นรก เป็นคำแปลของศัพท์ว่านิรยะ ซึ่งแปลว่าภูมิคือภพที่ไร้ความสำราญไร้ความยินดี หรือไร้ความเจริญไร้ความสุข
ลำพังคำว่า “นรก” แปลว่า “เหว” เท่านั้น แต่ใช้เป็นคำแปลนิรยะที่เข้าใจกันดี กล่าวโดยเนื้อความก็คือ ภูมิภพที่ไม่มีสิ่งอันเป็นที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจเสียเลยทีเดียว ถ้าเป็นรูปก็เป็นรูปที่พึงเกลียดพึงชัง ถ้าเป็นเสียงก็เป็นเสียงที่พึงกลัว ถ้าเป็นกลิ่นก็เป็นกลิ่นที่พึงรังเกียจ ถ้าเป็นรสก็เป็นรสที่เป็นพิษแรงร้าย ถ้าเป็นสิ่งที่กายถูกต้องก็เป็นสิ่งที่ทำให้เจ็บปวดรวดร้าว รวมความว่าล้วนเป็นสิ่งที่ไม่พึงยินดีพอใจ ไม่เป็นสิ่งที่สำราญตา หู เป็นต้น ทั้งสิ้น เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความทุกข์แต่ส่วนเดียว (ท.ธ.๑๖)
ตามคติความคิดของอินเดียเก่าแก่ที่ติดมากล่าวว่า ลึกลงไปภายใต้แผ่นดินของจักรวาล โลกนี้เป็นที่ตั้งของนรกมากมาย เป็นสถานที่ทรมานสัตว์ผู้ทำบาปต่างๆ ซึ่งไปบังเกิดรับการทรมานภายหลังจากที่ตายไปแล้ว คำว่า นรก แปลว่า เหว ในภาษาบาลีมักเรียกว่า “นิรยะ” แปลว่า สถานที่ที่ไม่มีความเจริญ คือไม่มีสุข มีแต่ทุกข์ทรมาน คำว่า นิรยะ หรือ นรก ใช้หมายถึงสถานที่ทรมานสัตว์ทำบาปดังกล่าวเช่นเดียวกัน
นรกที่เป็นขุมใหญ่มีกล่าวไว้ในสังกิจจชาดก เป็นต้น ว่ามี ๘ คือ
๑. สัญชีวะ แปลว่า คืนชีวิตขึ้นเอง คือ สัตว์นรกในขุมนี้ถูกตัดเป็นท่อนเล็กท่อนใหญ่ แล้วก็กลับคืนชีวิตขึ้นมาเองอีก รับการทรมานอยู่ร่ำไป
ในคัมภีร์มหายานของทิเบตแสดงว่า นรกขุมนี้สำหรับบาปที่ทำฆาตกรรมตนเอง ทำฆาตกรรมผู้อื่น หมอที่ทอดทิ้งฆ่าคนไข้ของตน ผู้จัดการทรัพย์มรดกที่คดโกง และผู้ปกครองที่โหดร้าย เบียดเบียนประชาชน
๒. กาฬสุตตะ แปลว่า เส้นดำ คือสัตว์นรกในขุมนี้ถูกขีดเป็นเส้นดำที่ร่างกาย เหมือนอย่างตีเส้นที่ต้นซุงเพื่อจะเลื่อย แล้วถูกผ่าด้วยขวานเป็น ๘ เสี่ยง ๑๖ เสี่ยง
แต่ตามคัมภีร์ทิเบตกล่าวว่า ถูกเลื่อยด้วยเลื่อย และกล่าวการลงโทษอีกอย่างหนึ่ง คือ ลากลิ้นออกมาตอกและไถด้วยไถเหล็กแหลมเป็นจักๆ สำหรับบาปที่พูดส่อเสียด ยุยงให้เขาแตกกัน และเข้าไปยุ่งเกี่ยวขัดขวางกิจการของผู้อื่น และแสดงโดยทั่วไปว่า นรกขุมนี้สำหรับบาปที่แสดงความไม่นับถือ ลบหลู่ดูหมิ่นมารดา บิดา พระรัตนตรัย หรือพระศาสนา
๓. สังฆาฏะ แปลว่า กระทบกัน คือ มีภูเขาเหล็กคราวละ ๒ ลูก จากทิศที่ตรงกันข้าม เลื่อนเข้ามากระทบกันเอง บดสัตว์นรกให้ร่างแหลกละเอียดจาก ๔ ทิศ ก็เป็นภูเขา ๔ ลูกเลื่อนเข้ามากระทบกันตลอดเวลา
ในคัมภีร์มหายานของทิเบตกล่าวว่า ภูเขามีศีรษะเป็นสัตว์หรือเป็นเหล็กใหญ่รูปอย่างหนังสือ เลื่อนเข้ามา บดขยี้สัตว์เช่นเดียวกัน และกล่าวว่านรกขุมนี้สำหรับพวกพระ คฤหัสถ์ และคนที่ไม่เชื่อในศาสนา ซึ่งลบหลู่ดูหมิ่นหรือทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของพระคัมภีร์ และสำหรับพวกพระที่สะสมเงินเป็นก้อน ซึ่งพวกตนไม่ได้ประกอบการงาน และแสดงการทรมานอีกอย่างหนึ่ง คือ บดตำในครกเหล็ก ตีบนทั่งเหล็ก สำหรับทรมานผู้ทำโจรกรรม ผู้ที่มีสันดานร้ายกาจ ด้วยความโกรธริษยา โลภอยากได้ ผู้ที่ใช้เครื่องชั่งตวงวัดโกง และผู้ที่ทิ้งขยะมูลฝอยหรือสัตว์ตาย ลงในถนนหนทางสาธารณะ
๔. โรรุวะ แปลว่า ร้องครวญคราง คือ มีเปลวไฟเข้าไปทางทวารทั้ง ๙ เผาไหม้ในสรีระ จึงร้องครวญครางเพราะเปลวไฟ (ชาลโรรุวะ) บางพวกถูกหมอกควันด่าง(กรด) เข้าไปละลายสรีระ จนละเอียดเหมือนแป้ง จึงร้องครวญครางเพราะหมอกควัน (ธูมโรรุวะ)
ในคัมภีร์ทิเบตกล่าวว่า กรอกน้ำเหล็กแดงอันร้อนแรงทางปาก ผ่านลำคอลงไป สำหรับบาปที่กั้นปิดทางน้ำเพื่อประโยชน์ของตน แช่งด่าดินฟ้าอากาศ ทำลายพืชพันธุ์ธัญญาหารให้เสียหาย
๕. มหาโรรุวะ แปลว่า ร้องครวญครางมาก คือเป็นที่ทุกข์ทรมานยิ่งกว่าข้อ ๔ ในคัมภีร์ทิเบตกล่าวว่า สำหรับพาหิรชน คนบาปหนา
๖. ตาปนะ แปลว่า ร้อน ได้แก่ให้นั่งเสียบตรึงไว้ด้วยหลาวเหล็กบนแผ่นดินเหล็กแดงลุกเป็นไฟร้อนแรง บ้างก็ถูกต้อนขึ้นไปบนภูเขาเหล็กแดงเป็นไฟลุกโพลง ถูกพัดตกลงมาถูกเสียบด้วยหลาวเหล็กที่โผล่ขึ้นมาจากแผ่นดินเหล็กแดง
ในคัมภีร์ทิเบตกล่าวว่า ถูกขังอยู่ในห้องเหล็กแดง เป็นไฟร้อนแรง สำหรับบาปที่ปิ้งทอดหรือเสียบสัตว์ปิ้งเป็นอาหาร
๗. ปตาปนะ แปลว่า ร้อนสูงมาก คือ เป็นที่ทุกข์ทรมานยิ่งกว่าข้อ ๖
ในคัมภีร์ทิเบตกล่าวว่า ถูกทิ่มแทงด้วยหอกสามง่ามล้มกลิ้งลงไปบนพื้นเหล็กแดงอันร้อนแรง สำหรับบาปที่ละทิ้งพระศาสนา(เลิกนับถือ) หรือปฏิเสธความจริง
๘. อวีจิ แปลว่า ไม่มีระหว่าง คือ ไม่เว้นว่าง บางทีเรียก มหาอวีจิ แปลว่า อเวจีใหญ่ ภาษาไทยมักเรียกว่า อเวจี เปลวไฟนรกในนรกขุมนี้ลุกโพลงเต็มทั่วไปหมด ไม่มีระหว่างหรือเว้นว่าง สัตว์นรกในขุมนี้ก็แน่นขนัดเหมือนยัดทะนาน ไม่มีระหว่างหรือเว้นว่าง แต่ก็ไม่เบียดเสียดกันอย่างวัตถุ ต่างถูกไฟไหม้อยู่ที่เฉพาะตนๆ และความทุกข์ทรมานของสัตว์นรกขุมนี้ ก็บังเกิดขึ้นสืบเนื่องกันไป ไม่มีระหว่างหรือเว้นว่าง ฉะนั้น จึงเรียกว่า อวีจิ หรือ อเวจี ซึ่งมีคำแปลดังกล่าว
ในคัมภีร์ทางทิเบต กล่าวว่า สำหรับบาปที่ถือว่าเป็นอุกฤษฎ์ โทษตามลัทธิลามะ แต่ฝ่ายเถรวาทแสดงว่าสำหรับบาปที่เป็นอนันตริยกรรม
นรกใหญ่ทั้ง ๘ ขุมนี้ ใน สังกิจจชาดก เป็นต้น เรียง “อวีจิ” ไว้หน้า “ตาปนะ” แต่ในที่อื่นเช่นในไตรภูมิพระร่วง แสดงอวีจิ ไว้เป็นที่สุด และกล่าวว่าอยู่ซ้อนไปตามลำดับ “สัญชีวะ” อยู่เบื้องบนที่สุด และอยู่ใต้กันลงไปจนถึงอเวจี อยู่ใต้ที่สุด
เครื่องทรมานในนรกใหญ่ทั้ง ๘ ขุมดังกล่าว มีเหล็ก เช่น พื้นแผ่นดินเหล็กและเครื่องอาวุธเหล็กต่างๆ มีไฟ คือ เหล็กนั่นแหละลุกเป็นไฟร้อนแรง มีภูเขาเหล็กที่กลิ้งมาบด และมีหมอกควันชนิดเป็นกรด หรือด่าง ในขุมนรกที่ ๑ และที่ ๒ มีนายนิรยบาล แปลว่า ผู้รักษานรก ไทยเรียกว่า ยมบาล เป็นผู้ทำการทรมานสัตว์นรกแต่นรกขุมที่ลึกลงไปกว่านั้น ในอรรถกถาสังกิจจชาดกไม่ได้กล่าวถึงนายนิรยบาล กล่าวถึงไฟ เหล็ก เช่น เครื่องอาวุธต่างๆ เป็นต้น บังเกิดขึ้นทรมานสัตว์นรกเอง
อนึ่ง มีแสดงไว้ว่า นรกใหญ่ทั้ง ๘ ขุม มีนรกเล็กบริวารใน ๔ ด้าน ด้านละ ๔ ขุม รวม ๑๖ ขุม รวมนรกบริวารของนรกใหญ่ทั้ง ๘ ขุม ได้ ๑๒๘ ขุม รวมนรกใหญ่อีก ๘ ขุมเ ป็น ๑๓๖ ขุม
นรกบริวาร ในไตรภูมิพระร่วงเรียกว่าฝูงนรกบ่าว ในเนมิราชชาดก กล่าวว่า พระมาตลี เทพสารถีนำพระเจ้าเนมิราช พระราชาครองนครมิถิลา ในแคว้นวิเทหรัฐ ไปเที่ยวดูนรกบริวาร ๑๖ ขุม ซึ่งอยู่ล้อมรอบสัญชีวนรก อันเป็นนรกใหญ่ขุมที่ ๑ มีชื่อดังต่อไปนี้
๑. เวตรณีนรก แปลว่า แม่น้ำเวตรณี แปลว่า ข้ามยาก คือแม่น้ำด่างที่ร้อนเดือดพล่าน เรียกว่า เวตรณีบัวและสิ่งต่างๆ ในแม่น้ำนั้นเป็นอาวุธทั้งสิ้น นายนิรยบาลตกเบ็ดสัตว์นรกอีกด้วย สำหรับบาปที่ประกอบกรรมหยาบช้า เบียดเบียนผู้ที่อ่อนกำลังกว่า
๒.สุนขนรก แปลว่า นรกสุนัข คือฝูงสุนัขขาว แดง ดำ เหลือง และฝูงแร้งกา กลุ้มรุมกัด ตี จิกทรมาน สำหรับบาปที่กล่าวคำร้ายด่าว่าสมณพราหมณ์และท่านผู้มีคุณ
๓. สัญโชตินรก แปลว่า นรกไฟโพลง คือ สัตว์นรกในขุมนี้มีสรีระลุกเป็นไฟโพลงแผดเผาทั้งถูกทรมานต่างๆ สำหรับบาปที่ประกอบกรรมหยาบช้า เบียดเบียนบุรุษสตรีที่เป็นคนดีมีศีลธรรม ไม่มีความผิด
๔. อังคารกาสุนรก แปลว่า นรกหลุมถ่านเพลิง คือตกลงไปไหม้ทรมานในหลุมถ่านเพลิง สำหรับบาปที่ฉ้อโกง เบียดบัง ถือเอาทรัพย์ที่เขาบริจาคเพื่อการกุศล หรือชักชวนให้เขาบริจาคอ้างว่าเพื่อเป็นการกุศล ได้ทรัพย์มาแล้วถือเอาเสียเอง และสำหรับบาปที่เป็นหนี้ทรัพย์ผู้อื่นแล้วโกงหนี้นั้น
๕. โลหกุมภีนรก แปลว่า นรกหม้อโลหะ ไทยเราเรียกว่า นรกหม้อทองแดง เป็นที่ตกลงไปไหม้ทรมาน สำหรับบาปที่ทุบตีเบียดเบียนสมณพราหมณ์ผู้มีศีล
๖. คีวลุญจนรก แปลว่า นรกที่ดึงคอให้หลุด คือ เอาเชือกพันคอจุ่มลงไปในน้ำร้อนในหม้อทองแดงให้คอหลุดทรมาน สำหรับบาปที่ประกอบกรรมหยาบช้า เบียดเบียนทำลายหมู่เนื้อนก (นรกขุมนี้ในไตรภูมิพระร่วงเรียกโลหกุมภีเหมือนกัน)
๗. ถุสปลาสนรก แปลว่า นรกข้าวลีบและแกลบ คือสัตว์นรกขุมนี้ลงไปวักน้ำในแม่น้ำนรกดื่มด้วยความกระหาย น้ำที่ดื่มเข้าไปก็เป็นข้าวลีบและแกลบไฟ ไหม้ร่างกายทั้งหมด เป็นการทรมาน สำหรับบาปที่เอาข้าวลีบแกลบหรือฟางปนข้าวเปลือกลวงขายว่าข้าวดี (เอาข้าวสารไม่ดีปนข้าวดีลวงขายว่าข้าวดี ก็น่าจะอยู่ในนรกขุมนี้)
๘. สัตติหตสยนรก แปลว่า นรกที่แทงด้วยหอกจนล้มลง คือ สัตว์นรกในขุมนี้ถูกแทงด้วยอาวุธต่างๆ จนตัวพรุนอย่างใบไม้เก่า สำหรับบาปที่ประกอบกรรมมิชอบ เลี้ยงชีวิตด้วยอทินนาทานต่างๆ มีปล้นสะดม ขโมย ฉ้อโกง ทุจริต เบียดบัง เป็นต้น
๙. วิลตกนรก แปลว่า นรกแล่เนื้อ คือแล่เนื้อสัตว์นรกออกเป็นชิ้นๆ สำหรับบาปที่ประกอบกรรมหยาบช้า ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
๑๐. ปุราณมิฬหนรก แปลว่า นรกมูตรคูถหรือนรกอาจมเก่า คือสัตว์นรกในขุมนี้กินอาจมเก่าที่เหม็นนักหนา และลุกเป็นควันหรือเป็นไฟร้อนแรง สำหรับบาปที่ประทุษร้ายเบียดเบียนมิตรสหาย หรืออาศัยกินข้าวเขาแล้วยังขู่เอาทรัพย์ของเขา หรือเจ้าหน้าที่ขูดรีด
๑๑. โลหิตปุพพนรก แปลว่า นรกน้ำเลือดน้ำหนอง คือ สัตว์นรกในขุมนี้อยู่ในแม่น้ำแห่งเลือดและหนอง หิวกระหาย กินน้ำเลือดน้ำหนองซึ่งร้อนเป็นไฟเข้าไปลวกไหม้ทรมาน สำหรับบาปที่ทำร้ายมารดาบิดา และท่านที่มีคุณควรกราบไหว้บูชาทั้งหลาย
๑๒. อยพลิสนรก แปลว่า นรกเบ็ดเหล็ก (หรือเรียกว่าโลหพลิสนรก) คือสัตว์นรกในขุมนี้ถูกเบ็ดเหล็กร้อนแดง เกี่ยวลิ้นลากออกมาให้ล้มไปทรมานบนพื้นเหล็กแดงแรงร้อน สำหรับบาปที่กดราคาของซื้อ โก่งราคาของขายเกินควร และใช้วิธีชั่งตวงวัดคดโกงด้วยโลภเจตนา
๑๓. อุทธังปาทนรก แปลว่า นรกที่จับเท้ายกขึ้นเบื้องบน ทิ้งลงไปให้จมฝังลงไปแค่สะเอว แล้วยังมีภูเขากลิ้งจากทิศทั้ง ๔ มาบดทรมาน เป็นนรกสำหรับสตรีที่นอกใจสามี เป็นชู้ด้วยชายอื่น (นรกแยกเพศเฉพาะหญิง)
๑๔. อวังสิรนรก แปลว่า นรกที่จับศีรษะห้อยลงเบื้องต่ำ ทิ้งลงไปให้ไหม้ทรมานเช่นเดียวกัน เป็นนรกสำหรับบุรุษที่เป็นชู้ด้วยภรรยาของคนอื่น (นรกแยกเพศเฉพาะชาย)
๑๕. โลหสิมพลีนรก แปลว่า นรกต้นงิ้วเหล็ก คือ สัตว์นรกในขุมนี้ต้องปีนต้นงิ้วเหล็ก มีหนามเหล็กแหลมแดงเป็นเปลวไฟร้อนแรง สำหรับบาปผิดศีลข้อ ๓ ทั้งชายและหญิง (นรกสหเพศ หรือสหนรก)
๑๖. ปจนนรก แปลว่านรกหมกไหม้ (หรือเรียกว่ามิจฉาทิฏฐินรก) คือสัตว์นรกในขุมนี้ต้องถูกหมกไหม้และถูกทิ่มแทงทรมาน สำหรับบาปที่เป็นมิจฉาทิฏฐิคือเห็นผิดว่าผลทานผลศีลไม่มี ผลกรรมดีกรรมชั่วไม่มี คุณมารดาบิดาไม่มี คุณสมณพราหมณ์ไม่มี เป็นต้น
นรก ๑๖ ขุมนี้มีในไตรภูมิพระร่วง ส่วนในเนมิราชชาดกมีเพียง ๑๕ ขุม เว้น นรกสหเพศ (ขุมที่ ๑๕) ขาดไปก็ดูไม่เป็นไร เพราะมีนรกแยกเพศอยู่แล้ว จึงยังมีที่สำหรับผู้ผิดศีลข้อ ๓ ไปได้อยู่ เป็นแต่ต้องแยกกันอยู่คนละแห่ง
นรกทั้ง ๑๖ ขุมนี้ ท่านว่ายัดเยียดเบียดเสียดเต็มไปด้วยสัตว์นรก จึงเรียกว่า อุสสทนรก แปลว่า นรกยัดเยียดเบียดเสียด เป็นนรกบริวารซึ่งอยู่ ๔ ด้านของสัญชีวนรก ซึ่งเป็นนรกใหญ่ขุมที่ ๑ มีนายนิรยบาลเป็นผู้ทำหน้าที่ทรมานประจำอยู่ทุกขุม เป็นจำพวกนรกร้อนเช่นเดียวกัน ส่วนนรกบริวารของนรกใหญ่อีก ๗ ขุม ยังไม่พบแสดงไว้
นอกจากนี้ ยังกล่าวว่ามีนรกอนุบริวารถัดออกไปอยู่รอบนอกของนรกบริวารทั้ง ๑๖ นั้นอีกมากมาย และเป็นธรรมดาของสัตว์นรกทั้งปวงที่ถูกทรมานอยู่ในนรกจะไม่ตาย รับการทรมานต่อไปจนกว่าจะสิ้นกรรม ดั่งคำที่เรียกว่า สัญชีวะ (แต่พระอาจารย์อธิบายว่าตายแล้วเป็นขึ้นทันที ส่วนชั้นบาลีว่าไม่ตายจนกว่าจะสิ้นกรรม)
(ส่วนหนึ่งจากเรื่องนรก หนังสือธรรมาภิธาน พจนานุกรมคำสอนพระพุทธศาสนา
พระนิพนธ์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก)
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 198 มิถุนายน 2560 โดย กองบรรณาธิการ)
ลำพังคำว่า “นรก” แปลว่า “เหว” เท่านั้น แต่ใช้เป็นคำแปลนิรยะที่เข้าใจกันดี กล่าวโดยเนื้อความก็คือ ภูมิภพที่ไม่มีสิ่งอันเป็นที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจเสียเลยทีเดียว ถ้าเป็นรูปก็เป็นรูปที่พึงเกลียดพึงชัง ถ้าเป็นเสียงก็เป็นเสียงที่พึงกลัว ถ้าเป็นกลิ่นก็เป็นกลิ่นที่พึงรังเกียจ ถ้าเป็นรสก็เป็นรสที่เป็นพิษแรงร้าย ถ้าเป็นสิ่งที่กายถูกต้องก็เป็นสิ่งที่ทำให้เจ็บปวดรวดร้าว รวมความว่าล้วนเป็นสิ่งที่ไม่พึงยินดีพอใจ ไม่เป็นสิ่งที่สำราญตา หู เป็นต้น ทั้งสิ้น เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความทุกข์แต่ส่วนเดียว (ท.ธ.๑๖)
ตามคติความคิดของอินเดียเก่าแก่ที่ติดมากล่าวว่า ลึกลงไปภายใต้แผ่นดินของจักรวาล โลกนี้เป็นที่ตั้งของนรกมากมาย เป็นสถานที่ทรมานสัตว์ผู้ทำบาปต่างๆ ซึ่งไปบังเกิดรับการทรมานภายหลังจากที่ตายไปแล้ว คำว่า นรก แปลว่า เหว ในภาษาบาลีมักเรียกว่า “นิรยะ” แปลว่า สถานที่ที่ไม่มีความเจริญ คือไม่มีสุข มีแต่ทุกข์ทรมาน คำว่า นิรยะ หรือ นรก ใช้หมายถึงสถานที่ทรมานสัตว์ทำบาปดังกล่าวเช่นเดียวกัน
นรกที่เป็นขุมใหญ่มีกล่าวไว้ในสังกิจจชาดก เป็นต้น ว่ามี ๘ คือ
๑. สัญชีวะ แปลว่า คืนชีวิตขึ้นเอง คือ สัตว์นรกในขุมนี้ถูกตัดเป็นท่อนเล็กท่อนใหญ่ แล้วก็กลับคืนชีวิตขึ้นมาเองอีก รับการทรมานอยู่ร่ำไป
ในคัมภีร์มหายานของทิเบตแสดงว่า นรกขุมนี้สำหรับบาปที่ทำฆาตกรรมตนเอง ทำฆาตกรรมผู้อื่น หมอที่ทอดทิ้งฆ่าคนไข้ของตน ผู้จัดการทรัพย์มรดกที่คดโกง และผู้ปกครองที่โหดร้าย เบียดเบียนประชาชน
๒. กาฬสุตตะ แปลว่า เส้นดำ คือสัตว์นรกในขุมนี้ถูกขีดเป็นเส้นดำที่ร่างกาย เหมือนอย่างตีเส้นที่ต้นซุงเพื่อจะเลื่อย แล้วถูกผ่าด้วยขวานเป็น ๘ เสี่ยง ๑๖ เสี่ยง
แต่ตามคัมภีร์ทิเบตกล่าวว่า ถูกเลื่อยด้วยเลื่อย และกล่าวการลงโทษอีกอย่างหนึ่ง คือ ลากลิ้นออกมาตอกและไถด้วยไถเหล็กแหลมเป็นจักๆ สำหรับบาปที่พูดส่อเสียด ยุยงให้เขาแตกกัน และเข้าไปยุ่งเกี่ยวขัดขวางกิจการของผู้อื่น และแสดงโดยทั่วไปว่า นรกขุมนี้สำหรับบาปที่แสดงความไม่นับถือ ลบหลู่ดูหมิ่นมารดา บิดา พระรัตนตรัย หรือพระศาสนา
๓. สังฆาฏะ แปลว่า กระทบกัน คือ มีภูเขาเหล็กคราวละ ๒ ลูก จากทิศที่ตรงกันข้าม เลื่อนเข้ามากระทบกันเอง บดสัตว์นรกให้ร่างแหลกละเอียดจาก ๔ ทิศ ก็เป็นภูเขา ๔ ลูกเลื่อนเข้ามากระทบกันตลอดเวลา
ในคัมภีร์มหายานของทิเบตกล่าวว่า ภูเขามีศีรษะเป็นสัตว์หรือเป็นเหล็กใหญ่รูปอย่างหนังสือ เลื่อนเข้ามา บดขยี้สัตว์เช่นเดียวกัน และกล่าวว่านรกขุมนี้สำหรับพวกพระ คฤหัสถ์ และคนที่ไม่เชื่อในศาสนา ซึ่งลบหลู่ดูหมิ่นหรือทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของพระคัมภีร์ และสำหรับพวกพระที่สะสมเงินเป็นก้อน ซึ่งพวกตนไม่ได้ประกอบการงาน และแสดงการทรมานอีกอย่างหนึ่ง คือ บดตำในครกเหล็ก ตีบนทั่งเหล็ก สำหรับทรมานผู้ทำโจรกรรม ผู้ที่มีสันดานร้ายกาจ ด้วยความโกรธริษยา โลภอยากได้ ผู้ที่ใช้เครื่องชั่งตวงวัดโกง และผู้ที่ทิ้งขยะมูลฝอยหรือสัตว์ตาย ลงในถนนหนทางสาธารณะ
๔. โรรุวะ แปลว่า ร้องครวญคราง คือ มีเปลวไฟเข้าไปทางทวารทั้ง ๙ เผาไหม้ในสรีระ จึงร้องครวญครางเพราะเปลวไฟ (ชาลโรรุวะ) บางพวกถูกหมอกควันด่าง(กรด) เข้าไปละลายสรีระ จนละเอียดเหมือนแป้ง จึงร้องครวญครางเพราะหมอกควัน (ธูมโรรุวะ)
ในคัมภีร์ทิเบตกล่าวว่า กรอกน้ำเหล็กแดงอันร้อนแรงทางปาก ผ่านลำคอลงไป สำหรับบาปที่กั้นปิดทางน้ำเพื่อประโยชน์ของตน แช่งด่าดินฟ้าอากาศ ทำลายพืชพันธุ์ธัญญาหารให้เสียหาย
๕. มหาโรรุวะ แปลว่า ร้องครวญครางมาก คือเป็นที่ทุกข์ทรมานยิ่งกว่าข้อ ๔ ในคัมภีร์ทิเบตกล่าวว่า สำหรับพาหิรชน คนบาปหนา
๖. ตาปนะ แปลว่า ร้อน ได้แก่ให้นั่งเสียบตรึงไว้ด้วยหลาวเหล็กบนแผ่นดินเหล็กแดงลุกเป็นไฟร้อนแรง บ้างก็ถูกต้อนขึ้นไปบนภูเขาเหล็กแดงเป็นไฟลุกโพลง ถูกพัดตกลงมาถูกเสียบด้วยหลาวเหล็กที่โผล่ขึ้นมาจากแผ่นดินเหล็กแดง
ในคัมภีร์ทิเบตกล่าวว่า ถูกขังอยู่ในห้องเหล็กแดง เป็นไฟร้อนแรง สำหรับบาปที่ปิ้งทอดหรือเสียบสัตว์ปิ้งเป็นอาหาร
๗. ปตาปนะ แปลว่า ร้อนสูงมาก คือ เป็นที่ทุกข์ทรมานยิ่งกว่าข้อ ๖
ในคัมภีร์ทิเบตกล่าวว่า ถูกทิ่มแทงด้วยหอกสามง่ามล้มกลิ้งลงไปบนพื้นเหล็กแดงอันร้อนแรง สำหรับบาปที่ละทิ้งพระศาสนา(เลิกนับถือ) หรือปฏิเสธความจริง
๘. อวีจิ แปลว่า ไม่มีระหว่าง คือ ไม่เว้นว่าง บางทีเรียก มหาอวีจิ แปลว่า อเวจีใหญ่ ภาษาไทยมักเรียกว่า อเวจี เปลวไฟนรกในนรกขุมนี้ลุกโพลงเต็มทั่วไปหมด ไม่มีระหว่างหรือเว้นว่าง สัตว์นรกในขุมนี้ก็แน่นขนัดเหมือนยัดทะนาน ไม่มีระหว่างหรือเว้นว่าง แต่ก็ไม่เบียดเสียดกันอย่างวัตถุ ต่างถูกไฟไหม้อยู่ที่เฉพาะตนๆ และความทุกข์ทรมานของสัตว์นรกขุมนี้ ก็บังเกิดขึ้นสืบเนื่องกันไป ไม่มีระหว่างหรือเว้นว่าง ฉะนั้น จึงเรียกว่า อวีจิ หรือ อเวจี ซึ่งมีคำแปลดังกล่าว
ในคัมภีร์ทางทิเบต กล่าวว่า สำหรับบาปที่ถือว่าเป็นอุกฤษฎ์ โทษตามลัทธิลามะ แต่ฝ่ายเถรวาทแสดงว่าสำหรับบาปที่เป็นอนันตริยกรรม
นรกใหญ่ทั้ง ๘ ขุมนี้ ใน สังกิจจชาดก เป็นต้น เรียง “อวีจิ” ไว้หน้า “ตาปนะ” แต่ในที่อื่นเช่นในไตรภูมิพระร่วง แสดงอวีจิ ไว้เป็นที่สุด และกล่าวว่าอยู่ซ้อนไปตามลำดับ “สัญชีวะ” อยู่เบื้องบนที่สุด และอยู่ใต้กันลงไปจนถึงอเวจี อยู่ใต้ที่สุด
เครื่องทรมานในนรกใหญ่ทั้ง ๘ ขุมดังกล่าว มีเหล็ก เช่น พื้นแผ่นดินเหล็กและเครื่องอาวุธเหล็กต่างๆ มีไฟ คือ เหล็กนั่นแหละลุกเป็นไฟร้อนแรง มีภูเขาเหล็กที่กลิ้งมาบด และมีหมอกควันชนิดเป็นกรด หรือด่าง ในขุมนรกที่ ๑ และที่ ๒ มีนายนิรยบาล แปลว่า ผู้รักษานรก ไทยเรียกว่า ยมบาล เป็นผู้ทำการทรมานสัตว์นรกแต่นรกขุมที่ลึกลงไปกว่านั้น ในอรรถกถาสังกิจจชาดกไม่ได้กล่าวถึงนายนิรยบาล กล่าวถึงไฟ เหล็ก เช่น เครื่องอาวุธต่างๆ เป็นต้น บังเกิดขึ้นทรมานสัตว์นรกเอง
อนึ่ง มีแสดงไว้ว่า นรกใหญ่ทั้ง ๘ ขุม มีนรกเล็กบริวารใน ๔ ด้าน ด้านละ ๔ ขุม รวม ๑๖ ขุม รวมนรกบริวารของนรกใหญ่ทั้ง ๘ ขุม ได้ ๑๒๘ ขุม รวมนรกใหญ่อีก ๘ ขุมเ ป็น ๑๓๖ ขุม
นรกบริวาร ในไตรภูมิพระร่วงเรียกว่าฝูงนรกบ่าว ในเนมิราชชาดก กล่าวว่า พระมาตลี เทพสารถีนำพระเจ้าเนมิราช พระราชาครองนครมิถิลา ในแคว้นวิเทหรัฐ ไปเที่ยวดูนรกบริวาร ๑๖ ขุม ซึ่งอยู่ล้อมรอบสัญชีวนรก อันเป็นนรกใหญ่ขุมที่ ๑ มีชื่อดังต่อไปนี้
๑. เวตรณีนรก แปลว่า แม่น้ำเวตรณี แปลว่า ข้ามยาก คือแม่น้ำด่างที่ร้อนเดือดพล่าน เรียกว่า เวตรณีบัวและสิ่งต่างๆ ในแม่น้ำนั้นเป็นอาวุธทั้งสิ้น นายนิรยบาลตกเบ็ดสัตว์นรกอีกด้วย สำหรับบาปที่ประกอบกรรมหยาบช้า เบียดเบียนผู้ที่อ่อนกำลังกว่า
๒.สุนขนรก แปลว่า นรกสุนัข คือฝูงสุนัขขาว แดง ดำ เหลือง และฝูงแร้งกา กลุ้มรุมกัด ตี จิกทรมาน สำหรับบาปที่กล่าวคำร้ายด่าว่าสมณพราหมณ์และท่านผู้มีคุณ
๓. สัญโชตินรก แปลว่า นรกไฟโพลง คือ สัตว์นรกในขุมนี้มีสรีระลุกเป็นไฟโพลงแผดเผาทั้งถูกทรมานต่างๆ สำหรับบาปที่ประกอบกรรมหยาบช้า เบียดเบียนบุรุษสตรีที่เป็นคนดีมีศีลธรรม ไม่มีความผิด
๔. อังคารกาสุนรก แปลว่า นรกหลุมถ่านเพลิง คือตกลงไปไหม้ทรมานในหลุมถ่านเพลิง สำหรับบาปที่ฉ้อโกง เบียดบัง ถือเอาทรัพย์ที่เขาบริจาคเพื่อการกุศล หรือชักชวนให้เขาบริจาคอ้างว่าเพื่อเป็นการกุศล ได้ทรัพย์มาแล้วถือเอาเสียเอง และสำหรับบาปที่เป็นหนี้ทรัพย์ผู้อื่นแล้วโกงหนี้นั้น
๕. โลหกุมภีนรก แปลว่า นรกหม้อโลหะ ไทยเราเรียกว่า นรกหม้อทองแดง เป็นที่ตกลงไปไหม้ทรมาน สำหรับบาปที่ทุบตีเบียดเบียนสมณพราหมณ์ผู้มีศีล
๖. คีวลุญจนรก แปลว่า นรกที่ดึงคอให้หลุด คือ เอาเชือกพันคอจุ่มลงไปในน้ำร้อนในหม้อทองแดงให้คอหลุดทรมาน สำหรับบาปที่ประกอบกรรมหยาบช้า เบียดเบียนทำลายหมู่เนื้อนก (นรกขุมนี้ในไตรภูมิพระร่วงเรียกโลหกุมภีเหมือนกัน)
๗. ถุสปลาสนรก แปลว่า นรกข้าวลีบและแกลบ คือสัตว์นรกขุมนี้ลงไปวักน้ำในแม่น้ำนรกดื่มด้วยความกระหาย น้ำที่ดื่มเข้าไปก็เป็นข้าวลีบและแกลบไฟ ไหม้ร่างกายทั้งหมด เป็นการทรมาน สำหรับบาปที่เอาข้าวลีบแกลบหรือฟางปนข้าวเปลือกลวงขายว่าข้าวดี (เอาข้าวสารไม่ดีปนข้าวดีลวงขายว่าข้าวดี ก็น่าจะอยู่ในนรกขุมนี้)
๘. สัตติหตสยนรก แปลว่า นรกที่แทงด้วยหอกจนล้มลง คือ สัตว์นรกในขุมนี้ถูกแทงด้วยอาวุธต่างๆ จนตัวพรุนอย่างใบไม้เก่า สำหรับบาปที่ประกอบกรรมมิชอบ เลี้ยงชีวิตด้วยอทินนาทานต่างๆ มีปล้นสะดม ขโมย ฉ้อโกง ทุจริต เบียดบัง เป็นต้น
๙. วิลตกนรก แปลว่า นรกแล่เนื้อ คือแล่เนื้อสัตว์นรกออกเป็นชิ้นๆ สำหรับบาปที่ประกอบกรรมหยาบช้า ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
๑๐. ปุราณมิฬหนรก แปลว่า นรกมูตรคูถหรือนรกอาจมเก่า คือสัตว์นรกในขุมนี้กินอาจมเก่าที่เหม็นนักหนา และลุกเป็นควันหรือเป็นไฟร้อนแรง สำหรับบาปที่ประทุษร้ายเบียดเบียนมิตรสหาย หรืออาศัยกินข้าวเขาแล้วยังขู่เอาทรัพย์ของเขา หรือเจ้าหน้าที่ขูดรีด
๑๑. โลหิตปุพพนรก แปลว่า นรกน้ำเลือดน้ำหนอง คือ สัตว์นรกในขุมนี้อยู่ในแม่น้ำแห่งเลือดและหนอง หิวกระหาย กินน้ำเลือดน้ำหนองซึ่งร้อนเป็นไฟเข้าไปลวกไหม้ทรมาน สำหรับบาปที่ทำร้ายมารดาบิดา และท่านที่มีคุณควรกราบไหว้บูชาทั้งหลาย
๑๒. อยพลิสนรก แปลว่า นรกเบ็ดเหล็ก (หรือเรียกว่าโลหพลิสนรก) คือสัตว์นรกในขุมนี้ถูกเบ็ดเหล็กร้อนแดง เกี่ยวลิ้นลากออกมาให้ล้มไปทรมานบนพื้นเหล็กแดงแรงร้อน สำหรับบาปที่กดราคาของซื้อ โก่งราคาของขายเกินควร และใช้วิธีชั่งตวงวัดคดโกงด้วยโลภเจตนา
๑๓. อุทธังปาทนรก แปลว่า นรกที่จับเท้ายกขึ้นเบื้องบน ทิ้งลงไปให้จมฝังลงไปแค่สะเอว แล้วยังมีภูเขากลิ้งจากทิศทั้ง ๔ มาบดทรมาน เป็นนรกสำหรับสตรีที่นอกใจสามี เป็นชู้ด้วยชายอื่น (นรกแยกเพศเฉพาะหญิง)
๑๔. อวังสิรนรก แปลว่า นรกที่จับศีรษะห้อยลงเบื้องต่ำ ทิ้งลงไปให้ไหม้ทรมานเช่นเดียวกัน เป็นนรกสำหรับบุรุษที่เป็นชู้ด้วยภรรยาของคนอื่น (นรกแยกเพศเฉพาะชาย)
๑๕. โลหสิมพลีนรก แปลว่า นรกต้นงิ้วเหล็ก คือ สัตว์นรกในขุมนี้ต้องปีนต้นงิ้วเหล็ก มีหนามเหล็กแหลมแดงเป็นเปลวไฟร้อนแรง สำหรับบาปผิดศีลข้อ ๓ ทั้งชายและหญิง (นรกสหเพศ หรือสหนรก)
๑๖. ปจนนรก แปลว่านรกหมกไหม้ (หรือเรียกว่ามิจฉาทิฏฐินรก) คือสัตว์นรกในขุมนี้ต้องถูกหมกไหม้และถูกทิ่มแทงทรมาน สำหรับบาปที่เป็นมิจฉาทิฏฐิคือเห็นผิดว่าผลทานผลศีลไม่มี ผลกรรมดีกรรมชั่วไม่มี คุณมารดาบิดาไม่มี คุณสมณพราหมณ์ไม่มี เป็นต้น
นรก ๑๖ ขุมนี้มีในไตรภูมิพระร่วง ส่วนในเนมิราชชาดกมีเพียง ๑๕ ขุม เว้น นรกสหเพศ (ขุมที่ ๑๕) ขาดไปก็ดูไม่เป็นไร เพราะมีนรกแยกเพศอยู่แล้ว จึงยังมีที่สำหรับผู้ผิดศีลข้อ ๓ ไปได้อยู่ เป็นแต่ต้องแยกกันอยู่คนละแห่ง
นรกทั้ง ๑๖ ขุมนี้ ท่านว่ายัดเยียดเบียดเสียดเต็มไปด้วยสัตว์นรก จึงเรียกว่า อุสสทนรก แปลว่า นรกยัดเยียดเบียดเสียด เป็นนรกบริวารซึ่งอยู่ ๔ ด้านของสัญชีวนรก ซึ่งเป็นนรกใหญ่ขุมที่ ๑ มีนายนิรยบาลเป็นผู้ทำหน้าที่ทรมานประจำอยู่ทุกขุม เป็นจำพวกนรกร้อนเช่นเดียวกัน ส่วนนรกบริวารของนรกใหญ่อีก ๗ ขุม ยังไม่พบแสดงไว้
นอกจากนี้ ยังกล่าวว่ามีนรกอนุบริวารถัดออกไปอยู่รอบนอกของนรกบริวารทั้ง ๑๖ นั้นอีกมากมาย และเป็นธรรมดาของสัตว์นรกทั้งปวงที่ถูกทรมานอยู่ในนรกจะไม่ตาย รับการทรมานต่อไปจนกว่าจะสิ้นกรรม ดั่งคำที่เรียกว่า สัญชีวะ (แต่พระอาจารย์อธิบายว่าตายแล้วเป็นขึ้นทันที ส่วนชั้นบาลีว่าไม่ตายจนกว่าจะสิ้นกรรม)
(ส่วนหนึ่งจากเรื่องนรก หนังสือธรรมาภิธาน พจนานุกรมคำสอนพระพุทธศาสนา
พระนิพนธ์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก)
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 198 มิถุนายน 2560 โดย กองบรรณาธิการ)