กลุ่มพระต่างแคว้น คือ กลุ่มพระที่ออกบวชต่างแคว้นละ ๑ รูป (เฉพาะที่เป็นพระอสีติมหาสาวก) มี ๖ รูป คือ พระพาหิยะ พระปุณณะ พระทัพพะ พระรัฐบาล พระโสณโกฬิวิสะ พระมหากัปปินะ แต่ละรูปมีประวัติที่น่าศึกษาดังนี้
วาจานุสรณ์
พระมหากัปปินะ หลังจากบรรลุอรหัตผลและพระพุทธเจ้าทรงมอบหมายให้สอนพระที่เป็นศิษย์ของท่านแล้ว วันหนึ่งมีภิกษุหมู่หนึ่งเข้าไปหาท่าน ท่านได้กล่าวสอนว่า
สิ่งที่เป็นประโยชน์ และไม่เป็นประโยชน์ ทั้ง ๒ นั้น
แม้จะยังมาไม่ถึง แต่ผู้ใดเข้าใจได้ก่อน
ศัตรูหรือมิตรของผู้นั้น แม้จะคอยจับผิดอยู่
ก็มองไม่เห็นช่องทางให้จับผิดได้
ต่อมา ท่านได้พิจารณาถึงวิธีปฏิบัติ ที่ส่งผลให้ได้บรรลุอรหัตผลสำหรับตัวท่านเอง จึงกล่าวว่า
ผู้ใด สั่งสมอบรมอานาปานสติมาโดยลำดับ
จนมาถึงขั้นบริบูรณ์ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน
ผู้นั้น ย่อมทำให้โลกนี้สว่าง
เหมือนพระจันทร์พ้นจากเมฆหมอก
ส่องโลกให้สว่างฉะนั้น
จากนั้น ท่านได้ยกตัวท่านเองขึ้นเป็นตัวอย่าง โดยกล่าวว่า
เราอบรมจิตมาดี
จิตของเราจึงผ่องใสไร้ขอบเขต
เราประคับประคองจิตอยู่สมอ
จิตของเราจึงสว่างไสวไปทั่วทิศ
ท่านยังได้สอนภิกษุณีให้เข้าใจถึงคุณค่าของปัญญาว่า
คนมีปัญญา ถึงจะไม่มีทรัพย์ ก็เลี้ยงชีวิตให้อยู่รอดได้
คนไม่มีปัญญา ถึงจะมีทรัพย์ ก็อยู่ไม่ได้
ปัญญาช่วยตัดสินสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมา
ปัญญาช่วยให้ได้ชื่อเสียงและคำสรรเสริญ
คนมีปัญญาถึงคราวตกทุกได้ยาก
ก็ยังรู้จักหาความสุขได้
ต่อจากนั้น ท่านได้สอนภิกษุณีให้เข้าใจถึงความไม่เที่ยงว่า
ความไม่เที่ยง ไม่ใช่ไม่เคยมีมา
ไม่ใช่เพิ่งมามีในวันนี้ แต่มีมานานแล้ว
และไม่ใช่ของแปลกประหลาด
เพราะมีให้เห็นอยู่เนืองๆ
ในโลกที่สัตว์มาเกิดแล้วตายอยู่นี้
ไม่มีความไม่เที่ยงอันใดที่ไม่เคยมี
ทันทีที่เกิดมา เมื่อมีชีวิตก็มีความตายติดมาด้วยแน่นอน
สัตว์ที่เกิดมาแล้วก็ตายไปเป็นธรรมดาอยู่อย่างนี้
ขณะนั้นเอง ท่านพิจารณาเห็นว่า ภิกษุณีบางรูปยังเสียใจถึงคนที่ตายจากไป จึงสอนว่า
การร้องไห้เพื่อให้ได้ชีวิตคนตายกลับมานั้น
ไม่เป็นประโยชน์แก่คนตายเลย
อีกทั้งคนร้องก็ไม่ได้ยศและคำสรรเสริญ
สมณพราหมณ์ทั้งหลายก็ไม่สรรเสริญ
จากนั้น ท่านได้แสดงโทษของการร้องไห้ว่า
การร้องไห้ คือการทำร้ายร่างกายและดวงตา
คนร้องไห้ย่อมไม่สวย ผิวพรรณไม่ผ่องใส
เรี่ยวแรง และความคิดจะอ่อนล้า
คนร้องไห้ ย่อมทำให้ศัตรูหัวเราะเยาะ
แต่ทำให้มิตรสหายกลับเป็นทุกข์
สุดท้าย ท่านแนะนำให้เข้าหากัลยาณมิตรว่า
ฉะนั้น คนเราจึงควรแสวงหานักปราชญ์มาให้อยู่ด้วย
เพราะกำลังปัญญาของท่านเหล่านั้น
จะช่วยให้กิจการสำเร็จไปได้
เหมือนเรือที่ช่วยให้ข้ามแม่น้ำใหญ่ได้ ฉะนั้น
พระพาหิยะ ไม่มีกล่าววาจาใดเป็นอนุสรณ์เพราะด่วนนิพพานก่อน
ส่วนพระปุณณะ ก็ไม่มีบันทึกคำกล่าวของท่านเหมือนกัน
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 149 พฤษภาคม 2556 โดย ผศ.ร.ท.ดร.บรรจบ บรรณรุจิ)