xs
xsm
sm
md
lg

9 ทศวรรษแห่งความทรงจำของ “กรมหลวงชุมพร”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หนังสือพระประวัติ (ฉบับประชาชน)
เป็นเวลาถึง 90 ปี นับตั้งแต่ พ.ศ. 2466 ที่แผ่นดินสยามได้สูญเสีย พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ หรือที่คนไทยทุกคนเรียกขานกันจนติดปากว่า “กรมหลวงชุมพร” พระโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงเป็นองค์ต้นราชสกุล “อาภากร” ผู้ทรงคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติบ้านเมืองนานัปการ ดังที่บันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ไทย และยังคงจารึกอยู่ในหัวใจของอนุชนรุ่นหลังตราบจนทุกวันนี้

เนื่องในโอกาสครบรอบของการสิ้นพระชนม์ครบ 9 ทศวรรษ มูลนิธิราชสกุลอาภากร ใน พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรฯ ภายใต้การนำของ ม.ร.ว.จิยากร (อาภากร) เสสะเวช ประธานมูลนิธิอาภากรฯ จึงได้จัดพิมพ์หนังสือพระประวัติของกรมหลวงชุมพร ทั้งหมด 2 เล่มด้วยกันคือ “พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทหารเรือ หมอยา คาถา ศิลปิน” ฉบับประชาชน และชื่อหนังสือเดียวกันนี้ แต่เป็นฉบับอ้างอิงที่ค้นคว้าและรวบรวมข้อมูลอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับพระองค์ท่าน มาให้ผู้อ่านได้รับรู้ถึงพระเกียรติคุณของเสด็จในกรมฯ ผู้ทรงคุณแห่งแผ่นดิน

ณ รั้วสีเขียวเย็นตาในช่วงบ่ายแก่ๆ ย่านดาวคะนอง อันเป็นที่ทำการของมูลนิธิฯ และเป็นที่พำนักของ ม.ร.ว.จิยากร ทายาทรุ่น 2 ของราชสกุลอาภากร ผู้สืบสายโลหิตมาจากกรมหลวงชุมพร องค์ต้นราชสกุล ถูกเปิดออกเพื่อต้อนรับหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการรายวัน ให้เข้าไปพูดคุยถึงที่มาในการทำหนังสือทั้ง 2 เล่ม รวมทั้งเล่าประสบการณ์ในต่างแดน ที่ได้พบเจอระหว่างการค้นคว้าหาข้อมูลมาประกอบการเขียนหนังสือ
เหรียญกรมหลวงชุมพรฯ เนื้อนวโลหะ “รุ่น 129 ปี”
ม.ร.ว.จิยากร
ม.ร.ว.จิยากร ในวัย 60 ปีเศษ ทุกวันนี้ไม่เพียงแค่รับหน้าที่เป็นประธานมูลนิธิราชสกุลอาภากร เท่านั้น แต่ยังคงทำงานช่วยเหลือสังคมในสภากาชาดไทย อีกทั้งยังอาสาช่วยงานกุศลในองค์กรต่างๆ อย่างเต็มกำลังอีกด้วย “คุณหญิง” เริ่มเปิดฉากเล่าถึงที่มาของการจัดทำหนังสือพระประวัติทั้ง 2 เล่มว่า ต้องการเผยแพร่พระเกียรติคุณขององค์ต้นราชสกุล ในฐานะที่ทรงประกอบคุณูปการแก่ชาติบ้านเมืองไว้ในหลายๆ ด้าน ทั้งเรื่องที่ทรงเป็นผู้วางรากฐานกิจการทหารเรือไทย จนได้รับการขนานนามว่าเป็น บิดาแห่งกองทัพเรือ เป็นหมอพร แพทย์ผู้เอื้ออารีต่อผู้ป่วยทุกชนชั้น หรือผู้เป็นเลิศในด้านคาถาอาคม เพราะเสด็จในกรมฯ เป็นศิษย์เอกของหลวงปู่ศุข ผู้เป็นเลิศในกฤติยาคม อีกทั้งพระองค์ยังทรงเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญทางด้านศิลปะ ซึ่งน้อยคนนักจะได้รู้ถึงพระปรีชาสามารถด้านนี้ของพระองค์

“ที่ผ่านมามีคนเคารพท่านมากมาย จึงมีการนำพระประวัติของท่านไปตีพิมพ์หลายเล่มโดยเฉพาะ กองทัพเรือ ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่เทิดทูนท่านจริงๆ โดยเรื่องราวที่เขียนส่วนใหญ่มักมีเนื้อหาเกี่ยวกับพระองค์ท่านที่ทรงมีคุณูปการกับกองทัพเรือเสียมากกว่า แต่เสด็จปู่ยังทรงมีพระปรีชาสามารถในด้านต่างๆ อีกหลายด้าน ทั้งเรื่องวิชาการแพทย์ คาถาอาคม รวมถึงด้านศิลปะ โดยเฉพาะ การวาดภาพ ดังนั้น เราจึงได้รวมเล่มพระประวัติของเสด็จปู่ ในหลายเรื่องไว้ในเล่มเดียวกัน”

ความแตกต่างของหนังสือทั้งสองเล่ม คุณหญิงบอกว่ามิได้ต่างกันเพียงแค่ราคาเท่านั้นหากแต่เนื้อหาในเล่มก็ยังมีความเข้มข้นไม่เหมือนกัน ซึ่งหนังสือฉบับประชาชนนั้น มีเนื้อหาและภาพประกอบพอสังเขป เหมาะกับผู้อ่านทั่วไป ที่สนใจศึกษาพระประวัติในเบื้องต้น อาทิ พระปรีชาสามารถของพระองค์ในด้านการเป็นแพทย์ โดยนำความรู้ด้านแพทย์แผนไทยมาประยุกต์กับแพทย์ตะวันตก จนทำให้พระองค์ท่านได้รับการยกย่องให้เป็นนักธรรมชาติวิทยา

“เสด็จปู่ทรงสนพระทัยทางด้านพฤกษศาสตร์เป็นอย่างมาก ท่านพ่อเล่าให้ฟังว่า ที่วังเก่าแถวสนามม้านางเลิ้ง อันเป็นวังที่ประทับของเสด็จปู่ ภายในวังมีครบทุกอย่าง ทั้งค่ายมวย กุฏิของหลวงปู่ศุข โรงละคร รวมถึงห้องวิจัย ซึ่งเสด็จปู่ทรงสั่งซื้อกล้องจุลทรรศน์มาศึกษาสัตว์และพืชพรรณต่างๆที่มีประโยชน์ต่อการรักษาโรค ท่านเคยส่งแมลงชนิดหนึ่งไปให้พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา ประเทศอังกฤษ ได้ทำการทดลองถึงประโยชน์และสรรพคุณของแมลงตัวนี้ ที่มีต่อการใช้รักษาโรคของมนุษย์ ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ก็จะปรากฏในหนังสือเล่มนี้ด้วย” คุณหญิงย้อนอดีตด้วยน้ำเสียงสดใส

ส่วนหนังสือพระประวัติฉบับอ้างอิงนั้น ไม่เพียงครบรสทั้งในเรื่องภาพถ่ายของเสด็จในกรมฯ ที่หาชมได้ยากยิ่ง เช่น พระรูปเมื่อครั้งเสด็จไปทรงศึกษา ณ ประเทศอังกฤษ ซึ่งเชื่อว่าไม่เคยมีปรากฏให้เห็นในหนังสือเล่มใดมาก่อน

ด้านเนื้อหานั้นก็เข้มข้นไม่แพ้กัน เพราะ ม.ร.ว.จิยากร หญิงวัยแซยิด ในฐานะหัวหน้าคณะผู้จัดทำหนังสือ ต้องเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปไกลถึงอังกฤษ เพื่อสืบเสาะหาสถานที่ที่องค์ต้นราชสกุลเคยประทับ และมีส่วนเกี่ยวข้องในหน้าประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ

คุณหญิงเล่าให้ฟังว่า กว่าจะได้ข้อมูลของเสด็จในกรมฯ ในช่วงประทับอยู่ที่อังกฤษแต่ละเรื่องนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย บางเรื่องมีการบันทึกไว้ในหอจดหมายเหตุ และกว่าจะเข้าไปค้นคว้าข้อมูลได้ ก็ต้องผ่านการทดสอบจากเจ้าหน้าที่ประจำหอจดหมายเสียก่อนว่า ต้องการเข้าไปทำอะไรกับหนังสือที่ต้องการหา ต้องผ่านการทดสอบเรื่องการหยิบจับหนังสือ เพราะหนังสือแต่ละเล่มค่อนข้างเก่า และมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์มาก ดังนั้น ผู้ถือหนังสือต้องมีความรู้ในการหยิบจับหนังสือ ถ้าสอบผ่านทุกขั้นตอนเหล่านั้นแล้ว ถึงจะได้เข้าไปหาข้อมูลในหอจดหมายเหตุ

ด้วยความวิริยะอุตสาหะของหัวหน้าคณะทำงาน ที่ตั้งใจให้ผู้อ่านทุกคนได้ซึมซับถึงพระประวัติขององค์ต้นราชสกุลในทุกตัวอักษร ประกอบกับ ลูกทีมอันเข้มแข็ง จึงทำให้คุณหญิงและคณะผ่านการทดสอบได้อย่างไม่ยากเย็น

“ตลอด 9 ปีที่เสด็จปู่ประทับอยู่ที่อังกฤษ ท่านเสด็จไปที่ไหนเราก็ตามรอยท่านไปที่นั่นทุกหนแห่ง ทั้งโรงเรียนที่เสด็จในกรมฯ เคยไปศึกษาวิชาการทหารเรือ และอีกหลายแห่งที่พระองค์ท่านเคยเสด็จไป ซึ่งรับรองว่าผู้อ่านจะได้รับอรรถรสทุกหน้าของหนังสือจนวางไม่ลงเลยทีเดียว”

ก่อนจากกัน ม.ร.ว.จิยากร ยังได้เล่าทิ้งท้ายถึงความภาคภูมิใจที่ได้เกิดมาอยู่ใต้ร่มเงาของราชสกุลอาภากร อันมีองค์ต้นราชสกุล ผู้ทรงคุณแห่งแผ่นดินว่า การเกิดมาอยู่ในราชสกุลนี้ ถือเป็นสิริมงคลของชีวิต เพราะได้เห็นองค์ต้นราชสกุลสร้างคุณงามความดีไว้ให้กับประเทศชาติมากมาย โดยเฉพาะ จงรักความภักดีต่อชาติบ้านเมืองจนถึงวาระสุดท้ายในชีวิต พระองค์ท่าน กลายเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวที่ทำให้ลูกหลานทุกคนในราชสกุลอาภากร เจริญรอยตาม ซึ่งทั้งชีวิตนี้พวกเราทุกคนจะมีแต่ความภักดีต่อชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตริย์ และสร้างคุณประโยชน์ให้กับสังคมไทยในทุกด้านอย่างเต็มความสามารถ

ผู้สนใจหนังสือทั้งสองเล่มนี้ สั่งจองได้ที่มูลนิธิราชสกุลอาภากรฯ โทร. 0-2468-2696, 08-4642-5577 หนังสือฉบับประชาชนราคาเล่มละ 350 บาท และฉบับอ้างอิงบรรจุในกล่องอย่างดีราคา 3,000 บาท

 
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่  http://www.celeb-online.net
กำลังโหลดความคิดเห็น