• ระวัง!! โรคตาแดงระบาด ต้องสะอาดไว้ก่อน
ในช่วงฤดูฝนนี้มีการระบาดของโรคตาแดงมาก โดยปรากฏอาการ 2 ลักษณะ คือตาแดงอย่างเดียว และตาแดงร่วมกับอาการเจ็บคอจากคออักเสบร่วมด้วย มักเป็นที่ตาข้างใดข้างหนึ่งก่อน แล้วติดต่อมายังตาอีกข้าง ใน 1-2 วัน บางรายอาจแพ้แสง เนื่องจากตาดำอักเสบ ทำให้เคืองตามาก และมีแผลที่ตาดำชั่วคราว
กระทรวงสาธารณสุขจึงได้ย้ำเตือนประชาชนทุกคน หากมีอาการระคายเคืองตา ควรใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำสะอาด ปิดบริเวณรอบดวงตา ประมาณ 20 นาที หากยังอาการไม่ดีขึ้น ให้ไปพบจักษุแพทย์ ส่วนวิธีป้องกันคือล้างมือทุกครั้ง หลังหยิบสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ที่ใช้ร่วมกัน เช่น แป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ ลูกบิดประตู ราวบันได ราวจับรถโดยสารสาธารณะ เป็นต้น และหลังจากว่ายน้ำในสระว่ายน้ำ หรือในแหล่งน้ำธรรมชาติทั่วไป ควรรีบล้างหน้าด้วยน้ำสะอาดทันที ไม่ควรใช้ยาหยอดตาหรือถ้วยใส่ยาล้างตาร่วมกับผู้อื่น เนื่องจากอาจมีเชื้อโรคติดอยู่ ทำให้แพร่ระบาดติดต่อกันได้
• ลดการนั่งเฉยๆ วันละ 90 นาที ลดเสี่ยงเบาหวาน
งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในอังกฤษ บอกถึงวิธีลดเสี่ยงโรคเบาหวานว่า ต้องลดเวลาการนั่งอยู่กับที่ลงวันละ 90 นาที เนื่องจากพบว่า ผู้ที่ต้องลุกเดินไปโน่นมานี่บ่อยๆ จะมีโคเลสเตอรอล และน้ำตาลในเลือดในระดับที่ "ปลอดภัย" กว่าผู้ที่ต้องนั่งทำงานอยู่กับที่ทั้งวัน
โจเซฟ เฮนสัน หัวหน้านักวิจัยกล่าวว่า พฤติกรรมการนั่งทำงานอยู่กับที่นานๆ ยังนำไปสู่การรับประทานอาหารมื้อใหญ่เกินความต้องการของร่างกายอีกด้วย
"การเดินออกกำลัง การทำสวน แต่งบ้าน ทำงานบ้าน เหล่านี้ล้วนเป็นวิธีใช้เวลา 90 นาทีให้หมดไปอย่างมีคุณค่า หรือหากเป็นพนักงานออฟฟิศ จะลุกเดินไปคุยกับเพื่อนร่วมงานบ้างก็ได้" เฮนสันกล่าว
• ไม่น่าเชื่อ.. ‘กระเป๋าถือ’ มีเชื้อโรคมากกว่าห้องน้ำ
เมื่อเร็วๆนี้ งานวิจัยในอังกฤษเกี่ยวกับสุขอนามัยพื้นฐาน พบว่า กระเป๋าถือเป็นแหล่งสำคัญที่รวมเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆที่ก่อให้เกิดโรค
โดยทีมวิจัยได้นำสิ่งของ 25 ชิ้นที่อยู่ในกระเป๋าถือ มาเปรียบเทียบกับสิ่งของต่างๆ บนโต๊ะทำงาน อาทิ คีย์บอร์ด เม้าส์ และภายในห้องน้ำที่ทำงาน พบว่า โดยเฉลี่ย กระเป๋าถือมีเชื้อโรคมากกว่าที่นั่งโถส้วมในที่ทำงาน 3 เท่า และกระเป๋าถือที่สกปรกที่สุด มีเชื้อโรคมากกว่าถึง 10 เท่าเลยทีเดียว
และจุดที่มีเชื้อโรคมากที่สุดคือ หูหิ้วกระเป๋า เนื่องจากคนส่วนใหญ่มักหิ้วกระเป๋าทั้งวันโดยไม่ค่อยล้างมือ และเมื่อมือสัมผัสใบหน้า เชื้อโรคจึงตามติดมาด้วย โดยสิ่งของในกระเป๋าถือที่มีเชื้อโรคมากที่สุดคือ ครีมทาหน้าและมือ ส่วนลิปสติก มาสคาร่า มีเชื้อโรคน้อยที่สุด
ดังนั้น วิธีป้องกันดีที่สุดไม่ให้เชื้อโรคแพร่เข้ามาอาศัยในกระเป๋าถือ คือ หมั่นทำความสะอาดมือและกระเป๋าถือเป็นระยะๆ ทิ้งของที่หมดหรือไม่ใช้แล้วออกไป
• ‘ยาย้อมผม’ แหล่งรวมสารก่อภูมิแพ้
งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ถูกนำเสนอในการประชุมประจำปีของสมาคมโรคผื่นแพ้จากการสัมผัสแห่งอเมริกา เผยว่า หากคุณเคยมีผื่นแดงบนหนังศีรษะ ลำคอ หน้าอก ภายหลังการย้อมผม ไม่ต้องตกใจ เนื่องจากเป็นที่รู้กันทั่วไปว่า ยาย้อมผมมีสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้เป็นส่วนประกอบอยู่ด้วย
ทีมนักวิจัยสำรวจผลิตภัณฑ์ย้อมผมกว่า 100 ชนิด พบว่า 89% ประกอบด้วยสารพาราฟินีลินไดอะมีน ที่อาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้
เดธาน ฮามาน นักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยอริโซน่า ผู้นำเสนองานวิจัยชิ้นนี้ บอกว่า ปกติร่างกายมนุษย์ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบสารพาราฟินีลินไดอะมีน ว่าเป็นจุลินทรีย์ก่อโรค แต่บางครั้งก็แสดงปฏิกิริยา จนเกิดเป็นผื่นแดง แต่ไม่ใช่แค่สารชนิดนี้เท่านั้นที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง เพราะในยาย้อมผมมีส่วนผสมอีกราว 6 ชนิดหรือมากกว่า ที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้
เขาแนะนำว่า ถ้าเคยใช้ยาย้อมผมชนิดใด และไม่มีอาการแพ้ ก็ขอให้ใช้ต่อไป
• อ้วนนักมักเสี่ยงมะเร็ง!!
ผลวิจัยชี้ว่า กว่าร้อยละ 20 ของโรคมะเร็งทั้งหมด มีสาเหตุเกิดจากโรคอ้วน
โดยผลวิจัยองค์การวิจัยโรคมะเร็งนานาชาติ (International Agency Of Research On Cancer หรือ IARC) ได้วิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับโรคอ้วนกับความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง พบว่า ความอ้วนเป็นสาเหตุการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ร้อยละ 11 เกิดมะเร็งเต้านมในวัยหมดประจำเดือนร้อยละ 9 มะเร็งปากมดลูก ร้อยละ 39 มะเร็งที่ไตร้อยละ 25 และมะเร็งหลอดอาหารร้อยละ 37
ซึ่งตรงกับรายงานของสถาบันวิจัยมะเร็งแห่งอเมริกา และมูลนิธิวิจัยโรคมะเร็งโลก รายงานว่า ความอ้วนเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคมะเร็งที่อวัยวะหลายส่วน ได้แก่ หลอดอาหาร ตับอ่อน ลำไส้ เต้านมในวัยหมดประจำเดือน มดลูก และไต
นอกจากนั้น ยังมีการศึกษาพบว่าคนอ้วนจะเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากที่รุนแรงด้วย
• 'นอนไม่พอ' เสี่ยงเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก 3 เท่า!!
ผู้ชายที่มีปัญหานอนไม่หลับ อาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าที่จะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก เมื่อเทียบกับผู้ชายที่นอนหลับสนิทในตอนกลางคืน
ทั้งนี้ งานวิจัยชิ้นใหม่ที่ตีพิมพ์ในวารสารเกี่ยวกับมะเร็ง ระบุว่า จากการศึกษาผู้ชายกว่า 2,000 คนในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พบว่า มี 135 คนที่เริ่มเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก และ 16 คนในนั้นอยู่ในระยะที่รุนแรง โดยพบความเชื่อมโยงมากที่สุดในผู้ชายที่มีปัญหานอนไม่หลับอย่างรุนแรง ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากสูงถึง 3 เท่า
ดร.ลาร่า ซิเกอร์ดาร์ดอทเทียร์ แห่งมหาวิทยาลัยไอซ์แลนด์ เจ้าของงานวิจัยชิ้นนี้ กล่าวว่า ผลลัพธ์ที่ได้นี้มีความสำคัญ เพราะแม้ว่ามะเร็งต่อมลูกหมากไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่บรรดานักวิจัยได้พยายามหาสาเหตุว่า ทำไมมะเร็งต่อมลูกหมากในผู้ชายบางคน จึงแพร่กระจายเร็วกว่าในอีกคนที่ค่อยๆเป็น
ส่วนสาเหตุนั้น ดร.แอเลน โทฟิจ แพทย์ด้านประสาทวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับแห่งศูนย์การแพทย์คอร์เนล อธิบายว่า การนอนหลับช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานเป็นปกติ คอยป้องกันเซลล์ที่อาจกลายเป็นมะเร็ง แต่การนอนไม่พอจะสกัดกั้นการทำงานของเซลล์ที่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของมะเร็ง เพิ่มความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็ง
ดร.โทฟิจ กล่าวเสริมว่า แม้ขณะนี้ยังไม่มีข้อพิสูจน์ว่า การนอนหลับสนิทช่วยลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็ง แต่บรรดาแพทย์ต่างยอมรับว่า การกินอาหารถูกหลักโภชนาการและออกกำลังกายเป็นประจำ เป็นสิ่งจำเป็นต่อสุขภาพที่ดี
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 153 กันยายน 2556 โดย ธาราทิพย์)