ทำไมคนที่มีการศึกษาดี จึงไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต? ทำไมคนที่ออกจากระบบการศึกษา จึงประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน? ทำไมคนที่มีความขยันหมั่นเพียร จึงยากจน? ทำไมคนทำงานน้อย จึงร่ำรวย?.... หลากหลายคำถามในยามสิ้นหวัง ล้วนผุดขึ้นมาตอกย้ำให้เกิดความท้อถอยในการดำเนินชีวิต
สิ่งที่ก่อให้เกิดคำถามเหล่านี้ ล้วนเป็นการมองไปยังความสำเร็จของบุคคลที่มีชื่อเสียง โดยไม่ได้ตระหนักถึงความทุกข์ยากของคนเหล่านั้น ซึ่งกว่าจะได้รับผลดังที่ปรากฏ ถ้าพิจารณาให้ถ่องแท้ในเหตุในผลของชีวิตบุคคลที่ประสบความสำเร็จ ย่อมพบว่าสิ่งหนึ่งที่มีเหมือนกัน คือความรู้จักประมาณตนเอง ที่เขาเหล่านั้นมีอยู่ คือต้นเหตุอันสำคัญที่นำให้เขาสามารถทำงานจนบรรลุผลสำเร็จได้อยู่เสมอ
ความรู้จักประมาณตนเอง ย่อมเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินชีวิต ที่มุ่งแสวงความสำเร็จที่ประสงค์ นำให้รู้จักดำเนินชีวิตไปอย่างไม่ประมาท ไม่ยึดมั่นในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ด้วยอำนาจแห่งโมหะ ความหลง ทำให้เกิดความพร้อมที่จะพัฒนาศักยภาพของตนเองให้เพิ่มพูนขึ้นอยู่เสมอ
พระราหุลเถรเจ้า เมื่อลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ เอามือกอบทรายขึ้นแล้วกล่าวว่า “วันนี้เราพึงได้โอวาท ได้การตักเตือน มากมีประมาณเท่าเม็ดทรายนี้ จากพระทศพล และอุปัชฌาย์อาจารย์ทั้งหลาย”
ก็เพราะท่านมีความรู้จักประมาณตนเอง และมุ่งมั่นที่จะพัฒนาศักยภาพของตนเองอยู่เสมอ นี่ทำให้ท่านเป็นผู้ประสงค์และยินดีในการเรียนรู้เป็นอย่างยิ่ง พร้อมทั้งประพฤติตนเป็นผู้อ่อนน้อม เชื่อฟังและเคารพในคำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้าและพระเถระทั้งหลายเป็นอย่างยิ่งอีกด้วย นำให้ท่านได้บรรลุอรหัตผล และได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุสาวกของเราผู้ใคร่ต่อการศึกษา ราหุลเป็นผู้เลิศของภิกษุเหล่านั้น”
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงปรารภถึงความรู้จักประมาณตนเอง ในพระบรมราโชวาทที่พระราชทานแก่บัณฑิตจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ ความว่า
“ ...การที่บุคคลจะทำการสิ่งใดให้สำเร็จผลได้มากน้อยเพียงใดนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับศักยภาพที่มีอยู่ในตัวเองเป็นสำคัญ ข้อนี้อธิบายได้ว่า คนเราแต่ละคนย่อมมีความรู้ ความสามารถ และความถนัด แตกต่างกันไป สูงต่ำไม่เท่ากัน
ดังนั้น เมื่อจะทำการสิ่งใด จึงควรต้องรู้จักประมาณตน คือต้องรู้ว่าตนมีภูมิปัญญาและความสามารถด้านไหน เพียงใด และควรจะทำงานด้านไหน อย่างไร เมื่อประมาณตนได้ดังนี้ ก็จะทำให้ใช้ความรู้ความสามารถที่มีอยู่ ได้ถูกต้องเหมาะสมกับงาน และได้ประโยชน์สูงสุดเต็มตามประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ การรู้จักประมาณตน ยังจะทำให้คนเราขวนขวายศึกษาหาความรู้ และเพิ่มพูนประสบการณ์อยู่เสมอ เพื่อปรับปรุงส่งเสริมศักยภาพที่มีอยู่ในตนเองให้ยิ่งสูงขึ้น ผู้รู้จักประมาณตน จึงสามารถทำตน ทำงาน ให้ประสบความสำเร็จและก้าวหน้าได้ดีกว่าคนอื่น...”
พระบรมราโชวาทที่ทรงรับสั่งว่า การรู้จักประมาณตน ยังจะทำให้คนเราขวนขวายศึกษาหาความรู้ และเพิ่มพูนประสบการณ์อยู่เสมอ เพื่อปรับปรุงส่งเสริมศักยภาพที่มีอยู่ในตนเองให้ยิ่งสูงขึ้น นำให้ระลึกถึงคาถาธรรมบท เรื่อง พระวังคีสเถระ ที่มีปฏิปทาสอดคล้องในเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง มีเนื้อความควรศึกษาดังนี้
ในกรุงสาวัตถี มีพราหมณ์คนหนึ่งชื่อว่า วังคีสะ เป็นบุตรของพราหมณ์ที่มีความเชี่ยวชาญและปฏิภาณในการโต้วาทะ เมื่อเติบใหญ่ได้เรียนรู้ศิลปวิทยาจากบิดามารดา เมื่อเขามีอายุได้เพียง ๗ ปี ก็เป็นผู้รู้เวททุกคัมภีร์ แกล้วกล้าในเวทศาสตร์ มีเสียงไพเราะ มีถ้อยคำวิจิตร โต้ตอบวาทะของผู้อื่นให้อับจนได้ ต่อมาได้เรียนมนต์ชื่อว่า “ฉวสีสมนต์” ซึ่งเป็นมนต์ที่ทำให้รู้กำเนิดของผู้ที่สิ้นชีวิตไปแล้ว ภายใน ๓ ปี โดยร่ายมนต์แล้วใช้นิ้วดีดกะโหลกศีรษะ ก็จะรู้ว่าเจ้าของกะโหลกนี้ไปเกิดที่ไหน ไม่ว่าจะเป็นนรก สัตว์ดิรัจฉาน เป็นเปรต เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา
พวกพราหมณ์ที่รู้จักวังคีสะ ก็คิดว่าหากอาศัยวังคีสพราหมณ์ ก็สามารถหากินกับชาวโลกได้ จึงให้วังคีสะนุ่งผ้าแดงแล้วตระเวนไปตามที่ต่างๆ ประกาศสรรพคุณของวังคีสะที่รู้ว่าใครตายแล้วไปเกิดที่ไหน
มีผู้คนมากมายยอมเสียเงิน เพื่อสอบถามที่เกิดของญาติตน วังคีสะก็ให้นำกะโหลกศีรษะของญาติมา ใช้นิ้วดีดแล้วบอกว่าใครเกิดที่ไหนบ้าง และเพื่อตัดความสงสัยของผู้คน เขาก็พาเจ้าของกะโหลกนั้นมาเล่ายืนยันด้วย มหาชนจึงพากันเลื่อมใสมาก คณะของวังคีสะก็เดินทางหากินไปทั่ว แล้วก็กลับมายังกรุงสาวัตถี พักในที่ไม่ไกลจากพระเชตวัน
พวกพราหมณ์เห็นมหาชนถือของหอมและดอกไม้เดินไปฟังธรรม จึงถามว่าไปไหนกัน เมื่อได้รับคำตอบว่าไปฟังธรรม พวกพราหมณ์จึงกล่าวว่า บุคคลผู้ทัดเทียมกับวังคีสพราหมณ์นั้น ย่อมไม่มี เพราะเขาเคาะกะโหลกศีรษะของคนที่ตายแล้ว ก็รู้ที่เกิดได้
แต่มหาชนที่กำลังไปฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า ก็บอกว่าไม่มีบุคคลใดทัดเทียมกับพระศาสดา ทั้งสองฝ่ายจึงเกิดโต้เถียงกัน ในที่สุดจึงพากันไปเฝ้าพระพุทธองค์เพื่อพิสูจน์
เมื่อทั้งหมดพากันไปถึงพระเชตวัน พระศาสดาทรงทำปฏิสันถารอย่างดี ตรัสถามถึงความสามารถของวังคีสะ ครั้นทรงทราบแล้ว จึงทรงให้นำกะโหลกศีรษะคนตายมา ๕ กะโหลก ให้วังคีสะดีดดู เขาดีดกะโหลกที่ ๑ บอกว่าไปเกิดในนรก ที่ ๒ บอกว่าไปเกิดเป็นดิรัจฉาน ที่ ๓ บอกว่าไปเกิดเป็นมนุษย์ ที่ ๔ บอกว่าไปเกิดเป็นเทวดา แต่พอดีดกะโหลกที่ ๕ ซึ่งเป็นของพระอรหันต์ วังคีสะไม่ทราบว่าไปเกิดที่ไหน นั่งเหงื่อตก
พระศาสดาตรัสถามว่าลำบากใจหรือ วังคีสะก็ยอมรับ แล้วทูลถามว่าพระองค์ทรงทราบมนต์นี้หรือ เมื่อพระศาสดาตรัสว่าทราบ วังคีสะจึงทูลวิงวอนขอให้ประทานมนต์นี้แก่ตัวเอง แต่พระศาสดาบอกว่าไม่สามารถจะให้มนต์แก่บุคคลผู้ไม่บวช
วังคีสะคิดว่าเมื่อเรียนมนต์นี้แล้ว ก็จะเป็นผู้ประเสริฐกว่าใครในชมพูทวีป เขาจึงขอให้พวกพราหมณ์กลับไป เพราะตนจะบวช ๒-๓ วัน พระศาสดาทรงให้พระนิโครธกัปปเถระเป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้ แล้วประทานกัมมัฏฐานมีอาการ ๓๒ เป็นอารมณ์ รับสั่งให้วังคีสะสาธยายบริกรรมและพิจารณาไปด้วย
วันต่อมา ขณะที่พระวังคีสะสาธยายมนต์อยู่ พวกพราหมณ์ก็มาหาแล้วถามว่าเรียนมนต์ได้แล้วหรือยัง พระวังคีสะบอกว่ากำลังเรียนอยู่ ต่อมาอีก ๒-๓ วัน พระวังคีสะก็ได้บรรลุพระอรหัตผล เมื่อพวกพราหมณ์มาถามอีกว่าเรียนมนต์ได้แล้วหรือยัง พระวังคีสะจึงบอกว่า ตัวเองไม่ควรกลับไปกับพวกพราหมณ์อีกแล้ว
พระวังคีสะ เมื่อสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ได้เป็นกำลังช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนา พระบรมศาสดาทรงยกย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะ “เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทางผู้มีปฏิภาณ”
บุคคลที่ประสบความสำเร็จในโลกนี้ ล้วนแต่เป็นผู้ที่รู้จักประมาณตนเองทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงสรุปว่า ผู้รู้จักประมาณตน จึงสามารถทำตน ทำงาน ให้ประสบความสำเร็จและก้าวหน้าได้ดีกว่าคนอื่น แล.
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 176 สิงหาคม 2558 โดย พระครูพิศาลสรนาท วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม กทม.)