กลุ่มพระต่างแคว้น คือ กลุ่มพระที่ออกบวชต่างแคว้นละ ๑ รูป (เฉพาะที่เป็นพระอสีติมหาสาวก) มี ๖ รูป คือ พระพาหิยะ พระปุณณะ พระทัพพะ พระรัฐบาล พระโสณโกฬิวิสะ พระมหากัปปินะ แต่ละรูปมีประวัติที่น่าศึกษาดังนี้
เอตทัคคะ - อดีตชาติ (ต่อ)
พระโสณโกฬิวิสะ ตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าปทุมุตตระ ครั้งนั้นท่านเกิดเป็นบุตรเศรษฐีชาวเมืองหงสวดี มีชื่อว่า “สิริวัฑฒะ” วันหนึ่งได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมกับพวกชาวเมืองเพื่อฟังธรรม เห็นพระพุทธเจ้าทรงตั้งพระสาวกรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านปรารภความเพียร แล้วเกิดศรัทธาปรารถนาจะได้เป็นเช่นพระสาวกรูปนั้นบ้าง
ท่านแสดงศรัทธาให้ปรากฏ ด้วยการถวายมหาทานแด่พระพุทธเจ้าและพระสาวกติดต่อกัน๗ วัน วันสุดท้ายท่านได้กราบทูลพระพุทธเจ้าให้ทราบถึงความปรารถนาของท่าน และได้รับพุทธพยากรณ์ว่า จักได้ออกบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าโคดม ในอีก ๑๐๐,๐๐๐ กัปข้างหน้าจักได้บรรลุอรหัตผล พระพุทธเจ้าโคดมจักตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านปรารภความเพียร
ท่านได้ฟังพระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์แล้วเกิดปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ได้ทำบุญอื่นๆสนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาตินั้น บุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธันดรหนึ่ง
ชาติหนึ่งในพุทธันดรนั้นท่านเกิดเป็นกุลบุตรชาวเมืองพาราณสี วันหนึ่งขณะลงเล่นน้ำอยู่ในแม่น้ำคงคากับพวกเพื่อนๆ เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่งกำลังหาเก็บท่อนไม้และเครือเถา(เถาวัลย์)ที่ถูกน้ำซัดมาติดอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา จึงพร้อมกับเพื่อนๆ เข้าไปหาพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปนั้น ครั้นทราบว่าท่านกำลังหาเก็บเศษไม้และเครือเถา เพื่อนำไปสร้างบรรณศาลาสำหรับอยู่จำพรรษาแล้ว ต่างเกิดศรัทธาปรารถนาจะสร้างถวาย
วันรุ่งขึ้น หลังจากถวายอาหารบิณฑบาตแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ท่านกับพวกเพื่อนๆก็พากันไปสร้างบรรณศาลา ที่จงกรม ที่พักกลางวัน ที่พักกลางคืน ถวายพระปัจเจกพุทธเจ้า ส่วนสิริวัฑฒะได้ถวายผ้ากัมพลแดงราคาแพงผืน ๑ สำหรับปูพื้นให้พระปัจเจกพุทธเจ้าเช็ดเท้าก่อนขึ้นบรรณศาลา วันหนึ่งได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ามีผิวพรรณเปล่งปลั่ง ขับผ้ากัมพลแดงให้ดูสุกใส แล้วยิ่งเกิดความเลื่อมใส จึงกล่าวปรารถนาว่า
“ผ้ากัมพลผืนนี้ เวลาที่พระพุทธเจ้าเดินเหยียบไป ช่างดูงดงามเกินเปรียบ นับจากชาตินี้ไปทุกชาติขอสีมือและสีข้อเท้าของโยมจงแดงเหมือนดอกชบา และงดงามเหมือนสีผ้ากัมพลที่ดูสุกใสสวยงามเวลาที่พระคุณเจ้าเดินเหยียบไป ขอโยมจงมีฝ่ามือฝ่าเท้าอ่อนนุ่มเหมือนปุยฝ้ายที่ดีดถึง ๗ ครั้ง”
สิริวัฑฒะได้บำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยปัจจัย ๔ ตลอดพรรษา ครั้นออกพรรษาและปวารณาแล้ว ท่านก็ได้ถวายบริขาร คือ บาตรและไตรจีวรครบชุด แด่พระปัจเจกพุทธเจ้า ฝ่ายพระปัจเจกพุทธเจ้าเมื่อได้รับบริขารครบแล้ว ก็กลับไปยังภูเขาคันธมาทน์ ส่วนสิริวัฑฒะก็ได้ทำบุญอื่นๆสนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาตินั้น บุญส่งผลให้เวียนว่าตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าวิปัสสี
ชาติที่พบพระพุทธเจ้าวิปัสสีนั้น ท่านเกิดเป็นกุลบุตรชาวเมืองพันธุมดี ได้ทำบุญสำคัญ คือ สร้างถ้ำแล้วปูลาดพื้นด้วยผ้าถวายพระที่มาจากทั้ง ๔ ทิศ ต่อมาได้ออกบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าวิปัสสีนั้นตลอดชีวิต แต่ไม่ได้บรรลุมรรคผลขั้นใด
จากชาตินั้น บุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ท่านมาเกิดเป็นบุตรของเศรษฐีชาวเมืองจัมปาในแคว้นอังคะ ครั้นออกบวชก็ได้บรรลุอรหัตผล
อาศัยเหตุที่ตั้งจิตปรารถนามาแต่อดีตชาติ ประกอบกับเหตุการณ์ในปัจจุบันชาติ ที่เมื่อออกบวชแล้วได้บำเพ็ญอย่างหนักจนมือเท้าแตก พระพุทธเจ้าจึงทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านปรารภความเพียร ดังกล่าวมาแล้ว
พระมหากัปปินะ ตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าปทุมุตตระ ครั้งนั้นท่านเกิดเป็นบุตรชาวเมืองหงสวดี วันหนึ่งได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมกับพวกชาวเมืองเพื่อฟังธรรม เห็นพระพุทธเจ้าทรงตั้งพระสาวกรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านสอนภิกษุแล้ว เกิดศรัทธาปรารถนาจะได้เป็นเช่นนั้นบ้าง
ท่านแสดงศรัทธาให้ปรากฏ ด้วยการถวายมหาทานแด่พระพุทธเจ้าและพระสาวกติดต่อกัน ๗ วัน วันสุดท้ายได้กราบทูลพระพุทธเจ้าให้ทรงทราบถึงความปรารถนาของท่าน และได้รับพุทธพยากรณ์อย่างที่พระรัฐบาลและพระโสณโกฬิวิสะได้รับแล้ว คือ จักได้ออกบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าโคดมในอีก ๑๐๐,๐๐๐ กัปข้างหน้า จักได้บรรลุอรหัตผล พระพุทธเจ้าโคดมจักตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านสอนภิกษุ
ท่านได้ฟังพระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์แล้วเกิดปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ได้ทำบุญอื่นๆสนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาตินั้น บุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธันดรหนึ่ง
ชาติหนึ่งในพุทธันดรนั้น ท่านเกิดเป็นหัวหน้าช่างหูกในหมู่บ้านช่างหูกหมู่บ้านหนึ่ง ซึ่งมีสมาชิก ๑,๐๐๐ ครอบครัว ได้ทำบุญสำคัญ คือ พร้อมด้วยภริยาชักชวนลูกบ้านให้ถวายการบำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้า ๑,๐๐๐ รูปที่มาจำพรรษาในป่าใกล้หมู่บ้าน ด้วยการสร้างบรรณศาลาถวายรูปละ ๑ หลัง และชักชวนให้แต่ละครอบครัวรับอุปัฏฐากพระปัจเจกพุทธเจ้าครอบครัวละ ๑ รูป
ครั้นออกพรรษา เมื่อปัจเจกพุทธเจ้าทุกรูปปวารณาแล้ว หัวหน้าช่างหูกและภริยาพร้อมด้วยลูกบ้านแต่ละครอบครัว ต่างได้ถวายผ้าสำหรับทำจีวรแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าที่ตนบำรุง ฝ่ายพระปัจเจกพุทธเจ้าก่อนออกจากหมู่บ้านนั้นกลับยังที่อยู่เดิม ต่างก็กล่าวสอนช่างหูกไม่ให้ประมาท ให้ยึดมั่นในการทำความดีตลอดไป
หัวหน้าช่างหูกและภริยาพร้อมด้วยลูกบ้าน ได้ปฏิบัติตามที่พระปัจเจกพุทธเจ้าสอน โดยได้ทำบุญอื่นๆ สนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาตินั้น บุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้ากัสสปะ
ชาติที่พบพระพุทธเจ้ากัสสปะนั้น ท่านเกิดเป็นบุตรกฎุมพีชาวเมืองพาราณสี ภริยาก็มาเกิดเป็นบุตรของกฎุมพีอีกตระกูลหนึ่งในเมืองพาราณสีเช่นเดียวกัน ส่วนลูกบ้านและภริยาก็มาเกิดเป็นบุตรธิดาของกฏุมพีต่างตระกูลในเมืองเดียวกันนั้นเอง
คราวหนึ่งได้ร่วมกันทำบุญสำคัญ คือ สร้างศาลาหลังใหญ่ มีเรือนยอด ๑,๐๐๐ หลังเป็นบริวาร ถวายไว้ในพระพุทธศาสนา เพื่อให้ได้ประโยชน์เป็นที่พักจำพรรษาของภิกษุและสามเณร และเป็นที่พักหลบแดดหลบฝนของพวกอุบาสกอุบาสิกาที่มาทำบุญ
ครั้นสร้างแล้ว คราวถวายศาลาทั้งหมดได้พร้อมใจกันถวายทานแด่พระพุทธเจ้าและพระสาวกติดต่อกัน ๗ วัน จากนั้นจึงถวายศาลา ทุกคนยังได้ทำบุญอื่นๆ สนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาตินั้น บุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ท่านมาเกิดเป็นพระราชโอรสแห่งราชตระกูล เมืองกุกกุฏวดีในปัจจันตชนบท โดยมีลูกบ้านมาเกิดเป็นบริวารด้วยทั้งหมด ฝ่ายภริยาก็มาเกิดเป็นพระราชธิดาแห่งราชตระกูลเมืองสาคละ ในแคว้นมัททะ โดยมีภริยาของพวกลูกบ้านเหล่านั้นมาเกิดเป็นบริวารด้วยเช่นกัน
ครั้นท่านออกบวชได้บรรลุพระอรหัตผล อาศัยเหตุที่ตั้งจิตปรารถนามาแต่อดีตชาติ ประกอบกับความสามารถในชาติปัจจุบัน ที่เมื่อบรรลุพระอรหัตผลแล้วได้สอนพระ ๕๐๐ รูป ให้ได้บรรลุอรหัตผลพร้อมกัน พระพุทธเจ้าจึงทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านสอนภิกษุ ดังกล่าวมาแล้ว
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 146 กุมภาพันธ์ 2556 โดย ผศ.ร.ท.ดร.บรรจบ บรรณรุจิ)