MGR Online - ศาลอาญานัดฟังคำสั่งไต่สวนมูลฟ้อง “พระพุทธะอิสระ” ฟ้อง “พระเมธีธรรมาจารย์ หรือ เจ้าคุณประสาร” กับพวกหมิ่นประมาท 30 พ.ย. นี้ เผยถึงเวลาที่ที่เจ้าหน้าที่จะจับกุม “พระธัมมชโย” เพื่อรักษากฎหมายบ้านเมือง
ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (25 พ.ย.) พระพุทธะอิสระ อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย อ.สามพราน จ.นครปฐม พร้อมทนายความ เดินทางมาเบิกความชั้นไต่สวนมูลฟ้องในคดีที่เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พระเมธีธรรมาจารย์ หรือ เจ้าคุณประสาร จันทสาโร เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย, นายเมธาพันธ์ โพธิธีรโรจน์ เลขาธิการสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา (สนพ.) พระอธิการฉัตรชัย อธิจิตโต ประธานองค์กรพิทักษ์พระพุทธศาสนากลุ่มพระสงฆ์ภาคใต้ และพระปลัดนรุตม์ชัย อภินันโท เลขาธิการองค์กรพิทักษ์พระพุทธศาสนากลุ่มพระสงฆ์ภาคใต้ เป็นจำเลยที่ 1 - 4 ในความผิดฐานข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดหรือไม่กระทำการใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง ทรัพย์สิน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309, ความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา มาตรา 328 และความผิดตาม พ.ร.บ. ปกครองสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 2535 มาตรา 25 และกฎมหาเถรสมาคม พ.ศ. 2551
จากกรณีเมื่อวันที่ 24 มี.ค.- 5 เม.ย. 2559 จำเลยได้ใช้คำพูดกล่าวประกาศจะขับไล่โจทก์ให้ออกจากหมู่สงฆ์ด้วยการประกาศอุกเขปนียกรรม ซึ่งอุกเขปนียกรรม เป็นวิธีการลงโทษกับสงฆ์ผู้ต้องอาบัติที่ไม่ยอมรับอาบัติด้วยการวางเฉย ไม่ร่วมสังฆกรรมด้วย โดยจำเลยทั้ง 4 ยังชักชวนสั่งการให้ภิกษุที่เป็นเจ้าคณะปกครอง กระทำกรรมที่ละเมิดหลักธรรมวินัย ด้วยการประกาศอุกเขปนียกรรมอันมิชอบต่อโจกท์ ซึ่งละเมิด พ.ร.บ. ปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 และกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 11 พ.ศ. 2521 ว่าด้วยการลงนิคหกรรม
อย่างไรก็ตาม พระพุทธะอิสระ เปิดเผยภายหลังขึ้นเบิกความ ว่า คดีนี้ยื่นฟ้องจำเลย 4 คน ซึ่งที่มาฟ้องนั้นไม่ได้ต้องการเอาเรื่องเอาราว แต่ต้องการให้ศาลสั่งเป็นบรรทัดฐานเรื่องที่พระภิกษุจะใช้พระธรรมวินัยในการที่จะอยู่ร่วมกันอย่างถูกต้อง ต่อไปใครจะใช้พระธรรมวินัยโดยใช้พวกมากลากไปจะได้ไม่กล้า ซึ่งศาลนัดฟังคำสั่งว่าจะประทับรับฟ้องหรือไม่ วันที่ 30 พ.ย. นี้ เวลา 09.00 น.
เมื่อถามถึงคดีที่อัยการมีความเห็นให้ฟ้องพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ในคดีร่วมกันฟอกเงินและรับของโจร
พระพุทธะอิสระ กล่าวว่า ควรจะถึงเวลาแล้ว เพราะล่วงเลยมาเยอะแล้ว รวมทั้งมีหมายจับหลายคดี ก็ควรที่จะต้องทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะหากว่ารัฐบาลไม่ละเว้น หรือดำเนินการใดๆ ก็อาจจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ หากเป็นเช่นนั้น อนาคตต่อไปก็จะไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายกับคนอื่นได้ เพราะว่าเมื่อมีหมายจับถึง 3 ใบ แล้วก็รู้ตัว ที่อยู่ของผู้ต้องหา แต่ไม่ยอมทำอะไรก็จะเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้
เมื่อถามว่า การเข้าจับกุมผู้ต้องหากรณีที่มีมวลชนอยู่ด้วยจำนวนมาก เจ้าหน้าที่ควรดำเนินการอย่างไร
พระพุทธะอิสระ กล่าวว่า มองว่า ทางรัฐบาลน่าจะมีวิธีการ เพราะในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ก็น่าจะได้ศึกษาวิธีการและตรวจสอบอยู่แล้ว เข้าใจว่า ช่วงเวลาหลายเดือนที่ล่วงเลยมานั้น ไม่ได้เป็นผลเสีย แต่กลับกลายเป็นผลดีต่อบ้านเมือง ทำให้ความจริงต่างๆ ปรากฏออกมามากขึ้น ทำให้มวลชนลดน้อยลง
“ระยะเวลาที่ทิ้งช่วงหลายเดือน ทำให้แผลกว้างขึ้น คนก็เริ่มเบาลง ไม่ใช่มาก เพราะฉะนั้นก็คงถึงเวลาแล้ว เมื่อคดีต่างๆ ผุดขึ้นมา มีหมายศาลเพิ่มมากขึ้น ก็ทำให้คนเริ่มหันมาเห็นความจริงว่าอะไรเป็นอะไร แยกแยะได้ว่าถูกผิดเป็นอย่างไร คนที่ไปหลงงมงาย เชื่ออะไรง่ายๆ ก็จะน้อยลง” พระพุทธะอิสระ กล่าว