กล่าวได้ว่าในขณะนี้ การแพทย์แผนไทย ถือเป็นแพทย์ทางเลือกที่กำลังได้รับความสนใจจากผู้ป่วยเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีข้อดีตรงที่ผู้ป่วยไม่ต้องเสี่ยงกับผลข้างเคียงจากการใช้ยา ซึ่งเป็นเคมีหรือสารสังเคราะห์ เหมือนกับการรักษาแบบแพทย์แผนปัจจุบัน และไม่ต้องเข้ารับการผ่าตัด ซึ่งนอกจากจะเจ็บตัวแล้ว ยังอาจมีความเสี่ยงหากร่างกายผู้ป่วยไม่แข็งแรงหรืออยู่ในวัยชรา
แต่หลายคนอาจไม่รู้ว่า ปัจจุบันประเทศไทยมี “โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทย” เปิดให้บริการแก่ผู้ป่วยอยู่หลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยสกลนคร และโรงพยาบาลล่าสุด 'โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน' ซึ่งอยู่ย่านยศเส กรุงเทพมหานคร ที่เพิ่งเปิดให้บริการรักษาผู้ป่วยได้ไม่กี่เดือน แต่ก็มีผู้ให้ความสนใจมารับการรักษากันแน่นขนัด
• แพทย์แผนไทย..ศาสตร์การรักษาแบบองค์รวม
นพ.วัฒนะ พันธุ์ม่วง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน เล่าถึงความเป็นมาของโรงพยาบาลดังกล่าวให้ฟังว่า โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน เป็นโรงพยาบาลในสังกัดกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข เริ่มเปิดให้บริการเมื่อเดือนธันวาคม 2556 ที่ผ่านมา โดยให้การรักษาแบบครบวงจร
นพ.วัฒนะ บอกว่า การแพทย์แผนไทยนั้น ถือเป็นแพทย์เลือกสำหรับผู้ป่วยที่มองว่า การรักษาด้วยยาแผนปัจจุบันอาจมีผลข้างเคียงจากสารตกค้าง ที่เข้าไปสะสมในร่างกาย เนื่องจากการผลิตยาแผนปัจจุบันเป็นกระบวนการผลิตทางเคมี ซึ่งอาจมีสารบางอย่างที่ส่งผลกระทบต่อร่างกาย เช่น สเตียรอยด์ หากสะสมในร่างกายมากๆ อาจทำให้เกิดอาการบวม ความดันโลหิตสูง ติดเชื้อง่าย กล้ามเนื้ออ่อนแรง นอกจากนั้นการผลิตยาสมุนไพรในปัจจุบัน ยังใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยทั้งในรูปแบบของยาอัดเม็ดและยาแคปซูล ซึ่งสะดวกในการรับประทานอีกด้วย
ในส่วนของวิธีการรักษา แพทย์แผนไทยก็แตกต่างจากแพทย์แผนปัจจุบันเช่นกัน โดยการรักษาแบบแพทย์แผนไทย จะเป็นศาสตร์การรักษาแบบองค์รวม คือนอกจากรักษาทางยาแล้ว ยังแนะนำเรื่องการปฏิบัติตัวต่างๆของคนไข้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหาร ซึ่งคนไข้จะต้องงดการดื่มแอลกอฮอล์ งดของแสลง งดรับประทานเนื้อสัตว์
และรับประทานอาหารแบบแบบฟังก์ชันนอล ฟู้ดส์ (functional foods) หรืออาหารสุขภาพที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ซึ่งแร่ธาตุ วิตามิน และสารอาหารที่มีอยู่ในอาหารเหล่านี้ จะช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย เรื่องการออกกำลังกาย ซึ่งคนไข้แต่ละคนจะแตกต่างกัน รวมถึงการดูแลเรื่องจิตใจ โดยจะให้ผู้ป่วยนั่งสมาธิหรือสวดมนต์ เพื่อปรับสมดุลทางจิตใจ ช่วยให้เกิดความผ่อนคลาย และลดความเครียด
“แพทย์แผนไทยจะต่างจากแพทย์แผนปัจจุบันตรงที่ แผนปัจจุบันจะรักษาตรงตำแหน่งที่เป็น แต่แพทย์แผนไทยจะรักษาแบบองค์รวม ไม่ใช่แค่ให้ยาอย่างเดียว แต่ยังปรับวิถีชีวิตของผู้ป่วยให้เกิดความสมดุลด้วย
โดยนอกจากรักษาทางยาแล้ว เรายังแนะนำให้คนไข้รับประทานอาหารแบบฟังก์ชันนอล ฟู้ดส์ ซึ่งจะเน้นผักมีสีต่างๆ เช่น ฝักทอง ซึ่งมีเบต้าแคโรทีน ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดการเกิดโรคเลือด โรคหัวใจ มะเขือเทศ ซึ่งมีสารไลโคปีน ที่ช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก และลดการเกิดสารอนุมูลอิสระในร่างกาย เมล็ดธัญพืช เช่น ถั่วแดงหลวง ซึ่งให้โปรตีนเช่นเดียวกับเนื้อสัตว์ แต่มีข้อดีคือย่อยง่าย ข้าวกล้อง ข้าวสีนิล ซึ่งมีวิตามินบีสูง
ถ้าจะรับประทานเนื้อสัตว์ก็เป็นจำพวกปลา ซึ่งย่อยง่าย ควรหลีกเลี่ยงเนื้อหมูเนื้อไก่ซึ่งย่อยยาก เนื่องจากในขบวนการย่อยจะเกิดแอมโมเนียซึ่งเป็นของเสีย ขณะที่เมื่อเราป่วย ประสิทธิภาพในการกำจัดแอมโมเนียในร่างกายของเราจะลดลง ส่งผลให้เกิดการคั่งของแอมโมเนียในเส้นเลือด
นอกจากเรื่องของอาหารแล้วเรา ยังแนะนำให้คนไข้ออกกำลังกายในรูปแบบที่เหมาะสมกับตัวเอง เช่น ฤๅษีดัดตน เล่นโยคะแบบง่ายๆ ซึ่งการออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น
นอกจากดูแลด้านร่างกายแล้ว แพทย์แผนไทยยังให้ความสำคัญกับเรื่องจิตใจของคนไข้อีกด้วย โดยเราจะแนะนำให้คนไข้นั่งสมาธิ ซึ่งเรียกว่า “สมาธิบำบัด” และสวดมนต์ ซึ่งเรียกว่า “มนตราบำบัด” เนื่องจากการการวิจัยพบว่า การทำสมาธิจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น ทำให้ระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดลดลง
แต่ไม่ใช่เฉพาะแค่จิตใจของคนไข้นะ เราดูแลไปถึงจิตใจของญาติด้วย เพราะแน่นอนว่า เมื่อคนในครอบครัวป่วย ญาติๆก็จะเกิดความเครียด จึงจำเป็นต้องให้ญาติมานั่งสมาธิด้วย เพราะเมื่อญาติมีสุขภาพจิตที่ดี สุขภาพจิตของคนไข้ก็ดีตามไปด้วย” นพ.วัฒนะ อธิบายถึงคำว่าการรักษาแบบองค์รวม ตามวิถีของแพทย์แผนไทย
• แพทย์แผนไทยเหมาะกับโรคใดบ้าง
ทั้งนี้โรคที่โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยให้การรักษานั้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภทด้วยกันคือ 1) โรคที่รักษาด้วยยา และ 2) โรคที่รักษาด้วยการนวดแผนไทย
สำหรับโรคที่รักษาด้วยยา ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคมะเร็ง ซึ่งการแพทย์แผนไทยถือเป็นศาสตร์ทางเลือกที่ผู้ป่วยสามารถใช้รักษาควบคู่ไปกับแพทย์แผนปัจจุบัน
โรคนอนไม่หลับซึ่งคนไข้จำเป็นต้องใช้ยานอนหลับนั้น การรักษาแบบแพทย์แผนไทยจะมียาหอมและสมุนไพร ที่มีสรรพคุณช่วยทำให้หลับง่าย ใช้ทดแทนยาแผนปัจจุบัน นอกจากนั้นยังมียาบำรุงร่างกาย ปรับธาตุ คือปรับสมดุลของดิน-น้ำ-ลม-ไฟ ซึ่งช่วยให้เจริญอาหาร และหลับง่าย
ส่วนรักษาด้วยการนวดแผนไทย ได้แก่ อาการปวดเมื่อยต่างๆ เช่น ปวดหลัง ปวดต้นคอ ปวดบ่า ปวดขา โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคนิ้วล็อก ซึ่งการนวดตามศาสตร์ของแพทย์แผนไทยช่วยให้คนไข้ไม่ต้องผ่าตัด
• วิธีการตรวจรักษาแบบผสมผสาน
สำหรับขั้นตอนวิธีการตรวจรักษาของโรงพยาบาลแพทย์แผนไทยก็น่าสนใจไม่แพ้กัน โดยผู้อำนวยการโรงพยาบาลแพทย์แผนไทยฯ ชี้แจงว่ามีอยู่ 2 แบบ คือ การตรวจแบบแพทย์แผนไทย และตรวจแบบแพทย์แผนไทยประยุกต์ ซึ่งแพทย์จะใช้ทั้ง 2 แบบร่วมกัน
ทั้งนี้ การตรวจรักษาแบบแพทย์แผนไทย จะเป็นการตรวจรักษาตามคัมภีร์โบราณ คือ ดูเรื่องความสมดุลของธาตุทั้ง 4 อันได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งจะพิจารณาจาก 1) ธาตุเจ้าเรือน หรือธาตุประจำเดือนเกิดของของคนไข้แต่ละคน 2) ธาตุประจำฤดู ซึ่งยาบางชนิดอาจจะไม่เหมาะที่รับประทานในบางฤดูกาล 3) ธาตุประจำวัย ซึ่งจะขึ้นกับวัยของผู้ป่วย และ 4) จะพิจารณาอาการป่วย เช่น สีหน้า แววตา ลักษณะผิวพรรณ จากนั้นจึงทำการตรวจวิเคราะห์โรคต่อไป
ขณะที่การตรวจรักษาแบบแพทย์แผนไทยประยุกต์ จะเป็นการนำศาสตร์การตรวจของแพทย์แผนปัจจุบันมาใช้ในการตรวจ คือ มีการตรวจชีพจร วัดความดัน วัดอุณหภูมิร่างกาย ซักประวัติคนไข้ เช่น อาการสำคัญที่ทำให้มาพบหมอ เคยรับการผ่าตัดหรือไม่ คนในครอบครัวมีโรคประจำตัวอะไร ส่วนการวิเคราะห์โรคจะเป็นไปตามแบบแพทย์แผนไทย คือ ดูเรื่องความสมดุลของธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ภายในร่างกาย
“หลังจากตรวจพบว่า คนไข้เป็นโรคอะไรแล้ว ไม่ใช่ว่าแพทย์แผนไทยจะให้ยาเลยนะ หมอจะดูคนไข้ก่อนว่า ตอนนี้ควรจะได้ยารักษาหรือยัง อันดับแรกต้องปรับร่างกายของคนไข้ก่อน เราจะเรียกว่า 'ยารุก' เพื่อให้คนไข้ถ่ายของเสียออกจากร่างกายก่อน เช่น ยาระบาย ยาขับปัสสาวะ จากนั้นจึงให้ 'ยารักษา' เมื่ออาการดีขึ้นแล้ว ก็ตามด้วย 'ยาบำรุง' เช่น คนไข้มะเร็งตับที่เราจะให้ยาเบญจอำมฤตย์ไปเนี่ยะ เราก็จะให้ยาต้มเป็นยาขับปัสสาวะ แล้วก็เสริมด้วยยาบำรุงตับที่เรียกว่ายาตำรับบุญอำมฤตย์ ที่ช่วยให้ตับฟื้นตัวเร็วขึ้น
นอกจากนั้น ยังมีบำรุงตับอื่นๆ เช่น ตับเต่าน้อย ตับเต่าใหญ่ ซึ่งยาเหล่านี้จะให้ตามหลังยาเบญจอำมฤตย์ หรือในบางกรณีที่ร่างกายของคนไข้ไม่แข็งแรง เมื่อให้ยารุกแล้ว ก็ต้องให้ยาบำรุงก่อน เพราะถ้ายังไม่แข็งแรงก็ยังให้ยาไม่ได้ ฤทธิ์ยาอาจไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย
ขณะที่คนไข้บางรายอาจต้องรักษาด้วยการนวดแผนไทย เช่น คนไข้ที่มีปัญหาเรื่องกล้ามเนื้อ อัมพฤกษ์ อัมพาต โดยการนวดของเราใช้หลักการคลายกล้ามเนื้อ กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต และช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้แข็งแรง อย่างโรคนิ้วล็อกที่เกิดจากปลอกหุ้มเอ็น ซึ่งเกี่ยวข้องกับการงอเข้าหรือเหยียดออกของนิ้ว เกิดการอักเสบ ทำให้มีพังผืดมาบีบรัดเอ็นบริเวณโคนนิ้วมือ ทำให้ข้อต่อไม่มีความยืดหยุ่น การยืดเข้ายืดออกของนิ้วจึงมีปัญหา
ผู้ป่วยจะมีอาการปวดที่โคนนิ้วหรือข้อนิ้ว เมื่อหดนิ้วเข้า นิ้วก็จะกระเด้งกลับ การรักษาโดยแพทย์แผนปัจจุบันจะให้ยาแก้ปวด ถ้าไม่ดีขึ้นก็จะให้ทำกายภาพบำบัด ถ้ายังไม่ดีขึ้นอีกก็จะฉีดสเตียรอยด์เข้าทางโคนนิ้ว สุดท้าย ถ้ายังไม่ดีขึ้นก็จะต้องผ่าตัดเพื่อเลาะเอาพังผืดออก
แต่การแพทย์แผนไทยจะใช้วิธีการนวดไทย โดยนวดตั้งแต่บ่าลงมาจนถึงฝ่ามือ จากนั้นก็แช่มือในน้ำยาสมุนไพร แล้วนวดไล่เส้นเอ็น ดึงและดัดนิ้ว ซึ่งจะช่วยลดอาการปวดลง ระยะแรกอาการปวดจะหายไปก่อน จากนั้นการขยับของนิ้วก็จะค่อยๆดีขึ้น” นพ.วัฒนะ ชี้แจงถึงขั้นตอนการตรวจรักษาของแพทย์แผนไทย
• ทีเด็ด 'ยาเบญจอำมฤตย์' ต้านมะเร็งตับ
เป็นที่กล่าวขานกันว่า โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสานนั้น มีชื่อเสียงมากในการรักษาโรคมะเร็ง ซึ่งในแต่ละวันมีผู้ป่วยมารอเข้ารับการรักษากันแน่นขนัด และที่กำลังฮือฮาอย่างมากในขณะนี้คือ 'ยาเบญจอำมฤตย์' ซึ่งเป็นตำรับยาโบราณที่นำมาใช้ในการรักษามะเร็งตับ
เนื่องจากผลการรักษาชี้ชัดว่า ผู้ป่วยตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาดังกล่าวได้ดี อาการบวมต่างๆลดลง ร่างกายแข็งแรงขึ้น และสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ
นอกจากนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังได้ทำการวิจัยเรื่องยาฝีมะเร็งทรวง ที่ใช้ในการรักษามะเร็งปอด ซึ่งเป็นตัวยาที่มีอยู่ในคัมภีร์โบราณ และยารักษามะเร็งปากมดลูก ซึ่งเป็นสูตรยาโบราณตามตำรับล้านนาอีกด้วย
“เราตั้งเป้าไว้ว่า มะเร็งเป็นโรคเรื้อรังที่สามารถรักษาได้ หรือช่วยยืดอายุผู้ป่วยออกไปได้ ไม่ใช่เป็นแล้วตายอย่างที่เคยเข้าใจกัน ซึ่งการรักษาโรคมะเร็งของแพทย์แผนไทย จะแตกต่างจากแพทย์แผนปัจจุบันตรงที่ แพทย์แผนไทยเป็นการรักษาแบบองค์รวม คือไม่ได้ใช้ยาอย่างเดียว แต่มีศาสตร์การรักษาอื่นๆเข้ามาประกอบด้วย ขณะที่การรักษาแผนปัจจุบันจะมีการให้ยา ทำเคมีบำบัด และการฉายแสง ซึ่งแต่ละอย่างจะมีผลข้างเคียงตามมา แต่ยาไทยดีตรงที่ไม่มีผลข้างเคียง
จริงๆแล้ว แพทย์แผนไทยของเรา รู้จักการรักษาโรคมะเร็งมานานแล้ว เพียงแต่ในสมัยโบราณเราไม่ได้เรียกว่าโรคมะเร็ง อย่างยา 'ยาเบญจอำมฤตย์' ซึ่งใช้รักษามะเร็งตับ ยาตัวนี้เป็นยาโบราณที่อยู่ในคัมภีร์ธาตุบรรจบ ซึ่งเขียนเอาไว้นานแล้ว และได้สังคายนาขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 5 และนำมาเขียนในตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ ซึ่งใช้เป็นตำราเรียนของแพทย์แผนไทย
โดยยาเบญจอำมฤตย์ ประกอบด้วยสมุนไพร 9 ชนิด และมีวิธีการปรุงที่ยุ่งยากซับซ้อน ซึ่งสาเหตุที่เราหยิบยาตัวนี้ขึ้นมาจากตำราแพทย์แผนโบราณ ก็เพราะท่านผู้ทรงคุณวุฒิด้านแพทย์แผนไทยแนะนำว่า ยาตำรับนี้ใช้ได้ผลดีกับคนไข้ของท่าน
เมื่อ 3 ปีที่แล้วเราจึงนำยาตัวนี้มาวิจัย โดยนำตัวยามาสกัดและทดลองกับเซลล์มะเร็งในหลอดทดลอง พบว่ายาตัวนี้ได้ผลดีในการฆ่าเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะเซลล์มะเร็งตับ ส่วนเซลล์มะเร็งอื่นๆ เช่น มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ ก็ได้ผลรองๆลงไป ขณะที่ผลข้างเคียงค่อนข้างน้อย เราจึงหยิบยาตัวนี้มาใช้กับอาสาสมัครที่เป็นมะเร็ง ก็ปรากฏว่าอาสาสมัครที่เป็นมะเร็งตับระยะสุดท้ายนั้นอาการดีขึ้น แข็งแรงขึ้น กระทั่งสามารถลุกขึ้นมาทำงานได้ เราจึงมั่นใจว่ายาตำรับนี้ใช้ได้ดีกับผู้ป่วยมะเร็งตับ
เมื่องานวิจัยชิ้นนี้ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการฯแล้ว เราจึงนำมาใช้กับคนไข้ที่เป็นมะเร็งตับ ซึ่งผลตอบรับดีมาก คนไข้กินอาหารได้ ท้องที่โตขึ้นก็ยุบลง ขาที่โตขึ้นก็ยุบลง สามารถลุกเดินได้ ช่วยเหลือตัวเองได้ ประกอบกิจวัตรประจำวันได้ อย่างไรก็ตามตอนนี้เรายังยืนยันไม่ได้ว่า ก้อนมะเร็งจะยุบหรือหายไปเลยหรือไม่ ยังอยู่ระหว่างการติดตามผล” นพ.วัฒนะอธิบายถึงการรักษาโรคมะเร็งตามศาสตร์แพทย์แผนไทย
• แนะ..อย่าซื้อยาสมุนไพรกินเอง
อย่างไรก็ดี แม้ยาตามตำรับแพทย์แผนไทยจะไม่มีผลข้างเคียงเหมือนกับยาแผนปัจจุบัน แต่คุณหมอด้านแพทย์แผนไทยก็ไม่แนะนำให้คนไข้ซื้อยากินเอง วิธีที่ถูกต้องคือ ผู้ป่วยควรจะเข้ารับการตรวจรักษา เพื่อวินิจฉัยโรคและกินหรือใช้ยาตามใบสั่งแพทย์เท่านั้น
“เราไม่แนะนำให้คนไข้อ่านตำรา แล้วไปซื้อยามาต้มกินเอง เพราะกรรมวิธีการปรุงยาไทยนั้นค่อนข้างซับซ้อน เช่น สมุนไพรบางตัวอาจจะมีพิษอยู่ ต้องทำการฆ่าพิษก่อนจึงสามารถนำมาปรุงเป็นยา อาทิ รงทอง ซึ่งเป็นส่วนประกอบหนึ่งของยาเบญจอำมฤตย์
รงทองเป็นยางไม้ที่พบมากในจังหวัดจันทบุรี แต่อยู่ๆเราจะนำยางของต้นรงทองมาปรุงเป็นยาเลยไม่ได้ เราจะต้องฆ่าฤทธิ์บางอย่างออกเสียก่อน ซึ่งกรรมวิธีตามศาสตร์โบราณจะต้องนำรงทองมาห่อใบบัว 7 ชั้น แล้วนำไปปิ้ง จึงสามารถนำรงทองมาใช้ได้
หรือมหาหิงค์ ซึ่งใช้ทาท้องเด็กแก้ปวดท้องนั้น ตัวมหาหิงค์มีพิษ แต่เราสามารถฆ่าพิษของมหาหิงค์ด้วยน้ำมะกรูด และเคี่ยวบนความร้อน จึงจะสามารถนำมาปรุงยาได้ ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้คนไข้อาจไม่ทราบ
ดังนั้น จึงไม่แนะนำให้ซื้อยาสมุนไพรมาต้มเอง การใช้ยาควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ หรือแม้แต่ยาที่ผ่านการปรุงมาแล้ว อย่างเช่นยาเบญจอำมฤตย์ ก็ต้องใช้ตามคำแนะนำของแพทย์เท่านั้น เนื่องจากยาเบญจอำมฤตย์มีส่วนประกอบของยาดำและดีเกลือ ซึ่งมีฤทธิ์เป็นยาระบาย ถ้ารับประทานในปริมาณที่มากเกินไป อาจทำให้คนไข้ท้องเสียได้ จึงต้องใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์ ซึ่งจะกำหนดปริมาณยาให้เหมาะกับคนไข้แต่ละคน” นพ.วัฒนะ ระบุถึงข้อห้ามที่พึงระวังในการใช้ยาตามตำรับแพทย์แผนไทย
• โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน
โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน (ยศเส) เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพ ขณะนี้สามารถให้บริการเฉพาะผู้ป่วยนอกเท่านั้น ส่วนผู้ป่วยในยังอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อม โดยผู้อำนวยการโรงพยาบาลแพทย์แผนไทยเชื่อว่า จะสามารถเปิดให้บริการผู้ป่วยในได้ในเร็วๆนี้
ปัจจุบัน มีแพทย์แผนไทยเฉพาะทาง 8 สาขา ให้บริการรักษาสับเปลี่ยนกันในแต่ละวัน ทั้งโรคผู้สูงอายุและระบบประสาท โรคเด็กแผนไทย มะเร็ง โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคสตรีและความงาม เบาหวานและความดันโลหิตสูง โรคระบบทางเดินปัสสาวะ และโรคภูมิแพ้ โดยเปิดให้บริการวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 08.30 – 16.30 น.
นอกจากนั้น ผู้ป่วยที่อยู่ในสิทธิการรักษาหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือบัตรทอง และผู้ป่วยที่เป็นข้าราชการ ยังสามารถใช้สิทธิในการรักษาได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
ส่วนผู้ประกันตนที่ใช้สิทธิประกันสังคมในเขตกรุงเทพฯ ยังไม่สามารถเข้าใช้บริการได้ฟรี แต่ทางโรงพยาบาลจะประสานความร่วมมือกับสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ต่อไปในอนาคต
ผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-2224-3261 กด 0
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 160 เมษายน 2557 โดย กฤตสอร)