(ติดตามอ่านละครออนไลน์ได้ทาง www.manager.co.th ทุกเช้า เวลา 09.30 น.)
รอยไหม ตอนที่ 17
เช้าวันใหม่...
เหล่าบริวาร กำลังช่วยกันขึงเส้นไหมผ่านฟืม มณีรินลงไปช่วยงานด้วยตัวเอง คำเที่ยงรีบวิ่งมาแต่ไกล
“เจ้าริน...เจ้าริน...”
“อะหยัง พี่คำเที่ยง”
“รีบขึ้นตึกใหญ่เต๊อะ รีบไปเดี๋ยวนี้เลย”
“เฮากำลังวางไหมยืนผ้าผืนใหม่เฮา เฮาบ่ไปดอก”
“ช่างหัวผ้ามันก่อนเต๊อะ เอาไว้ทำเมื่อไหร่ก็ได้ ตอนนี้ต้องรีบขึ้นไปเยี่ยมละ เปิ้น เจ้าเปิ้น บ่ สบาย”
“เจ้าน้อยเปิ้นเป็นอะหยัง เมื่อคืนดีดพิณก็ยังเห็นสบายดี”
“บ่ ใช่เจ้าน้อย เจ้าอ้ายเปิ้นต่างหาก”
มณีรินแปลกใจว่าศิริวัฒนาเป็นอะไรไป ทั้งๆที่เมื่อคืนยังเป็นปกติอยู่
+ + + + + + + + + + + + +
ทางด้านศิริวงศ์ ทันทีที่รู้ข่าวพี่ชายป่วยก็รีบไปเยี่ยม พระชายา บอกศิริวงศ์ถึงอาการของศิริวัฒนาอย่างห่วงใย
“เปิ้นฮ้องแต่ว่าปวดหัว ปวดเมื่อยไปทั้งตัว บ่ได้หลับได้นอนทั้งคืน แม่จับตัวดูก็ฮ้อนยังกะไฟ”
“เมื่อคืนก็ยังดีๆ อยู่แท้ๆ ไม่รู้เป็นอะไร” เจ้าหลวงเล่า
“เจ้าอ้ายคง บ่ เป็นอะหยังนักดอกครับ หมอกำลังตรวจอาการอยู่ เจ้านางน้อยจะเข้าไปเยี่ยม เจ้าอ้ายตอนนี้ก็ได้ เปิ้นได้กำลังใจเผลอๆ บ่ ทันข้ามวัน ไข้ก็ลด”
มณีรินแอบค้อนศิริวงศ์ ที่ตีหน้าตายพูดถึงนางอย่างนั้น มณีรินกับคำเที่ยงจะเข้าไปในห้องศิริวัฒนา เม้ยขวางหน้าห้องไว้ ไม่ให้เข้า
“เข้า บ่ ได้”
“ทำไมจะเข้า บ่ ได้” คำเที่ยงเสียงแข็งใส่
“เจ้าเปิ้น บ่ ต้องการให้ใครเข้าไปรบกวนเปิ้น หมอฟื้นกำลังตรวจฮักษาอาการอยู่”
“นายมึงยังเข้าไปได้ แล้วทำไมนายกูจะเข้าไปไม่ได้”
คำเที่ยงโต้ เม้ยผลักไหล่คำเที่ยง คำเที่ยงผลักตอบ เม้ย เงื้อง่าจะตบ
“เอาสิมึง มึงคิดว่ากูกลัวมึงงั้นเหรอ”
มณีรินรีบปรามคำเที่ยง
“เอาเต๊อะ พี่คำเที่ยง เปิ้นบ่อยากฮื้อเข้า เฮาก็บ่เข้าก็ได้”
“อีผีบ้านี่มันเป็นใคร มันก็แค่ขี้ข้าเปิ้น ทำไมเฮาจะต้องไปกลัวมันด้วย เจ้าริน” คำเที่ยงหงุดหงิด
“เออ...กูมันขี้ข้า แต่ซักวันเต๊อะขี้ข้าอย่างกูจะเหยียบหน้ามึงให้จมดิน คาตีนกูเชี่ยวละ อีคำเที่ยง”
ทันใดนั้นเสียงบัวเงินก็ดังขึ้น
“เสียงเอะอะอะหยังกัน นังเม้ย”
บัวเงินออกมาจากในห้อง
“อ้าว เจ้านางน้อย”
“เฮามาเยี่ยมเจ้าเปิ้น”
“แล้วทำไม บ่ เข้าไปข้างใน”
“คนของเอื้อย เปิ้นว่าเข้าบ่ได้ หมอกำลังตรวจดูอาการเจ้าเปิ้นอยู่”
“นังเม้ย...เอ็งนี่บ่ฮู้จักที่ต่ำที่สูง ง่าวนัก เอ็งบ่ฮู่ก๊ะว่าเปิ้นเป็นใคร เอ็งนี่สอนบ่ฮู่จักจำ อย่าไปถือสาขี้ข้าอย่างมันเลยเน้อ เจ้านางน้อย ไปเต๊อะเข้าไปข้างในกัน”
บัวเงินจับแขนถึงเนื้อถึงตัวแสดงความสนิทสนมพาเข้าไป คำเที่ยงจ้องมอง เม้ยเขม็งก่อนจะตามเข้าไป เม้ยหน้าตายิ้มหยัน ไม่สะทกสะท้านคำด่าของบัวเงิน
+ + + + + + + + + + + +
ด้านใน หมอตรวจศิริวัฒนาเสร็จพอดี พลางเก็บอุปกรณ์ลงกระเป๋าแล้วหันมาบอกศิริวัฒนา
“เจ้าต้องพักผ่อนให้มากๆ อย่านอนดึก แล้วก็อยู่ในที่อากาศโปร่งๆ ถ่ายเทได้ดีเน้อครับ”
หมอทำความเคารพ แล้วออกจากห้องไป ศิริวัฒนาหันไปหามณีริน
“อ้ายปวดหัวนักขนาด...เจ้าริน”
“เจ้านอนพัก กินยาตามที่หมอเปิ้นจัดให้ บ่เมินก็คงหายเจ้า” มณีรินยิ้มให้
“เจ้าเปิ้นอยากกินอะหยังเป็นพิเศษรึเปล่า ก็บ่ฮู้เน้อเจ้าริน” คำเที่ยงแกล้งถาม เพื่อให้มณีรินเอาใจศิริวัฒนา
มณีรินจำต้องถามศิริวัฒนาตามมารยาท
“เจ้าอยากกินอะหยัง เป็นพิเศษก่อ ข้าเจ้าจะทำมาให้”
บัวเงินสบตาคำเที่ยงไม่พอใจ
“อะหยังก็ได้ เจ้ารินยะอะหยัง อ้ายกินได้ทั้งนั้น”
“เจ้านางน้อยต้องขึ้นมาเยี่ยมไข้เจ้าเปิ้นบ่อยๆ เน้อ เปิ้นจะได้มีกำลังใจ๋หายวัน หายคืน” บัวเงินประชด
ทางด้านหมอ เมื่อหมอออกไปด้านนอก ได้เข้าไปรายงานผลการตรวจกับเจ้าหลวงที่รอฟังอยู่
“ตอนนี้ยังบ่พบอะหยังผิดปกติ ผมคิดว่าเจ้าเปิ้นคงพักผ่อนน้อย ทางที่ดีเปิ้นควรจะหยุดงาน พักผ่อนให้นัก ๆ”
“แล้วอาการปวดไปทั้งตัว เดี๋ยวปวด เดี๋ยวหาย มันเกิดขึ้นได้ยังไงหมอ”ศิริวงศ์ถามอย่างแปลกใจ
“เฮายังบอกบ่ได้ ต้องดูผลตรวจเลือดเปิ้นอีกที ถึงจะชี้ชัดลงไปได้”
พระชายายกมือพนมท่วมหัว
“ขอให้อย่าเป็นอะหยังเลย พุทโธ ธัมโม สังโฆ”
“ฝากดูแลฮักษาเปิ้นด้วยเน้อหมอ” เจ้าหลวงกำชับ
ศิริวงศ์นิ่งฟัง รู้สึกสงสัยว่าศิริวัฒนาจะโดนคุณไสยเล่นงาน แต่พยายามสลัดความคิดนั้นไป เพราะคิดว่ามันไร้สาระเกินไป
+ + + + + + + + + + + +
มณีรินกับคำเที่ยงอยู่เฝ้าดูแลศิริวัฒนาพักใหญ่ จึงได้ลงจากตึกจะกลับเรือนตน ศิริวงศ์มายืนคอยอยู่แล้ว
“เจ้าอ้ายเปิ้นเป็นยังไงบ้าง”
“เปิ้น บ่ แต่ว่าปวดหัว ปวดหัว...เจ้า” คำเที่ยงตอบแทนนาย
“ไข้ตัวร้อน ลดลงบ้างไหม”
“บ่ ลดเลยเจ้า ตัวฮ้อนยังกะไฟ พอเอาผ้าเช็ดตัวให้ เปิ้นก็ว่าหนาวจับขั้วหัวใจ๋” คำเที่ยงตอบ
“กินข้าวได้มากก่อ”
“กินยังกะแมวดม” คำเที่ยงตอบแทนอีก
“ให้นายโตเป็นคนตอบบ้างได้ไหม” ศิริวงศ์บอกอย่างขัดใจ
คำเที่ยงจ๋อยไป
“ข้าเจ้าก็นึกว่าเจ้าถามข้าเจ้า”
“เฮาว่าจะต้มน้ำซุป อย่างฝรั่งขึ้นมาให้เปิ้น คนเจ็บอย่างนี้กินของแข็งๆรสจัดๆ บ่ดี”มณีรินบอก
“เฮาฝากเจ้าอ้ายของเฮา ไว้กับเจ้านางน้อยด้วยเน้อ”
“ทำไมต้องมาฝากเฮา ทุกคนก็เป็นห่วงเปิ้น อยากให้เปิ้นหายเจ็บโวยๆ กันทั้งนั้น เผลอๆ เอื้อยบัวเงิน เปิ้นจะดูแลเจ้าเปิ้นได้ดีกว่าเฮาด้วยซ้ำไป”
“จะยังไงก็ช่าง ไม่ว่าเจ้าอ้ายเปิ้นจะเจ็บครั้งนี้ด้วยโรคอะไร เฮาเชื่อว่าความฮักจากเจ้านางน้อยเป็นยาอย่างเดี่ยวที่จะเยียวยาเปิ้นให้หายดี”
มณีรินมองศิริวงศ์ นิ่ง ยังไงเขาก็ไม่วายผลักใสนางอยู่ดี ศิริวงศ์ทนมองแววตามณีรินได้ไม่นาน เดินจากไป
“เจ้าน้อยเปิ้นพูดของเปิ้นถูกเน้อเจ้าริน”
คำเที่ยงบอก มณีรินเดินแยกไปอีกทางอย่างเงียบๆ คำเที่ยงยังคงพร่ำต่อไป
“ความฮักเยี่ยวยาได้ทุกสิ่ง ที่บ่มีแฮง ความฮักก็ทำให้มีแฮง ที่เจ็บก็หายเจ็บ ที่ขมยังว่าหวานได้เลย เจ้าน้อยเปิ้นอู้เหมือนคนฮู้จักความฮักดีนักขนาด เนาะเจ้ารินเนาะ”
คำเที่ยงหันมาก็ไม่เจอมณีรินเสียแล้ว รีบวิ่งตามออกไป
“เจ้าริน...เจ้าริน...เจ้าริน รอพี่ด้วย”
+ + + + + + + + + + + +
บัวเงินคอยปรนนิบัติ ศิริวัฒนาอยู่ในห้องอย่างเอาใจ
“เจ้าอ้ายนอนพักผ่อนเน้อ น้องจะปิ๊กเฮือนน้อนก่อน”
บัวเงินทำอ้อยอิ่ง ศิริวัฒนาฉุดดึงยื้อมือบัวเงินไว้
“อย่าเพิ่งไปได้ไหมบัวเงิน อ้ายบ่อยากอยู่คนเดียว”
“งั้นเดี๋ยวน้องให้ใครมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าอ้าย ก่อนดีไหมเจ้า”
“บ่ เอา อ้ายอย่ากเห็นหน้าบัวเงินคนเดียว บ่ อยากเห็นหน้าคนอื่น”
“เดี๋ยว เจ้านางมณีริน เปิ้นมาได้ยินเข้าเปิ้นจะเสียใจเน้อ”
“ช่างเปิ้นเต๊อะ เปิ้นมาทีหลัง เปิ้นบ่ว่าอะหยังดอก”
“พูดยังงี๊จะให้น้องดีใจหรือเสียใจดีน๊อ”
“ทำไมจะต้องเสียใจ”
“ก็น้อง บ่ อยากได้ชื่อว่าเป็นที่สองของใคร น้องอยากเป็นที่หนึ่งแล้วก็เป็นคนเดียวของเจ้าอ้ายนี่เจ้า”
“มันจะไปยากอะไร”
ศิริวัฒนาดึงตัวบัวเงินเข้ามากอด จูบ บัวเงินหันไปเห็นสายตาอีเม้ยที่จ้องมองอยู่ตาเป็นมัน ก็โบกมือไล่ออกไป เม้ยจำใจคลานออกไปทั้งที่อยากเห็นฉากต่อไปใจจะขาด
“อุ๊ย...เจ้าอ้ายหายปวดหัวแล้วก๊ะ”
“หายแล้ว ยาหมอฝรั่งหน้าไหนก็สู้ยาของน้อง บ่ ได้ดอก”
ศิริวัฒนาไม่สนใจอะไรอีก กอดบัวเงิน แล้วระดมจูบอย่างกระหาย บัวเงินสมหวัง รู้สึกว่าคุ้มค่า ที่ทำเสน่ห์ศิริวัฒนาครั้งนี้
ที่เรือนบัวเงินปัจจุบัน...
ภาพความสุขที่ได้รับจากศิริวัฒนายังสะท้อนลางๆ อยู่ในแววตาบัวเงิน
“หม่อมกะเจ้า” ผีอีเม้ยเรียกเบาๆ
“ถ้ากูได้ลูกชายให้เปิ้นซะตั้งแต่ตอนนั้น ป่านนี้กูก็คงไม่ต้องทนทรมานเหมือนติดคุกอยู่อย่างนี้”
“บ่าวสงสารหม่อมเหลือเกินกะเจ้า คนดีๆอย่างหม่อมทำไมถึงต้องมีแต่มารมาทำลายความสุข”
บัวเงินอยากลืมภาพในอดีตแต่ภาพเหล่านั้นกลับยิ่งชัดเจน
+ + + + + + + + + + + +
เรือนมณีริน ในอดีต...
มณีรินตักซุปลงชามเอาฝาปิด คำเที่ยงยืนดูมณีรินจัดสำรับอาหารอย่างปลื้มใจ
“นี่ถ้าเจ้าเปิ้นอู้ว่า อาหารสำรับนี้เจ้ารินลุกจากที่นอนมาทำให้เปิ้นตั้งแต่ตีสี่ เปิ้นคงจะปลื้มใจขนาดจนหายเจ็บหายไข้เชียวละ”
“เอาไว้ถ้าพี่คำเที่ยง บ่สบาย เฮาก็จะทำอย่างนี้ให้เหมือนกันดีไหม”
คำเที่ยงตาเขียวใส่
“เจ้าริน...เสียแรงเจ้าน้อยศิริวงศ์เปิ้นอุตส่าห์แนะนำเน้อ”
“เสียแรงยังไง พี่คำเที่ยง”
“ความฮักเยียวยาโรคภัยได้ทุกอย่าง เจ้ารินอย่าแกล้งทำเป็นลืมเลย”
“เฮาก็ทำอย่างพี่เปิ้นแนะนำนี่ไง เฮาดูแลเปิ้นอย่างเดียวกับเวลาที่ญาติผู้ใหญ่เฮา บ่สบาย”
“เจ้าศิริวัฒนา เปิ้น บ่ ใช่ญาติผู้ใหญ่เน้อ อีก บ่ เมินเปิ้นก็จะเป็น...”
คำเที่ยงจะพูดต่อว่าผัวแต่หยุดไว้ มณีรินไม่ชอบใจ
“เป็นอะหยังก็บ่ฮู้ละ แต่ตอนนี้เปิ้นเป็นแค่พี่ชาย ที่เฮานับถือคนนึงเท่านั้น”
คำเที่ยงเหนื่อยใจ
“เสร็จแล้ว ยกไปได้แล้วพี่คำเที่ยง” มณีรินเดินออกไป
“เปิ้นคงละอ่อนเกินไป ยังบ่ฮู้จักคำว่า ความฮัก” คำเที่ยงแอบบ่น
+ + + + + + + + + + + +
เม้ยเดินเข้ามาขวางไว้เมื่อเห็นมณีรินกับ คำเที่ยงและบริวารที่ประคองสำรับอาหารมา
“ขึ้นไป บ่ ได้”
“มึงฮู้ก่อว่ามึงกำลังฮู้อยู่กับผู้ใดอีเม้ย”คำเที่ยงตวาด
“ทำไมกูจะ บ่ฮู้”
“แล้วมึงคิดว่ามึงเป็นใคร ถึงจะมาออกคำสั่งเจ้านางมณีรินเปิ้น”
“กูรับคำสั่งมาจากเจ้าศิริวัฒนาเปิ้น เปิ้นบ่ให้ใครขึ้นไปทั้งนั้น ไม่ว่าหน้าไหน”
“กู บ่ เชื่อมึงดอก”
“บ่ เชื่อก็เรื่องของมึง ขึ้นไปแล้วเปิ้นไล่ตะเพิ่ดลงมา น้ำตาตก แล้วจะหาว่า กู บ่ เตือน”
“เปิ้น บ่ อยากให้ขึ้น งั้นเฮาก็ฝากสำรับนี่ไปกับเปิ้นก็ได้มั้ง พี่คำเที่ยง” มณีรินบอก
คำเที่ยงไม่พอใจ
“บ่ ได้ดอก เจ้าริน เจ้ารินเป็นใคร ทำไมจะต้องฟังคำสั่งอีขี้ข้านี่ด้วย มึงถอยไปอีเม้ย อีไพร่สกุล นายมึง บ่ เคยอบรมสั่งสอนกิริยามารยาทมึงเลยรึไง”
“มึงด่านายกูเรอะ อีคำเที่ยง”
เม้ยเงื้อจะตบ คำเที่ยงถกผ้าซิ่นเตรียมถีบ ทันใดนั้นเสียงพระชายาดังขึ้น
“อะไรกัน เสียงเอะอะอะไรกัน”
เม้ยกับ คำเที่ยง รีบทรุดตัวลงกับพื้น พระชายากับบริวาร เข้ามา
“เจ้านางน้อย”
“ข้าเจ้านำสำรับมาถวาย เจ้าศิริวัฒนาเปิ้นเจ้า”
“อ้าว แล้วทำไม บ่ ขึ้นไป”
คำเที่ยงฟ้องทันที
“นังเม้ยมันว่าขึ้นไป บ่ ได้เจ้า ขืนขึ้นไปเจ้าเปิ้นก็ไล่ตะเพิ่ดลงมาแน่”
พระชายามองเม้ยอย่างไม่ชอบใจนัก
“มันยังไงกัน นังเม้ย”
เม้ยจ๋อยรีบแก้ตัว
“ข้าเจ้า หวังดี เพราะเจ้าเปิ้นยังหลับอยู่ยัง บ่ ตื่นนอนเลยเจ้า”
คำเที่ยงจ้องเม้ยเขม็ง หมั่นไส้ความตอแหลของมัน
“แล้วเอ็งคิดว่า ถ้าข้าขึ้นไปเปิ้นจะไล่ตะเพิ่ดข้าด้วยไหม นังเม้ย”
เม้ยอึกอัก
“บ่ ดอกเจ้า”
พระชายาหันไปหามณีริน
“งั้นไป เจ้านางน้อย ไปกับแม่”
“เจ้า...”
พระชายาจูงมือมณีรินออกไป คำเที่ยงรีบลุกขึ้นตาม เม้ยหมอบอยู่ต่ำกว่าคำเที่ยง รีบลุกขึ้นเหมือนกันจ้องมองคำเที่ยงเขม็งอย่างแค้นเคือง
+ + + + + + + + + + + +
(อ่านต่อหน้า 2)
....
บัวเงินที่กกกอดศิริวัฒนาอยู่บนเตียงสะดุ้งตื่นขึ้น เพราะเสียงเคาะประตู ตวาดทันที
“กูสั่งมึงเอาไว้ยังไงอีเม้ย กู บ่เปิดออกไป มึงก็บ่ต้องมาเรียก”
“ป้าเอง บ่ใช่นังเม้ย” เสียงพระชายาดังมา
บัวเงินรีบตะกายลงจากเตียง จัดผมเฝ้า ผ้าผ่อน รวกๆ ศิริวัฒนายังนอนเพลียอยู่บนเตียง บัวเงินมาเปิดประตูเผชิญหน้าพระชายา และมณีริน
“สุมาเต๊อะ แม่เจ้า ข้าเจ้าคิดว่าเป็นนังเม้ย”
“สายจนป่านนี้แล้ว ทำไมยังปิดห้องเงียบ”
“เจ้าอ้ายเปิ้นยัง บ่ ตื่นนอนเลยเจ้า เมื่อคืนไข้ขึ้นสูง เปิ้นฮ้องครวญครางทั้งคืน ข้าเจ้าต้องเช็ดตัวให้ตั้งเจ็ดแปดรอบ เปิ้นถึงสงบลงได้ แต่ก็เกือบรุ่งน่ะแหละเจ้า”
เม้ยแอบยิ้มสะใจ เพราะเข้าใจนัยความหมายของบัวเงินอยู่คนเดียว
“ปลุกเปิ้นขึ้นมากินข้าวกินปลาก่อนเต๊อะ จะได้กินยาที่หมอฟื้นจัดไว้ให้ เจ้านางน้อยเปิ้นอุตส่าห์จัดสำรับมาให้”
“ลำบาก เจ้านางน้อยแต๊ๆ”
“บ่ เป็นอะหยัง เอื้อยก็ต้องลำบากดูแลเจ้าเปิ้น บ่ ได้ หลับได้นอนทั้งคืนเหมือนกัน”
พระชายาก้าวเข้ามาในห้องที่ปิดม่าน ปิดหน้าต่างมิดชิด ทุกบานในห้องจึงมืดทึบ
“ทำไมปิดหน้าต่างเอาม่านลงเสียหมดอย่างนี้ จะหายใจหายคอออกกันได้ยังไง”
“เจ้าอ้ายเปิ้นสั่งเจ้า เปิ้นว่าหนาว”
ศิริวัฒนายังหลับอุตุอยู่บนเตียง
“ศิริวัฒนา...ลูก” พระชายาจับตัว
ศิริวัฒนางัวเงียตื่นขึ้น
“บัวเงิน”
“บ่ ใช่บัวเงิน แม่เอง”
“แม่เจ้า”
“เป็นยังไงบ้าง วันนี้อาการดีขึ้นไหมลูก”
ศิริวัฒนาอื้อๆๆ มึนๆ
“กินข้าว กินปลาเสียหน่อยเน้อ เจ้านางน้อยเปิ้นอุตส่าห์ทำขึ้นมาเดี๋ยวจะได้กินยา”
คำเที่ยงประคองสำรับส่งให้ มณีรินเตรียมรับสำรับมา
“ขอบใจเน้อ เจ้าริน”
“บนเตียงมันคับแคบ เดี๋ยวพี่เอาไปจัดให้เปิ้นใหม่ดีกว่าเน้อ เจ้านางน้อย”
บัวเงินดึงสำรับออกไปจากมือมณีริน แล้วเดินออกไปทางห้องเล็ก คำเที่ยงมองตามบัวเงิน จนปะทะสายตากับเม้ย จึงสะบัดหน้ากลับ
“ตัวก็บ่ฮ้อนแล้วนี่ เช็ดหน้าเช็ดตา เสียหน่อยเน้อลูก จะได้สดชื่นขึ้น”
เม้ยประคองชามอ่างกับเหยือกน้ำเข้ามา คำเที่ยง แย่งดึงชุดล้างหน้าไปจากเม้ย
+ + + + + + + + + + + +
สำรับอาหารถูกจัดใส่ถาดใหม่ บัวเงินท่องคาถางึมงำล้างคาถาที่คิดว่ามณีรินนำมาแล้วถ่มน้ำลายลงไปในอาหารแต่ละอย่าง เม้ยตามเข้ามา
“หม่อมกะเจ้า”
บัวเงินสะดุ้ง
“อีบ้า...กูตกใจหมด ตามเข้ามาทำไม”
“เม้ยแค่จะมาเตือนหม่อม อย่าลืมที่หมอเปิ้นสั่งเอาไว้”
“เออ...กู บ่ลืมดอก มึงออกไปดูต้นทางไว้ อย่าให้ใครเข้ามาเด็ดขาด”
“เจ้า”
เม้ยรีบกลับออกไป บัวเงินยกสำรับวางลงกับพื้น ร่ายคาถางึมงำ แล้วถลกผ้าซิ่นก้าวข้ามสำรับอาหารนั้น
+ + + + + + + + + + + +
มณีรินเช็ดหน้า เช็ดตัวให้ศิริวัฒนา เม้ยมองอยู่อย่างหมั่นไส้
“ไปเปิดหน้าต่างให้ลมเข้าหน่อยเต๊อะคำเที่ยง” พระชายาสั่ง
คำเที่ยงคลานไปเปิดม่านและดึงกลอนหน้าต่าง ผลักเปิดออกไปแสงสว่างสาดเข้ามาจังๆ ศิริวัฒนาเหมือนผีโดนสาดด้วยน้ำมนต์ ปัดมือมณีรินอย่างแรง แล้วร้องโหยหวน ดิ้นทุรนทุราย จนทุกคนตกใจ
“ปิด...ปิดเดี่ยวนี้ กูบอกให้ปิด”
เม้ยเป็นคนเดียวที่นิ่งเฉย สะใจ พระชายาตกใจ
“เป็นอะไร ลูก”
“ปิด...ปิดเดี๋ยวนี้”
บัวเงินทำเป็นรีบร้อนยกสำรับออกมา
“เจ้าอ้าย...เป็นอะหยังเจ้า”
“บัวเงิน...ปิดหน้าต่างให้พี่ที พี่ บ่ เอา พี่บ่เอา”
“นังเม้ย...นั่งเฉยอยู่ได้ บ่ได้ยินก๊ะ”
เม้ยทำเป็นรีบข้ามหัวคำเที่ยงที่ตกใจไม่หาย ไปปิดหน้าต่างเข้ามา ศิริวัฒนาค่อยๆสงบลงได้
“เจ้าอ้าย เปิ้นแสบตาน่ะเจ้า เปิ้น บ่ ชอบให้ใคร เปิดหน้าต่าง”
“แต่ไหนแต่ไร ลูก บ่ เคยเป็นอย่างนี้นี่”
“ลูกขอสุมาแม่เจ้าเต๊อะ ถ้าลูกทำให้แม่เจ้าตกใจ”
“บ่ เป็นหยัง...กินข้าวกินปลาเสียเต๊อะ เจ้านางน้อย เปิ้นอุตส่าห์ทำขึ้นมาให้”
บัวเงินวางสำรับลงตรงหน้าศิริวัฒนา
“เจ้าอ้ายกินเยอะๆ เน้อ จะได้แข็งแรง”
ศิริวัฒนาตักซุปกินไปได้ไม่กี่คำ ก็ชะงัก มณีรินมองแปลกใจ ศิริวัฒนา ท่าทางแปลกประหลาดเหมือนจะขย่อนของข้างในออกมา
“ลำก่อ เจ้าอ้าย”
ขาดคำบัวเงิน ศิริวัฒนาก็อ้วกพุ่งออกมา เม้ยหลบอ้วกไม่ทันพุ่งเข้าหน้าเต็มๆ พระชายา มณีริน คำเที่ยง ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า
+ + + + + + + + + + + +
ศิริวงศ์แปลกใจมากที่เห็นอาการของศิริวัฒนาที่เป็นอยู่ จึงมาปรึกษาสล่าพัน
“อ้ายพันคิดว่ายังไง”
“เฮา บ่ กล้าออกความเห็นเรื่องนี้ดอกเจ้า”
“แล้วเท่าที่ฟังมา อาการของเจ้าอ้าย...อ้ายพันคิดว่าเคยเห็นคนป่วยอาการอย่างนี้เหรอ หมอหลวงยังบอกไม่ได้ว่า เปิ้นป่วยเป็นอะไรกันแน่”
“ถ้าถาม เฮาว่าเคยเห็นคนป่วยอาการอย่างนี้ไหม เฮาตอบได้ว่าเคย...”
“โรคอะหยัง”
“มัน บ่ ใช่โรคอะหยังดอกเจ้า”
“งั้นอะไร”
“เฮา บ่อยากพูดให้เป็นอัปมงคล มันก็อย่างที่เจ้าสงสัยน่ะแหละ”
ศิริวงศ์เครียดทันที
“แล้วเฮาควรจะทำยังไงดีอ้ายพัน”
“ถ้าจับ บ่ ได้คาหนังคาเขา มันก็ทำอะหยังบ่ได้ดอกเจ้า”
“เฮาก็ต้องปล่อยให้เจ้าอ้ายเปิ้นทนทรมานยังงี้ ต่อไปเรื่อยๆ ยังงั้นก๊ะอ้ายพัน”
“เจ้าอย่าลืมเน้อ เรื่องมันผิดอาญาแผ่นดินอัปรีย์จัญไรแบบนี้ ยังเกิดขึ้นในคุ้มเจ้าหลวงด้วยแล้วถ้ามันเป็นเรื่องขึ้นมา เจ้าคิดว่าจะทนเห็นการลงโทษตัวการได้ก๊ะ”
ศิริวงศ์ยิ่งอึดอัดคับข้องใจ ทางออกเลือนรางเต็มที่
+ + + + + + + + + + + +
บัวเงินที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ แต่งตัวปลื้มชื่นชมความงามของตัวเองอยู่หน้ากระจก เม้ยคลานเข้ามาหา
“หม่อมเจ้า เมื่อไรจะแต่งตัวเสร็จเสียทีเจ้า”
“มึงจะให้กูแต่งตัวไปไหนอีเม้ย”
“อ้าว หม่อม บ่ ได้ขึ้นตึก เฝ้าไข้เจ้าศิริวัฒนาเปิ้นก๊ะ”เม้ยยิ้มคิกคัก กรุ้มกริ่ม
“อีบ้า ใจคอมึงจะบ่ ให้กูได้พักได้ผ่อนบ้างเลยก๊ะ อีเม้ย กูปวดกูเมื่อยไปทั้งตัวเหมือนกันนะ” บัวเงินบ่นแต่ก็ยิ้มชื่นมื่น อิ่มใจ
“เม้ยเห็นหม่อมมีความสุข เม้ยก็มีความสุขเจ้า”
“คาถาไอ้หมอเสน่ห์คนนี้มันแน่จริงๆ กูขอบใจมึงนักที่มึงอุตส่าห์ทำเพื่อกู”
“นายของเม้ยงามที่สุด ก็ต้องควรค่ากับสิ่งที่ดีที่สุดเจ้า”
บัวเงิน หยิบ สร้อย ข้อมือทองเส้นนึงขึ้นมา โยนลงบนพื้นตรงหน้าเม้ย
“กูให้มึง”
“เป็นวาสนาของเม้ยแต๊ๆ”
“กูจะให้มึงมากกว่านี้อีก ถ้ากูได้ลูกชายกับเจ้าเปิ้น”
เม้ยระริก คลานเข้ามากอดขาบัวเงิน อย่างรักบูชานักหนา
“งั้นหม่อมยิ่งต้องขยันขึ้นตึก ไปเช็ดตัวลดไช้ให้เจ้าเปิ้นนะเจ้า”
“บ่ วันนี้กูจะบ่ขึ้นไป”
“ทำไมล่ะเจ้า...หม่อม”
“กูขี้เกียจเดิน” บัวเงินยิ้มๆมีเลศนัย
เม้ยค่อยๆ ยิ้มแล้วกลายเป็นหัวเราะในที่สุด
“เม้ยรู้แล้ว หม่อม บ่ ไป เพราะหม่อมจะทำให้เจ้าเปิ้นเป็นฝ่ายซมซานมาหาหม่อมเองใช่ก๊ะ”
บัวเงินหัวเราะ
“มึงนี่ฉลาดสมกับเป็นบ่าวกูแต๊ๆ อีเม้ยทั่วทั้งเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง ยันไปถึงแป้น่าน กู บ่ เห็นขี้ข้าคนไหนจะฉลาดหลักแหลมเท่ามึงเลย มึงนี่มันเพชรในตมแต๊ๆ”
เม้ยกระหยิ่ม ลำพองชื่นชมสร้อยข้อมือที่เพิ่งได้มา
“กูจะลองคาถาไอ้หมอเสน่ห์ ว่ามันจะขลังดังใจกูไหม”
บัวเงินบอกอย่างหมายมาด
อ่านต่อวันพรุ่งนี้