ในรอยรัก
ตอนที่ 30 อวสาน
หลังจากนั้นดุสิตก็ขับรถเข้ามาจอดในสถานพักฟื้น ก้าวลงจากรถ แล้วเดินเข้าไปภายใน ดุสิตเดินมาถึงหน้าห้องคิม ลี เคาะประตูเบาๆ แล้วเปิดประตูเข้ามา ดุสิตชะงักเมื่อเห็นแม็กกี้อยู่กับลูกชายโดยมีสาวสวยแปลกหน้าอยู่ด้วยอีกหนึ่งคน
“สวัสดีครับ คุณแม็กกี้”
“คุณดุสิต นี่เหม่ยหลิง”
เหม่ยหลิงยื่นมือให้อย่างยิ้มแย้ม
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
“เช่นกันครับ”
“เหม่ยหลิงจะมาคอยดูแลคิม ระหว่างที่ฉันไม่อยู่”
“ความจริง พวกเราก็ช่วยกันดูอยู่แล้ว”
“ไม่เป็นไร เพราะพวกคุณมีงานกัน ฉันซาบซึ้งน้ำใจพวกคุณทุกคน”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ เหม่ยหลิงดูแลคิมเอง”
“เหม่ยหลิงเป็นพยาบาลด้วย”
“มัสลินคงสบายใจขึ้น เพราะเขาเป็นห่วงคิมมาก”
“ฉันก็เป็นห่วงมัสลินเหมือนกัน เขาใจร้อน”
นัยน์ตาคิมเหมือนเป็นประกายแว่บหนึ่ง
เสี่ยศักดาซึ่งส่งลูกน้องมาเฝ้าที่สถานพักฟื้น จึงรู้ความเคลื่อนไหวว่าคิมจะออกจากโรงพยาบาลพรุ่งนี้
“มันออกพรุ่งนี้ก่อนเที่ยงแน่นอนครับ”
ลูกน้องยืนยัน
“ดี จัดการเลย อย่าให้พลาด อย่าประมาทนังแม็กกี้เด็ดขาด นังนี่มันเสือร้าย เขี้ยวเล็บรอบตัว”
“ครับเสี่ย รับรองครับ”
ระหว่างนั้นแม็กกี้ในมาดของเจ้าแม่กำลังพูดมือถือสั่งงานลูกน้อง ดุสิตถือกระเป๋าของแม็กกี้ยืนอยู่แถวนั้นด้วย แต่ห่างออกไปหน่อยตามมารยาทที่ดี ลูกน้องการ์ดของแม็กกี้คอยดูแลความปลอดภัยแบบปกติ
“เปลี่ยนกระจกห้องนอนคิมเป็นกระจกกันกระสุนเรียบร้อยแล้วใช้มั้ย”
คำพูดประโยคนั้นทำเอาดุสิตชะงักไปทันที ยิ้มๆ พูดกับตัวเอง
“ขนาดนั้นเลย คุณแม่”
“ดี เพิ่มการ์ดฝีมือดีที่บ้านอีก อือม์ ได้” เว้นระยะนึดหนึ่งแล้วจึงพูดต่อว่า “..ดีมาก แล้วส่งมือดีมาเพิ่มให้ฉันที่สถานพักฟื้นสัก 3 คน พรุ่งนี้แต่เช้าเลย ขอรถตู้คันกันกระสุนด้วย...”
ดุสิตชะงักเมื่อเห็นว่าแม็กกี้เอาเรื่องจริงๆ แม็กกี้ยังสั่งงานต่อ
“ฉันไม่ไว้ใจไอ้ศักดา ไอ้หน้าจืดเป็นหัวหมูไหว้เจ้า แต่คดในข้องอในกระดูก ลอบกัดเป็นนิสัยถาวร ขอบใจ ดูแลลูกน้องทั้งหมดให้กินอยู่ดี ฉันจ่ายโบนัสพิเศษเต็มที่”
แม็กกี้ตัดการติดต่อ ดุสิตเดินไปหากางหูกระเป๋าออกให้แม็กกี้เอามือถือเก็บ แล้วดุสิตถือให้ต่อ
“ดุสิตกลับได้นะ หม่าม้าอยู่ได้”
“ไม่เป็นไรครับ ผมอยู่ด้วย เผื่อวิ่งซื้อข้าวซื้อน้ำให้หม่าม้า”
“เธอกับฉันกินข้าวของคิมทุกมื้อ จะวิ่งซื้ออะไรให้เปลืองตังค์อีก” แม็กกี้พูดติดตลก
“ผมอยากอยู่ช่วยให้คิมคืนสภาพเดิมเร็วๆ ครับหม่าม้า ผมเองมีส่วนทำให้คิมเป็นอย่างนี้ นี่ถ้าคิมกลายเป็นเจ้าชายนิทรา ผมต้องชดใช้”
แม็กกี้ตบแขนดุสิตเบาๆ อย่างเข้าใจ และปลอบใจ
“เลิกคิดอะไรแบบนี้ดุสิตหม่าม้าไม่เคยคิดถึงดุสิตอย่างนั้นเลย ไป ไปกินข้าวของคิมกัน เดี๋ยวคิมกลับบ้านแล้วเราอด”
สองคนเดินขำกันไปเหมือนแม่ลูก บอดี้การ์ดลูกน้องเดินตาม
วันรุ่งขึ้น คิม ลี ออกจากสถานพักฟื้น รถตู้ของแม็กกี้แล่นมาตามทาง แต่ จู่ๆ ก็มีรถมอเตอร์ไซค์เครื่องแรงคันหนึ่งพุ่งพรวดออกมาตัดหน้ารถแม็กกี้ ตามด้วยรถของผู้ร้าย มอเตอร์ไซค์ตวัดตัวไปหลบหลังรถใหญ่
รถตู้ของแม็กกี้เบรกเต็มแรง ชนิดยางไหม้ คนในรถหัวทิ่ม แม็กกี้ตกใจนิดหน่อยแต่ควบคุมสติได้ในทันที สีหน้าเริ่มดูเหี้ยมๆ
ลูกน้องแม็กกี้ทุกคนเตรียมพร้อมอย่างรู้สถานการณ์ ดุสิตและลูกน้องอีกคนคอยปกป้องคิม คนขับรถแม็กกี้รู้อันตรายโดยสัญชาตญาณ ถอยรถ รถผู้ร้ายอีกคันพุ่งพรวดมาปิดด้านท้าย รถแม็กกี้เบรกกึก คนขับรู้งาน จึงตีวงรถตั้งลำแบบพร้อมรบ
ระหว่างนั้นทางฝั่งผู้ร้ายยังไม่ลงจากรถ ปืนกระบอกหนึ่งยิงใส่กระจก ด้านคนขับหมายจะฆ่าคนขับก่อน กระสุนเด้งออกจากกระจกกันกระสุน
“ฉันเพิ่งกินเจล้างบาปมา พวกมันยั่วยุให้ฉันทำบาปอีกจนได้...จัดการคันหลัง จัดการคันหน้า”
แม็กกี้ตะโกนสั่งการลูกน้อง
กระจกแต่ละด้านของรถแม็กกี้ถูกเลื่อนออกพอให้ยิงได้สะดวก ลูกน้องถล่มยิงใส่รถผู้ร้าย รถผู้ร้ายกระจกแตกร้าว
ดุสิตอยู่ในอาการแบบหูดับกับเสียงปืนที่ดังไม่ขาดระยะ แถมยังหวาดๆ แม้จะอยู่ในรถกันกระสุน ดุสิตแอบเอามือยันๆกระจกเบาๆ ให้แน่ใจว่าจะไม่แตก
รถผู้ร้ายโดยยิงยางแฟบ กำธรลูกน้องศักดาเดินออกจากรถคนนั้น โดยพยายามกำบังตัวไปด้วย ยิงไปด้วย แม็กกกี้ยกปืน ปรากฏว่าไม่ใช่ปืนแบบผู้หญิงพก หากเป็นปืนกระบอกยาวมาดราวกับคลิ้นต์ อีสต์วูด
แม็กกี้เล็งปืนอย่างมีสมาธิ และอย่างคนที่ฝึกมาดี ชำนาญ ขึ้นนก แล้วค่อยๆเหนี่ยวไกอย่างมั่นใจ
“หม่าม้าบาปเพื่อลูกนะคิม” แม็กกี้พูดกับคิมลี แบบติดตลก
ปืนแม็กกี้ลั่น กระสุนพุ่งเข้าเจาะประตูรถที่กำธรกำบังอยู่ ทะลุโดนกำธรล้มลงไปนอนกอง ลูกน้องคนอื่นๆ ของศักดาโดนยิงไปตามๆ กัน เสียงปืนค่อยๆ สงบลง
“ฝ่าออกไป” แม็กกี้สั่งเสียงเหี้ยม
รถตู้ของแม็กกี้ทะยานออกไป แม็กกี้และลูกน้องทุกคนยังเตรียมพร้อม เผื่อว่าจะมีใครลุกขึ้นมาสู้
รถแม็กกี้พุ่งชน พร้อมกับดันรถของผู้ร้ายฝ่าออกไปได้
“ไอ้ศักดา” แม็กกี้สบถอย่างโกรธแค้น
ขณะที่ดุสิตยกมือไหว้ท่วมหัว
“คุณพระคุณเจ้าช่วย หม่าม้าช่วย ลูกปืนช่วยปลอดภัยแล้วคิม เฮ้อ...”
เสี่ยศักดาทั้งโกรธทั้งแค้นเมื่อรู้ว่าลูกน้องทำงานพลาด
“ให้ตายสิ นังแม็กกี้...แกไปแต่งตัวใหม่ ไปรับเป็นเจ้าของไข้ไอ้พวกนั้น เอาพาสปอร์ตต่างชาติไปใช้ อย่าให้เรื่องมันมาถึงฉันเด็ดขาด ตำรวจตรวจรถหรือยัง”
“น่าจะยังครับเสี่ย ตอนผมกลับมารถลากยังไปไม่ถึง”
“เดี๋ยวเอาทองแท่งไปสักแพ็คใหญ่ ไปแอบยัดไว้ที่ไหนสักแห่ง ใต้ท้องรถก็ได้ บอกว่าตำรวจโดนดักปล้นทอง”
“ครับเสี่ย”
ลูกน้องรีบเดินออกไป
“นังแม็กกี้ อย่าผยองไป ฉันไม่เล่นงานแกด้วยแผนชั้นเดียวหรอก” เสี่ยศักดาพูดอย่างแค้นใจ
ทางด้านแม็กกี้เมื่อกลับมาบ้านแม็กกี้เดินช้าๆ อย่างใช้ความคิด
“ไอ้ศักดา แกเล่นงานลูกน้องฉันไม่เลิก แกเตรียมตัวรับศึกไว้เลย ฉันไม่ออมมือให้แกอีกแล้”
วันต่อมาม่านมัสลินเดินเข้ามาในออฟฟิศของเสี่ยศักดาด้วยท่าทีสง่าดูเยือกเย็น ทุกคนมองมาเพ่งพิศ ขณะที่เสี่ยศักดาก็ลุกขึ้นต้อนรับ ทุกคนลุกด้วย รวมทั้งเตช ซึ่งอยู่ในกลุ่มคนนั้นด้วย
“เชิญนั่ง”
“ขอบคุณค่ะ”
เสี่ยศักดาเลื่อนเอกสารมาให้มัส
“นี่เป็นรายละเอียดที่คุณควรจะทราบเกี่ยวกับโปรเจ็กท์ของเรากับฮ่องกง ซึ่งจะมีการถ่ายทำทั้งสองสถานที่ ผู้แสดงเป็นพระเอกที่กำลังดังมากที่นั่น เขาถนัดบทบู๊ สำหรับคุณ เรามีครูสอน”
“คุณมัสลินเขาถนัดทุกบทบาทอยู่แล้ว เชิญอ่านสัญญาได้เลย ถ้าไม่พอใจตรงไหน ก็ต่อรองกันได้” เตชพูดแขวะม่านมัสลิน เสี่ยศักดาชะโงกมาเปิดแฟ้ม
“ดิฉันไม่ตกลง”
ม่านมัสลินปิดแฟ้ม ทุกคนมองงงๆ
“อะไร คุณยังไม่ได้อ่านเลยซักข้อ”
“ถ้าไม่ตกลง แล้วจะถ่อมาถึงที่นี่ทำไม”
ม่านมัสลินหยิบตลับเทปออกมาจากกระเป๋าถือ กระแทกลงบนโต๊ะ พร้อมๆ กับลุกขึ้นยืน
“เทปนี้หลุดออกมาจากห้องตัดต่อของคุณ ทั้งสถานที่ บรรยากาศส่วนหนึ่งเป็นพิมพ์เดียวกับคลิปลามกที่ว่อนไปทั่วเน็ต เพื่อทำลายชื่อเสียงของฉัน ครั้งแล้วครั้งเล่า” สีหน้าแต่ละคนตกใจไม่คาดคิด
“ความจริงฉันจะเอาเรื่องตั้งนานแล้ว แต่มีคนขอร้องไว้ แล้วคนที่ขอร้องนั้นก็ต้องถูกลูกชายของคุณทรยศหลอกลวง จนแทบไม่เป็นผู้เป็นคน ฉันจึงตัดสินใจจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด”
“นังนี่วอนซะแล้ว”
เสี่ยศักดาโกรธจัด เตชรีบห้าม
“ใจเย็นๆ คุณศักดา นึกยังไงขึ้นมาถึงได้เข้ามากล่าวหาเสี่ยศักดาถึงที่นี่ ระวังเธอจะโดนฟ้อง”
“ก่อนมานี่ ฉันแวะไปสถานีตำรวจมาเรียบร้อย เทปนี้เอามาให้ดูเป็นตัวอย่าง ฉันยังมีก๊อปปี้อีกหลายอัน”
“โกหก”
“ออกไป”
“ฉันไปแน่ แต่ขอให้รู้เอาไว้ งานนี้บริษัทศักดาโปรดักชั่นดิ้นไม่หลุดเพราะคนที่เอาเทปออกมาจากห้องตัดต่อ ยินดีเป็นพยานให้ ขอให้โชคดีทุกคน”
ม่านมัสลินพูดแค่นั้นก็เดินออกไปอย่างสง่า ผ่าเผย ท่ามกลางสายตาเกลียดชังของทุกคน
เย็นวันนั้นที่บ้านม่านมัสลิน จิรดาเดินเข้ามาโดยแป้นซึ่งออกไปเปิดประตูถือของตาม
“คุณมัสยังไม่กลับค่ะ” แป้นรีบรายงาน
“เขาบอกหรือเปล่าว่าจะไปไหน”
“เปล่าค่ะ บอกพี่พัดหรือเปล่า” แป้นหันไปถามพัด
“บอก!”
“อ้าว!”
“แล้วทำไมถึงไม่พูด กลัวดอกพิกุลจะร่วงรึไง”
“รอจังหวะอยู่ค่ะ จังหวะยังไม่อำนวย”
“แหม! นังพัด เอ้า! จังหวะอำนวยแล้ว บอกมาซิ คุณมัสไปไหน”
“เห็นบอกว่าจะไปดูหนัง ฟังเพลงกับเพื่อนค่ะ”
“พอละครจบละก็ มีดูหนัง ฟังเพลงกับเพื่อนทีเดียว”
จิรดาบ่นขณะเดินขึ้นห้อง
ในครัวขณะนั้นพัดเตรียมคั้นน้ำส้ม ส่วนแป้นเอาของจัดใส่ตู้เย็น
“เดี๋ยวนี้ คุณดาดูห่วงใยคุณมัสขึ้นนะ”
“เสียอย่างเดียว พูดจาเป็นมะนาวไม่มีน้ำ”
“เขาเรียกว่า รักนะ แต่ไม่แสดงออก”
“แล้วจะมีประโยชน์อะไร ความรักมันต้องแสดงออกถึงจะรู้สึกชุ่มชื่นมีความสุข”
หลังจากม่านมัสลินกลับไปแล้ว เตชยังนั่งปรึกษาเสี่ยศักดาถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
“จะเอายังไงดี”
“แล้วแต่คุณ”
“มันอวดดีนัก ต้องสั่งสอนให้เข็ด ได้ข่าวว่ามันก็เข้าไปวุ่นวายในครอบครัวคุณด้วยใช่มั้ย”
“พ่อไปทาง แม่ไปทาง ก็เพราะนังมัสลินนี่แหละ ฝากจัดการด้วยก็แล้วกัน แต่อย่าเอาให้ถึงตายนะ เดี๋ยวจะเดือนร้อนกันไปหมด”
“โอ๊ย! สวยๆ อย่างนี้ เอาไปใช้ประโยชน์ ฆ่าก็เสียของเปล่าๆ”
เสี่ยศักดากับเตช หัวเราะชอบอกชอบใจกัน
จิรดาหยิบโทรศัพท์มารับด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเมื่อเห็นว่าบัวบงกชเป็นคนโทรเข้ามา
“มีอะไร”
“ได้ข่าวว่า ละครมัสลินปิดกล้องแล้วใช่มั้ยคะ”
“ใช่ คุณมีธุระอะไรหรือ”
“เฮ้อ! ฝากบอกแกด้วยว่าฉันจะคอยติดตามผลงานของแก”
“แล้วจะบอกให้ เท่านี้ใช่มั้ยคะ” จิรดาจะตัดบท
“ยังมีอีกค่ะ คือ..ดิฉันอยากจะขอสัมภาษณ์แกในรายการ”
“ยังรับปากไม่ได้ค่ะ ต้องดูคิวก่อน”
“แต่ดิฉันเป็น...”
จิรดาหัวเราะ
“เป็นอะไรคะ อย่างคุณน่ะ อย่างมากเป็นได้แค่แฟนคลับเท่านั้น ธรรมสวัสดีค่ะ” จิรดาแขวะพร้อมกับปิดโทรศัพท์ทันที
“เอาลูกมาให้ฉันเลี้ยงตั้งแต่แดงๆ พอโตขึ้นจะมาอ้างเป็นแม่ เมินเสียเถอะ”
จิรดาเดินออกไป
กุเทพกับม่านมัสลินนั่งอยู่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง กุเทพรู้สึกตกใจมากเมื่อรู้ว่าม่านมัสลินไปพบเสี่ยศักดาถึงที่ออฟฟิศคนเดียว!!
“มัสทำอะไรลงไป รู้หรือเปล่ากำลังเล่นกับไฟ ไม่รู้จักกลัวบ้างหรือไง”
กุเทพต่อว่าม่านมัสลิน
“ถ้ากลัวมัสก็คงไม่ทำ เสียดายอยู่นิดเดียวที่สามีคุณบัวบงกชมาเกี่ยวด้วย คุณบัวเขาดีกับมัสมาก ลูกสาวเขามาระยะหลังๆ ก็ไม่มีอะไรกับมัส แต่นายเตชนี่ร้ายที่สุด”
“คุณคิมเป็นยังไงบ้าง”
“เหมือนเดิมค่ะ ยังจำอะไรไม่ได้ ถ้าจบเรื่องนี้ คุณแม็กกี้อาจพาเขาไปรักษาต่างประเทศ...คุณแม็กกี้จะถือไม้ต่อจากมัส เธอไม่มีวันให้อภัยคนที่ ทำให้ลูกชายเธอเจ็บ”
“ผมเป็นห่วงมัส”
“ขอบคุณค่ะ แต่มัสไม่เป็นอะไรหรอก...ไปดูหนังรอบดึกกับมัสไหม มัสเลี้ยงเอง คืนนี้สบายใจมาก”
“ไม่โทรไปบอกที่บ้านก่อนหรือ เดี๋ยวเขาจะเป็นห่วง”
“รุ่นนี้ไม่ต้องมีใครเป็นห่วงแล้ว สมัยถ่ายละครกลับดึกบ่อยๆ ไป”
ทั้งสองเดินมาจ่ายเงิน แล้วออกไปพร้อมกัน
อ่านต่อหน้า 2 วันนี้
ในรอยรัก
ตอน 30 อวสาน (ต่อ1)
ขณะนั้นดุสิตอยู่ที่คอนโด ระหว่างที่เขากำลังนอนอ่านหนังสือ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ดุสิตหยิบมาดู เห็นชื่อยิ้มนิดๆ ก่อนกดรับ
“ว่าไง คิดถึงฉันจนทนไม่ไหวหรือไงถึงได้โทรมาป่านนี้”
“ฉันเป็นห่วงมัส จนป่านนี้ยังติดต่อไม่ได้เลย”
ดุสิตชะงัก ลุกขึ้นนั่ง สีหน้ากังวลทันที
“ฉันน่ะสังหรณ์ใจ ฉัน...” เกวลินเสียงสั่น
“เฮ้ย! ใจเย็น ป่านนี้มัสคงนอนหลับแล้วมั้ง แกโทรไปบ้านเขาหรือยัง”
“โทรแล้ว พัดบอกว่าเขาไปดูหนังฟังเพลงกับเพื่อนๆ”
“นั่นไง”
“แต่เขาไม่ใช่คนอย่างนั้น”
“มัสลินเขามีเพื่อนในวงการเยอะแยะ แกจะไปรู้จักเขาหมดทุกคนได้ไง แกไม่ใช่เพื่อนคนเดียวของเขานี่ เอาน่า! เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าค่อยโทรใหม่”
“เออ!”
เกวลินปิดโทรศัพท์ ถอนใจยาว
พอวางหูจากเกวลิน ดุสิตจึงโทรหากานนแต่ติดต่อไม่ได้ ดุสิตจึงลองโทรหากุเทพ
“ฮัลโหล”
“คุณกุเทพ ผมดุสิตนะครับ”
“อ๋อ คุณดุสิต มีอะไรหรือครับ”
“ต้องขอโทษด้วยที่โทรมาป่านนี้ คือเก๋เขาเป็นห่วงมัสลินน่ะครับ เห็นว่าติดต่อไม่ได้ตั้งแต่หัวค่ำ เมื่อกี้ผมโทรถึงคุณกานน แต่สงสัยจะนอนแล้ว เลยลองโทรหาคุณกุเทพ”
“สบายใจได้ครับ ช่วยบอกคุณเก๋ด้วยว่าไม่ต้องเป็นห่วง เพราะมัสเพิ่งแยกกับผมเมื่อกี้นี้เอง เขาชวนไปดูหนังน่ะครับ ป่านนี้อาจจะถึงบ้านแล้วก็ได้”
“ขอบคุณมากครับ เดี๋ยวผมจะโทรบอกเก๋”
“ครับ!”
ดุสิตเดินกลับเข้ามาในห้องแล้วโทรบอกเกวลิน เธอถึงกับโล่งใจ
“งั้นก็ค่อยยังชั่ว แต่ก็แปลก ทำไมมัสถึงไปกับกุเทพอีก”
“เขาจะไปกับใครก็ช่างเถอะ เป็นอันว่ามัสลินปลอดภัย แกนอนหลับให้สบายได้”
“ขอบใจมากนะดุสิต”
“เออ! ไม่เป็นไร”
เกวลินปิดโทรศัพท์ ลงนอนอย่างสบายใจขึ้น
คืนนั้นกานนยังไม่นอนได้ยินเสียงแตรรถดังขึ้นจึงเดินไปดูที่หน้าต่าง เห็นคนรถเปิดประตูให้กุเทพขับรถเข้ามา กานนนิ่วหน้าสงสัยปนแปลกใจนิดๆ
กุเทพเดินขึ้นบันไดมาแล้วชะงักเมื่อเห็นกานนยืนกอดอกมองอยู่
“ยังไม่นอนอีกหรือครับอาปลิว”
“ค่อยยังชั่ว”
“อะไรค่อยยังชั่วครับ!”
“ก็นายไม่ได้กินเหล้ามาน่ะซิ ฉันน่ะกลัวไปเกิดเรื่องอย่างวันนั้น”
“อ๋อ! ผมไปเป็นเพื่อนมัสกินข้าว ดูหนัง ฟังเพลงมาครับ รับรองว่าไม่มีแอลกอฮอร์สักหยด ไม่เชื่ออาปลิวดมได้”
กานนอึ้งดวงตาผิดปกติไปเล็กน้อยตั้งแต่ประโยคแรกก่อนจะเดินกลับเข้าห้อง กุเทพยักไหล่นิดๆ เดินเข้าห้องไป
พอเข้ามาในห้องกานนยืนพิงประตูอยู่ครู่หนึ่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึมกานนเดินไปที่โทรศัพท์ หยิบขึ้นมากดแต่ไม่มีสัญญาณตอบรับใดๆ
“ชักจะใจแตกใหญ่แล้ว”
ระหว่างนั้นม่านมัสลินกำลังขับรถกลับบ้าน ขณะที่รถแล่นไปใกล้จะถึงบ้าน จู่ๆ ม่านมัสลินต้องรีบเหยียบเบรกเมื่อเห็นมอเตอร์ไซค์ล้มอยู่ตรงหน้า คนขี่เหมือนได้รับบาดเจ็บ ร้องโอดโอย ม่านมัสลินตกใจรีบลงไปดู
“คุณ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
ชายอีก 2 คน ออกมาจากที่ซ่อน แล้วเอากระสอบคลุมหัวม่านมัสลินแบกไป โดยที่ม่านมัสลินพยายามดิ้นขัดขืนอย่างสุดกำลัง
คนร้ายนำตัวม่านมัสลินขึ้นรถปิ๊คอัพแล้วขับออกไป
รถปิ๊คอัพแล่นไปตามถนนโล่งยามดึก กระสอบคลุมม่านมัสลินอยู่ด้านหลัง โดยมีลูกน้องนั่งคุมอีกหนึ่งคน ข้างหน้าเป็นคนขับกับลูกน้องอีกคน กระสอบเคลื่อนไหวไปมา ด้วยแรงดิ้นของม่านมัสลิน
“เฮ้ย! ข้างหน้ามีด่าน ทำให้มันเงียบก่อน เดี๋ยวตำรวจจะสงสัย”
ลูกน้องข้างหลังตบเปรี้ยง ร่างในกระสอบนิ่งไปทันที รถยังคงแล่นไปเรื่อยๆ
“ค่อยยังชั่วหน่อย ขนาดมีเทปปิดปากยังพยายามร้อง”
“เสี่ยบอกว่า นังคนนี้ฤทธิ์มาก ต้องระวังให้ดี”
เวลาเดียวกันนั้นเสี่ยศักดานอนดูข่าวภาพดึกอยู่ที่โซฟาในออฟฟิศ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเสี่ยศักดาหยิบมารับ
“ถึงไหนแล้ว”
ลูกน้องยืนโทรศัพท์อยู่ข้างรถ โดยดวงตาจ้างมองกระสอบที่คลุมร่างของม่านมัสลินที่ถูกแบกลงจากรถไป
“ถึงโกดังเรียบร้อยแล้วครับ”
“เออ! เฝ้าไว้ให้ดี แล้วห้ามแตะต้องมันเด็ดขาด สินค้าจะต้องไม่ช้ำ จำเอาไว้”
“ครับ”
เสี่ยวางโทรศัพท์ด้วยสีหน้ามาดหมาย สะใจ
กลางดึกคืนนั้นขณะที่จิรดานอนหลับสนิทเหมือนมีใครคนหนึ่งเดินเข้ามา เปลือกตาจิรดาขยับเหมือนจะรู้สึกตัว ใครคนนั้นเดินมาหยุดตรงปลายเตียง
“ใครน่ะ”
จิรดาพึมพำถาม ที่นอนยวบลงเล็กๆ เหมือนมีคนทรุดตัวลงนั่ง จิรดาลืมตาขึ้นสะดุ้งเฮือก กระถดถอยไปเมื่อเห็นภาษิตนั่งมองมาด้วยใบหน้าเศร้าหมอง แววตาเหมือนอยากจะบอกอะไรสักอย่าง
“ภาษิต”
ภาษิตขยับปาก จิรดาตกใจตื่น จิรดาลุกนั่งพลางยกมือทาบอก
“ ภาษิต”
จิรดาลุกมารินน้ำที่วางไว้บนโต๊ะข้างเตียงดื่มเหมือนคอแห้ง จิรดาวางแก้วน้ำ แล้วเดินไปที่หน้าต่างมองลงไปก่อนจะหันหลังกลับเดินออกจากห้อง
จิรดาเดินลงมาพัดกับแป้น นอนหลับกันหน้าทีวี ซึ่งเปิดอยู่ จิรดาปิดทีวีเรียกพัดกับแป้น
“พัด! แป้น!”
สองสาวขยับตื่น
“คุณมัสกลับมาแล้วหรือคะ”
“ยัง”
“เอ้า! วันนี้ทำไมกลับดึกจัง”
จิรดาหยิบโทรศัพท์กด มีสัญญาณแต่ไม่มีใครรับ
“ทำไมไม่รับ”
จิรดากดอีก แต่เหมือนเดิม
“ไม่รับหรือคะ”
“ถ้ารับฉันก็พูดแล้วซิ”
“บางที คุณมัสอาจจะอยู่ในงานเลี้ยง แล้วดนตรีมันเสียงดัง”
“เขาบอกว่าจะไปดูหนัง ฟังเพลงกับเพื่อน”
“เพื่อนคนไหนล่ะคะ”
“ไม่รู้ เขาบอกแค่นั้น”
ทุกคนเงียบงัน
จิรดา พัด แฟ้น นั่งรอมัสลินกลับมาจนกระทั่งมีเสียงกริ่งที่หน้าบ้านดังขึ้น
“กลับมาแล้วค่ะ”
แป้นบอก ทุกคนโล่งใจรีบพรวดพราดออกไป
จิรดา แป้น พัดเดินออกมา มีเพื่อนบ้านรออยู่ด้วยสีหน้ากังวล
“มีอะไรหรือคะ”
“รถคุณมัสลินค่ะ”
จิรดา พัด แป้นหน้าเสียทันที
“รถมัสลินเป็นอะไร”
รถเต่าของม่านมัสลินจอดทิ้งอยู่กลางซอย ขณะนั้นชาวบ้านกำลังมุ่งดูรถและวิพากษ์วิจารณ์กัน จิรดา พัด แป้น พากันแหวกวงล้อมเข้ามาอย่างรวดเร็ว จิรดายกมืออุดปาก เบิกตากว้างเมื่อเห็นรถยนต์ยังติดเครื่องค้างไว้ ประตูด้านคนขับเปิด
พัดกำลังแกว่งยาดมให้จิรดาซึ่งนอนหมดสติอยู่ จิรดาค่อยๆ ลืมตาฟื้นขึ้น
“พัด”
พัดปล่อยโฮ
“คุณดาขา คุณมัส คุณมัสเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”
จิรดาร้องไห้
“มัสลิน ใครจับมัสลินไป”
“แล้วเราจะทำยังไงดีคะ”
“โทรศัพท์ ต้องรีบโทรศัพท์”
ขณะนั้นกานนกำลังนั่งกินอาหารเช้าอยู่กับกุเทพ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น สาวใช้เดินไปรับ
“ใครโทรมาแต่เช้า”
กุเทพถามขึ้นลอยๆ
“มัสลินมั้ง!”
“ถ้าเป็นมัส เขาต้องโทรเข้ามือถือผมแล้วล่ะฮะ”
กุเทพบอกสาวใช้เดินเข้ามา ย่อตัวส่งโทรศัพท์ให้กานน
“เขาขอพูดกับคุณกานนค่ะ”
“งั้นคงเป็นมธุรินแล้วมั้ง อาปลิวไม่ได้เปิดมือถือหรือครับ”
กานนทำสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ รับโทรศัพท์
“สวัสดีครับ” กานนสะดุ้งเฮือก ผุดลุกขึ้นทันที “อะไรนะครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้!”
กานนวางโทรศัพท์ลง กุเทพมองอย่างแปลกใจ
“อะไรหรือ อาปลิว”
“มัสลินไม่ได้กลับบ้าน”
“เป็นไปไม่ได้”
กานนรีบเดินออกไป
“ผมไปด้วยคน!”
กุเทพรีบตาม
จิรดายังคงร้อนรนกระวนกระวาย
“โทรหาใครอีก ช่วยกันคิดซิ”
“ตำรวจค่ะ ตำรวจ”
“โทรไปแล้ว”
“คุณม่านมุกค่ะ คุณม่านมุก”
“อย่าเพิ่ง เดี๋ยวได้ตกใจจนเป็นลมตาย นึกได้แล้ว!”
จิรดากดโทรศัพท์หาบัวบงกช บัวบงกชเห็นเบอร์รีบรับอย่างตื่นเต้น
“สวัสดีค่ะ คุณจิรดา”
“คุณบัวบงกช มัสลินถูกลักพาตัวไป”
บัวบงกชตกใจโทรศัพท์แทบตกจากมือ
“อะไรนะคะ”
“มัสลินถูกลักพาตัวไป ไม่ได้ยินเรอะไง”
บัวบงกชทรุดตัวลงอย่างหมดแรง
“ทำไม เกิดอะไรขึ้น”
“ฉันก็ไม่รู้ เมื่อคืนเขาไม่ได้กลับบ้าน”
“ฉันจะรีบไปที่บ้านคุณเดี๋ยวนี้” จิรดาวางโทรศัพท์ลง ร้องไห้สะอึกสะอื้น
“มัสลินลูกแม่ ถ้าเป็นอะไรไปแล้วแม่จะทำยังไง”
บัวบงกชค่อยๆ พยุงตัวลุกเดินออกไป
ที่บ้านกานนขณะนั้นเจ้าสัวนั่งกินข้าว ขณะที่อุษยากำลังสอบถามสาวใช้เรื่องกานนกับกุเทพ
“ตกลงไม่มีใครรู้สักคนว่าพ่อ 2 หน่อนั่นไปไหน”
“คุณปลิวกับคุณกุไม่ได้บอกครับ ผมเห็นแต่รีบขับรถออกไป”
“โอ๊ย! ยัยอุษ หลานชายเธอน่ะ โตจนมีลูกมีเมียได้แล้ว มันจะไปไหนก็เรื่องของมันซิ”
“แต่เขาไม่เคยทิ้งจานชามไว้นะคะ คุณพ่อ”
“ฉันก็ไม่เคยเห็นมันล้างจานชามเลยนี่”
“แหม ไม่ได้ทิ้งแบบคุณพ่อเข้าใจค่ะ ทิ้งแบบกินค้างเอาไว้”
“อ้าว! ค้างเอาไว้ก็ค้างเอาไว้ซิ”
“แล้วคุณพ่อไม่แปลกใจบ้างหรือคะ”
“ไม่แปลก อาจจะมีสาวๆ โทรมาตามก็เลยต้องรีบไป”
“โอ๊ย สาวที่ไหนค่ะคุณพ่อ”
“ฉันจะไปรู้มันเรอะ กินข้าวเถอะ เดี๋ยวจะได้ไปบ้านม่านมุกด้วยกัน”
อุษยาหน้างอ แต่ก็ทรุดตัวลงนั่งโดยดี
“จะไปทำอะไรก็ไป”
อุษยาหันไปบอกสาวใช้
กุเทพขับรถออกจากบ้านโดยมีกานนนั่งคุยโทรศัพท์อยู่อย่างร้อนรน
“ดุสิต มัสลินหายไป”
กานนส่งข่าวบอกดุสิต ดุสิตตกใจ
“ต้องเป็นไอ้พวกศิธาแน่ ผมเตือนแล้วแต่เธอไม่ฟัง”
“คุณช่วยบอกคุณแม็กกี้ด้วย แล้วพามาที่บ้านมัสลินเลย มาถูกไหม”
“คุณบอกทางมาก็แล้วกัน”
ดุสิตหยิบปากกามาจดตามกานน
กานนกับกุเทพ เดินเข้ามาในบ้านม่านมัสลินด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“กานน”
“คุณกานน”
บัวบงกชกับจิรดาร้องไห้ออกมา กุเทพมองบัวบงกชอย่างแปลกใจ
“ผมโทร บอกเพื่อนที่เป็นนายตำรวจแล้ว อีกสักประเดี๋ยวก็คงได้เรื่อง”
“ไม่มีร่องรอยอะไรเลยหรือครับ”
“มีแต่รถจอดเปิดประตูไว้ แอร์ก็ยังเปิดอยู่ เครื่องไม่ได้ดับ”
กุเทพกับกานน สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด ขณะฟัง
“ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”
เสียงแตรรถดังขึ้น
“ไปเปิดประตูซิพัด คงเป็นดุสิตกับคุณแม็กกี้”
พัดรีบออกไป แล้วนำดุสิตกับแม็กกี้เข้ามา กุเทพกับกานนยกมือไหว้แม็กกี้ ทุกคนไหว้ตาม
“คุณแม็กกี้เป็นคุณแม่ของคุณคิม ลี เพื่อนสนิทของมัสครับ” กานนแนะนำ
“ไม่ต้องเป็นห่วง ความจริงฉันมีแผนของฉันอยู่แล้ว แต่เมื่อเรื่องมันเป็นอย่างนี้ ก็แค่ปรับเปลี่ยนนิดหน่อย” แม็กกี้ยกข้อมือดูนาฬิกา
“อีกประเดี๋ยวเครื่องบินที่ศิธาโดยสารมา ก็จะ landing!” ทุกคนมองแม็กกี้อย่างตั้งใจฟัง “คนของฉันไปรอรับอยู่แล้ว”
สีหน้าแต่ละคนมีความหวังขึ้นมาทันที
ม่านมัสลินยังถูกขังไว้ที่โกดังแห่งหนึ่งในสภาพถูกมัดแน่นหนา ปากมีเทปกาวปิดอยู่ เสี่ยศักดา กำธรและลูกน้องเดิมเข้ามายืนตรงหน้าม่านมัสลิน ที่เงยหน้ามองด้วยความเคียดแค้นชิงชัง
“ไง..” อยู่ดีไม่ว่าดี เล่นกับใครไม่เล่น ใครมาเห็นสารรูปตอนนี้ ดูไม่ออกเลยว่าเป็นนางเอก” เสี่ยศักดาสายหัวเยาะๆ “หมดสภาพจริงๆ”
ม่านมัสลินพยายามดิ้นและร้อง แต่ไม่ออก เสี่ยศักดาเดินวนรอบๆ แล้วทรุดตัวลงนั่งแล้วดึงเทปออก ม่านมัสลินตะโกนทันที
“ช่วยด้วย”
ศักดาตบโครมทันที ม่านมัสลินร้องด้วยความเจ็บปวด น้ำตาไหลพราก ลูกน้องคนหนึ่งเอาเทปมาปิดใหม่ เสี่ยศักดาจิกหัวม่านมัสลินให้เงยขึ้น
“ยังจะอวดดีอีก”
“จัดการมันเลยมั้ย เฮีย”
“ยัง ฉันมีงานให้มันทำ เป็นหนังสด คราวนี้ตัวจริง เล่นจริงเลย ไม่ต้องตัดต่อให้ลำบาก”
ม่านมัสลินเบิกตากว้างด้วยความตระหนก
ที่บ้านพิณสุดาขณะนั้น พีระพลถือกุญแจรถ เตรียมจะออกจากบ้าน
“จะไปไหนย่ะ” พิณสุดาถามน้องชาย
“ไปรับศิธา”
เสี่ยศักดาเดินออกจากโกดัง ตามด้วยบรรดาลูกน้องเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
“ว่าไง อาตี๋” เสี่ยคุยโทรศัพท์กับศิธานั่นเอง
“ตอนนี้ผมอยู่ airport แล้วครับ อีกประมาณชั่วโมงนึงน่าจะถึงบ้านถ้ารถไม่ติด”
“รออยู่นั่นแหละ เดี๋ยวให้คนไปรับ”
“ไม่เป็นไรฮะ เดี๋ยวโก้เขามารับ โทรมาบอกว่าออกจากบ้านแล้ว”
“เออ.. เออ!” เสี่ยศักดาปิดโทรศัพท์ “ทำไมต้องเฉพาะเจาะจงให้ไอ้โก้ไปรับ...”
เสี่ยศักดาบ่น พอหันกลับมาจึงเห็นลูกน้องต่างลอบยิ้ม
“พวกลื้อยิ้มอะไรวะ อากำธร ลื้อกับไอ้พวกนี้เฝ้านังนั่นไว้ให้ดี อั๊วจะกลับออฟฟิศก่อน ถ้ามีอะไรโทรเข้ามือถือ”
“ครับ”
เสี่ยศักดาขึ้นรถขับออกไป
ศิธาลากกระเป๋าเดินทางออกจากสนามบิน พร้อมคุยโทรศัพท์ไปด้วย แต่แล้วจู่ๆ มีชาย 2 คน รูปร่างหน้าตาน่ากลัวเข้าขนาบทั้งสองข้าง ดึงโทรศัพท์จากศิธามาปิด
“พวกแกเป็นใคร”
ศิธาถามอย่างตกใจหนึ่งในสองสอดปืนเข้าสีข้างศิธาทันที
“เดินไปดีๆ”
“เตี่ยเตะแกตายแน่”
“งั้นแกคงตายก่อน”
ชายสองคนพาศิธาขึ้นรถขับออกไป รถแล่นเข้ามาในจอดห้องแถวร้างแห่งหนึ่ง บรรดาลูกน้องของแม็กซึ่งอยู่ในบริเวณนั้นลุกขึ้น ประตูรถเปิดออกให้เห็นศิธาซึ่งถูกมัดมือ ผูกปาก ถูกถีบลงมาคลุกกับพื้น ศิธาพยายามดิ้นและดิ้น ลูกน้องคนหนึ่งดึงคอศิธาขึ้นมา
“ไม่ต้องร้อง แกทำกับคุณคิมยิ่งกว่านี้หลายเท่า”
ลูกน้องชกโครม ศิธาล้ม ลูกน้องอีกคนลากศิธาเข้าไปแล้วถีบเข้าห้อง ปิดประตูล็อคด้านนอก
ศิธาถูกขังอยู่ในห้องพยายามจะดิ้น เพื่อช่วยตัวเอง แต่ไม่สำเร็จ เพราะถูกมัดแน่นหนา...แม็กกี้ได้รับโทรศัพท์จากลูกน้อง หลังจากคุยโทรศัพท์โทรศัพท์เสร็จจึงหันกลับมาบอกทุกคน
“เราได้ตัวศิธาเรียบร้อย”
ทุกคนถอนใจเฮือก
“งั้นก็เอาไปแลกเลยซิ เอาไปแลกเลย มัวแต่ชักช้าอยู่ทำไม”
จิรดาบอก บัวบงกชโอบจิรดาไว้
“คุณดา...ใจเย็นๆค่ะ”
“ฉันเป็นแม่ ลูกถูกจับไปอย่างนี้ จะให้ใจเย็นอยู่ได้ยังไง”
“ไม่เป็นไร ฉันจะโทร เดี๋ยวนี้”
เสียงโทรศัพท์กานนดังขึ้น กานนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแล้วหันมาบอกกุเทพ
“คุณปู่ โทรมา”
“อย่าบอกนะ อาปลิว”
“ถึงยังไงท่านก็ต้องรู้จนได้” กานนกดรับสายเจ้าสัว “ครับ คุณปู่ ผมอยู่บ้านมัสลิน”
“ไปทำไมแต่เช้า”
กานนสูดลมหายใจยาวแล้วตัดสินใจบอกออกมา
“มัสลินถูกลักพาตัวไปครับ”
เจ้าสัวทศค่อยๆ วางโทรศัพท์ลง แล้วหันมาอุษยา สีหน้าเคร่งเครียด
“มีอะไรหรือคะคุณพ่อ”
“มัสลิน ถูกลักพาตัว”
อุษยาตกใจสุดๆ
“คุณพระช่วย”
“ไปบอกเจ้าสาธิตย์ให้เอารถออกมาเดี๋ยวนี้”
“ค่ะ” อุษยาเงอะงะจะเข้าในบ้าน
“เอ้า! จะไปไหน แม่อุษ รถเราอยู่ข้างนอก ไม่ใช่ในบ้าน”
“ขอโทษค่ะ หนูมัวแต่ตกใจ”
อุษยารีบเดินออกไป เจ้าสัวทศตาม
เจ้าสัวทศสั่งคนขับรถให้ไปบ้านม่านมัสลิน ระหว่างอยู่บนรถนึกขึ้นได้จึงชะโงกหน้าเล็กน้อย
“เจ้าช้าง”
“ครับผม”
“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว”
“อ้าว”
“ท่านจะกลับบ้านหรือครับ”
“ฉันจะไปบ้านคุณม่านมุก”
“คุณพ่อขา ป่านนี้คุณม่านมุกคงอยู่ที่บ้านม่านมัสลินแล้วละค่ะ”
“ยังหรอก ยังไม่มีใครบอกให้รู้หรอก”
“ตกลงท่านจะไปบ้านไหนครับ”
“บ้านคุณม่านมุก”
เจ้าสัวทศนั่งพิงพนัก สีหน้ามีร่องรอยของความกังวลอยู่ลึกๆ
คนขับรถพาเจ้าสัวทศกับอุษยามาบ้านม่านมุก
“ท่านเจ้าสัวมาคะ”
ปิ่นรีบเข้ามารายงานม่านมุก
“ฉันเห็นแล้ว มีธุระอะไรหรือคะ”
“ฉันมารับไปบ้านมัสลิน”
ม่านมุกมีสีหน้าแปลกใจเล็กๆ
“รีบไปเถอะค่ะ”
“ทำไมต้องรีบ”
เจ้าสัวทศกับอุษยา มองหน้ากันแล้วอึ้งไป ม่านมุกมองอย่างแปลกใจและนึกสังหรณ์ใจ
“ทำไมต้องมองหน้าสบตากัน มีอะไรหรือคะ”
“แล้วฉันจะเล่าให้ฟังในรถ”
“ไม่ ฉันจะฟังเดี๋ยวนี้ มีอะไรว่ามา”
“ไปเล่าในรถเถอะค่ะ จะได้ไม่เสียเวลา ปิ่นเธอไปด้วย”
“ค่ะ เดี๋ยวปิ่นปิดบ้านก่อนนะคะ”
เจ้าสัวทศเดินออกไปกับม่านมุก โดยที่คอยช่วยดูแลประคับประคองกลัวม่านมุกจะล้ม ทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่ได้เดินดีนัก
“เดี๋ยวก็ได้ล้มไปทั้งคู่หรอก”
อุษยาบ่นพึมพำออกมา
ระหว่างอยู่บนรถเจ้าสัวทศ ตัดสินใจบอกม่านมุกเรื่องที่ม่านมัสลินถูกจับตัวไป ม่านมุกฟังจบก็แทบเป็นลม อุษยาต้องช่วยแกว่งยาดมให้ เจ้าสัวทศช่วยพัดอีกข้าง ส่วนปิ่นซึ่งนั่งคู่กับคนขับคอยหันมามองด้วยความเป็นห่วง
“โอย! ฉันจะเป็นลม เวรกรรมอะไรอย่างนี้”
“ทำใจดีๆ ม่านมุก เท่าที่รู้ หลานฉันไม่เคยทำความเดือดร้อนให้ใคร ไม่เคยคิดร้าย มีแต่กตัญญูรู้คุณ แล้วทำไมต้องมาทำร้ายเขาด้วย”
“คุณพระคุณเจ้าต้องคอยปกป้อง รักษามัสลินแน่ๆ ค่ะ ปิ่นโทรบอกคุณจิรดาซิว่าเรากำลังจะไปถึงแล้ว”
“ค่ะ”
ปิ่นหยิบโทรศัพท์ขึ้นโทร
เมื่อรถเจ้าสัวเลี้ยวเข้ามาจอดบ้านม่านมัสลิน จิรดา กานน กุเทพ และพัด ซึ่งคอยอยู่รีบเดินมารับ
“แม่ดา”
“คุณแม่ขา”
ม่านมุกกับจิรดากอดกันร้องไห้ออกมา
“ได้เรื่องว่ายังไงบ้าง”
“เข้าไปพูดกันข้างในเถอะ”
ทุกคนพากันเข้าไป โดยกานนกับกุเทพช่วยประคองม่านมุก
จิรดากับปิ่นช่วยกันประคับประคองพาม่านมุกเข้ามาในห้องแล้วให้นั่งเอนๆ บนเตียง ปิ่นจับหมอนช้อนพิงหลังให้
“แม่อยู่ในนี้นะคะ จะเอาอะไรก็ให้ปิ่นลงไปบอกหนู”
“แกก็พูดเพราะเป็นเหมือนกันนี่”
ปิ่นฟังอยู่ถึงกับอมยิ้ม
“แหม..หนูไม่ได้ชั่วช้ากาลีซักหน่อยค่ะ ปิ่น ดูแลแม่ฉันดีๆ ด้วยนะ”
“คุณดาไม่ต้องห่วงเลยค่ะ”
จิรดาเดินไปที่ประตู
“แม่ดา...” จิรดาหันกลับมา “ถ้าได้ข่าวมัส รีบขึ้นมาบอกแม่นะ”
ม่านมุกบอกเสียงสั่น จิรดาน้ำตาคลอ
“ค่ะ”
“แม่รู้มาตั้งนานแล้วว่าแกรักลูก ถึงแม้อีกใจนึงพยายามต่อต้านก็ตาม”
จิรดาเปิดประตู เดินออกไป
เมื่อออกมานอกห้องจิรดาสุดจะกลั้นยืนพิงประตู ปล่อยให้น้ำตาไหลพรากอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเช็ดจนแห้งก่อนจะเดินลงไป
แม็กกี้เดินออกมาโทรศัพท์หาเสี่ยศักดาโดยมีดุสิตเดินตามออกมาด้วย เสี่ยศักดาหยิบโทรศัพท์มาดูด้วยความประหลาดใจ
“สวัสดี แม็กกี้ ไม่ได้คุยกันตั้งนานเลยนะ”
“ฉันว่าจะเก็บไว้คุยทีเดียว วันนี้ได้ฤกษ์พอดี”
“จะให้ช่วยอะไรก็ว่ามา เราเป็นเพื่อนเก่ากันอยู่แล้ว”
“จะให้ช่วยปล่อยม่านมัสลิน”
เสี่ยศักดาสะดุ้ง แล้วทำหัวเราะกลบเกลื่อน
“ม่านมัดสะลง มัสลินที่ไหน”
“จะปล่อยหรือไม่ปล่อย”
“ไม่ใช่เรื่องของคุณน่า แม็กกี้”
“ใช่เต็มที่ทีเดียวค่ะ เพราะม่านมัสลินเป็นเพื่อนกับคิม ลี ลูกชายของฉัน”
แม็กกี้ส่งโทรศัพท์ให้ดุสิต
“จำคิม ลีได้ไหม คนที่พวกแกเล่นงานเกือบตายน่ะ”
“ไอ้ดุสิต”
“ว่าไง คุณแม็กกี้ถามว่าจะปล่อยมัสลินไหม”
“ปล่อยก็ได้ แต่ต้องขอเอาตัวไว้ถ่ายหนังก่อน เราเซ็นสัญญากันแล้วจะรอได้มั้ยล่ะ”
“คุณแม็กกี้ให้เวลา 1 ชั่วโมง”
เสี่ยศักดาหัวเราะ
“ชั่วโมงเดียวถ่ายไม่ทันหรอก” แม็กกี้พยักหน้าเป็นสัญญาณกับดุสิต
“ถ้า 1 ชั่วโมงเสี่ยก็คงไม่มีโอกาสเจอหน้าไอ้ศิธาอีกแล้ว”
เสี่ยศักดาสะดุ้ง
“หมายความว่ายังไง”
“คนของคุณแม็กกี้ได้ตัวศิธาไว้เรียบร้อยแล้ว”
แม็กกี้ดึงโทรศัพท์กลับมา
“นี่เรื่องจริง”
แม็กกี้ยืนยันด้วยตัวเอง เสี่ยศักดาหน้าเครียดขึ้นมาทันที
บัวบงกชหลบมานั่งสวดมนต์เงียบๆ อยู่คนเดียว เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น บัวบงกชปล่อยให้ดังจนหยุดแต่แล้วก็ดังขึ้นมาอีก บัวบงกชจึงเดินมาหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าเพื่อรับสาย
“ว่าไงจ๊ะลูก”
“คุณแม่ขาเดี๋ยวเดียร์จะไปรับที่สตูฯนะคะ วันนี้วันเกิดคุณพ่อ เดียร์อยากให้เราไปทานข้าวพร้อมหน้ากัน พ่อแม่ลูก”
“แม่...เอ้อ แม่ไปไม่ได้ลูก”
“ทำไมหรือคะ” บัวบงกชอึ้งไม่รู้จะตอบยังไง
“คุณแม่คะ คุณแม่พูดมาเถอะคะ เดียร์รับได้”
“มัสลินถูกลักพาตัวไปลูก”
มธุรินชะงัก สีหน้าตกใจ
หลังจากวางสายจากมธุริน บัวบงกชเปิดประตูออกมาแล้วชะงักเมื่อเห็นจิรดายืนร้องไห้
“เกิดอะไรขึ้น” บัวบงกชถามอย่างตกใจ
“คุณแม็กกี้ไปแล้ว”
“ไปไหน”
“เขาบอกว่าจะไปทำภาระบางอย่างก็เลยยังไม่ได้เอาไอ้ศิธาไปแลกกับมัส”
บัวบงกชยกมืออุดปาก ร้องไห้
“ฉันกลัว”
“ฉันก็กลัว”
บัวบงกชกับจิรดากอดกันร้องไห้
เตชนั่งทำงานอยู่ที่ออฟฟิศ เสียงเคาะประตูเบาๆ เตชเงยหน้าขึ้น ขณะที่มธุรินเดินเข้ามา สีหน้าตื่นเต้น
“มีอะไรหรือลูก”
“คุณพ่อขา มัสลินถูกลักพาตัวไปค่ะ” เตชยิ้มนิดๆ มธุรินเห็นแล้วแปลกใจ
“เอ๊ะ! คุณพ่อไม่เห็นแปลกใจเลยนะคะ”
“ก็ไม่เกี่ยวกับพ่อนี่ มันไม่ใช่ลูกของพ่อสักหน่อย จะต้องไปเดือดร้อนทำไม เดี๋ยวเราไปฉลองวันเกิดพ่อกันดีกว่า”
“คงมีแต่เราไปฉลองกัน 2 คนมั้งคะ”
“ทำไม”
“คุณแม่ไปอยู่ที่บ้านมัสลินเรียบร้อยแล้วค่ะ”
“อะไรนะ นี่ทำแจ๋นเจ๋อเสนอหน้าไปแล้วเรอะ”
“จะเหลือหรือคะ คุณพ่อ แต่ความจริง ก็น่าสงสารมัสลินเหมือนกันนะคะ ป่านนี้ไม่รู้จะเป็นยังไง”
“มันไม่เป็นไรหรอก แถมจะได้โกอินเตอร์ด้วยซ้ำ”
เตชหัวเราะ มธุรินยิ่งแปลกใจ
“เอ๊ะ! คุณพ่อเหมือนจะรู้เรื่องเลย”
“พ่อก็พูดไปยังงั้นแหละ พ่อจะไปรู้ได้ยังไง หนูไปเตรียมตัวเถอะ เดี๋ยวเราจะไปรับแม่ด้วยกัน”
“ค่ะ เดียร์ไปเก็บของแป็บนึงนะคะ”
“จ้า!”
มธุรินออกไป แล้วเดินกลับเข้าห้องทำงานตัวเอง ขณะกำลังเก็บข้าวของบนโต๊ะเธอพึมพำออกมา
“แปลก! ทำไมคุณพ่อพูดแปลกๆ”
เตชและมธุรินเดินมาขึ้นรถ มธุรินหันมาถามพ่อ
“ตกลงคุณพ่อจะเอายังไงคะ เดียร์ว่าเรากลับไปรอคุณแม่ที่บ้านดีกว่า”
“พ่อจะไปรับแม่กลับ”
“เดียร์ว่าคุณแม่คงไม่ยอมหรอกค่ะ ยิ่งมัสลินถูกจับไปอย่างนี้ คุณแม่ยิ่งเป็นห่วง”
“ไม่ใช่ลูกใช่เต้า จะต้องเป็นห่วงทำไม”
มธุรินแตะแขนพ่อเบาๆ แล้วพูดอย่างเกรงใจ
“คุณพ่อขา เดียร์ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ยคะ”
เตชอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น “อย่าถามเลย”
“คุณพ่อทราบหรือค่ะว่าเดียร์จะถามอะไร” เตชอึ้ง
“เดียร์แค่อยากรู้เท่านั้นว่า มัสลินเป็นลูกใครกันแน่”
เตชนิ่งไปครู่หนึ่ง
“มันเป็นลูกแฟนเก่าแม่เขา”
“นั่นซิค่ะ ถ้าหากมัสลินเป็นลูกคุณแม่ คุณจิรดาเขาเลี้ยงเป็นลูกทำไมไม่มีเหตุผลเลย”
“หมดข้อสงสัยหรือยัง จะได้ไปรับแม่”
“หมดแล้วค่ะ”
เตชขับรถแล่นออกไป
อ่านต่อหน้า 3
ในรอยรัก
ตอนที่ 30 อวสาน (ต่อ3)
ขณะที่เตชขับรถออกไป เขานึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งคุยกับเสี่ยศักดา...เตชกำลังจะปิดคอมฯ บนโต๊ะทำงานในออฟฟิศ เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เตชยืนขึ้นเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ศักดา รีบกดรับ
“ว่าไง..เสี่ย เรียบร้อยแล้วใช่ไหม”
“เรียบร้อยอะไรได้ นังแม็กกี้มันจับตัวศิธาไป”
“ฮ้า!” เตชอุทานคาดไม่ถึง
“ผมกำลังกลุ้มอยู่นี่แหละ นึกเหมือนกันว่าทำไมมันถึงเงียบผิดปกติ ทั้งๆ ที่เราเล่นงานลูกมันตั้ง 2 ครั้ง 2 หน”
“มันคงรอจังหวะ” เตชบอก
“ใช่! มันฉวยโอกาสตอนเราเผลอ นี่ผมต้องรอดทรศัพท์มัน มันจะแลกตัวศิธากับมัสลิน” เตชฟังแล้วก็เงียบไป สีหน้าขรึมลง
ทางด้านศิธาซึ่งนั่งตัวงอก่องอยู่ในห้องที่ถูกจับมาขัง ระหว่างนั้นมีเสียงเคาะประตู ศิธาหันขวับไปมอง แม็กกี้เดินเข้ามา ขนาบข้างด้วยลูกน้อง
“นังแม็กกี้” ศิธาตะโกนอย่างแค้นเคือง
“เอาตัวมันออกไป” แมกกี้สั่งเสียงเฉียบขาด
ลูกน้องรับคำแล้วเข้ามากระชากตัวศิธาลุกขึ้นอย่างไม่ปรานีปราศัย
“โอ๊ย! เบาๆ ก็ได้”
“อ้อ! รู้จักเจ็บเหมือนกันเรอะ แค่นึ้มันยังน้อยไป ฉันจะพาแกไปดูลูกฉันบ้าง แกจะได้เห็นว่าที่แกโดนน่ะมันเรื่องเล็ก”
แม็กกี้เดินนำออกไป..ศิธาถูกลากตัวออกไปติดๆ กัน
ครู่ต่อมา แม็กกี้ก็มาถึงห้องพักในคอนโดฯ ขณะที่คิม ลี ยังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง มีผ้าห่มคลุมตัว คิม ลี ยังใส่หมวกไหมพรมบนศรีษะที่ได้รับการกระทบกระเทือนตอนถูกทำร้ายวันนั้น
ประตูห้องเปิดออก ลูกน้องหันมามอง แม็กเดินนำเข้ามา ขณะศิธาถูกผลักจนหน้าคะมำ
“เป็นไงบ้าง” แม็กกี้ถามคนที่เฝ้าไข้ด้วยความเป็นห่วงลูก
“เพิ่งหลับไปเพราะฤทธ์ยาเมื่อกี้นี้เองครับ” ลูกน้องรายงาน
ศิธาเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ไม่ยอมมองที่คิม ลี
“ตั้งแต่เธอทำร้ายเขาคราวนั้น ร่างกายเขาก็อ่อนแอลง” แม็กกี้พูดกับศิธา
ระหว่างนั้นลูกน้องที่คุมตัวก็จับหัวศิธาให้หันกลับไปดู
“ดูเสียให้เต็มตา”
“ถึงเขาจะฟื้นขึ้นมาได้ แต่ก็ไม่ปกติเหมือนเดิม อากาศเปลี่ยนแปลงนิดหน่อยก็ทรุดลง”
ขณะนิ่งฟังศิธาขบกราม สีหน้าแววตาหดหู่ แม็กกี้พูดต่อ
“เห็นหรือยังว่า ถึงฉันจะเมตตาเธอแค่ไหน...เวรกรรมน่ะมีจริง ฉันจะปล่อยเธอไปเมื่อแลกกับมัสลิน แต่ระวังไว้ให้ดี ถึงฉันจะปล่อย แต่เวรกรรมน่ะไม่มีวันปล่อยเธอหรอก”
สีหน้าแววตาของศิธาเวลานี้เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ที่บ้านจิรดา ม่านมุกนั่งสวดมนต์อยู่บนเตียงนอน ขณะที่ปิ่นกำลังยืนมองดูความเป็นไปที่นอกบ้านอยู่ริมหน้าต่าง เวลานั้นรถของแม็กกี้ก็แล่นมาจอด แม็กกี้ลงจากรถ มีลูกน้องก้าวลงมาเดินขนาบพาเข้าบ้าน โดยมีเลขาฯ และลูกน้องอีกกลุ่มรออยู่ข้างนอก
ทุกคนเห็นแม็กกี้เดินเข้ามา ก็พากันลุกขึ้นยืนโดยไม่ได้นัดหมาย
“เรียบร้อยไหมครับ” กานนถามขึ้น
“ทำไมจะไม่เรียบร้อยล่ะ รอลูกน้องฉันสัก 20 นาที แล้วเราจะไปรับมัสลินกัน”
ทุกคนฟังแม็กกี้จบค่อยโล่งอก
ขณะเดียวกันนั้นที่บริเวณหน้าบ้าน เตชขับรถเข้ามาจอด มธุรินขยับจะเปิดประตูลงไป แต่เตชห้ามขึ้น
“ไม่ต้องลงไป”
“ทำไมล่ะคะ”
“พ่อไม่อยากเหยียบบ้านนี้”
พูดจบเตชก็บีบแตรรถดังซ้อนๆ กัน
ส่วนภายในบ้าน กานน บัวบงกช จิรดา เจ้าสัวทศ อุษยา กุเทพ รวมทั้ง พัด กับแป้น ทุกคนกำลังนั่งคอยด้วยความเคร่งเครียดกระวนกระวาย
เสียงแตรรถดังขึ้นนั้น ทำให้บัวบงกชรีบลุกขึ้นทันที
“ฉันออกไปเองนะ คงเป็นยัยเดียร์กับคุณเตช”
บัวบงกชรีบเดินออกไป ทุกคนในห้องพากันมองตาม เมื่อเห็นบัวบงกชเดินออกมา เตช กับเดียร์จึงพากันลงมาจากรถ
“คุณแม่”
“บัว กลับบ้านเราเดี๋ยวนี้” เตชพูดแกมสั่ง
“ฉันยังกลับไม่ได้”
“คุณเป็นอะไรไป ตื่นได้แล้ว ลูกของคุณอยู่นี่ ลูกมาตามคุณ นังเด็กคนนั้นมันเป็นคนอื่น ไม่เกี่ยวกับเราเลย”
“มัสลินกำลังตกอยู่ในอันตราย” พูดแค่นั้นบัวบงกชก็น้ำตาคลอหน่วย
“ก็ช่างหัวมันเป็นไร อยากแส่ดีนัก ไม่ใช่เรื่องของตัวสักหน่อย เที่ยวได้สอดไปเสียทุกเรื่อง ทำให้ครอบครัวเขาแตกแยก แถมยังแย่งกานนไปจากลูกเดียร์ ผมจะบอกให้ว่า คราวนี้มันต้องเข็ดไปจนตาย คุณเตรียมดูคลิปใหม่ไว้ได้เลย คราวนี้ขอบอกว่าของจริง ไม่มีการตัดต่อให้เสียอารมณ์”
ขณะฟังเตชพูด บัวบงกชเบิกตากว้าง มธุรินเองก็ตกใจในวินาทีแรก แล้วสีหน้าแววตาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสะใจแทน
ทุกคนร้อนใจจึงเดินตามออกมา และได้ยินกันทั่วหน้า ต่างตกใจเช่นกัน
“ไอ้เตช” จิรดาโมโห เดินเข้าหาเตชทันที
“จะทำไม นังจิรดา! คราวนี้ลูกสาวแกมีหวังดังข้ามฟ้ามหาสมุทรไม่ใช่แค่ดังในประเทศ” เตชเยาะอย่างสะใจ
จิรดาตรงเข้ามา แต่ไม่ทันบัวบงกชซึ่งก้าวไปตบเตชซ้ำๆ อย่างแค้นจัด มธุรินผวาเข้าไปกอดพ่อ
“คุณแม่ คุณแม่ตบคุณพ่อทำไม นี่นังมัสลินสำคัญขนาดนี้เชียวหรือคะ ถ้าคุณแม่ให้ความสำคัญกับนังลูกนังเมียน้อยคุณพ่อขนาดนี้ ก็เชิญอยู่กับมัน เดียร์จะไปอยู่กับคุณพ่อ 2 คน ไปค่ะ คุณพ่อ”
บัวบงกชไม่ใส่ใจมธุริน พูดเน้นทีละคำ
“รู้มั้ยว่ามัสลินเป็นใคร เขาเป็นลูกพ่อกับแม่เหมือนที่แกเป็น มัสลินเป็นพี่สาวแท้ๆของแก”
ทุกคนพากันตกตะลึง
บัวบงกชหันมามองเตช
“มัสลินเป็นลูกคุณ จำได้ไหมที่ฉันบอกว่าจะแก้แค้นที่คุณทำกับฉัน คุณข่มขืนฉันจนท้อง ฉันหลบไปคลอด แล้วเอาไปฝากให้ภาษิตเลี้ยง ภาษิตรักษาสัญญาไม่เคยเปิดเผยเรื่องนี้จนตลอดชีวิต” บัวบงกชหันมาทางจิรดา “คุณจิรดา ฉันขอโทษฉันเสียใจจริงๆ ที่ทำให้คุณต้องเดือดร้อนไปด้วย”
ระหว่างนั้นรถตู้ลูกน้องแม็กกี้ก็แล่นเข้ามา
แม็กกี้พูดตัดบทขึ้น
“เรื่องนี้พอไว้ก่อน รถมาแล้ว ฉันต้องไปช่วยมัสลินแล้ว กานน! จะไปด้วยไหม”
“ครับ!”
“ผมไปด้วย” เตชซึ่งยังช็อกอยู่ พูดระล่ำระลัก
กุเทพขยับจะตามไปด้วย แต่กานนจับแขนไว้
“นายอยู่ทางนี้ คอยดูแลทุกคนไว้ ถ้ามีอะไรฉันจะโทรมาบอก”
กุเทพพยักหน้า กานน กับแม็กกี้ก้าวขึ้นรถ เตชรีบตามไป ทุกคนมองตาม พลางยกมือไหว้พระ ขอให้ช่วยคุ้มครองม่านมัสลินให้ปลอดภัย
ม่านมุกก้มกราบพระ ขณะที่ลูกบิดค่อยๆ ขยับ ประตูเปิดออก ม่านมุกกับปิ่นหันไปมอง เจ้าสัวทศเดินเข้ามาพร้อมอุษยาและจิรดา
“ฉันใจคอไม่ค่อยดีเลย ต้องสวดมนต์ตลอด”
เจ้าสัวทศทรุดตัวลงนั่ง
“คุณแม็กกี้เขาไปกับเจ้าปลิวแล้ว นายเตชสามีบัวบงกชเขาก็ไปด้วย”
“เขาก็ดีนะ อุตส่าห์เป็นห่วงเป็นใย”
“ไม่อุตส่าห์ได้ยังไงล่ะคะ ลูกของตัวเองแท้ๆ”
อุษยาบอกอย่างขวางๆ จิรดาหันมองไปทางอื่น
“อะไรนะ ใครลูกใครพ่อใคร” ม่านมุกถามขึ้นมา เพราะพึ่งจะได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก
“นายเตชน่ะค่ะ เขาเป็นพ่อที่แท้จริงของมัสลิน” จิรดาบอก
ม่านมุกหันมามองจิรดา จิรดาถอนใจ
“หนูก็เพิ่งทราบ ตลอดเวลาที่ผ่านมา หนูนึกว่ามัสลินเป็นลูกบัวบงกชกับภาษิต ทำไมเขาไม่บอกหนู ...ทำไมเขา ปล่อยให้หนูหลงผิด หลงเคียดแค้นชิงชังทั้งเขาทั้งมัสลิน หนูเกลียดเขาจนตายจากกันก็ไม่มีการอภัย”
จิรดาร้องไห้ออกมาเจ้าสัวทศโอบจิรดา
“มันผ่านไปแล้วลูก”
“ถ้าหนูรู้ความจริงสักนิด เราคงใช้เวลาที่เหลืออย่างมีความสุข ไม่ต้องเจ็บปวดขมขื่นขนาดนี้”
“ไม่มีอะไรสายสำหรับการให้อภัยหรอกลูก”
“ทำไมจะไม่สายคะ ภาษิตตายไปแล้ว ตายไปทั้งๆ ที่นึกว่าหนูเกลียดเขา”
“แม่คิดว่าเขารู้ เขาเข้าใจ แล้วก็ให้อภัยแกมานานแล้ว”
“หนูเสียใจ เสียใจจริงๆ ทำไมบัวบงกชทำแบบนี้ เขาต้องการอะไร ในเมื่อเขาก็มีสามีอยู่แล้ว เขามายุ่งกับครอบครัวหนูทำไม”
จิรดาร้องไห้อย่างเจ็บปวด แล้วเดินแกมวิ่งออกไป ทุกคนมองตามด้วยความเห็นอกเห็นใจ
“ความจริงก็น่าสงสารแม่ดาเขานะคะ เขาควรจะมีความสุข เป็นหนู หนูก็โกรธบัวบงกชเหมือนกัน” อุษยาออกความเห็น
“เรื่องของความรัก เรื่องของชีวิตครอบครัว บางทีมันก็ซับซ้อนเกินกว่าคนนอกอย่างเราจะเข้าใจ”
เจ้าสัวทศบอก
จิรดาร้องไห้กลับเข้าห้องตัวเอง พอเข้ามาในห้องก็ทิ้งตัวพิงประตู น้ำตาไหลพราก เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ตอนที่ภาษิตใกล้จะตาย
“ผมฝากมัสลินด้วย”
จิรดาฟังอย่างคับแค้นผสมเสียใจ
“จนนาทีนี้ คุณยังไม่ยอมบอกอีกหรือคะว่ามัสลินเป็นลูกใคร ลูกคุณกับอีนังคนไหน”
“ดา...ผมไม่เคยผิดต่อคุณ”
“งั้นก็บอกมาซิว่า นังกาฝากนั่นเป็นลูกเต้าเหล่าใคร” ภาษิตหลับตาลงอย่างอ่อนแรง “บอกมาว่ามันเป็นลูกใคร”
ภาษิตส่ายหน้าน้อยๆ
“ผม...บอกไม่ได้...ผมให้สัญญากับเขาแล้ว ผมบอกไม่ได้ แต่ผมไม่เคยผิดต่อคุณ”
ภายในอดีตเลือนหาย จิรดาร้องไห้จนตัวโยน
“ภาษิต ฉันขอโทษ ขอโทษจริงๆ”
ประตูห้องค่อยๆ เปิดออกจิรดาก้าวเข้ามาแล้วชะงักเมื่อเห็นบัวบงกชยืนลังเลเก้ๆ กังๆ ประมาณว่าไม่รู้ว่าจิรดาอยู่ห้องไหน
“เธอทำอย่างนี้ทำไม เธอตั้งใจจะทำลายครอบครัวของฉันใช่ไหม”
จิรดาถามอย่างแค้นใจ
“ไม่ใช่! เธอเข้าใจผิด”
“เข้าใจผิด งั้นก็พูดให้ฉันเข้าใจถูกหน่อยซิ”
“ฉัน...เอ้อ...”
“เธอก็อธิบายไม่ได้ เธอเอาลูกของเธอมาให้ฉันเลี้ยงเพื่อให้เราเข้าใจผิดกัน ทั้งๆ ที่พ่อของ
ลูกเธอก็มี ถ้าหากเธอรักภาษิต ทำไมไม่แต่งงานอยู่กินกับเขา เธอทิ้งเขาไปแต่งงานกับเตช พอมีลูกกันก็เอามาให้ภาษิตเลี้ยง ไม่มีคำอธิบายอะไรเหมาะสมกว่าคำว่า โรคจิต เธอเป็นโรคจิต ชอบทำให้คนอื่นขมขื่นเจ็บปวด”
“แล้วคิดหรือว่าฉันไม่ขมขื่น ไม่เจ็บปวด”
“ไม่คิด”
“ฉันเจ็บปวดและขมขื่นไม่น้อยไปกว่าเธอ เฝ้ามองลูกตัวเองอยู่กับผู้หญิงซึ่งชิงชังรังเกียจลูกที่ฉันเอาไปให้สามีเขาเลี้ยง”
“ก็แล้วเอามาทำไมล่ะ นังโรคจิต”
บัวบงกชน้ำตาไหลพราก
“ฉันขอโทษ บางทีฉันอาจเป็นโรคจิตจริงๆ”
“ไม่ใช่บางที แต่เธอเป็นแน่ นังโรคจิต แล้วกรุณาจำเอาไว้ว่าฉันไม่ต้องการให้เธอมาเหยียบบ้านฉัน”
จิรดาเดินชนไหล่บัวบงกชจนเซเกือบล้ม บัวบงกชมองตามด้วยความสะเทือนใจ
“ที่เขาพูดมันก็มีส่วนถูก”
บัวบงกชหันไปมองตามเสียงจึงเห็นอุษยามองอยู่
หลังจากรู้ความจริงมธุรินนั่งกอดอก มองเหม่อไปข้างหน้ากุเทพเดินเข้ามายืนมองมธุรินอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเดินมาใกล้
“ขอนั่งด้วยคนได้ไหม”
“คุณขออนุญาตผิดคนแล้ว เดียร์ไม่ใช่เจ้าของบ้าน”
“ทำไมพอผมมา คุณถึงต้องไป”
กุเทพจับแขนมธุรินเอาไว้ มธุรินดึงแขนออก
“เพราะฉันมานั่งอยู่นานแล้ว”
มธุรินหันหลังเดินไป
“ผมรู้ว่าคุณคิดอะไร” มธุรินชะงักหันกลับมา “คุณไม่รู้จะวางตัวยังไงเวลาพี่สาวของคุณกลับมา”
“กรุณาอย่าทำมาเป็นอ่านความคิดของฉันออก” มธุรินพูดขวางๆ
“ไม่ว่าใครที่ตกอยู่ในฐานะอย่างคุณ ก็คิดอย่างนี้ทั้งนั้นไม่เกี่ยวกับการอ่านความคิดของใคร”
กุเทพเดินต่อ
“ผมขอแนะนำให้คุณทำตัวตามปกติ เปิดใจยอมรับกันและกันและเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยกันต่อไป”
มธุริน หันขวับและก้าวฉับๆ มายืนตรงหน้ากุเทพอย่างหงุดหงิด
“ไม่ต้องมาสั่งสอนฉัน ตัวคุณน่ะเอาให้รอดเถอะ เวลานี้กานนกับ... มัสลิน ไม่ใช่พี่น้องกันแล้ว เขาสามารถคบกันฉันแฟนได้”
“แล้วไง”
“แล้วไง แล้วคุณก็แห้วน่ะซิ”
“ยังกะคุณไม่แห้ว” มธุรินแทบจะกรี๊ดออกมา
“ผมกับมัสลินยังไม่ทันได้คบขนาดเป็นแฟนกัน พูดง่ายๆ ผมเป็นฝ่ายรักเขาข้างเดียว แต่คุณกับอาปลิวคบกันในฐานะแฟนแน่นอน พอมัสลินเข้ามา...”
“พอที”
“ทำไม! ทนฟังไม่ได้เรอะไง”
“นทนคุณไม่ได้มากกว่า”
มธุรินสะบัดหน้าเดินหนีไป
ภายในบ้านขณะนั้นจิรดากำลังเดินกลับไปกลับมาอย่างกระวนกระวาย ตาคอยมองนาฬิกาที่เดินไปเรื่อยๆ มธุรินเดินเข้ามา จิรดาหันมามองพอดี ทั้งสองมองกันครู่หนึ่ง
“นั่งซิ”
“ขอบคุณค่ะ”
“เธอรู้สึกยังไง”
“ทำไมทุกคนต้องมาอยากรู้ความรู้สึกหนู”
“เพราะเขารักเธอน่ะซิ...ส่วนที่เธอกลัวว่ามัสลินจะแย่งความรักของพ่อแม่เธอจากเธอไปน่ะลืมได้เลย ฉันรู้ว่าเขาจะอยู่กับฉัน”
กุเทพเดินเข้ามา
“หายไปไหนกันหมดล่ะครับ”
“ไม่รู้ ต่างคนต่างมีทางของตน”
ขณะนั้นบัวบงกชอยู่ที่ชั้นบนกับอุษยา บัวบงกชก้มหน้านั่งฟังอุษยาพูด
“ฉันเคยจะดูรายการ ‘ธรรมสวัสดี’ ยังนึกเลื่อมใสว่าอายุไม่ก็ถึงกับมากเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนจะจัดการปัญหาทั้งหมดได้ราวกับผู้ที่หลุดพ้นแล้ว”
“มันเป็นอาชีพของดิฉันค่ะ”
“แต่เธอกลับแก้ปัญหาของตัวเองไม่ได้เลย”
บัวบงกชเย็นตัว อึดอัดเล็กน้อย
“ดิฉันขอตัวนะคะ จะไปสวดมนต์ต่อเพื่อให้ลูกปลอดภัย”
บัวบงกชเดินลงไป อุษยามองขวางๆ
เจ้าสัวทศยังอยู่กับม่านมุกในห้อง เจ้าสัวทศซึ่งยืนมองอยู่ที่หน้าต่าง พูดขึ้นลอยๆ
“ได้ตัวมัสลินกลับมาแล้ว เธอย้ายมาอยู่กับฉันเถอะ หรือจะให้ฉันย้ายไปอยู่กับเธอก็ได้”
“แยกกันอยู่แบบเดิมดีกว่าค่ะ เราต่างคนก็ต่างเคยชินกับการอยู่แบบนี้แล้ว กลับมาอยู่ด้วยกันก็คงจะเกะกะ รำคาญกันเสียเปล่าๆ”
“ฉันรู้คำตอบของเธอแล้ว แต่ก็ชวนไปอย่างนั้นแหละ ส่วนไอ้ที่จะเกะกะรำคาญเธอน่ะ ฉันไม่มีแน่ ถ้าย้อนเวลาได้...”
“ไม่มีใครย้อนเวลาได้หรอกค่ะ อะไรที่มันผ่านมาแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไป อย่าไปนึกเสียดงเสียดายอาลัยอาวรณ์เลย อายุปูนนี้แล้ว อยู่ชื่นอกชื่นใจกับลูกหลานดีกว่า เมื่อไหร่มัสลินจะมาเสียที”
“นั่นซิ”
ทั้งสองถอนใจจมอยู่ในความทุกข์ต่อ
ที่โกดังร้างกำธรกับลูกน้องกำลังนั่งกินข้าวกันไปคุยกันไป รถเสี่ยศักดาแล่นเข้ามาจอด
ทุกคนลุกขึ้น กำธรเดินไปเปิดประตูรถให้เสี่ยศักดา
“นังแม็กกี้มันทำเสียเรื่องหมด”
เสี่ยศักดาเดินไปที่โกดังเปิดเข้าไป ลูกน้องเดินตาม
เวลาผ่านไปที่วัดร้างนอกเมือง รถตู้คันหนึ่งจอดอยู่ กระจกดำสนิทรถตู้อีกคันขับเข้ามาจอดในระยะห่างพอสมควร...ภายในรถคันนั้นลูกน้องแม็กกี้เป็นคนขับ กานนนั่งคู่ข้างหน้า ข้างหลังเป็นแม็กกี้ เตชและลูกน้องอีกคน รถอีกคันแล่นตามมา
“เปิดประตู”
เตชบอกทั้งที่รถยังไม่ทันทันจอดดี
“อย่าเพิ่ง ให้ลูกน้องฉันลงไปดูก่อน”
แม็กกี้บอก กานนรีบเปิดประตูลงไปโดยไม่ฟังเสียงจะตรงไปที่รถตู้คันนั้น เตชตามลงไปทันทีแม็กกี้ตามลงมา ลูกน้องลงมาจากปิ๊คอัพพร้อมอาวุธ เล็งปืนไปที่รถคันนั้น ทุกอย่างต่างตกอยู่ในความสงบ ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น แม็กกี้พยักหน้า ลูกน้องสองคนเดินไปที่รถ สำรวจแล้วเปิดประตูออก
ลูกน้องพยักหน้าทุกคนรีบกรูกันเข้าไปจึงเห็นม่านมัสลินถูกมัดคุดคู้อยู่อย่างน่าสงสาร เตชถึงกับน้ำตาไหล
“ลูกพ่อ”
“มัสลิน”
กานนรีบแก้มัด ค่อยๆ ดึงเทปที่ปากออก โดยเตชช่วยแก้มัดเท้าน้ำตาไหลเป็นทางตลอดเวลา ม่านมัสลินเหมือนคนครึ่งหลับครึ่งตื่น เธอมึนงงอ่อนระโหย กานนโอบร่างม่านมัสลินขึ้นมากอดแน่น
“มัสลิน คุณไม่เป็นไรแล้ว”
ม่านมัสลินสะอื้นออกมา น้ำตาไหลพราก
“พาน้องกลับบ้านก่อนเถอะ กานน”
ม่านมัสลินเพิ่งสังเกตเห็นเตช เบิกตากว้าง
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัว คุณเตชมาช่วยมัส”
แม็กกี้มองโดยรอบอย่างระมัดระวัง เดินเข้ามาลูบผมม่านมัสลิน
“ลูกของฉันคงดีใจที่หนูปลอดภัย คุณกานน คุณเตชพามัสลินไปขึ้นรถเร็วเข้า”
กานนรีบอุ้มม่านมัสลินตรงไปที่รถปิ๊คอัพ ซึ่งมีคนขับนั่งอยู่ เตชหันมามองแม็กกี้
“ผมจะอยู่ช่วยคุณ คุณช่วยลูกของผม”
“ไม่ต้อง พวกคุณยังต้องมีเรื่องทำความเข้าใจกันมากมาย ฉันจัดการทุกอย่างได้”
“คุณอาพามัสลินกลับไปเถอะครับ ผมจะอยู่กับคุณแม็กกี้เอง” กานนตะโกนบอก
“ขึ้นมาเร็ว”
กานนปิดประตูรถ คนขับขับออกไปอย่างรวดเร็ว รถยนต์คันหนึ่งขับสวนมา
ระหว่างอยู่บนรถกานนกอดม่านมัสลินไว้แน่น ขณะเหลียวมองตาม
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ คุณแม็กกี้วางแผนไว้หมดแล้ว” คนขับบอก
กานนเบือนหน้ากลับมา กอดม่านมัสลินแน่นขึ้นอีก ม่านมัสลินซบกานน น้ำตาไหลพราก
แม็กกี้กับพวกยืนมองรถที่ขับเข้ามาอย่างสงบ เสี่ยศักดากับพวก ก้าวลงจากรถ
“สวัสดีครับแม็ก เอาตัวนังมัสลินไปแล้ว ผมก็จะมารับลูกผมคืน”
“นึกแล้วว่าคุณต้องมาไม้นี้ ก็เราตกลงกันแล้วไม่ใช่หรือว่า มัสลินไม่เกี่ยว เขาไม่ได้เป็นตัวต่อรองอะไรทั้งสิ้น ตอนนี้เป็นเรื่องของศิธากับนายคิมล้วนๆ ศิธาต้องใช้หนี้ที่สั่งลูกน้องทำร้ายนายคิมครั้งแรกและยังจะตามมาลักพาตัวอีกครั้ง”
“อย่าบ้านะ แม็กกี้ ตอนนี้ลูกผมอยู่ไหน”
“ไม่ใกล้ไม่ไกล คุณไม่ต้องเป็นห่วง ศิธายังปลอดภัยดี อาจจะไม่สบายนัก แต่เขาก็ปลอดภัย เพราะฉันไม่ใช่คนใจร้ายไส้ระกำเหมือนคุณฉันเห็นเขามาตั้งแต่เล็ก ต่อให้เกลียดเข้ากระดูกกับสิ่งที่เขาทำกับนายคิม ฉันก็คงฆ่าเขาไม่ลง”
“ถ้าอย่างนั้นก็คืนตัวศิธามา”
“ไม่ง่ายไปหน่อยหรือ จะบอกให้ก็ได้ว่า ฉันจะปล่อยเขาก็ต่อเมื่อวันสุดท้ายที่ฉันอยู่ในประเทศไทย คนอย่างเขาควรได้รับเรียนบ้าง”
แม็กกี้บอกอย่างใจเย็น
“แม็กกี้ อย่าแตะต้องลูกผม ศิธาไม่ได้ลงมือเอง ผมสัญญาว่าจะเอาไอ้พวกที่มันทำร้ายคิมมาลงโทษให้หมด”
“คนสั่งก็ผิดพอกัน อาจจะมากว่าด้วยซ้ำ เพราะแสดงถึงจิตใจที่เหี้ยมโหด ไม่มีมนุษยธรรม คุณทำลูกคนอื่นได้ แต่ลูกตัวเองกลับขอร้องอ้อนวอน คุณไม่กล้าสั่งสอนลูกคุณ แต่ฉันนี่แหละจะทำ”
แม็กกดรีโมทกระโปรงท้าย ฝากระโปรงกระเด้งออก เผยให้เห็นสภาพ ศิธาถูกมัดมือมัดเท้าปิดปาก ตาเหลือกลานอยู่ในนั้น
ที่บ้านม่านมัสลินขณะนั้นทุกคนกระวนกระวายรอการกลับมาของเธอ เสียงโทรศัพท์กุเทพดังขึ้น ทุกคนสะดุ้งเฮือก มองมาเป็นตาเดียว
“ใครโทรมา”
จิรดากับบัวบงกชถามออกมาพร้อมกัน
“อาปลิวครับ”
ทุกคนมีสีหน้าตื่นเต้น
“ครับอาปลิว ได้ตัวแล้วหรือครับ”
ทุกคนต่างดีใจ โดยเฉพาะจิรดา บัวบงกช พัด
“คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองลูกแม่”
“ลูกฉันต่างหาก”
“รีบไปบอกคุณปู่ คุณย่าเถอะครับ”
กุเทพบอก จิรดารีบขึ้นไปทั้งน้ำตา
จิรดามาหาม่านมุกที่ห้องด้วย สีหน้าตื่นเต้น
“มัสลินปลอดภัยแล้วค่ะ คุณกานนกำลังพากลับ”
ม่านมุกกับเจ้าสัวกอดกันร้องไห้
“หลานยาย พ้นทุกข์พ้นโศกแล้วลูก”
“คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองหลานตา”
จิรดาเข้ามากอดทั้งพ่อทั้งแม่ทั้งน้ำตาไหลออกมา
ทางด้านแม็กกี้หลังจากเปิดประโปรงรถ เธอก็ชูรีโมทระเบิดขึ้นมาทุกคนผงะด้วยความตกใจ
“แม็กกี้ นั่นคุณจะบ้าเรอะ”
“ก็บ้าพอๆ กับคุณนั่นแหละ อาจจะบ้ากว่าด้วยซ้ำ ทุกคนอย่าขยับ เห็นแล้วใช่ไหมว่าศิธายังไม่ตาย แต่ถ้าพวกคุณจะทำอะไรฉันจะกดรีโมทนี่อีกครั้ง แล้วทั้งคนทั้งรถจะไม่เหลือซาก”
แม็กกี้ทำหวาดเสียวจะกด เสี่ยศักดาร้องลั่น ตาเหลือก
“อย่านะ แม็กกี้ อย่าทำ”
“เสี่ยครับ อย่าเชื่อมัน นังนี่โกหก” กำธรบอก
“หุบปาก ลื๊ออยากให้ลูกอั๊วตายเรอะไง”
“พวกเรามีกันหลายคน”
เสี่ยศักดาตบเปรี้ยงจนกำธรเซ
“บอกให้เงียบ ลื๊อไม่รู้จักแม็กกี้เท่าอั๊ว หากอีบอกว่าระเบิด อีก็ระเบิดจริงๆ” เสี่ยศักดาหันมาไหว้แม็กกี้ด้วยความรักและเป็นห่วงลูก
“แม็กกี้ ผมยอมทุกอย่าง จะให้ทำอะไรก็ได้ ขออย่างเดียว ไว้ชีวิตศิธา คราวนี้ผมจะดูมันเอง ไม่ให้มันออกนอกลู่นอกทางอีกแล้ว ถ้าผิดคำพูดเมื่อไหร่ คุณมาเอาชีวิตผมได้”
“ณเองก็ด้วยออกนอกลู่นอกทางไม่แพ้ศิธา ทีนี้รู้แล้วใช่ไหมว่าความรักลูกเป็นยังไง พาพวกคุณถอยไปให้หมด ถ้ายังมีใครหลงเหลือ ฉันจะระเบิดรถคันนั้นแน่”
“เฮ้ย! พวกลื๊อถอยให้หมด”
บรรดาลูกน้องที่ล้อมกรอบอยู่พากันถอยออกมาตามคำสั่ง
“ฉันบอกว่าจะปล่อยศิธาในวันที่ฉันเดินทางออกจากประเทศไทย ทุกอย่างก็จะเป็นไปตามนั้น แล้วก็จำไว้ทั้งพ่อทั้งลูกว่าอย่าซ่าอีก”
เสี่ยศักดาขบกรามแน่น
“เฮ้ย! กลับ”
กลุ่มเสี่ยศักดาขึ้นรถพากันออกไป แม็กกี้มองตามเยือกเย็น
เมื่อกลับถึงบ้านกานนอุ้มม่านมัสลินเข้ามาในห้องและค่อยๆ วางลงบนเตียง โดยมีทุกคนตามมา
“ลูกรักของแม่ โทรตามหมอเถอะ กานน” บัวบงกชบอก
“ไม่ต้อง ปล่อยให้เขานอนพักสักครู่ดีกว่า” จิรดาบอก
“แล้วให้หมอมาดูสักหน่อยมันจะเป็นไรไป”
“คุณจะรู้ดีไปกว่าฉันได้ยังไง” จิรดาเถียง
“อย่าทะเลาะกันเลยค่ะ เดียร์ว่าปล่อยให้เขานอนพักอย่างที่เอ้อ...คุณป้าว่าจะดีกว่า” มธุรินขัด
“งั้นเดียร์คอยเฝ้าก็แล้วกัน เชิญคุณอาทั้ง 2 ออกไปกับผมเถอะ”
“ไม่”
บัวบงกชกับจิรดาตวาดออกมาพร้อมกัน ร่างของม่านมัสลินสะดุ้งทั้งๆ ที่ยังหลับ
“เห็นไหมครับ ถ้าคุณอาอยู่ก็ต้องทะเลาะกัน แล้วมัสก็จะนอนสะดุ้งผวา ตลอด”
บัวบงกชกับจิรดาจำใจยอมออกไปโดยมีกานนนำ มธุรินทรุดตัวลงนั่ง สีหน้าแววตามองอย่างอ่อนโยน พร้อมกับยกมือเสยผมให้ม่านมัสลินอย่างเบามือ
“คุณจิรดา” บัวบงกชเรียกเมื่อออกมาจากห้องจิรดาหยุดหันมา “ขอฉันคุยอะไรด้วยหน่อยได้ไหม”
จิรดามองหน้าบัวบงกชครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า กานนจึงเดินลงไปก่อน
“มีอะไรก็ว่ามา”
จิรดากอดอกถาม
“ถ้ามัสรู้สึกตัว ขอฉันปรับความเข้าใจกับแกหน่อยได้ไหม”
จิรดานิ่งไป บัวบงกชมองอย่างวิงวอน ในที่สุดจิรดาก็ถอนใจยาวพยักหน้า
“ความจริงก็ต้องเป็นความจริงอยู่วันยังค่ำ แม่ก็คือแม่” บัวบงกชยิ้มออกมา “แต่...” บัวบงกชชะงัก
“ต้องพิสูจน์ดีเอ็นเอก่อน”
บัวบงกชยิ้มทั้งน้ำตา
“ได้ค่ะ จะให้ทำอะไร ดิฉันยินดีทุกอย่าง” จิรดายังวางมาด ยักไหล่นิดๆ บัวบงกชเข้ามากราบที่แขนจิรดา
“ขอบคุณมากค่ะ คุณจิรดา ขอบคุณมากจริงๆ ที่ตลอดยี่สิบกว่าปีมานี่ คุณเลี้ยงดูมัสลินมาอย่างดี ดิฉันเป็นหนี้คุณชั่วชีวิต”
จิรดาน้ำตาชื้นขึ้นมาอย่างตื้นตัน จับแขนบัวบงกชไว้
“ถ้าดิฉันรู้ความจริงเร็วกว่านี้ ภาษิตกับฉันคงไม่ต้องตายจากกันอย่างเจ็บปวด ขมขื่น”
กานนเดินเข้ามาในห้องรับแขก กุเทพมองแล้วพูดแดกดันเล็กๆ
“คงต้องขอแสดงความยินดีล่วงหน้าแล้ว”
“ใครๆ ยินดีทั้งนั้นที่มัสรอดมาได้”
“อาปลิวก็รู้ว่าผมหมายถึงอะไร พระเอกเสี่ยงอันตรายไปช่วยนางเอกกลับมา แล้วทั้ง 2 ก็แต่งงานกัน เห็นมั้ย happy ending”
“นั่นมันเทพนิยาย แต่ชีวิตคนมันไม่ง่ายอย่างนั้น”
“เอาเป็นว่า ผมขอแสดงความยินดีล่วงหน้าก็แล้วกัน”
กุเทพเดินออกไป กานนมองตาม
ขณะนั้นเตชนั่งน้ำตาซึมอยู่มุมหนึ่ง มื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาที่เขาเคยร้ายม่านมัสลิน บัวบงกชเดินเข้ามาหยุดมองเตชพักหนึ่ง แล้วจึงเดินมานั่งใกล้ๆ เตชหันมามองแว่บหนึ่ง แล้วถอนใจยาว
“ฉันขอโทษ”
มธุรินเดินผ่านมาเห็นจึงตัดสินใจแอบฟัง
“คุณเคยบอกว่าคุณจะแก้แค้นผม แต่ผมไม่รู้เลยว่า คุณจะแค้นผมได้ถึงขนาดนี้ คุณพรากลูกจากผม เอาไปให้คนรักเก่าของคุณเลี้ยง คุณยืนดูผมทำร้ายเลือดในอกตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างเลือดเย็น คุณทำได้ยังไงน่ะบัว ทำไมคุณถึงโหดเหี้ยมเหลือเกิน...”
บัวบงกชร้องไห้ออกมา
“เพราะความแค้น... เพราะอารมณ์ชั่ววูบ คุณนึกหรือว่าฉันจะไม่เจ็บปวด ไม่ขมขื่นชอกช้ำ ฉันทุกข์ทรมานกว่าคุณไม่รู้กี่เท่า”
“แล้วคุณทำทำไม”
มธุรินแอบฟังด้วยสีหน้าขมขื่นสุดๆ
“เพราะฉันแค้นสิ่งที่คุณทำกับฉัน ฉันรักภาษิต ไม่ได้รักคุณ มัสลินควรเป็นลูกของภาษิตกับฉัน”
“พอที!” บัวบงกชร้องไห้สะอึกสะอื้น “เชิญคุณอยู่กับผีภาษิตต่อไปเถอะ ผมจะไม่ยอมอยู่ในวังวนนี้ต่อไปแล้ว ขอให้มัสลินหายดี แล้วเราจะไปหย่ากัน”
มธุรินสะดุ้งด้วยความตกใจ
“เตช”
“ผมเคยพูดเรื่องนี้ไปแล้ว และจะต้องทำตามคำพูดเสียที ผมคงทนอยู่กับคนที่เกลียดชังผมจนเข้ากระดูกไม่ได้หรอก ทั้งๆ ที่ผมรักเขามากเหลือเกิน ผมต้องขอโทษคุณ แต่ก็ยังยืนยันว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำไปเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน เกิดจากความรักทั้งสิ้น และความรักนั้นมันกำลังเผาไหม้ผมจนไม่มีชิ้นดีอยู่ขณะนี้”
เตชลุกขึ้น มธุรินรีบหลบไป บัวบงกชร้องไห้สะอึกสะอื้น
ดุสิตอยู่กับเกวลินที่ร้าน กานนโทรส่งข่าวเรื่องม่านมัสลิน ดุสิตถึงกับโล่งใจ
“ขอบใจมาก คุณกานน โอเค.แล้วพบกัน”
ดุสิตวางโทรศัพท์แล้วหันมาทางเกวลินด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เช่นเดียวกับสีหน้าตื้นตันของเกวลิน
“มัสปลอดภัยแล้วใช่ไหม”
“ปลอดภัยทุกอย่าง ตอนนี้กำลังนอนหลับพักผ่อน”
“โล่งใจไปที พรุ่งนี้เราไปเยี่ยมแต่เช้าดีกว่า” ดุสิตมองเกวลินอย่างลังเล ประมาณจะพูดหรือไม่พูดดี เกวลินท้าวคางมอง “จะพูดอะไรก็พูดมา”
“แน่ใจนะว่าทนฟังได้”
“ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ฉันทนไม่ได้อีกแล้วละ”
“เรื่องเกี่ยวกับศิธา”
เกวลินถอนใจยาว ตามองไปข้างหน้าครู่หนึ่ง แล้วเลื่อนมาสบตาดุสิต
“ใจมันยังกระตุกนิดหน่อย แต่ก็ไม่มากเท่าตอนแรกๆ แล้ว เพราะฉะนั้นว่ามาเลย ศิธาเป็นยังไงบ้าง ตายแล้วหรือว่ายังมีชีวิตอยู่”
“เฮ้ย! ยังไม่ตาย แต่ตอนนี้อยู่กับคุณแม็กกี้ เห็นว่าจะคืนให้พ่อศักดาในวันที่คุณแม็กกี้ออกจากประเทศไทย”
“ประเสริฐกว่าที่คิดเยอะ คนแบบนี้ต้องโดนหนักๆ ถึงจะเข็ด”
“แสดงว่าแกเป็นปกติแล้ว”
ดุสิตใช้นิ้วจิ้มหน้าผากเกวลิน เกวลินจิ้มหน้าดุสิตบ้าง ต่างจิ้มกันไปมาแล้วหัวเราะออกมา
อ่านต่อหน้า 4
ในรอยรัก
ตอนที่ 30 (ต่อ4)
เสี่ยศักดากลับมาออฟฟิศแล้วนั่งคิดทบทวนไปมา ก่อนจะทุบโต๊ะปัง เพราะแค้นจัดที่แม็กกี้เอาคืนโดยที่ทำอะไรไม่ได้ กำธรถึงกับสะดุ้ง
“อะไรหรือครับเสี่ย”
“เจ็บใจโว๊ย”
เสี่ยศักดาตะโกนลั่น
“ก็ผมบอกแล้วว่าให้เสี่ยชิงตัว”
“หุบปาก”
“หุบแล้วครับ”
“ถ้าชิงได้ อั๊วก็ชิงไปแล้ว”
“โธ่ เสี่ย มันคงไม่กดระเบิดจริงๆห รอก เพราะมันก็ต้องตายด้วย”
“ลื๊อเห็นแม็กกี้เป็นผู้หญิงยังงี้เหอะ แกเก่งกว่าลื๊อไม่รู้กี่เท่า ตอนนี้เหลืออย่างเดียวว่า
คือต้องคอยฟังว่าแม็กกี้จะออกจากประเทศไทยเมื่อไหร่”
เสี่ยศักดาบอกอย่างเจ็บใจ
คืนนั้นขณะที่ม่านมัสลินนอนหลับอยู่ในห้อง เตชนั่งมองลูกสาวด้วยความความเจ็บปวดและแสนสงสารลูก
“มัสลิน พ่อจะไม่มีวันยกโทษให้ตัวเองเลย ถ้าลูกต้องตกเป็นเหยื่อศักดา พ่อคงไม่มี
หน้าจะมีชีวิตต่อไปได้”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ประตูค่อยๆ แง้มออก เป็นมธุรินนั่นเองโผล่หน้าเข้ามา
“คุณพ่อขา”
ม่านมัสลินเหมือนจะขยับตัว เตชยกนิ้วแตะปากเชิงบอกว่าเดี๋ยวจะรบกวนม่าน
มัสลิน
เตชค่อยๆ ก้าวออกจากห้องแล้วปิดประตูเบาๆ
“มีอะไรหรือลูก”
“คุณยายม่านมุกให้มาตามคุณพ่อลงไปทานข้าวค่ะ”
“แล้วลูกล่ะ”
“ก็จะทานพร้อมคุณพ่อนี่แหละค่ะ”
สองพ่อลูกพากันเดินลงบันได บัวบงกชเดินสวนขึ้นมา ทั้งสองฝ่ายชะงัก
“คุณแม่ขา ไปทานข้าวกันไหมคะ”
“แม่อิ่มแล้วลูก จะไปอยู่เป็นเพื่อนพี่เค้า”
บัวบงกชเดินขึ้นไป โดยไม่มองเตช
พัดกับปิ่นช่วยกันเสิร์ฟอาหาร ขณะที่มธุรินพาพ่อเดินเข้ามา
“คุณเตช มาทานข้าวกัน”
“ขอบคุณครับ”
“พอดีเกิดเรื่องยุ่ง เลยไม่ได้ซื้ออะไร” จิรดาออกตัวโดยไม่มองหน้าใคร
“ไข่เจียวร้อนๆ กับผัดผักบุ้งนี่ก็เลิศเลอแล้ว” อุษยาพูดขึ้น
“กานนกับกุเทพล่ะ”
“นายปลิวไปส่งนายกุ แล้วเอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนด้วย เขาขอค้างคืนที่นี่”
เตชมองมธุริน แต่มธุรินมีสีหน้าปกติ
“งั้นผมขออนุญาตค้างด้วยได้ไหม ผมอยากให้ลูกตื่นขึ้นมาแล้วเห็นหน้าผม”
“มีหวังสลบไปใหม่”
จิรดาบอกทุกคนอดหัวเราะไม่ได้ ทำให้บรรยากาศดีขึ้น
หลังจากกินข้าวเสร็จเตชเดินออกมานอก บ้านแหงนหน้ามองดวงจันทร์อย่างใจลอย
จิรดาเดินตามออกมาแล้วกระแอมเบาๆ
“มัสลินตื่นหรือยัง”
เตชถามเมื่อหันมาเห็นจิรดา
“ตื่นมานิดนึงแล้วหลับไปใหม่ ฉันต้องคุยกับคุณ”
“เรื่อง...”
“เรื่องคุณบัวบงกช” เตชเบือนหน้ากลับไป “คุณควรให้อภัยเธอ” เตชยังยืนนิ่งในท่าเดิม
“เธอรักคุณ”
“ไม่จริง เธอรักสามีคุณซึ่งเป็นแฟนเก่าของเธอ” เตชสวนกลับทันที
“ฉันขอยืนยันว่าเธอรักคุณ รักมาตลอด เพียงแต่เธอไม่ยอมรับเท่านั้นภาษิตเป็น
เพียงความรักครั้งแรกเท่านั้น”
“ถ้าเธอรักผม แล้วทำไมต้องผูกใจเจ็บแค้นขนาดนี้”
“ก็เหมือนฉันกับภาษิตนั่นแหละ ยิ่งรักมากก็ยิ่งแค้นมาก”
“แปลก”
“เขาเรียกว่า แค้น ‘ในรอยรัก’ ไง ความรักก็เป็นอย่างนี้แหละ ไม่ได้ราบรื่นเหมือนปู
ลาดด้วยพรมไปตลอด ระหว่างทางเดินเราอาจจะมีสะดุด มีบาดแผลใหญ่บ้าง เล็กบ้าง แต่เวลาจะรักษาให้หายสนิท หรือไม่ก็อาจจะยังทิ้งร่องรอยแผลเป็นไว้ให้พอเจ็บๆ คัน แต่นั่นก็คือรสชาติของความรักละ”
คำพูดของจิรดาทำให้เตชอารมณ์ดีขึ้น
“คุณนี่น่าจะไปจัดรายการธรรมะสวัสดี กับบัวนะ”
“อ๋อ ชวนเหมือนกัน แล้วฉันก็รับปากไว้ว่าวันหนึ่งฉันจะไปแน่”
“แล้วถ้าแผลมันคอยแต่จะกัดเจ็บตลอดเวลาล่ะ”
“มาถึงวันนี้ ฉันรู้แล้วว่าจะใส่ยาชื่อ ให้อภัย ยาตัวนี้รักษาได้ชะงัดนักเชื่อฉันเถอะ”
เตชมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิดตาม
เตชเดินช้าๆ เข้ามาในห้องม่านมัสลิน ขณะนั้นมธุรินนอนอยู่หน้าเตียง มธุรินขยับลุกขึ้นมองเตชยกนิ้วแตะปาก แล้วเดินมาใกล้ค่อยๆ ทรุดนั่งบนเตียง เตชก้มมองหน้าม่านมัสลินด้วยสีหน้าแววตารู้สึกผิด บาป น้ำตาคลอ เตชยกมือลูบผมม่านมัสลินอย่างแผ่วเบา
“เกือบไปแล้ว ถ้าพ่อมีส่วนให้ลูกต้องได้รับอันตรายพ่อจะทำยังไง ต่อให้ชดใช้ทั้งชีวิตก็ไม่มีวันหมด” มธุรินแตะแขนพ่อเบาๆ อย่างปลอบโยน “พ่อขอโทษลูก พ่อขอโทษ”
เตชสะอื้น ระหว่างนั้นม่านมัสลันเหมือนจะรู้สึกตัว แต่แล้วก็หลับต่อ
หลังจากส่งกุเทพแล้วกานนก็กลับมาที่บ้านม่านมัสลินอีกครั้ง กานนนั่งอ่านหนังสืออยู่ขณะที่มธุรินเดินเข้ามาชะโงกดู
“ยังไม่นอนอีกหรือคะ”
“ยังครับ”
“คงจะรอให้มัสลินตื่น เดียร์เห็นเขาขยับตัวเป็นพักๆ นะคะ แต่ยังไม่ตื่นเต็มตา คงเพราะเพลียมาก กานนไปนอนเถอะค่ะ เดี๋ยวมัสลินตื่น เดียร์จะปลุกทุกคนเลย เดียร์มีหน้าที่นอนเฝ้านะ”
“เดี๋ยวผมง่วงผมก็นอนตรงนี้แหละ”
“งั้นเดียร์ไปก่อนนะคะ นี่ลงมาดื่มน้ำ พอได้ยินเสียงทีวีเลยเข้ามาดู”
“เชิญครับ”
มธุรินเดินออกไป
กลางดึกคืนนั้นม่านมัสลินค่อยๆ ขยับตัวลืมตาตื่น เธอพลิกตัวนอนหงาย มองเพดานราวกับจะทบทวนเหตุการณ์ แล้วต้องนิ่วหน้าด้วยควาวมรู้สึกปวดหัว
“อูย...”
ม่านมัสลินครางออกมาเบาๆ ทำให้บัวบงกช จิรดา และมธุรินซึ่งนอนเฝ้าอยู่ผุดลุกขึ้นทันที
“ตื่นแล้วหรือลูก”
บัวบงกชกับจิรดาถามออกมาพร้อมกัน ม่านมัสลินมองทั้งสามคนสลับกันไปมาด้วยความประหลาดใจ
“รู้สึกยังไงมั้งคะ พี่มัส”
มธุรินถามอย่างเป็นห่วง ม่านมัสลินผินหน้าเลื่อนสายตามามองจิรดา
“แม่ ทำไมเค้าเข้ามานอนในห้องมัสคะ”ประตูเปิดออก เตชเดินเข้ามา หน้าตาเหมือนเพิ่งตื่นนอน ม่านมัสลินตกใจเมื่อเห็นเตช “คุณเตช”
“พ่อเองลูก ไม่ต้องกลัว”
“นี่มันอะไรกันคะ พวกนี้มาบ้านเราทำไม” ม่านมัสลินโวยขึ้น
จิรดาไม่ตอบแต่ถามออกมาแทน
“แกเป็นคนเข้มแข็ง ตอนนี้เข้มแข็งพอจะฟังความจริงทั้งหมดได้หรือยัง”
“ให้แกนอนต่อดีกว่า อีกไม่กี่ชั่วโมง ก็จะสว่างแล้ว เอาไว้ค่อยเล่าตอนนั้น” บัวบงกชบอก
“ไม่ ฉันอยากรู้เดี๋ยวนี้...แม่ช่วยเล่าให้มัสฟังหน่อยซิคะว่ามันเรื่องอะไรกัน”
แต่ละคนมองต่างม่านมัสลินเหมือนจะตัดสินใจ
“คุณบัวบงกชกับคุณเตชเป็นแม่และพ่อของเธอ” จิรดาตัดสินใจบอกออกมา ม่านมัสลินถึงกับตะลึง
“ไม่จริง! มัสมีแม่ชื่อจิรดา มีพ่อชื่อภาษิต”
“อย่าโง่ไปหน่อยเลย พ่อแม่ที่แท้จริง เขามารอรับเธอกลับบ้านแล้ว ภาษิตกับฉันเป็นคนอื่น เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเธอเลย”
“แม่โกหกมัสทำไม” ม่านมัสลินร้องไห้ออกมา
“แกนั่นแหละ หลอกตัวเอง ถ้าไม่เชื่อก็ไปตรวจดีเอ็นเอ แล้วก็กลับไปอยู่กับพ่อแม่ของแก ฉันจะได้อยู่คนเดียวให้สบาย ไม่ต้องมีใครมาเกะกะลูกกะตา”
จิรดาบอกทั้งที่ต้อง กลั้นน้ำตาเต็มที่ไม่ให้ไหลออกมา
“แม่ขับไสไล่ส่งมัสไปอยู่กับคนอื่นทำไม”
“เพราะฉันเกลียดแกน่ะซิ”
จิรดาขยับจะเดินออกไป ม่านมัสลินผงะตามไปกอดแน่น ท่ามกลางความสะเทือนใจ ของเตช บัวบงกช และมธุริน
“ไม่จริง แม่รักมัส รักในแบบของแม่ แล้วมัสเองก็ยอมรับ มัสเคยบอกแม่ว่า ถ้าเมื่อไหร่มัสรู้ว่ามัสไม่ใช่ลูก มัสก็จะยิ่งรักแม่มากขึ้น เพราะแม่อุตส่าห์เลี้ยงมัสมาจนโต จนได้เป็นมัสลินทุกวันนี้ มัสรักแม่ มัสไม่มีวันจะทิ้งแม่ไปอยู่กับใครเด็ดขาด”
จิรดาปล่อยโฮออกมาทันที
“มัสลิน”
สองแม่ลูกกอดกันแน่นพร้อมกับร้องไห้ออกมา บัวบงกช เตชและมธุริน พลอยร้องไห้ไปด้วยความตื้นตันใจเช่นกัน
เช้าวันรุ่งขึ้นทุกคนพร้อมหน้ากันที่ห้องรับแขกด้วยแววตาแจ่มใส ม่านมัสลินเดินลงมากับมธุริน แล้วเข้ามาทรุดตัวกราบเจ้าสัวทศกับยายม่านมุก
“บุญรักษานะลูก ยายดีใจที่มัสปลอดภัย ขอบคุณคุณพระ คุณเจ้า”
ม่านมัสลินพูดไม่ออก โอบกอดม่านมุกไว้แน่น ทุกคนมองภาพนั้นด้วยความตื้นตัน เจ้าสัวทศเอื้อมมือมาลูบผมมัสลิน
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ตารู้อย่างเดียวว่ามัสคือหลานของตา”
ม่านมัสลินน้ำตาไหล กุเทพสะกิดอุษยา อุษยาจึงกระแอมเสียงก่อนจะพูดดขึ้นมา
“หมดเคราะห์หมดโศกเสียที ต่อไปนี้ชีวิตเธอ จะมีแต่ความสุขความเจริญ ปิดฉากความเศร้าได้แล้ว”
“สำหรับผม ผมดีใจที่เราไม่ใช่ญาติกัน เพราะผมจะได้จีบมัสจริงจังเสียที จริงมั้ยอาปลิว”
กุเทพบอก มธุรินหันไปมองขณะที่กานนร้องลั่น
“เฮ้ย”
ทุกคนหัวเราะกานน
ส่วนที่บ้านพิณสุดา... พิณสุดาร้องออกมาอย่างผิดหวังเมื่อรู้ว่าม่านมัสลินถูกปล่อยตัวกลับไปแล้ว
“ว้า! เซ็งเลย นึกว่าจะได้ดูนังมัสลินเล่นหนังเอ็กซ์แล้ว เสียดายใจจะขาด”
“ทุกคนเขาก็เสียดายกันทั้งนั้น” พีระพลบอก
“แกนั่นแหละไปรับยังไง ปล่อยให้พวกมันมาดักชิงตัวไปได้” พิณสุดาต่อว่าน้องชาย
“ก็รถมันติด!”
“แล้วเสี่ยเขาไม่โกรธแกแย่เรอะ!”
“เขาโกรธยัยแม็กกี้มากว่า”
“นึกได้แล้ว! จะโทรไปแสดงความเสียใจกับนังเดียร์ซักหน่อย ที่แห้วคุณกานนจนได้”
ว่าแล้วพิณสุดารีบกดโทรศัพท์หามธุรินขณะที่พีระพลเดินออกไป
มธุรินลังเลครู่หนึ่งเมื่อเห็นว่าใครโทรเข้ามาก่อนจะกดรับ
“ฮัลโหล!”
“ฮัลโหลagainจะให้ดีใจหรือเสียใจดีเอ่ย!”
“พูดเรื่องอะไรน่ะ”
“ก็เรื่องนังมัสลินน่ะซิ ตอนแรกที่มันถูกจับไป แกก็คงดีใจน่าดูเพราะเท่ากับว่าแกไม่มีคู่แข่งอีกแล้ว ไอ้ฉันก็เอาใจช่วย ว่าอีกไม่นานแกคงได้ลั่นระฆังวิวาห์กับคุณกานน นี่ยังเตรียมชุดเจ้าสาวแล้วด้วย แต่แล้วก็ได้ข่าวว่านังมัสลินรอดกลับมาได้ เฮ้อ...สวรรค์ถล่มเลยแก”
“พิณสุดา แกรู้เรื่องพวกนี่ละเอียดมาก ละเอียดราวกับอยู่ในเหตุการณ์ด้วยฉันชักสงสัยเสียแล้วว่าแกน่าจะมีส่วนรู้เห็น” มธุรินถามเสียงเย็นชาจนพิณสุดาตกใจ
“จะบ้าเรอะ”
“ไม่บ้าหรอก... เอ! ฉันน่าจะบอกกับคุณแม็กกี้นะ แกก็รู้จากพรรคพวกแล้วไม่ใช่
เรอะ ว่าคุณแม็กกี้เป็นใคร ถ้าไม่แน่จริงล่ะก็ เรื่องไม่จบแบบนี้หรอก”
“ฉันไม่รู้เรื่อง ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น”
พิณสุดาปฏืเสธลั่นรีบปิดโทรศัพท์
“ไม่น่าโทรไปเลย!”
มธุรินยิ้มออกมา อย่างสะใจ
“นึกว่าจะแน่สักแค่ไหน”
ม่านมัสลินเดินลากกระเป๋าเดินทางลงมา ขณะที่พัดและแป้นช่วยกันทำความสะอาดบ้าน
“คุณมัสจะไปแล้วหรอคะ”
“จ้ะ แม่ล่ะ”
“ทำสวนครัวอยู่หลังบ้านแน่ะค่ะ”
“เดี๋ยวนี้ประหยัดอย่างไม่น่าเชื่อ”
ม่านมัสลินวางกระเป๋าตรงประตู แล้วอ้อมไปด้านหลังบ้าน
ขณะนั้นจิรดากำลังปลูกผักสวนครัว หันหน้ามามองมัสลินแว่บหนึ่ง
“จะไปแล้วหรือ”
“ค่ะ คุณแม็กกี้โทรมาว่า มัสไม่เปลี่ยนใจแน่หรือ มัสก็ยืนยันว่าไม่ มัสตัดสินใจตั้งนานแล้ว ว่าจะไปดูแลคุณคิม ทุกอย่างจะลงตัวหมด คุณยายมีคุณตาคอยดูแล คุณแม่ก็มีงานประจำ ไปช่วยคุณแม่บัวจัดรายการธรรมมะสวัสดี แถมยังมีงานอดิเรกปลูกสวนครัวอีก ส่วนงานแสดงมัสก็ได้ลองแล้ว มัสพอใจกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ทำ”
“ไม่ใช่จะหนีใครบางคนเหรอ” คำถามแทงใจนี้ทำให้ม่านมัสลินถึงกับอึ้งไป
“แล้วถ้าเขาโทรมาจะให้ฉันบอกว่ายังไง ฉันไม่อยากโกหกอีกแล้ว นี่ก็โกหกเขาทุกวัน แกนี่ทำให้ฉันผิดศีลอยู่เรื่อย” มัสลินยังคงอึ้ง จิรดาเงยหน้ามอง
“ถามจริงๆ เถอะ แกจะเสียสละให้มธุรินหรือเปล่า เขาเป็นน้องแกก็ใช่ แต่เรื่องความรักมันห้ามกันไม่ได้ คุณกานนเขารักแกแกเองก็รักเขา มธุรินก็รู้ ทุกคนก็รู้”
“มัสถึงต้องการเวลาทดสอบใจไงคะ ต้องการคิดทบทวนทุกอย่างอีกทีมัสจะไปนอนนับดาว ฟังเสียงน้ำตก ในที่ๆ ไม่มีใครรบกวน กลับมาแล้ว มัสอาจจะคิดตกก็ได้ มัสไปล่ะนะคุณแม่ ขี้เกียจขับรถสายๆ”
“เออ!”
“ว้า ไม่ซึ้งเลย เรามาลากับแบบฝรั่งดีกว่า” ม่านมัสลินล้อ
“ฝรั่ง ฝะเหริ่ง อะไรของแก”
“แบบนี้ไงค่ะแม่”
ม่านมัสลินกอดและหอมแก้มแม่ อย่างธรรมเนียมตะวันตก จิรดานิ่งอึ้งในตอนแรกแล้วน้ำตาซึม พลางค่อยๆ กางแขนตัวเองออกอย่างกล้าๆ กลัวๆ เก้ๆ กังๆ เพราะความไม่คุ้นเคย แล้วจึงโอบกอดมัส่ลินไว้แน่น น้ำตาไหล
ม่านมัสลินยิ้มทั้งน้ำตาและพูดเสียงเครือ
“แม่รู้ไหม ตอนนี้พ่อกำลังอมยิ้มมองดูเราอยู่บนโน้นแน่ะ”
จิรดาพยักหน้า
“พ่อคงดีใจ เพราะพ่ออยากให้เราเป็นอย่างนี้มานานแล้ว”
สองแม่ลูกยิ้มให้กันอย่างมีความสุข
ที่บ้านกานนขณะนั้นกานนกำลังโทรหาม่านมัสลิน แต่ม่านมัสลินปิดมือถือ กานนพยายามโทรอีกแต่ไม่มีการตอบรับ กานนจึงตัดสินใจโทรเข้าบ้านแทนแต่ก็ไม่มีคนรับอีก
“โทรหาใครน่ะอาปลิว”
กุเทพถามพร้อมกับเดินเข้ามาหา
“มัสลิน”
“โธ่เอ๊ย! จะโทรใหเมื่อยทำไม ขับรถไปหาเขาเลยซิ จะได้เข้าใจกันเสียที”
“จริงของแก”
กานนรีบเดินออกไป
จิรดาพยายามทำสีหน้าใช้ความคิดอย่างหนัก ขณะที่กานนจ้องมอง
“มัสลินไปไหนหรือคะ”
“ครับ ผมถามคุณอาตั้ง 5 ครั้งแล้ว”
“ตั้ง 5 ครั้งเชียวหรือคะ”
“ครับ และครั้งนี้เป็นครั้งที่ 6”
“ตายจริง”
“แล้วคุณอาจะตอบได้หรือยังครับ”
“ไม่ทราบค่ะ”
“คุณอา ได้โปรดตอบผมมาเถอะครับ ผมอยากทราบว่ามัสไปไหน”
“ก็ไม่ทราบไงคะ”
“ผมรู้ว่าคุณอาทราบ คุณอาครับ ผมรักมัสลิน รักมาก และผมก็รู้ว่ามัสลินรักผม แต่เขาต้องการจะเสียสละผมให้เดียร์ทั้งๆ ที่นายกุเทพกำลังจีบอยู่ ไม่รู้ว่าคิดได้ยังไง”
“มัสลินไปพักผ่อน”
“คุณอา”
“เขาสั่งไม่ให้บอก แต่อาเขียนได้นี่”
จิรดาเดินไปหยิบกระดาษปากกามาเขียน แล้วส่งให้กานน
“ขอบคุณมากครับ” กานนยกมือไหว้จิรดาอย่างดีใจ
“ขอให้โชคดีค่ะ”
กานนรีบเดินออกไป
“อย่าใจแข็งนักเลย มัสเอ๊ย”
จิรดาบ่นออกมาขณะมองตามกานนไป
ที่แท้ม่านมัสลินหลบมาพักผ่อนที่รีสอร์ตแห่งหนึ่ง ขณะนั้นเธอกำลังเดินลัดเลาะไปตามริมลำธารคดเคี้ยวเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงจุดที่ บ่าว-สาว กำลังถ่ายรูปแต่งงานท่ามกลางบรรยากาศแสนสวยงาม ม่านมัสลินหยุดยืนมองใบหน้ายิ้มแย้มเมื่อครู่ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นอ่อนเศร้า
“ถ้ามัสยอม เราก็จะแต่งแบบนี้”
เสียงกานนดังแทรกขึ้น ม่านมัสลินสะดุ้ง รีบหันขวับไปมอง
“คุณกานน ใครบอกว่ามัสอยู่ที่นี่ คุณตามมาทำไม”
“หลงตัวเองไปหน่อยหรือเปล่า คุณม่านมัสลิน”
กานนเดินมารวบมือม่านมัสลินเอาไว้
“ผมไม่ได้มาตามหาคุณสักหน่อย ผมมาตามหาหัวใจของผมต่างหาก”
ม่านมัสลินเริ่มออกอาการเขิน
“แล้วพบหรือยังคะ”
“คุณใจร้ายมาก หนีมาโดยไม่บอกให้ผมรู้ ดีว่าคุณแม่คุณสงสาร”
กานนโอบม่านมัสลินเดินมาให้พ้นสายตาคนอื่นแล้วกอดไว้แน่น ม่านมัสลินหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข
“ผมมาถึงตั้งแต่เมื่อวาน” ม่านมัสลินสะดุ้ง เงยหน้าขึ้นมอง “แล้วก็แอบดูอยู่ห่างๆ ไม่เหงาเหรอที่ไปไหนมาไหนคนเดียวน่ะ”
“ก็จะให้มัสไปกับใครล่ะคะ”
ม่านมัสลินกอดซบอกกานนอย่างซาบซึ้งใจ
“ผมรักคุณ”
“มัสก็รักคุณค่ะ กานน”
ส่วนที่ออฟฟิศของเสี่ยศักดาขณะนั้นรถตำรวจแล่นเข้ามาจอด จากนั้นทีมตำรวจก็ค่อยๆ ลัดเลาะเข้ามา ลูกน้องเสี่ยหันไปเห็นตำรวจก็ตกใจ
“เฮ้ย! ตำรวจ”
กลุ่มลูกน้องรีบหนี ตำรวจจึงกรูเข้าไปจับกุมเอาไว้ได้ตัวทั้งหมด
เสี่ยศักดายังไม่รู้ว่าตำรวจบุกเข้ามา เพราะกำลังเลี้ยงฉลองกันอยู่ด้านในหลังจากศิธาถูกปล่อยตัวกลับมาอย่างปลอดภัย
“ถึงจะต้องปล่อยนังมัสลินไป แต่เราก็ได้ศิธาคืนมา ดื่มให้ศิธา”
พีระพลบอก ทุกคนดื่ม
“ถ้าพวกแกไม่ประมาท มันก็ไม่ถูกจับหรอก พูดแล้วอยากจะซัดไอ้โก้ดูแลความปลอดภัยให้ลูกอั๊วยังไง”
“โธ่! เสี่ยขา ตัวมันเองยังเอาตัวไม่รอดเลยค่ะ” พิณสุดาเยาะ
“อาเตี่ย เอาไว้ผมกับโก้ไปจับให้ใหม่ก็ได้” ศิธาบอก
ระหว่างนั้นประตูถูกกระแทกเปิดออก ตำรวจเข้ามา ทุกคนต่างผุดลุกขึ้นด้วยความตกใจ
“เฮ้ย! ตัวใครตัวมัน”
ทุกคนต่างหนีกระเจิง แต่ไม่รอด
“มาจับพวกผมทำไม ตำรวจรังแกประชาชนนี่หว่า” ศิธาร้องโวยวาย
“ปล่อย ไม่งั้นพ่อฟ้องเรียบ”
“ออกไป”
“หนูไม่เกี่ยวนะคะ คุณตำรวจ หนูแค่รับเชิญค่ะ”
พิณสุดารีบบอก แต่ตำรวจไม่สนใจพาทุกคนออกไปอย่างทุลักทุเล
“พวกคุณมีข้อหาอะไร”
เสี่ยศักดาถามอย่างไม่พอใจเมื่อออกมาด้านนอก
“โน่นไงครับเสี่ย”
ทุกคนหันไปมอง เห็นตำรวจขนลังซีดีเถื่อน ออกมามากมายหลายลัง ทุกคนถึงกับหน้าซีด
“ข้อหาผลิตและจำหน่ายเทปซีดี เถื่อนครับ”
“ยังมียาเสพติดด้วยค่ะ” พิณสุดาบอกทุกคนหันขวับมามองพิณสุดา “ถ้าหนูบอกว่าอยู่ที่ไหน แล้วจะปล่อยหนูมั้ยคะ”
“คงปล่อยไม่ได้ แต่จะอาจได้รับโทษไม่หนักเท่าพวกนี้”
“อยู่บนฝ้าเพดานค่ะ เต็มไปหมดเลย คุณตำรวจลองรื้อดูสิคะ”
ทุกคนหันมามองพิณสุดาด้วยความแค้น
ส่วนที่รีสอร์ตกานนกับม่านมัสลินเดินจูงมือกันเข้ามาในห้องอย่างมีความสุข กานนดึงตัวม่านมัสลินเข้ามากอดและจูบอย่างดูดดื่ม
เช้าวันรุ่งขึ้น...กานนเหยียดแขนไปจนสุดตัว สีหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข กานนลุกขึ้นหันไปมองเห็นผ้าห่มม่านมัสลินถูกพับไว้อย่างดี
“มัส” เงียบ...ไม่มีเสียงตอบ “มัสลิน”
เงียบ...ไม่มีเสียงตอบ กานนจึงเปิดประตูเดินออกไปที่ระเบียง แต่ที่ระเบียงก็ไม่มีแม้แต่เงาม่านมัสลิน กานนเริ่มใจคอไม่ดี เขารีบเดินกลับมาและเดินหาทั่วทุกห้อง แต่แล้วกานนก็ต้องชะงัก
เมื่อเห็นซองสีขาววางอยู่บนโต๊ะรับแขก มีแจกันดอกกุหลาบวางทับไว้ กานนหยิบซองขึ้นมาดูด้วยสีหน้าสังหรณ์ใจ มีสั่นนิดๆ
ที่หน้าซองเขียนว่า “คุณกานน” กานนเปิดออกอ่านแล้วทรุดลงนั่งอย่างหมดแรง
กานนมองจดหมายด้วยความเจ็บปวด
หลายเดือนต่อมา...
ที่บ้านมัสลินจิรดานั่งอ่านจดหมายที่มัสลินส่งมา
“แม่คะ ขอโทษด้วยที่มัสไม่ได้เขียนจดหมายมาหาเสียนาน จะโทรศัพท์ก็ไม่กล้า เพราะกลัวว่าได้ยินเสียงแม่แล้วจะใจอ่อน มัสสบายดีค่ะ คุณแม็กกี้ซื้อวิลล่าที่ รีพัลส์เบย์ ทางตอนใต้ของเกาะฮ่องกง ซึ่งเป็นทำเลที่เห็นอ่าวจอดเรือและหาดทรายที่สวยงามบรรยา
กาศเช่นนี้ มีส่วนกระตุ้นให้คุณคิมเริ่มฟื้นความทรงจำ เค้าจำอะไรได้หลายอย่าง เค้าไม่แปลกใจที่ได้เห็นมัส แต่อากัปกิริยาช้าลงค่อนข้างขรึม นอกเสียจากเวลาที่เหม่ยหลิง พยาบาลที่คุณแม็กกี้จ้างมาเข้าเวร เค้าจะกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น ท่าทางมัสจะอกหักเสียแล้ว”
จิรดาหัวเราะออกมาอย่างแจ่มใส และก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ดวงตามองไปข้างหน้า บอกถึงความโล่งใจ
ที่ฮ่องกงม่านมัสลินแต่งชุดเดินทาง กระเป๋าวางอยู่บนห้อง ม่านมัสลินมองโดยรอบๆ ราวจะอำลา
“พร้อมแล้วหรือ”
แม็กกี้เข้ามาถาม
“ค่ะ”
แม็กกี้พยักหน้าให้สาวใช้ยกกระเป๋าออกไป แล้วตัวเองก็เข้ามากอดมัสลินแล้วน้ำตาซึม
“ขอบใจสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง”
“เช่นกันค่ะ”
“ไปถึงอเมริกาแล้ว จะมีคนมารับเธอไปที่คอนโดฯ ขอให้ถือว่าที่นั่นเป็นเหมือนบ้านของเธอเอง อยู่ให้สบายจนกว่า...” แม็กกี้เหลือบมองท้องมัสลินแว่บหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ทุกอย่างเรียบร้อย”
ที่แท้ม่านมัสลินกำลังตั้งท้องอ่อนๆ!!!
“ขอบคุณมากค่ะ ขอบคุณจริงๆ มัสไปลาคุณคิมก่อนนะคะ”
แม็กกี้พยักหน้า มองม่านมัสลินที่เดินออกไปทั้งน้ำตา
คิมยืนนิ่งดวงตามองออกไปภายนอก เสียงเคาะประตูดังขึ้น ม่านมัสลินเดินเข้ามา
“คุณคิม”
คิม ลี หันมามองสีหน้าเป็นปกติ
“มัสมาลา”
คิม ลี ยิ้มให้มัสลิน
“ครับ ยังไงก็อย่าลืมมาเยี่ยมบ้างก็แล้วกัน” คิมยื่นมือมา มัสลินยื่นมือไปจับ “ขอให้โชคดี”
“คุณก็เช่นกันค่ะ”
ม่านมัสลินน้ำตารื้นขึ้นมานิดนึงแล้วเดินออกไป คิม ลี ทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง แม็กกี้เดินเข้ามา คิมสบตาแม่ นัยน์ตาเศร้าสุดๆ
“แม่...”
“ลูกทำถูกแล้วคิม ลูกไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉวยโอกาส”
“มัสลินไม่รู้หรอกว่า ผมต้องใช้ความพยายามแค่ไหน ที่ทำเป็นไม่ได้รักเธอ ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเธอเลย”
แม็กกี้กอดลูกไว้ รับรู้เสมอมาว่าความทรงจำของลูกชายฟื้นคืนจนเป็นปรกติดีแล้ว
4 ปีผ่านไป....
กานนเดินเข้ามาในรีสอร์ตบ้านหลังเดิม วางกระเป๋าแล้วกดโทรศัพท์หากุเทพ ขณะนั้นกุเทพกำลังนั่งดูหนังสือเกี่ยวกับแม่และเด็กอยู่กับมธุรินที่ตอนนี้ท้องโตจนเห็นชัดแล้ว เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น กุเทพหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
“ใครคะ”
“อาปลิว คงมาถึงแล้ว...” กุเทพบอกแล้วกดรับโทรศัพท์
“ขอต้อนรับกลับบ้านครับอาปลิว”
“ขอบใจ แต่ชั้นยังไม่เข้าบ้านนะ”
“อ้าว แล้วอาปลิวอยู่ที่ไหน”
“ต่างจังหวัด”
“เฮ้ย”
“เออน่า แล้วเจอกัน”
กานนวางโทรศัพท์ลง มธุรินมองอย่างแปลกใจ
“อาปลิวไปอยู่ที่ไหนคะ”
“เห็นบอกว่าต่างจังหวัด ไม่รู้จังหวัดไหน”
“กลับจากอเมริกาก็ไปต่างจังหวัดเลย คงอยากอยู่เงียบๆ ซักพักมั้ง”
สองคนชวนกันดูหนังสือต่อ
กานนเดินเรื่อยๆ อยู่ที่รีสอร์ต เขาค่อยๆ เข้ามาแล้วหยุดมองรอบๆ พร้อมกับภาพในอดีตวันที่มีความสุขกับม่านมัสลินแว่บเข้ามาในความคิด...
ภาพความสุขเหล่านั้นเลือนหายไป กานนถอนใจยาว
จังหวะนั้นก็มีว่าวตัวหนึ่งปลิวเลยผ่านไป กานนมองตาม
“จับไว้ด้วยครับ จับไว้ด้วยครับ” กานนหันไปมองชะงักเมื่อเห็นเด็กวัย 4 ขวบกำลังวิ่งตุปัดตุเป๋ “ช่วยจับว่าวให้ผมด้วยครับ”
กานนเดินไปเก็บว่าวซึ่งติดอยู่บนกิ่งไม้ให้ “ขอบคุณครับ”
เด็กชายยกมือไหว้
“หนูมากับใคร”
“มากับแม่ แม่สอนไม่ให้คุยกับคนแปลกหน้า”
“อานน”
เสียงม่านมัสลินดังขึ้น เด็กชายรีบวิ่งไปตามเสียง ขณะที่กานนลุกขึ้นยืน
“หม่ามี้ หม่ามี้”
กานนมองตามไปแล้วชะงักงัน ตกตะลึงพรึงเพริดเมื่อเห็นม่านมัสลินกำลังเดินมาหาลูก
“มัสลิน”
ม่านมัสลินเองก็ตกตะลึงเช่นกันเมื่อเห็นกานน
“คุณกานน”
“หม่ามี้ ลุงคนนี้เก็บว่าวให้”เด็กชายตัวน้อยบอก
กานนเดินตรงมาหา ม่านมัสลินอุ้มลูกชายขึ้นมา
“มัสลิน ไม่ว่าวันนี้หรือวันไหน ผมไม่มีวันเปลี่ยนใจจากคุณ ต่อให้คุณแต่งงานแล้ว มีลูกแล้ว”
ม่านมัสลินน้ำตาไหลด้วยความตื้นตันใจ
“มัสไม่ได้แต่งงาน มัสอยู่ 2 คนกับลูก”
กานนอึ้ง มองเด็กหน้าเด็กชายคนนั้นอย่างเพ่งพิศ
“หนูชื่ออะไร”
“อานนครับ เด็กชายอานน รัตนรัช ครับผม”
“มัสลิน...นี่ก็...” กานนอึ้งจนพูดไม่ออก
“ค่ะ เค้าเป็นลูกของเรา” กานนกางแขนโอบกอดทั้งแม่ทั้งลูก ด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความตื้นตันซาบซึ้งใจ
“มัสมาถึงเมืองไทยได้ 2-3 วันแล้ว พอมาถึงก็ตรงมาที่นี่เลย”
“เราใจตรงกัน ต่อไปนี้ผมจะไม่มีวันยอมให้คุณหนีไปไหนอีกแล้ว”
“คนนี้ใครครับ หม่ามี้”
เด็กชายอานนถามอย่างสงสัย กานนกับมัสลินหัวเราะ กานนรับลูกมาอุ้มไว้
“พ่อก็เป็นพ่อของหนูไงลูก”
กานนอุ้มลูกชายด้วยมือข้างหนึ่ง อีกข้างโอบไหล่มัสลินไว้ แล้วสามคน พ่อ แม่ ลูก ก็พากันเดินไปช้าๆ อย่างมีความสุข
ร่องรอยของความแค้นอันเนื่องมาจากพิษร้ายแห่งรัก ได้สลายไปจนสิ้น กานนได้ช่วยเยียวยารักษาจนแผลในใจของม่านมัสลินหายสนิท หรือหากจะร่องรอยที่เหลือจากวันนั้นก็คืออีกหนึ่งชีวิตน้อยๆ เด็กชายอานน รัตนรัช คนนี้ ที่เกิดขึ้นมาด้วยความรักของทั้ง กานน กับ ม่านมัสลิน โดยแท้
จบบริบูรณ์
ขอบพระคุณทุกท่านที่ได้ติดตามอ่าน “ในรอยรัก” มาจนถึงตอนอวสาน หากว่ามีเหตุอันใดที่เกิดจากการทำงานของทีมงาน ซึ่งได้สร้างความไม่สบายใจ ไม่พอใจ ทีมงานขออภัย มาณ ที่นี้
ทีมงานละครออนไลน์