xs
xsm
sm
md
lg

ธรรมะกับชีวิตประจำวัน : ถอดเสื้อออกมาซัก ถอดใจออกมาล้าง บนเรือสำราญที่แล่นผ่านระลอกคลื่นแห่งอดีต

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


มนุษย์ยุคแรกพยายามที่จะนำใบไม้มาทำเสื้อผ้าปกปิดร่างกาย แม้ว่าจะร้อยเป็นพวงด้วยความประณีตอย่างไร แต่ใบไม้ก็ยังไม่ใช่เสื้อผ้าอยู่ดี

ทฤษฎีที่บันดาลให้มนุษย์สามารถผลิตเสื้อผ้าออกมาได้ก็คือ “หลักแห่งการถักทอ” ด้วยการนำฝ้าย หรือใยจากไหม จากหม่อน มาปั่นแล้วถักทอออกมาเป็นผ้า จากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการตัดเย็บ

ปัจจุบันนี้ มนุษย์สามารถออกแบบเสื้อผ้าได้อย่างหลากหลาย ตั้งแต่เสื้อกล้าม สูท จีวร ชุดมนุษย์กบ นักประดาน้ำ ชุดของกัปตัน ยันไปถึงชุดมนุษย์อวกาศ แถมผลิตออกมาด้วยดีไซด์ที่ทันสมัยไปไกลเกินกว่ามนุษย์ยุคแรกมากโขแล้ว

ไฮไลท์คือ คุณคงไม่คิดกลับไปนุ่งห่มใบไม้ เพื่อใส่ไปโรงเรียน ไปทำงาน หรือไปธนาคารใช่มั้ย! เรื่องนี้ก็บ่งบอกชัดเจนแล้วว่า เราไม่สามารถยึดติดอยู่กับสิ่งเดิมๆ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อตัวเก่า หรือวิธีคิดเก่าๆ หรืออดีตเดิมๆ หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่มันผ่านไปแล้ว

ความจริงที่ประจักษ์อยู่ในปัจจุบันก็คือ “สิ่งใหม่ๆ ที่ดีกว่า ย่อมเกิดขึ้นแทนที่สิ่งเก่าได้เสมอ” เหมือนใบไม้ที่มนุษย์เคยใช้นุ่งห่มปกปิดร่างกาย ถูกแทนที่ด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ผ่านกระบวนการตัดเย็บอย่างดี

ลองนึกภาพตัวเองกำลังมีความสุข ดื่มด่ำอยู่บนเรือสำราญลำโตกลางมหาสมุทร ขณะที่เรือแล่นผ่านเกลียวคลื่น เมื่อมองไปทางท้ายเรือก็จะเห็นว่า เรือได้ทิ้งร่องรอยที่ผ่านพ้นไปแล้ว เป็นระลอกคลื่นไว้เบื้องหลัง เราต่างก็รู้ว่า สิ่งสำคัญที่ทำให้เรือแล่นไปข้างหน้า คือ ใบพัดกับเครื่องยนต์ ส่วนระลอกคลื่นเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้เรือแล่นไปข้างหน้า มันเป็นเพียงร่องรอยที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังเท่านั้น

ระลอกแห่งอดีตในชีวิตก็เช่นเดียวกัน เราทุกคนล้วนมีอดีตที่เคยล้มเหลว ผิดพลาด ผิดหวัง อกหัก แพ้พ่าย ทุกข์ เจ็บปวด ระทมขมขื่น แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่กุญแจสำคัญในการนำพาชีวิตให้มุ่งไปข้างหน้า ปัจจุบันขณะนี้ต่างหากที่เป็นของจริง ซึ่งขับเคลื่อนชีวิตให้ก้าวต่อไป ความทรงจำในอดีตไม่ว่าจะขมขื่นปวดร้าวเพียงใด มันจบลงแล้ว และเป็นเพียงสิ่งที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เหมือนกับระลอกคลื่นที่ถูกเรือทิ้งไว้เบื้องหลัง

สมมติว่า อดีตคือปากกาเมจิกด้ามหนึ่ง และปัจจุบันคือเสื้อกัปตันสีขาว ตัวที่เราใส่อยู่บนเรือชีวิตลำนี้ ทุกครั้งที่หวนคิดถึงอดีตให้ใช้ปากกาเมจิกเขียนลงบนเสื้อขาวตัวนี้ เมื่อเวลาผ่านพ้นไปหากเราไม่ยอมเปิดใจให้โอกาสตัวเองได้มีความสุขอยู่กับปัจจุบัน เอาแต่จมจ่อมอยู่กับอดีตที่ปวดร้าว เสื้อขาวอย่างปัจจุบันตัวนี้ ก็คงสกปรกหมองคล้ำ เต็มไปด้วยรอยขีดเขียนอันโศกเศร้าของอดีต

โบราณกล่าวไว้ว่า “สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ” นั่นหมายถึง มีแต่ปัจจุบันนี้เท่านั้น ที่เป็นประตูเปิดใจของเราไปสู่ความสุข หรือความทุกข์

“เสื้อตัวนอกซักให้สะอาดด้วยผงซักฟอก เสื้อตัวในคือจิตใจซักฟอกได้ด้วยธรรม”

เสื้อผ้านั้นหากเก่าหรือเลอะเทอะ สีสันหมองคล้ำ เราก็แค่ถอดทิ้ง แล้วหาซื้อตัวใหม่มาแทน แต่เสื้อตัวในคือจิตใจ ทำไม่ได้อย่างนั้น เพราะไม่สามารถซื้อหาที่ไหนได้ ดังนั้น มีทางเดียวที่จะดูแลรักษาให้เสื้อตัวในของเรามีสีสันสดสดใสน่าสวมใส่อยู่เสมอคือ ถอดออกมาซักให้สะอาดแล้วย้อมสี ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ใน “วัตถูปมสูตร” ว่า

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผ้าที่เศร้าหมองมลทินจับ ไม่ว่าช่างย้อมจะหย่อนลงในน้ำย้อมสีอะไรก็ตาม ผ้าก็จะมีสีที่ออกมัวหมองอยู่นั่นเอง เพราะผ้านั้นไม่สะอาด ฉันใด เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติก็เป็นอันหวังได้ ฉันนั้น

ตรงกันข้าม ผ้าที่สะอาดบริสุทธิ์ ไม่ว่าช่างย้อมจะหย่อนลงในน้ำย้อมสีเขียว สีเหลือง สีแดง หรือสีชมพู ก็จะเป็นผ้าสีสวยสด เพราะผ้านั้นบริสุทธิ์หมดจด ฉันใด เมื่อจิตไม่เศร้าหมองแล้ว สุคติก็เป็นอันหวังได้ ฉันนั้น”


คติ แปลว่า วิถี หรือหนทางที่จิตแล่นไป ดังนั้น คำว่า “สุคติ” ถอดรหัสอีกครั้งก็คือ หนทางที่นำไปสู่ความสุข ความเจริญฝ่ายเดียว ส่วน “ทุคติ” ก็เป็นหนทางที่ทุกคนไม่อยากไปเป็นแน่

สังเกตได้ว่าทั้งทุคติและสุคตินี้ พระพุทธองค์ทรงเน้นมาที่จิตใจ เหมือนเช่นในนิทานเรื่องต่อไปนี้ ซึ่ง พระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) ได้เล่าไว้ว่า

กาลครั้งนั้น มีพระเจ้าแผ่นดินองค์หนึ่ง ทรงมีความทุกข์มากเหลือเกิน เพราะบรรทมไม่หลับ รักษาอย่างไรก็ไม่หาย ไม่ว่าจะกี่หมอก็รักษาไม่หาย

วันหนึ่งมีคนมาบอกว่า “ขอเดชะ มีเคล็ดลับอยู่อย่างหนึ่ง ถ้าพระองค์อยากจะบรรทมหลับแล้วมีความสุข พระองค์จะต้องสวมเสื้อของคนที่มีความสุข รับรองว่าบรรทมหลับสนิทได้แน่นอน”

พระเจ้าแผ่นดินตรัสว่า “เห็นท่านนายกรัฐมนตรีมีความสุขเหลือเกิน ขอลองยืมเสื้อใส่หน่อยซิ”

นายกรัฐมนตรีทูลตอบว่า “ข้าพระองค์ปวดหัวจะแย่อยู่แล้วพระเจ้าข้า ไม่ทราบว่าจะถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไล่รัฐบาลข้าพระองค์ออกเมื่อไหร่”

ในเมื่อมีความกังวลอยู่อย่างนี้ แม้แต่รัฐมนตรีก็ไม่ยอมรับว่า ตัวเองมีความสุข เจ้าหน้าที่ในวังเอ่ยถามรัฐมนตรีทุกคน ว่าจะขอยืมเสื้อแห่งความสุข ไปถวายพระเจ้าแผ่นดิน แต่ก็หาไม่ได้ เพราะรัฐมนตรีก็ไม่มีความสุข

เจ้าหน้าที่จึงตั้งหน่วยเฉพาะกิจล่าเสื้อแห่งความสุข ส่งกองสอดแนมไปนอกกำแพงเมือง และขณะที่หัวหน้าหน่วยกำลังเดินตรวจอยู่ที่กำแพงเมืองนั้น พลันได้ยินเสียงชายคนหนึ่งตะโกนลั่นว่า “สุขจริงโว้ยๆ”

หัวหน้าหน่วยได้ยินดังนั้น จึงเอ่ยขึ้นว่า “ได้การล่ะ หามานานแล้ว กว่าจะได้ยินคนที่บอกว่า มีความสุขจริงโว้ย!” แล้วจึงบอกทหารให้รีบไปจับตัว ถอดเสื้อมาเลยโดยไม่ต้องขออนุญาต กลุ่มทหารก็วิ่งกรูนำหน้าไป พักเดียวเท่านั้น กลุ่มทหารก็วิ่งสวนกลับมามือเปล่า

“อ้าว! ไหนเสื้อล่ะ?” หัวหน้าหน่วยถามทหารนายหนึ่ง “ตามมันไม่ทันหรือไง วิ่งแค่นี้ตามไม่ทันหรือ?”

“ทันครับ”
ทหารนายนั้นตอบ

“อ้าว!แล้วจับตัวมาได้หรือเปล่า?”

“จับตัวได้ครับ”

“แล้วทำไมไม่ถอดเสื้อมาล่ะ ในเมื่อเขามีความสุข”


พลทหารตอบว่า “ขอโทษครับ! แกไม่มีเสื้อใส่นะครับ แกเป็นขอทาน วันนี้เป็นวันขึ้นปีใหม่ แกขอได้ไก่ย่างมาขาหนึ่ง กำลังเดินแทะอย่างมีความสุขเหลือเกิน ก็เลยร้องออกมาว่า สุขจริงโว้ยๆ คนมีความสุข แต่ไม่มีเสื้อจะใส่ ผมจึงกลับมามือเปล่าอย่างที่ท่านเห็นนี่แหละครับ”

หัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจจึงไปกราบทูลพระเจ้าแผ่นดิน พระองค์ฟังความแล้วจึงตรัสว่า “อือ...ความสุขนี่ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องภายนอกนะ ความสุขมันอยู่ที่ใจต่างหากล่ะ”

นิทานเรื่องนี้มีคติผูกเป็นกลอนภาษิตสะกิดใจไว้

“สุขและทุกข์อยู่ที่ใจมิใช่หรือ
ถ้าใจถือก็เป็นทุกข์ไม่สุกใส
ถ้าไม่ถือก็ไม่ทุกข์พบสุขใจ
เราอยากได้ความสุขหรือทุกข์กัน”


อนึ่ง อย่ายึดติดยู่กับอดีต ปัจจุบันนี้ต่างหากที่กัปตันอย่างเรา ใช้ขับเคลื่อนนาวาชีวิตลำนี้ให้แล่นต่อไปได้จริง ตราบใดที่นาวาชีวิตของเรายังแล่นฝ่ามรสุมแห่งโชคชะตาออกไปข้างหน้า โอกาสที่เสื้อของกัปตันจะเปื้อนเปรอะก็มีบ้างเป็นธรรมดา

ฉะนั้น เสื้อเปรอะก็ควรทำความสะอาด และเวลาที่เราถอดเสื้อออกมาซัก อย่าลืมถอดใจออกมาล้างให้สะอาดเอี่ยมอ่องผ่องใสด้วย

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 170 กุมภาพันธ์ 2558 โดย ทาสโพธิญาณ)

กำลังโหลดความคิดเห็น