ติดตามอ่านละครออนไลน์ได้ทาง www.manager.co.th ทุกเช้าเวลา 09.30 น.
รอยมาร ตอนที่ 14
น้อย เหลนสาวของยายปลื้ม กึ่งนั่งกึ่งนอนฟุบหน้ากับพื้น ชาวบ้านที่มาร่วมงาน แตกตื่นกระจายออกเป็นวงกว้าง วงสไบนางวิ่งทะเล่อทะล่าออกมา พร้อมกับที่น้อยเงยหน้าขึ้นมาตาขวาง สไบนางผงะไปเล็กน้อย
“เจ้ามี เอ็งกลับมาแล้ว”น้อยพูดด้วยเสียงทุ้มแหบ มองเลยไปด้านหลังสไบนาง
บารมี อุปมาและหัสดินเดินตามสไบนางออกมาดูเหตุการณ์วุ่นวาย น้อยจ้องบารมี...
“ใครมันฆ่าพ่อเอ็ง รู้รึยัง”
ประมุขเดินตามออกมาดูด้วยความสงสัย ได้ยินพอดี น้อยเหลือบตามองประมุขแล้วพูดขึ้นทันที
“มันอยู่ในนี้ ในบ้านของข้า”น้อยตาขวางๆ
ประมุขผงะไปเล็กน้อยหวาดกลัวอยู่เหมือนกัน หัสดินหันไปถามอุปมา
“ทำไงดีวะมาร์ค แขกเหรื่อกลัวกันหมดแล้ว”
“ไม่รู้เหมือนกัน”อุปมาหันไปถามบารมี “ให้พระปราบดีมั้ยครับพ่อ”
น้อยโกรธจัด ตวาด...
“มึงจะปราบกูเหรอไอ้วอก”
สไบนางหลุดขำถูกใจ รีบยกมือปิดปาก อุปมาจ้องสไบนางเขม็ง น้อยหันไปจ้องประมุข...
“ถึงไม่มีใครรู้ แต่กูรู้ ใครฆ่ากู ใครเผาบ้านกู กรรมกำลังตามสนองมึง”
ประมุขผงะไปเล็กน้อย หายใจไม่ทั่วท้อง หน้าซีดเผือด บารมีเหลือบตามองประมุข ก่อนสั่งเสียงแข็ง
“ไปนิมนต์หลวงพ่อ ออกมาซิมาร์ค”
ขาดคำบารมี น้อยก็ล้มนอนราบไปกับพื้นหายใจแรงๆ ถี่ๆ หมดสติไป ยายปลื้มกับชาวบ้านพาไปนั่งพักที่ในสวน คอยพัดวีให้ ไม่นานนักน้อยก็ฟื้นขึ้นมา บารมี กับสไบนางตามลงมาดูอาการ
“เหลนเป็นอะไรไปเหรอป้าปลื้ม”
“ผีเข้าน่ะสิ...ข้าบอกเอ็งแล้วผิดคำพูดมั้ยล่ะ เซ่นสายพ่อแม่เอ็งดีรึเปล่า ผีตายโหงเขาว่าแรงนัก...”ยายปลื้มกลัวๆ “ยังไม่ยอมไปผุด ไปเกิด คงมาตามราวีไอ้คนที่ฆ่าตัวนั่นแหละ”
สไบนางสงสัยอยากรู้
“ใครฆ่าใครเหรอคะคุณยาย”
ขณะเดียวกันนั้นเสียงประมุขดังขึ้น
“ตลกสิ้นดี”
ทุกคนหันมอง...ประมุขเดินตามมาพร้อมกับเมธาวี อุปมาเดินรั้งท้าย ประมุขขำหยัน
“มีรายการผีสลับเข้าฉาก กลัวมั้ยล่ะบี เราเล่นแต่งตัวประหลาดยังงี้ ผีเลยเข้าคน”
เมธาวีเหยียดปากดูถูกใส่สไบนางทันที
“ไม่เห็นเกี่ยวเลยคุณลุง ตกลงของจริงหรือของปลอมคะเนี่ย”สไบนางถามอย่างไม่เข้าใจ
“ละคร”ประมุขว่า
บารมีหันขวับจ้องหน้าประมุข
“ละครเรื่องอะไรเหรอมุข”
บารมีหน้านิ่ง แต่สายตาสื่อความหมายนลึกกว่านั้น ประมุขชะงักไปเล็กน้อย อุปมาเสริมพ่อทันที
“นั่นซิครับ แล้วใครจะเล่นพิเรนทร์ คิดมาเล่นละครสร้างความวุ่นวายในงานแบบนี้”
ประมุขมั่นใจว่าเป็นการสร้างฉากของบารมีเพื่อแกล้งตน
“มีคนเก่าๆรู้ ไม่ใช่เหรอ ว่าที่ดินผืนนี้มีความเป็นมายังไง พี่มีกลับมาเป็นเจ้าของอีกครั้ง คนที่รู้ก็ปั้นละครเล่นกันง่ายๆ”
บารมีมองหน้าประมุข
“เพื่อประโยชน์อะไร”
ประมุขขำๆ
“ล้อพี่มีเล่นมั้งครับ”ประมุขยักไหล่ “ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเค้า ทำไปเพื่ออะไร”
สไบนางถอนหายใจ
“ตกลงเป็นเรื่องล้อเล่น ค่อยยังชั่วบีนึกว่าผีมีจริงซะแล้ว”
เมธาวีสวนทันที
“ไร้สาระ เรื่องเหลวไหลทั้งนั้นล่ะ เมไม่เคยเชื่อเรื่อง พวกนี้เลย”เมธาวีมองยายปลื้มกับน้อยอย่างดูถูก “ไม่น่าเชิญคนชั้นนี้มาเลยนะคะ บ้านดีๆเสียบรรยากาศหมด”
ยายปลื้มกับน้อยอึ้ง เหลือบตามองมาที่เมธาวี ด้วยแววตาไม่ชอบ อุปมารีบโต้แทนพ่อ
“ชาวบ้านทุกคนเป็นเพื่อนบ้านของพ่อผม พ่ออุตส่าห์เดินไปเชิญพวกเขาถึงบ้าน เมจะมาตำหนิพ่อแบบนี้ไม่ได้ พ่อต้องการเพื่อนบ้าน ผมก็เหมือนกัน คนเราหลายชนชั้นหลายความคิด จะขีดขั้นความเชื่อไม่เชื่อของเขาไม่ได้”
เมธาวีชักสีหน้าใส่อุปมา ยังเคืองกันอยู่ยิ่งเคืองหนักขึ้น บารมีรีบตัดบท
“เอาเถอะๆทุกอย่างผ่านไปแล้ว ไปทานข้าวกันดีกว่า ป่านนี้คุณย่ารอจนหิวแย่แล้ว”
หัสดินรีบสกัดความเครียด บอกทุกคนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม....
“เชิญทางนี้เลยครับ”
หัสดิน ประมุขและเมธาวีนำไปก่อน...เมธาวีทิ้งค้อนใส่อุปมาให้อีกขวับ บารมีตบบ่าอุปมาเป็นการขอบใจ
“ทานนำกันไปเลยนะไม่ต้องรอพ่อ”
“ครับพ่อ”
อุปมาได้แต่ถอนใจออกมาแล้วเดินตามทุกคนไป
เมื่อทุกคนรวมทั้งยายจันทร์ ที่ช่วยพาชาวบ้านไปทานอาหาร บารมีจึงหยิบเงินส่งให้น้อย เป็นค่าจ้าง พลางบอก...
“ขอบใจมาก”
น้อยยกมือไหว้ รับเงินมาอย่างปลื้มใจ
“ขอบคุณค่ะคุณปู่”
บารมียิ้มชื่นชม
“ฉันใช้คนไม่ผิดจริงๆ”
“หนูบอกแล้วไงคะว่าหนูเป็นนักแสดงของโรงเรียน...คุณปู่จะบอกได้รึยังว่าให้หนูเล่นละครไปทำไมคะ”
บารมีบอกด้วยน้ำเสียงโกรธๆ
“ปู่แค่อยากเตือนไอ้คนใจบาปให้มันรู้ตัว ว่ามันปกปิดความสารเลวของตัวเองไม่สำเร็จหรอก”
น้อยงงๆไม่เข้าใจ บารมีเบี่ยงตัวมองไปหน้าบ้านอย่างเจ็บแค้น
“ความจริงยังอยู่ รอเวลาเอาคืนกับมัน ต่อไป มันจะได้ไม่กล้าเหิมเกริมมาเหยียบที่นี่อีก”บารมีแววตาเคียดแค้นชิงชัง
+ + + + + + + + + + + +
อุปมา เมธาวี คุณหญิงรุจา หัสดิน ประมุข วิจิตรา และบังอร นั่งร่วมโต๊ะอาหารกัน โดยเมธาวีเลือกจะนั่งชิดกับแม่ห่างจากอุปมาเพราะยังโกรธอยู่ ประมุขมองหาสไบนาง...
“บีล่ะ”
“กลับเข้าตะเกียงไปแล้วมั้งครับ”
หัสดินพูดขำๆ เรียกรอยยิ้มจากวงอาหารได้เล็กน้อย
“เดี๋ยวเถอะค่ะคุณหัส ไปแซวน้องทำไมคะ”บังอรดุ
“ทำไมไม่เรียกมาทานข้าวด้วยกันล่ะครับคุณบังอร” อุปมาถาม
“คุณบีบอกว่าอยากทานกับยายจันทร์ กับพวกในครัวมากกว่าไม่ต้องเกร็ง”บังอรบอก
“ไม่รู้จะเกร็งอะไรนักหนา” คุณหญิงรุจาถอนใจ
“คนมันชอบทำตัวเป็นจุดเด่นก็แบบนี้ล่ะค่ะคุณย่า ชอบให้คนเป็นห่วงถามถึงตัวอยู่คนเดียว” เมธาวีเหยียดปากหมั่นไส้
อุปมาเหลือบตามองเมธาวีเล็กน้อย เมธาวีค้อนใส่ให้อีกขวับ บารมีเดินเข้ามาที่โต๊ะอาหาร
“ขอโทษทีนะครับมาช้าไปหน่อย”บารมีหันไปเรียก “เข้ามาสิป้า คนกันเองทั้งนั้น”
ยายปลื้มเดินกล้าๆ กลัวๆ เข้ามาในห้อง ประมุข วิจิตรา และเมธาวี อึ้งไป มีอาการชักสีหน้าดูถูก ที่บารมีไปชวนยายปลื้มมาร่วมโต๊ะ บารมีประคองยายปลื้มเข้ามาในห้องทานอาหารมานั่งลง แนะนำต่อคุณหญิงรุจา
“จำป้าปลื้มได้มั้ยครับคุณน้า”
คุณหญิงรุจามองยายปลื้มอย่างสงสัย
“ปลื้มไหน ช่วยรื้อฟื้นหน่อย น้าไม่แน่ใจ”
“ป้าปลื้มเมียลุงแฟง ที่น้องชายลุงแกเป็น…”บารมีจงใจเน้นเสียง “พ่อของขัตติยาไงครับ”
ประมุขชะงักไปทันทีแทบกินข้าวไม่ลง
คุณหญิงรุจานึกออก
“อ๋อ แม่ปลื้มปากม้าน่ะเอง นึกว่าใคร ไม่เห็นตั้งนานแล้วนะ ยังแข็งแรงอยู่เลย”
ยายปลื้มมองคุณหยิงรุจาอย่างสงสัย
“ใครวะไอ้มี”
“อ้าว ป้า...จำคุณหญิงคุณหญิงรุจาไม่ได้เหรอ”
“คุณหญิงรุจาไหนวะ”
“คุณหญิงคุณหญิงรุจา อัคราช เจ้าของสวนติดกันกับฉันไง”
ยายปลื้มนึกออก
“อ๋อ ยายคุณหญิงรุจา แม่ไอ้มุข”
ประมุขไอสำลักอาหารเล็กน้อย ตาเขียวใส่ยายปลื้ม อารมณ์ดูถูก
“ข้าจำได้แล้ว มันเข้าข้างลูกตะพึด ไอ้มุขสารเลวตั้งแต่รุ่นๆ เรื่องของเอ็งกับมันดังไปทั่วคุ้งน้ำ”
วิจิตราและเมธาวีไม่พอใจขึ้นมา ประมุขรวบช้อนอิ่มทันที หน้าตึงๆขึ้นมา หัสดินงงๆ ชำเลืองมองหน้าอุปมาที่ดูนิ่งเฉย แต่แววตาแอบสะใจอยู่ลึกๆ
“ข้ายังจำได้ นังขัตติยาหลานผัวข้าก็เสร็จมัน”
ประมุขลุกขึ้นยืนทันที เก้าอี้ดันไปข้างหลังเสียงดัง ไม่ไว้มารยาทกันแล้ว วิจิตราและเมธาวีงุนงง ประมุขหน้าเครียด เสียงนิ่ง
“พี่มี ผมขอตัวกลับก่อน มีธุระต้องไปทำต่อ คุณแม่จะกลับเลยรึเปล่าครับ”
“ก็ดีเหมือนกัน”คุณหญิงรุจาตอบรับทันที เพราะอยากจะเลี่ยงสถานการณ์นี้เช่นกัน
ประมุขเดินนำออกไปคนแรก
“คุณมุขคะ”วิจิตรารีบตามสามีออกไปหน้างุนงงสงสัย
“ให้ใครไปตามบีมาทีซิ”คุณหญิงรุจาสั่งเสียงเครียด
“เดี๋ยวผมไปส่งบีให้เองครับ ยังคุยกันไม่หนำใจเลย”บารมีบอก
คุณหญิงรุจาพยักหน้ารับทราบ
“เมอยู่ทานข้าวกับผมก่อนนะ เดี๋ยวผมไปส่งเอง”อุปมาทำหน้าอ้อนๆ
“ค่ะมาร์ค”ตอบอย่างนั้น แต่ไม่วายค้อน
คุณหญิงรุจาลุกขึ้น หน้าเครียด
“แล้วค่อยเจอกันนะมี”
“ผมไปส่งครับคุณย่า”
อุปมากับเมธาวีลุกตามคุณหญิงรุจาออกไป เหลือแต่บารมี ยายปลื้มและหัสดิน ยายปลื้มมองตามงงๆ
“ไปไหนกันหมดล่ะ”
บารมียิ้มให้ยายปลื้ม
“เขาอิ่มกันหมดแล้วป้า เหลือแต่เรานี่ล่ะ”
“ผมตักข้าวให้ครับคุณยาย...”หัสดินบริการตักข้าวให้ยายปลื้ม
บารมีอมยิ้มบางๆ แอบสะใจอยู่ในที
ประมุขหน้าตาบึ้งตึงเดินขึ้นรถปิดประตูโครม วิจิตราหันกลับมาบอกเมธาวีไม่สบายใจนัก
“อย่ากลับให้ค่ำนักล่ะ”
“ค่ะแม่”
“เร็วๆซิคุณ ล่ำลาอะไรกันนักหนา”ประมุขเสียงแข็ง
“ไปเดี๋ยวนี้ล่ะค่ะ”วิจิตราขึ้นรถไป
ประมุขขับรถออกไปอย่างเร็ว เมธาวีถอนใจยาวออกมา พร้อมหันไปมองทางรถคุณหญิงรุจา
ลุงแก้วกำลังเปิดประตูรอให้คุณหญิงรุจาและบังอรขึ้นรถอยู่ อุปมายืนส่งแขกตามมารยาท คุณหญิงรุจาหันไปคุยกับอุปมา
“ถ้าแม่บีทำอะไรขัดหูขัดตาก็ปล่อยผ่านไปมั่งนะ บีเหมือนคนหัวเดียวกระเทียมลีบ นึกว่าสงสารน้องเถอะนะ”
“ครับคุณย่า”
“ขอบใจมาก”
คุณหญิงรุจาขึ้นรถไป ลุงแก้วปิดประตูรถให้...
“ไปก่อนนะคะคุณมาร์ค”
อุปมาและบังอรไหว้รับไหว้กัน ลุงแก้วเดินไปเปิดประตู ให้บังอรขึ้นไปนั่งคู่กับคุณหญิงรุจา สไบนางวิ่งหน้าเริ่ดมาจากทางสนาม รถคุณหญิงรุจาแล่นออกไปจากบ้านแล้ว
“คุณย่า...คุณย่า...รอบีด้วย...”
รถแล่นออกไปจากบ้านเสียแล้ว สไบนางหงุดหงิดไม่พอใจ เมธาวีมองอย่างรำคาญ
“จะร้องโวยวายให้ขายขี้หน้าอีกทำไม แค่แต่งตัวประหลาดก็ทำพวกเราอับอายขายขี้หน้าจนแทบจะเอาถุงคลุมหัวเดินอยู่แล้ว”
“ทนไม่ไหวก็ไม่ต้องทน คนชอบก็มี”สไบนางเถียง
“เหรอ ก็เห็นแม่แต่ลุงเธอคนเดียวนั่นแหละที่ชมว่าเธอแต่งตัวสวย โอ๋ กันเข้าไปเถอะ”เมธาวีสะบัดหน้าพรืดเดินนำกลับออกไป
สไบนางย่นจมูกตามใส่ ไปสบตากับอุปมาที่จ้องเขม็งมาที่ตนพอดี แว้งกัดทันที
“มองอะไร”
อุปมาอมยิ้ม
“แต่งตัวขนาดนี้ออกจากบ้านได้ มั่นใจอย่างเดียวไม่พอนะ ต้องบ้าด้วย”
สไบนางเจ็บใจ
“ต้องการเปิดศึกกับฉันอีกใช่มั้ย ฉันอุตส่าห์สงบปากสงบคำเพราะเห็นแก่คุณลุงแล้วนะ”
อุปมาขำหยัน
“ก็แน่อยู่หรอก เธอควรจะเจียมตัวได้แล้ว ตอนนี้เธอมันหมาหัวเน่า ไม่มีใครเอาแล้วนี่”
สไบนางชะงักไปเล็กน้อย
“ดูสิทั้งลุงประมุขของเธอ ทั้งคุณย่าสุดที่รัก กลับบ้านไปกันหมดแล้ว ไม่เห็นมีใครตามหาเธอเลย”อุปมายิ้มกวนๆ “คล้ายๆอะไรน๊า ที่เอาขึ้นรถพาไปเที่ยววัด หลอกให้วิ่งเล่น ให้ขนมกิน แล้วหนีกลับไปเลย”อุปมาขำๆ
สไบนางเงียบกริบน้ำตาท่วม จ้องอุปมาเขม็ง เจ็บแค้นใจมาก แต่โดนจี้ต่อมสะเทือนใจจนพูดอะไรไม่ออกได้แต่ยกมือขึ้นชี้หน้าสายตาอาฆาต อุปมาเห็นท่าทางของสไบนางก็ชะงักไปเล็กน้อย สไบนางสะบัดหน้าพรืดวิ่งกลับขึ้นบ้านไทยไปหาบารมี
อุปมายักไหล่ไม่แคร์ แล้วเดินตามเมธาวีไปทางสนาม เพื่อเคลียร์เรื่องที่ยังค้างคาใจ
+ + + + + + + + + + + +
เมื่อกลับมาถึงบ้านอัคราช ประมุขโกรธจัดโวยวายลั่น
“มันไม่เห็นแก่หน้าพวกเราเลย”
“ยายแก่ปลื้ม นั่นใครกันคะคุณแม่”วิจิตราถามเสียงแข็งไม่พอใจ
“เพื่อนบ้านสวนสมัยก่อน เธอไม่รู้จักหรอก”คุณหญิงรุจาบอกเรียบนิ่ง
“เขาพูดถึงผู้หญิงชื่อ ขัตติยา หลานสามีเขา ผู้หญิงคนนั้นมีความสัมพันธ์กับคุณมุข เขาใช่แม่ของนายทศรึเปล่าคะ”
คุณหญิงรุจาและประมุขสบตากันเล็กน้อย ประมุขทำหูทวนลม เปลี่ยนเรื่องคุยหน้าตาเฉย
“เราควรทำยังไง ดีครับคุณแม่”
วิจิตราอึ้งๆไปเหมือนตัวเองเป็นอากาศธาตุ
“เตรียมตัวคืนทุกอย่างของอัคราชให้เขาไป”คุณหญิงรุจาพูดเสียงนิ่ง
“แต่คุณแม่ครับ...”ประมุขจะแย้ง
คุณหญิงรุจาสวนทันที
“แม่บอกแกแล้ว ว่าแม่สังหรณ์ว่าเขาไม่เอาแกไว้แน่มุข”
วิจิตราทนความสงสัยต่อไปไม่ไหวแล้ว
“นี่คุณแม่พูดเรื่องอะไรกันคะ ดิฉันงงไปหมดแล้ว”
คุณหญิงรุจามองลูกชายหน้านิ่ง
“ไหนๆเรื่องก็เลยเถิดมาขนาดนี้แล้ว แกจะเล่าเรื่อง ให้จิตรารู้หรือไม่ ก็แล้วแต่แก แม่ไม่ขอมีส่วน”
วิจิตราหันมองหน้าสามีที่นิ่งขรึมไป
“แม่ไม่อยากก้าวก่ายเรื่องของแก แต่ก็ขอให้แกลองคิดในมุม ของแม่ดูบ้าง” คุณหญิงรุจามองหน้าประมุข น้ำตารื้นๆ “แกทำผิดมามากแล้วมุข ปล่อยรอยเก่าๆ บางเรื่องให้หายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนจะดีกว่านะ”
ประมุขและคุณหญิงรุจาสบตากันแบบรู้เบื้องลึกเบื้องหลังกันดี
“แม่ขอขึ้นไปพักบนห้องก่อน”คุณหญิงรุจา เดินหน้าเครียดๆนำออกไป
วิจิตราหันมาหาสามี
“นี่มันอะไรกันคะ ฉันไม่เข้าใจจริงๆ คุณกับแม่ชอบพูดอะไร เป็นปริศนาตลอดเวลา ทำเหมือนฉันเป็นคนนอก นี่มันยังมีอะไรเลวร้ายกว่าเรากำลังจะล้มละลายต้องขายลูกกินอีกเหรอคะ”วิจิตราน้ำตารื้นขึ้นมาด้วยความอัดอั้นตันใจ
ประมุข มองหน้าวิจิตราด้วยความเข้าใจ ขยับตัวเข้ามาจับกุมมือเอาไว้
“ขอบใจมากนะจิตราที่อยู่เคียงข้างผมมาตลอด ผมสารภาพ จากใจจริง ผมไม่ใช่คนดีอะไรเลย แต่เป็นบุญของผมที่ได้ผู้หญิง ที่เพียบพร้อมอย่างคุณเป็นคู่ชีวิต”ประมุขมองหน้าวิจิตรา น้ำตาเอ่อๆ
วิจิตราน้ำตาเอ่อท่วมขึ้นมาจนรินไหล ปลาบปลื้มใจ ต้องรีบยกมือขึ้นซับน้ำตาออก
“แค่นี้ผมก็ทำให้คุณผิดหวังมากเกินพอแล้ว อดีตของผมขอให้ เป็นของผมคนเดียวเถอะ มันไม่ใช่เรื่องน่าภาคภูมิใจอะไร คุณอย่ารู้เลยนะจิตรา”
“แต่ฉันเป็นภรรยาคุณ เราควรรับผิดชอบร่วมกันไม่ใช่เหรอคะ”
“ก็ใช่ แต่คุณไม่จำเป็นต้องร่วมรับผิดชอบ ต่อเรื่องในอดีตของผม ก่อนที่จะได้รู้จักกับคุณ...เอาเถอะ วันหนึ่งแล้วผมจะเล่าให้คุณฟังเอง...”ประมุขดึงวิจิตราเข้ามากอดเอาไว้ “แต่วันนี้เราหยุดพูดเรื่องนี้ กันก่อนเถอะนะ แล้วออกไปหาข้าวเย็นทานข้างนอกกัน ทิ้งปัญหาทุกอย่างไว้ที่นี่ ไปหาความสุขกันเท่าที่ยังมีโอกาสดีกว่า”
วิจิตรากอดซบอกสามีแน่น ขณะที่ประมุขหน้าเคร่งเครียดปนกังวล
+ + + + + + + + + + + +
วิมาดามาที่คอนโดอุปมา เขวี้ยงกระเป๋าถือกระจายลงโซฟารับแขกหัวเสียสุดๆ เดินมากระแทกตัวลงนั่ง อย่างใช้ความคิด
“ชีวิตฉันลงเอยแบบนี้ไม่ได้”
วิมาดาคิดอะไรบางอย่างได้ ลุกเดินไปที่กระเป๋าถือ ค้นหาโทรศัพท์มือถือแล้วกดหาเบอร์ จนชื่อของ “ธนู” ปรากฏขึ้นมาที่หน้าจอ วิมาดาหน้านิ่งๆ ลังเลเล็กน้อย แต่เธอต้องมีที่เกาะ จำใจกดโทรออกหาธนูทันที
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ธนู สายทิพย์ และหยาดฝน ปูเสือที่สนามหญ้าหน้าบ้าน เล่นกับแคปปิตอล วัย 2 ขวบ ธนูในชุดอยู่กับบ้าน สบายๆเล่นกับลูกชาย พาเดิน พาคลาน พาเตะบอลลูกเล็กๆ สายทิพย์มองดูยิ้มแย้ม สบายใจ ขณะเดียวกันนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือของธนูเรียกเข้าดังขึ้น ธนูบอกลูกชาย
“ไปหาคุณแม่ก่อนครับ”
สายทิพย์เดินไปรับลูกชายจากธนู หยาดฝนเหล่ๆ มองไปที่โทรศัพท์เล็กน้อยรู้สึกกังวลๆ ใจนึงก็อยากไปดูเบอร์โชว์ว่าใครโทรมา อีกใจก็ไม่อยากรู้อยากเห็นให้ไม่สบายใจ
ธนูรีบมาคว้าโทรศัพท์ไปก่อนที่หยาดฝนจะตัดสินใจได้ ธนูดูเบอร์โชว์ดีใจ กดรับแล้วเดินกลับเข้าไปในบ้าน ทั้งหยาดฝนและสายทิพย์ ต่างหันมองตามธนูไปอย่างไม่ได้นัดหมาย ด้วยความรู้สึกเดียวกันคือกลัวว่าจะเป็นวิมาดาโทรมา
เมื่อธนูรับสาย วิมาดาแสร้งพูดเสียงซึมๆ
“วินึกว่าคุณจะไม่ยอมรับสายวิแล้วซะอีก วิทำผิดกับคุณมากนะคะคุณนู”
ธนูที่แอบมาคุยโทรศัพท์ในห้องนอน ล็อกห้องอย่างดี รีบบอก...
“ผมไม่เคยโกรธคุณเลยนะวิ คนเราหลงผิดหลงทางกันได้ทั้งนั้น ผมมั่นใจว่าวันหนึ่งคุณจะต้อง กลับมาหาผม...เพราะผมรู้ว่าเราสองคนคือคู่แท้ของกัน”
วิมาดาเหยียดปากสะอิดสะเอียน ก่อนจะปั้นคำพูดตอบไปด้วยเสียงสั่นเครือ
“วิพูดอะไรไม่ออกเลย”
“ไอ้นั่นมันทิ้งวิใช่มั้ย มันหลอกคุณใช่มั้ย”
วิมาดาร้องไห้สะอึกสะอื้น ธนูเป็นห่วงมาก
“ไม่ร้องไห้นะวิ คุณยังมีผมอยู่นะ ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น”
“เราออกมาเจอกันได้มั้ยคะคุณนู วิอยากคุย กับคุณ...วิคิดถึงคุณ”วิมาดาทำเสียงกลั้วสะอื้น
ธนูตอบรับทันที แล้วรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างหล่อเดินกลับออกมา หยาดฝนและสายทิพย์อึ้งๆกันไปเล็กน้อย
“เจ้านายโทรมา ให้ช่วยไปรับวิทยากรที่สนามบินแทน”ธนูบอกอย่างคล่องปาก
“แล้วจะกลับมาทานข้าวด้วยกันมั้ยคะ ทิพย์จะได้รอ”สายทิพย์ถามเรียบๆ
“ผมอาจจะต้องทานข้าวเย็นเป็นเพื่อนเขาด้วย ผมว่าทิพย์ไม่ต้องรอดีกว่านะ”
สายทิพย์พยักหน้ารับแววตาไม่แสดงอารมณ์อะไร ธนูเดินเข้ามาหอมแก้มลูกชายซ้ายขวา
“พ่อจะรีบกลับนะครับ...”ธนูยิ้มแย้ม บอกสายทิพย์ “ไปนะเดี๋ยวไม่ทัน”
ธนูหอมแก้มสายทิพย์ให้ฟอดหนึ่งแล้วรีบวิ่งไปขึ้นรถขับออกไป สายทิพย์พูดขึ้นลอยๆ
“วิทยากร หรือ วิมาดา ก็ไม่รู้นะ”
“อาจจะเรื่องจริงก็ได้ค่ะพี่ทิพย์”
สายทิพย์ถอนหายใจ
“เหมือนทุกอย่างกำลังจะดีอยู่แล้วเชียว”
“อย่าเพิ่งคิดมากสิคะพี่ทิพย์ อาจจะไม่ใช่ยัยนั่นโทรมาก็ได้นะคะ”
“ไม่ใช่ก็ดีไป”สายทิพย์หน้านิ่งแต่แววตาเอาจริง “ถ้าใช่แล้วทุกอย่าง ต้องถอยกลับไปนับหนึ่งใหม่ นี่คือโอกาสครั้งสุดท้ายของเขา”สายทิพย์อุ้มลูกชายกลับเข้าบ้านไป
หยาดฝนมองตามพี่สาวไป ได้แต่ถอนใจออกมาอย่างไม่สบายใจ
+ + + + + + + + + + + +
เย็นนั้น...
อุปมาพายเรือให้เมธาวีนั่งเล่น กำลังพายเรื่อยๆ กลับมาเข้าท่าน้ำบ้านตน
“เมคิดอะไรอยู่”
“คุณสนใจด้วยเหรอ”เมธาวียังงอนปนน้อยใจเรื่องวิมาดา
“สนใจซิครับ คุณเป็นคู่หมั้นผมนะ”
เมธาวีจ้องหน้าอุปมา
“เมอยากรู้ คุณหมั้นกับเมเพราะอะไร”
อุปมาชะงักไป
“ทำไมถามผมแบบนี้ล่ะ”
“ผู้หญิงคนนั้นบอกเมว่าเธอเป็นคนรักของคุณ ต้องจากกันเพราะความจำเป็นเรื่องงาน”
อุปมาสีหน้านิ่งขรึมไป
“เธอว่าเธอกลับมาแล้วเพื่อของานคุณทำ ซึ่งคุณก็เต็มใจช่วยเธอ เมชักไม่แน่ใจ”
“ถ้าเป็นเรื่องวิมาดา เมเลิกกังวลได้เลย คุณก็ได้ยิน ที่ผมพูดใส่หน้าเขาทุกคำ ผมขอเอาเกียรติเป็นประกัน ผมเคย รักเขา แต่นั่นคืออดีต...”อุปมามองหน้าเมธาวี “คุณเริ่มระแวงผมเหรอเม”
“ไม่รู้ซิคะ ตอนนี้เมรู้สึกอย่างเดียวว่า ไม่สบายใจ”
เรือมาเทียบที่ท่าน้ำพอดี อุปมาจับเรือให้เทียบท่าเอาไว้ แต่ยังไม่ลงเพราะยังคุยค้างกันอยู่
“ผมกับวิจบเกมกันไปนานแล้ว เรากำลังจะแต่งงานกันเดือนหน้าแล้วนะเม ยังมีอะไรข้องใจผมอีกเหรอ”
“ไม่มีแล้วล่ะค่ะ ตอนนี้เมเข้าใจกระจ่างแจ้งแล้วว่า ตอนที่คุณขอเมแต่งงาน ทำไมพูดสารภาพได้แค่ชอบเม เพราะคำว่ารัก คุณให้ผู้หญิงคนอื่นไปแล้ว”
อุปมาอึ้งๆ เข้าใจความรู้สึก
“เม...”
“คุณดูถูกเมมากนะมาร์ค คนอย่างเมไม่ใช่ช่างซ่อมหัวใจให้ใคร ตอนนี้เธอกลับมาแล้ว เธอคงรักษาพยาบาลคุณได้ตรงจุดกว่าใครทั้งหมด”
เมธาวีลุกขึ้นท่าเรือไปอย่างหัวเสียปนน้อยใจ เรือโคลงเคลงเล็กน้อย อุปมาจับยึดเรือไว้แล้วมัดเชือกแล้วรีบวิ่งไปขวางหน้าเมธาวี
“อย่าคิดมากแบบนี้สิเม วิมาดาไม่มีทางมีอะไรเหนือกว่าเม ไปได้หรอกนะ”
เมธาวีเชิดหน้านิ่ง อุปมาจับมือทั้งสองข้างของเมธาวีเอาไว้
“เรากำลังจะแต่งงานกัน ความเข้าใจของเราสองคนเท่านั้นที่จะเอาชนะปัญหาทุกอย่างได้ ขอให้คุณเชื่อใจผมนะเม”
เมธาวียังอิดออดไม่สบตา
“ส่วนเรื่องงานที่บริษัท ผมจะเอาวิมาดาออกเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ เขาเป็นลูกจ้างของผม ก็เท่ากับขาเป็นลูกจ้างของเมด้วย ผมเชื่อว่าเมฉลาดพอ ที่จะไม่ลดตัวลงไปเทียบกับลูกจ้างคนนึง”
เมธาวีหันมาจ้องหน้าอุปมา
“ฉลาดแก้ตัวนักนะ”
อุปมายิ้มเจ้าเล่ห์
“แล้วได้ผลมั้ยล่ะ”
เมธาวีค้อน อุปมาเชยคางเมธาวีมาจ้องตา...ทั้งคู่สบตากันนิ่ง ขณะเดียวกันนั้นเสียงสไบนางก็ดังขึ้น
“อย่าจูบกันนะ”
อุปมาและเมธาวีชะงัก รีบปล่อยมือออกจากกันหันมองไปทางสไบนาง
“ทำบัดสี เดี๋ยวเจ้าที่เจ้าทางจะเข้าสิงใครด่าให้อีกหรอก”สไบนางแขวะ
เมธาวีหมั่นไส้ปนเจ็บใจ
“ไปให้พ้นเลยนะ”
“ฉันก็ไม่ได้อยากอยู่ดูนักหรอก ประเจิดประเจ้อ หน้าไม่อาย”
เมธาวีเจ็บใจ ไม่รู้จะด่าอะไรดี สไบนางทำหน้ากวนๆ
“เอ๊...เมื่อกลางวันคนผีเข้าเขาด่านายว่าอะไรนะ”สไบนางทำนึกๆก่อนโพล่งออกมา “ไอ้วอก...โดนใจมากเลย แซ่บ”สไบนางขำๆยกนิ้วโป้ง 2 นิ้ว
อุปมาเจ็บใจพูดใส่เสียงแข็ง หน้าดุ
“เตรียมตัวกลับบ้านได้แล้ว”
สไบนางทำหน้าทะเล้น
“ตามฉันให้เจอก็แล้วกันนะ”สไบนางหัวเราะชอบใจ วิ่งหนีไปเลย
“อ้าว...ดูน้องคุณซิ”
“น้องคุณตะหาก ไม่กลับก็ปล่อยมัน เดี๋ยวก็ไปนอนบ้านสวนเองแหละ”เมธาวีอารมณ์เสียเดินนำไป
อุปมาได้แต่ถอนใจส่ายหน้าไปมา
อ่านต่อหน้า 2
รอยมาร (ต่อ)
ที่บ้านสวน...ยายจันทร์เด็ดยอดกระถินไปเพลินๆ ตั้งใจจะเอาไปจิ้มน้ำพริกทาน ขณะเดียวกัน สไบนางหน้าตางอนๆปนน้อยใจเดินตามหายายจันทร์
“ยาย...”
“อ้าวคุณหนูบี ยายนึกว่ากลับบ้านไปแล้วซะอีก”
สไบนางงอนๆ
“กลับอะไรล่ะ เขาทิ้งบีไปกันหมดแล้ว บีเป็นหมาหัวเน่าแล้วล่ะยาย”
“อุ๊ย...ทำไมพูดแบบนี้ล่ะคะ”
“ก็มันจริงนี่คะ คุณย่ากับคุณลุงทิ้งบีกลับบ้านไปหน้าตาเฉยเลย ไม่เรียกหาบีซักคำ”สไบนางน้อยใจ
“คุณท่านคงเห็นว่าคุณบีอยู่กับคุณมี เดี๋ยวคุณมีก็ไปส่งเองมั้งคะ”
“เขาจะทิ้งบีไว้กับลุงมีเลยตะหาก”สไบนาง ประชด
“ทำไมคิดยังงี้ล่ะคะคุณบี ไม่มีใครทิ้งคุณบีหรอกค่ะ”
สไบนางกอดยายจันทร์ อ้อนๆ
“ยายจันทร์ห้ามทิ้งบีนะ ถ้าบีถูกไล่มาอยู่กับลุงมีเมื่อไหร่ ยายจันทร์ต้องไปเยี่ยมบีทุกวันเลยนะ”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ ปกติยายก็เอากับข้าวไปแลกกันชิมกับบ้านโน้น ทุกวันอยู่แล้ว...คุณบีไม่ต้องห่วงค่ะ ยายไม่ทิ้งคุณบีให้เหงาแน่นอน ลากนังเบียบไปด้วยดีมั้ยคะ”
สไบนางยิ้มสบายใจ กอดยายนจันทร์แน่น
“ดีจ้ะยาย”
สไบนางหน้าขรึมลง ถอนใจยาวออกมา ยังหนักใจกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตของตนอยู่ไม่คลาย
+ + + + + + + + + + + +
ค่ำคืนนั้น...
วิมาดาและธนูคุยกันอยู่ในร้านอาหารบรรยากาศดีแห่งหนึ่ง
“เรื่องงานวิไม่ต้องกังวลเลยนะ ใบลาออกของวิ ผมยังเก็บไว้ในลิ้นชัก”
วิมาดาอึ้งไปเล็กน้อย
“ผมแจ้งฝ่ายบุคคลไว้ว่าวิไม่ค่อยสบายขอลาพักร้อน...ผมมั่นใจว่าวิต้องกลับมาแน่นอน”
“ทำไมคุณนูถึงมั่นใจขนาดนี้ล่ะคะ”
“ผมก็ไม่อยากให้วิลาออกแต่แรกอยู่แล้ว เสียดายตำแหน่ง เสียดายเงินเดือนแทน พอมารู้จากเพื่อนหัวหน้าว่า หลานสาวของตระกูลอัคราช กำลังจะแต่งงานกับไอ้อุปมา ผมก็เลยยิ่งมั่นใจ”
วิมาดาเซ็งไปทันที
“ตกลงมีวิโง่อยู่คนเดียว”
“ช่างมันเถอะครับ เรื่องมันผ่านไปแล้ว...ถ้าวิสบายใจ พร้อมจะกลับไปทำงานเมื่อไหร่ ก็บอกมาแล้วกัน”
“วิไม่รู้ว่าจะขอบคุณคุณนูยังไงดีแล้ว”
ธนูมองตาวิมาดาอ้อนๆ
“แค่กลับไปค้างที่คอนโดผมบ้าง อาทิตย์ละวันสองวันก็ยังดี แค่นี้ผมก็ชื่นใจที่สุดแล้วล่ะ”
วิมาดาหน้าขรึมลง
“ช่วงนี้วิไม่ค่อยว่างซะด้วยสิ มีเรื่องต้องสะสางเยอะไปหมด”
ธนูฟังแล้วหน้าจ๋อยๆไป
“อาทิตย์นี้ขอไปค้างแค่คืนนี้คืนเดียวก็แล้วกันนะคะ”
วิมาดาสู้ตาธนูส่งสายตาประพริมประพราย ธนูค่อยยิ้มกว้างออกมาอย่างดีใจ
+ + + + + + + + + + + +
หลายวันต่อมา...
เมธาวีเลือกแบบเสื้อผ้าชุดเจ้าสาว อยู่กับเจ้าของร้านอย่างตั้งใจมาก เพราะต้องการได้ชุดเจ้าสาวที่สวยที่สุด
“เล่มนี้เป็นแบบชุดให้เช่าค่ะ”เจ้าของร้านแนะนำ
เมธาวีสวนทันที
“เก็บไปเลยค่ะพี่ เมไม่ชอบใส่ชุดซ้ำกับใคร”
“แต่คุณมาร์คอยากเช่านะคะ”เจ้าของแย้ง
เมธาวีไม่พอใจ
“จริงเหรอคะพี่ ไม่ให้เกียรติเมเลย”
เจ้าของหน้าแหยไปเล็กน้อย พอมองเลยไปด้านหลัง ก็ยิ้มแฉ่งดูปลาบปลื้ม
“อุ๊ย...พูดถึงเจ้าบ่าวก็มา อิจฉาน้องเมจังเลยค่ะ”
เมธาวีค่อยๆ หันไปมองเห็นอุปมาในชุดสูทหรูเข้ากับอุปมาอย่างลงตัว หล่อกระชากใจ เมธาวีลึกๆ ก็ปลื้มไม่ค่อยได้เห็นอุปมาในลุกส์หล่อเนี๊ยบสะอาดแบบนี้ แต่เธอยังเก๊กหน้านิ่ง
“ชุดนี้พอดีกับผมเป๊ะเลย ใส่แล้วดูดีมั้ยเม”
เจ้าของร้านยิ้มปลื้ม
“ที่สุดค่ะ เห็นแล้วพี่อยากเป็นเจ้าสาวซะเอง”เจ้าของร้านพูดขำๆ
“เฉยๆ ค่ะ”เมธาวีพูดเรียบนิ่ง
อุปมาและเจ้าของร้านยิ้มค้าง
“ทำไมล่ะเม”
“เพราะเมคงอดนึกถึงหน้าเจ้าบ่าวคนนั้น”เมธาวีชี้ไปที่รูปที่ใส่กรอบโชว์ในร้าน “กับคนโน้นไม่ได้”
อุปมาหันมองตามไป พบว่าเจ้าบ่าวทั้งสองแต่งตัวด้วยสูทชุดเดียวกับตน
“สูทผู้ชายก็เหมือนกันหมดแหละเม”
“เราก็ต้องทำให้ไม่เหมือนสิคะ ไม่งั้นจะมีดีไซน์เนอร์ไว้ทำไม จริงมั้ยคะพี่”
“จริงค่ะ”เจ้าของร้านลุกไปหาอุปมา “เอางี้ ถ้าคุณมาร์คชอบแบบนี้ เดี๋ยวพี่ เติมดีไซน์เก๋ๆ เข้าไปให้อีกหน่อย รับรองไม่ซ้ำใคร”
“ตัดใหม่นะคะ”เมธาวีย้ำคำเปิดดูแบบเสื้อชุดแต่งงานไป
“แน่นอนค่ะน้องเม ไปกับพี่ค่ะคุณมาร์ค”
เจ้าของร้านพาอุปมาเดินไป อุปมาเหล่มองเมธาวีเล็กน้อย กระซิบถาม
“ตอนตัดเค้กผมควรจับมีดตรงไหนดีครับ”
เจ้าของร้านขำๆ
“แก้เคล็ดเมียข่มเหรอคะ ตัดเค้กทูเลทค่ะ ต้องเริ่มแต่ตักบาตรเลย เดี๋ยวพี่แนะนำให้ค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
“แต่ถ้าเปลี่ยนเจ้าสาวเป็นพี่ รับรองหมดปัญหา พี่ยอมคุณมาร์ค ทุกสิ่งทุกอย่างค่ะ”
อุปมาหัวเราะชอบใจ ให้เจ้าของร้านควงแขนพาไปห้องลองเสื้อ
+ + + + + + + + + + + +
หลังจากไปตัดชุดแต่งงานแล้ว อุปมากับเมธาวีมาที่ห้องหอ อุปมานั่งอมยิ้มมองเมธาวี จัดตกแต่งห้องนอนง่วนอยู่คนเดียว เมธาวีเลื่อนแจกัน หมุนหามุมเล็กน้อย จนพอใจ
“โอเคมั้ยคะมาร์ค...”เมธาวีหันมองหา
อุปมายิ้มๆยกมือโอเคจากมุมห้อง
“ไปนั่งอะไรอยู่มุมห้องคะ ใจคอจะไม่ช่วยเมมั่งเลยเหรอ”
“ผมจัดการอะไรแล้วถูกใจเมมั่งล่ะ”
เมธาวีชะงักไปเล็กน้อย หน้าแหยๆ
“เมเจ้าบงการเกินไปรึเปล่าคะ”
อุปมารีบลุกมาหา
“ไม่หรอกครับเม”
เมธาวีชักกังวล ที่ตนแสดงท่าทีเรื่องมากเกินไปกับทุกเรื่อง
“มาร์คไม่รำคาญเม หรือคิดว่าเม...”
อุปมารีบพูดขัดตัดบท
“อย่าคิดมากซิเม ที่เมทุ่มเททำทุกอย่าง ก็เพื่อให้งานแต่งงานของเราสมบูรณ์ที่สุด มีข้อบกพร่อง มีข้อผิดพลาดน้อยที่สุด ถ้าปล่อยผมจัดการ ทุกอย่างคงไม่มีทางดีแบบนี้หรอก”
เมธาวียิ้มดีใจ น้ำตาคลอ
“จริงๆนะ”
อุปมายิ้มแย้ม ลูบหัวเมธาวี
“จริงซิครับ มีอะไรอยากให้ผมช่วยทำ ก็บอกมาได้เลย”
เมธาวียิ้มดีใจ
“จริงเหรอ”
อุปมายิ้มแย้ม พยักหน้ารับ
“งั้นวันแต่งของเรา”เมธาวีลูบเคราอุปมา“โกนหนวดโกนเคราทิ้ง ได้มั้ยคะมาร์ค”
“โห...ไม่ไหวมั้งเม”อุปมาขยับตัวห่างออกเล็กน้อย“เหมือนให้ผมแก้ผ้าเดินเลยรู้มั้ย”
“ขนาดนั้นเลยเหรอ”
อุปมายิ้มหน้าทะเล้น ขยับเข้าใกล้ พูดข้างหู
“ตอนเข้าหอ เมจะขอบคุณที่ผมขัดใจเม”
อุปมาเบียดเคราแนบแก้มเมธาวีเล็กน้อย เมธาวีอายปนเขิน ศอกไส่อุปมา
“จั๊กจี๋”
เมธาวีเดินอายไปจัดแจกันต่อ มือไม้สั่นเล็กน้อย ไม่กล้าหันมาสู้ตาอุปมาอีกเลย อุปมามองตามเมธาวีสายตากรุ้มกริ่ม ผสมกับรอยยิ้มเอ็นดู
+ + + + + + + + + + + +
เช้าวันหยุด อาทิตย์เดินเข้ามาในโถงบ้าน เมื่อพบหน้าคุณหญิงรุจิรา ยกมือไหว้ทันที
“สวัสดีครับคุณย่า”
คุณหญิงรุจารับไหว้ ยิ้มแย้ม
“หายหน้าหายตาไปเลยนะ ถ้าไม่คุ้นเคยกันคงคิดว่าอกหักรักคุด”
อาทิตย์ยิ้มๆ
“บีล่ะครับ”
คุณหญิงรุจาขำๆ
“ย่านึกแล้วเชียว ว่าต้องถามหายัยบุบบี้เป็นคำถามแรก”
อาทิตย์หัวเราะ
“คุณลุงสุดที่รักเขารับไปเที่ยวไหนกันก็ไม่รู้ กลายเป็นคู่ซี้ต่างวัยไปแล้ว”
“ผมตกกระป๋องไปเลย”
“ต้องรีบทำคะแนนตีตื้นหน่อยนะ”
อาทิตย์ยิ้มขำ
“ครับคุณย่า”
“มานั่งดื่มน้ำ ทานของว่างก่อนลูก”
คุณหญิงรุจาเดินนำอาทิตย์ไปนั่งที่โซฟารับแขก
+ + + + + + + + + + + +
ด้านนอก...
สไบนางรีบร้อนลงจากรถไปเปิดกระโปรงท้าย หยิบกระถางต้นพวงชมพูออกมา บารมีลงจากรถตามไปดู
“ยกไหวรึเปล่า”
“สบายมากค่ะคุณลุง บีเอาไปลงดินเลยนะคะ”
“ปลูกเองเลยเหรอ”
“ค่ะ...ต้นพวงชมพูเคยตายเพราะฝีมือบี บีก็ต้องให้กำเนิดมันใหม่ด้วยมือของบีเอง”
“งั้นก็ลุยเลย ลุงขึ้นไปคุยกับคุณย่าก่อนแล้วกัน”
“ค่ะ”
สไบนางรีบยกต้นไม้ไปทางสนาม บารมียิ้มๆ ก่อนจะเดินขึ้นบ้านไป สไบนางเดินยกต้นพวงชมพูมาบริเวณริมรั้ว เล็งหาที่ปลูก
“ปลูกตรงไหนดีหว่าจะได้เลื้อยไกลๆ”
สไบนางเดินไปทางช่องแตกระหว่างรั้วพึมพำ
“ตรงนี้ไม่ได้ ปิดทางเข้าออกของชัน”
ขาดคำชันษามุดรั้วเข้ามา สไบบางตกใจ
“เฮ๊ย...โอ๊ย ชัน ตกใจหมดเลย มาก็ดีแล้วช่วยบีหาที่ปลูกต้นพวงชมพูหน่อยสิ”
ชันษาแต่งตัวปอนๆ เสื้อผ้าเหมือนไม่ได้ซัก หนวดเคราเขียวเข้ม ทรงตัวไม่อยู่เล็กน้อย ผมกระเซิงๆ สไบนางชักแปลกๆวางต้นไม้ลง
“ชันเป็นอะไร”
ชันษาเมามายพูดประชดตัวเอง
“เป็นหมาขี้เรื้อนที่ได้แต่เงยหน้ามองเครื่องบินมั้ง”ชันษาแค่นขำตัวเอง
สไบนางทำจมูกฟุดฟิด ได้กลิ่น
“ชันเมานี่”
“ก็ใช่น่ะสิ” ชันษาจ้องหน้าสไบนาง ตาแดงก่ำ ถามเสียงแข็ง ห้วนๆ “คุณเมแต่งงานเมื่อไหร่”
“เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแหละ เดี๋ยวแม่ชันก็ได้การ์ดเชิญเอง...”สไบนางอดแขวะไม่ได้ “แต่ที่จริง ความเคลื่อนไหวของบ้านหลังนี้ ก็ไม่ใช่ความลับของชันอยู่แล้วนี่ มุดรั้วมาก็รู้ ถ้าไม่เมาหัวทิ่มซะก่อน”
ชันษาชักเคือง
“น้อยๆหน่อยบี”
สไบนางไม่พอใจเหมือนกัน
ชันทำตัวแบบนี้ทำไม อย่าบอกนะว่าประชดชีวิตเพราะอกหักจากพี่เม”
“ถ้าใช่ แล้วทำไม”
“งี่เง่าน่ะสิ”
ชันษาโกรธ
“มากเกินไปแล้วนะบี บีไม่ใช่เด็กๆ แล้ว พูดจาอะไรหัดรักษาน้ำใจคนอื่นมั่ง”
“บีไม่รักษาน้ำใจกับไอ้ขี้เมาหรอก บีไม่ชอบ” สไบนางผลักอกชันษา “กลับบ้านไปเลยไป”
ชันษาด้วยความเมา ผลักสไบนางคืนไปด้วยอารมณ์โกรธ จนสไบนางล้มลงไปทับกระถางต้นพวงชูหักบี้ไปเลย...สไบนางจ้องหน้าชันษาสีหน้าผิดหวังปนโกรธมาก ทันใดนั้นเสียงอาทิตย์ดังขึ้น
“บู้บี้”
ชันษารีบมุดรั้วกลับบ้านไป อาทิตย์วิ่งเข้ามาประคองสไบนาง
“หกล้มเหรอ เจ็บรึเปล่า”
สไบนางน้ำตาคลอๆ ผิดหวังชันษามาก ไม่ตอบอะไรวิ่งกลับออกไปทันที อาทิตย์มองตามงงๆ เดินไปตั้งกระถางจัดทรงต้นไม้ไป
อีกด้านของกำแพง...ชันษานั่งกับพื้น หลังพิงกำแพง ตาแดงก่ำอย่างเจ็บช้ำ คว้าขวดเหล้าที่วางข้างรั้วขึ้นมาดื่ม ซึ่งตรงที่เขานั่งมีขวดหล้า ขวดเบียร์เปล่า ทิ้งกระจัดกระจายอยู่ที่พื้นหลายต่อหลายขวด ชันษาปาขวดเหล้าที่หมดเกลี้ยงกระแทกต้นไม้จนแตกละเอียด ด้วยความเจ็บช้ำจนคลั่งแค้น
คุณหญิงรุจา พาบารมีไปคุยกันที่ห้องพระ บารมีก้มกราบลงที่ตักคุณหญิงรุจา
“ขอบพระคุณคุณน้ามากนะครับที่กรุณาผมมาตลอด”
คุณหญิงรุจาน้ำตาคลอๆ ขึ้นมา
“น้ารู้ตัวว่าเป็นฝ่ายผิด ทรมานเหลือเกินพ่อมี”
บารมีขยับตัวขึ้นนั่งตรง คุณหญิงรุจาหันมองหน้าบารมี
“ถ้าทุกสิ่งที่น้าทำมาแล้วเป็นความดีพอจะชะล้างอะไรๆ ได้บ้าง น้าก็อยากจะขอแลก”
บารมีหน้าเคร่งขรึม
“ทศวรรษรู้ความจริงทุกอย่างแล้วใช่มั้ยครับ”
คุณหญิงรุจาพยักหน้ารับ
“ทศเป็นคนดี เขาลอกเลียนทุกอย่างที่ดีของพ่อมีมาจนหมด”
บารมียิ้มปลื้มใจ
“น้าเขียนจดหมายบอกเขาก่อนเพื่อไม่ให้ตกใจจนเกินไป หลังจากนั้นก็โทรคุยกัน ทศเข้าใจทุกอย่าง เป็นคนยอมรับและไม่ถือเป็นความผิดของใคร”คุณหญิงรุจามองหน้าบารมี “น้าขอคืนลูกชายให้พ่อมีนะ”
บารมีหน้าเศร้าๆ
“ที่ผ่านมาขัตติยาคงเจ็บปวดมากสิครับ”
คุณหญิงรุจาถอนใจยาวออกมาหน้าเคร่งเครียด เมื่อย้อนนึกถึงขัตติยา
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตนั้น...
ขัตติยานุ่งกระโจมอก นั่งอยู่ริมน้ำที่ท่า วักน้ำมาลูบไล้ตัวไปมา ประมุขกลับจากทำงานเดินมาทางท่าน้ำ เห็นเข้าพอดี เดินเข้ามาเมียงมอง ขัตติยาเหลือบตาเห็นแสร้งทำท่าทีตกใจ
“อุ๊ย คุณมุข”ขัตติยาทำตกใจรีบเลื่อนตัวลงขั้นบันไดไปแช่น้ำ
ประมุขยิ้มกรุ้มกริ่มให้ ขัตติยาทำเขินอายใส่จริต แต่ไม่วายชะม้ายชายตาทอดสะพานให้อยู่ในที
เข้าวันใหม่...
สาวใช้เปิดประตูห้องนอนประมุขเข้ามาทำความสะอาด ร้องลั่นด้วยความตกใจ รีบวิ่งแน่บ
ออกมา ประมุขและขัตติยานอนอยู่บนเตียงต่างตกใจ รีบลุก จัดสวมเสื้อผ้าอย่างเร็ว
“เมื่อคืนเธอไม่ได้ล็อกห้องเหรอะ”
“คุณมุขเป็นคนล็อกนี่คะ”ขัตติยาตอบไปอย่างนั้น แม้ว่าจริงๆแล้วเธอจะตั้งใจที่จะไม่ล็อกประตู
คุณหญิงรุจาเดินมาหยุดหน้าประตูห้องที่เปิดอ้าซ่า พูดเสียงดุ โกรธมาก
“นี่มันอะไรกัน”
ประมุขและขัตติยาตกใจ เมื่อคุณหญิงรุจารู้ว่าทั้งคู่มีความสัมพันธ์กัน...
+ + + + + + + + + + + +
สายวันหนึ่ง...
ขัตติยานั่งบีบน้ำตา บอกกับประมุขว่าเธอท้อง ประมุขตกใจมาก
“เป็นไปไม่ได้ เรามีอะไรกันแค่ครั้งเดียว เธอจะท้องได้ยังไง”
“ฉันไม่ได้ท้องกับคุณแล้วจะท้องกับใคร”ขัตติยาพูดทั้งน้ำตา
“ก็ไอ้มีผัวเก่าเธอน่ะสิ”
ขัตติยาตบหน้าประมุขจนหน้าหัน แล้วร้องไห้หนักขึ้น กระทั่งเรื่องถึงคุณหญิงรุจา
เย็นนั้น...
ประมุขมาคุยกับคุณหญิงรุจาในห้องนอน บอกให้รู้อย่างมั่นใจว่าเขาไม่ได้ทำให้ขัตติยาท้อง...
“เด็กไม่มีทางเป็นลูกของผม ผมรู้ตัวดีครับคุณแม่ วันนั้นผมก็ป้องกันตัวเองอย่างดี เด็กเป็นลูกติดท้องของไอ้มีมัน”ประมุขยืนกราน
“พอเถอะมุข”
“พอไม่ได้หรอกครับ แม่จะให้ผมรับกากเดนต่อจากมันเหรอครับ ผมไม่ยอมเด็ดขาด ผมไม่ได้รักขัตติยา”
คุณหญิงรุจาหน้านิ่ง
“รักหรือไม่ ไม่สำคัญแล้ว...คนเขารู้กันทั่วคุ้งน้ำว่าแกคบกันฉันท์ชู้สาว”
“ผมก็ไม่เข้าใจ ว่าใครมันปากมาก น่าจะไล่ออกทั้งบ้าน”ประมุขหงุดหงิด
“ป่วยการ...แม่อยากให้มุขรับผิดชอบขัตติยา”
ประมุขตกใจ
“ด้วยวิธีอะไรครับ แม่จะให้ผมแต่งงานกับเขาเหรอ ไม่มีทางหรอกครับ คุณหญิงรุจาหน้านิ่งเชิ่ด”
“ผมจะบอกให้คุณแม่รับทราบเอาไว้ ผู้หญิงคนนี้วางแผนจับผม เพื่อให้รับผิดชอบลูกติดท้องมา เพราะเธอไม่อยากขึ้นชื่อว่า ท้องไม่มีพ่อ”
คุณหญิงรุจาโกรธตวาดเสียงดัง
“หยุดได้แล้วประมุข...”
ประมุขชะงักไป คุณหญิงรุจาน้ำเสียงเด็ดขาด
“นี่คือคำสั่งของแม่ แกต้องอยู่กินกับขัตติยา ฉันท์สามีภรรยา ไม่ต้องจัดพิธีการอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องมีภาระผูกพันกันทางกฎหมาย คิดซะว่าเป็นกรรมเก่าของแกที่ต้องรับผิดชอบต่อชีวิตเด็กที่จะเกิดมาก็แล้วกัน”
ประมุขหงุดหงิด กระฟัดกระเฟียดเดินปึงปังออกไปจากห้อง คุณหญิงรุจาหน้าเครียดขรึมเดินมาทรุดตัวนั่งลงที่เตียง
ขัตติยาออกมาจากที่ซ่อนมุมห้อง น้ำตาท่วมเดินมาพับเพียบข้างๆก้มกราบเท้า คุณหญิงรุจามองขัตติยาด้วยสายตาสงสาร มีเมตตา
“ฉันรับปากบารมีเอาไว้แล้วว่า จะช่วยดูแลเธอ และน้องสาวของเขาอย่างดีที่สุด ฉันไม่ยอมผิดคำพูดหรอก”
ขัตติยาเงยหน้าขึ้นมองคุณหญิงรุจา สายตาซึ้งใจ น้ำตาร่วง
“ถ้าเธอนับถือฉันเหมือนญาติผู้ใหญ่ของเธอคนหนึ่ง ขอให้เล่าความจริงทั้งหมดให้ฉันฟัง”
ขัตติยาซึ้งใจ จึงเล่าทุกอย่าง อย่างไม่ปิดบัง
+ + + + + + + + + + + +
หลายเดือนต่อมา...
ค่ำวันหนึ่ง ขัตติตาท้องแก่นอนคว่ำตะแคงอยู่กลางโถงบ้านสวน มีน้ำคร่ำเปียกนองรอบๆ คุณหญิงรุจาและสาวใช้เดินออกมาจากด้านใน เห็นภาพตรงหน้า ตกใจมาก
“ตายแล้ว”คุณหญิงรุจาเข้าไปประคอง “เป็นอะไรลูก...”คุณหญิงรุจาหันไปสั่งคนรับใช้ “ไปตามนายแก้วมาช่วยฉันเร็วเข้า...”
คนรับใช้รีบวิ่งออกไป คุณหญิงรุจาร้อนใจ กระวนกระวาย
“อดทนเอาไว้ก่อน อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะ”
คุณหญิงรุจากับลุงแก้วช่วยกันพาขัตติยาไปส่งที่โรงพยาบาล
คุณหญิงรุจานั่งหน้าเศร้าปนเครียด อยู่ที่มุมหนึ่งของโรงพยาบาล ประมุขหน้าเสียใจเดินเข้ามาหา คุณหญิงรุจาเงยหน้ามองลูกชาย น้ำตาคลอๆ
“หมอยื้อชีวิตขัตติยาเอาไว้ไม่ได้”
ประมุขหน้าเศร้าๆ
“เขาไปสบายแล้วล่ะครับ เธออยู่ก็เหมือนตายทั้งเป็นมานานแล้ว”
คุณหญิงรุจาเศร้าสลด
“เห็นหน้าลูกชายรึยัง”
ประมุขไม่ยอมรับ
“เขาไม่ใช่...”
คุณหญิงรุจาพูดสวนเสียงแข็ง
“ใช่ เพื่อเห็นแก่วิญญาณของขัตติยา รับเด็กคนนี้ เป็นลูกนะประมุข”
ประมุขกลัวและเกรงแม่ เงียบไป
“คิดซะว่าทำบุญกับเด็กตาดำๆ ที่ไม่รู้เห็นอะไรด้วยเลยซักครั้งเถอะ ผลบุญครั้งนี้คงช่วยผ่อนกรรมของแกจากหนักให้เป็นเบาขึ้นได้บ้าง”
“แม่อยากจะเลี้ยงลูกเสือลูกตะเข้ไว้ในบ้านก็ตามใจ แต่ผมขอบอกไว้ก่อน ผมยอมรับเป็นพ่อแต่ในนามเท่านั้น อย่ามาเรียกร้องอะไรมากกว่านี้”
ประมุขเดินฉับๆ นำออกไปหน้าเคร่งเครียด คุณหญิงรุจาหน้าเครียดหนักใจไปทันที
+ + + + + + + + + + + +
บารมีและคุณหญิงรุจาต่างไม่สบายใจ เมื่อร่วมรำลึกเรื่องราวในอดีต
“ทศพูดถึงผมว่ายังไงมั่งครับ”
“ทศเป็นผู้ใหญ่ มีเหตุผลพอตัว แม้เขาจะไม่พูดอะไรเลยแต่เขาก็ไม่ปฏิเสธพ่อมี ใจเย็นเถอะ อีกไม่นานพ่อทศก็กลับมาแล้ว วันนั้นเราคงรู้กัน”
“ทรมานใจมากนะครับคุณน้า การรอคอยที่เราคาดการณ์อะไรไม่ได้เลย”
“ใช่...”คุณหญิงรุจาตอบด้วยสีหน้าเยือกเย็น “เป็นช่วงทรมานอันยาวนาน...นานเหลือเกินพ่อมี น้าอยู่เพื่อวันนี้แท้ๆ วันชะล้างกรรม”คุณหญิงรุจามองหน้าบารมี “ถึงเวลาแล้วใช่มั้ยพ่อมี”
บารมีอึ้งไป
“คุณน้า”
คุณหญิงรุจาถอนใจ ตัดบท
“ออกไปข้างนอกกันเถอะ”
คุณหญิงรุจาลุกเดินนำออกไป บารมีมองตามคุณหญิงรุจาออกไปก่อนหันมองไปทางหิ้งพระ บารมีรู้สึกว้าวุ่นใจอยู่เหมือนกัน ได้แต่ก้มกราบพระไปเงียบๆ
+ + + + + + + + + + + + +
หลายวันต่อมา...
สไบนางในชุดนักศึกษา เดินมาส่องกระจกของห้องนอนตน บังอรเดินยิ้มแย้มเข้ามาหา
“แม่นกหงส์หยก ส่องกระจกอยู่นั่นแหละ”บังอรกระเซ้า
สไบนางยิ้มแย้ม
“ในที่สุดบีก็ได้เป็นนักศึกษากับเขาแล้วนะคะคุณบังอร”
บังอรยิ้มปลื้ม
“ค่ะ...ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น...แล้วนี่เค้าให้แต่งชุดนักศึกษาไปเรียนได้แล้วเหรอคะ”
“ไม่รู้สิคะ บีอยากใส่ เดี๋ยวไม่มีโอกาส”
“ดูพูดเข้าสิ ไม่มีโอกาสได้ยังไงคะ ต้องเรียนอีกตั้ง 4 ปี กลัวจะเบื่อซะด้วยซ้ำ”
สไบนางยกมือไหว้
“สมพรปากเถอะค่ะคุณบังอร บีกลัวโดนรีไทร์ตั้งแต่ปี 1”
บังอรขำๆ
“ดูพูดแต่ละเรื่อง เป็นมงคลกับตัวเองทั้งนั้นเลย...ไปค่ะ ออกไปทานข้าวได้แล้ว”
บังอรเดินนำออกไป สไบนางยิ้มแย้มแจ่มใสหันส่องกระจกมองดูตัวเองอีกครั้งอย่างภาคภูมิใจ
(อ่านต่อวันพรุ่งนี้)