อนิลทิตา ตอนที่ 2
ท่ามกลางความมืดในตอนกลางคืน บันดาสาประคองอนิลทิตาวิ่งหนีตายเข้ามาในป่าทึบ อนิลทิตาเหลียวหน้าแลหลังดูว่ามีใครตามมาหรือไม่ สองบ่าวนายได้ยินเสียงฝีเท้าม้า และเสียงคนตะโกนโหวกเหวกตามหลังมาในระยะไกลๆ
โดยอีกมุมหนึ่งในราวป่า กลุ่มทหารเจ้าชัยวิริยะกำลังควบม้าติดตามอนิลทิตาและบันดาสามาอย่างไม่ลดละ
อนิลทิตาและบันดาสายังวิ่งหนีต่อ แต่อนิลทิตาเกิดขาแพลง ก้าวพลาด สะดุดล้มลงอีกครั้ง
“โอ๊ย”
บันดาสาหยุดวิ่งนั่งลงดูที่ข้อเท้า “แม่หญิงเป็นอย่างไรบ้าง” แล้วประคองลุกขึ้น
อนิลทิตาลุกขึ้นตามแรงประคอง ครั้นพอหยั่งเท้าข้างขวาลงก็ร้องสุดเสียง “โอ๊ย...เจ็บ” นางล้มลงไปอีก “พี่บันดาสา ข้าไปไม่ไหวแน่แท้”
บันดาสาได้ยินเสียงฝีเท้าม้าใกล้ๆ พยายามลุกขึ้น “พวกมันตามมาทันแล้ว” คุณพี่เลี้ยงเหลียวไปเห็นพุ่มไม้หนาตา “แม่หญิงไปหลบที่นั่นก่อน พี่จะจัดการกับพวกมันเอง”
บันดาสาประคองอนิลทิตาไปหลบอยู่ที่หลังพุ่มไม้หนา อนิลทิตายังเป็นกังวล
“มันมากันมากมาย ซ้ำมีอาวุธ พี่จะสู้พวกมันได้อย่างไร”
กลุ่มทหารของเจ้าชัยวิริยะควบม้าตามมาอีกมุมหนึ่งในป่า แต่แล้วต้องแปลกใจที่จู่ๆ บันดาสาก็โผล่ออกมาขวางทางม้า ทหารบังคับม้าหยุดกะทันหัน ทหารทั้ง 4 ลงมาจากม้า เดินถือดาบ ดาหน้าเข้าหาบันดาสา แปลกใจยิ่งขึ้นที่เห็นบันดาสาไม่เกรงกลัวเลยสักน้อย
“คิดรึว่าจะหนีรอดไปได้” ทหาร 1 คำราม
ทหาร 2 ถาม “แม่หญิงอนิลทิตาอยู่ที่ใด”
“อย่าถามเลย จับมัน” ทหาร 1
ทหาร 3 และ ทหาร 4 เข้าไปจับบันดาสา แต่บันดาสาเปิดปากพึมพำมนตราเป็นภาษาโบราณ แล้วร่างก็กลายเป็นหิน กระแทกทหารทั้งสองกระเด็นไป
ทหาร 2 เห็นทหาร 3 และ ทหาร 4 จับตัวบันดาสาไม่ได้ จึงเอาดาบฟันลงไป บันดาสากลั้นใจ เอามือรับ ดาบฟันไม่เข้าแถมยังกระเด็นหลุดมือไปเหมือนฟันก้อนหินกระนั้น ทหารที่เหลือยืนตะลึง แปลกใจ
ทหาร 1 ท่าทางเป็นหัวหน้า มองบันดาสาแล้วยิ้มเยาะ
“เป็นคนมีวิชาหรอกรึ...ดี”
ทหาร 1 สำรวมจิต เป่ามนตราไปที่ดาบของมัน แล้วพุ่งเข้าไปฟันบันดาสาอย่างหมายมาด บันดาสาหลบ แต่ไม่ทัน ถูกฟันจนล้มลงไป ทหารย่ามใจ บันดาสาเงยหน้าขึ้นมามอง พบว่าบริเวณต้นแขนมีรอยถูกฟันเป็นทางยาว เลือดไหลเป็นทาง
ฟากอนิลทิตาที่ซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้ ร้อนใจเป็นห่วงบันดาสามาก นางชะโงกหน้าไปดูด้วยความกังวล ใจหนึ่งอยากออกไปช่วย อีกใจหนึ่งก็กลัวเป็นภาระให้บันดาสา
“พี่บันดาสา”
บันดาสาเลือดไหลริน หทาร 1 ยิ้มเยาะ พูดหยัน
“นางแม่มด...เจ้าไม่รอดแน่”
“พวกเจ้าต่างหากที่จะไม่รอด”
บันดาสาว่า พลางเอามือจับที่แผลท่องมนตราโบราณ เกิดแสงวาบขึ้นมา แผลถูกฟันหายไป เหลือเพียงรอยจางๆ บันดาสาลุกขึ้นมาเผชิญหน้าทหารทั้ง 4 ที่ยืนตะลึงตาค้างอยู่
“ถึงตาข้าละ”
บันดาสาล้วงเข้าไปในย่ามหยิบข้าวสารเสกออกมากำหนึ่ง ปากท่องมนตราโบราณ แล้วเป่าลงบนข้าวสารเสกในมือ ซัดไปข้างหน้า บังเกิดเปลวไฟลุกพรึบสูงท่วมหัว ล้อมรอบกลุ่มทหารเจ้าชัยวิริยะ
อนิลทิตาหลบอยู่หลังพุ่มไม้ มองไปที่ทหารทั้งสี่โดนไฟคลอกดิ้นทุรนทุราย ไม่สามารถออกมาจากวงไฟได้อนิลทิตาประหลาดใจ ทนไม่ไหม พยุงตัวเดินออกมาหาบันดาสา
“พี่บันดาสา นี่มันอะไรกัน พี่ทำเช่นนี้ได้อย่างไร”
“อย่าถามเลยแม่หญิง รีบหนีก่อนเถอะ ไฟมนตร์นี้ถ่วงเวลาได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น”
บันดาสาประคองอนิลทิตาหนีต่อไป
บันดาสาพาอนิลทิตารอนแรมมาถึงถ้ำแห่งหนึ่ง แถวชายแดนเมืองเชียงราย บันดาสาประคองอนิลทิตาเดินเข้าไปข้างใน
“เราจะหลบภัยกันที่นี่ แม่หญิง”
“ถ้าพวกมันตามมาเจอเราล่ะ พี่”
บันดาสาหันไป โบกมือร่ายมนตร์อีกครั้ง เกิดภาพมายาเป็นผนังหิน ปิดปากถ้ำจนสนิทชนิดที่คนภายนอกไม่มีทางรู้ว่าตรงนี้มีถ้ำอยู่ อนิลทิตาตะลึงตาค้าง
“พี่”
บันดาสารวบรวมเศษไม้ในถ้ำจนเป็นกองขนาดย่อมๆ แล้วกำข้าวสารออกมาจากย่าม ท่องมนตรา ปาไปที่กองเศษไม้นั้น ไฟลุกพรึบขึ้นทันที ภายในถ้ำสว่างขึ้น สองคนสำรวจไปรอบๆ พบว่า ที่นี่เป็นถ้ำขนาดใหญ่ มีทางเดินลึกเข้าไปด้านในของถ้ำ แต่มืดจนมองไม่เห็นผนังด้านใน และอีกมุมมีธารน้ำตื้นๆ ไหลผ่าน
อนิลทิตาไม่ได้สนใจอะไร ยังคงยืนนิ่ง ตาเบิกค้างมองบันดาสานิ่ง
“พี่บันดาสา” อนิลทิตามีท่าทีหวาดกลัวนิดๆ “พี่...พี่เป็นแม่มดหมอผี อย่างที่เขาร่ำลือกันจริงๆ”
“แม่หญิงอย่ากลัวพี่เลย พี่ใช้ไสยเวทย์เพื่อป้องกันตนเท่านั้น”
อนิลทิตานึกได้ “จริงสิ พี่โดนฟัน” นางขยับเข้ามาจับไหล่บันดาสา ตรวจดูแผล แต่ไม่มี “แล้วรอยแผลนั่น...รอยแผลพี่หายไปไหนแล้วพี่”
บันดาสาตัดบท “แม่หญิงบาดเจ็บ พักก่อนเถิด”
อนิลทิตาออกอาการตื่นเต้น “ข้าได้ยินพวกบ่าวในบ้านมันเล่าลือกันมานานแล้วว่า พี่บันดาสามีคาถาอาคม ไม่แก่ ไม่ตาย แต่ข้าหาเชื่อไม่ จนได้เห็นกับตาวันนี้เอง”
“แม่หญิงอย่ามัวสนใจข้าอยู่เลย ตรงโน้นมีลำธาร ไปล้างหน้าล้างตาก่อนเถอะ พรุ่งนี้เราจะต้องหนีไปอีกไกล
อนิลทิตานั่งอยู่ริมลำธารในถ้ำ วักน้ำล้างหน้าล้างตัวที่มอมแมม เปื้อนเลือดเปื้อนฝุ่นออกจนหมด รู้สึกสดชื่นขึ้น มีสติคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ
อนิลทิตาเลื่อนมือจับที่สร้อยท้าวเวสสุวัณโดยบังเอิญ รู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจ น้ำตาที่แห้งไปแล้วซึมออกมาอีกครั้ง เหม่อมองไปที่ลำธาร หวนคิดถึงสินธุขึ้นมาอีกครา
ตั้งแต่ตอนที่สินธุเคยช่วยตนจากการจมน้ำ มาถึงตอนที่สินธุไม่ยอมรับเงินจากบันดาสา และตอนที่สินธุมอบผ้าให้แล้วจุมพิตกันเป็นครั้งแรก สุดท้ายเป็นตอนที่สินธุกำลังจะหมดลมหายใจโดยให้คำสัญญาไว้
คิดแล้วอนิลทิตาถึงกับน้ำตาคลอ บันดาสาลงนั่งข้างๆ
“ข้าเป็นสาเหตุให้สินธุต้องตาย”
“อย่าโทษตัวเองเลย แม่หญิง บุญเขาทำมาเท่านั้นคิดเสียว่าเขากับแม่หญิง ไม่มีวาสนาต่อกัน”
“ไม่จริง เขาช่วยชีวิตข้า เขาคือรักแท้ของข้า ก่อนตาย เขายังสัญญา...ขอให้ได้ครองคู่กับข้าในชาติหน้า”
บันดาสารำพึงขึ้นมา ไม่ทันคิดอะไร “ชาติหน้าใครจะเกิดมาเป็นอะไร สูงต่ำชั่วดีอย่างไร ก็สุดจะรู้...”
อนิลทิตาคิดอะไรได้ขึ้นมา
“จริงสิ”
นางหันมองหน้าคุณพี่เลี้ยง บันดาสามองตอบ รับรู้ว่าต้องมีปัญหาใหญ่
อนิลทิตาเซ้าซี้อ้อนวอนขอร้องบันดาสาให้สอนวิชาอาคมให้อยู่มุมหนึ่งในถ้ำ
“กว่าสินธุจะมาเกิดใหม่ หากข้าไม่ตาย ก็คงแก่เฒ่าน่าชัง ข้าจะรักกับเขาได้อย่างไร พี่บันดาสาต้องช่วยข้า” พลางเข้าไปเขย่าตัวบันดาสา “พี่ต้องสอนวิชาให้ข้า ไม่รู้จักเจ็บรู้จักตายเช่นพี่”
บันดาสาปฏิเสธทันควัน “ไม่”
อนิลทิตาครวญ “ทำไม”
บันดาสาทอดเสียงเศร้า “วิชาที่ข้ามี มันเป็นวิชามาร ผู้ใดเรียนรู้มัน มือจำต้องเปื้อนเลือด มิรู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่”
อนิลทิตาพูดอย่างดื้อดึง
“แต่มือข้าก็เปื้อนเลือดไปแล้ว ข้าฆ่าเจ้าชัยวิริยะ ตายไปก็ไม่พ้นตกนรกหมกไหม้ หากมือข้าจะต้องเปื้อนเลือดอีกสักครั้ง เพื่อให้ได้เจอกับสินธุ ข้าก็เต็มใจ”
“มิใช่แค่ครั้งสองครั้ง แม่หญิง แต่ตลอดไป ข้ารักท่าน เกินกว่าจะทนเห็นท่านเป็นเช่นนั้นได้”
“แต่ข้ารักสินธุ หากต้องอยู่โดยปราศจากเขา ก็ไม่ต่างอะไรกับตกนรก พี่ช่วยข้าด้วยเถิด”
บันดาสานิ่งงันไป อนิลทิตาวิงวอนทั้งน้ำตา
“หากพี่ไม่สอนข้า ข้าก็ไม่รู้จะอยู่ต่อไปทำไม” อนิลทิตาคว้ามีดในย่ามออกมา จะปาดคอตัวเอง
บันดาสายื้อยุดไว้ได้ทัน คุณพี่เลี้ยงอัดอั้นจนจะร้องไห้
“แม่หญิงอย่าทำอย่างนี้ ข้ารักแม่หญิงเหมือนน้องสาวแท้ๆ ของข้า...ข้าปล่อยให้แม่หญิงตายไม่ได้”
“ถ้าเช่นนั้นพี่บันดาสาก็สอนข้าซิ ข้าจักได้อยู่ยงคงกระพันเยี่ยงพี่” อนิลทิตาจ้องหน้าบันดาสาอย่างคาดคั้นเอาจริง “ให้ข้าไม่แก่ไม่เฒ่า ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เพื่อที่จะได้อยู่รอสินธุกลับชาติมาเกิดอีกครั้ง”
บันดาสาลังเล อนิลทิตามองมาอย่างวิงวอน อนิลทิตาและบันดาสาจ้องหน้ากันนิ่งนาน
ท้องฟ้าด้านนอกมืดครึ้ม ราวกับจะรับรู้เรื่องราวฝืนธรรมชาติภายในถ้ำ มีสายฟ้าฟาด เปรี้ยง! อย่างรุนแรงสุดจะประมาณ
วันเวลาล่วงเลยผ่านมาอีก 280 ปี ล่วงเข้าสู่ ปีพุทธศักราช 2533
ทุกสรรพสิ่งบนผืนดินแถบชายแดนจังหวัดเชียงรายล้วนแปรเปลี่ยนไป ยกเว้นสองชีวิตในถ้ำแห่งนี้!
ช่วงเวลาตอนกลางวันวันหนึ่ง ชายหนุ่มชาวบ้านคนหนึ่ง กำลังเดินแหงนมองหาของป่า เขาแหงนดูรังผึ้งตามต้นไม้ใหญ่มาเรื่อยๆ ในป่าราวใกล้ถ้ำแห่งนั้น ระหว่างนี้ เขาได้ยินเสียงฝีเท้าคล้ายมีคนเดินตาม ชายชาวบ้านเกิดสงสัยจึงหันหลังไปดู แต่ไม่พบอะไร คิดว่าตนเองหูฝาดไป
ชายหนุ่มกลับไปแหงนดูต้นไม้ต่อ พอเขาเห็นรังผึ้งขนาดใหญ่ก็ยิ้มดีใจ ที่วันนี้จะได้ผึ้งรังใหญ่ไปขาย แต่แล้วได้ยินเสียงฝีเท้าคนอีก จึงหันหลังกลับไปกวาดตา แต่ก็ไม่พบเห็นใครเหมือนเดิม
พอหันหน้ามา กลับเห็นไอ้โล้น ชายร่างกำยำกำลังมองอยู่ในระยะประชิด พร้อมกับแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียมน่ากลัว ชายหนุ่มชะงักงันด้วยความตกใจ ไอ้โล้นเอาไม้ท่อนใหญ่ฟาดที่หน้าจนเขาสลบไป จากนั้นไอ้โล้นก็ลากร่างของชายหนุ่มไปที่หน้าถ้ำแห่งหนึ่ง เดินหายเข้าไปด้านใน
ไอ้โล้นลากร่างของชายหนุ่มชะตาขาดเข้ามาตามทาง เดินเรื่อยลงมาในห้องใต้ดิน มีรอยเลือดเป็นทาง ยาวจนถึงหน้าห้องทำพิธี
ในถ้ำแห่งนี้มีห้องโถงขนาดใหญ่อยู่ในนั้น และมีปล่องทะลุสูงขึ้นไปสุดสาย จนมองเห็นจันทร์เพ็ญกระจ่างอยู่บนท้องฟ้าเบื้องบน
บันดาสาทำพิธีอาบน้ำอมฤตให้อนิลทิตา
“พิธีอาบน้ำอมฤต เพื่อคงความสาวให้เป็นอมตะ จะต้องทำในคืนวันเพ็ญ...”
ห้องทำพิธีอาบน้ำโลหิตสมุนไพร มีเตียงศิลาทรงสี่เหลี่ยมขนาดเท่าตัวคนนอนกางแขน ขอบเตียงมีร่องพอดีกับตรงข้อมือคน ชายที่ถูกจับมาถูกจับกางแขนอยู่บนเตียง ไอ้โล้นเอามีดกรีดที่ข้อมือทั้งสองของชายผู้โชคร้าย เลือดค่อยๆ ไหลรินออกมา ไหลรดไปตามร่อง เป็นสีแดงเข้ม
บันดาสาอธิบายต่อ “...โดยใช้เลือดสดๆ ของบุรุษในวัยฉกรรจ์”
อีกด้านหนึ่งมีหม้อต้มสมุนไพร บันดาสา ซึ่งบัดนี้ ใบหน้า และ ร่างกายเหี่ยวย่น ผมหงอกประปราย ตามอายุในวัย ๖๐ ปี กำลังหลับตาท่องมนตรา เกิดควันพวยพุ่งขึ้นในหม้อสมุนไพร
“ผสมกับว่านสมุนไพรที่สะกดด้วยเวทย์มนต์ลึกลับ”
บันดาสาไขท่อน้ำ แลเห็นน้ำสมุนไพรสีเขียว มีควันสีขาวกรุ่นๆ ไหลไปตามร่องหิน ไปรวมกับน้ำเลือดสีแดงที่มาจากอีกด้าน แล้วทั้งสองก็ไหลไปหลอมรวมกัน และไหลลงไปในท่อรอบๆ สระหิน น้ำอมฤตพุ่งออกจากปากงูศิลาริมสระโบราณทั้งสี่มุม
บันดาสาอธิบายพิธีกรรมต่อว่า “เมื่อลงอาบทั้งร่างกาย พร้อมทั้งสาธยายอมฤตมนตรา กายาที่เหี่ยวย่นชรา ก็จะกลับมาเต่งตึง เป็นสาวสะพรั่งดังเดิม”
บันดาสายืนรออยู่ที่ริมสระน้ำอมฤต เปิดปากบอก
“พร้อมแล้วแม่หญิง”
อนิลทิตาเดินออกมาจากมุมมืด กายถูกคลุมด้วยผ้าคลุมผืนใหญ่ มือที่พ้นผ้าคลุมออกมา เหี่ยวย่นพอๆ กับบันดาสา มีปอยผมขาวลอดผ้าออกมา บันดาสาปลดเสื้อคลุมให้ เผยให้เห็นอนิลทิตาที่มีหน้าตาเหี่ยวย่น ผมยาวเป็นสีขาวโพลนทั้งหัว
อนิลทิตาเดินมานั่งห้อยขาอยู่ในอ่างแล้วท่องมนตรา ก่อนจะก้าวลงไปแช่ในอ่างนั้น น้ำสมุนไพรค่อยๆ เอ่อท่วมหลังเท้าของอนิลทิตา
น่าอัศจรรย์แท้ หลังเท้าของอนิลทิตาที่ดูแห้งกร้าน กลับเต่งตึงขาวผ่องขึ้นมาทันที
อนิลทิตาก้าวลงไปในสระโบราณ เนื้อตัวค่อยๆ จมลงในน้ำทีละนิดๆ จนมิดหัว
สักพักหนึ่งก็โผล่ขึ้นมา กลายเป็นสาวสะคราญ ผิวขาวเต่งตึง ผมกลับเป็นสีดำขลับดังเดิม อนิลทิตายังแช่อยู่ในน้ำอมฤตนั้น
“ข้ารอสินธุมาสองร้อยกว่าปีแล้ว”
“อีกไม่นานหรอกแม่หญิง ข้าเชื่อว่ากงล้อแห่งโชคชะตาจะหมุนเวียน นำพาเขากลับมาหาท่าน”
อนิลทิตาขึ้นมาจากสระน้ำอมฤต บันดาสาเอาผ้าคลุมห่มกายให้ อนิลทิตามองบันดาสาอย่างตื้นตัน และซาบซึ้งใจ
“พี่อยู่เคียงข้างข้ามาตลอด แม้ว่ามือข้า กายข้า จะเปื้อนเลือด ใจข้าจะเปื้อนมลทินขนาดไหน”
“ข้าทำทุกอย่างได้เพื่อท่าน แม่หญิง”
“ข้าซึ้งใจในความภักดีของพี่” อนิลทิตาจับมือของบันดาสา “พี่ลงไปอาบน้ำอมฤตเถอะพี่ เราทั้งสองจะได้อยู่เป็นอมตะเคียงข้างกัน...ตลอดไป”
สองนายบ่าวมองจ้องหน้ากันนิ่งๆ ถ่ายเทความรัก ความผูกพัน ให้กันและกัน
อ่านต่อหน้า 2
อนิลทิตา ตอนที่ 2 (ต่อ)
เช้าวันหนึ่ง ที่บริเวณชายป่าบนเขาสูง มีสายตาใครคนหนึ่งมองผ่านกล้องส่องทางไกลออกไปลิบตา ใครคนนั้นหันซ้ายหันขวาไปมา แลเห็นเทือกเขาสูงสุดลูกหูลูกตาเบื้องหน้า
ชายคนนี้คือ เจ้าพงษ์สุริยัน เขาเยื้อนยิ้มอย่างพึงพอใจออกมา
“ที่สวยมาก”
เจ้าพงษ์สุริยันมองออกไปยังวิวทิวทัศน์เบื้องหน้าด้วยสายตาอันมุ่งมั่น
ขณะเดียวกัน บันดาสาที่เวลานี้กลายกลับเป็นสาวเหมือนเมื่อราว 300 ปี ก่อน และแต่งตัวแบบหญิงชาวบ้านทางเหนือ มีผ้าคลุมหัวปกปิด เดินแกมวิ่งเข้าบ้านในถ้ำมา หน้าตาตื่นตกใจเห็นได้ชัด
“แม่หญิง แม่หญิงอนิลทิตา...เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
อนิลทิตาในชุดสาวชาวบ้านเช่นกัน เดินออกมาหน้าบ้าน สีหน้าแปลกใจ
“มีอะไรหรือพี่บันดาสา ทำไมแตกตื่นอย่างนั้น”
“ที่ดินในป่าแถวนี้ ถูกเจ้าทางเหนือผู้หนึ่ง มากว้านซื้อไปแม่หญิง...ที่ที่เราอยู่ตอนนี้ กำลังจะถูกทำเป็นไร่ชา”
อนิลทิตาบอกเสียงกร้าว “ไม่ได้! เราจะให้ใครเข้ามาที่นี่ไม่ได้ ถ้ำและบ่ออาบน้ำอมฤตของเราจะต้องเป็นความลับ พี่บันดาสา พี่ต้องจัดการไม่ให้ใครเข้ามาวุ่นวายกับเรา”
บันดาสามองไป เห็นเจ้าพงษ์สุริยันยืนส่องกล้องส่องทางไกลอยู่ แวบแรกแวบเดียวเท่านั้นบันดาสาก็รู้สึกตกหลุมรักเขาทันที
ฝ่ายอนิลทิตาในอาภรณ์ชุดสตรีเขมร ปรากฏตัวขึ้นท่างกลางหมอกควัน ก้าวเดินช้าๆ ผ่านแมกไม้ สีหน้านิ่งแววตาเหี้ยม
อนิลทิตาทำปากขยับขมุบขมิบท่องมนตรา แล้วเป่าควันสีม่วงออกไปใส่ใบหน้าเจ้าพงษ์สุริยันหยุดชะงักนิ่ง ตกอยู่ในมนต์สะกด
อนิลทิตาค่อยๆ เดินเข้าไปจนใกล้ เจ้าพงษ์สุริยันได้ยินเสียงคนเดินอยู่ด้านหลัง จึงหันมาดู เห็นอนิลทิตาในชุดสวยชาวเขมร ก็ตะลึงในความงาม
“แม่หญิงคือใคร”
อนิลทิตาส่งยิ้มให้แต่แววตาเหี้ยม “ตามข้ามาเถอะ”
อนิลทิตาหันหลังเดินไป เจ้าพงษ์สุริยันเดินตามอย่างนิ่งๆ สีหน้าเลื่อนลอยไร้สติ
บันดาสามองเจ้าพงษ์สุริยันด้วยความสงสาร ไม่อยากให้ต้องถูกฆ่าดังเช่นชายอื่น
อนิลทิตาเดินนำเจ้าพงษ์สุริยันมาหยุดที่หน้าถ้ำ แล้วหันมายิ้มให้
“แม่หญิงยังไม่บอกข้าเลย ว่าเจ้าเป็นใคร” เจ้าพงษ์สุริยันตาหวานเชื่อม
“ข้าชื่อ อนิลทิตา จำชื่อข้าไว้ให้ดีๆ”
อนิลทิตาหันไปที่มุมหนึ่ง เห็นไอ้โล้นเดินถือไม้ออกมา อนิลทิตาพยักหน้าให้ ไอ้โล้นค่อยๆ ย่องเข้ามาทางด้านหลังของเจ้าพงษ์สุริยัน เงื้อมือขึ้นจะตี บันดาสาที่ตามมาเห็นก็ตกใจ รีบท่องคาถาเป่ามนต์ออกไปใส่ไอ้โล้นทันที ร่างไอ้โล้นกระเด็นไปอีกทาง อนิลทิตาตกใจ หันไปทางบันดาสา
“พี่บันดาสาทำอะไร”
บันดาสาเดินเข้ามาใกล้อนิลทิตา
“แม่หญิงอย่าทำอะไรเจ้าพงษ์สุริยันเลย ข้าขอล่ะ ไว้ชีวิตเขาเถอะ”
อนิลทิตาสงสัยระคนแปลกใจ “ทำไม”
“ข้าสงสารเขา”
“หมายความว่ายังไง แต่ก่อนพี่ไม่เคยสงสารใคร”
บันดาสาอึ้ง นิ่งงันไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะบอกออกมาว่า
“เพราะเจ้าพงษ์สุริยัน เป็นคนสำคัญ หากเขาหายไป ก็จะมีคนสงสัย ยิ่งจะพาให้คนมาวุ่นวายกับเราไม่จบไม่สิ้น”
บันดาสามองไปยังเจ้าพงษ์สุริยันที่ยืนไร้สติอยู่มุมหนึ่งด้วยแววตาหลงใหล อนิลทิตาหงุดหงิด
“แล้วพี่จะทำยังไง”
“มันต้องมีวิธีอื่นสิ”
บันดาสาครุ่นคิดตริตรองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเปิดปากบอกว่า
“ข้านึกออกแล้วแม่หญิง”
หลายวันต่อมา
ที่คุ้มเชียงแมน คุ้มของเจ้าพงษ์สุริยัน มีอาณาบริเวณกว้างขวางใหญ่โต บ้านเรือนหลังใหญ่โอ่อ่าสมฐานะ ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางสวนสวยที่ตกแต่งอย่างดี ภายในตกแต่งด้วยศิลปะแบบล้านนา
รอบบริเวณด้านนอก ตกแต่งด้วยตุงหลากสีสัน ตั้งแต่ประตูทางเข้าคุ้ม เรื่อยเข้าไปจนถึงภายใน ตกแต่งประดับประดาด้วยดอกไม้สดอย่างงดงาม มีเสียงดนตรีสะล้อ ซอ ซึง บรรเลงขับคลอสร้างเสริมบรรยากาศอย่างแผ่วเบา
บรรดาคนใช้ชายหญิงมากมายกำลังวุ่นวายเตรียมงานมงคลอยู่
ส่วนภายในห้องส่วนตัว ของคุ้มเชียงแมน ห้องหนึ่ง ภาพจากกระจกในห้องนั้น แลเห็นเป็นภาพอนิลทิตาแต่งตัวอย่างงดงามในชุดเจ้าสาว มีบันดาสาช่วยตกแต่งผมให้อยู่
“แม่หญิงของข้างามยิ่งนัก งามเหมือนนางฟ้า สมนามใหม่ของท่าน โฉมสุรางค์”
อนิลทิตาทวนชื่อใหม่ แววตาเป็นประกาย “โฉมสุรางค์ โฉมของข้า กายและใจของข้า ข้าจะรักษาไว้ให้สินธุ คนเดียวเท่านั้น จะไม่มีชายอื่นใด”
อนิลทิตาลุกขึ้นยืน ยิ้มให้บันดาสา
“วันนี้ เจ้าสาวตัวจริงคือพี่ต่างหาก...พี่บันดาสา”
อนิลทิตามองคุณพี่เลี้ยงผู้ภักดีเป็นเชิงล้อๆ บันดาสามีท่าทีเขินอาย แววตาเปี่ยมล้นไปด้วยความรักและความสุข
สองบ่าวนายหวนนึกถึงเรื่องราวที่คุยกันในถ้ำเมื่อหลายวันก่อนหน้านี้
เหตุการณ์ตอนนั้น อนิลทิตาตกใจเมื่อฟังบันดาสาเล่าจบ
“อะไรนะพี่บันดาสา พี่จะให้ข้าแต่งงานกับเจ้าพงษ์สุริยัน”
“ใช่ เพราะว่านี่เป็นทางเดียวเท่านั้นที่เราจะรักษาถ้ำและบ่อน้ำอมฤตไว้ได้”
“แล้วข้าจะแต่งกับเขาได้ยังไง ข้าไม่ยอมอยู่ร่วมกับชายอื่นนอกจากสินธุ”
บันดาสาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แม่หญิงเพียงแค่แต่งงานกับเขา ไม่จำเป็นต้องมอบกายมอบใจให้เขา ส่วนเรื่องอื่นข้าจะจัดการเอง”
อนิลทิตาลังเล
บัดนี้ อนิลทิตายิ้มชื่นเมื่อนึกถึงเรื่องนี้
“คืนนี้พี่จะได้สมหวังกับชายคนรักของพี่”
บันดาสาอายหน้าแดง
“ข้ายอมทำทุกอย่างได้เพื่อแม่หญิง”
อนิลทิตายิ้มให้บันดาสา ด้วยเคารพรัก และซาบซึ้งสุดจะประมาณ
พิธีแต่งงานของอนิลทิตาในคราบของโฉมสุรางค์กับเจ้าพงษ์สุริยันถูกจัดขึ้นตามประเพณีล้านนา บ่าวสาวนั่งเคียงกันในพิธี มีบันดาสายืนอยู่ด้านหลัง
เหล่าคนใช้อันประกอบด้วย แอ๋ว สาวใช้ อิ่ม แม่ครัว ส่วนบุญโฮม คนงานหนุ่ม ยืนมองอยู่อีกมุม แอ๋วเข้าไปกระซิบกับบุญโฮม
“ท่าทางเจ้าจะหลงคุณโฉมมากนะพี่บุญโฮม จัดงานเสียใหญ่โต เชิญแขกเกือบทั้งจังหวัด”
“ก็นั่นน่ะสิ ผู้หญิงทั้งเวียงมีให้ท่านเลือก ท่านไม่สนใจกลับไปแต่งกับใครก็ไม่รู้ ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่กี่วัน”
อิ่มเสริมด้วยการตั้งข้อสังเกต “แถมยังเร่งจัดงานกะทันหัน ญาติผู้ใหญ่ฝ่ายผู้หญิงก็ไม่มีซักคน พิกลจริงๆ”
บุญโฮมมองเจ้าพงษ์สุริยันและโฉมสุรางค์อย่างสงสัยคาใจเช่นกัน
เจ้าพงษ์สุริยันยิ้มแย้มมีความสุขสมใจ ส่วนโฉมสุรางค์กลับมีสีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก
บันดาสายืนนิ่งอยู่ด้านหลังมองเจ้าพงษ์สุริยันอย่างหลงใหล
อ่านต่อหน้า 3
อนิลทิตา ตอนที่ 2 (ต่อ)
ตกตอนกลางคืน เจ้าพงษ์สุริยันกับโฉมสุรางค์อยู่ร่วมห้องหอเดียวกันแล้ว
“วันนี้ คุณโฉมของพี่สวยจริงๆ”
ห้องพักบันดาสา อยู่ติดห้องหอนั่นเอง และบันดาสากำลังนั่งขัดสมาธิท่องมนตรา มีควันสีม่วง ลอยอ้อยอิ่งออกมาจากปากบันดาสา
ฝ่ายเจ้าพงษ์สุริยันมองโฉมสุรางค์อย่างรักใคร่ ก่อนจะขยับเข้าประคองกอดเจ้าสาว โฉมสุรางค์วางหน้าขรึม
จังหวะนี้มีควันสีม่วงไหลลอดเข้ามาจากใต้ประตู ควันนั้นลอยวนจนเต็มห้อง แต่ดูเหมือน เจ้าพงษ์สุริยันจะไม่รับรู้ใดๆ ท่าทางเหมือนตกอยู่ในภวังค์
โฉมสุรางค์ลุกขึ้น เดินไปเปิดประตูห้องหอ ส่วนที่เตียงเจ้าพงษ์สุริยันยังคงนั่งนิ่ง ใบหน้ายิ้ม แย้มชะงักงัน
บันดาสาเดินก้มหน้าเข้ามาด้านหลังโฉมสุรางค์ ทั้งคู่มองหน้ากัน
“ขอให้มีความสุขนะจ๊ะ พี่บันดาสา”
อนิลทิตาในคราบโฉมสุรางค์เดินออกไป ใบหน้าพรายยิ้ม
บันดาสานั่งลงตรงหน้าเจ้าพงษ์สุริยัน มองอย่างหลงใหล ส่วนเจ้าพงษ์สุริยัน เห็นบันดาสาเป็นโฉมสุรางค์
“คุณโฉมของพี่” เจ้ายิ้มแย้มอย่างมีความสุขเคลื่อนหน้าเข้าหา
บันดาสาที่เจ้าพงษ์สุริยันเห็นเป็นโฉมสุรางค์ ยิ้มเขินอายเล็กน้อยก่อนยอมให้เจ้าพงษ์สุริยันจูบอย่างเต็มใจ
สองนายบ่าว อนิลทิตา และ บันดาสา ใช้ชีวิตอมตะ ปะปนกับผู้คนปกติในคุ้มเชียงแมน ผ่านไป อีก 1 ปี
อยู่มาวันหนึ่ง เจ้าพงษ์สุริยันมีปากเสียงกับกับโฉมสุรางค์เรื่องลูก ดังลั่นห้องนอนบนเรือนใหญ่ สองคนทุ่มเถียงกันอย่างรุนแรง
“พี่ไม่เข้าใจ ว่าทำไมคุณโฉมมีลูกให้พี่ไม่ได้”
โฉมสุรางค์ตอบอย่างเย็นชา “น้องอาจจะเป็นหมัน”
“รู้ได้ยังไง หมอก็ไม่ยอมไปหา ให้ตรวจก็ไม่ยอมไปตรวจ”
“น้องไม่ไป น้องไม่ยอมให้ใครมาแตะต้องตัวน้องเป็นอันขาด”
“งั้นก็มีลูกให้พี่ ฟังนะคุณโฉม ปีหน้า พี่จะไม่อยู่ ต้องไปช่วยดูแลกิจการของเจ้าแม่ที่อังกฤษ พี่ต้องการข่าวดี ก่อนที่พี่จะเดินทาง”
โฉมสุรางค์อึ้ง รู้ว่าคราวนี้เจ้าพงษ์สุริยันเอาจริง
“ถ้าไม่ท้อง ก็ไม่มีข้อตัวอะไรอีกแล้ว คุณโฉมต้องทำกิฟท์ ยังไงพี่ก็ต้องมีลูกกับคุณโฉมให้ได้”
เจ้าพงษ์สุริยันปึงปังออกไป โฉมสุรางค์กลุ้มใจหนัก
บันดาสาแอบฟังอยู่ ด้วยสีหน้าหนักใจ แล้วคิดได้ว่าต้องทำอะไรบางอย่าง
2 เดือนต่อมา บันดาสาทำท่าผะอืดผะอมคว้ากระโถนโก่งคออาเจียนอยู่ในห้องพัก ออกอาการแพ้ท้อง โฉมสุรางค์วิ่งเข้ามาในห้องตรงเข้ามาประคองอย่างห่วงใย
“พี่บันดาสา มีคนไปบอกฉันว่าพี่ไม่สบาย พี่เป็นอะไร”
บันดาสาหันมามองคุณโฉม แล้วยิ้ม เอามือลูบท้องอย่างทะนุถนอม สีหน้าเศร้าระคนสุข
“พี่ท้อง”
โฉมสุรางค์ตกใจ “ได้ยังไง พี่ก็รู้ว่า เรามีลูกไม่ได้ วันใดที่เราให้กำเนิดทารกตามธรรมชาติ วันนั้น มนตราอมตะจะเสื่อม แล้วร่างกายเราจะกลับสู่สภาพที่แท้จริง”
“แต่เจ้าพงษ์ต้องการมีลูก หากภายในปีนี้ แม่หญิงไม่มีทายาทให้เจ้าพงษ์ ท่านคงสงสัยในตัวแม่หญิงแน่”
“แต่ท่านอยากมีลูกกับฉัน พี่มาท้องแทนฉันอย่างนี้ แล้วมันจะช่วยฉันได้อย่างไร”
สีหน้าโฉมสุรางค์กลัดกลุ้มเป็นที่สุด
ไม่นานต่อมา เจ้าพงษ์สุริยันรับรู้ข่าวจากปากโฉมสุรางค์ด้วยกิริยาตื่นเต้นดีใจถึงขีดสุด
“อะไรนะ คุณโฉมท้อง คุณโฉมท้องแล้วจริงๆ หรือนี่”
“ค่ะคุณพี่ น้องท้องได้สามเดือนแล้ว”
“ตั้งสามเดือนแล้ว ไม่ได้การล่ะ พรุ่งนี้พี่จะพาน้องไปหาหมอ ต้องไปฝากครรภ์”
โฉมสุรางค์เสียงเข้ม “ไม่ค่ะ” เจ้าชะงัก ฉงน “น้องจะให้พี่บันดาสาดูแลครรภ์แบบโบราณ”
เจ้าพงษ์สุริยันตั้งท่าจะเถียง โฉมสุรางค์รีบขัด
“ไม่ต้องฝากครรภ์ที่ไหนทั้งนั้น มันเป็นธรรมเนียมของบ้านเมืองของน้อง เมื่อผู้หญิงท้องได้หกเดือนจะต้องกลับไปทำพิธี และทำคลอดที่บ้าน”
เจ้าพงษ์สุริยันหงุดหงิด “เหลวไหล”
“เป็นจริงค่ะ เจ้า ไม่อยากนั้นลูกที่เกิดมาจะไม่รอด...เจ้าจะยอมเสี่ยงหรือคะ”
เจ้าพงษ์สุริยันฮึดฮัดขัดใจ โฉมสุรางค์ปลอบ
“ยังไงพี่ก็ต้องไปต่างประเทศอยู่แล้ว น้องกลับไปอยู่บ้านก็ดีกว่าอยู่ที่นี่คนเดียว”
บันดาสาซึ่งอยู่ด้วยช่วยเกลี้ยกล่อมอีกแรง “นึกว่าเห็นแก่ลูกนะคะ เจ้า”
บ้านที่สองบ่าวนายกลับมาคือ บ้านพักภายในถ้ำบนเขาสูง หลังคุ้มเชียงแมนนั่นเอง
6 เดือนต่อมา ในคืนพระจันทร์เต็มดวง
บันดาสาท้องแก่จวนเจียนจะคลอดเต็มแก่ ในถ้ำมีแต่โฉมสุรางค์เท่านั้น บันดาสาร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด
บันดาสากัดฟันสู้ทนกับความเจ็บปวด ออกแรงเบ่งสุดแรงเกิดจนเด็กคลอดออกมาได้เองในที่สุด
โฉมสุรางค์เอาเด็กมาห่อผ้า แล้วอุ้มไปให้บันดาสาดู บันดาสาดูทารกน้อยแล้วยิ้มน้ำตาไหลรินออกมาด้วยความปลาบปลื้ม แต่ยังไม่ทันจะทำอะไรต่อ ใบหน้าที่เคยสวยงามของบันดาสาก็เหี่ยวย่นลงทันตา กลายเป็นหน้าคนแก่หง่อมอย่างรวดเร็ว
โฉมสุรางค์ตกใจ “พี่บันดาสา”
บันดาสายกมือขึ้นลูบใบหน้าตัวเอง พอรู้ว่าใบหน้าเหี่ยวย่นไปกะทันหันก็ตกใจเช่นกัน ยกมือขึ้นดู พบว่ามือที่เคยเต่งตึงกลับเหี่ยวเหมือนมือคนแก่
บันดาสาเงยหน้าขึ้นมองอนิลทิตาในคราบโฉมสุรางค์ น้ำตาซึม
“มนตร์ข้าเสื่อมแล้ว”
โฉมสุรางค์ยืนตะลึงมองบันดาสาอย่างตกใจ ช็อก รับไม่ได้
“อย่าเพิ่งวิตกเรื่องสังขารของข้าเลย ลูกของข้าเป็นอย่างไรบ้าง” บันดาสาเปลี่ยนเรื่องคุย
“ลูก...ของพี่ แข็งแรงดี”
บันดาสามองทารกหญิงที่อยู่ในอ้อมแขนของโฉมสุรางค์ด้วยความรัก
เช้าวันนี้ รถเบนซ์คันใหญ่แล่นมาจอดหน้าเรือนหลังใหญ่ของคุ้มเชียงแมน เมื่อรถจอดสนิท ประตูรถเปิดออกในทันที เจ้าพงษ์สุริยันก้าวออกมาจากรถอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเปื้อนยิ้ม รำพึงกับตัวเอง
“ยายหนู ลูกพ่อ พ่อกลับมาแล้ว”
โฉมสุรางค์นอนนิ่งอยู่บนเตียงในห้องนอน เจ้าพงษ์สุริยันยืนอุ้มทารกอยู่อย่างชื่นชม ก้มลงหอมแก้มน้อยๆ ไม่ขาด
“ลูกของเราน่ารักมาก เราจะตั้งชื่อลูกว่าอะไรดีจ๊ะ”
โฉมสุรางค์ไม่สนใจสักนิด “แล้วแต่คุณพี่เถอะค่ะ”
เจ้าพงษ์สุริยันใช้ความคิดหนัก เดินวนเวียนอยู่หน้าเตียง ก่อนจะหันมา
“ลูกมีดวงตาสวยเหมือนดวงดาว ชื่อดาเรศดีไหมจ๊ะน้อง...อ้าว”
เจ้าพงษ์สุริยันหน้าเจื่อนไป เมื่อเห็นโฉมสุรางค์หลับไปแล้ว
เจ้าพงษ์สุริยันวางลูกลงบนที่นอนเด็ก แล้วเดินเข้าไปใกล้หยิบผ้าห่มคลุมห่มให้โฉมสุรางค์อย่างเบามือ เดินออกไปจากห้องเงียบๆ
พอเจ้าพงษ์สุริยันออกจากห้องไป โฉมสุรางค์ก็ลืมตาขึ้น สีหน้าโล่งใจ
ที่เรือนครัวของคุ้ม แอ๋วเดินถือตระกร้าผ้าเข้ามาในครัว แวะฉกกับข้าวกิน ถูกอิ่มแม่ครัว ตีมือเผียะ
“นังนี่....มือไวจริงนะ ระวังเถอะ....คุณผู้หญิงมาเห็นเข้าละก็ เป็นเรื่อง”
แอ๋วยักคิ้วล้อเลียน “จ้างให้ก็ไม่กลัว ก็...คุณบันดาสาเธอไม่อยู่แล้วนี่นา ไม่มีใครคอยสอดส่อง”
อิ่มคิดตาม “เออ...ข้าก็สงสัย แกตามคุณโฉมกลับไปคลอดลูกที่บ้าน แล้วไม่ยักกลับมา แต่ดันมีญาติแก่ๆ อีกคนมาอยู่แทน”
บันดาสาในสภาพหญิงแก่ ยืนหลบมุมแอบฟังอยู่ ถอนใจอย่างเศร้าๆ
6 ปี ผ่านไป
อยู่มาวันหนึ่ง เจ้าพงษ์สุริยันจอดรถหน้าเรือนใหญ่ พาเจ้าดาเรศ วัย 6 ขวบ ในชุดกระโปรงฟูฟ่องน่ารักลงจากรถ ท่าทางรักกันมากห่างออกไป เห็นบันดาสาแอบดู ชื่นใจ
“ดาเรศลูกแม่”
บันดาสาหันไปทางหนึ่ง เห็นโฉมสุรางค์ยืนมองอยู่ หน้าตาบึ้งตึง
คืนนั้น สองนายบ่าวอยู่ในกระท่อมของบันดาสา บริเวณหลังคุ้ม โฉมสุรางค์ต่อว่าบันดาสา
“พี่ทำแบบนี้ ความลับของเราแตกเข้าสักวัน”
“พี่คิดถึงลูก”
"ข้าเข้าใจ แต่พี่ต้องระวังให้มากกว่านี้ เจ้าดาเรศโตขึ้นทุกวัน แถมยังช่างซักช่างถาม ถ้าแกสงสัยว่าพี่เป็นใครขึ้นมาจะว่ายังไง"
บันดาสามีสีหน้าสลดลงไปถนัดตา โฉมสุรางค์มองอย่างไม่ไว้วางใจ
อ่านต่อหน้า 4
อนิลทิตา ตอนที่ 2 (ต่อ)
คืนวันหนึ่ง เจ้าพงษ์สุริยันเข้ามาในห้องนอน เรียกหาโฉมสุรางค์
“คุณโฉม พี่มีอะไรจะปรึกษา”
เจ้าพงษ์สุริยันมองไปทั่วห้อง แต่ไม่เห็นใครในนั้น เมื่อเดินไปที่หน้าต่าง มองออกไปข้างนอก ก็เห็นโฉมสุรางค์เดินไปทางด้านหลังคุ้ม เจ้าพงษ์สุริยันแปลกใจ
“ไปไหนของเขา”
เจ้าพงษ์สุริยันรีบเดินออกจากห้องไป
แต่พอเจ้าพงษ์สุริยันวิ่งตามโฉมสุรางค์ลงมาในสวนหลังคุ้ม แต่ร่างของโฉมสุรางค์ลับหายไปอย่างรวดเร็ว เจ้าตัดสินใจขับรถกอล์ฟออกตามไปทางท้ายคุ้ม
เจ้าพงษ์สุริยันขับรถกอล์ฟเข้าเฟรมมา ถึงบริเวณหน้าถ้ำ เจ้าพงษ์สุริยันลงจากรถ มองไปรอบๆ อย่างแปลกใจไม่เห็นคุณโฉม
“หายไปไหน...ก็เห็นอยู่ว่ามาทางนี้”
เจ้าพงษ์สุริยันเดินหาต่อไป จนเห็นโฉมสุรางค์เดินอยู่ลิบๆ รีบเดินตาม
โฉมสุรางค์เดินตรงไปยังหน้าผาหินที่มีรากไม้รกระเกะระกะอยู่เต็ม เจ้าพงษ์สุริยันขยับปากจะเรียก แต่เปลี่ยนใจ แอบดู จนเห็นโฉมสุรางค์ขยับหิน แล้วหน้าผาก็ขยับเปิดออกเป็นประตู เจ้าพงษ์สุริยันตะลึงตาค้าง
โฉมสุรางค์เดินเข้าไป ประตูปิดลง
เจ้าพงษ์สุริยันรีบเดินตามมาที่หน้าถ้ำ มองดูก้อนหินที่เห็นโฉมสุรางค์ใช้เปิดถ้ำ
“ประตูกลงั้นหรือ...ในคุ้มเรา มีของแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
เจ้าพงษ์สุริยันคลำดู ท่าทีลังเลใจ สุดท้ายตัดสินใจกดหินนั้น ประตูถ้ำเปิดออก เจ้าเดินเข้าไป
เจ้าพงษ์สุริยันเดินไปตามทาง จนเจอทางแยกสองทาง แต่แล้วก็ได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญดังออกมาจากทางหนึ่ง เจ้าเลยตัดสินใจเดินตามเสียงนั้นไป
เจ้าพงษ์สุริยันเดินไปตามเสียงเรื่อยๆ เมื่อมองไปก็เห็นคล้ายเป็นกรงขังอะไรบางอย่าง เป็นเงาตะคุ่มๆ เมื่อปรับสายตาให้คุ้นเคยกับแสงน้อยนิดในห้อง เขม้นมองไปอีกทีก็เห็นร่างเหมือนคนเคลื่อนไหวอยู่ในกรงนั้น ส่งเสียงครวญครางคล้ายคนจะหมดแรง
เจ้าพงษ์สุริยัน เห็นเจ้าของมืออันเป็นหนึ่งในเหยื่อซึ่งยังไม่ตาย แต่บัดนี้หน้าตาอัปลักษณ์ พิกลพิการ ยื่นมือไขว่คว้า ร้องเรียกชื่ออออกมาว่า
“อนิลทิตา...อนิลทิตา...”
เจ้าพงษ์สุริยันมีสีหน้าตกใจสุดขีด ถอยหลังหนีอย่างลืมตัว จนร่างกระแทกกับประตูห้องขังที่อยู่ด้านหลัง ทันใดนั้นเองก็มีมือยื่นออกมาจากห้องขังทางด้านหลัง จับบ่าเจ้าไว้ เจ้าพงษ์สุริยันหันหลังขวับไปมอง
พบว่าเจ้าของมือหน้าตาพิกลพิการ ลูกตาปูดโปนออกมา เหมือนซากศพ แถมมันยื่นมือออกมาไขว่คว้าตัวเจ้าพงษ์สุริยันไว้
เจ้าพงษ์สุริยันตกใจสุดขีด ตะกายหนี ผ่านห้องขังอีกสองสามห้อง ทุกห้องมีเหยื่อสภาพเดียวกันยื่นมือออกมาไขว่คว้าตัวเจ้าพงษ์สุริยันตลอดเวลา เจ้ารวบรวมสติวิ่งหนีตายไปตามทางเดินอย่างว่องไว
เจ้าพงษ์สุริยันหนีไปตามทางเดินที่ลดเลี้ยวนั้น จนมาถึงอีกห้อง ซึ่งเป็นห้องย่อยซากศพ เมื่อเจ้าเพ่งมองไปเห็นกระดูกมนุษย์เกลื่อนกลาด และมองเรื่อยไปเห็นงูเหลือมตัวขนาดใหญ่กำลังกลืนกินมือมนุษย์ เจ้าพงษ์สุริยันมองตะลึงแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง สักครู่หนึ่งก็รับรู้ถึงสัญญาณอันตราย เจ้าพงษ์สุริยันถอยหลังกรูด แต่สะดุดกระดูกขามนุษย์ท่อนหนึ่ง จนเสียหลักล้มลง
เจ้าพงษ์สุริยันตกใจกลัวร้องไม่เป็นภาษา สติแตก ลุกพรวดขึ้นอย่างขยะแขยง และหันหลังกลับจะรีบออกไปพ้นๆ ห้องนี้ ไอ้โล้นซึ่งยืนมองอยู่ด้านหลัง ในมือถือคบไฟ อมนุษย์ผู้ซื่อสัตย์ของอนิลทิตาเหวี่ยงคบไฟเข้าที่หน้าเจ้าพงษ์สุริยันอย่างแรง
สติเจ้าพงษ์สุริยันพลันดับวูบลงไปในทันที
เจ้าพงษ์สุริยันนอนสลบอยู่ที่พื้นในห้องขัง โดยมีบันดาสาแก่นั่งประคองด้วยความเป็นห่วง ไอ้โล้นยืนคุมอยู่ด้านหลัง โฉมสุรางค์ยืนมองภาพบันดาสาและเจ้าพงษ์สุริยันอย่างกลัดกลุ้มว้าวุ่นใจ
“เห็นแก่ข้าเถอะแม่หญิง อย่าเอาชีวิตเจ้าพงษ์สุริยันเลย”
“แล้วพี่จะให้ข้าทำอย่างไร ใครที่ล่วงรู้ความลับของเรา ข้าปล่อยไว้ไม่ได้”
บันดาสาคร่ำครวญ “แต่เขาเป็นพ่อของลูกข้า”
ว่าพลางบันดาสาลุกขึ้นเดินมาหาเพื่ออ้อนวอน โฉมสุรางค์คิดหนัก มองเจ้าพงษ์สุริยันสลับกับบันดาสาไปมา
“ก็ได้พี่บันดาสา ฉันเห็นแก่พี่ ฉันจะไว้ชีวิตเจ้าพงษ์สุริยันก็ได้ แต่ว่า...”
โฉมสุรางค์เดินไปหยิบรากไม้มาอันหนึ่ง เป็นรากไม้สีดำหงิกงอน่ากลัว แล้วเดินมานั่งลงข้างๆ ร่างของเจ้าพงษ์สุริยัน บันดาสาหวาดหวั่น
“เราต้องทำให้เจ้าลืมทุกอย่างที่เคยเห็นมา”
เสียงร้องโหยหวนอย่างทุกข์ทรมานของเจ้าพงษ์สุริยันดังก้องสะท้อนไปทั้งป่า
ไอ้โล้นโยนร่างเจ้าพงษ์สุริยันลงไปกองกับพื้น ปล่อยให้นอนดิ้นครวญครางอยู่อย่างนั้น บันดาสาใจจะขาดตามไปประคองด้วยความเป็นห่วงจับใจ โฉมสุรางค์เดินเข้ามา
“ไม่ต้องกลัวหรอกพี่ พี่ก็รู้ดี ว่ายานี่ไม่ทำให้ใครตาย”
“แต่มันจะทำลายสมองจนหมด เจ้าจะเจ็บปวดทรมานนัก”
“พี่รู้วิธีรักษาอาการเจ็บปวดนี้นี่ พี่ก็เอาเขาไปรักษาสิ ฉันไม่ต้องการเขาแล้ว เพราะต่อจากนี้ ที่คุ้มเชียงแมนจะไม่มีเจ้าพงษ์สุริยันอีกต่อไป”
อนิลทิตาในคราบโฉมสุรางค์นัยน์ตาวาววามเป็นประกาย
หลายวันต่อมา งานศพเจ้าพงษ์สุริยันถูกจัดขึ้นในวัดไม่ไกลจากคุ้มนัก ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาสวดศพ โฉมสุรางค์นั่งหน้านิ่งอยู่ในงาน เจ้าดาเรศวิ่งมาหา หน้าตาเศร้าสร้อย
“คุณแม่ขา”
“อะไร”
“เจ้าย่ามาแล้วค่ะ”
รถยนต์หรูแล่นจอดนิ่งหน้าศาลา คนขับรถเปดประตูให้เจ้าศรีลัคนาก้าวลงมา โฉมสุรางค์กับเจ้าดาเรศรอรับอยู่
โฉมสุรางค์ไหว้ทัก “สวัสดีค่ะ เจ้า”
เจ้าศรีลัคนารับไหว้ แล้วหันไปหาหลานสาว “ดาเรศ มาหาย่ามาลูก”
เด็กหญิงวิ่งไปย่า เจ้าศรีลัคนากอดไว้
“พาย่าไปหาเจ้าพ่อหน่อยสิลูก”
เจ้าดาเรศพาเจ้าศรีลัคนาออกไป เห็นได้ว่าเจ้าศรีลัคนาไม่ชอบหน้าสะใภ้เอาเลย โฉมสุรางค์หน้าตาบึ้งตึง
ตกกลางคืน บันดาสากับโฉมสุรางค์กำลังคุยกันเรื่องเจ้าพงษ์สุริยันอยู่ในกระท่อม โฉมสุรางค์มีสีหน้าขรึม ส่วนบันดาสาเศร้า
“งานศพเรียบร้อยไหมเจ้าคะ”
“ก็เรียบร้อยดี ทุกคนเชื่อว่าเจ้าพงษ์สุริยันตายเพราะอุบัติเหตุรถคว่ำตกเหวจริงๆ ไม่มีใครสงสัย”
“แล้วเจ้าแม่ของเจ้าพงษ์ล่ะเจ้าคะ”
“ยายแก่นั่นไม่ชอบฉันอยู่แล้ว ไม่ว่าฉันจะพูดอะไร แกก็คงเหมาว่าเป็นความผิดของฉันอยู่ดี ที่ดูแลเจ้าพงษ์ไม่ดี”
“เจ้าดาเรศคงเสียใจมาก”
โฉมสุรางค์ชักโกรธ “พี่หยุดพร่ำรำพันเสียทีเถอะ เจ้าพงษ์สุริยันไม่ได้ตายจริงๆ เสียหน่อย”
“ไม่ตายก็เหมือนตาย” บันดาสารำพึง “นี่เราจะต้องทำบาปทำกรรมอีกเท่าไรก็ไม่รู้ เมื่อไหร่ถึงจะพ้นเรื่องนี้ไปได้”
โฉมสุรางค์บอกอย่างหนักแน่น “ขอเพียงให้ข้าได้พบกับสินธุอีกครั้ง ไม่ว่ามือจะต้องเปื้อนเลือดอีกมากน้อยเท่าไหร่ ข้าก็จะทำ เพื่อรอเขากลับมา”
อนิลทิตาในรูปลักษณ์โฉมสุรางค์มีสีหน้าเด็ดเดี่ยวแววตาแข็งกร้าว มือกำสร้อยเหรียญท้าวเวสสุวัณที่คล้องคออยู่จนแน่น
อ่านต่อตอนที่ 3