xs
xsm
sm
md
lg

คนดังมีดี : ธรรมะอยู่ในสายเลือด “ออม” สุชาร์ มานะยิ่ง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ธรรมะอยู่กับเรามาตั้งแต่เกิด มันอยู่ในสายเลือด” คือหนึ่งในความรู้สึกนึกคิดของนักแสดงสาวหน้าใสที่กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นคนหนึ่งของวงการ “ออม” สุชาร์ มานะยิ่ง หลังจากผลงานที่ทำให้เธอแจ้งเกิดโดยสมบูรณ์แบบ อย่างภาพยนตร์เรื่อง “Yes or No อยากรักก็รักเลย” ชีวิตการแสดงของเธอก็ไต่ระดับเป็นเส้นกราฟสูงขึ้นไป

ในขณะที่เธอกำลังจะมีผลงานการแสดงในซีรี่ส์สองเรื่อง “จุดนัดพบ” (ปี 2) ทางช่องสาม และซีรี่ส์อีกเรื่องที่เอาซีรี่ส์เกาหลีมารีเมค ซึ่งจะฉายทางช่องทรูวิชั่นส์ ออมก็ได้เป็นนักแสดงนำในหนังที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา เรื่อง “นมัสเต จ๊ะเอ๋ บ๊ายบาย” ซึ่งเป็นหนังเรื่องที่สามซึ่งทำขึ้นภายใต้โครงการ “บวชพุทธสาวิกาสองแผ่นดิน” โดยเสถียรธรรมสถาน ในโอกาสฉลองปีพุทธชยันตี 2600 ปีแห่งการตรัสรู้ โดยมีการถ่ายทำใน 3 ประเทศคือ ไทย อินเดีย และ เนปาล

“ออมแสดงมาตั้งแต่เรื่องแรกเลยค่ะ ภาพรวมของหนังก็คือเป็นหนังธรรมะที่ดูง่าย มีเรื่องราวของวัยรุ่น มีแง่มุมธรรมะค่ะ” นักแสดงสาวที่กำลังท็อปฟอร์ม กล่าวพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะพาเราเข้าสู่บทสทนาที่อบอวลด้วยกลิ่นอายแห่งธรรมะและศาสนา

• พบสัจธรรมที่อินเดีย

เราจะได้ยินข่าวบ่อยๆ เกี่ยวกับดาราคนนั้นคนนี้ไปทำบุญทำทานที่วัดต่างๆ บ้างก็สร้างศาลาหรือพระพุทธรูปใหญ่โต แต่ในวัยนี้ สำหรับนักแสดงสาวหน้าใส เธอบอกเล่าด้วยความภาคภูมิใจว่า การที่ได้เล่นหนัง ก็เหมือนการสร้างกุศลรูปแบบหนึ่ง ฟังดูคล้ายๆ การทำงานเป็นการปฏิบัติธรรม

“การได้เล่นหนัง มันเหมือนเป็นการทำบุญอย่างหนึ่งของออม เพราะว่านอกจากที่จะเอาเงินที่เราหาได้ไปทำบุญแล้ว ออมคิดว่าการเล่นหนัง มันเป็นการทำบุญโดยที่ออมไม่ได้ใช้เงิน แต่มันเป็นการใช้วิชาชีพของออมในการที่จะลงขันกับทีมงานทุกคน เพื่อทำหนังที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเรื่องนี้ขึ้นมา

ที่สำคัญ นอกจากการได้สร้างกุศล ออมคิดว่ามันก็ได้อะไรกับตัวเองด้วยหลายอย่าง นอกจากที่คนดูจะได้รับ เหมือนบางที เราก็มีเรื่องบางเรื่องที่เราไม่เข้าใจ การมาเล่นหนังเรื่องนี้ทำให้เราได้เรียนรู้แง่มุมบางอย่างทางพุทธศาสนา แล้วเอามาปรับใช้ในกระบวนการทางความคิดเราได้ อย่างเช่น ถ้าเราเข้าใจแบบนั้นๆ เราจะไม่เป็นทุกข์กับเรื่องบางเรื่องเลย”

ภาพยนตร์หนึ่งเรื่อง ย่อมให้อะไรแก่คนดูผู้ชม ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง นั่นยังไม่ต้องพูดถึงคนที่แสดง นอกจากการทุ่มเทในบทบาท แน่นอนว่า อีกด้านหนึ่ง มันคือโอกาสในการเก็บรับซับซึมหลากหลายแง่มุมในหนังที่ตัวเองเล่น ออมก็เช่นเดียวกัน เธอบอกเล่าด้วยรอยยิ้มสดใส

“ออมไม่เคยคิดว่าจะได้ไปอินเดียเลย ถ้าไม่ได้ไปถ่ายหนังเรื่องนี้ แล้วสิ่งที่ได้รับกลับมา มันคือความปีติ มันคือความสุขจากการที่เราได้ทำอะไรให้พระพุทธศาสนา

อย่างออมไปที่โน่น เจ้าอาวาสที่อินเดีย ท่านเทศน์ว่า ท่านก็รู้ว่าทีมงานทุกคนเหนื่อยกับการทำงาน ท่านก็อนุโมทนาให้ชีวิตพวกเรามีแต่ความสุขความเจริญ ก็รู้สึกว่า มันคุ้มมากกับการที่ออมได้ไป

มันเหมือนกับการได้ไปล้างตัวเอง ได้ไปดีท็อกซ์ตัวเอง ชำระล้างจิตใจ เพราะว่าบางทีชีวิตเราก็เจอเรื่องยุ่งวุ่นวายอะไรมาเยอะเหมือนกัน”

นึกถึงอินเดีย คิดถึงชมพูทวีป คนไทยย่อมนึกไปถึงสถานที่สำคัญทางพุทธศาสนา ซึ่งสาวน้อยคนนี้ก็ไปมาหลายแห่งเช่นกัน

“สังเวชนียสถาน 4 แห่ง ก็ไปค่ะ ไปที่ที่พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ไปเขาคิชฌกูฏ คือเขาคิชฌกูฏบ้านเราว่าศักดิ์สิทธิ์แล้ว แต่ก็ยังเป็นสถานที่จำลอง แต่ไปที่อินเดีย คือของจริงทุกอย่าง มีหลักฐานยืนยันว่า พระพุทธเจ้าเคยประทับนั่งตรงนั้นจริงๆ มันก็เหมือนกับว่า เป็นสิริมงคลกับชีวิตเรา

อีกอย่างเราได้ไปเห็นสัจธรรมของชีวิตผู้คนที่นั่น เห็นแล้วรู้สึกว่า บ้านเราเป็นสวรรค์แล้วล่ะค่ะ เพราะที่นั่นคือคนที่มีชีวิตสุขสบาย นับจำนวนได้เลย แต่คนที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร ขอทาน เยอะมาก คุณภาพชีวิตของเขาไม่ค่อยดีอย่างที่เรารู้กัน”

• ธรรมะอยู่ในสายเลือด

“คือออมคิดว่าออมอาจจะไม่ได้มีพาวเวอร์ขนาดนั้นที่จะไปบอกว่า ใครต้องสนใจในศาสนา” ดาราสาวรีบออกตัว เมื่อเราถามความเห็นเกี่ยวกับเรื่องวัยรุ่นและศาสนาที่ดูเหมือนว่าจะเข้ากันได้ไม่ง่ายนัก

“แต่ออมอยากบอกว่า ออมได้อะไรมากกว่า ออมอาจจะไม่ได้ศึกษาพุทธศาสนาแบบจริงจัง แต่ว่าออมรู้ในระดับหนึ่งว่า เหตุและผลคืออะไร สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน สิ่งที่เราเรียนกันมาตั้งแต่เด็กๆ ถ้าเราปฏิบัติจริงๆ เรานั่งสมาธิ เราทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า สิ่งดีๆ มันก็จะเกิดขึ้นในชีวิตของเราอยู่แล้ว เพราะว่ามันคือการทำความดีน่ะ

ไม่ว่าเราจะคิดอะไร เราจะทำอะไร เราจะทำด้วยความมีสติตลอดเวลา เวลาที่เรามีสติมีสมาธิ เราก็จะควบคุมทุกอย่างได้


ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมส่วนมากก็มาจากการที่คนเราขาดสติ ขาดการยับยั้งชั่งใจด้วยกันทั้งนั้น ออมคิดว่า จริงๆแล้ว ธรรมะช่วยได้เยอะเลยค่ะ

จริงๆแล้ววัยรุ่น อยู่ในวัยที่ดูเหมือนจะห่างไกลจากธรรมะ มันเป็นช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้ประสบการณ์การใช้ชีวิตแบบมนุษย์ทางโลก เจอเพื่อน เจอสังคม เจอการทำงานใหม่ๆ เจอประสบการณ์อะไรที่พร้อมจะเรียนรู้ แต่ธรรมะมันเป็นสิ่งที่คู่ขนานกันมา เราเพียงแค่อาจจะลืมนึกลืมปฏิบัติไปเท่านั้นเอง

อย่างเนื้อหาในหนังเรื่องนี้ที่ออมเล่น ก็อาจจะทำให้เรากลับมาเอะใจกับตัวเองว่า เอ๊ะ.. เราลืมหลักคำสอนบางอย่างของพระพุทธเจ้าไปหรือเปล่า ที่จะทำให้เราใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข อย่างเข้าใจ อย่างที่ทำให้เราไม่เป็นทุกข์ในสิ่งที่บางทีเราไม่ควรจะทุกข์

ในความเห็นของออม ธรรมะจึงไม่ได้จำเป็นแค่สำหรับวัยรุ่น หากแต่สำคัญสำหรับทุกคน เพราะมันคือเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เป็นเครื่องสอนว่า เราควรจะยึดมั่นในแนวความดี

หากถามว่าจำเป็น ก็จำเป็นมากค่ะ เพราะตามจริง ธรรมะมันอยู่ในสายเลือด อยู่กับเรามาตั้งแต่เกิด เราไม่จำเป็นต้องกรอกในเอกสารด้วยซ้ำว่า เรานับถือศาสนาอะไร

คือศาสนาก็สอนให้เราเป็นคนดีอย่างที่เราเรียนกันมา ออมเชื่อว่า ใครที่ไม่มีธรรมะในใจ คนนั้นไม่น่าคบ เพราะธรรมะในใจมันสำคัญสำหรับทุกคนนะคะ อยู่ที่ใครจะมีมากมีน้อยเท่านั้นเอง”

• “สมาธิ” ค้ำชูชีวิต


ดาราสาวคนนี้ไม่ต่างไปจากวัยรุ่นไทยจำนวนมาก ซึ่งเติบโตมาท่ามกลางบรรยากาศของพุทธศาสนา และอาจจะด้วยหน้าที่การงาน จึงทำให้เธอไม่มีเวลาในการปฏิบัติธรรมจริงจัง แต่ถึงกระนั้น เธอก็ใช้เวลากับตัวเองยามว่างในการปฏิบัติธรรม เพื่อทำใจให้ผ่อนคลาย

“ตั้งแต่เด็กๆ ออมจะตื่นเช้าก็ตักบาตรบ้าง ซึมซับมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว เข้าวัดทำบุญในเทศกาลต่างๆ แล้วที่บ้านออมก็ชอบทำบุญ ก็ปฏิบัติปกติตามวิถีของพุทธศาสนิกชน เพียงแต่อาจจะไม่ได้ปฏิบัติเยอะมาก ไม่ได้ไปเข้าค่ายปฏิบัติธรรม ออมยังไม่เคยมีโอกาสได้ไปอย่างนั้นเลยค่ะ เพราะเวลาในชีวิตเราทำงานซะส่วนใหญ่ ก็จะใช้วิธีการสวดมนต์อยู่ที่บ้าน เหมือนปฏิบัติเอง

ธรรมะนั้นเป็นอกาลิโก คือไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่และกาลเวลา อยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติธรรมได้ และปฏิบัติได้ตลอดเวลา ออมจึงเลือกใช้เวลาก่อนนอนสวดมนต์ นั่งสมาธิเป็นประจำ และสิ่งนี้มันก็ช่วยให้จิตใจผ่อนคลายสงบเย็น

จริงๆ หลักสมาธิ มันเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับงานการแสดงของออมอยู่แล้ว เพราะถ้าเมื่อไหร่ไม่มีสมาธิ ออมก็ทำงานไม่ได้เหมือนกัน

การนั่งสมาธิมันก็คือการปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างออก อะไรที่เราแบกเอาไว้ เราก็ปล่อยมันไปให้หมด ไม่ต้องคิดอะไร มันอยู่แค่ที่ความว่างเปล่า ไม่คิดอะไรเลย

แล้วการนั่งสมาธิก็เป็นการบำบัดเซลล์ในร่างกายที่ดีที่สุด บางทีเรานั่งสมาธิอยู่ เราสามารถประเมินตัวเองได้ด้วยซ้ำว่า เราป่วยตรงไหน เหมือนร่างกายเราตรวจเช็กตัวเองน่ะ

ซึ่งบางที ในชีวิตเรา เราชอบมองอะไรด้วยตา และตาเรามันก็จะนำเราไปให้มองสิ่งรอบตัวมาก ทำให้เราไปเกาะอยู่ตรงนั้นตรงนี้ จนกระทั่งว่า ลืมสำรวจตัวเอง แต่การนั่งสมาธิทำให้เราได้อยู่กับตัวเอง อยู่กับแค่ลมหายใจที่เข้าและออก”

ความดีของชีวิตที่ภูมิใจ

“น่าจะเรียกว่าเป็นสิ่งที่ภูมิใจดีกว่าค่ะ คือพ่อของออมจะเป็นคนที่ค่อนข้างดื้อ เวลาป่วยก็ไม่ค่อยอยากจะไปหาหมอ พ่อจะบอกว่า เอ้อ ก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามวิถีมนุษย์เถอะ พ่อรู้ตัวเองว่า พ่อไม่เป็นอะไร

แต่ออมก็ใช้สติคิดว่า เราจะทำยังไงให้พ่อไปหาหมอ แล้วก็รวบรวมความเป็นเหตุเป็นผลไปพูดกับพ่อ ซึ่งแม่ก็โทรมาปรึกษาว่า ใครก็บอกไม่ได้ เพราะพ่อเป็นหัวหน้าครอบครัว ใครก็พูดไม่ได้ พูดอย่างไรพ่อก็ไม่ไปหาหมอ แต่ออมก็ลองไปพูดกับพ่อ พ่อถึงยอมไปหาหมอ แค่นั้นออมก็รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ดีแล้ว เราได้ทำความดีแล้ว ทำความดีกับผู้มีพระคุณของเรา กับพ่อแม่ของเรา มันยิ่งกว่าการที่เราไปทำความดีกับคนอื่นค่ะ”


(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 151 กรกฎาคม 2556 โดย อภินันท์ บุญเรืองพะเนา)






กำลังโหลดความคิดเห็น