• เป็นโรคเอดส์จะรักษาสภาพจิตอย่างไร
ปุจฉา : กราบนมัสการหลวงปู่ที่เคารพอย่างสูง ดิฉันไม่ได้ต้องการจะรบกวนเวลาของหลวงปู่ แต่ตอนนี้ดิฉันทุกข์ใจเหลือเกิน ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ดิฉันกราบขอความเมตตาจากหลวงปู่ อยากให้หลวงปู่ช่วยแนะนำว่า ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (ภูมิคุ้มกันบกพร่อง) ควรจะปฏิบัติตัว และรักษาสภาพจิตใจอย่างไร และคู่ชีวิตควรจะปฏิบัติตัวอย่างไรคะ ขอกราบขอบพระคุณหลวงปู่ที่เมตตาค่ะ
วิสัชนา : คุณผู้จมอยู่ในหลุมแห่งทุกข์ ฉันอยากจะบอกคุณว่า โรคภัยไข้เจ็บทั้งหลาย ที่จริงมันเป็นเพียงสภาวธรรมหนึ่งๆ หรือบทละครหนึ่ง ที่ประกอบเข้ามาในชีวิตนี้ มันเป็นเพียงสิ่งที่ตรงเข้ามา แล้วก็จากเราไป หรือไม่ก็ตรงเข้ามา แล้วนำพาเราจากใครๆ ถึงมันจะตรงเข้ามาหรือไป ในที่สุดเราทั้งหลายก็ต้องตายจากใครๆ อยู่ดี ถ้าคุณรู้จักคิดได้อย่างนี้ สุขภาพจิตของคุณก็จะดีขึ้น สุขภาพกายก็จะเป็นอยู่ได้สบายขึ้น
ถ้าคุณคิดว่า เป็นโรคเอดส์ แล้วทำให้คุณตาย ฉันก็อยากจะถามคุณว่า แล้วคนที่ไม่เป็นโรคเอดส์ เขาจะไม่ตายหรือไง เรื่องของเรื่อง มิใช่ว่าคุณกลัวเอดส์ แต่เป็นเพราะคุณกลัวตายต่างหากล่ะ ถ้าคุณรู้ว่าทุกคนต้องตาย ความตายเป็นสาธารณะ ไม่มีสรรพสัตว์ตนใดจะหลีกหนีความตายไปได้ แต่ที่ไม่เป็นสาธารณะก็คือ อาการตาย สถานที่ตาย เวลาตาย
เมื่อรู้อย่างนี้ด้วยปัญญา คุณจะสบายใจขึ้นเยอะ แล้วชีวิตคุณที่เหลือ ก็พร้อมที่จะเผชิญต่อปัญหา และอุปสรรคของชีวิตได้มากขึ้น ให้เวลาที่เหลือทำประโยชน์ที่เป็นสาระให้แก่ตนและคนอื่นให้มากขึ้น ด้วยความรู้สึกที่ภาคภูมิว่า ชีวิตคุณก็ยังมีประโยชน์แก่ตนและคนอื่น
จงจำคำนี้ไว้ว่า
“ชีวิตคือการต่อสู้
ปัญหาคือการเรียนรู้
ศัตรูคือครูของเรา”
• อย่างไรจึงเรียกว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”
ปุจฉา : พุทธภาษิตที่ว่า “อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” แต่เมื่อเวลาเกิด เราก็เลี้ยงตนเองไม่ได้ ต้องพึ่งพ่อแม่ เมื่อเวลาตายเราหามตัวเองขึ้นเมรุไม่ได้ ต้องให้ผู้อื่นหามขึ้นไป แล้วอย่างไรจึงจะเรียกว่า อัตตาหิ อัตตาโน นาโถ ในทัศนะของหลวงปู่
วิสัชนา : พระพุทธพจน์ที่ว่า “ตนเป็นที่พึ่งของตน” นี้เป็นจริงโดยแท้ แม้อดีตชาติ ปัจจุบัน และอนาคตชาติ ตัวอย่างเช่น อดีตคุณทำกรรมเช่นไร ผลแห่งกรรมนั้นก็ส่งคุณมาให้ต้องเกิด แล้วรับผลกรรมนั้น แม้ว่าเมื่อเกิดมาใหม่ๆ ยังต้องอาศัย มารดา บิดา อุปการะเลี้ยงดู แต่ผู้ที่จะมาเป็นมารดา บิดาของคุณได้ ก็ต้องเป็นผลจากการทำกรรมของคุณร่วมกับท่านมา จึงได้บังเกิดมาอุปถัมภ์บำรุงซึ่งกันและกัน
ต่อเมื่อเจริญเติบโต ปีกกล้าขาแข็ง คุณก็ต้องออกตระเวนทำกรรมต่างๆ ขึ้นมาใหม่ด้วยตนเอง แม้ที่สุดผลของกรรมนั้น ก็ย้อนกลับเข้ามาส่งผลให้คุณอีกอยู่ดี ส่วนที่คุณตายแล้วใครต่อใครมาหามขึ้นเมรุ เรียกว่าเป็นกรรมเช่นเดียวกัน หากคุณทำแต่กรรมชั่ว ฉันว่าคงไม่มีใครพาคุณขึ้นเมรุหรอก
• คนเราตายแล้วไปไหน
ปุจฉา : หลวงปู่ครับ ผมอยากทราบว่า คนเราตายแล้วไปอยู่ไหน มีดวงวิญญาณจริงๆ หรือไม่ครับ
วิสัชนา : คนและสัตว์ที่ตายไปแล้ว มีที่ไปได้ 2 ที่คือ สุคติ กับทุคติ ผู้คนและสัตว์ที่ไปสู่สุคติ อันมีมนุษย์ เทวดา พรหม และผลแห่งการกระทำดี พูดดี คิดดี
ส่วนผู้คนและสัตว์ที่ไปเกิดในทุคติ อันได้แก่ สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย และสัตว์นรก เพราะทำกรรมชั่ว เช่น พูดชั่ว คิดชั่ว ทำชั่ว เป็นต้น
ดวงวิญญาณมี 2 ความหมายนะคุณ ดวงวิญญาณในความหมายของพระพุทธศาสนา หมายถึง ความรับรู้ อารมณ์ เช่น ตาเห็นรูป เกิดความรู้สึก เรียกว่า จักษุวิญญาณ อย่างนี้เป็นต้น ดวงวิญญาณในความหมายที่ 2 คือ ดวงวิญญาณในคำเรียกของชาวบ้าน เขาหมายถึงสิ่งที่ออกจากร่างหลักจากตายแล้ว
สรุปทั้ง 2 ความหมายมีจริง
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 192 ธันวาคม 2559 โดย หลวงปู่พุทธะอิสระ วัดอ้อน้อย จ.นครปฐม)
ปุจฉา : กราบนมัสการหลวงปู่ที่เคารพอย่างสูง ดิฉันไม่ได้ต้องการจะรบกวนเวลาของหลวงปู่ แต่ตอนนี้ดิฉันทุกข์ใจเหลือเกิน ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ดิฉันกราบขอความเมตตาจากหลวงปู่ อยากให้หลวงปู่ช่วยแนะนำว่า ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (ภูมิคุ้มกันบกพร่อง) ควรจะปฏิบัติตัว และรักษาสภาพจิตใจอย่างไร และคู่ชีวิตควรจะปฏิบัติตัวอย่างไรคะ ขอกราบขอบพระคุณหลวงปู่ที่เมตตาค่ะ
วิสัชนา : คุณผู้จมอยู่ในหลุมแห่งทุกข์ ฉันอยากจะบอกคุณว่า โรคภัยไข้เจ็บทั้งหลาย ที่จริงมันเป็นเพียงสภาวธรรมหนึ่งๆ หรือบทละครหนึ่ง ที่ประกอบเข้ามาในชีวิตนี้ มันเป็นเพียงสิ่งที่ตรงเข้ามา แล้วก็จากเราไป หรือไม่ก็ตรงเข้ามา แล้วนำพาเราจากใครๆ ถึงมันจะตรงเข้ามาหรือไป ในที่สุดเราทั้งหลายก็ต้องตายจากใครๆ อยู่ดี ถ้าคุณรู้จักคิดได้อย่างนี้ สุขภาพจิตของคุณก็จะดีขึ้น สุขภาพกายก็จะเป็นอยู่ได้สบายขึ้น
ถ้าคุณคิดว่า เป็นโรคเอดส์ แล้วทำให้คุณตาย ฉันก็อยากจะถามคุณว่า แล้วคนที่ไม่เป็นโรคเอดส์ เขาจะไม่ตายหรือไง เรื่องของเรื่อง มิใช่ว่าคุณกลัวเอดส์ แต่เป็นเพราะคุณกลัวตายต่างหากล่ะ ถ้าคุณรู้ว่าทุกคนต้องตาย ความตายเป็นสาธารณะ ไม่มีสรรพสัตว์ตนใดจะหลีกหนีความตายไปได้ แต่ที่ไม่เป็นสาธารณะก็คือ อาการตาย สถานที่ตาย เวลาตาย
เมื่อรู้อย่างนี้ด้วยปัญญา คุณจะสบายใจขึ้นเยอะ แล้วชีวิตคุณที่เหลือ ก็พร้อมที่จะเผชิญต่อปัญหา และอุปสรรคของชีวิตได้มากขึ้น ให้เวลาที่เหลือทำประโยชน์ที่เป็นสาระให้แก่ตนและคนอื่นให้มากขึ้น ด้วยความรู้สึกที่ภาคภูมิว่า ชีวิตคุณก็ยังมีประโยชน์แก่ตนและคนอื่น
จงจำคำนี้ไว้ว่า
“ชีวิตคือการต่อสู้
ปัญหาคือการเรียนรู้
ศัตรูคือครูของเรา”
• อย่างไรจึงเรียกว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”
ปุจฉา : พุทธภาษิตที่ว่า “อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” แต่เมื่อเวลาเกิด เราก็เลี้ยงตนเองไม่ได้ ต้องพึ่งพ่อแม่ เมื่อเวลาตายเราหามตัวเองขึ้นเมรุไม่ได้ ต้องให้ผู้อื่นหามขึ้นไป แล้วอย่างไรจึงจะเรียกว่า อัตตาหิ อัตตาโน นาโถ ในทัศนะของหลวงปู่
วิสัชนา : พระพุทธพจน์ที่ว่า “ตนเป็นที่พึ่งของตน” นี้เป็นจริงโดยแท้ แม้อดีตชาติ ปัจจุบัน และอนาคตชาติ ตัวอย่างเช่น อดีตคุณทำกรรมเช่นไร ผลแห่งกรรมนั้นก็ส่งคุณมาให้ต้องเกิด แล้วรับผลกรรมนั้น แม้ว่าเมื่อเกิดมาใหม่ๆ ยังต้องอาศัย มารดา บิดา อุปการะเลี้ยงดู แต่ผู้ที่จะมาเป็นมารดา บิดาของคุณได้ ก็ต้องเป็นผลจากการทำกรรมของคุณร่วมกับท่านมา จึงได้บังเกิดมาอุปถัมภ์บำรุงซึ่งกันและกัน
ต่อเมื่อเจริญเติบโต ปีกกล้าขาแข็ง คุณก็ต้องออกตระเวนทำกรรมต่างๆ ขึ้นมาใหม่ด้วยตนเอง แม้ที่สุดผลของกรรมนั้น ก็ย้อนกลับเข้ามาส่งผลให้คุณอีกอยู่ดี ส่วนที่คุณตายแล้วใครต่อใครมาหามขึ้นเมรุ เรียกว่าเป็นกรรมเช่นเดียวกัน หากคุณทำแต่กรรมชั่ว ฉันว่าคงไม่มีใครพาคุณขึ้นเมรุหรอก
• คนเราตายแล้วไปไหน
ปุจฉา : หลวงปู่ครับ ผมอยากทราบว่า คนเราตายแล้วไปอยู่ไหน มีดวงวิญญาณจริงๆ หรือไม่ครับ
วิสัชนา : คนและสัตว์ที่ตายไปแล้ว มีที่ไปได้ 2 ที่คือ สุคติ กับทุคติ ผู้คนและสัตว์ที่ไปสู่สุคติ อันมีมนุษย์ เทวดา พรหม และผลแห่งการกระทำดี พูดดี คิดดี
ส่วนผู้คนและสัตว์ที่ไปเกิดในทุคติ อันได้แก่ สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย และสัตว์นรก เพราะทำกรรมชั่ว เช่น พูดชั่ว คิดชั่ว ทำชั่ว เป็นต้น
ดวงวิญญาณมี 2 ความหมายนะคุณ ดวงวิญญาณในความหมายของพระพุทธศาสนา หมายถึง ความรับรู้ อารมณ์ เช่น ตาเห็นรูป เกิดความรู้สึก เรียกว่า จักษุวิญญาณ อย่างนี้เป็นต้น ดวงวิญญาณในความหมายที่ 2 คือ ดวงวิญญาณในคำเรียกของชาวบ้าน เขาหมายถึงสิ่งที่ออกจากร่างหลักจากตายแล้ว
สรุปทั้ง 2 ความหมายมีจริง
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 192 ธันวาคม 2559 โดย หลวงปู่พุทธะอิสระ วัดอ้อน้อย จ.นครปฐม)