เรื่องราวของเจ้าหญิงนิทราในอดีต ได้ปรับโฉมใหม่ เมื่อถูกนำเสนอในมุมชีวิตของ “มาเลฟิเซนต์” หรือแม่มดใจร้ายที่หลายคนรู้จักกันว่า เป็นผู้ร่ายคำสาปเจ้าหญิง โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ เริ่มต้นย้อนอดีตไปตั้งแต่สมัยที่มาเลฟิเซนต์ยังเด็ก ซึ่งแท้จริงแล้วเธอเป็นเทพธิดา ผู้อาศัยอยู่ในป่ามหัศจรรย์ที่มีนามว่า “มัวร์ส”
มัวร์สเสมือนเป็นแคว้นหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าภูตน่ารักน่าชัง และสิ่งมีชีวิตอันน่ามหัศจรรย์ในผืนป่า หนึ่งในนั้นก็คือ เทพธิดามาเลฟิเซนต์ ซึ่งมักจะบินทักทายเพื่อนร่วมดินแดนอยู่เสมอ
จนกระทั่งวันหนึ่ง เทพแห่งต้นไม้พบว่า มีมนุษย์รุกล้ำเข้ามาขโมยอัญมณี นางฟ้าน้อยผู้ไม่เคยเห็นมนุษย์แบบใกล้ๆ จึงรีบบินไปดู พบว่าผู้รุกล้ำเข้ามา เป็นเด็กชายลูกชาวนา ชื่อ “สเตฟาน” แล้วมิตรภาพ ความเห็นอกเห็นใจ และวัยที่ไล่เลี่ยกัน ทำให้นางฟ้าน้อยกับเด็กชายกลายเป็นเพื่อนรัก ผูกพันกัน จนเติบโตกลายเป็นความรักแบบหนุ่มสาว
แต่นางฟ้าผู้มีจิตใจแสนบริสุทธิ์ ยังไม่รู้จักมนุษย์ดีพอ สเตฟานเป็นคนที่มักใหญ่ใฝ่สูง ความฝันของเขาคือ ต้องการเป็นใหญ่เป็นโต เขาจึงไขว่คว้าหาหนทางสู่อำนาจ และหนีหายไปจากชีวิตของมาเลฟิเซนต์
ไม่เพียงแค่เรื่องความผิดหวังจากสเตฟาน นางฟ้าแห่งมัวร์สยังได้เรียนรู้จิตใจมนุษย์ อันหยาบกระด้างจาก “กษัตริย์เฮนรี่” ราชาแห่งเมืองมนุษย์ ผู้เต็มไปด้วย “อกุศลมูล 3” อันได้แก่ โลภะ (ความอยากได้) โทสะ (ความคิดประทุษร้ายต่อผู้อื่น) และโมหะ (ความรู้ไม่จริง)
กษัตริย์เฮนรี่เกรงว่าในป่าอันลี้ลับแห่งนี้ อาจเป็นภัยต่ออำนาจเหนืออาณาจักรของตน จึงได้ยกทัพบุกทำสงคราม เผาป่ามัวร์สให้ราบคาบ แต่มาเลฟิเซนต์พร้อมเหล่าภูติแห่งผืนป่า ได้ออกมาปกป้อง จนกองทัพกษัตริย์เฮนรี่ต้องล่าถอยไป
ความโกรธเกลียดเสียหน้า ทำให้กษัตริย์เฮนรี่ประกาศว่า ใครที่สามารถกำจัดมาเลฟิเซนต์ ซึ่งเปรียบเสมือนผู้นำแห่งมัวร์สได้ พระองค์จะยกพระราชธิดา และให้สืบทอดราชบัลลังก์ต่อไป
หนุ่มผู้มักใหญ่ใฝ่สูงอย่างสเตฟานได้ฟังประกาศนี้เช่นกัน เขาได้เดินทางไปยังมัวร์ส เพื่อพบกับมาเลฟิเซนต์ เมื่อทั้งคู่พบกัน จิตใจอันบริสุทธิ์ของนางฟ้ามีเพียงความรัก ความคิดถึง โดยหารู้ไม่ว่าชายหนุ่มคนรักกำลังคิดร้ายกับเธอ
แล้วนางฟ้าแสนดีก็หลับไปอย่างมีความสุข หลังจากดื่มน้ำผสมยานอนหลับที่สเตฟานเตรียมมา ชายหนุ่มจึงสบโอกาสที่จะสังหารเธอ แต่ด้วยความรู้สึกบางอย่างในใจ จึงทำให้เขาแค่ตัดปีกของเธอเท่านั้น
ชีวิตในวันรุ่งขึ้นของทั้งคู่ แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง สเตฟานนำปีกไปถวายกษัตริย์เฮนรี่ ซึ่งเข้าใจว่ามาเลฟิเซนต์ถูกฆ่าตายแล้ว ชายหนุ่มจึงได้รับรางวัลที่พระองค์เคยประกาศไว้ เขากลายมาเป็นกษัตริย์สเตฟานผู้สง่างามสมดังตั้งใจ
ตรงข้ามกับมาเลฟิเซนต์ ที่กรีดร้องโหยหวนเมื่อสูญเสียปีกอันแข็งแกร่งไป เธอได้รู้ซึ้งถึงความโลภ ความร้ายกาจของมนุษย์ และนั่นก็ทำให้เธอเปลี่ยนจากนางฟ้าแสนดี ผู้สดใส และเต็มไปด้วยความสุข มาเป็นแม่มดที่มีจิตใจเคียดแค้นและชิงชัง
แล้ววันที่จะได้ชำระแค้นก็มาถึง นั่นคือวันเฉลิมฉลอง “เจ้าหญิงออโรรา” พระธิดาน้อยของกษัตริย์สเตฟานกับราชินี มีผู้คนมากมายมาร่วมแสดงความยินดี รวมถึงนางฟ้าตัวเล็กๆ ก็มาให้พร แต่แขกผู้ไม่ได้รับเชิญ คือ มาเลฟิเซนต์ ก็ปรากฏกายออกมาในรูปลักษณ์ที่ไม่ต่างจากแม่มด เธอมาพร้อมคำสาปว่า หากพระธิดาอายุยังไม่ถึง 17 พรรษา จะโดนเข็มปั่นฝ้ายตำที่นิ้วมือ และกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราตลอดกาล ยกเว้นแต่ว่าจะได้รับจุมพิตจากรักแท้เท่านั้น และคำสาปนี้ไม่มีใครจะถอนได้ แล้วเธอก็จากไปด้วยความสุขที่ได้แก้แค้นอดีตชายคนรัก
วันต่อมากษัตริย์สเตฟานสั่งให้นำเครื่องปั่นฝ้ายในวังทั้งหมดไปไว้ในคุกใต้ดิน และขอให้นางฟ้าตัวน้อย 3 นาง พาเจ้าหญิงออโรราออกไปดูแลนอกวัง ในป่าเขาที่ไม่มีใครเข้าถึง เป็นเวลา 17 ปี
ชีวิตของเจ้าหญิงองค์น้อย อยู่ในความดูแลของนางฟ้าทั้งสาม ในบ้านอันแสนอบอุ่น ริมป่าร่มรื่น แต่ความที่นางฟ้าทั้งสาม (ที่ต้องแปลงร่างเป็นมนุษย์ชั่วคราว) ไม่เคยเลี้ยงเด็กอ่อนเลย จึงมักเกิดเรื่องยุ่งๆ จนทำให้มาเลฟิเซนต์ ต้องคอยแอบมาให้ความช่วยเหลืออยู่เสมอ
เหตุที่มาเลฟิเซนต์ ต้องแวะมาดูแลทุกข์สุขของเจ้าหญิงนั้น เริ่มแรกมาจากความต้องการรู้ว่า กษัตริย์สเตฟานที่เธอเกลียดชัง ซ่อนพระธิดาไว้ที่ใด แต่เมื่อเธอได้เห็นเจ้าหญิงองค์น้อยดูสดใสไร้เดียงสา เธอก็อดที่จะหลงรักมิได้
วันเวลาที่ผันผ่านไป มาเลฟิเซนต์แทบไม่ต่างจาก “แม่” อีกคนที่เลี้ยงดูเจ้าหญิง ตลอดระยะเวลากว่าสิบปี เธอคอยปกป้อง คุ้มครอง ไม่ให้มีภยันตรายใดมากล้ำกลายเจ้าหญิงองค์น้อย เพียงแต่เธอไม่เคยปรากฏกายให้เห็นเท่านั้น
จนกระทั่งวันหนึ่ง เจ้าหญิงออโรราได้พบกับมาเลฟิเซนต์ แต่แทนที่จะหวาดกลัว เธอกลับรู้สึกดีใจมาก และยังบอกด้วยว่า ตอนเล็กๆเคยเห็นมาเลฟิเซนต์คอยปกป้องดูแลเธอมาตลอด เธอจึงเอ่ยปากเรียกมาเลฟิเซนต์ว่า “นางฟ้าแม่ทูนหัว” (นางฟ้าผู้คุ้มครอง) ทำให้มาเลฟิเซนต์รู้สึกมีความสุขลึกๆในใจ
เมื่อความเกลียดชังที่ฝังแน่นในใจของมาเลฟิเซนต์ ได้แปรเปลี่ยนเป็นความรักความผูกพันต่อสาวน้อยที่เธอเฝ้าดูแลมาตั้งแต่แบเบาะ เธอจึงตัดสินใจถอนคำสาป แต่ทว่าไม่เป็นผล! ซ้ำร้าย นางฟ้าทั้งสามยังเผลอทำให้เจ้าหญิงรู้ว่า แท้จริงแล้วเธอเป็นใคร เจ้าหญิงออโรราจึงแอบหนีกลับพระราชวังก่อนพ้นคำสาปหนึ่งวัน และนั่นก็ทำให้คำสาปเป็นจริง เมื่อเธอเดินหลงไปที่คุกใต้ดิน และถูกเข็มทอผ้าเก่าๆแทงที่ปลายนิ้ว กลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา
เมื่อมาเลฟิเซนต์รู้ข่าวร้าย จึงได้จับเจ้าชายองค์หนึ่ง(ซึ่งตกหลุมรักเจ้าหญิงตอนที่พบกันในป่า) ให้มาจุมพิตเจ้าหญิงเพื่อถอนคำสาป แต่ไม่เป็นผล ทำให้มาเลฟิเซนต์เสียใจมาก และคร่ำครวญว่า “รักแท้ไม่มีจริงในโลกนี้”
ขณะที่เธอรู้สึกหมดหวัง และเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไป เธอได้ก้มลงไปจุมพิตหน้าผากของเด็กสาวที่เธอรักเสมือนลูกแท้ๆ แล้ว “รักแท้” ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า เมื่อเจ้าหญิงออโรราลืมตาขึ้นมองนางฟ้าแม่ทูนหัวของเธอ
หากจะใช้คำเชยๆเป็นบทสรุป ก็คงต้องกล่าวว่า “นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า... ความรักที่แท้จริงนั้น คือความรักของผู้เป็นพ่อแม่ ที่รักลูกอย่างไม่มีเงื่อนไข พร้อมที่จะสละได้แม้ชีวิตเพื่อปกป้องลูก ในภาพยนตร์เรื่องนี้ แม้มาเลฟิเซนต์ไม่ใช่แม่ผู้ให้กำเนิด แต่เธอก็คือ ผู้ทำหน้าที่แม่อย่างแท้จริง
สุดท้ายแล้ว มาเลฟิเซนต์ก็ได้หลุดจากบ่วงความทุกข์ในใจที่เธอก่อขึ้น คือ “อกุศลมูล” ไปสู่ “กุศลมูล” ได้แก่ อโลภะ (ไม่โลภ ไม่อยากได้ ไม่ทะเยอทะยานในสิ่งที่เกินตัว รู้จักพอเพียง) อโทสะ (ไม่คิดประทุษร้ายต่อผู้อื่น รวมถึงไม่โกรธ ไม่ผูกใจพยาบาท) และ อโมหะ (ไม่หลงงมงายไปในสิ่งที่ไม่จริง แต่พึงใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหา)
ดังนั้น หากพึงปฏิบัติตามหลัก “กุศลมูล” สิ่งที่เคยผิดพลาด ทุกข์ที่ทับถมอยู่ในใจ ก็จะกลายเป็นความสุขอันยั่งยืนได้ไม่ยาก
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 164 สิงหาคม 2557 โดย ชยวรรศ มานะศิริ)