก้มศรีแพรไปพลางๆ ก่อนก็แล้วกัน เพื่อน”
ทันใดนั้นเสียงหมาหอนเยือกเย็นดังขึ้น ทวนยิ้ม
“จ้างให้ก็ไม่กลัว ไม่ได้มีตาขาวมากกว่าตาดำเหมือนลุงมหาหรอก แน่จริงก็หลอกเลย หลอกได้...แต่อย่าหลอกลวง กลัวช้ำใจมากกว่ากลัวไข้หัวโกร๋น อิอิๆๆๆ”
ทวนหัวเราะรื่นเริง เมินปลอมตัวเป็นผี กระโดดลงมาขวางทาง ทวนตกใจตาเหลือกร้องลั่นด้วยความตื่นตระหนก วิ่งกลับไป เมินเปิดผ้าคลุมหัวเราะสะใจ
“หนอย ไอ้เพื่อนทรยศ นึกหรือว่าเพื่อนจะยอมเสียโง่ ฮึ คุยว่าตาดำมากกว่าตาขาว ที่แท้ก็...”
ทันใดนั้น เสียงหมาหอนวิเวกดังมาอีก เมินหันไปมองเห็นปลายเท้าในรองเท้าผ้าใบเปื่อยเก่าแกว่งเบาๆ อยู่บนต้นไม้ เมินค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองก่อนร้องลั่น วิ่งออกไปจากป่าช้า
“โว้ย ช่วยด้วยโว้ย...ผีหลอก”

+ + + + + + + + + +

ชิงชัยโกรธหลิมและเลิศ ที่เผาบ้านของทวนและเมินไม่สำเร็จ โวยวายลั่น
“ไอ้เซ่อ ใช้ไปเผาบ้านไอ้ทวนกับไอ้เมินแค่นี้ ทำไม่สำเร็จ แล้วยังงี้แกจะไปทำความชั่วได้ยังไง กะอีแค่ความเลวยังทำไม่ได้”
“พี่ ฉันถูกผีที่ป่าช้าหลอกจริงๆ”
สไบไม่เชื่อในสิ่งที่หลิมกับเลิศบอก
“ผีอะไรกัน ไม่เคยได้ยินว่าบ้านนามีผีดุ หาเหตุเอาตัวรอดละมั้ง”
เลิศหน้าเสีย
“เจ๊จ๋า ผีหลอกฉันสองคนจริงๆ จ้ะ ฉันเห็นกับตาเลยนะ”
บุญช่วยมองสองคนอย่างไม่พอใจ
“เหลวไหล ไอ้พวกขี้ขึ้นสมอง ข้าจะตัดไม้ข่มหนามให้ชาวนาที่แข็งข้อกับข้า รู้ซะบ้างว่ากำลังเล่นอยู่กับอะไร”
“อย่ายอมมันนะ ต้องล้างแค้นให้คุณชิงชัยให้ได้ ไม่ยังงั้นไอ้ทวนมันจะกำเริบ ตอนนี้พวกชาวนาบางส่วนกำลังลังเล มันกลัวๆ กล้าๆ ยังไม่ยอมเข้าฝ่ายไหน” สไบบอกอย่างแค้นเคือง
“ชาวนาส่วนใหญ่ เป็นลูกหนี้ท่านเศรษฐีทั้งนั้น ไอ้วิธีทำนาแบบดั้งเดิมน่ะ มันจะมาสู้ทำนาบนหลังคนได้ยังไง” จ่าสินพูดยิ้มๆ
ชิงชัยคั่งแค้น
“ใช่ เดี๋ยวพวกเอ็งไปกับข้า...ไปดูว่าใคร บังอาจไปเข้าพวกกับไอ้ศรีไพร”

+ + + + + + + + + + + +

ศรีไพรประชุมชาวบ้าน แนะนำวิธีการต่อสู้กับหนี้สินและความยากจน ด้วยการใช้ชีวิตแบบ
เศรษฐกิจพอเพียง
“ทุกวันนี้เรารังแกดินซ้ำซาก ด้วยการทำนาปีละสามสี่ครั้ง ใช้ปุ๋ยใช้ยาใช้สารเคมี ไหนจะเผาตอซัง ทำร้ายวงวรชีวิตของสัตว์ไต้ดินอีกล่ะ ไม่มีน้ำก็สูบเข้า จะไถจะหว่านไม่ต้องรอฤดูกาล รอแต่ว่า...น้ำมันจะขึ้นราคาเมื่อไหร่ ทำไมเราไม่ทำให้น้อยครั้งลง แล้วบำรุงดินด้วยวิธีธรรมชาติ ดินจะได้พัก ปูปลาที่เคยมีจะได้กลับมา”
ชิงชัยเดินนำหน้าหลิมและเลิศเข้ามา พูดเย้ยๆ
“ปูปลาที่ไหนวะ มันสูญพันธ์ไปหมดแล้ว เมื่อก่อนมีปูนาวิ่งอยู่ใต้ต้นข้าว มีปลาหมอปลาช่อนให้ดัก แต่เดี๋ยวนี้มันไปไหน ไปอยู่ในบ่อเลี้ยง มีบ่อเลี้ยงซะอย่าง ไม่เห็นจะต้องง้อธรรมชาติเลย”
ศรีไพรก้าวออกมาเผชิญหน้าชิงชัย ทวน เมินขยับตัวตามออกมา
“แต่วิธีนั้นก็ต้องมีค่าใช้จ่ายสูง ต้องเสียเงินซื้ออาหารมาเลี้ยงมันให้โต เมื่อก่อน...ปลาเติบโตในธรรมชาติ หากินกันตามวัฏจักร เพราะไอ้ยาฆ่าแมลงที่เราใส่ลงไปนั่นแหละ ที่มันฆ่าปลาฆ่าปูด้วย”
ทวนมองศรีไพรอย่างชื่นชม
“พูดถูก วันนี้มู่ทู่คนนี้พูดมีสติ”
ทวนพูดผิด เมินเซ็งรีบแก้ให้
“คติ”
ทวนพยักหน้าขอบใจแล้วพูดต่อ
“เมื่อตอนที่เรายังเด็กๆ เราแก้ผ้ากระโดดน้ำ พอโผล่ขึ้นมาก็มีกุ้งก้ามกรามติดมือมาด้วย เดี๋ยวนี้มันไปอยู่เสียที่ไหน”
“เราถึงต้องฟื้นฟูแหล่งธรรมชาติเพื่อให้สัตว์พวกนี้อยู่ได้ เริ่มที่ท้องนา” ศรีไพรเสริม
ชิงชัยยิ้มเย้ยหยัน
“ลงแรง เอาควายไถ แล้วเมื่อไหร่จะเสร็จ”
“ถ้าคนกับควาย หันมาร่วมแรงกัน นาสิบยี่สิบไร่ เรื่องเล็ก” ศรีไพรบอกอย่างมั่นใจ
“ชะๆๆๆ ไอ้ศรีไพร ไอ้ทะโมน งั้นเอ็งกับข้ามาไถนาแข่งกันมั้ย ข้าใช้รถไถ เอ็งใช้ควาย” ชิงชัยท้าทาย
“ตกลง...”
ทุกคนชะงักหันมามองหน้าศรีไพร ร้องขึ้นพร้อมๆ กัน
“ฮ้า...”
“พี่ศรีไพร ไหวหรือ” แสนถามเสียงเครียด
“ต้องไหวซี พรุ่งนี้เอ็งกับข้า” ศรีไพรชี้นิ้วจิ้มอกชิงชัยแล้วผลัก “เจอกันตอนตะวันขึ้น...เลิกประชุม บ้านใครบ้านมัน”
ศรีไพรเดินออกไป แสนรีบวิ่งตามไป ทวนกับเมิน มองตามศรีไพรแล้วหันมามองหน้ากันอย่างงงงัน ชิงชัย และสมุนต่างส่งเสียงหัวเราะชอบใจ คาดหมายว่าจะชนะ

+ + + + + + + + + + + +

เมื่อกลับมาที่บ้าน แสนนวดศีรษะให้ศรีไพร เพื่อผ่อนคลายความเครียด เพราะพรกำลังดุด่าศรีไพรอย่างหนัก เรื่องที่ศรีไพรท้าแข่งไถนากับพวกของชิงชัย
“หาเรื่อง ทำไมมันถึงได้ขยันหาเรื่องมาให้พ่อแม่ร้อนใจยังงี้วะ เอ็งก็รู้นี่นาว่าควายเนื้อน่ะมันจะไปสู้ควายเหล็กได้ยังไง แล้วไอ้ไฉไลเฉิดน่ะมันเป็นควายแก่ ไถนามาตั้งแต่รุ่นปู่เอ็ง โอย...แล้วทีนี้จะทำยังไง” พรบ่นอย่างหงุดหงิด
“พ่อ ลดเสียงลงหน่อย อายชาวบ้านเขา” ศรีแพรเตือน
พรหันขวับมาตวาด
“ไม่อายโว้ย ตอนแพ้ไอ้พวกนั้น ข้าอับอายยิ่งกว่านี้หลายเท่า มันน่านัก...น่า...น่า...”
พรโมโหมากจะเข้าไปเล่นงานศรีไพร สดรีบห้าม
“ตาพร แกอย่าตีลูกนะ ถ้าไอ้ศรีไพรมันรับคำท้าไอ้พวกนั้น ก็หมายความว่ามันมีทางหนีทีไล่”
“ทางไหนล่ะ ฮึ...ทางไหน ข้าอยากรู้ว่ามันจะถูกไล่ต้อนไปจนมุมทางไหน ข้าจะได้เอาปี๊ปไปให้มันคลุมหัว แกด้วย” พรหันไปชี้หน้าศรีแพร “แกอีกใบ”
สดถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ
“พูดจาไม่ฟังใครยังงี้น่ะซี ลูกมันถึงได้ขึ้นคาน”
“นี่ ถึงข้าจะตัดขาดไอ้ชิงชัยแล้ว แต่ข้าก็มีความหวังใหม่โว้ย”
“ความหวังอะไรอีกล่ะพ่อ” ศรีแพรถามอย่างเซ็งๆ
พรตาแวววาวขึ้นมา
“ข้าจะให้เอ็งแต่งงานกับพวกอำเภอ ถ้าไม่ได้นายอำเภอ ได้เป็นคุณนายคุณปลัดก็ยังดี ไอ้เมินน่ะเมินเสียเถอะ พ่อไม่ให้เอ็งแต่งงานกับมันหรอก”
ศรีแพรอึ้งไปทันที
“พ่อ...”
“พ่อจ๋า แม่จ๋า เบาเสียงลงหน่อยได้มั้ยฉันกำลังเครียด” ศรีไพรขอร้อง
“บีบที่เส้นมรณังเลยมั้ยพี่ พี่จะได้หายเครียด” แสนถาม
“เฮ้ย อย่า ไอ้แสน พี่นึกออกแล้วละว่าจะทำยังไง ถึงจะชนะพวกไอ้ชิงชัย”
แววตาของศรีไพรวาวโรจน์ไปด้วยความเจ้าเล่ห์ ค่อยๆ หันมาสบสายตาแสน

+ + + + + + + + + + + +

ขณะที่เนี้ยวปัดฝุ่นในร้าน เจ๊กตงฟังงิ้วอยู่ที่โต๊ะคิดเงินด้วยท่าทางมีความสุข แสนขับรถมอเตอร์ไซด์เลี้ยวปราดเข้ามาจอดหน้าร้านเจ๊กตง แสนหน้าตาเคร่งเรียดลงจากมอเตอร์ไซด์แล้วยื่นซองสีขาวให้เนี้ยว
“อะไรวะไอ้แสน นี่มันซองอะไร” เนี้ยวถามอย่างสงสัย
เจ๊กตงหันไปมองไม่ชอบใจนัก
“ซองอะไรวะ กฐินกับผ้าป่าไม่รับนะ บอกหลวงตาว่าเจ๊กตงเปลี่ยนไปนับถือคริสต์แล้วว่ะ”
“ไม่ใช่ซองกฐินหรือผ้าป่าหรอกเจ๊กตง ซองสมณาคุณน่ะ เจ๊กตงแห่งบ้านนาได้รับเลือกให้เป็นผู้โชคดี ได้รับแพคเก็จทัวร์เที่ยวเมืองจีน ปีนกำแพงเหล็กหนึ่งอาทิตย์”
เนี้ยวดีใจร้องลั่น
“ว้าย เตี่ยจ๋า เตี่ยเป็นผู้โชคดีจริงๆ ด้วย มีชื่อเตี่ยกับชื่ออั๊ว อั๊วจะไปจัดกระเป๋าเราจะไปเมืองจีน”
เจ๊กตงตาลุกโชน
“โอ เมืองจีน อั๊วฝันจะได้กลับไปไหว้บรรพบุรุษที่ซัวเถามานานแล้ว ไป เตี่ยจะไปช่วยลื้อจัดกระเป๋า...ปิดร้าน”
เจ๊กตงรีบปิดร้าน แสนยิ้มทะเล้น
“สำเร็จ...”

+ + + + + + + + + + + +

เช้าวันใหม่...
ลานหน้าท้องนามีปะรำพิธีจัดการแข่งขันตั้งอยู่ มหาเฉื่อยทำหน้าที่เป็นโฆษกผู้คงแก่การปฏิบัติ นุ่งขาวห่มขาว ถือโทรโข่งพูดสุ้มเสียงมัคทายกมากๆ
“อนุโมทนาบัตรญาติโยมที่เคารพ บัดนี้ได้ถึงเวลา อันควรที่อุบาสกอุบาสิกา จะได้ชมการแข่งขันระหว่างควายกับเครื่องจักร ประธานกรรมการอันได้แก่ท่านเศรษฐีบุญช่วย กับท่านหลวงตาฉุน มาเป็นสักขีพยานในการแข่งขันระหว่างนายชิงชัย กับนางสาวศรีไพรลูกตาพรยายสด ลงชิงความเป็นเจ้าแห่งท้องนาในเนื้อที่ห้าไร่ ใครไถเสร็จก่อน ก็จะได้ถ้วยรางวัลเกียรติยศใบนี้”
ชิงชัยเร่งเครื่องยนต์ ควันขโมง
“เอ็งได้กลับเอาไอ้ไฉไลเฉิดไปแล่ทำเนื้อเค็มแน่ ไอ้ศรีไพร”
ศรีไพรยิ้มเย้ย
“เดี๋ยวก็รู้ ว่าใครจะเป็นฝ่ายเอารถไถกลับไปส่งเชียงกง”
“เตรียมพร้อม...” มหาเฉื่อยประกาศ
ทวนและเมิน เข้ามาหาศรีไพรด้วยความห่วงและกังวล
“ไหวหรือ ควายเนื้อกับความเหล็กนะ” ทวนถามอย่างเป็นห่วง
ศรีไพรยิ้มๆอย่างมีเลศนัยต์
“เดี๋ยวก็รู้”
เมินหันไปหาควาย
“ถ้าแกชนะละก็ ฉันยอมเรียกแกว่าพ่อเลยว่ะ ไอ้ไฉไลเฉิด
ควายร้องเหมือนถามว่าแน่นะ
“มอๆๆๆ”
เมินยิ้ม
“เออ ฉันสัญญา...”
มหาเฉื่อยยกธงขึ้น
“บัดนี้...”
ทันใดนั้น เลิศวิ่งหน้าตื่น ถือถังน้ำมันเข้ามา
“เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อนลุงมหา อย่าเพิ่งเชิด พี่...พี่ชิงชัย เกิดรื่องใหญ่แล้ว พี่...พี่จ๋า ร้านเจ๊กตงปิด”
ชิงชัยตกใจ
“หา...ร้านเจ๊กตงปิด ปิดไปไหน”
“เห็นว่าไปทัวร์ที่เมืองจีน อีกหลายวันกว่าจะกลับ”
ชิงชัยอึ้งไปเลย
“แล้วข้าจะไปเอาน้ำมันที่ไหนใส่รถไถวะ”
“ไม่ทันแล้วละพี่ ไถก่อน แล้วค่อยหาน้ำมันสำรองมาเติม เดี๋ยวฉันจะกลับไปเอาน้ำมันทอดไข่เจียวที่บ้านมาให้พี่นะ”
หลิมรีบวิ่งออกไป มหาเฉื่อยสะบัดธง
“บัดนี้...เชิด...”
ศรีไพรเริ่มไถนา ชิงชัยสตาร์ทเครื่องยนต์พุ่งลงไปในท้องนา คนดูส่งเสียงเชียร์กันทั้งสองฝ่าย...บุญช่วยและสไบช่วยกันส่งเสียงเชียร์ก่อนที่จะหยุดค้าง จ้องมองไปยัง รถไถของชิงชัยที่จอดสนิทเพราะน้ำมันหมด
“คุณสไบของบ่าวขา ดูนั่น...” แหว่งชี้มือบอก
“เอ๊ะ ทำไมคุณชิงชัยเขาถึงได้หยุดล่ะ” สไบถามอย่างสงสัย
“นั่นน่ะซี รถมันเป็นอะไรวะ”
บุญช่วยหันกลับมามองหน้าสไบอย่างงงๆ

+ + + + + + + + + + + +

ชิงชัยพยายามสตาร์ทเครื่องยนต์แต่ไม่ติด เขาลงไปเตะรถไถด้วยความโกรธ หลิมวิ่งเข้ามาพร้อม
ด้วยถังน้ำมันสำรอง ชิงชัยส่งเสียงเร่งด้วยความร้อนใจเพราะชาวบ้านเริ่มส่งเสียงเชียร์ศรีไพที่ไถนาด้วย
ควายอย่างเข้มแข็ง
“มาแล้วพี่ พลังงานสำรองไอ้แบบที่ช่วยเรื่องโลกร้อน นี่ฉันไปแย่งมาจากกระทะเมียเลยนะ”
“น้ำมันอะไรวะ”
“เอ้อ...น้ำมันมะพร้าว”
ชิงชัยหน้าเหวอ
“หา น้ำมันมะพร้าว...”
ทวนเข้ามามองเย้ย
“มันต้องเอาไปผ่านกรรมวิธี ทำไบโอดีเซลซะก่อนมันถึงจะใช้ได้ แต่เอาเถอะ...ยังดีกว่าไม่มีน้ำมันใช้ว่ะ เป็นคนแล้วแพ้ควายนี่ จะเอาหน้าไปไว้ไหนวะ”
“ใช่ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เติมน้ำมันซีวะ” เมินยุ
ชิงขัยรีบขึ้นไปนั่งบนรถไถ เลิศกับหลิมช่วยกันเติมน้ำมัน
“เฮ้ย เสร็จหรือยังวะ ไอ้หลิม ไอ้เลิศ”
“เสร็จแล้วจ๊ะพี่ สตาร์ทเครื่องเลย” หลิมตะโกนบอก
ชิงชัยสตาร์ทเครื่องยนต์ ควันสีดำพุ่งระเบิดกระจายฟุ้งไปทั่วรถไถ สักครู่ ชิงชัย หลิม เลิศคลานออกมาจากกลุ่มควัน ด้วยใบหน้าดำปี๋ ทั้งไอทั้งจาม ที่สูดควันเข้าไป

โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป




กำลังโหลดความคิดเห็น