สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้ทรงนิพนธ์เรื่อง “จิตฺตนคร” ขึ้นสำหรับบรรยายทางรายการวิทยุ อส.พระราชวังดุสิต ประจำวันอาทิตย์ ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๑๑-๒๕๒๓ และได้รวบรวมพิมพ์ครั้งแรกในเรื่อง การบริหารทางจิตสำหรับผู้ใหญ่ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๑
พระนิพนธ์เรื่องนี้ ทรงนำเอาเรื่องจิตและธรรมะที่เกี่ยวกับจิตในแง่มุมต่างๆมาผูกเป็นเรื่องราวทำนองปุคคลาธิษฐาน
อันที่จริงชาวเมืองจิตตนคร เป็นคนมีความรู้ความฉลาด เป็นคนมีการศึกษา ในโลกมีการศึกษาถึงระดับไหน ในจิตตนครก็จะมีการศึกษาสูงถึงระดับนั้น
การศึกษาทุกระดับตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงชั้นมหาวิทยาลัย มีอยู่ครบบริบูรณ์ในจิตตนคร การศึกษาด้วยการค้นคว้าก็ก้าวหน้าไปไกล ดูก็น่าจะรู้จักคนดีคนชั่ว และช่วยกันปราบปรามทุจริตต่างๆ ที่เที่ยวกวนบ้านกวนเมืองให้เดือดร้อน ตลอดถึงตัวหัวโจก
แต่หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เพราะสมุทัยเป็นตัวสำคัญที่แสดงตนเป็นเพื่อนสนิทของชาวเมืองจิตตนครทั้งปวง ชาวเมืองตลอดถึงเจ้าเมืองไว้วางใจ ขนาดที่เรียกว่าเพื่อนคู่หูคู่คิด ด้วยมีความเข้าใจและเชื่อในสมุทัย ว่าเป็นผู้ช่วยสร้างความสุขความเจริญต่างๆ
สมุทัยเป็นผู้สามารถครองใจคนทั้งเมืองไว้ได้ และสามารถในการใช้พรรคพวกที่เป็นหัวโจกดังที่กล่าวแล้ว คือ โลโภ โทโส โมโห หัวโจกทั้งสามนี้มิได้แสดงตัวเป็นหัวโจก วางท่าแก่ชาวเมืองโดยตรง แต่ไปแอบสิงใจชาวเมืองให้โลภอยากได้ ให้โกรธพยาบาท ให้หลงใหล
โมโหเป็นหัวโจกสำคัญที่แอบสิงใจคน ให้หลงให้เพลิดเพลินให้ติดคล้ายกับเป็นยาเสพติด โมโหชอบสิงใจอยู่นานๆ ส่วน โลโภ โทโส ชอบสิงใจเป็นพักๆ แม้ทั้งสองจะออกไปแล้ว โมโหก็ยังประจำอยู่ สมุทัยได้อาศัยโมโหนี้แหละเป็นเครื่องมือครองใจคนทั้งเมือง
ข้อที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งก็คือ ในจิตตนครไม่มีการทรงวิญญาณหรือทรงเจ้า คือไม่มีวิญญาณหรือเจ้าหรือผีมาทรง หรือมาเข้าสิงคนเหมือนอย่างในบางเมือง มีแต่หัวโจกทั้งสามนี้แหละเป็นตัวมาสิงใจ มาเข้าทรงชาวเมืองทั้งปวง
นอกจากนี้ หัวโจกทั้งสามยังมีพรรคพวกหัวมีดหัวไม้ต่างๆ อีก ๑๖ คน น่าจะแนะนำให้รู้จักไว้บ้าง เพื่อว่าเมื่อพบเห็นเข้า จะได้พอรู้จักว่าใครเป็นใคร คือ
๑. อภิชฌาวิสมโลภะ ละโมบไม่สม่ำเสมอ คือความเพ่งเล็ง
๒. โทสะ ร้ายกาจ
๓. โกธะ โกรธ
๔. อุปนาหะ ผูกโกรธไว้
๕. มักขะ ลบหลู่คุณท่าน
๖. ปลาสะ ตีเสมอ คือยกตนเทียมท่าน
๗. อิสสา ริษยา
๘. มัจฉริยะ ตระหนี่
๙. มายา มารยา คือเจ้าเล่ห์ ได้แก่ ปกปิดโทษที่มีอยู่
๑๐. สาเถยยะ โอ้อวด คืออวดคุณที่ไม่มี
๑๑. ถัมภะ หัวดื้อ
๑๒. สารัมภะ แข่งดี
๑๓. มานะ ถือตัว
๑๔. อติมานะ ดูหมิ่นท่าน
๑๕. มทะ มัวเมา
๑๖. ปมาทะ เลินเล่อ
ทั้ง ๑๖ คนนี้ มีลักษณะต่างๆกันเหมือนดังชื่อนั่นแหละ ล้วนเป็นพวกก่อกวนความสงบสุขของบ้านเมืองจิตตนครทั้งนั้น และวิธีการก่อกวนก็ด้วยการเที่ยวสิงใจคนเช่นเดียวกันกับหัวโจก
ชาวเมืองจิตตนครถูกพวกหัวมีดหัวไม้เหล่านี้สิงใจ ก็แสดงออกต่างๆกันตามสิ่งที่สิง เช่น ถูกโกธะสิงใจก็แสดงอาการโกรธต่างๆ ถูกสาเถยยะสิงใจก็พูดจาโอ้อวดคุณที่ไม่มีนานัปการ การศึกษาระดับต่างๆ ช่วยไม่ได้ บางทีกลับนำความรู้มาคุยฟุ้งอวดรู้อวดฉลาดไปเสียอีก
แม้ชาวเมืองจิตตนครจะตกอยู่ในอำนาจของพวกหัวมีดหัวไม้ดังกล่าว จนแทบจะหาผู้ช่วยไม่ได้ ดังเช่นกล่าวแล้วว่า การศึกษาระดับต่างๆ ทุกระดับก็ช่วยไม่ได้ แต่ก็ยังมีอยู่หนึ่งอย่างที่ช่วยได้ และช่วยได้แน่ด้วย สิ่งนั้นคือ ปัญญา
ปัญญาเป็นอาวุธสำคัญที่สุด มีอำนาจสูงสุด ปัญญามีอยู่ที่ไหน อย่าว่าแต่จะฟาดฟันพวกหัวมีดหัวไม้ให้แตกกระจัดกระจายไปได้เพียงพวกสองพวกเลย จะกี่ร้อยกี่พันพวกปัญญาก็สามารถเอาชนะได้สิ้น เปรียบเหมือนแสงอาทิตย์ที่อาจขับไล่ความมืดให้หมดไปได้ไม่หลงเหลือนั่นแล
ข้อสำคัญอยู่ที่ว่า ปัญญามิใช่แสงอาทิตย์ที่มีอยู่ประจำโลก ปัญญาเป็นสิ่งต้องสร้างขึ้น ต้องอบรมให้มีขึ้น
บรรดาผู้มาบริหารจิตก็คือผู้กำลังอบรมปัญญาให้มีขึ้น ให้เจริญงอกงามขึ้น เพื่อให้ตนเองมีอาวุธสำคัญที่สุดประจำตน สำหรับปราบพวกหัวมีดหัวไม้ให้สิ้นไป ไม่อาจก่อความเดือดร้อนให้ได้ต่อไปนั่นเอง
จึงนับได้ว่าบรรดาผู้มาบริหารจิตทั้งหลาย จะได้เป็นเจ้าของจิตตนครอันร่มเย็นเป็นสุขยิ่งขึ้นตามวันเวลาที่ล่วงไป พร้อมกับความพากเพียรพยายามไม่ท้อถอย ที่จะอบรมปัญญาให้เจริญงอกงาม ชั้นต้นก็ให้เกิดปัญญาเห็นชอบตามความจริงว่า ไหนดี ไหนชั่ว ไหนควรสงวนรักษาไว้ ไหนควรทำลายให้สิ้นไป
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 160 เมษายน 2557 โดย สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก)