xs
xsm
sm
md
lg

เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 1

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 1

บนโค้งถนนดินลูกรังอันเป็นหนทางไปสู่...หมู่บ้านบ้านนา ทวนกำลังขับเกวียนตรงไปในหมู่บ้าน พลางส่งเสียงร้องเพลงอย่างมีความสุขดังมาแต่ไกล

ขณะเดียวกันนั้น ที่เนินสูงของถนนลูกรังเข้าหมู่บ้านอีกทางหนึ่ง เมินขับรถอีแต๋นส่งเสียงร้องเพลง ‘เพลงรักบ้านนา’ มาอย่างมีความสุขที่ได้กลับมาบ้านนา
ทวนกับเมินทั้งสองต่างก็จากบ้านไปนานเกือบสิบปี โดยไม่มีใครรู้ว่าเขาสองคนหายไปไหน มีเพียงแต่ข่าวลือ ที่ชาวบ้านลือกันไปต่างๆ นาๆ

ระหว่างนั้นในตลาดบ้านนา เจ๊กตงเจ้าของร้านของชำ ซึ่งจัดมุมหนึ่งของร้านให้เป็นร้านกาแฟ กำลังนั่งเล่นหมากรุกอยู่กับ หมอก และทอก ลูกศิษย์หลวงตาแห่งวัดบ้านนา โดยมีแสน หลานชายของนายพร ซึ่งมีลูกสาวสวยเป็นที่เลื่องลือยืนลุ้นอยู่ใกล้ๆ ส่วนเนี้ยว ลูกสาวของเจ๊กตง กำลังชงกาแฟอยู่หลังหม้อกาแฟ
ทั้งหมดเงยหน้าขึ้นมองหน้ากันเอง เมื่อได้ยินเสียงเพลงรักบ้านนาดังมาไกลๆ เนี้ยวทิ้งงานในมือกระวีกระวาดออกมาหน้าร้าน
“เตี่ย ได้ยินมั้ย นั่นมันเพลงรักบ้านนาของพี่ทวนเขานี่” เนี้ยวบอกอย่างดีใจ
“ใครบอกว่าของพี่ทวน...ของพี่เมินเขาต่างหากล่ะ ตอนที่เขายังอยู่เขาร้องเพลงนี้ให้หมาวัดฟังทุกวัน” หมอกแย้ง
“ของพี่ทวนโว้ย...ผู้หญิงผู้หยัง กะเทยกระโถน ขอให้เป็นตัวเมียเถอะ เขาเกี้ยวไม่เลือก” ทอกบอกขำๆ
แสนมองกระดานหมารุกแล้วหันไปถาม
“เมื่อไหร่จะรุกซะที เจ๊กตง”
เจ๊กตงนั่งนิ่ง อารมณ์ไม่ดีขึ้นมาทันที
“อั๊วรุกไม่ไหวโว้ย ก็ทั้งอาทวนอาเมิน จู่ๆ อีก็หายไปจากบ้านนาซะเฉยๆ เขาลือกันว่าอีไปติดคุก”
เนี้ยวเดินมาหาเตี่ย
“ใช่จ้ะเตี่ย เขาว่าพี่ทวนของอั้วไปติดคุกที่บางขวาง ส่วนพี่เมินของไอ้หมอกไปติดคุกที่ลาดยาว”
แสนฟังเพลงแล้วพูดขึ้นอย่างแปลกใจ
“เสียงเพลงรักบ้านนาของเขาจริงๆ ด้วย หรือว่าตอนนี้...พี่ทวนกับพี่เมิน...เขากลับมาแล้ว”
ทุกคนต่างมองหน้ากันอย่างงงงัน

+ + + + + + + + + + + +

ศรีไพรขับรถกระบะเปิดท้าย บรรทุกกล่ำกับช้อยที่ท้องแก่ไปส่งโรงพยาบาล ช้อยกำลังเจ็บท้องคลอดลูก
“เฮ้ย เร็วกว่านี้หน่อยได้มั้ยวะ ลูกข้าทำท่าจะโผล่หัวแล้วละโว้ย” กล่ำตะโกนเร่ง
ศรีไพรโผล่หน้ามอมแมมไปด้วยโคลน ออกมาจากหน้าต่างรถกระบะ
“จับยัดกลับที่เก่าก่อนซีน้า นี่ก็เร่งเต็มที่แล้ว”
ช้อยเจ็บท้องหน้าเหยเก หันมาด่าผัว
“เพราะมึ้ง...เพราะมึงคนเดียวกูถึงได้เป็นยังงี้ เพราะมึงเชียว ไอ้...”
“โธ่ จะมาด่าอะไรเอาตอนนี้ล่ะเมียจ๋า เร็วๆ โว้ย ไอ้ศรีไพร...เร็วๆเดี๋ยวไม่ทัน”
“เอาแบบมาเต็มๆ เลยนะ น้า”
ศรีไพรเหยียบคันเร่ง รถกระบะพุ่งออกไป
ขณะเดียวกันนั้น รถอีแต๋นของเมิน และเกวียนของทวน มาเผชิญหน้ากันที่หน้าร้านกาแฟของเจ๊กตง เนี้ยวรีบแล่นถลาออกมานอกร้านด้วยความตื่นเต้นดีใจ เพราะเนี้ยวหลงรักทวนมาตั้งแต่เป็นสาวรุ่น ก่อนทวนจะหายไปจากหมู่บ้าน ทวนและเมินต่างชี้หน้ากันและกันอ้าปากค้างอย่างตื่นตะลึง
“ไอ้ทวน...”
“ไอ้...ไอ้เมิน...”
“พี่ทวน เตี่ย...พี่ทวนจริงๆ ด้วย พี่ทวนกลับมาแล้ว เพลงนี้แหละฉันจำได้ เพลงรักบ้านนา” เนี้ยวบอกอย่างตื่นเต้นดีใจ
เจ๊กตงชี้หน้าสองหนุ่ม
“อาทวน ไอ้อาทวน กับอีอาเมินจริงๆ ล้วย ไอ้หย๋า” เจ๊กตงรีบหันไปสั่งลูกสาว “อาเนี้ยว ขึ้นเล่าเต๊งเดี๋ยวนี้”
หมอกรีบเข้าไปหาอย่างดีใจ
“พี่เมิน นั่นพี่เมินจริงๆ ด้วย”
ทอกก็ลุกเข้าไปหาทวน
“พี่ทวน”
ทวนกับเมิน ยืดอก ยกมือขึ้นเสยผม ท่าทีหล่อสำอางค์แล้วเก๊กใส่กัน
“ไอ้ทวน”
“ไอ้เมิน”
“ฉันจะไปบอกหลวงตา ว่าพี่กลับมาแล้ว”
แสนรีบวิ่งออกไป ขณะเดียวกันนั้น ศรีไพรขับรถกะบะเข้ามาจอดต่อเกวียนของทวน โผล่หน้ามาส่งเสียงตะโกน
“นี่...จะปรับความเข้าใจกันอีกนานมั้ย ไปอยู่ไหนมา ถึงไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้บ้านนาเขามีทางวันเวย์แล้ว เอ็งจอดรถขวางถนนยังงี้ ชาติที่แล้วเกิดเป็นหนุมานเรอะ”
กล่ำอยู่กระบะท้ายโผล่หน้าออกมาตะโกนอีกคน
“เร็วๆ ซีโว้ย เมื่อไหร่จะไปกันซะที เมียข้าจะออกลูกแล้ว”
“โอ้ย เมื่อไหร่จะทะเลาะกันเสร็จซะทีโว้ย ลูกข้ากำลังจะออกแล้วนะ” ช้อยร้องโวยวายเจ็บท้องมาก
ศรีไพรลงจากรถเข้าไปมองช้อย
“น้า ใจเย็นๆ”
ช้อยหน้าบิดเบี้ยว
“เย็นไม่ไหวแล้ว จะออกแล้ว”
ทวนมองงงๆ
“ออกอะไร ออกหัวออกก้อย หรือออก...”
“ออกลูก คนจะออกลูก” เมินบอก
เจ๊กตงตกใจมองช้อยแล้วตกใจหน้าตื่น
“ไอ้หย๋า ออกลูก โอย...เลือด เจ๊กตงเห็นเลือดแล้วเป็นลมดีกว่า”
เจ๊กตงเป็นลม
“เตี่ย”เนี้ยวตกใจเข้าไปประคอง
“น้า อั้นไว้ก่อน ฉันจัดการเอง น้าไม่ต้องกลัวนะ ตอนเรียนเกษตรไปอยู่หน่วย ฉันเคยเห็นผู้หญิงออกลูกมาแล้ว น้า ไม่มีอะไรต้องกลัวหรอก ออกลูกกับไปรบน่ะ ประเสริฐพอๆ กัน”
ศรีไพรทาท่าจะทำคลอดให้ แต่พอเห็นเลือดก็เป็นลมล้มทรุดฮวบลงกับพื้น เนี้ยวตกใจ
“อ้าว ศรีไพร เป็นลมไปอีกคนแล้ว ไอ้ทอก...ไอ้หมอก”
ทอกกับหมอกสั่นหัวดิกๆ ทำท่าจะเป็นลม ต่างกระโดดกอดต้นเสาหลับตาปี๋
“แล้วใครล่ะ ใครจะเป็นคนทำคลอด” เนี้ยวบอกอย่างร้อนใจ
กล่ำที่ประคองเมียอยู เห็นหัวเด็กโผล่ออกมาก็หน้าตื่นตกใจ
“หัวโผล่แล้ว อ้าว...เฮ้ย ผลุบเข้าไปอีกแล้ว ทำยังไงวะ ข้าเอาออกไม่เป็น เป็นแต่เอาเข้าว่ะ”
เนี้ยวเห็นเลือดเป็นลมไปอีกคน กล่ำรนรานไม่รู้จะทำยังไงหันไปมองทวนกับเมิน
“ช่วยด้วย...ข้า...ข้าทำอะไรไม่ถูก ช่วยเมียข้าเบ่งที เอ็ง...เอ็งสองคนน่ะ ช่วยทีวะ ไหว้ล่ะ”
ทวนกับเมินมองสบสายตากันและกัน ทั้งที่หวั่นๆ ทวนพยักหน้า
“เอาวะ...”
เมินพยักหน้ารับ
“เอาก็เอา...”

+ + + + + + + + + + +

ศรีแพร พี่สาวของศรีไพร เธอเป็นสาวสวยที่มีตำแหน่งนางงามท้องถิ่นของบ้านนาเป็นการันตี เวลานั้นศรีแพรกำลังช่วยสดผู้เป็นแม่หั่นตะไคร้ เพื่อนำไปตากให้แห้งเก็บไว้เป็นสมุนไพรอยู่กลางลานบ้าน ของบ้านเรือนไทยหลังใหญ่
ทันใดนั้นพร พ่อของเธอ กระฟัดกระเฟียดขึ้นบันไดเรือนมาอย่างโกรธจัด
“ฮึ เจ้ากี้เจ้าการดีนัก เป็นธุระไปหมดตั้งแต่เรื่องไม้จิ้มฟันยันเรื่องเรือรบ มันหาเสียงไปเล่นการเมืองท้องถิ่นก็ไปอย่าง นี่มันยืนยันนอนยันจะเป็นชาวนา”
“พ่อ ทำไมกลับเร็วนักล่ะ ก็ไหนพ่อว่าจะไปหาหลวงตาที่วัดไง” ศรีแพรถามอย่างแปลกใจ
“นั่นน่ะซี แล้วทำไมแกกลับมาคนเดียวตาพร”
“ก็อีนังลูกสาวคนโปรดของแกน่ะซี หนอย...ไปจนเกือบจะถึงวัดแล้ว ไอ้กล่ำมันเรียกให้เอาเมียมันไปส่งโรงหมอ มันเลยไล่พ่อบังเกิดเกล้าให้เดินกลับ ส่วนมันเอานังช้อยไปโรงพยาบาล มันเจ็บท้องจะออกลูก”
“ก็ดีแล้วนี่พ่อ ธุระของน้าช้อยสำคัญกว่า”
สดถอนใจ
“ไฟจะมีควัน คนจะนินทา ผู้หญิงจะออกลูกใครจะไปห้ามได้ แกน่ะ...อย่าเอาแต่ความคิดตัวเป็นใหญ่นักเลย ลูกมันเรียนมาสูงแกต้องฟังความคิดของลูกบ้าง”
พรไม่พอใจ
“เรียนสูง เรียนมาทำไมเสียเวลา เป็นผู้หญิงหาผัวรวยๆ แต่งงาน ก็ฉลาดได้” พรหันไปมองศรีแพร “อย่างเอ็งนี่...พ่อไม่ยอมให้เอ็งแต่งงานกับไอ้พวกกะเรวกะราด พวกกุ๊ยข้างคันนาหรอก เอ็งจะต้องแต่งงานกับผู้ชายที่หมาตาย...เอ๊ย ที่พ่อหมายตาไว้แล้ว” พรขบเขี้ยว ขึงขัง “ไม่ใช่ไอ้พวก...เดนคุก”

+ + + + + + + + + +

ทวนกับเมินออกแรงเบ่งจนหน้าแดงกล่ำ ช่วยช้อยเบ่ง คนอื่นๆ ต่างเป็นลมกันไปหมดเมื่อเห็นเลือดสดๆ
“อีก...อีกหน่อย...พ่อเจ้าประคุณรุนรั้วขออีกแรงเถอะ เห็นหัวผลุบๆ โผล่ๆ แล้ว” กล่ำขอร้อง
ทวนตั้งท่าเบ่งแล้วนับ
“สาม...สอง...หนึ่ง...เอ้า”
ทวนเบ่ง เมินมองแล้วบอก
“เฮ้ย เสียงดังหน้าแดง แรงออกด้วยนะโว้ย”
ทวนเริ่มต้นนับอีกครั้ง
“เอ้า...หนึ่ง...สอง...สาม บึ๊ดดดดดด”
ทั้งสองหนุ่มเบ่งเต็มที่ ทันใดนั้น เสียงทารกร้องจ้า กล่ำตื่นเต้นดีใจ
“ออกแล้ว”
ศรีไพรพรวดพราดฟื้นคืนสติ ตื่นเต้นดีใจเช่นกัน
“ออกแล้วหรือน้า ผู้หญิงหรือผู้ชาย”
ศรีไพรเห็นเด็กทารกก็เป็นลมทรุดลงไปอีก ทวนกับเมิน เงยหน้าขึ้นสบสายตากันเป็นครั้งแรกที่กลับมาพบกัน ทั้งสองเหนื่อยจนเหงื่อโทรมใบหน้า

+ + + + + + + + + +

หลวงตาเพิ่งกลับจากกิจนิมนต์ มหาเฉื่อยเดินตามหลวงตาขึ้นกุฏิ ระหว่างนั้นแสนก็วิ่งพรวดพราดเข้ามา ก่อนทิ้งตัวลงนั่งที่บันได ขวางทางขึ้นของหลวงตาเอาไว้
“ไอ้แสน ไปทำอะไรมา ถึงได้หอบเป็นหมาถูกน้ำร้อนลวกยังงี้วะ นี่ข้าก็ รีบกลับเห็นว่าตาเอ็งกับไอ้ศรีไพรจะมาหาข้า”
มหาเฉื่อยมองแสน เข้าใจผิดคิดไปเองว่าทอกกับหมอกคงไปสร้างเรื่องเดือดร้อนอีก
“นั่นน่ะซี ไอ้ทอกกับไอ้หมอก ไปทำเรื่องอะไรร้อนถึงพระคุณเจ้าอีกวะ ไอ้พวกนี้นี่เลี้ยงเสียข้าววัดจริงๆ”
“พี่ทอก พี่หมอก ไม่ได้ทำอะไรหรอกจ้ะท่านมัคทายัก”
มหาเฉื่อยสะดุ้ง
“มัคทายกโว้ย เดี๋ยวเถอะ ไอ้นี่...”
หลวงตาหูตึงได้ยินเป็นอย่างอื่น
“อย่าทำเลยเรื่องอัปรีย์จัญไรน่ะ ไม่ดีหรอก วางเสียเถอะ...เบาดี โยม”
มหาเฉื่อยส่ายหน้า
“โอย...อีกแล้ว หู ไม่ได้ทำเรื่องพรรค์อย่างว่าหรอกขอรับพระคุณเจ้า กระผมกำลังถามไอ้แสนมันว่ามีเรื่องอะไร ไหน” มหาเฉื่อยหันไปหาแสน “ใครมีเรื่องอะไร ไอ้แสน”
“ฉันจะบอกหลวงตาว่า พี่ทวนกับพี่เมิน เขากลับมาแล้ว”
“กลับมาแล้วก็ดีแล้วนี่” แล้วมหาเฉื่อยก็อุทานเสียงดัง
“หา...อะไรนะ...ใครกลับมา...ไอ้ทวนกับไอ้เมินน่ะเรอะ มันกลับมาแล้ว”
มหาเฉื่อยตาเหลือกไปด้วยความตื่นตระหนก

+ + + + + + + + + + +

ทวนกับเมิน มาถึงวัดบ้านนาช่วงบ่ายของวันนั้น ทั้งคู่ก้มลงกราบหลวงตาพร้อมๆ กัน
“ผมกลับมาแล้วละครับหลวงตา”
“ผมด้วยครับ ผม...ไอ้เมิน ลูกหมาตัวเล็กๆ ที่หลวงตาเคยเก็บมาเลี้ยงด้วยข้าววัดจนโต กลับมากราบหลวงตาแล้วละครับ”
หลวงตามองสองหนุ่มอย่างยิ้มแย้ม
“กินข้าวกินปลามาหรือยังล่ะ”
มหาเฉื่อยส่ายหน้า
“โธ่ พระคุณเจ้า ไอ้ทวนกับไอ้เมินหายไปจากวัดตั้งเกือบสิบปี ตอนนี้มันกลับมาแล้ว แทนที่หลวงพ่อจะถามว่ามันไปไหนมา คนทั้งบ้านนาเขาลือกันว่ามันไปติดคุก ดันไปถามมันว่ากินข้าวมาหรือยัง”
หลวงตาไม่สนใจ ทำหูตึงได้ยินไปเป็นอย่างอื่นอีก
“กระชงกระชังน่ะเอาไปทิ้งซะ วัดเป็นเขตอภัยทานห้ามจับปลาในวัดนะ ไอ้ทอก ไอ้หมอก”
มหาเฉื่อยถอนใจ
“เป็นยังงี้มาหลายปีแล้ว ตั้งแต่เอ็งหายออกไปจากวัด คนเรานี่พอแก่ชราอะไรๆ มันก็เหี่ยวโม้ดดด ยกเว้น...”
มหาเฉื่อยหยุดค้างไว้ หมอกรีบต่อยิ้มๆ
“หูจ้ะ หู”
“หูตึง” ทอกบอก
หลวงตาหันมามองทวนกับเมิน แล้วสั่งมหาเฉื่อย
“ไม่ต้องให้มันไปอยู่ที่ไหนหรอกท่านมหา ให้มันไปปลูกเพิงอยู่กันที่ท้ายป่าช้าโน่น ข้าวปลาอาหารญาติโยมเอามาทำบุญ พอประทังชีวิตไปก่อน สักพัก...นะ”
“ขอรับหลวงตา”
“ขอบพระคุณครับหลวงตา”

ทวนกับเมินก้มลงกราบหลวงตาอีกครั้ง อย่างสำนึกในบุญคุณ

อ่านต่อหน้า 2





เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 1 (ต่อ)

เช้าวันต่อมา ศรีไพรและแสน พร้อมด้วยชาวบ้านกำลังใช้ควายไถนา ต่างพากันร้องเพลงไปด้วยอย่างสนุกสนาน มีศรีแพรเป็นคนเตรียมสำรับกับข้าวมาให้ ศรีไพรเพิ่งสำเร็จการศึกษาด้านการเกษตรจากกรุงเทพฯ เธอเป็นตัวตั้งตัวตีชักชวนชาวนา ให้ยึดถือวิธีการทำนาแบบดั้งเดิมโดยใช้แรงงานควาย

ระหว่างนั้น ทวน กับทอก และเมินกับหมอกพากันแอบดูความงามของศรีแพรอยู่คนละมุม เพราะทวนกับเมินต่างก็หลงรักศรีแพรมานานแล้ว
ขณะเดียวกันนั้น ชิงชัย ลูกชายของเศรษฐีบุญช่วย ผู้ทรงอิทธิพลในบ้านนา เดินนำหน้าเลิศและหลิม สมุนจอมกวนเข้ามาด้วยท่าทีโกรธจัด
“เฮ้ย หยุด...หยุดเดี๋ยวนี้ นี่ความคิดใครวะ ใครเป็นคนอนุญาตให้เอ็ง เอาควายมาไถนาแทนการเช่ารถไถของข้า”
หลิมกวาดตามอง
“ซ้ำยังริอ่าน เกณฑ์แรงคนแบบลงแขก มาช่วยลงแรงกันอีก”
“แล้วยังงี้รถไถ รถหว่าน รถตัดข้าวดีดของพี่ชิงชัย กับพ่อเศรษฐีจะไปทำอะไรกิน เจ๊งซี” เลิศโวย
ศรีไพรจ้องทั้งสามคนอย่างไม่เกรงกลัว
“ถอยไป ให้พวกเราทำมาหากินเถอะ ชาวนาน่ะหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน จะรังแกกันไปทำไม”
ชิงชัยไม่พอใจมาก
“ไอ้ศรีไพร ตั้งแต่จบเกษตรสาขาพืชสวนมานี่ร้อนวิชานะ นี่ความคิดของเอ็งใช่มั้ย ที่เกณฑ์ชาวบ้านกลับมาทำนาแบบเก่าน่ะ”
“ทุกวันนี้ชาวนาเป็นหนี้ท่วมหัวๆ ท่วมดอก ก็เพราะไอ้วิธีที่ต้องซื้อทุกอย่าง ทำนาได้ข้าวก็ต้องเอาข้าวท่านไปขายหักหนี้ ได้เงินมาซื้อข้าวถุงกิน แล้วก็เป็นหนี้เพื่อซื้อปุ๋ยซื้อยาซื้อพันธ์ข้าวปลูก หลงอยู่ในวงจรหนี้...ไม่จบ”
ศรีแพรเดินเข้ามาพูดดีด้วย
“ชิงชัย ฉันขอร้องละ อย่ารังแกชาวนาอีกเลย ให้เราลืมตาอ้าปากบ้างเถอะ”
ชิงชัยยิ้มกริ่ม
“พูดจาน่ารักยังงี้นี่เอง พี่ถึงได้หลงรักศรีแพรคนงาม ถึงกับนอนอ้อนหมอนว่า ชาตินี้พี่ต้องเอาศรีแพรเป็นเมียให้ได้”
ชิงชัยยื่นมือมาจะจับแก้มศรีแพร ศรีไพรกระโดดเข้าเตะมือของชิงชัย แล้วก้าวเข้ามาขวางไว้
“อย่าแตะพี่สาวข้านะ”
“หนอย หวงพี่สาว เอ็งควรจะดีใจนะที่ข้าให้เกียรติพี่สาวเอ็งลำดับต้นๆ คนอย่างข้า ร่ำรวยเหลือใช้ออกยังงี้ มีมั้ย...มีผู้หญิงคนไหนไม่ต้องการเอาไปเป็นผัว ไหน...มี ไม่มี มี ไม่มี”
ชิงชัยมองไปรอบๆ ชาวบ้านที่ยืนมองชิงชัยกับพวกอย่างชิงชัง ทุกคนถ่มน้ำลายลงกับพื้นทีละคน ชิงชัยแผดสียงดังลั่นด้วยความโกรธ
“เอาโว้ย ไอ้เลิศ ไอ้หลิม ฉุดนังศรีแพรไปเป็นเมียข้า ส่วนไอ้ศรีไพรเอามันไปทิ้งในปลักควายโว้ย”
ศรีไพร กับชาวบ้านช่วยกันต่อสู้กับพวกของชิงชัย
“ว้าย...ช่วยด้วย...”
ชิงชัยเข้าฉุดศรีแพร ศรีแพรกรีดร้อง ทันใดทวนกับเมินออกจากที่ซ่อน ศรีแพรเห็นก็ดีใจ
“พี่เมิน พี่ทวน ช่วยด้วย”
ชิงชัยชะงัก
“ไอ้ทวน ไอ้เมิน”
“เออ ข้าเอง”
เมินมองหน้าชิงชัย
“ข้าด้วย...”
ทวนกับเมินเข้าต่อสู้ แย่งกันช่วยศรีแพร ศรีไพรและชาวบ้านสู้กับพวกของชิงชัย จนพวกมันล่าถอยไป ศรีแพรรีบเข้ามาจับมือของเมินไว้ เพราะศรีแพรรักเมิน ต่างดีใจที่ได้พบกัน
“พี่เมิน พี่หายไปไหนมาตั้งเกือบสิบปี พี่...กลับมาแล้ว”
ทวนแววตาสลดลง เมื่อเห็นภาพบาดตานั้น ศรีไพรปราดเข้ามาดึงมือของพี่สาวไว้ ด้วยความหวงแล้วเข้าแทรกกลาง
“นี่...นายสองคนนี่เอง ปล่อยมือพี่สาวฉันเดี๋ยวนี้นะ ใครอนุญาตให้นายจับมือถือแขนพี่ศรีแพร ช่วยชาวนาสู้กับไอ้พวกนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะรับนายเป็นพี่เขยนะ ทั้งสองคน โน่น...มาทางไหนไปทางนั้นเลย ไป”
“ศรีไพร...นี่พี่เมินกับพี่ทวนไง” ศรีแพรแนะนำ
ศรีไพรส่ายหน้า
“ไม่รู้จัก”
“ก็ตอนที่พี่เมินกับพี่ทวนหายไปจากบ้านนา พี่ศรีไพรไปเรียนที่กรุงเทพฯ” แสนอธิบาย
“พี่ทวนกับพี่เมิน เขาเป็นลูกศิษย์หลวงตาฉุนไงล่ะ” ศรีแพรหันไปยิ้มให้เมิน “ฉันดีใจที่พี่กลับมาแล้ว”
เมินยิ้มหวานตอบ
“พี่ด้วยจ้ะ”
ศรีไพรมองอย่างหมั่นไส้
“นี่...ระลึกชาติกันเสร็จแล้วก็ต่างคนต่างไป ไอ้แสน...”
“จ๋า”
“พาพี่ศรีแพรกลับบ้าน”
“แต่ว่า...”
เมินขยับเข้าใกล้ศรีแพร ศรีไพรยื่นขาออกมากั้นไว้
“เดี๋ยวนี้เลยไอ้แสน เอาพี่ศรีแพรไปเก็บ ปิดประตูใส่กุญแจ แล้วปล่อยไอ้แด่นกับอีด่างออกมาจากกรง ใครจะผ่านฝูงสุนัขเข้าไปจีบพี่ศรีแพรเจอเขี้ยวแน่”
ทวนกับเมิน หันมามองสบสายตากันและกันอย่างงงงัน ที่ถูกกีดกันสุดฤทธิ์

+ + + + + + + + + + + +

บุญช่วยโกรธเมื่อเห็นชิงชัยกับสมุนบาดเจ็บกลับมา สไบ สาวใช้สวยเซ็กซี่ ซึ่งตอนนี้ขยับฐานะขึ้นมาเป็นเมียเก็บของบุญช่วย ช่วยทำแผลให้ชิงชัย
“ไอ้ทวนกับไอ้เมินมันกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็มันหายหัวไปจากบ้านนาเกือบสิบปี เขาลือกันว่ามันไปติดคุก แต่ไม่มีใครรู้ว่ามันมีคดีอะไร หลวงพ่อท่านก็ไม่เคยพูดถึงมัน” บุญช่วยคิดๆอย่างแปลกใจ
“ฉันเห็นมันจริงๆ นะพ่อ มันเป็นศัตรูเก่าของฉัน ทำไมฉันจะจำมันไม่ได้ มันเปลี่ยนไปจากที่เคยเป็นเด็กวัด แต่ฉันบอกไม่ถูกหรอกพ่อว่ามันเป็นยังไง”ชิงชัยบ่น
“เอ็งรู้สึกไปเองน่ะซี เมื่อก่อนเอ็งเป็นไม้เบื่อไม้เมากับพวกเด็กวัด แต่ถึงยังไงเราก็ต้องระวัง เพราะงานที่เราทำอยู่นี่...นี่...” บุญช่วยหันไปมองสไบ “เอ็งทำแผลเสร็จหรือยัง นังสไบ”
“เสร็จเดี๋ยวนี้แหละจ้ะ”
สไบเล่นหูเล่นตากับชิงชัย ไม่สนใจเลิศกับหลิมที่ยืนน้ำลายไหลเพราะความสวยเซ็กซี่ บุญช่วยหันมาคุยกับชิงชัย
“ข้าได้ข่าวมาว่าจะมีโครงการตัดถนนผ่านบ้านนา ถนนนี่แหละ...มันจะลัดระยะทางขนของๆเรา ไม่ต้องบรรทุกเรือไปขึ้นฝั่งฝากโน้นเพื่อลำเลียงเข้ากรุงเทพฯ เราจะกว้านซื้อที่นาราคาถูกไว้รองรับโครงการที่ว่านั่น”
“พ่อ แต่ไอ้ศรีไพรมันกำลังปั่นหัวชาวบ้านให้แข็งข้อ”
“มันจะทำอะไรได้ ชักชวนคนกลับมาทำนาแบบเก่าหรือ ชาวนาเดี๋ยวนี้สบายจนเคยตัวแล้ว อะไรๆ ก็จ้าง ทั้งจ้างหว่านจ้างไถ ไหนจะจ้างรถเกี่ยวอีกล่ะ คนสบายแล้วน่ะโว้ย ใครเขาอยากจะกลับไปลำบากอีก เอ็งไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ มันเรื่อง...”บุญช่วยยิ้มเยาะ “ขี้หมา...”

+ + + + + + + + + + + +

ศรีแพรก้าวออกมาจากเรือน เหลียวซ้ายแลขวาจะออกไปพบเมิน ศรีไพรยืนรออยู่ที่บันได ส่งเสียงขึ้น
“จะไปไหน พี่ศรีแพร”
“เอ้อ...พี่...อย่าเอะอะไปนะ พี่จะออกไปพบพี่เมินเขา พี่กับพี่เมินไม่ได้พบกันมาเกือบสิบปีแล้วนะ พี่อยากรู้ว่าทำไมเขาไปไม่บอกกล่าวสักคำ เขาไปทำอะไรที่ไหน”
ขณะเดียวกันนั้นพรส่งเสียงมาก่อน สดและแสนตามมาติดๆ
“มันไปไหนทำอะไร มันก็ไปติดคุกน่ะซี ห้ามไม่ให้เอ็งไปยุ่งเกี่ยวกับมันอีก มันเป็นแค่เด็กวัดที่หลวงตาเก็บมาเลี้ยง ซ้ำยังเป็นคนขี้คุก อนาคตแทบจะมองไม่เห็น”
“แม่ก็เห็นด้วยกับพ่อของเอ็งนะ เมื่อก่อนก็ดูว่าไอ้ทวนกับไอ้เมินมันเป็นเด็กนิสัยดี แต่พอมันหายไปเฉยๆ แล้วมีข่าวลือว่ามันไปติดคุก แม่ก็เลย...”
เมื่อพ่อกับแม่บอกอย่างนั้น ศรีไพรรีบเสริม
“พี่ศรีแพร พ่อกับแม่เป็นห่วงพี่นะ มันก็น่าห่วงหรอก ไม่มีใครรู้ว่าไอ้สองตัวนั่นมันไปติดคุกคดีอะไร”
“ฉันไม่เชื่อหรอกพ่อ ว่าคนอย่างพี่เมินพี่ทวนเขาจะทำเรื่องเลวๆ ได้ ฉันรักพี่เมิน ฉันจะแต่งงานกับพี่เมินให้ได้” ศรีแพรน้ำเสียงจริงจังหนักแน่น
“นัง...”
พรโมโหจะเข้าตีลูกสาว ศรีไพรรีบขวาง
“อย่า พ่อ...”
ศรีแพรร้องไห้ วิ่งขึ้นเรือนไป สดหันมาต่อว่า
“แกละก็ ค่อยพูดจาตักเตือนมันก็ได้ แกด่าลูกยังงี้เดี๋ยวมันผูกคอตายจะว่ายังไง หัวหงอกหัวดำ เป็นพ่อคนแล้วยังไม่มีความคิดอีก ฮึ”
สดรีบตามศรีแพรขึ้นเรือนไป พรอึ้ง
“อ้าว นี่...ข้า...ผิด...”
“พ่อไม่ได้ผิดหรอก แต่พ่อ...พลาด พ่อไม่ควรจะเปิดโอกาสให้พี่ศรีแพร ออกปากรักไอ้หมอนั่นเลย พ่อนะพ่อ...เป็นพ่อคนแล้วยังจะ...”
ศรีไพรยังพูดไม่จบ พรพูดต่อ
“ไม่มีความคิดอีกใช่มั้ย เออ...กูมัน...”
“จน...จ๊น...จน...ใช่มั้ยล่ะ พ่อ”
ศรีไพรทำหน้าล้อเลียน ก่อนวิ่งหนีขึ้นเรือน พรโกรธ
“หนอย มันยอกย้อนพ่อ ไม่เห็นแก่หัวหงอกหัวดำของผู้บังเกิดเกล้า รู้ยังงี้ไม่ส่งให้มันไปเรียนสูงๆ หรอก เรียนแล้วไม่มีสำนึก” พรโมโหหันไปพลานแสน “เอ็งก็อีกคน...”
พรหันรีหันขวางด้วยความขุ่นเคือง แสนกลัวจะโดนลูกหลง รีบวิ่งตามศรีไพรขึ้นเรือนไป

+ + + + + + + + + + + +

ทวน เมิน ทอกและหมอก ช่วยกันปลูกเพิงท้ายป่าช้าเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยใกล้ๆ กับเมรุเผาผี ที่มีบรรยากาศวังเวงน่ากลัว
“ฉันไม่เข้าใจเลย...ว่าหลวงตาท่านคิดยังไง ถึงได้ให้พี่มาปลูกเพิงอยู่ที่ป่าช้าท้ายวัดนี่ แทนที่จะให้อยู่ที่กุฏิหลวงตาเหมือนเมื่อก่อน” ทอกบ่น
“ก็ตอนนี้กับเมื่อก่อนมันไม่เหมือนกันแล้วนี่หว่า ข้ากับไอ้เมินไม่ใช่เด็กมัธยมแล้วนะ” ทวนบอก
หมอกนึกได้หันมาถามทวน
“แล้วพี่ไม่อยากรู้หรือว่า พี่เมินเขาหายไปไหนมา”
ทอกได้ยินอย่างนั้น ก็หันมาถามหมอกบ้าง
“แล้วลูกพี่เอ็งล่ะ อยากรู้มั้ยว่าพี่ทวนเขาหายไปทำอะไรมา”
เมินรีบตัดบท
“ไม่มีใครอยากรู้ว่าใครหายไปไหน ทำอะไรมาหรอก ชาวบ้านอยากจะพูดอะไรก็ให้พูดไป หลวงตาท่านยังไม่อยากรู้เรื่องทางโลก เราจะไปรู้มากกว่าท่านทำไมวะ”
หมอกมองเมินกับทวน
“เอาเป็นว่าพี่จะไม่บอกฉันใช่มั้ย ว่าพี่สองคนหายไปไหนมาตั้งเกือบสิบปี”
“พี่ไม่บอก ฉันก็ไม่อยากรู้” ทอกมองทวนยิ้มๆ แล้วเย้าแหย่ “แต่ถึงพี่ทวนเขาจะหายไปนาน แต่หัวใจของเขายังอยู่ที่นี่...บ้านนา”
“นี่ เร่งมือดีกว่า มุงหลังคาให้เสร็จคืนนี้ จะได้ไม่ต้องนอนตากน้ำค้าง” ทวนเปลี่ยนเรื่อง
เมินมองทวนอย่างไม่ชอบใจนัก
“ถามจริงๆ เอ็งยังรักศรีแพรอยู่ใช่มั้ย”
ทวนจ้องหน้ากลับ
“เอ็งล่ะ เอ็งก็ยังรักศรีแพรอยู่ใช่มั้ย เอ็งถึงได้กลับมาบ้านนา ข้าเพิ่งรู้นะว่าศรีแพรมีน้องสาวอีกคน หน้าตาก็พอพาไปวัดได้ตอนโพล้เพล้ๆ ข้ายกให้ว่ะ”
เมินส่ายหน้า
“ไม่รับ ข้าไม่ใช่ผู้อำนวยการสวนสัตว์ ถ้าเอ็งอยากจะแข่งกับข้าละก็ เราเริ่มต้นนับหนึ่งกันอีก...มั้ย”
“หนึ่ง...”ทวนนับ
“สอง...”เมินนับตาม
“สาม...”
ขาดคำทวน ทอกพูดขึ้นทันที
“แก๊งส์ ระฆังยกแรก...เริ่ม...”
“เฮ้ยๆๆ ไอ้ทอก นี่ไม่ใช่สนามมวยโว้ย แต่นี่เป็นสนามรัก” หมอกหันมามองทวนกับเมิน “ถ้าพี่ทั้งสองคนรักผู้หญิงคนเดียวกันละก็ สิ่งที่พี่ต้องสังวรไว้ให้มากๆ ก็คือ...คุณพ่อ”

+ + + + + + + + + + + +

วันต่อมา...
พรและศรีไพรเอาปืนยาวไล่ยิง ทวน เมิน ทอกและหมอกต้องเผ่นกระโดดลงจากเรือน พรขว้างชะลอมที่มีฝักบัว กระจับ มะพร้าวอ่อน และพุทราที่พวกเขาเอามาเป็นของฝากแตกกระจายพื้น
“ไปให้พ้นจากเรือนของข้า ไอ้พวกคนเดนคุก นะ...หนอย...มาไหว้ ไม่รับไหว้โว้ย มันจะมาจีบลูกสาวของข้า ไหน...เครื่องทุ่นแรง ไหน...ที่นา ที่ไร่ ที่สวน ไหน...เพชรนิลจินดา ไหน...ข้าวของเงินทอง”
“ไหน...พันธบัตรรัฐบาล ไหน...หุ้น ไหน...สลากออมสิน ไหน...เครื่องบินส่วนตัว” ศรีไพรเสริม สดมองหน้าลูกสาวปรามๆ
“มากไปมั้ย ไอ้ศรีไพร งกแค่หอมปากหอมคอ อย่าให้มันออกนอกหน้านัก คนมันจะนินทาว่าพ่อแม่บ้านนี้กินเงินเป็นอาหาร”
ศรีแพรไม่พอใจ พยายามอธิบาย
“พ่อ แม่ ทำกับพี่ทวนพี่เมินเขาเกินไปนะ พ่อน่าจะให้โอกาสเขา ถึงเขาจะไปติดคุกก็เถอะ ไม่มีใครรู้จริงๆ หรอกว่าเขาหายไปไหนมา”
“คนเขาลือกันทั้งบางว่ามันไปติดคุก ถ้ามันไปได้ดิบได้ดี มันต้องส่งข่าวหลวงตาฉุนบ้างซี นี่มันหายเงียบไปตั้งเกือบสิบปี” พรแย้ง
ศรีไพรเบ้หน้าหมั่นไส้
“กลับมาทำเป็นปิดปากเงียบ ให้คนเขาอยากรู้ซะยังงั้น พี่จะรักคนที่เขาไม่ยอมให้พี่รู้ว่าเขาเป็นใครยังงั้นหรือ”
สดเห็นด้วยกับศรีไพร
“ใช่ หรือว่าเอ็งรู้ว่ามันไปทำอะไรมา...”
ศรีแพรแววตาหวั่นไหว ลังเล ตอบไม่ได้

+ + + + + + + + + + + +

หลังจากถูกไล่ลงจากบ้านของศรีแพร ทวนเดินนำหน้าเมิน ทอกและหมอกอยู่ในป่า เพื่อกลับเพิงท้ายป่าช้า
“พี่ไม่อยู่นี่ เศรษฐีบุญช่วยพ่อไอ้ชิงชัยมันแผ่ขยายอิทธิพล จนเกือบจะเป็นเจ้าของที่นาทั้งตำบลแล้ว ใครไม่มีเงินก็ไปขอเชื่อปุ๋ยเชื่อยา กับพันธ์ข้าวปลูก ต้องจ้างหว่าน จ้างไถจ้างเกี่ยว ตอนนี้ข้าวดีดมันคุกคามชาวนา เลยต้องจ้างรถของมันมาตัดข้าวดีดอีก” ทอกเล่าให้ทั้งสองฟัง
“ชาวนาก็เลยต้องเป็นหนี้เศรษฐีบุญช่วย ยกเว้น...”
หมอกนิ่งไป ทอกเลยพูดต่อ
“ตาพรกับยายสด ตั้งแต่ลูกสาวคนเล็กเรียนจบกลับมาทำนาแบบเก่านี่ ชาวบ้านเริ่มจะเห็นแล้วว่ามันได้ผลจริงๆ แต่มันต้องลงแรงหน่อย”
ทวนถอนใจ
“เมื่อก่อน พ่อแม่ปู่ย่าก็ทำนาด้วยการใช้แรงกันทั้งนั้น”
“แล้วเดี๋ยวนี้คนเป็นอะไรกันไปหมด ทำไมต้องยอมแพ้เครื่องจักร...” เมินพูดแบบหน่ายๆ
ทันใดนั้น ทอกก็ชะงักหยุดเดินเงี่ยหูฟัง
“พี่ เสียงอะไรน่ะ”
หมอกนิ่งฟัง
“เสียงเหมือน...เหมือนนังสไบกิ๊กของเศรษฐีบุญช่วยเลยว่ะ อีตรงนี้มันมีแอ่งน้ำ มันเปลี่ยวซะด้วย โอย...ฉันไม่อยากคิดเลยจ้ะว่านังสไบมันจะมาแก้ผ้าอาบน้ำ”
ทอกตะลึงตัวสั่น
“แก้ผ้า”
ทวนมองอย่างแปลกใจ
“เป็นอะไรวะ ไอ้ทอก”
เมินมองสงสัย
“เจ้าประทับทรงหรือวะ ทำไมถึงได้สั่นไปทั้งตัวยังงี้”
“ฉัน...สะ...สั่น...สั่นสู้จะพี่ เรื่องถ้ำมองนี่ถึงไหนถึงกัน สู้...สู้ตาย”
ทอกรีบหลบเข้าหลังโขดหิน หมอกรีบตามเข้าไป เมินอ้าปากห้าม แต่เสียงกลับแผ่วๆลง
“เฮ้ย อย่า...อย่าช้า...”
ทวนกับเมินหันมาสบสายตากัน ต่างรีบวิ่งแข่งกันไปแอบดูสไบอาบน้ำ
สไบนั่งหันหลังอาบน้ำอยู่ ฮัมเพลงอย่างมีความสุข ขณะเดียวกันั้น ชิงชัยปรากฏตัวขึ้น ทั้งสี่คนรีบหลบวูบ ชิงชัยถอดเสื้อทีละชิ้นเหวี่ยงโยนออกไป ยิ้มกริ่มด้วยแววตาเจ้าชู้ เสื้อผ้าของชิงชัยโยนลงมาตรงหน้าของทอกและหมอกพอดิบพอดี

ทุกคนเห็นภาพนั้นต่างพากันตกใจ เพราะรู้ว่าสไบเป็นผู้หญิงของบุญช่วยพ่อของชิงชัย!

อ่านต่อหน้า 3





เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 1 (ต่อ)
 
วันต่อมา ชาวนาซึ่งนั่งอยู่กับพื้นต่างก็ตั้งใจฟังศรีไพร ที่กำลังพูดชักชวนชาวบ้านให้พวกเขากลับมาใช้วิธีการทำนาแบบดั้งเดิม ในขณะที่พูดศรีไพรก็ลูบไล้ เจ้าเฉิดไฉไล ควายคู่ใจไปด้วยอย่างทนุถนอมรักใคร่

“บรรพบุรุษของเรา...คนรุ่นปู่ย่าตาทวด ก็ใช้ควายไถนา ไอ้ไฉไลเฉิดตัวนี้ไม่กินน้ำมัน ไม่ต้องเสียเงินจ้าง ไม่ต้องมีอะไหล่ ไม่ต้องซ่อม พี่ป้าน้าอาแค่หาหญ้าหาฟางให้กินเป็นอาหาร สุมไฟไล่ยุง แล้วก็พูดกับมันดีๆ ไฉไลเฉิดเอ๊ย...เป็นยังไงบ้างตัวเอง วันนี้ไถนาสิบห้าไร่เหนื่อยมั้ย ถ้าเหนื่อยเดี๋ยวจะพาไปสปา เอ๊ย...ลงน้ำ ไอ้ไฉไลเฉิดนี่นอกจากจะไถนา เป็นพาหนะเวลาไปไหนมาไหนแล้ว มูลของมันยังเอามาทำเชื้อเพลิงได้ แก๊สที่เกิดจากการหมักมูลพวกนี้ใช้หุงต้มได้ ส่วนที่เหลือก็ออกไปตากแห้งไว้ทำปุ๋ยหมัก ประโยชน์ครบถ้วนยังงี้แล้วเรามาใช้ควายกันเถ๊อะ”
ทันใดนั้น ชิงชัยเดินเข้ามา มองศรีไพรกวนๆ
“ชะๆๆๆ ไอ้ศรีไพร มาโฆษณาชวนเชื่อเรื่องควายอยู่นี่เอง ควายน่ะ...ใครอยากใช้ อืดอาด ยืดยาด ดื้อ และ โง่ มันต้องเครื่องจักรโว้ย สั่งให้หันซ้าย ดังใจ หันขวา มาเต็ม ไม่ร้อง ไม่งอแง ไม่งี่เง่า ควายน่ะ...เอ็งพูดไม่ถูกหูมันเมื่อไหร่ มันก็เอาแต่ร้อง...ม้อ...ม้อออ”
ศรีไพรไม่พอใจ
“ที่เอ็งพูดยังงี้ก็เพราะเอ็งมีรถไถ รถหว่านกับรถเกี่ยวให้เช่าใช่มั้ย เช่าแล้วเป็นยังไง ต้นหายกำไรหด ชาวนาไม่มีอะไรเหลือ เป็นของเอ็งหมด”
ทวนกับทอกเดินผ่านมา จึงเข้ามาฟังด้วยความสนใจกับความคิดของศรีไพร
“แต่ชาวนาก็ไม่เหนื่อย ไม่ต้องดำนาหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน ได้เอนหลังนั่งดูบอล ตรวจหวย แล้วก็คิดๆๆๆ ว่าจะเอาเงินที่ไหนไปส่ง ธกส. เครื่องจักรผิดตรงไหน”
“ผิดตรงที่มันกินแรงคน เอารัดเอาเปรียบมนุษย์ เรามีพลังงานทดแทนที่ไม่ต้องใช้น้ำมัน หรือใช้...ก็ใช้ให้น้อยลงได้”
“นี่ถ้าเอ็งมีผัวแล้วมีลูกเป็นโหลๆ เอ็งคงไม่มีเวลามาทำการบ้านแทนชาวนานะ”
“ชาวนาปลูกข้าวให้คนกิน เขาต้องมีคุณภาพที่ดี ข้อสำคัญต้องมีความสุข มีเกียรติที่เขาสมควรได้รับ”ศรีไพรเถียงอย่างไม่ยอมแพ้
ทวนปรบมือ ก้าวเข้ามา
“ผมเห็นด้วย พวกที่เอารัดเอาเปรียบมนุษย์ ถามหน่อยตายแล้วไปไหน ไปลงนรก เอาเงิน...หรือแม้แต่เอ๊าะๆ ไปด้วยได้มั้ย ไม่ได้ ไม่มีบัตรสำรองที่นั่ง”
หลิมหันไปตวาด
“ไอ้ทวน นี่ไม่ใช่เรื่องของเอ็ง เอ็งไม่มีไร่นา อาศัยข้าววัดกิน ไม่ต้องยุ่ง”
“แต่ข้าววัดก็มาจากชาวบ้านที่ลงแรงทำนา เอายังงี้...มู่ทู่ ฉันร่วมด้วย”
ศรีไพรหันมาทำตาเขียวใส่ทวน
“ใครเชิญ นี่เขากำลังต่อรองเรื่องคนกับเครื่องจักรอยู่ ไอ้ไฉไลเฉิดตัวนี้มีประโยชน์กว่าเครื่องจักร”
“พิสูจน์ได้มั้ยน้า” ทวนถามยิ้มๆ
ชิงชัยมองหยัน
“งั้นก็มาพิสูจน์กัน นี่น่ะหรือ...ไอ้ไฉไลเฉิดของเอ็ง ตั้งชื่อก็ไม่แยกประเภทเลยนะ ไอ้ควายโง่...”
ควายไม่พอใจร้องลั่น
“มอ...”
“พี่ มันด่าพี่ว่าไอ้เซ่อ” หลิมบอกลูกพี่
“มอ...” ควายร้องอีก
เลิศชี้ควายอย่างโมโห
“หนอย หาว่าไอ้หลิมเพื่อนกู...บัดซบ”
หลิมสะดุ้งมองเลิศ...มึงด่าหรือควายด่ากันแน่
“มอ...”ควายร้องอีก
ทวนมองพวกชิงชัยยิ้มกวนๆ
“นอกจากนั้นแล้ว มันยังไล่พวกเอ็งไปให้พ้นซะ ก่อนที่มันจะมีอารมณ์”
ชิงชัยขำหยัน
“มีอารมณ์ทำไมวะ”
“ขวิด เอาเลยไฉไลเฉิด ประจำการ...มอๆๆๆ มอๆๆ”
ศรีไพรตะเพิดควายให้ไล่ขวิด ชิงชัยกับพวกร้องลั่น วิ่งหนีไป ศรีไพรหัวเราะชอบใจก่อนที่จะชะงัก มองหน้าทวน
“เพื่อนของนายอีกคนไปไหน...ตายละวา...หรือว่า...”
ศรีไพรแววตาของตื่นตระหนก ทวนอุทานเมื่อนึกถึงเมิน
“ไอ้เมิน...”

+ + + + + + + + + + + +

ศรีแพรกับเมินลักลอบมาพบกันที่ธารน้ำ ศรีแพรร้องไห้ ซบไหล่เมิน
“ถ้าพี่ตอบไม่ได้ ฉันก็ไม่อยากรู้หรอกว่าพี่เมินหายไปไหนมาตั้งเกือบสิบปี พี่ไม่เคยลา ไม่เคยส่งข่าว จู่ๆ พี่ก็หายไปเหมือนคนตายจากกัน”
“พี่มีความจำเป็นจริงๆ แต่พี่คิดถึงศรีแพรทุกวันทุกคืน ไม่เคยลืมเลยว่าพี่รักศรีแพร พี่ดีใจที่ศรีแพรยังรอพี่”
“พี่เมิน เรื่องของเรามันไม่ง่ายเหมือนตอนที่เราเพิ่งจะรุ่นหนุ่มรุ่นสาว พ่อคงไม่ยอมให้ศรีแพรแต่งงานกับคนที่ไม่มีอะไร พ่อเลือกแต่คนที่เขามีความพร้อม ลูกจะได้มีความสุข”
“พี่ขอเวลาสักพัก พี่จะฟอกตัวเองให้สะอาด เราสองคนจะแต่งงานกัน”
เมินกับศรีแพรมองสบสายตากัน ค่อยๆเลื่อนใบหน้าเข้าหากัน ศรีไพรกับทวนรีบแทรกเข้ามากึ่งกลาง แยกศรีแพรและเมินออกจากกัน
“ไม่ได้ แต่งไม่ได้ พ่อไม่ให้แต่ง” ศรีไพรเสียงแข็ง
“ใช่ ฉันก็ไม่อนุญาตให้แกแต่งงานกับศรีแพร จนกว่าแกจะพิสูจน์ให้ได้ว่าแกรักศรีแพรมากกว่า...ฉัน”
ศรีไพรคว้ามือพี่สาวแล้วสั่งเสียงเข้ม
“กลับบ้านเดี๋ยวนี้”
ศรีแพรชะงัก
“ศรีไพร”
ศรีไพรมองหน้าเมินอย่างเอาเรื่อง
“แล้วอย่ามายุ่งกับพี่สาวของฉันอีก ไม่ยังงั้น...เจ็บ...”
ศรีไพรชี้หน้าเมิน เลยไปถึงทวน ก่อนดึงพี่สาวออกไป เมินหันไปมองทวนเซ็งๆ
“โธ่โว้ย ทำไมต้องเข้ามาตอนนี้ด้วยวะ มาให้ช้ากว่านี้สัก...สักสิบนาทีได้มั้ย”
“ขืนมาข้ากว่านี้ฉันก็ขาดทุนย่อยยับน่ะซี นี่...มาทำสัญญาลูกผู้ชายกัน แก...ฉัน นอกจากรัก จะไม่มีใครแตะต้องให้ศรีแพรมีมลทิน”
“ตกลง ใครดี...คนนั้นได้แต่งงานกับศรีแพร และฉัน...ต้องชนะแกแบบนอนมาอยู่แล้ว”
“ฉันจะเป็นม้ามืด ทำให้ศรีแพรเปลี่ยนใจกลับมารักฉันให้ได้ จากนั้นฉันก็แต่งงานกับศรีแพร แล้วมีลูกสัก...สักสิบสองคน”
“ลูกหมาหรือลูกแมววะ ออกเป็นครอกๆ”
“จะลูกหมา ลูกแมว หรือลูกใคร แต่ฉันต้องได้แต่งงานกับศรีแพร ส่วนยายมู่ทู่นั่น ฉันยกให้...แก”
ทวนกับเมิน สบสายตากันอย่างท้าทาย

+ + + + + + + + + + + +

บุญช่วยมาหาพรที่บ้าน โดยมีชิงชัยกับสมุนตามมาด้วย พรกับสดรีบลงมาต้อนรับ พรนั้นชื่นชอบคนมีเงิน ต้องการให้ศรีแพรแต่งงานกับคนร่ำรวยเท่านั้น
“ท่านเศรษฐี วันนี้มาถึงเรือนของข้า เชิญขึ้นบนเรือนก่อนเถอะ”
“เชิญจ้ะ มากันทั้งตระกูลยังงี้ คงไม่ใช่เรื่องดีหรอก” สดแขวะ
บุญช่วยหน้าตึง
“ใช่ ก็เรื่องลูกสาวเอ็ง นังศรีไพรน่ะซี มันเที่ยวยุยงชาวบ้าน ให้แข็งข้อกับข้า ถ้ามันจะเอาควายไปไถนาก็เชิญมันไถไปคนเดียว ทำไมต้องชักชวนชาวบ้านทำนาแบบใช้ควายด้วย ยังงี้ธุรกิจข้าเสียหายนะ ตาพร”
“คนใช้ควาย เขาจะเช่าเครื่องจักรทำไม รถไถรถหว่านรถเกี่ยวเลยตกรุ่น ทำยังงี้มันหยามหน้ากันนะ” ชิงชัยพูดเสียงแข็ง
ศรีไพรกับศรีแพรและแสนเดินเข้ามา ศรีไพรพูดสวนขึ้น
“หยามยังไง ไร่นาท่านเศรษฐีมีนับร้อยนับพันไร่ ก็ใช้เครื่องจักรไถหว่านเข้าไปซี ทำไมต้องบังคับชาวบ้าน ให้ชาวบ้านมีทางเลือกใหม่ๆ เผื่อจะรอดตายจากหนี้บ้างไม่ได้หรือไง”
บุญช่วยไม่พอใจ
“ที่เอ็งพูดนี่ เอ็งจะทำธุรกิจขายควายหรือยังไงวะ”
“ฉันไม่ทำธุรกิจหรอก ท่านเศรษฐี ขอแค่มีอยู่มีกินมีแล้วรู้จักพอ เราก็มีความสุข”
“จ้ะ ท่านเศรษฐี ทำนาแบบเก่าหรือทำนาแบบใหม่ มันก็ต่างวิถีกัน ควรจะให้ชาวนามีทางเลือกบ้าง” ศรีแพรบอก
พรหันไปดุลูกสาว
“นี่ นังศรีแพร อย่าไปเถียงท่านเศรษฐีท่านยังงั้นซี ท่านอาบน้ำร้อนมาก่อนเอ็งนะ” พรหันไปยิ้มแหย “ต้องขอโทษท่านเศรษฐีด้วย ที่นังศรีไพรกับนังศรีแพรมัน...มัน...มัน...”
ศรีไพรมองท่าทีที่นอบน้อมของพ่อ ก็ไม่ชอบใจจึงพูดขัดขึ้น
“ไม่ต้องไปขอโทษใครหรอกพ่อ เราไม่ได้ทำอะไรผิด ท่านเศรษฐีต่างหากล่ะ ที่ต้องมาขอบใจเรา ที่เราตกเป็นทาสวัตถุซะนาน กว่าจะรู้ก็เกือบหมดตัว”
“แต่ท่านเศรษฐี รวยขึ้นเรื่อยๆ” ศรีแพรประชด
“แรงไปมั้ย” สดปราม
“ไม่แรงหรอกแม่ คนบางคนน่ะพูดเบาๆ ไม่ได้ยินหรอก พวกนี้หูหนวก ตาบอด รวยซะจนหูอื้อ ไม่ได้ยินเสียงร้อง หรือเห็นความเดือดร้อนของใคร” ศรีไพรแดกดัน
ชิงชัยโกรธ
“นังศรีไพร นี่ขนาดต่อหน้าพ่อข้านะ”
ศรีไพรมองกวนๆไม่เกรงกลัว
“ใหญ่มาจากไหนล่ะ ถึงทนฟังความจริงไม่ได้ ต้องให้คนมันเอาไปพูดลับหลังไอ้ที่เรียกว่านินทารึไง ไปจากเรือนนี้...เดี๋ยวนี้ ไม่ยังงั้น” ศรีไพรหันไปตะโกนเรียกควาย “ไอ้ไฉไลเฉิดจ๋า ประจำการ”
ชิงชัยตื่นกลัวรีบดึงมือพ่อ
“ไป พ่อ ไปเร็ว วิ่งเถอะ เดี๋ยวไอ้ไฉไลเฉิดประจำการละก็ มันขวิดแหลกเลย โอย...”
“เฮ้ย เดี๋ยวก่อน ข้ายังพูดกับมันไม่รู้เรื่องเลยไอ้...เอ็ง...ฝากไว้ก่อนเถอะวะ”
ชิงชัยลากบุญช่วยออกไป หลิมกับเลิศรีบตามเพราะกลัวฤทธิ์เดชของควาย พรหันไปดุศรีไพรอย่างหัวเสีย
“นังศรีไพร โธ่ๆ ทำไมไปพูดกับเศรษฐีบุญช่วยยังงั้นวะ ท่านเศรษฐีอุตส่าห์พาลูกชายมาถึงบ้าน ข้ายังไม่ได้ต้อนรับขับสู้เลย”
“พ่อจะต้อนรับขับสู้คนที่เอาเปรียบชาวนาอย่างเราหรือ ใจคอพ่อจะอยากรวยเหมือนเศรษฐีบุญช่วยอีกคนหรือยังไง”
ศรีแพรมองพรด้วยแววตาจริงจัง
“ฉันไม่แต่งงานกับนายชิงชัยหรอก ฉันจะแต่งงานกับพี่เมิน”
พรโกรธ
“นัง...นังศรีแพร”
ศรีไพรกับศรีแพรขึ้นเรือนไป พรหันรีหันขวางอ้าปากจะด่า สดกระแทกเสียงใส่พรอย่างชิงชัง
“เชิญรวยไปคนเดียวเถอะย่ะ ตาพร อยากรู้ตายแล้วจะเอาไปได้มั้ย”
สดสะบัดหน้าขึ้นเรือนไปอีกคน พรหันรีหันขวางอย่างหงุดหงิด หันมาจ้องหน้าแสน แสนชะงัก ค่อยๆ ถอยก้าววิ่งหนีขึ้นเรือนไปด้วยความหวั่นกลัว

+ + + + + + + + + + + +

เช้าวันใหม่...
หลวงตาครองจีวร เตรียมออกบิณฑบาต โดยมีทวนกับเมินหิ้วปิ่นโตเป็นลูกศิษย์
“เฮ้อ เวลามันผ่านไปเร็วนะ เมื่อไม่กี่ปีนี่เอง ข้ายังเห็นเอ็งเป็นเด็กหิ้วปิ่นโตตามหลังพระ ไปเสียหลายปีกลับมาคราวนี้เรื่องโจษขานเกี่ยวกับเอ็งคงจะเพลาลง วางเสียเถ๊อะ ไอ้ทวนเอ๊ย ไอ้เมินเอ๊ย พระท่านว่า...สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ”
หลวงตาเดินออกไป เมินกับทวนหันมาสบสายตากันเงียบๆ ก่อนเดินตามออกไป
หลวงตามารับบาตรหน้าร้านกาแฟ เจ๊กตงกับเนี้ยวใส่บาตร นัยน์ตาของเนี้ยวมองไปยังทวนด้วยแววตาที่หวานเยิ้ม เพราะเนี้ยวหลงรักทวนมานาน เมินรีบหลบเพื่อให้เนี้ยวส่งสายตาถึงทวนตรงๆ
“อ้า วันนี้หลวงพ่อมีลูกวัดช่วยถือปิ่นโตกันเป็นแถวเลยนะครับ” เจ๊กตงยิ้มแย้มถาม
หลวงตาตอบไปอีกอย่าง
“อย่าไปจับมันเลยเจ๊กตง สัตว์น่ะให้มันอยู่อย่างสัตว์ มันจะได้ไม่แย่งที่อยู่ของมนุษย์ ไปพรากลูกพรากแม่มาเลี้ยง ถึงจะเอากรงทองให้อยู่สัตว์มันก็ไม่มีความสุขหรอก”
เจ๊กตงทำหน้าแหยๆ เพราะรู้ว่าหลวงตาหูตึง
“เอ้อ อ้า...ขอรับครับผม หลวงพ่อ”
เจ๊กตงหันไปเห็นลูกสาวเอาของใส่ปิ่นโต ยืนโปรยยิ้มให้ทวนอยู่ก็ไม่พอใจ
“อาเนี้ยว...ให้ใส่บาตรหลวงพ่อ เตี่ยไม่ได้ให้ลื้อใส่บาตรพระหัวดำโว้ย ไป ขึ้นเล่าเต๊ง เห็นผู้ชายม่ายล่าย สอนม่ายจำ...ทำม่ายคิด”
เนี้ยวหันมาส่งยิ้มลาทวน
“เนี้ยวขึ้นเล่าเต๊งก่อนนะจ๊ะพี่ทวน หมูทอดกระเทียมนี่มีแต่เนื้อล้วนๆ ไม่มีมันเลยจ้ะ เนี้ยวทำพิเศษใส่พระหัวดำ เอ๊ย...ไม่ใช่ ใส่ปิ่นโตให้พี่ทวนจ้ะ”
เมินมองแล้วเย้าแหย่
“พี่ทวนคนเดียวหรือจ๊ะ อาม่วยเนี้ยวจ๋า พี่เมิน”
“พี่ทอก”
ทอกพูดต่อ ตามด้วยหมอก
“พี่หมอก”
เมินปิดท้าย
“กินไม่เป็นหรือยังไงจ๊ะ”
ทวนยิ้มให้เนี้ยว
“ขอบใจมากนะจ๊ะ เนี้ยว” ทวนหันไปดุ สามหนุ่ม “ไป...ไปได้แล้วไอ้พวกลิง โน่น หลวงตาท่านเดินไปรับบาตรโน่นแล้ว”
ทุกคนต่างรีบเดินตามออกไป เนี้ยวชะเง้อชะแง้มองทวน ขณะเดียวกันนั้น สุมิตรร้องเพลงแขกมาเก็บดอกเบี้ย สองแขนมีสินค้าทุกประเภทให้ผ่อนรายวัน
“ฮัดช้า...ฮัดช้า...สุมิตรา นารา มายัน มาแล้วจ้ะนายจ๋า ยาหยีม่วยเนี้ยวใส่บาตรแต่เช้าสมกับเป็นชาวพุทธที่ดี พุทธกับฮินดูในประเทศอินเดียหลอมรวมกันอย่างไร้ปัญหา อ้า...สะลามเถ้าแก่ตง อีนี้ฉานมาเก็บดอกเบี้ยจ้ะ นมัสเตจ้ะ นายจ๋า”
เจ๊กตงมองหน้าไม่พอใจ
“ใคร...ใครเป็นหนี้เอ็งวะ ไอ้แขก”
เนี้ยวยิ้มแหยๆ
“เอ้อ อ้า ฉันเองจ้ะเตี่ย ฉันซื้อยกทรงผ่อนรายวันจากอาบังสุมิตราจ้ะ”
เจ๊กตงสะดุ้ง
“หา ลื้อซื้อชุดชั้นในกับไอ้แขกนี่ งั้นมันก็รู้น่ะซีว่าลูกสาวเตี่ยใช้ยกทรงเบอร์อะไร”
สุมิตรยิ้มแย้มพูดลอยหน้าลอยตา
“เอ สี่ อีนี้คับเค้ก ซ่อนรูปจริงๆ นะจ๊ะนายจ๋า”
เจ๊กตงโกรธไล่ทันที
“ไป...ไปให้พ้นร้านอั๊วเดี๋ยวนี้ บังอาจทำตัวเลียนแบบธนาคารยังไม่พอ ยังทำตัวเป็นห้างสรรพสินค้าเคลื่อนที่ ยังงี้มันเอาเปรียบกันนี่หว่า ต่อไปนี้เตี่ยห้ามไม่ให้ลื้อซื้อของแขกอีก อยากได้อะไรสั่งซื้อจากเมืองจีน”
เนี้ยวหน้าหงิกงอเดินเข้าร้าน สุมิตรชะเง้อมองเพราะหลงรักเนี้ยว เจ๊กตงจ้องสุมิตรตาเขียวขุ่น
“ไป...ไปเก็บดอกเบี้ยที่อื่น เดี๋ยวพัด...”

สุมิตรร้องเพลงแขกก่อนเดินออกไป เจ๊กตงมองตามอย่างขุ่นเคืองใจ เพราะหวงลูกสาวมากๆ

อ่านต่อหน้า 4





เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 1 (ต่อ)

ศรีแพรใส่บาตรหลวงตา แต่นัยน์ตามองไปยังเมิน พรมองอยู่จึงส่งเสียงกระแอมเตือน

“เอ้อ...อ้า...เป็นหวัดลงคอ คำรามอยากจะฆ่าคนตั้งแต่เช้าแล้วขอรับหลวงพ่อ”
หลวงตาตอบไปอีกอย่าง
“จำเริญเถอะพุทธบริษัท หมูหมากาไก่น่ะไม่ต้องใส่บาตรพระหรอก พระฉันมังสวิรัติ”
ทอกสะดุ้งรีบขัด
“แต่ลูกศิษย์ไม่ได้ฉันมังสวิรัติเหมือนพระ ปูปลาเป็ดปักกิ่ง ใส่ไปบ้างก็ได้จ้ะ น้ำพริกผักทุกวัน ฉัน...เอ๊ย รับประทานแล้วเบื่อจ้ะ”
แสนหันไปกระซิบพร
“พี่ศรีแพรตื่นก่อนไก่ ทำของใส่บาตรเพราะรู้ว่าวันนี้พี่เมินกับพี่ทวน เป็นลูกศิษย์วัด”
พรโกรธตาเขียวปั้ด
“ไอ้แสน...”
“พริกขิงผัดไส้ใข่เค็มนี่...” ศรีแพรมองไปยังเมิน ยิ้มด้วยสายตา “เหลือฉันแล้วเก็บไว้ได้อีกหลายวันจ้ะ หลวงตา”
เมินยิ้มตอบอย่างหวานเยิ้ม
“ขอบใจมากนะ ศรีแพร พี่จะฉัน เอ๊ย...กินไปคิดถึงศรีแพรไปนะจ๊ะ”
“ส่วนแกงกะโหลกกะลานี่อย่าฉันมากนะ ฉันมากแล้วกะโหลกหนาไม่รู้ด้วย”
ศรีไพรกระซิบประชด สดส่งตาเขียวปรามศรีไพร
“ฟังหลวงตาท่านให้พร เดี๋ยวก็ไปนรกหรอก เอ็ง”
หลวงตาให้พรแล้วเดินออกไป เมินกับทวนพยายามส่งสายตาให้ศรีแพร แต่พรพยายามยืนขวางไว้อย่างกันท่า ด้วยท่าทางบึ้งตึง

+ + + + + + + + + + + +

ที่บ้านบุญช่วย...
สไบยกกาแฟมาตั้งรับรอง จ่าสินที่แวะมาหาบุญช่วย ใช้สายตาโลมเลีย สไบมองค้อนด้วยความชิงชัง สไบมองจากระเบียงบ้านเห็นหลวงตาออกรับบาตร แหว่งรับใช้อยู่ใกล้ๆด้วยท่าทีดัดจริต ประจบประแจง
“อุ๊ย...พระมาแล้วค่ะ คุณสไบของบ่าวขา”
“พระมาแล้ว ฉันลงไปใส่บาตรนะ แหม วันนี้หลวงตามีลูกศิษย์เป็นฝูง”
ชิงชัยมองลงไป
“นั่นมันพวกไอ้ทวนกับไอ้เมินนี่ ไป...ไปนิมนต์หลวงตาไปข้างหน้า พ่อข้ามีธุระพูดกับจ่าสิน”
“บุญมาเกยถึงบ้านแล้ว ไม่คิดจะทำบุญสักหน่อยหรือ” สไบแย้ง
จ่าสินมองสไบอย่างกรุ้มกริ่ม
“ใจบุญสุนทานยังงี้นี่เอง ถึงได้เกิดมาเหลือกินเหลือใช้”
“ทะลึ่ง”
สไบสะบัดหน้าลงเรือนไปใส่บาตร จ่าสินมองตามสไบ
“สะบัดสะบิ้งทิ้งบั้นท้ายยังงี้นี่เอง ท่านเศรษฐีถึงได้ยกย่องจากสาวใช้ ให้มาเป็นต้นห้อง”
“ถ้าจ่าช่วยให้งานใหญ่สำเร็จ ฉันจะพูดกับพ่อให้เรื่องนังสไบ นังนี่น่ะ...จริตจก้านมารยาของมันจัด มันเหมือนม้าป่า ม้าดีต้องพยศไม่ใช่หรือ จ่า”
บุญช่วยเดินออกมานั่งคุยด้วยลง
“จะมีถนนตัดผ่านบ้านนา ลัดทางไปกรุงเทพฯ ไม่กี่กิโล ข้าจะกว้านซื้อที่ไว้ตั้งโรงงาน สินค้าตอนนี้เสียค่าโสหุ้ยเรื่องขนส่ง เสี่ยงกับตำรวจอีกล่ะ ถ้าเราผลิตมันที่บ้านนานี่ เราจะตัดทอนค่าใช้จ่ายลง แล้วทำกำไรมากขึ้น”
“ท่านเศรษฐีจะให้ผมทำอะไร”จ่าสินหันไปถาม
“บีบเอาที่นาจากชาวบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ดินของตาพรยายสด อย่าให้ไอ้ศรีไพรมันรู้เรื่องนี้เด็ดขาด ไม่ยังงั้นมันจะกระจายข่าวให้ชาวบ้านรู้ว่าที่นากำลังมีราคา” ชิงชัยกำชับ
บุญช่วยยิ้มกริ่มคิดการใหญ่
“เราจะรวยกันใหญ่ จะมีเงินซื้อบ้านนาทั้งบาง แล้วย้ายวัดออกไปทำเป็นศูนย์การค้า ต้องช่วยกันนะจ่า ผลประโยชน์ไม่ต้องห่วง เราจะแบ่งกันรวย”
“ตกลง ท่านเศรษฐี เราจะแบ่งกันรวย”
จ่าสินรับคำ

+ + + + + + + + + + + +

ศรีไพรและแสนขี่หลังควายกลับบ้าน สวนทางกับทวนซึ่งขับเกวียนร้องเพลงมากับทอก เนื้อตัวของศรีไพรเปื้อนเปรอะไปด้วยโคลน มีผ้าขาวม้าโพกศีรษะ
“ไม่มีอะไรจะทำกันหรือยังไง ถึงได้เอาแต่เล่นสนุก ไปติดคุกคนละเกือบสิบปี ออกจากคุกแทนที่จะรีบทำมาหากิน จะได้เป็นผู้เป็นคน กลับมาร้องรำทำเพลง เสียเวลาเปล่าๆ” ศรีไพรแดกดัน
“ก็ไม่ได้ร้องให้ใครฟังนี่ คนเขามีความสุข มีปัญหาอะไรมั้ย” ทวนย้อนกลับไปกวนๆ
“ปัญหาน่ะไม่มีหรอก แต่อยากจะบอกว่าทีหลังไม่ต้องอาศัยจีวรหลวงตาไปจีบพี่สาวของฉันอีกนะ”
“อิจฉาพี่สาว ที่ตัวเองไม่มีใครจีบใช่มั้ยล่ะ ก็หน้าตายังงี้ผู้ชายที่ไหนจะอยากเลี้ยงไว้ยายหน้ามู่ทู่ ผมไม่ใช่ประธานชมรมคนรักสัตว์ครับ ขอโทษ...ราบเรียบเหมือนแผ่นกระดาน หน้ากับหลังเท่าๆ กันยังงี้ จำแนกไม่ถูกว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย”
แสนโกรธแทนพี่สาว
“พี่ศรีไพร พี่ทวนเขาหาว่าพี่...”
ศรีไพรหันไปดุแสน
“นี่ ไม่ใช่เรื่องของเด็กไม่ต้องยุ่ง”
“พี่ทวน แรงไปหรือเปล่า ยังงี้ฆ่ากันให้ตายไปข้างนึง ดีกว่า ดูถูกกันซึ่งๆ หน้านี่” ทอกบอกขำๆ
ศรีไพรโกรธ
“นี่ นาย...นายดูฉันถูกมากนะ”
ทวนทำหน้ากวนๆ
“ก็รึไม่จริงล่ะ นี่...ขอบอกนะ ถ้าเหลือเลหลังคนสุดท้ายจริงๆ ขออยู่ในถ้ำกับยุงตัวเมียดีกว่า”
ทวนกับทอกหัวเราะขำ
“ฮ่าๆๆๆ”
ศรีไพรโกรธมาก ส่งเสียงไล่ควายให้ไล่ขวิด
“เอาเลยไฉไลเฉิด ขวิดให้ลากไส้เลย มอๆๆ”
“มอๆๆ”
ควายร้องตอบรับศรีไพรก่อนจะไล่เข้าขวิดทวนกับทอก ทั้งสองรีบกระโดดลงจากเกวียนวิ่งขึ้นต้นไม้ ควายยังส่งเสียงร้อง เอาสีข้างกระแทกต้นไม้
“มอ ๆๆ”
ทวนกับทอก กอดต้นไม้แน่นหน้าตาเสียเหมือนจะร้องไห้ ศรีไพรก้าวเข้ามา ส่งเสียงขู่
“เอาละ อยู่บนนั้นแหละ ลงมาเมื่อไหร่ไม่รับรองความปลอดภัย ไอ้ไฉไลเฉิดของแม่ตัวนี้ สั่งประจำการเมื่อไหร่...” ศรีไพรหันไปถามแสน “เป็นยังไงวะ ไอ้แสน”
“ขะ...ขะ...ขวิดดะจ้ะ”
ศรีไพรยืนพิงควายยิ้มเยาะ ทวนกับทอกขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความแค้นใจ

+ + + + + + + + + + + +

ค่ำคืนนั้น...
เมินย่องเข้ามาใกล้ๆ หน้าต่างบ้านเรือนไทย หมอกค่อยๆ ย่องตามมาอย่างกล้าๆกลัวๆ
“พี่เมิน จะดีหรือ ตาพรแกเป็นคนหวงลูกสาว ฉันได้ข่าวว่าแกนอนกอดปืนทุกคืนนะ”
“พ่อคงนอนแล้วนะ แต่ไฟห้องศรีแพรยังเปิดอยู่ ขอแค่เห็นหน้าศรีแพร ไม่ยังงั้นข้านอนไม่หลับว่ะ ไอ้หมอก”
“ไม่รู้คิดผิดหรือคิดถูกนะ ที่มาด้วย เฮ้อ...เป็นบันไดให้คนมีความรักอีกแล้วกู” หมอกย่อตัวลง “เอาก็เอา เอ้า...ปีนขึ้นไป”
เมินเหยียบไหล่ของหมอก ปีนขึ้นไปมองไปทางหน้าต่าง
“เอ๊ะ ทำไมเงียบนักล่ะ...ศรีแพร...ศรีแพร นอนแล้วหรือ นี่พี่เอง พี่คิดถึงศรีแพร ขอแค่เห็นหน้าแล้วพี่จะกลับไปนอนกอดหมอนจ้ะ”
“เร็วๆ เข้าหนักโว้ย เห็นหน้าแค่แวบเดียวจะได้กลับไปนอน เอาแค่เห็นหน้านะ มากกว่านั้นห้ามโว้ย ผิดประเพณี” หมอกบ่น
เมินเห็นในห้องยังเงียบอยู่จึงเรียกอีก
“ศรีแพร...ศรีแพรอยู่ที่ไหนจ๊ะ ยื่นหน้ามาให้พี่เห็นให้หายคิดถึง พี่จะได้กลับไปนอนตายตาหลับ”
ทันใดนั้น พรพรวดออกมาที่หน้าต่างพร้อมปืนยาว
“มึงได้ตายตาหลับแน่ ไอ้เมิน นึกแล้วไม่มีผิดมันต้องย่องมากินปลาย่าง ไอ้แมวขโมย นี่แน่ะ...”
พรไล่ยิง เมินตกลงไปทับหมอก ล้มลงด้วยกัน พรยิงซ้ำ เมินกับหมอก ลุกขึ้นวิ่งหนีลูกปืน ศรีไพร ศรีแพร สดและแสนรีบวิ่งเข้ามาที่หน้าต่าง แย่งกันชะเง้อมอง
“พ่อ มีอะไร” ศรีไพรถามอย่างตกใจ
สดตื่นกลัว
“โจรเข้าบ้านหรือตาพร แกยิงสุ่มสี่สุ่มห้า ดูให้แน่ๆ นะว่าคนหรือแมว”
ศรีแพรสังหรณ์ใจ
“พ่อ...พ่อยิงใครน่ะ”
“แมวหรือ...พ่อ” แสนถาม
“เออ แมว...แมวขโมย...”
พรคำรามด้วยความแค้นใจ
เมินเดินนำหน้าหมอก กลับมายังเพิงอย่างเหน็ดเหนื่อยเพราะต้องวิ่งหนีลูกปืน ทอกนอนหลับอยู่ใกล้ๆ กองไฟ ขณะที่ทวนกำลังสำรวจลูกปืนในรังเพลิงอยู่ด้วยท่าทีเคร่งเครียด เมินชะงัก จ้องมองทวนด้วยความสงสัย
“นั่นแกจะทำอะไรน่ะ แกมีปืนตั้งแต่เมื่อไหร่ งั้นที่แกหายไปเกือบสิบปี แกก็ไปติดคุกจริงๆ น่ะซี”
“แล้วแกล่ะ แกเองก็หายไปตั้งเกือบสิบปีเหมือนฉัน”
ทวนลุกขึ้นยืน ก้าวเข้ามาจ่อปืนที่ปลายคางของเมิน
“แกไปทำอะไรมา”

ทวนกับเมินจ้องมองกันด้วยแววตาท้าทาย

โปรดติดตามอ่านต่อวันพรุ่งนี้




กำลังโหลดความคิดเห็น