สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้ทรงนิพนธ์เรื่อง “จิตฺตนคร” ขึ้นสำหรับบรรยายทางรายการวิทยุ อส.พระราชวังดุสิต ประจำวันอาทิตย์ ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๑๑-๒๕๒๓ และได้รวบรวมพิมพ์ครั้งแรกในเรื่อง การบริหารทางจิตสำหรับผู้ใหญ่ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๑
พระนิพนธ์เรื่องนี้ ทรงนำเอาเรื่องจิตและธรรมะที่เกี่ยวกับจิตในแง่มุมต่างๆมาผูกเป็นเรื่องราวทำนองปุคคลาธิษฐาน
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับบุญบาปนั้น สัมมาทิฐิได้ชี้ให้ดูที่การที่ทำต่างๆ อันเรียกว่า “กรรม” การที่ทำต่างๆ ทางกายทางวาจา เป็นสิ่งที่มองเห็น เพราะจะต้องใช้ร่างกาย เช่นมือเท้าเป็นต้นทำ เหมือนอย่างจะปลูกบ้าน จะทำสวนทำนา ตลอดถึงจะทำร้ายใครก็ต้องใช้มือเท้าทำ แม้จะมีเครื่องมือ อาวุธ ก็ต้องใช้มือเท้าอีกเหมือนกันหยิบจับเสือกใส ดังนี้ก็เรียกว่าทำทางกาย เมื่อใช้ร่างกายส่วนที่เรียกว่าปากพูด เช่นพูดสนทนาปราศรัย พูดแนะนำ ตลอดถึงพูดด่าหรือพูดเท็จหลอกลวงกัน หรือเขียนหนังสือแทนปากพูด หรือเรียกว่าทำทางวาจาเป็นกรรม คือการที่ทำแต่ละอย่างที่เห็นกันได้และได้ยินกันได้
แต่ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่คิดอยู่แต่ในใจ เช่น คิดดำริหรือนึกตรึกตรองเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ตลอดถึงคิดอยากได้สิ่งของใครๆ คิดปองร้ายใคร วางแผนที่จะทำร้ายเขา คิดเห็นไปผิดๆ ต่างๆ ตามมิจฉาทิฐิ ดังนี้ก็เรียกว่าทำทางใจ เป็นกรรมทางใจ ใครมองไม่เห็น ฟังไม่ได้ยิน สัมมาทิฐิชี้ให้ดูว่า กรรมดังกล่าวมีอยู่จริง และกรรมนี้ออกมาจากใจ เพราะจะต้องมีเจตนาหรือความจงใจขึ้นก่อนจึงจะทำอะไรออกไป
องค์พระบรมครูได้ตรัสไว้ว่า “เรากล่าวเจตนาคือความจงใจเป็นกรรม เพราะบุคคลมีความจงใจ แล้วจึงทำกรรมทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง ทางใจบ้าง” ข้อนี้ไม่มีใครเถียงได้ เพราะทุกคนย่อมรู้ที่ตนเองว่า เมื่อตนจะทำอะไร ก็ต้องมีเจตนาขึ้นก่อน และข้อนี้เป็นหลักฐานที่ ๑ ที่ยืนยันว่า สิ่งที่มองไม่เห็น ได้ยินไม่ได้ มีอยู่ จะปฏิเสธว่าไม่มีหาได้ไม่ สิ่งนั้นคือ “เจตนา” ต้องมีสิ่งที่มองไม่เห็นตัวนี้ จึงจะสำเร็จเป็นกรรมอะไรขึ้นมาได้
สัมมาทิฐิได้ชี้แจงต่อไปว่า กรรมนี้เองเป็นที่ตั้งแห่งบุญบาป โดยชี้ให้ดูกรรมของผู้ร้ายฝ่ายหนึ่ง ดังที่เรียกกันว่า “อาชญากรรม” กรรมของผู้สงเคราะห์ฝ่ายหนึ่ง ดังที่เรียกว่า “สังคหกรรม” คือกรรมสงเคราะห์ ฝ่ายแรกนั่นแหละเรียกว่า “บาป” หรือ “อกุศล” ดังที่เรียกว่า “ความชั่ว” เพราะล้วนแต่ก่อทุกข์เดือดร้อนให้เกิดขึ้นทั้งนั้น ทั้งแก่ตัวผู้ทำเอง ทั้งแก่ผู้อื่น หรือใครจะเถียงว่าก่อให้เกิดความสุข และต้องการให้ผู้ร้ายมาก่ออาชญากรรมให้แก่ตน
“บุญ” หรือ “กุศล” ดังที่เรียกว่า “ความดี” เพราะล้วนแต่เกื้อกูลให้เกิดสุข หรือใครจะเถียงว่าก่อให้เกิดทุกข์เดือดร้อน และไม่ต้องการความสงเคราะห์อนุเคราะห์จากใคร นี้แหละคือบุญบาปเป็นของมีจริง เป็นสิ่งที่ตั้งขึ้นจาก “กรรม” คือ “การที่ทำ” ต่างๆของทุกคน ซึ่งทุกๆคนก็ต้องรับรอง จะต้องเกลียด ต้องกลัวผู้ร้าย จะต้องชอบผู้สงเคราะห์ซึ่งควรจะเรียกว่า “ผู้ดี”
ฉะนั้น ถ้าใช้ความคิดดูสักนิดหนึ่งเท่านั้น ก็จะต้องรับรองว่าบาปบุญมีจริง แต่การใช้ความคิดนี้จะต้องคิดเปรียบเทียบว่า ตนฉันใด ผู้อื่นฉันนั้น ผู้อื่นฉันใด ตนก็ฉันนั้น คนที่รู้สึกสนุก เป็นสุขในการทำกรรมเบียดเบียนผู้อื่น เพราะมิได้คิดเปรียบเทียบว่าถ้าตนเองถูกเบียดเบียนเหมือนอย่างนั้น จะรู้สึกสนุกเป็นสุขหรือไม่ คนมิใช่น้อยไปได้ความคิดที่ถูกในเมื่อสายไปเสียแล้ว
ผู้มาบริหารจิต คือผู้ที่กำลังพยายามจะป้องกันมิให้ความคิดถูกเกิดขึ้นสายเกินไป
สัมมาทิฐิได้ชี้แจงเนืองๆ ให้ชาวจิตตนครมองเห็นว่า มีกรรมมีบุญมีบาป ชาวจิตตนครมีความสามารถพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง คือ สามารถเข้าใจเรื่องทางจิตใจได้รวดเร็ว อาจที่จะมองเห็นภาพทางจิตได้ เหมือนอย่างภาพที่มองเห็นด้วยตา เห็นจะเทียบเหมือนอย่างตาแมว ที่เขาว่ามองเห็นสิ่งอะไรในความมืดได้ดีกว่าตาคน เหมือนอย่างเรื่องกรรม
เมื่อกล่าวว่า กรรมเกิดจากใจคือเจตนา ชาวจิตตนครก็เข้าใจและรับรองทันที และเมื่อกล่าวว่า บุญบาปก็ตั้งขึ้นจากกรรม คือเมื่อเป็นการเบียดเบียนก็เป็นบาป เมื่อเป็นการเกื้อกูลก็เป็นบุญ ชาวจิตตนครก็พอเข้าใจ แต่ยังไม่แจ่มนัก สัมมาทิฐิจึงอธิบายต่อไปว่า กล่าวอย่างตรงเผงทีเดียว เมื่อทำให้ใจเศร้าหมองก็เป็นบาป เมื่อชำระทำใจให้บริสุทธิ์ผ่องใสก็เป็นบุญ ชาวจิตตนครก็เข้าใจรับรองทันที
ครั้นชาวจิตตนครเข้าใจรับรองว่า มีกรรมมีบุญมีบาปดังนี้แล้ว สัมมาทิฐิก็ชี้แจงต่อไปว่า เพื่อให้เข้าใจง่าย กรรมบุญบาปดังกล่าวนั้นอาจกล่าวได้ว่า บุญก็คือกรรมดีหรือกุศลกรรม บาปก็คือกรรมชั่วหรืออกุศลกรรม เมื่อมีกรรมดีกรรมชั่ว หรือมีบุญมีบาป ก็ต้องมีเหตุ เพราะกรรมดีกรรมชั่วหรือบุญบาปนี่แหละเป็นเหตุ คือกรรมดีหรือบุญเป็นเหตุให้เกิดผลดีต่างๆ ส่วนกรรมชั่วหรือบาปเป็นเหตุให้เกิดผลชั่วต่างๆ
ที่เรียกว่าผลดังกล่าวก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นแก่ชีวิต เป็นสุขสมบัติก็มี เป็นทุกขวิบัติก็มี สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้มิใช่เป็นความประจวบเข้าโดยบังเอิญ เหมือนอย่างที่มิจฉาทิฐิยกตัวอย่างรถสองคันวิ่งมาชนกัน และสรุปเอาว่า ความประจวบกันเข้านี่แหละเป็นความเกิดขึ้นของสิ่งทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นในทางสุขหรือทุกข์ทั้งสิ้น ไม่มีเหตุอะไรที่ไหนอีก
เพื่อที่จะหักล้างถ้อยคำของมิจฉาทิฐิดังกล่าว สัมมาทิฐิยังยกตัวอย่างรถที่วิ่งมาชนกันเช่นนั้นและถามขึ้นว่า รถวิ่งมาเองหรือมีคนขับ ก็ตอบว่ามีคนขับ จึงถามต่อไปว่า เมื่อมีคนขับก็ต้องมีใจเจตนาเข้าเกี่ยวข้อง คือคนขับจะต้องมีใจเจตนา อะไรทำให้เกิดใจเจตนาที่จะขับรถไปทางนั้นขณะนั้น ถ้าผิดเวลาไปเพียงนิดเดียว ก็จะไม่เกิดความประจวบกัน คือชนกัน
องค์พระบรมครูเจ้าตรัสว่า กรรมนี้เองเป็นเหตุ ถ้าจะแย้งว่าเป็นเหตุที่มองไม่เห็นตัวเป็นการอ้างเอง สัมมาทิฐิก็ตอบว่าใจเจตนาก็มองไม่เห็นตัว ทำไมถึงมีได้ กรรมเกิดจากใจ บุญบาปก็เกิดที่ใจ ทำๆไปแล้วก็เก็บไว้ที่ใจ ดังที่ทุกๆคนทำอะไรไว้ก็มักจะจำได้โดยมาก ถึงจะทำไว้นานจนลืมไปเสีย ก็อาจจะนึกขึ้นมาได้อีก เพราะเก็บไว้ที่ใจทั้งสิ้น กรรมนี้แหละเป็นตัวเหตุ ที่ดลบันดาลให้เกิดการประจวบเป็นตัวผลที่เกิดขึ้น เช่น ดลใจให้ขับรถไปชนกัน ถ้าเป็นกรรมดี ก็ดลบันดาลให้แคล้วคลาดจากการประจวบในทางร้าย แต่ให้ประจวบในทางดีที่ตรงกันข้าม
สัมมาทิฐิเน้นว่าไม่มีเทพเจ้ามาดลบันดาล กรรมของตนที่แต่ละคนทำไว้นี่แหละเป็นผู้ดลบันดาล แต่เทพเจ้าถ้ามี อาจเป็นเครื่องประกอบของการประจวบได้เช่นเดียวกันกับบุคคลและสิ่งต่างๆ ที่เป็นเครื่องประกอบในฐานะเป็นผล คือเทพเจ้าหรือบุคคลที่มาช่วยก็เพราะกรรมดีของผู้นั้นๆเอง สัมมาทิฐิได้ชี้แจงให้เห็นว่ามีบุญมีบาป และสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นสุขทุกข์เป็นผลที่มีเหตุ คือบุญบาปที่คนทำไว้นั้นเองเป็นเหตุ
ครั้นแล้วได้ชี้แจงต่อไปว่า เมื่อมีบุญบาปก็ต้องมีคนดีคนชั่ว คนที่ละกิเลสได้บางอย่าง จนถึงละได้หมดก็เป็นพระอริยบุคคล ที่ยังละกิเลสอะไรไม่ได้ก็เป็นปุถุชน เป็นชนิดอันธพาลก็มี ชนิดธรรมดาก็มี ชนิดกัลยาณชน คือที่ทำดีเป็นปรกติก็มี กรรมเป็นเครื่องแบ่งให้คนเป็นต่างๆ กันดังกล่าว ในหมู่คนก็มีความเกี่ยวข้องกันในฐานะเป็นมารดาบิดา บุตรธิดา เป็นต้น
สัมมาทิฐิได้สอนให้มารดาบิดาอุปการะเลี้ยงดูบุตรธิดาด้วยดี ให้มีพรหมวิหารธรรม มีเมตตากรุณาเป็นต้น และสอนบุตรธิดาให้เคารพนับถือมารดาบิดา ให้มีกตัญญูกตเวที ไม่ลบหลู่ดูหมิ่น สอนให้เข้าใจว่ามีโลกนี้โลกหน้าเหมือนอย่างว่ามีวันนี้พรุ่งนี้ และมีสุคติมีทุคติ คนที่ทำกรรมดีก็มีสุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้า ส่วนคนที่ทำกรรมชั่วก็มีทุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้า ฉะนั้น อย่าเข้าใจว่าไม่มีโลกหน้า
คนที่ทำโจรกรรมย่อมจะต้องเข้าใจว่า จะทำได้สำเร็จและจะไม่ถูกจับ ถ้าเข้าใจว่าทำไม่สำเร็จหรือทำสำเร็จ แต่ถูกจับคงไม่ทำ ความจริงควรเข้าใจว่า จะต้องถูกจับแน่นอนไม่ต้องสงสัย ไม่ถูกตำรวจจับ ก็ต้องถูกกรรมชั่วจับและลงโทษ มิใช่ชาตินี้ก็ชาติหน้า ฉะนั้นควรจะเชื่อว่าชาติหน้ามีถึงจะยังมองไม่เห็น เพราะจะได้มีความเกรงกลัวต่อความชั่วทั้งหลาย และควรจะเชื่อว่ามีนรกสวรรค์ด้วย เพราะจะทำให้เว้นกรรมชั่ว ประกอบกรรมที่ดี
สัมมาทิฐิได้ชี้แจงให้เข้าใจว่า สิ่งทั้งหลายดังกล่าวมีอยู่ อย่าไปเชื่อใครที่บอกว่าไม่มี เช่นบอกว่าอย่านับถือมารดาบิดา อย่านับถือพระอริยบุคคล เพราะไม่มีมารดาบิดา ไม่มีพระอริยบุคคลที่ไหน เป็นต้น ให้ทุกคนเคารพนับถือมารดาบิดา ให้ปฏิบัติบำรุงท่านเป็นบุญกุศล ให้เคารพนับถือพระอริยบุคคล พระอริยเจ้า หรือกล่าวรวมๆ ว่าให้นับถือพระ การให้ทานแก่ท่านเป็นบุญเป็นกุศล
อนึ่ง สัมมาทิฐิได้ชี้แจงว่า บางคนไม่เข้าใจ บางคนเข้าใจ แต่ฉวยโอกาสกล่าวบิดเบือนคำสั่งสอนขององค์พระบรมครู เช่นเมื่อได้ยินพระองค์ตรัสว่า “สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา” ก็กล่าวว่า เพราะตรัสดังนั้น จึงไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา จึงไม่มีบุคคลระดับต่างๆ ที่นับถือกัน ตลอดถึงไม่มีใครเป็นพ่อแม่เป็นลูกเป็นต้น ดึงเข้าหาทิฐิหรือลัทธิที่ผิดตามที่ประสงค์จะดึงไป
อันที่จริงองค์พระบรมครูทรงสอนให้ปฏิบัติโดยชอบในสัจจะ ๒ อย่าง คือ โลกสัจจะหรือสมมุติสัจจะ กับ ปรมัตถสัจจะ โลกสัจจะหรือสมมุติสัจจะนั้น คือสัจจะตามที่รู้กันนับถือกันทางโลกต่างๆ เช่นความเป็นมารดาบิดา บุตรธิดา ความเป็นบุคคล ความเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติ ความสืบสกุลเชื้อสายเป็นต้น ฉะนั้น จึงตรัสให้เว้นจากการฆ่าทำร้ายชีวิตร่างกายกัน เป็นการรับรองว่ามีสัตว์บุคคลตัวตน ให้เว้นจากการลัก เป็นการรับรองว่ามีความเป็นเจ้าของในทรัพย์สมบัติ เท่ากับรับรองว่ามีเรามีของเรา ให้เว้นจากประพฤติผิดในทางกาม เป็นการรับรองวงศ์ตระกูลเชื้อสายเป็นต้น
พระพุทธศาสนาจึงมิได้ปฏิเสธสัจจะดังกล่าว แต่รับรองว่าเป็นสัจจะคือเป็นจริงอย่างหนึ่งๆ ซึ่งจะต้องปฏิบัติต่อกันโดยชอบ แม้สามารถปฏิบัติโดยชอบได้ในสัจจะดังกล่าว ก็จะได้รับพรที่เกิดจากกรรมของตนเอง อันเป็นพรที่ศักดิ์สิทธิ์เหนือพรที่จะได้รับจากการให้ของผู้อื่น
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 193 มกราคม 2560 โดย สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก)
พระนิพนธ์เรื่องนี้ ทรงนำเอาเรื่องจิตและธรรมะที่เกี่ยวกับจิตในแง่มุมต่างๆมาผูกเป็นเรื่องราวทำนองปุคคลาธิษฐาน
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับบุญบาปนั้น สัมมาทิฐิได้ชี้ให้ดูที่การที่ทำต่างๆ อันเรียกว่า “กรรม” การที่ทำต่างๆ ทางกายทางวาจา เป็นสิ่งที่มองเห็น เพราะจะต้องใช้ร่างกาย เช่นมือเท้าเป็นต้นทำ เหมือนอย่างจะปลูกบ้าน จะทำสวนทำนา ตลอดถึงจะทำร้ายใครก็ต้องใช้มือเท้าทำ แม้จะมีเครื่องมือ อาวุธ ก็ต้องใช้มือเท้าอีกเหมือนกันหยิบจับเสือกใส ดังนี้ก็เรียกว่าทำทางกาย เมื่อใช้ร่างกายส่วนที่เรียกว่าปากพูด เช่นพูดสนทนาปราศรัย พูดแนะนำ ตลอดถึงพูดด่าหรือพูดเท็จหลอกลวงกัน หรือเขียนหนังสือแทนปากพูด หรือเรียกว่าทำทางวาจาเป็นกรรม คือการที่ทำแต่ละอย่างที่เห็นกันได้และได้ยินกันได้
แต่ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่คิดอยู่แต่ในใจ เช่น คิดดำริหรือนึกตรึกตรองเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ตลอดถึงคิดอยากได้สิ่งของใครๆ คิดปองร้ายใคร วางแผนที่จะทำร้ายเขา คิดเห็นไปผิดๆ ต่างๆ ตามมิจฉาทิฐิ ดังนี้ก็เรียกว่าทำทางใจ เป็นกรรมทางใจ ใครมองไม่เห็น ฟังไม่ได้ยิน สัมมาทิฐิชี้ให้ดูว่า กรรมดังกล่าวมีอยู่จริง และกรรมนี้ออกมาจากใจ เพราะจะต้องมีเจตนาหรือความจงใจขึ้นก่อนจึงจะทำอะไรออกไป
องค์พระบรมครูได้ตรัสไว้ว่า “เรากล่าวเจตนาคือความจงใจเป็นกรรม เพราะบุคคลมีความจงใจ แล้วจึงทำกรรมทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง ทางใจบ้าง” ข้อนี้ไม่มีใครเถียงได้ เพราะทุกคนย่อมรู้ที่ตนเองว่า เมื่อตนจะทำอะไร ก็ต้องมีเจตนาขึ้นก่อน และข้อนี้เป็นหลักฐานที่ ๑ ที่ยืนยันว่า สิ่งที่มองไม่เห็น ได้ยินไม่ได้ มีอยู่ จะปฏิเสธว่าไม่มีหาได้ไม่ สิ่งนั้นคือ “เจตนา” ต้องมีสิ่งที่มองไม่เห็นตัวนี้ จึงจะสำเร็จเป็นกรรมอะไรขึ้นมาได้
สัมมาทิฐิได้ชี้แจงต่อไปว่า กรรมนี้เองเป็นที่ตั้งแห่งบุญบาป โดยชี้ให้ดูกรรมของผู้ร้ายฝ่ายหนึ่ง ดังที่เรียกกันว่า “อาชญากรรม” กรรมของผู้สงเคราะห์ฝ่ายหนึ่ง ดังที่เรียกว่า “สังคหกรรม” คือกรรมสงเคราะห์ ฝ่ายแรกนั่นแหละเรียกว่า “บาป” หรือ “อกุศล” ดังที่เรียกว่า “ความชั่ว” เพราะล้วนแต่ก่อทุกข์เดือดร้อนให้เกิดขึ้นทั้งนั้น ทั้งแก่ตัวผู้ทำเอง ทั้งแก่ผู้อื่น หรือใครจะเถียงว่าก่อให้เกิดความสุข และต้องการให้ผู้ร้ายมาก่ออาชญากรรมให้แก่ตน
“บุญ” หรือ “กุศล” ดังที่เรียกว่า “ความดี” เพราะล้วนแต่เกื้อกูลให้เกิดสุข หรือใครจะเถียงว่าก่อให้เกิดทุกข์เดือดร้อน และไม่ต้องการความสงเคราะห์อนุเคราะห์จากใคร นี้แหละคือบุญบาปเป็นของมีจริง เป็นสิ่งที่ตั้งขึ้นจาก “กรรม” คือ “การที่ทำ” ต่างๆของทุกคน ซึ่งทุกๆคนก็ต้องรับรอง จะต้องเกลียด ต้องกลัวผู้ร้าย จะต้องชอบผู้สงเคราะห์ซึ่งควรจะเรียกว่า “ผู้ดี”
ฉะนั้น ถ้าใช้ความคิดดูสักนิดหนึ่งเท่านั้น ก็จะต้องรับรองว่าบาปบุญมีจริง แต่การใช้ความคิดนี้จะต้องคิดเปรียบเทียบว่า ตนฉันใด ผู้อื่นฉันนั้น ผู้อื่นฉันใด ตนก็ฉันนั้น คนที่รู้สึกสนุก เป็นสุขในการทำกรรมเบียดเบียนผู้อื่น เพราะมิได้คิดเปรียบเทียบว่าถ้าตนเองถูกเบียดเบียนเหมือนอย่างนั้น จะรู้สึกสนุกเป็นสุขหรือไม่ คนมิใช่น้อยไปได้ความคิดที่ถูกในเมื่อสายไปเสียแล้ว
ผู้มาบริหารจิต คือผู้ที่กำลังพยายามจะป้องกันมิให้ความคิดถูกเกิดขึ้นสายเกินไป
สัมมาทิฐิได้ชี้แจงเนืองๆ ให้ชาวจิตตนครมองเห็นว่า มีกรรมมีบุญมีบาป ชาวจิตตนครมีความสามารถพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง คือ สามารถเข้าใจเรื่องทางจิตใจได้รวดเร็ว อาจที่จะมองเห็นภาพทางจิตได้ เหมือนอย่างภาพที่มองเห็นด้วยตา เห็นจะเทียบเหมือนอย่างตาแมว ที่เขาว่ามองเห็นสิ่งอะไรในความมืดได้ดีกว่าตาคน เหมือนอย่างเรื่องกรรม
เมื่อกล่าวว่า กรรมเกิดจากใจคือเจตนา ชาวจิตตนครก็เข้าใจและรับรองทันที และเมื่อกล่าวว่า บุญบาปก็ตั้งขึ้นจากกรรม คือเมื่อเป็นการเบียดเบียนก็เป็นบาป เมื่อเป็นการเกื้อกูลก็เป็นบุญ ชาวจิตตนครก็พอเข้าใจ แต่ยังไม่แจ่มนัก สัมมาทิฐิจึงอธิบายต่อไปว่า กล่าวอย่างตรงเผงทีเดียว เมื่อทำให้ใจเศร้าหมองก็เป็นบาป เมื่อชำระทำใจให้บริสุทธิ์ผ่องใสก็เป็นบุญ ชาวจิตตนครก็เข้าใจรับรองทันที
ครั้นชาวจิตตนครเข้าใจรับรองว่า มีกรรมมีบุญมีบาปดังนี้แล้ว สัมมาทิฐิก็ชี้แจงต่อไปว่า เพื่อให้เข้าใจง่าย กรรมบุญบาปดังกล่าวนั้นอาจกล่าวได้ว่า บุญก็คือกรรมดีหรือกุศลกรรม บาปก็คือกรรมชั่วหรืออกุศลกรรม เมื่อมีกรรมดีกรรมชั่ว หรือมีบุญมีบาป ก็ต้องมีเหตุ เพราะกรรมดีกรรมชั่วหรือบุญบาปนี่แหละเป็นเหตุ คือกรรมดีหรือบุญเป็นเหตุให้เกิดผลดีต่างๆ ส่วนกรรมชั่วหรือบาปเป็นเหตุให้เกิดผลชั่วต่างๆ
ที่เรียกว่าผลดังกล่าวก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นแก่ชีวิต เป็นสุขสมบัติก็มี เป็นทุกขวิบัติก็มี สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้มิใช่เป็นความประจวบเข้าโดยบังเอิญ เหมือนอย่างที่มิจฉาทิฐิยกตัวอย่างรถสองคันวิ่งมาชนกัน และสรุปเอาว่า ความประจวบกันเข้านี่แหละเป็นความเกิดขึ้นของสิ่งทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นในทางสุขหรือทุกข์ทั้งสิ้น ไม่มีเหตุอะไรที่ไหนอีก
เพื่อที่จะหักล้างถ้อยคำของมิจฉาทิฐิดังกล่าว สัมมาทิฐิยังยกตัวอย่างรถที่วิ่งมาชนกันเช่นนั้นและถามขึ้นว่า รถวิ่งมาเองหรือมีคนขับ ก็ตอบว่ามีคนขับ จึงถามต่อไปว่า เมื่อมีคนขับก็ต้องมีใจเจตนาเข้าเกี่ยวข้อง คือคนขับจะต้องมีใจเจตนา อะไรทำให้เกิดใจเจตนาที่จะขับรถไปทางนั้นขณะนั้น ถ้าผิดเวลาไปเพียงนิดเดียว ก็จะไม่เกิดความประจวบกัน คือชนกัน
องค์พระบรมครูเจ้าตรัสว่า กรรมนี้เองเป็นเหตุ ถ้าจะแย้งว่าเป็นเหตุที่มองไม่เห็นตัวเป็นการอ้างเอง สัมมาทิฐิก็ตอบว่าใจเจตนาก็มองไม่เห็นตัว ทำไมถึงมีได้ กรรมเกิดจากใจ บุญบาปก็เกิดที่ใจ ทำๆไปแล้วก็เก็บไว้ที่ใจ ดังที่ทุกๆคนทำอะไรไว้ก็มักจะจำได้โดยมาก ถึงจะทำไว้นานจนลืมไปเสีย ก็อาจจะนึกขึ้นมาได้อีก เพราะเก็บไว้ที่ใจทั้งสิ้น กรรมนี้แหละเป็นตัวเหตุ ที่ดลบันดาลให้เกิดการประจวบเป็นตัวผลที่เกิดขึ้น เช่น ดลใจให้ขับรถไปชนกัน ถ้าเป็นกรรมดี ก็ดลบันดาลให้แคล้วคลาดจากการประจวบในทางร้าย แต่ให้ประจวบในทางดีที่ตรงกันข้าม
สัมมาทิฐิเน้นว่าไม่มีเทพเจ้ามาดลบันดาล กรรมของตนที่แต่ละคนทำไว้นี่แหละเป็นผู้ดลบันดาล แต่เทพเจ้าถ้ามี อาจเป็นเครื่องประกอบของการประจวบได้เช่นเดียวกันกับบุคคลและสิ่งต่างๆ ที่เป็นเครื่องประกอบในฐานะเป็นผล คือเทพเจ้าหรือบุคคลที่มาช่วยก็เพราะกรรมดีของผู้นั้นๆเอง สัมมาทิฐิได้ชี้แจงให้เห็นว่ามีบุญมีบาป และสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นสุขทุกข์เป็นผลที่มีเหตุ คือบุญบาปที่คนทำไว้นั้นเองเป็นเหตุ
ครั้นแล้วได้ชี้แจงต่อไปว่า เมื่อมีบุญบาปก็ต้องมีคนดีคนชั่ว คนที่ละกิเลสได้บางอย่าง จนถึงละได้หมดก็เป็นพระอริยบุคคล ที่ยังละกิเลสอะไรไม่ได้ก็เป็นปุถุชน เป็นชนิดอันธพาลก็มี ชนิดธรรมดาก็มี ชนิดกัลยาณชน คือที่ทำดีเป็นปรกติก็มี กรรมเป็นเครื่องแบ่งให้คนเป็นต่างๆ กันดังกล่าว ในหมู่คนก็มีความเกี่ยวข้องกันในฐานะเป็นมารดาบิดา บุตรธิดา เป็นต้น
สัมมาทิฐิได้สอนให้มารดาบิดาอุปการะเลี้ยงดูบุตรธิดาด้วยดี ให้มีพรหมวิหารธรรม มีเมตตากรุณาเป็นต้น และสอนบุตรธิดาให้เคารพนับถือมารดาบิดา ให้มีกตัญญูกตเวที ไม่ลบหลู่ดูหมิ่น สอนให้เข้าใจว่ามีโลกนี้โลกหน้าเหมือนอย่างว่ามีวันนี้พรุ่งนี้ และมีสุคติมีทุคติ คนที่ทำกรรมดีก็มีสุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้า ส่วนคนที่ทำกรรมชั่วก็มีทุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้า ฉะนั้น อย่าเข้าใจว่าไม่มีโลกหน้า
คนที่ทำโจรกรรมย่อมจะต้องเข้าใจว่า จะทำได้สำเร็จและจะไม่ถูกจับ ถ้าเข้าใจว่าทำไม่สำเร็จหรือทำสำเร็จ แต่ถูกจับคงไม่ทำ ความจริงควรเข้าใจว่า จะต้องถูกจับแน่นอนไม่ต้องสงสัย ไม่ถูกตำรวจจับ ก็ต้องถูกกรรมชั่วจับและลงโทษ มิใช่ชาตินี้ก็ชาติหน้า ฉะนั้นควรจะเชื่อว่าชาติหน้ามีถึงจะยังมองไม่เห็น เพราะจะได้มีความเกรงกลัวต่อความชั่วทั้งหลาย และควรจะเชื่อว่ามีนรกสวรรค์ด้วย เพราะจะทำให้เว้นกรรมชั่ว ประกอบกรรมที่ดี
สัมมาทิฐิได้ชี้แจงให้เข้าใจว่า สิ่งทั้งหลายดังกล่าวมีอยู่ อย่าไปเชื่อใครที่บอกว่าไม่มี เช่นบอกว่าอย่านับถือมารดาบิดา อย่านับถือพระอริยบุคคล เพราะไม่มีมารดาบิดา ไม่มีพระอริยบุคคลที่ไหน เป็นต้น ให้ทุกคนเคารพนับถือมารดาบิดา ให้ปฏิบัติบำรุงท่านเป็นบุญกุศล ให้เคารพนับถือพระอริยบุคคล พระอริยเจ้า หรือกล่าวรวมๆ ว่าให้นับถือพระ การให้ทานแก่ท่านเป็นบุญเป็นกุศล
อนึ่ง สัมมาทิฐิได้ชี้แจงว่า บางคนไม่เข้าใจ บางคนเข้าใจ แต่ฉวยโอกาสกล่าวบิดเบือนคำสั่งสอนขององค์พระบรมครู เช่นเมื่อได้ยินพระองค์ตรัสว่า “สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา” ก็กล่าวว่า เพราะตรัสดังนั้น จึงไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา จึงไม่มีบุคคลระดับต่างๆ ที่นับถือกัน ตลอดถึงไม่มีใครเป็นพ่อแม่เป็นลูกเป็นต้น ดึงเข้าหาทิฐิหรือลัทธิที่ผิดตามที่ประสงค์จะดึงไป
อันที่จริงองค์พระบรมครูทรงสอนให้ปฏิบัติโดยชอบในสัจจะ ๒ อย่าง คือ โลกสัจจะหรือสมมุติสัจจะ กับ ปรมัตถสัจจะ โลกสัจจะหรือสมมุติสัจจะนั้น คือสัจจะตามที่รู้กันนับถือกันทางโลกต่างๆ เช่นความเป็นมารดาบิดา บุตรธิดา ความเป็นบุคคล ความเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติ ความสืบสกุลเชื้อสายเป็นต้น ฉะนั้น จึงตรัสให้เว้นจากการฆ่าทำร้ายชีวิตร่างกายกัน เป็นการรับรองว่ามีสัตว์บุคคลตัวตน ให้เว้นจากการลัก เป็นการรับรองว่ามีความเป็นเจ้าของในทรัพย์สมบัติ เท่ากับรับรองว่ามีเรามีของเรา ให้เว้นจากประพฤติผิดในทางกาม เป็นการรับรองวงศ์ตระกูลเชื้อสายเป็นต้น
พระพุทธศาสนาจึงมิได้ปฏิเสธสัจจะดังกล่าว แต่รับรองว่าเป็นสัจจะคือเป็นจริงอย่างหนึ่งๆ ซึ่งจะต้องปฏิบัติต่อกันโดยชอบ แม้สามารถปฏิบัติโดยชอบได้ในสัจจะดังกล่าว ก็จะได้รับพรที่เกิดจากกรรมของตนเอง อันเป็นพรที่ศักดิ์สิทธิ์เหนือพรที่จะได้รับจากการให้ของผู้อื่น
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 193 มกราคม 2560 โดย สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก)