ติดตามอ่านได้ทาง www.manager.co.th ทุกวัน เวลา 9.30 น.
ตอนที่ 4
ทุกคนมุงดูศพขโมยที่ถูกยิงตายลอยมาเกยหาด เมียคนตายร่ำไห้กอดศพ เคี่ยม สหัส แท่น ยืนดูอย่างสลดใจ เพราะศพนี้ถูกธานียิงตายต่อหน้าต่อตาพวกเขา สหัสกระซิบเคี่ยม
“กระแสน้ำไม่น่าพัดศพเข้าฝั่งนะครับนาย มันถูกคุณธานียิงตอนเรือลอยลำอยู่ทะเลนอกโน่นแท้ๆ”
“วิญญาณมันคงอยากกลับมาบ้าน”เคี่ยมบอก
แท่นมองศพอย่างไม่สบายใจ
“ไปสู่สุขคติเถอะนะ...แล้วจะทำบุญไปให้”
ไม่มีใครได้ยินพวกเคี่ยมพูด นาวิศแหวกกลุ่มคนเข้ามาดูด้วย นาวิศเห็นศพถึงกับอึ้ง ทับทิมกับเดื่ออยู่ไม่ห่างจากนาวิศ ทับทิมหันมาเห็นนาวิศ
“อ้าว พร้าวมาดูด้วยเหรอ”
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ไอ้หมอนี่เป็นคนเรือท่าเรือเรา สงสัยแอบไปมีเอี่ยวกับแก๊งน้ำมันเถื่อนเลยถูกยิงตาย”
นาวิศชักสนใจขึ้นมา
“ทะเลแถบนี้มีการค้าน้ำมันเถื่อนด้วยเหรอ”
“มีมานานแล้ว... เยอะขึ้นทุกวันด้วย เพราะยุคนี้น้ำมันแพง”เดื่อเล่า
นาวิศเหลือบมองไป เห็นตำรวจเดินมาหาเคี่ยม...
“มีพยานบอกว่าคนตายเป็นคนงานนายเคี่ยม นายเคี่ยมพอจะรู้เบาะแสอะไรมั่งไหม”
ตำรวจถาม นาวิศแอบมองจับพิรุธ เคี่ยมส่ายหน้า
“ไม่รู้ครับ คนงานผมเยอะ ไม่รู้ใครไปทำอะไรบ้าง”
“แต่มีคนบอกว่าเห็นเขาออกเรือ กับนายเคี่ยมเมื่อสองวันก่อน”
“มันคงออกเรือลำอื่น ไม่ได้ไปกับผมหรอก”เคี่ยมพูดอย่างไม่มีพิรุจแม้แต่น้อย
“งั้นก็คงเข้าใจผิดกัน...แต่ยังไงผมต้องขอเชิญนายเคี่ยมช่วยไปให้ปากคำที่โรงพักด้วยนะ”
เคี่ยมพยักหน้า รับคำกับตำรวจ นาวิศมองเคี่ยม สงสัยว่าเคี่ยมอาจมีส่วนกับการค้าน้ำมันเถื่อน
‘…หรือว่านายเคี่ยมจะเกี่ยวข้องกับพวกค้าน้ำมันเถื่อน... มันจะฆ่าปิดปากเราเพราะเรื่องนี้แน่ๆ...’
นาวิศมองเคี่ยมอย่างโมโห โกรธที่เคี่ยมจะฆ่าตนเพราะเหตุนี้
+ + + + + + + + + + + +
เย็นวันเดียวกันปาหนันกำลังนั่งปะเสื้อให้เคี่ยม ส่วนเจ่งกวาดลานบ้านอยู่ ครู่หนึ่งนาวิศเดินเข้ามา ปาหนันเงยหน้ามาเห็นนาวิศกำลังเดินมา ปาหนันพูดเบาๆกับตัวเอง...
“มาแล้วเหรอ... ปล่อยให้คิดถึงอยู่ครึ่งค่อนวัน”
เจ่งได้ยิน หันมองตาม เห็นพร้าวเดินมาก็นึกไม่ชอบใจ พูดกันท่า...
“เอ็งทำงานท่าเรือไม่ใช่เหรอไอ้พร้าว มาโผล่อะไรที่นี่!?”
“ท่าเรือมีเรื่องยุ่งนิดหน่อยครับ นายเคี่ยมเลยให้ผมกลับก่อน”
“เอ็งก็กลับบ้านสวนไปสิ!”
นาวิศยิ้มเจื่อน ปาหนันต่อว่าเจ่งยิ้มๆ
“ยายเจ่งก็... จะดุพร้าวทำไมนะ พร้าวมาคุยกับหนัน ไม่เห็นรบกวนยายเจ่งตรงไหน”
“ไม่รบกวนหรอกค่ะ แต่มันรำคาญลูกตา”
เจ่งค้อนนาวิศ แล้วสะบัดหน้ากลับไปก้มโกยใบไม้ แต่ผิดท่า
“โอ๊ย...หลัง... หลังยอก...”
นาวิศรีบเอาใจเจ่ง
“ผมโกยให้ครับ”
นาวิศใช้ไม้กวาดกับที่ตักขยะโกยใบไม้ไปทิ้งใส่เข่ง ทำใบไม้ร่วงตลอดทาง
“เอ้า ใบไม้เกลื่อนหมด เพิ่งกวาดไปหยกๆ”
“เดี๋ยวผมกวาดให้ใหม่ครับ”
นาวิศเก้ๆกังๆ กวาดไม่เป็น กวาดไปทางสองทาง ใบไม้กระจายไปทั่ว ปาหนันหัวเราะขำ
“ท่าทางพร้าวไม่เคยจับไม้กวาดเลยนะ”
เจ่งคว้าไม้กวาดคืน
“เอ็งกวาดไม่เป็นก็เอามานี่เลย... ยิ่งช่วยยิ่งช้า ทำให้ข้าเสียเวลาไปด้วย”
จ่งหันไปกวาดลานบ้านใหม่ นาวิศหันมายิ้มให้ปาหนันเจื่อนๆ ปาหนันส่ายหน้าว่าไม่เป็นไร พร้อมกับยิ้มให้กำลังใจ
“จริงสิพร้าว... แล้วที่ว่าท่าเรือมีเรื่องยุ่งน่ะ เรื่องอะไรเหรอ?”
นาวิศเล่าให้ฟัง ขณะที่ปาหนันเดินนำนาวิศเข้ามาในบ้าน วางเสื้อเคี่ยมไว้ที่โต๊ะ แล้วไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำดื่มให้นาวิศ”
“หนันได้ยินจนเบื่อแล้วล่ะ เรื่องศพพวกค้าน้ำมันเถื่อนลอยมาเกยตื้นน่ะ... คนพวกนี้รู้ทั้งรู้ว่าต้องเอาชีวิตไปแลก แต่ก็ยังทำอยู่ได้”
“ค่าตอบแทนมันล่อตาล่อใจมากไงครับ เลยทำให้คนยอมเสี่ยง”
ปาหนันนำแก้วน้ำมายื่นให้นาวิศ แล้วไปนั่งเย็บเสื้อเคี่ยมต่อ
“เอาชีวิตไปทิ้ง เงินได้มาก็ไม่มีโอกาสใช้ มีประโยชน์อะไร”
นาวิศหลอกถามปาหนัน...
“แล้วคุณหนันรู้ไหมครับ ว่าแถวนี้ใครกล้าค้าน้ำมันเถื่อนบ้าง... ผมว่าต้องเป็นพวกมีอิทธิพลพอสมควร”
“แถวนี้พ่อหนันใหญ่สุด แต่รับรองว่าพ่อไม่เคยทำเรื่องอย่างนั้น”
“แต่วันนี้ผมเห็นตำรวจมาสอบปากคำนายเคี่ยม เหมือนตำรวจเขาสงสัยอะไรอยู่นะครับ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกพร้าว ตำรวจเขาไม่สงสัยพ่อหรอก พ่อหนันชื่อเสียงดี ใครๆก็นับถือ พร้าวก็ดูสิ พวกค้าน้ำมันเถื่อนต้องมีเงินมากใช่ไหม... แต่บ้านหนันไม่ได้ร่ำรวยอะไร พ่อหนันก็ออกจะสมถะ ขนาดเสื้อขาดแล้วขาดอีกยังไม่ยอมทิ้งเลย นี่ไง”
ปาหนันชูเสื้อเคี่ยมในมือให้ดู นาวิศมองเสื้อ สีหน้าเย็นชาเมื่อคิดถึงเคี่ยม
“แต่บางทีคนเราก็แกล้งทำเป็นสมถะ เพื่อตบตาคนอื่นได้เหมือนกันนะครับ”
ปาหนันชะงัก
“นี่พร้าวกำลังว่าพ่อหนันเหรอ?”
“ผมแค่พูดตามความจริง”
ปาหนันไม่พอใจ
“วันนี้พร้าวพูดแย่มาก ถ้าพร้าวพูดถึงพ่อหหนันแบบนี้อีก หนันจะไม่คุยกับพร้าวอีกเลย”
ปาหนันวางเสื้อเคี่ยมลงแล้วลุกขึ้น เดินหนี นาวิศมองตาม ลังเลใจ นึกห่วงความรู้สึกปาหนัน อีกใจก็โกรธเคี่ยม... แต่สุดท้ายนาวิศตัดสินใจลุกตามไปดึงแขนปาหนันไว้
“เดี๋ยวครับ คุณหนัน...”
ปาหนันเสียหลักเซกลับมา นาวิศรวบตัวปาหนันไว้ ทั้งสองล้มกลิ้งไปด้วยกัน ปาหนันกับนาวิศหน้าอยู่ใกล้กัน มองตากันอึ้งไป นาวิศรู้สึกตัวรีบผละออกมา ปาหนันเขินอาย
“ขอโทษครับ”
ปาหนันเขิน
“เรื่องอะไร...”
“ขอโทษที่ผมทำให้คุณหนันล้ม แล้วก็ขอโทษที่พูดถึงพ่อคุณหนันแบบนั้น ยกโทษให้ผมได้ไหมครับ”
“หนันยกโทษให้พร้าวก็ได้ แต่พร้าวต้องสัญญาว่าจะไม่พูดถึงพ่อหนันในแง่ร้ายอีก”
“ครับ ผมสัญญา”
“สัญญาปากเปล่าไม่ได้”ปาหนันยื่นนิ้วก้อยไป “ต้องเกี่ยวก้อยสัญญา”
นาวิศยิ้ม ยื่นมือไปเกี่ยวก้อยปาหนัน
“สัญญาครับ...”
ทั้งสองยิ้มให้กัน
+ + + + + + + + + + + +
เคี่ยมกับสหัสเดินออกมาจากโรงพัก ขณะเดียวกันนั้นเสียงมือถือเคี่ยมดังขึ้น เคี่ยมหยิบมาดูหนักใจ ก่อนจะกดรับสาย
“ครับคุณธานี...”
“ทุกอย่างเรียบร้อยไหม”
“ครับ... ตำรวจไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร ขอบคุณมากครับที่ช่วยโทรมาเคลียร์ให้”
“ไม่ต้องขอบคุณ เพราะฉันมีงานจะให้นายเคี่ยมทำอีก นัดส่งน้ำมันครั้งต่อไป ประมาณต้นเดือนหน้า”
เคี่ยมเครียดไปจำใจรับคำ
“ครับ”
“อย่าเพิ่งวาง”
เคี่ยมแปลกใจว่าธานีมีเรื่องอะไรอีก
“ศพที่ฉันยิงกลางทะเล มันลอยเข้าฝั่งได้...แล้วศพนาวิศที่แกบอกว่าโยนทิ้งลงทะเล ทำไมมันไม่เข้าฝั่ง”
ที่บ้านธานี ประตูห้องทำงานแง้มอยู่ ระรินจะเคาะ ได้ยินอย่างนั้นถึงกับชะงักหน้าซีด นิ่งอึ้งไป
“ตกลงว่าแกโยนศพไอ้นาวิศทิ้งลงทะเลจริงรึเปล่า รู้ใช่ไหมว่าถ้าโกหกฉันแล้วจะเจออะไร”ธานีตวาดถามเสียงดัง
“ผมไม่รู้หรอกครับ ว่าศพไหนจะลอยเข้าฝั่ง แล้วศพไหนจะลอยออกนอกอ่าว แล้วผมก็ไม่รู้จะทำให้คุณธานีเชื่อได้ยังไงว่านาวิศตายแล้ว”เคี่ยมตอบกลับไป
“ตราบใดที่ไม่มีศพนาวิศ ฉันไม่มีทางวางใจ...แกก็รู้นะนายเคี่ยม ว่าฉันไม่โง่...ถ้าจับได้ว่าแกปิดบังอะไรอยู่ แกกับลูกสาวแกเจอดีแน่”ธานีวางสาย
เคี่ยมวางสาย หน้าเครียดหนักใจ
“เรื่องนาวิศอีกแล้วเหรอครับนาย”สหัสเสียงเครียด
เคี่ยมพยักหน้า
“ช่างเถอะ ถึงยังไงเราก็ต้องปิดเรื่องที่นาวิศยังมีชีวิตอยู่ไว้ให้นานที่สุด”
เคี่ยมบอกอย่างตัดสินใจ เพราะมาถึงขนาดนี้แล้ว ต้องทำอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีก
ทางด้านระรินผลักประตูห้องเข้ามา ธานีมองงงๆ
“จะเข้ามาทำไมไม่เคาะประตู”
“คุณให้นายเคี่ยมฆ่าคุณนาวิศเหรอคะ”
ธานีชะงักไป
“คุณคิดจะรวบสมบัติหลานชายตัวเอง ถึงขนาดฆ่าเขา คุณมันเลวจริงๆ”
“ใช่...ไอ้นาวิศมันตายไปแล้ว ใจสลายเลยสิ หลานชายสุดที่รักกลายเป็นศพไปแล้ว เธอไม่มีโอกาสจะได้มันเป็นผัว”
“หยาบคายที่สุด คุณมันมีแต่ความคิดชั่วๆ”
ธานียิ้มเหยียด
“พูดความจริงเข้าหน่อยทำเป็นรับไม่ได้”
“ศพคุณนาวิศอยู่ที่ไหน อย่างน้อยให้รินได้ทำพิธีศพให้เขา”
“ฉันก็อยากได้ศพมันเหมือนกัน แต่มันกลายเป็นผีไปอยู่ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้ เลิกมาถามเซ้าวี๊กวนใจฉันได้แล้ว ออกไป”
ระรินน้ำตาริน วิ่งออกไป
+ + + + + + + + + + + +
วันต่อมา..ที่บริษัทเทพสุทธิพงศ์สำนักงานใหญ่ในกรุงเทพ ธานีเดินมาจะเปิดประตู เหลือบมองป้ายประธานบริษัทแล้วยิ้มเหยียดก่อนเปิดประตูจะเข้าห้อง พอดีทนายวิรัชเดินเข้ามา
“สวัสดีครับ คุณธานี”
ธานีหันไปมอง
“มาพอดี... ทำหนังสือมอบอำนาจมาแล้วใช่ไหมวิรัช”
วิรัชไม่ตอบอะไร มีท่าทีหนักใจ ธานีเริ่มนิ่วหน้า
“ว่ายังไง...ที่ผมให้คุณทำเรื่องโอนอำนาจประธานบริษัทมาให้ผมน่ะ คุณดำเนินการถึงไหนแล้ว”
วิรัชบอกกับธานีว่าไม่สามารถทำให้ ธานีเป็นประธานบริษัทได้ ธานีโมโหตบโต๊ะปัง
“อะไรนะ ผมยังเป็นประธานบริษัทเครือเทพสุทธิพงศ์ไม่ได้...ทำไม...ก็ในเมื่อนาวิศมันหายตัวไปไร้ร่องรอยอย่างนี้ ผมก็ต้องเป็นผู้มีอำนาจคนต่อไปสิ”
วิรัชหน้าเครียด...
“จะทำอย่างนั้นได้ คุณธานีต้องร้องต่อศาลให้คุณนาวิศเป็นคนสาบสูญ แต่นั่นหมายความว่าคุณนาวิศต้องหายไปโดยไม่สามารถติดต่อหรือตามตัวได้ 5 ปีติดต่อกัน”
“อะไรนะ 5 ปี ถ้านาวิศตายไปแล้วผมไม่ต้องเสียเวลารอเปล่าๆเหรอ”
“ทำไมคุณธานีถึงบอกว่าคุณนาวิศแกตายไปแล้วล่ะครับ”
ธานีชะงักไปนิดรีบกลบเกลื่อน
“ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้น รู้แต่ว่าเทพสุทธิพงศ์ต้องมีคนสานงานต่อ ไม่ใช่มานั่งรอนาวิศอย่างไร้จุดหมายแบบนี้ คุณต้องหาช่องทาง ทำวิธีไหนก็ได้ โอนอำนาจมาให้ผมโดยเร็วที่สุด”
ธานีจ้องวิรัชอย่างเกรี้ยวกราด
+ + + + + + + + + + + +
วิรัชรู้สึกว่าการหายตัวไปของนาวิศไม่ชอบมาพากล จึงมาปรึกษากับระรินที่บ้าน ระรินรีบบอก...
“อย่าเพิ่งทำตามที่คุณธานีสั่งนะคุณวิรัช...ถ่วงเวลาไว้ก่อน รินจะรีบตามหาคุณนาวิศให้เจอ ถึงแม้ว่าคุณนาวิศจะกลายเป็นศพ รินก็จะให้ตำรวจพิสูจน์ศพแล้วเอาตัวคนร้ายมาลงโทษ...ใครทำกับคุณนาวิศ มันคนนั้นต้องรับผิดชอบ”
“แล้วคุณระรินจะสืบเรื่องนี้ยังไงครับ”
“ระรินคิดเตรียมการไว้แล้ว”
ระรินคิดไปถึงรสาน้องสาวของเธอ ที่เธอตั้งใจจะให้ช่วยเรื่องนี้...
รสานั้น ทำงานในแผนกเคาน์เตอร์เครื่องสำอาง ในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในโคราช ในช่วงเวลานั้น เธอกำลังนั่งปัดมาสคาร่าอยู่หน้ากระจก ลูกค้าเดินเข้ามาดูที่เคาน์เตอร์
“ขอดูแป้งแบบผสมรองพื้นหน่อยจ้ะ”
รสาผละออกมาจากกระจก ทำหน้าเบื่อๆ วางมาสคาร่าแล้วชี้แป้งทดลองที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์
“แบบนี้มีรองพื้น แบบนี้ไม่มี”
ลูกค้าแตะแป้ง ลองทาที่มือ รสาจะหันไปปัดมาสคาร่าต่อ ทันใดนั้นเสียงมือถือดังขึ้น รสารับสาย
“ฮัลโหล ใครน่ะ”
ระรินแอบคุยโทรศัพท์อยู่มุมหนึ่งของบ้าน สายตาคอยไปด้วยว่าจะมีใครเห็นหรือเปล่า
“รสา นี่พี่รินเองนะ...พี่มีงานอยากให้รสาทำ มาหาพี่ที่กรุงเทพด่วนเลย”
“งานอะไร เงินดีรึเปล่า แล้วค่าเดินทางจากโคราชไปกรุงเทพล่ะ จะออกให้ด้วยไหม”
“พี่มีค่าตอบแทนที่รสาต้องพอใจ”
รสาชักสนใจ
“ค่าตอบแทนที่รสาจะต้องพอใจงั้นเหรอ... เท่าไหร่ล่ะ”
“แสนนึงพอไหม...แล้วรีบมาหาพี่ให้เร็วที่สุดนะ”
รสาชะงักค้าง ตาโต กดวางสายแล้วรำพึง
“แสนนึง...”รสายิ้มฝัน
ลูกค้าเลือกของได้พอดี
“เอาสีนี้จ้ะ”
“รอพนักงานคนอื่นแล้วกัน ฉันลาออกแล้ว”
รสาลุกออกจากเคาน์เตอร์ไปเลย
+ + + + + + + + + + + +
ค่ำคืนนั้น...นาวิศแอบเข้ามาที่ท่าเรือด้อมๆมองๆที่จอดเรือ
“นายเคี่ยมแอบใช้เรือของเราค้าน้ำมันเถื่อนแน่ จะต้องสืบเรื่องนี้ให้ได้”
นาวิศเดินมาเห็นยามเฝ้าอยู่ใกล้เรือเทพสุทธิพงศ์3 นาวิศรีบหลบมุม แอบดู
“ถึงกับต้องมียามเฝ้าเป็นพิเศษ...ต้องเป็นลำนี้แน่...”
นาวิศแอบออกมาที่สะพาน ลงน้ำเงียบๆแล้วว่ายไปทาง ด้านหนึ่งของเรือ แอบมองไปที่ยามซึ่งเฝ้าอยู่ด้านบนสองคน จึงรอจังหวะปีนขึ้น นาวิศปีนขึ้นมาบนเรือได้ แอบหลบให้พ้นสายตายามทั้งสอง แล้วหาทางลงไปใต้เรือ ขณะที่ย่องลงไปใต้ท้องเรือ เขามองสำรวจดู ครู่หนึ่งจึงสังเกตเห็นหยดน้ำมันบนฟื้น นาวิศเดินไปใกล้ ใช้นิ้วแตะขึ้นมามองและดมดู
“กลิ่นน้ำมัน...”
แต่แล้วมีเท้าคู่หนึ่งก้าวเข้ามาหยุดตรงหน้า นาวิศเงยหน้ามองด้วยความตกใจ เจ้าของเท้าคู่นั้นคือสหัส สหัสฟาดแข้งใส่ที่ก้านคอนาวิศ ถึงกับสลบเหมือดไปทันที
นาวิศโดนจับมัดอยู่ หน้าตามีรอยช้ำ สหัสเอาน้ำสาด นาวิศรู้สึกตัวขึ้นมา
“จะพูดได้รึยัง ว่าเข้ามาในนี้ทำไม”
“ผมบอกไปแล้ว ว่าอยากทำงาน”
สหัสต่อยนาวิศ
“แล้วทำไมต้องแอบมาขึ้นเรือลำนี้”
“ผมไม่รู้ มันก็แค่เรือลำนึงไม่ใช่เหรอ”
สหัสจะต่อยนาวิศอีก มีมือหนึ่งเข้ามาดึงมือสหัสไว้ เป็นเคี่ยมนั่นเอง
“พอแล้ว เดี๋ยวเขาจะตายซะก่อน”เคี่ยมหันไปที่นาวิศ “ข้ออ้างเรื่องงานมันฟังไม่ขึ้นหรอก เพราะสิ่งที่นายทำคือการแอบขึ้นมาบนเรือฉันยามวิกาล...นายสงสัยอะไร กำลังสืบอะไรอยู่”
นาวิศหน้าเครียด พูดไม่ออก
“หรือว่าความจำนายกลับคืนมาแล้ว”
“ความจำผม...มันเกี่ยวอะไรกับที่ผมขึ้นมาบนเรือลำนี้”
สหัสหยิบปืนออกมาเล็งไปที่นาวิศ
“ผมว่าไม่ต้องฟังคำแก้ตัวของมันแล้ว จบเรื่องนี้เลยดีกว่า”
นาวิศตกใจ เคี่ยมเข้ามากดปากกระบอกปืนลง
“ไม่จำเป็นต้องฆ่าเขา”เคี่ยมหันไปหานาวิศ “ความอยากรู้อยากเห็นทำให้คนตายมานักต่อนักแล้ว หวังว่ามันคงไม่เกิดขึ้นกับนาย...ถ้ายังรักชีวิต พยายามอยู่เฉยๆจะดีที่สุด”
นาวิศมองเคี่ยมอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็มีอารมณ์เจ็บแค้นใจอยู่
+ + + + + + + + + + + +
เช้าวันใหม่..ปาหนันกับเจ่งหิ้วปิ่นโตมาที่บ้านสวน ปาหนันเข้ามาเคาะประตูบ้าน
“ปิ่นโตมาส่งแล้วจ้ะ พร้าว...”
ปาหนันรออยู่ครู่หนึ่ง ไม่มีเสียงตอบก็เคาะประตูอีก
“พร้าว...ตื่นรึยังจ๊ะ เปิดประตูหน่อย”
ปาหนันเงี่ยหูฟัง เห็นว่าเงียบไปก็แปลกใจ รีบเคาะอีก
“พร้าว อยู่หรือเปล่า”ปาหนันชักเป็นห่วงหันบอกเจ่ง “หรือว่าสหัสเอาตัวพร้าวไปซ่อนอีก”
พอดีมีเสียงเปิดกลอนจากในบ้าน
“นั่นไง มันมาเปิดแล้ว...ทำตื่นตูมไปได้ คุณหนัน”
ประตูเปิดออกมา ปาหนันยิ้มรับ
“พร้าว...”
ปาหนันต้องตกใจเมื่อนาวิศอยู่ในสภาพที่โดนซ้อม แทบหมดเรี่ยวแรง แล้วฟุบเซออกมา ปาหนันรีบรับตัวไว้ได้ทัน
“พร้าว!”
อ่านต่อหน้าที่ 2
ตอนที่ 4 (ต่อ)
เคี่ยมนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน สหัสกับแท่นเดินเข้ามา สหัสเอาสมุดธนาคารมาให้เคี่ยม
“ของที่เพิ่งปล่อยออกไป ผมเอาเงินเข้าบัญชีคุณธานีเรียบร้อยแล้วครับ”
เคี่ยมรับสมุดธนาคารไปเก็บเข้าล้นชัก แล้วเงยหน้า เห็นปาหนันเปิดประตูเข้ามาอย่างฉุนเฉียว
“ลูกหนัน...”
ปาหนันไม่พูดพร่ำทำเพลง เข้ามาตบหน้าสหัส ทุกคนตกใจ
“ลูกหนัน!”
“พร้าวเขาไปทำอะไรให้ ทำไมถึงต้องไปทำกับเขาอย่างนั้น”
“ลูกหนัน ทำไมต้องทำอย่างนี้ด้วย ค่อยพูดค่อยจากันไม่ได้เหรอ”
“แล้วสหัสเขาค่อยพูดค่อยจากับพร้าวหรือเปล่าล่ะ”
“เรื่องนี้ลูกหนันไม่รู้เรื่อง ไม่ต้องมายุ่ง”
“นี่...หมายความว่าพ่อรู้เรื่องที่สหัสทำกับพร้าวเหรอจ๊ะ พ่อปล่อยให้สหัสทำร้ายพร้าวอย่างนั้นได้ยังไง”
“พ่อบอกแล้วไงว่าลูกหนันไม่ต้องยุ่ง”
“หนันไม่ยุ่งไม่ได้ พร้าวเป็นคนของหนัน หนันต้องปกป้องพร้าวจนถึงที่สุด”
“เชื่อผมเถอะ คุณหนันทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก”สหัสพูดน้ำเสียงจริงจัง
ปาหนัน เข้าไปผลักสหัส
“ทำไม สหัสจะทำอะไรพร้าวอีก”ปาหนันรัวทุบอกสหัส “บอกมานะ สหัสจะทำอะไรพร้าว”
เคี่ยมเข้ามาดึงข้อมือปาหนันไว้
“พอได้แล้วลูกหนัน ที่นี่ไม่ใช่สนามเด็กเล่นที่ลูกหนันจะมาทำตัวเป็นลูกพี่...สิ่งที่สหัสทำ เป็นสิ่งที่พ่ออนุญาตแล้ว เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปลงที่สหัส”
“แล้วพ่อทำอย่างนี้ทำไม...พร้าวเขาทำอะไรให้เหรอจ๊ะ”
เคี่ยมสลด
“วันนึงลูกหนันจะรู้”
ปาหนันคับข้องใจ สะบัดมือวิ่งหนีออกไป เคี่ยมร้องเรียก
“ลูกหนัน...”
ปาหนันวิ่งออกไปไม่ฟังเสียง สหัสมองตามอย่างเจ็บช้ำใจ
+ + + + + + + + + + + +
ปาหนันวิ่งร้องไห้เข้ามาในบ้าน เจ่งนั่งเด็ดผักอยู่ก็ตกใจ
“คุณหนัน... เป็นอะไรไปคะคุณหนัน...”
ปาหนันไม่หยุดตอบ วิ่งร้องไห้ขึ้นบ้านไป เจ่งรีบวางกระจาดผัก จะตามเข้าไป แต่เสียงเคี่ยมเรียกไว้ดังขึ้นที่ด้านหลัง
“เจ่ง...”
เจ่งหันไปมอง เห็นเคี่ยมเดินเข้ามาหยุดยืน หน้าเครียด เคี่ยมตัดสินใจเล่าให้เจ่งฟังว่านาวิศเป็นใคร
“อะไรนะคะ ที่แท้ไอ้พร้าวชื่อนาวิศ เป็นหลานแท้ๆของคุณธานี”เจ่งตกใจมาก
“คุณธานีอยากฮุบสมบัติหลานชาย เลยให้ฉันจัดการเก็บเขาซะ...ฉันเองก็จนใจ ไม่รู้จะทำยังไง”
เจ่งหน้าตื่นอึ้งไป
“ไม่อยากเชื่อเลย... เคยเห็นแต่ในข่าว ไม่คิดว่าจะมาเจอกับคนใกล้ตัวแบบนี้ ทรัพย์สินเงินทองมันไม่เข้าใครออกใครจริงๆ...สายเลือดเดียวกันแท้ๆ”
“ฉันไม่มีทางอื่นที่จะจัดการกับนาวิศ เพราะถ้าเขารู้อะไรมากเท่าไหร่ มันจะยิ่งเป็นอันตรายกับเขามากเท่านั้น... แต่ฉันพูดเรื่องนี้กับลูกหนันไม่ได้”
“คุณหนันยิ่งหลงไอ้พร้าวเอามากๆ ใครแตะนิดแตะหน่อยไม่ได้ซะด้วย”
“ฉันถึงอยากให้เจ่งช่วย ยังไงก็ปรามลูกหนันเอาไว้บ้าง...ฉันไม่อยากให้ลูกต้องเสียใจ แล้วระวัง เจ่งต้องช่วยฉันปิดเรื่องนี้เป็นความลับ ห้ามบอกใครเด็ดขาด โดยเฉพาะลูกหนัน”
“แล้วถ้าคุณนาวิศอะไรนั่นเกิดจำความได้ขึ้นมา ไม่ซวยกันหมดเหรอคะ”
เคี่ยมหน้าเครียด
“ถึงวันนั้นขึ้นมาจริงๆ ฉันคงจำเป็นต้องจัดการกับเขา...”เคี่ยมถอนใจยาว “ได้แต่หวังว่าเขาจะจำอะไรไม่ได้ตลอดไป”
เจ่งมองเคี่ยมอย่างเห็นใจ
+ + + + + + + + + + + +
ปาหนันนั่งร้องไห้อยู่ เจ่งเดินเข้ามา...
“อะไรกันคะคุณหนัน ร้องตั้งนานแล้ว ยังไม่หยุดอีก”
ปาหนันหันมองเจ่ง เจ่งยิ้มให้อย่างอบอุ่น ปาหนันเข้ามากอดเจ่ง
“หนันไม่เคยเห็นพ่อไม่มีเหตุผลอย่างนี้มาก่อนเลย...ทำไมทุกคนถึงต้องเกลียด แล้วก็รุมแกล้งพร้าวด้วย...”
“คุณหนันรู้ได้ยังไงว่านายจงใจแกล้งไอ้พร้าว”
“พ่อโดนสหัสเป่าหูว่าพร้าวไม่ดีน่ะสิ”
“นายเป็นคนหูเบาอย่างนั้นเลยเหรอคะ”
ปาหนันนิ่งไป
“ถ้านายเคี่ยมเป็นคนไม่มีเหตุผล ป่านนี้พวกที่ท่าเรือกับคนงานในสวนมะพร้าวคงเกลียดหน้ากันหมดแล้ว แต่คุณหนันก็รู้ว่าคนงานที่นี่ทุกคนรัก นับถือนายเคี่ยมอย่างกะอะไร...เชื่อยายนะคะ ว่านายเคี่ยมต้องมีเหตุผล ที่ทำกับไอ้พร้าว อย่างนั้น”
“แล้วเหตุผลของพ่อคืออะไร หนันไม่เข้าใจเลย”
“บางอย่างเรายังไม่ต้องเข้าใจ แค่เชื่อใจว่าพ่อคุณหนันไม่ได้คิดร้ายกับไอ้พร้าวก็พอค่ะ”
ปาหนันหนักใจ แต่ไม่ตอบโต้อะไรอีก
ค่ำนั้น ปาหนันมาหานาวิศที่บ้านสวน เธอช่วยทายาที่แผลให้เขา นาวิศมองหน้าปาหนัน เห็นน้ำตารื้นๆ ตาแดงๆ
“คุณหนันร้องไห้เหรอครับ”
“หนันขอโทษนะ ที่พร้าวต้องมาเจอเรื่องแบบนี้”
ปาหนันน้ำตาร่วงเผาะ รีบเบือนหน้าหนี นาวิศประคองหน้าของเธอให้หันมา แล้วบรรจงเช็ดน้ำตาให้
“ไม่ใช่ความผิดคุณหนันซักหน่อย...ผมต่างหาก ต้องขอบคุณคุณหนัน ที่อุตส่าห์หายามาทาให้ คุณหนันดีกับผมจริงๆ”
“หนันอยากปกป้องพร้าว แต่หนันไม่รู้จะทำยังไง ไม่รู้จะช่วยพร้าวยังไงดี”
นาวิศยิ้มให้ปาหนัน
“ผมเป็นผู้ชายนะครับ ถ้าปกป้องตัวเองไม่ได้ ต้องให้ผู้หญิงมาคอยปกป้อง ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว”นาวิศคว้ามือของเธอมากุมไว้ “แค่ผมรู้ว่าคุณหนันเป็นห่วงผม ผมก็ดีใจมากแล้วครับ... คุณหนันไม่ต้องทำอะไรให้ผมแล้ว”
ปาหนันสบตาเขา นาวิศเช็ดน้ำตาให้ แล้วลูบมือบนแก้มของเธอ มองเธออย่างสะท้อนใจ ครุ่นคิดในใจ
‘…คุณหนัน...ต่อไปผมคงทำให้คุณต้องเสียใจมากกว่านี้ เพราะผมไม่มีทางปล่อยพ่อคุณแน่...ผมขอโทษนะคุณหนัน...’
นาวิศทุกข์ใจ เมื่อนึกว่าสิ่งที่เขาจะต้องเผชิญต่อไป...
+ + + + + + + + + + + +
เช้าวันใหม่..รสาแต่งหน้าจัด แต่งตัวเปรี้ยวจี๊ดมาหาระรินที่บ้าน ระรินดีใจมากที่น้องสาวมาหาเร็วตามต้องการ
“พี่มีเรื่องสำคัญจะให้รสาช่วย คือ...”
รสายกมือห้าม
“ก่อนจะคุย”รสาแบมือ “ไหนล่ะเงินค่าจ้าง”
ระรินเดินไปหยิบซองกระดาษออกมา หยิบเงินสดปึกนึงออกมาวางตรงหน้ารสา
“นี่เงิน 5 หมื่น รสาเอาไปก่อน”
“เป็นอัลไซเมอร์รึไงพี่ริน ไหนบอกว่าจะให้รสาแสนนึงไง”
“อีก 5 หมื่น พี่จะให้รสาหลังงานเสร็จ”
“เขี้ยวชะมัด อ่ะ เอาแค่ 5 หมื่นก่อนก็ได้ ตกลงให้รสาทำอะไรว่ามา”
“ไประนอง ตามหาลูกชายคนเดียวของคุณนาวี...เขาชื่อนาวิศ”
“รสาไม่เคยเจอเค้า ไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นยังไง”
ระรินส่งรูปนาวิศให้ รสามองรูปนาวิศ แววตาเป็นประกายวิบวับในความหล่อ
“ว้าว หลานชายพี่รินหล่อสุดๆไปเลย...มีเมียรึยัง...”
“นี่ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ นะรสา”
“ทำซีเรียสไปได้ เดี๋ยวก็แก่เร็วหรอกพี่ริน...แต่ทำไมอาสะใภ้ต้องจ้างคนตาม หาหลานชายด้วย เกิดอะไรขึ้น”
“หน้าที่ของรสา คือตามหาคุณนาวิศให้เจอ หรือไม่ก็สืบเรื่องของเขาให้ได้มากที่สุด สืบเงียบๆ อย่ากระโตกกระตากให้ใครรู้เด็ดขาด โดยเฉพาะคุณธานี”
“ทำไมพี่ต้องปิดผัวตัวเองด้วย”
“ทำเฉพาะที่พี่บอก อย่าถามอะไรพี่มากกว่านี้ พี่บอกไม่ได้ พี่จองตั๋วเครื่องบินให้แล้ว ไปวันนี้เลย”
“เดี๋ยวก่อน... แล้วทำไมต้องเป็นรสา”
“เพราะคุณธานีไม่รู้จักรสาไง...พี่บอกแล้วว่าเรื่องนี้สำคัญมาก คุณธานีจะรู้ไม่ได้เด็ดขาด เข้าใจไหมรสา”
รสามองระรินอย่างแปลกใจว่ามันเรื่องอะไรกันแน่
+ + + + + + + + + + + +
นาวิศกับปาหนันเดินเข้ามาที่ท่าเรือ ปาหนันยังเป็นห่วงนาวิศ...
“พร้าวจะทำงานไหวเหรอ เพิ่งเจ็บตัวมาแท้ๆ ทำไมถึงต้องดึงดันจะมาทำงานด้วยก็ไม่รู้”
นาวิศมองไปทางเรือเทพสุทธิพงศ์ 3ที่เขาสงสัยว่าขนน้ำมันเถื่อนอย่างหมายมาด นาวิศหันมายิ้มให้ปาหนัน
“ไม่ไหวก็ต้องไหวครับ จะให้ผมนั่งๆนอนๆอยู่เฉยๆได้ยังๆไง”
“ทำไมจะไม่ได้ ก็พร้าวเป็นแขกของหนัน”
“อย่าให้ผมเป็นหนี้คุณหนันมากไปกว่านี้เลยครับ ผมคงอยู่ที่นี่อีกไม่นาน ผมอยากทำตัวเป็นประโยชน์บ้าง”
ปาหนันหน้าเสีย
“พร้าวจะอยู่ที่นี่ไม่นานเหรอ พร้าวจะไปไหน”
นาวิศสงสารปาหนัน
“ถ้าความทรงจำของผมกลับมาเมื่อไหร่ ผมคงต้องไปมีชีวิตอย่างที่ผมเคยมี”
ปาหนันพยักหน้า
“จริงสินะ พร้าวก็เคยมีชีวิตของพร้าว...”ปาหนันนึกขึ้นมาได้ “แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพร้าวจะกลับมาที่นี่ไม่ได้นี่นา จริงไหม”
นาวิศฝืนยิ้มให้ปาหนัน
“ถ้าความทรงจำพร้าวกลับมาจริงๆ หนันก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าพร้าวเป็นใครมาจากไหน”
นาวิศพูดไม่ออก ได้แต่หลบสายตาปาหนัน
ทางด้านเดื่อกับคนงานกำลังคัดปลา ทับทิมรีบเข้ามานั่งข้างเดื่อ
“ได้ข่าวว่าพร้าวโดนนายทำโทษจนน่วมเลยเหรอ รู้เรื่องกับเขารึเปล่าว่าเกิดอะไรขึ้น”
“รู้สิ ก็คุณหนันงอนนายเคี่ยม ยังไม่ยอมคุยด้วยเลย”
“ถ้าถึงขั้นนั้น สงสัยพร้าวต้องโดนหนักแน่ๆ ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นไงมั่ง”
เดื่อหมั่นไส้
“ไม่ต้องไปห่วงมันมากนักหรอก มันไม่ได้เป็นไรมาก เห็นคุณหนันว่าวันนี้มันจะมาทำงานด้วย”
“พร้าวนี่ก็แปลกคนซะจริงๆ ทำไมทนให้เขาทรมานอยู่ได้ เป็นฉันหนีไปนานแล้ว”
“ที่ไอ้พร้าวมันทนอยู่ได้ ก็เพราะรักไง”
ทับทิมเคลิ้มฝัน
“พร้าวทนอยู่เพราะฉันเหรอเนี่ย”
“ยัยบ้า คุณหนันต่างหาก อย่างทับทิม ใครจะรักลง”
ทับทิมค้อน
“ถึงฉันจะแก่นแก้วแสนกล แต่ฉันก็สวยไม่แพ้ใคร ทำไมจะไม่มีใครมารัก”
ขณะเดียวกันั้น รสาเดินถือรูปนาวิศเดินมองหา เดื่อกับคนงานชายตาลุกเพราะรสานุ่งกระโปรงสั้นมาก
“โธ่ พูดมาได้หน้าตาเฉยว่าตัวเองสวย...โน่น คนสวย มันต้องอย่างโน้น”
เดื่อชี้ไปที่รสา ทับทิมมองตามมือหมั่นไส้คนสวย
“ชิ ไม่เห็นสวยตรงไหน ขาโก่งอีกต่างหาก”
เดื่อยังมองรสาเคลิ้มๆ
“โก่งตรงไหน เรียวงามอย่างก๊ะลำเทียน”
ทับทิมเบ้ปากหมั่นไส้ แล้วลุกไปหา รสากำลังเดินมองหานาวิศ อยู่ๆทับทิมก็มาขวางทาง สองสาวเขม่นกันแต่แรกเห็นหน้า
“นี่เธอ ช่วยหลบไปให้พ้นๆทางหน่อย”รสาแกล้งบ่น “ตัวเหม็นคาวหึ่งไปหมด”
“กลิ่นเหงื่อไคลคนทำงาน ไม่ได้เดินเอ้อระเหยทำสวยไปวันๆ...มาทำอะไรที่นี่”
“มาธุระ”รสาทำเชิด “ฉันมาจากกรุงเทพ”
“อ๋อ คนกรุงเต้ปปป มิน่าล่ะ แต่งตัววับๆแวมๆ คิดจะมาหาผัวที่ท่าเรือนี่เหรอยะ”
รสาโกรธ
“บ้า! ฉันไม่ใฝ่ต่ำมีผัวเป็นคนงานหรอกย่ะ”
เดื่อตามมา
“ผมไม่ใช่คนงาน...พอจะรับไปพิจารณาได้มั้ยครับ”
รสามองเดื่อตั้งแต่หัวจรดเท้า
“บ้านนอก ...”
เดื่อชะงัก จ๋อย รสาไม่สน เดินหนีไปทางสะพานปลา ทับทิมโกรธ
“ดูถูกกันนัก ฉันจะตามไปด่ามัน”
เดื่อดึงทับทิมไว้
“คงเป็นลูกค้ามาซื้อปลาน่ะทับทิม...อย่ามีเรื่องกับลูกค้าเลยนะ เดี๋ยวก็โดนนายเคี่ยมว่าเอาหรอก”
ทับทิมสะบัดจากเดื่อ หันมองไปทางรสาอย่างกระฟัดกระเฟียด
+ + + + + + + + + + + +
รสาถือรูปถ่ายนาวิศ เดินหาต่อ...
“ท่าเรือเทพสุทธิพงศ์...ก็มาถูกแล้วนี่นา...ทำไมไม่เห็นเจอคุณนาวิศเลย”
ขณะเดียวกันนั้น เสียงสหัสคุยโทรศัพท์มือถือดังมา
“สบายดีลุง ผมยุ่งๆ เลยไม่ได้ไปเยี่ยมลุงกับป้า”
รสาหันมามองสหัสที่ยืนคุยโทรศัพท์หันหลังให้เธออยู่ รสาเห็นสหัสก็ไม่ได้ใส่ใจเพราะคิดว่าเป็นคนงานท่าเรือทั่วไป รสาเดินมาหยุดใกล้สหัสแล้วมองไปรอบๆ มองคนเปรียบเทียบกับรูปถ่ายในมือ สหัสหันมาทางรสาพอดี แต่ยังคุยโทรศัพท์ไปด้วย
“ฉันออกเรือแทบทุกวันแหละลุง”
สหัสเห็นรสามองคนนั้นคนนี้ เปรียบเทียบกับรูปในมือ สหัสเริ่มสงสัย
“แค่นี้ก่อนลุง แล้วฉันจะโทรไปใหม่”
สหัสวางสาย ก้าวเข้ามาที่รสา จังหวะเดียวกันรสากำลังหันมาทางสหัส รสาไม่ทันเห็นว่าสหัสเข้ามาใกล้จึงชนกับสหัส รูปถ่ายนาวิศหลุดมือ
“ว้าย! เดินอีท่าไหน ดูคนมั่งรึเปล่า”
“คุณเป็นใคร มาที่นี่ทำไม”สหัสถามเสียงเข้ม
รสาไม่ตอบหันมองหารูปถ่าย
“รูปฉันอยู่ไหน”
สหัสมองไปเห็นรูปถ่ายคว่ำอยู่ลอยอยู่ในน้ำ รสาตกใจ
“ตายแล้ว! ทำไงดี มีรูปเดียวซะด้วย”
รสาหยิบไม้ที่วางอยู่ใกล้ ๆ มาเขี่ยรูปขึ้นจากน้ำ แต่แล้วอยู่ๆสหัสก็เข้ามาแย่งไม้ไป
“มานี่...ผมทำให้”
สหัสพยายามเขี่ยรูปขึ้นมา รสาหน้าตื่น เสียงระรินดังขึ้นในความคิดรสา...
‘…หน้าที่ของรสา คือตามหาคุณนาวิศให้เจอ หรือไม่ก็สืบเรื่องของเขาให้ได้มากที่สุด สืบเงียบๆ อย่ากระโตกกระตากให้ใครรู้เด็ดขาด...’
รสาคิดได้รีบบอกสหัส
“พอแล้ว ไม่ต้องเก็บขึ้นมาหรอก”
สหัสเขี่ยรูปติดปลายไม้ขึ้นมาได้พอดี ยื่นมือไปจะหยิบรูปจากปลายไม้ รสาตกใจ รีบเข้ามาคว้าไม้ในมือสหัสจนรูปตกน้ำไปอีก รูปค่อยๆจมลงไปในน้ำ สหัสหันมองรสา
“ทำอะไรน่ะคุณ ผมเก็บขึ้นมาได้แล้วไง”
“รูปมันเปียก ยังไงก็เสียไปแล้ว ช่างมันเถอะ”
สหัสมองรสาอย่างสงสัย รสารีบหันหลัง เดินกลับไป
“เดี๋ยวคุณ...”
รสาหยุดกึก ยืนนิ่ง กลัว สหัสเดินไป จ้องหน้า
“ตกลงนั่นรูปอะไร”
“มันจมไปแล้วก็แล้วกันน่ะ ไม่ต้องมาสนหรอกว่าเป็นรูปอะไร”
รสาเดินกลับไปทางตัวท่าเรือ สหัสยังสงสัยรสาไม่หาย รสาเดินฉับๆ อยากออกไปจากท่าเรือไวๆ
“ทั้งกลิ่นคาวปลากลิ่นน้ำมันเครื่อง ไม่รู้ทนอยู่กันได้ยังไง รีบไปให้พ้นๆดีกว่า”
รสาก้มหน้าก้มตาเดินจนชนกับคนงาน ที่แบกเข่งกุ้งมาอีกทาง กุ้งฝอยในเข่งสาดกระเด็นไปทั้งตัว รสากรี๊ดลั่น ปัดกุ้งฝอยออกจากตัว คนงานที่ชนรสาคือนาวิศนั่นเอง แต่นาวิศโพกผ้าคลุมหัวไว้เห็นหน้าไม่ถนัด
“ขอโทษครับคุณ...”
นาวิศจะช่วยปัดกุ้งฝอยออกจากตัวรสา แต่รสาปัดป้องตีมือนาวิศเป็นพัลวัน
“ไอ้บ้า! อย่าแตะตัวฉันนะ มือแกสกปรก”แต่แล้วเธอก็ต้องชะงักกึก กุ้งเข้าไปในเสื้อ “กุ้งกัด” รสาเต้นเร่าๆ “กุ้งหล่นไปในเสื้อฉัน มันกัดฉัน กุ้งกัด”
เดื่อกับทับทิมที่เห็นเหตุการณ์เข้ามายืนหัวเราะ
“เฮ้ยเดื่อ กุ้งกัดคนได้ด้วยเว้ย”
“สงสัยกุ้งฝอยพวกนี้มันเป็นหมาปลอมตัวมาว่ะ”
รสายังเต้นเร่าๆด้วยความตื่นตกใจ นาวิศรีบบอก
“ระวังคุณ ยืนเฉยๆ พื้นมันลื่น เดี๋ยวล้ม”
ไม่ขาดคำนาวิศ รสาก็ลื่นพรืดก้นจ้ำเบ้า เดื่อกับทับทิมฮากลิ้ง
“นังคุณนายจับกบ”
นาวิศเข้าไปพยุงรสา
“คุณ เป็นไงมั่ง”
รสายิ่งโกรธ ลุกขึ้น ใช้กระเป๋าถือตีนาวิศ
“อย่ามายุ่งกับฉันนะ อย่ามาแตะต้องฉัน ไอ้คนเรือสกปรก”
นาวิศได้แต่ปัดป้องไปมา
“โอ๊ย คุณ ใจเย็นก่อนสิ”
ทับทิมทนไม่ได้ เดินปรี่เข้ามาดึงรสาออกจากนาวิศ
“ถึงเนื้อตัวสกปรก แต่จิตใจเขาก็สะอาดกว่าหล่อนแล้วกัน”
“อีบ้านนอก อย่าสะเออะมายุ่งเชียวนะ”รสาด่า
ทับทิมโกรธ
“หนอยๆๆๆ อีคนกรุงเต้ปปป แสลนมาหาเรื่องกันถึงถิ่น มาตบกันเลยมา”
ทับทิมถกผ้าถุงจะตบรสา ส่วนรสาก็ยกมือเตรียมสู้
“ก็มาซี่”
นาวิศรีบห้าม
“อย่ามีเรื่องกันเลยครับ เดื่อช่วยจับทับทิมที”
นาวิศกับเดื่อช่วยกันจับทับทิมไว้
“ปล่อยนะ ฉันจะตบสั่งสอนนังนี่”
“คิดจะสั่งสอนฉัน ให้ฉันสอนแกก่อนแล้วกัน”
รสาเงื้อมือจะตบหน้าทับทิม ทันใด มีมือข้างหนึ่งเข้ามาหยุดไว้ รสาหันไปมอง ปรากฏว่าเป็นสหัส
“อย่าก่อเรื่องวุ่นวายที่นี่”
รสาเกรงสหัสจะจับได้ เลยจำต้องสะบัดหน้าออกไปอย่างกระฟัดกระเฟียด
“ก็ไม่ได้อยากมานักหรอก”
ทับทิมมองตามหมั่นไส้ ยังไม่หายโกรธ นาวิศปล่อยมือจากทับทิมแล้ว แต่เดื่อมองตามรสาไป เผลอจับตัวทับทิมอยู่ ทับทิมสะบัดตวาดลั่น
“เพราะแก ไอ้เดื่อ! แกมาจับตัวฉันไว้ ฉันเลยไม่ได้ตบนังนั่น...งั้นฉันจะตบแกแทนแล้วกัน”
ทับทิมตบหน้าเดื่อ แล้วเดินปั้นปึ่งโมโหไป เดื่อลูบแก้มตนเองเซ็งๆ
“โอย... ลำเอียง ไอ้พร้าวก็จับตัวทับทิม ไม่เห็นตบมันมั่งเลย”
นาวิศถอนใจ แล้วมองตามไปทางรสาอย่างเหนื่อยใจ
+ + + + + + + + + + + +
รสาพักอยู่ที่โรงแรมในระนอง หลังจากอาบน้ำล้างตัวเสร็จ ก็มานั่งดมผมตัวเองอย่างเซ็งๆ
“ค่อยหายเหม็นคาวหน่อย... เฮ้อ ซวยชะมัดเลยวันนี้”
ขณะเดียวกันนั้น เสียงมือถือดังขึ้น รสาหยิบมาดูแล้วหน้าเบ้รับสายก็บ่นใส่อีกฝ่ายทันที
“ไอ้คนงานที่ไหนก็ไม่รู้ ทำเข่งกุ้งตกใส่รสา เหม็นคาวไปทั้งตัว พี่รินต้องขึ้นค่าจ้างให้รสาด้วย”
“แล้วรสาเจอคุณนาวิศรึยัง”
“ยังไม่เจอ พี่ถามคุณธานีให้แน่ใจซิ หลานชายพี่มานี่ชัวร์รึเปล่า”
“พี่บอกแล้วไงว่าคุณธานีจะรู้เรื่องนี้ไม่ได้...คุณธานีไม่รู้ว่าพี่ตามหาคุณนาวิศอยู่”
“แล้วจะไปกลัวอะไรเขา เดี๋ยวรสาก็ไปร้องเรียนกลุ่มสิทธิสตรี มากระตุ้นให้พี่รินลุกขึ้นสู้ผัวซะเลย”
“พี่ไม่มีอารมณ์จะต่อปากต่อคำนะรสา พรุ่งนี้รสาลองไปหาคุณนาวิศที่สวนมะพร้าว ครอบครัวคุณนาวิศมีกิจการโรงกะทิด้วย”
ธานีเดินมาได้ยินระรินพูดประโยคสุดท้าย พอระรินกดวางสายรสาก็เห็นธานียืนจ้องมาอย่างจับผิด
“คุยโทรศัพท์กับใคร ทำไมพูดถึงโรงกะทิ”
ระรินอึกอัก
“ลูกค้าค่ะ ลูกค้าโทรมาถามเรื่องสั่งซื้อกะทิ”
“ลูกค้าที่ไหนจะโทรสั่งของกับเธอ”
ระรินท่าทางอึกอัก หลบตาธานี
“หมู่นี้เธอไม่ซ่อกแซ่กถามถึงไอ้นาวิศ...อย่าบอกนะ ว่าเธอจ้างนักสืบลงไปสืบเรื่องมัน”
“ริน...รินเปล่านะคะ”
ธานีตบหน้าระริน
“นังเมียทรยศ”
“รินโทรคุยกับลูกค้าจริงๆค่ะ”
“อยากเจ็บตัวใช่มั้ย...ได้”
ธานีดึงระรินเข้ามา เงื้อมือจะตบ แต่ระรินข่วนหน้าธานีจนเป็นรอยแดงที่แก้ม ธานีโกรธมาก ตบระรินอย่างแรงจนกระเด็นล้มไปนอนกองกับพื้น ระรินเลือดซิบที่มุมปาก หันกลับมามองธานีอย่างอดทนไม่ไหว
“เอาสิคะ...ถ้าคุณไม่เชื่อรินก็ฆ่ารินให้ตายซะตรงนี้เลย คิดว่ารินจะไปตามหาคุณนาวิศให้มันได้อะไรขึ้นมา”
ธานีจ้องหน้า ระรินจ้องตอบอย่างไม่กลัวเพราะเจ็บแค้นใจมาก
“ชีวิตฉันทำเรื่องโง่ๆอยู่เรื่องเดียว คือขอเธอแต่งงาน...ถ้าจับได้ว่าเธอโกหกล่ะก็ เธอได้ตายใจสมใจแน่”
ธานีออกไป ระรินฟุบลง ร้องไห้อย่างเจ็บช้ำใจ
จบตอนที่ 4
ติดตามอ่านตอนต่อไป พรุ่งนี้ เวลา 9.30 น.